เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 5
ค่ำคืนนั้น หนานไตรขลุกอยู่ในห้องสมุดสักระยะแล้ว กำลังเลือกหนังสือนิยายภาษาอังกฤษนำไปฝากเนื้อนางอีก แขไขก้าวเข้าห้องมา
“เลือกหนังสือกลับไปฝากใครที่ปางคะ”
หนานไตรบอกโดยไม่ยี่หระ “เนื้อนาง”
“แขนึกแล้ว”
“รู้แล้วจะถามทำไมอีกล่ะครับ” หนานไตรพูดโดยไม่มองหน้า
“พี่ณไตร อย่าลืมนะคะว่าแขพูดเรื่องพี่ณไตรหลอกคนงานพวกนั้นได้”
หนานไตรเยาะ “ถ้าจะต่อรองด้วยเรื่องแบบนี้ มันก็เหมือนเด็กเล่นขายของ”
“แปลว่าพี่ณไตรไม่กลัว ถ้าทุกคนจะรู้ความจริง”
หนานไตรวางทางไม่ยี่หระ เพื่อไม่ให้แขไขเอาเรื่องนี้มาต่อรองอีก
“วันหนึ่งพวกเค้าก็ต้องรู้ว่าผมเป็นใคร หรือจริงๆ ผมควรจะบอกเนื้อนางไปตอนนี้ซะเลย ว่าผมไม่ใช่แค่ผู้จัดการปาง แต่ผมเป็นเจ้าของทุกอย่าง”
หนานไตรมองยั่วแขไขที่กำลังหน้าเสีย
“ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชอบผู้ชายรวยๆ มีหลักฐานมั่นคงใช่มั้ยครับ เนื้อนางเองก็คงไม่ปฏิเสธ ถ้าผมจะรวยขึ้น ดูดีกว่าแค่เป็นผู้จัดการ”
แขไขเลยเป็นฝ่ายร้องขึ้น “ไม่ได้นะคะ พี่ณไตรสนใจเนื้อนางไม่ได้”
“ผมอาจจะแค่สนใจเนื้อนางเล่นๆ ผู้หญิงมีตั้งเยอะ ทำไมจะต้องรีบจริงจังกับใครด้วยล่ะครับ”
หนานไตรมองจ้อง จงใจเล่นสงครามประสาทกับแขไข
“คนอย่างพ่อเลี้ยงณไตร จะมีเมียสัก 10 คนก็ไม่ใช่ปัญหา ผมมีปัญญาให้ความสุขสบายได้ทั่วถึงกันทุกคน” เขายิ้มยั่ว “เพราะฉะนั้นถ้าใครกวนใจ กวนอารมณ์ผมมากๆ ผมก็จะเขี่ยทิ้งเป็นคนแรก”
แขไขผงะที่ถูกหนานไตรตอบโต้ด้วยสายตาแพรวพราว วางมาดเป็นผู้ชายที่มีทั้งเงินทั้งอำนาจเต็มที่
แขไขกลับเข้าห้อง เดินไปเดินมา สีหน้าไม่ดี ดาวเด่นรู้เรื่องเมื่อครู่แล้วมองพี่สาวแล้วเตือนขึ้น
“คนอย่างพี่ณไตร เค้าไม่ได้ขู่เล่นๆ”
“พี่ณไตรไม่ใช่คนเจ้าชู้ เค้ารักเดียวใจเดียว”
ดาวเด่นโพล่งออกมา “ผู้ชาย! มีที่ไหน รักเดียวใจเดียว”
แขไขหงุดหงิดอารมณ์เสียสุดๆ “แกเป็นเด็ก อย่ามาสอดรู้เรื่องผู้ใหญ่”
“ตามใจนะ พี่แข ไปบังคับพี่ณไตรเค้ามากๆ ระวังเค้าจะรำคาญ คิดว่ามีแม่นาย 2 คน ทีนี้เกิดหนีไปเมืองนอกขึ้นมา พี่แขจะวิ่งตามไปหาเค้าเหมือนวิ่งไปอาละวาดในปางได้ง่ายๆ มั้ยล่ะ”
แขไขคิดตามคำพูดน้อง สีหน้ากังวลเห็นถนัด
ดาวเด่นมองด้วยความสงสาร ที่พี่สาวพยายามจะเอาชนะใจหนานไตร ทั้งที่รู้เต็มอกว่าอีกฝากไม่ไยดีเลย
หนานไตรกอดอกมองไปไกล ด้านหลังเป็นธรรพ์ยืนมองพี่ชาย
“ไม่ว่าจะรั้งไว้แค่ไหน คืนนี้พี่ต้องกลับไปที่ปาง”
“อยู่ถึงพรุ่งนี้ไม่ได้เหรอครับ สงสารคุณแข”
“ใช่ว่าพี่จะใจร้าย แต่พรุ่งนี้เช้าพี่นัดกับหมื่นหล้า เรื่องตรวจนับซุงที่ต้องล่องลงไปส่งลูกค้า มันสำคัญกับปางมากนะ ธรรพ์”
หนานไตรมองน้องด้วยแววตาจริงจัง
ในความมืดยามค่ำคืน แลเห็นมือที่กำลังนับเงิน เป็นแบงค์ร้อยหลายใบ แล้วแจกให้กับลูกน้องอีก 2 คน
“ปิดปากพวกเอ็งให้สนิท แล้วรีบขนไม้ไปวางตามจุดที่นัด” ที่แท้เป็นอินนั่นเอง
อีกฟาก ท่อนซุงขนาดใหญ่หลายท่อนถูกวางอยู่ริมทาง ชายชาวบ้านในชุดพราง 5 คน ลงจากรถบรรทุกคันใหญ่มายืนมอง คนเป็นหัวหน้าสั่งขึ้น
“ไม้สักจากปางหิมวัต รีบขนขึ้นรถไปให้หมด”
ขณะเดียวกัน หนานไตรยิ้มให้น้องชายด้วยสายตาฝากฝัง
“พี่ฝากนายดูแลที่นี่ ดูแลคุณปู่ ดูแลแม่นาย ดูแลแขไขด้วย”
“ผมดูแลแม่นายอยู่แล้ว แต่คุณแข...เธออยากให้พี่เป็นคนดูแลเธอมากกว่า”
หนานไตรบีบไหล่น้องชาย มองด้วยสายตาเชื่อใจ
“นายเป็นคนอ่อนโยน เข้าใจทุกคน ใครอยู่ใกล้ก็จะมีความสุข มีรอยยิ้ม”
ธรรพ์มองพี่ด้วยสายตาอ่อนโยน
“มีนายดูแลทุกอย่างของหิมวัตอยู่ที่นี่ พี่จะลุยงานในปางด้วยความสบายใจที่สุด”
อินถานอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียง แม่นายเดินเข้ามาใกล้
“ลูกชายชั้นไม่น่าเชื่อฟังแกเลย อินถา” อินถาหันมามอง แม่นายจ้องด้วยแววตาเกลียดชัง
“แก่ไร้ประโยชน์อย่างแกมันน่าจะตายๆ ไปได้แล้ว”
อินถาหายใจแรงด้วยความโกรธ “ศรีวัลลา แก...มันสะใภ้...อำมหิต”
“เพราะใครล่ะ ก็ลูกชายแกใช่มั้ยที่ทำให้ฉันเสียใจ อับอายผู้คน”
“กัศยะ...ไม่ควรเลือกแกเป็นเมีย”
“มันสายไปแล้วล่ะ ถ้าแกจะตายตามผัวเจ้าชู้ของชั้นไปก็ได้นะ ไม่ต้องร่ำลากันหรอก แล้วก็ฝากไปบอกผัวชั้น ลูกชายสุดที่รักของแกด้วย ว่าณไตรเค้าต้องเหมือนชั้น ไม่ใช่เหมือนพ่อ เหมือนปู่”
พ่อเลี้ยงอินถาจ้องแม่นายศรีวัลลาด้วยความเกลียด
วันดีเปิดประตูเข้ามาพร้อมยา แม่นายถอยออกห่าง เดินเชิดผ่านวันดีออกประตูไป วันดีเข้ามาจะป้อนยา เห็นพ่อเลี้ยงอินถาที่มือเท้าเกร็ง ชักตาตั้ง
“พ่อเลี้ยงอินถา พ่อเลี้ยงเป็นอะหยัง”
ถาดยาร่วงจากมือวันดี ที่ตกใจสุดขีด วิ่งออกประตูไปทันที
ขณะที่หนานไตรกำลังจะขึ้นรถ มีธรรพ์ยืนรอส่ง วันดีวิ่งหน้าตื่นมา
“พ่อเลี้ยง พ่อเลี้ยงอินถาชัก”
“คุณปู่”
หนานไตรวิ่งกลับเข้าบ้านไปคนแรก ธรรพ์กับวันดีรีบวิ่งตามเข้าไปอย่างเร็ว
ฝ่ายเนื้อนางกำลังพับผ้า คำฝายลงมานั่งใกล้
“คืนนี้มันเงี้ยบเงียบเนอะ”
“ก็เงียบแบบนี้ทุกคืนนี่จ๊ะ”
“ไม่รู้สิ เห็นตั๋วเอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงาน ไม่พูดไม่จา นึกว่าตั๋วกำลังคิดถึง...”
หมื่นหล้าเดินขึ้นเรือนมา เนื้อนางมองจ้องคำฝายให้หยุดพูด หมื่นหล้าเดินไปนั่งพัก คำฝายยังไม่ยอม หันมาลอยหน้าทางเนื้อนางพูดโดยไม่ออกเสียงว่า
“หนานไตร”
เนื้อนางหมั่นไส้แอบหยิก คำฝายจะร้องดังก็ไม่กล้า เนื้อนางยิ้มขำ
ด้านหนานไตรกับธรรพ์มองอินถาที่หลับอยู่ เทพทัตตรวจอาการเสร็จแล้วนั่งอยู่ใกล้ๆ วันดีหมอบอยู่กับพื้น สีหน้าห่วงใย
“ทำไมอยู่ๆ อาการคุณปู่แย่ลงละครับ ป้าวันดี” หนานไตรแปลกใจ
“ป้าก็ไม่รู้ค่ะ พอเอายาเข้ามา ก็เห็นพ่อเลี้ยงนอนเกร็งไปหมด”
“วันก่อนคุณปู่ก็ทานข้าวได้เยอะขึ้นแล้ว” ธรรพ์ว่า
“หรือว่า...”
ทุกคนมองมาที่วันดีเป็นตาเดียว วันดีพูดแบบเกรงๆ
“คือตอนเอายาเข้ามา ป้าเห็นแม่นายกำลังจะออกจากห้อง”
หนานไตรฉงน “แม่นายมาคุยอะไรกับคุณปู่ ทะเลาะกันหรือเปล่าครับ ป้าวันดี”
“ป้าไม่รู้จริงๆ ค่ะ”
วันดีตอบท่าทีเกรงๆ หนานไตรมีสีหน้าอึดอัด เทพทัตเอ่ยเตือนขึ้น
“ยังไงก็ต้องคอยระวัง อย่าให้คุณปู่กระทบกระเทือนจิตใจอีกนะครับ”
“ค่ะ คุณหมอ”
วันดีถอยออกไป ปล่อยให้หนานไตร ธรรพ์กับเทพทัตเฝ้าดูอาการพ่อเลี้ยงอินถา
ขณะที่วันดีเดินออกมาจากห้องพ่อเลี้ยงอินถา จันตาที่หลบอยู่กระชากวันดีเข้ามุมทันที วันดีหันไปมอง ถูกแม่นายตบหน้าผัวะ จันตายืนยิ้มสะใจ
“ใครใช้ให้แกไปตามหมอ” แม่นายเค้นคำ ด่าเสียงต่ำ
“พ่อเลี้ยงเปิ้นไม่สบายหนัก”
“ก็ปล่อยให้มันตายไปสิ”
“แม่นาย ข้าเจ้าทนเห็นพ่อเลี้ยงอินถาตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้”
แม่นายตบซ้ำอีกผัวะ แรงจนวันดีล้ม จันตาเข้ามากระชากผมวันดีเงยหน้าขึ้น
“วันหลังอย่าสอดเรื่องเจ้านาย ถ้ายังอยากอยู่บ้านนี้ อย่าเสนอหน้า อย่าพูด เจียมกะลาหัวว่าแกเป็นแค่คนงานเหมือนชั้น เข้าใจมั้ย คุณป้าวันดี”
จันตาผลักวันดีแรง จนหัวโขกพื้น วันดีเงยขึ้นช้าๆ
แม่นายมองเหยียด เดินเชิดเท้าเกือบโดนหน้าวันดี จันตาสะบัดหน้าเชิดเดินตามแม่นายออกไป วันดีมองตาม น้ำตาหยดรินออกมาด้วยความกลัวจับใจ
หนานไตรกับธรรพ์นั่งเฝ้าอาการปู่อยู่ข้างเตียงในห้องนอนพ่อเลี้ยงอินถา เทพทัตนั่งห่าง วันดีเปิดประตูเข้ามา
“ป้าบอกคนรถ ให้ไปส่งคุณหมอที่โรงพยาบาลแล้วค่ะ”
เทพทัตหยิบกระเป๋า หนานไตรมอง
“ขอบใจมาก ไอ้เทพ”
“เออ แกก็พักซะบ้างนะ ณไตร”
เทพทัตออกไป วันดียังรออยู่ในห้อง ธรรพ์ขยับเข้าใกล้ อินถาตื่นขึ้นมา ธรรพ์เอื้อมมือไปกุมมือปู่ แต่อินถาปัดมือธรรพ์ออก
“เฮ้ย เอ็งไปห่างๆ ข้า”
ธรรพ์หน้าหมองลงทันที ผละตัวห่างออกมา วันดีเข้าไปโอบเบาๆปลอบธรรพ์ด้วยความสงสาร
“ณไตร เข้ามาหาปู่”
“ครับ คุณปู่”
หนานไตรเข้าไปใกล้อีก อินถากุมมือหลานชาย สั่งด้วยเสียงฝากฝัง
“รักษาสมบัติของเรา ไม่ว่าปู่จะอยู่หรือตาย อย่าให้ไอ้ อีคนไหนที่มันไม่ใช่สายเลือดของปู่ มันเอาไปได้”
“ครับ ผมสัญญา...คุณปู่พักก่อนนะครับ”
อินถาหลับตาลงด้วยรอยยิ้มในหน้า เพราะหนานไตรให้สัญญา หนานไตรห่มผ้าให้ปู่
ธรรพ์หน้าหมอง วันดีทอดสายตามองสงสารธรรพ์
หนานไตรกุมมือปู่ไว้ด้วยสายตาห่วงใย
เช้าวันถัดมา ขณะที่เนื้อนางกำลังแปลเอกสารอยู่ที่โต๊ะบนเรือนสำนักงาน แสงคำเดินผ่านมาหยุดมอง คำฝายที่ทำความสะอาดอยู่เห็นแสงคำ ก็รีบวิ่งไปทางม่อนดอยที่มาช่วยเฝ้าเนื้อนางทันที
แสงคำเดินอาดๆ ขึ้นเรือนมา ม่อนดอยเดินมาขวางแสงคำทันที
“เนื้อนางไม่อยากคุยกับเอ็ง”
แสงคำไม่สน ผลักกระแทกม่อนดอยกระเด็น คำฝายตกใจ เนื้อนางเงยขึ้นมาเห็นทันที
“อย่ามาหาเรื่องแถวนี้นะ อ้ายแสงคำ เนื้อนางไม่ชอบ
ม่อนดอย กะคำฝายรีบมายืนข้างเนื้อนาง
“ใช่สิ เดี๋ยวนี้อ้ายมันคอยแต่จะหาเรื่องเนื้อนาง”
แสงคำมองเนื้อนางอย่างน้อยใจ เดินหัวเสียลงจากเรือนไป
“พิษรักแรงหึง ทำคนดีๆ กลายเป็นหมาบ้าไปซะแล้ว”
คำฝายบ่น ทุกคนได้แต่มองตามอย่างไม่สบายใจกับท่าทางแสงคำ
รัญจวนกำลังทำขนมจีนน้ำเงี้ยวอยู่หน้าเตาในครัว เปิดปากเม้าท์ขึ้นเสียงสูง
“มันน่าจะขย้ำนังเนื้อนางเสียให้รู้แล้วรู้รอด รวบหัวรวบหางกินกลางทั้งตัวแล้วก็พากันออกไปจากปางนี้ซะ”
กำปุ้งที่ตำน้ำพริกออกเสียง
“แหม แม่นายรัญจวนใจขา มันจะออกไปจากปางให้โง่หรือคะ นังเนื้อนางมันจะไปทำมาหากินอะไร ไอ้แสงคำมันก็ทำอย่างอื่นไม่เป็น นอกจากอยู่กับช้าง โง่ซะเชอะ...แมงมุมตัวน้อยน้อย ยังอยู่แถวนี้ทั้งตัว”
สร้อยฟ้าแย้ง “แต่เนื้อนางมันอ่านภาษาอังกิดออกนะ”
“เพราะอย่างงี้ ข้าล่ะอยากไปกระชากมันลงมาจากเรือนสำนักงาน”
กำปุ้งขยับ “ไปเลยมั้ยคะ”
รัญจวนประชด “ไปสิ กับข้าวจะได้ไหม้ทั้งเตา เรื่องอะไรข้าจะลดตัวลงไปฉะกับมันฟรีๆ รอให้คุณแขไขมา ตบมันต่อหน้าคุณแขไข ข้าก็จะได้รางวัล”
“จะมาเมื่อไหร่ละคะ คุณแขไขน่ะ อยากมาก็มา อยากไปก็ไป เคยเห็นหัวลูกน้องอย่างเรารึก็เปล่า” กำปุ้งค่อนขอด
“เออน่า ยังไงหลังเราก็ต้องพิงแม่นายกับคุณแขไขไว้ก่อน ใครเป็นเจ้าของปาง เราก็ต้องเข้าข้างคนนั้นแหละ”
รัญจวนสรุป
หนานไตรมองเห็นเนื้อนางกำลังแปลเอกสารอยู่ตามลำพังในสำนักงาน เนื้อนางรู้สึกเหมือนมีคนจ้องก็เงยขึ้นมอง
เนื้อนางยิ้มทัก “หนานไตร”
หนานไตรที่ถือหนังสือนิยายภาษาอังกฤษ ยิ้ม เดินเข้ามาใกล้เนื้อนาง
“ขยันทำงานจังเลย” พลางส่งหนังสือให้ “ของฝากครับ”
เนื้อนางรับหนังสือนิยายภาษาอังกฤษเรื่อง Sense and Sensibility ของ Jane Austen
กับ Romeo and Juliet ของ William Shakespeare ลูบคลำรูปเล่มอันสวยงามอย่างดีใจ
“ไปเอามาจากไหน หนานไตร”
“คือ...ผมฝากเค้าซื้อมาน่ะครับ”
หนานไตรขยับมาใกล้เนื้อนาง เอียงคอมอง
“เนื้อนางชอบมั้ย”
เนื้อนางหันมา เห็นใบหน้าหนานไตรที่อยู่ๆ ใกล้ เนื้อนางสบสายตากับหนานไตร สองคนยิ้มให้กัน
ที่บ้านหิมวัต ธรรพ์ยืนอยู่ตรงหน้าแม่นายที่กำลังใส่อารมณ์ แขไขมองโมโหธรรพ์ ดาวเด่นยืนใกล้พี่สาว
“อีกแล้ว ไปอีกแล้วไอ้ปางช้างเนี่ย ไหนว่ารักปู่นักหนา แล้วทำไมณไตรถึงทิ้งปู่ไปได้”
“ผมอาสาดูแลคุณปู่เองครับ วันนี้พี่ไตรมีงานสำคัญมาก”
แขไขไม่เชื่อ “โกหก พี่ณไตรจะไปเฝ้าเนื้อนาง”
“ไม่ใช่ครับ พี่ณไตรไปเรื่องงานสำคัญที่สุดของปาง วันนี้พี่ณไตรต้องตรวจนับไม้ก่อนล่องแพไปส่งลูกค้า”
แขไขหันมองไปที่แม่นายสายตาเป็นคำถาม แม่นายพยักหน้าว่าจริง ดาวเด่นเข้ามาใกล้พี่สาว เตือนขึ้น
“หึงจนเข้าขั้นปากพล่อย ถ้าพี่ณไตรได้ยินกับหู รับรองคะแนนติดลบ กู่ไม่กลับ”
หนานไตรเดินคุยมากับหมื่นหล้า
“ล่องซุงตีทะเบียนลงไปรอบนี้แล้ว ผมจะให้พักการตัดไว้ก่อน อยากให้หมื่นหล้าระดมพวกเรามาช่วยกันปลูกป่า”
“ดี ตัดไปแค่ไหน ก็ต้องปลูกเพิ่มให้มากกว่าเดิม ถ้าป่าไม่มีต้นไม้ ต่อไปทั้งคน ทั้งสัตว์จะเดือดร้อนกันหมด”
หนานไตรยิ้มเห็นด้วยกับหมื่นหล้า
“ข้าจะไปบอกพวกควาญไว้ก่อน”
หมื่นหล้าเดินแยกไปอีกทาง หนานไตรมองด้วยรอยยิ้ม ม่อนดอยวิ่งหน้าตื่นมาบอกหนานไตร
“หนานไตร ข้าไปตรวจไม้อีกทีอย่างที่แกสั่ง ซุงหายไป 10 กว่าท่อน”
“ใครเป็นคนตรวจนับตีตราไม้”
“ทุกทีก็...แสงคำ”
หนานไตรมีสีหน้าไม่พอใจ สงสัยแสงคำขึ้นมาทันที
“แสงคำ”
มุมหนึ่งในสวนสวยบ้านหิมวัต ดาวเด่นมองแขไขที่เดินเป็นเสือติดจั่นอยู่ ภายหลังรู้ว่าณไตรหนีกลับปางไปแล้ว
“พี่ต้องไปตามพี่ณไตร” แขไขเอ่ยขึ้น
ดาวเด่นร้องห้าม “ไม่ได้นะพี่แข ก็รู้อยู่ว่าพี่ณไตรไปทำงาน ไปรบกวนเค้ามากๆ เค้าจะหมดความอดทน”
ธรรพ์เดินมาพอดี ดาวเด่นหันไปมองขอร้องธรรพ์
“พี่ธรรพ์ ช่วยห้ามพี่แขทีนะคะ”
แขไขสะบัดหน้าหนีไปทางอื่น คล้ายไม่อยากรับฟัง ธรรพ์มองแล้วเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น
“ยิ่งตาม พี่ไตรจะวิ่งหนีนะครับ”
“เชื่อพี่ธรรพ์เถอะนะ ใครจะรู้จักพี่ณไตรดีเท่าพี่ธรรพ์” ดาวเด่นบอก
แขไขเดินหุนหันออกไปทันที ธรรพ์กับดาวเด่นมองหน้ากันอย่างอ่อนใจ
ฝ่ายหนานไตรเดินมาตามทางในปางกับม่อนดอย ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงสัย
“ตอนผู้จัดการคนเก่าอยู่ ไม้ก็เคยหายแบบนี้ใช่มั้ย”
“ข้าก็ไม่รู้ชัดๆ หรอก ไม่มีใครเค้าพูดกัน แค่แว่วๆ แล้วก็ลอยหายไปตามลม รู้แต่ว่าถ้าผู้จัดการทะเลาะกับพวกควาญเมื่อไหร่ ไม่มีใครอยู่ทนสักคน”
“ควาญที่มีปัญหากับผู้จัดการคงไม่ใช่หมื่นหล้า แต่เป็นแสงคำ” หนานไตรว่า
“แล้วแกจะเอายังไง เรียกแสงคำมาสอบสวนเลยสิ”
“อย่าเพิ่ง ม่อนดอย แกห้ามบอกเรื่องไม้หายกับใครทั้งนั้น เรารู้กันแค่สองคน”
ม่อนดอยคาใจ “แกจะทำอะไร หนานไตร แกจะเอาเรื่องแสงคำมันหรือเปล่า”
“ฉันมาที่นี่ มาทำหน้าที่ผู้จัดการ อะไรที่ไม่ถูกต้อง ฉันจะไม่ยอมก้มหัวให้”
แววตาหนานไตรกร้าว เอาเรื่องเต็มที่
ในขณะที่แสงคำกำลังให้อาหารช้าง อินเดินเข้ามาถาม
“เราจะล่องไม้เมื่อไหร่”
“ยังไม่มีคำสั่ง”
“ไหนว่าหนานไตรมาดูไม้แล้ว”
แสงคำเยาะ “ผู้จัดการอย่างมันจะตัดสินใจอะไรเป็น”
“งั้นเราก็ต้องรอน่ะสิ” อินว่า
“ใช่ รอจนขนไม้ไม่ทัน ไอ้ผู้จัดการคนใหม่มันลำบากแน่”
แสงคำยิ้มในสีหน้า แววตามีแผนการณ์บางอย่าง
ตกตอนเย็นวันนั้น หนานไตรเดินขึ้นมาบนสำนักงาน เนื้อนางกำลังเรียงเอกสารในตู้ให้เรียบร้อย พอหันมาเห็นหนานไตรก็ยิ้ม
“อ้าว หนานไตร ฉันแปลเอกสารเสร็จแล้ว ดูหน่อยสิว่าใช้ได้มั้ย”
หนานไตรมองแค่นิดเดียว ไม่ค่อยสนใจเอกสารเท่าไหร่
“ผมมีอีกหลายฉบับ พรุ่งนี้มาแปลอีกนะครับ”
“หลายฉบับเลยเหรอ”
“ทำไมล่ะ เนื้อนางจะไม่ช่วยผมแล้วเหรอ”
“ฉันขอพาพี่คำฝายมาช่วยด้วยนะ ไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน ก็มีผมอยู่ด้วย”
หนานไตรยิ้มกรุ้มกริ่มทำตาแพรวพราว เนื้อนางหัวเราะขัน
“นั่นแหละ น่ากลัวที่สุด” เนื้อนางถามนึกขึ้นได้ “หนานไตร คุณแขไขเค้าจะกลับมาสอนหนังสือเด็กๆ อีกหรือเปล่า”
“คงไม่แล้วล่ะ จริงๆ ผมอยากให้เนื้อนางเป็นครูมากกว่า”
“ไม่ได้หรอก คุณแขไขเธอเป็นคนของแม่นาย ยังไงฉันก็ต้องฟังคำสั่ง” เนื้อนางลองเลียบเคียงถามเรื่องคาใจ “อืม...แล้วหนานไตรสนิทกับคุณแขไขมากล่ะสิ”
หนานไตรนิ่วหน้าฉงน “สนิท...ทำไมเนื้อนางคิดว่าสนิทล่ะครับ”
“ก็เห็นคุณแขไขเค้าโมโหเวลาที่หนานไตรมาใกล้ๆ เนื้อนาง”
“ผมกับคุณแขไขรู้จักกันแค่...เจ้านาย ลูกน้อง”
แววตาเนื้อนางยังไม่ค่อยเชื่อนัก หนานไตรยิ้มให้ความมั่นใจ
“เชื่อผมเถอะ เนื้อนาง ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณแขไขเลย เนื้อนางสบายใจได้”
“ฉันก็ไม่ได้คิดมากอะไรสักหน่อย”
หนานไตรเย้าหยอก “โธ่ ผมอุตส่าห์ดีใจ คิดว่าเนื้อนางจะหึง”
“ทำไมฉันต้องหึงหนานไตร”
เนื้อนางเดินหนี จะลงเรือนกลับบ้าน หนานไตรเดินตามมาใกล้ แหย่ด้วยแววตาอ้อนๆ
“หึงก็ได้นะ หึงหน่อยสิ เนื้อนางหึงผม ผมจะได้ดีใจ”
เนื้อนางอมยิ้มเขิน เดินหนี ลงเรือนกลับบ้านไป หนานไตรยิ้มมองตามอย่างมีความสุข
ค่ำนั้นแขไขกำลังมองบัวผุดที่เอากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมา ธรรพ์เห็นแล้วถามแขไขที่ยืนข้างแม่นายศรีวัลลา
“คุณแขจะกลับบ้านเหรอครับ”
ดาวเด่นเดินตามจันตาที่ลากกระเป๋าอีกใบออกมา ตอบแทนให้
“พี่แขน่ะเหรอ ลืมทางเข้าบ้านไปแล้วล่ะค่ะ จำได้แต่ทางเข้าปาง”
แขไขยิ้มกับธรรพ์ “พรุ่งนี้เช้าแขต้องกลับไปทำหน้าที่ครูค่ะ”
แม่นายเอ่ยขึ้น “ที่จริงหนูแขไม่น่าจะต้องลำบาก ยังไงป้าก็สั่งให้ณไตรกลับบ้านได้”
“อย่าเลยค่ะ แม่นาย ให้แขไปคอยดูแลพี่ณไตรใกล้ๆ ดีกว่า”
“จริงค่ะ คุณณไตรต้องการความนุ่มนวล อ่อนหวาน เจ้ากี้เจ้าการของอิสตรีดูแลอย่างประชิดติดตัว”
“หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ว่า เฝ้าไว้ไม่ให้คลาดสายตา”
จันตาท้วงติง “อุ๊ย นั่นหมานะคะ”
“ก็ใครว่าไม่ใช่ล่ะ สุนัขเฝ้ารางหญ้า”
แขไขปราม “ยายดาว”
แม่นายปรายตามองหมั่นไส้ดาวเด่น เจ้าตัวลอยหน้ายิ้มให้ แขไขชักโมโห
“พี่ธรรพ์คะ แขมีเรื่องรบกวน ช่วยสั่งคนพาน้องดาวเด่นไปส่งที่บ้านทีเถอะค่ะ”
ดาวเด่นไม่ยอม “ดาวไม่กลับนะคะ คุณน้าผู้ชายสั่งไว้ว่าดาวต้องอยู่กับพี่แข”
แม่นายยิ้มเย็น “กลับไปเถอะจ้ะ อ่อนแอขี้โรคกระเสาะกระแสะ เกิดไม่สบายในปางอีก ก็จะเป็นภาระของหนูแข ภาระของธรรพ์ ภาระของฉัน และภาระของทุกคน”
แม่นายยิ้มเยาะดาวเด่น จันตาเหยียดยิ้มสะใจเปิดเผย
ดาวเด่นมองตอบโต้ทุกคนด้วยสายตาดื้อดึง ไม่ยอมแพ้
อ่านต่อหน้า 2
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 5 (ต่อ)
เช้าวันนี้ หนานไตรยืนอยู่กับหมื่นหล้า มีม่อนดอยยืนข้างๆ หนานไตร ส่วนแสงคำ อิน กับคนงานยืนอยู่ตรงข้าม
“เคลื่อนย้ายไม้ที่ตีทะเบียนแล้ว ส่งให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้เลยครับ” หนานไตรสั่ง
“เอ้า ไอ้แสงคำ ได้ยินแล้วนะ เรียกคนของเรามาทำงานให้หมด” หมื่นหล้าบอก
“ช่วงนี้ช้างป่วยหลายตัว ทำงานไม่ได้”
สิ้นเสียงนั้นหนานไตรหันขวับไปมองแสงคำทันที
“วันก่อนยังเห็นทำงานกันได้”
“ก็มันเพิ่งป่วย”
ม่อนดอยเอ่ยขึ้น “อย่างนี้เราจะส่งไม้ไม่ทัน”
หมื่นหล้าบอก “ไม่ต้องห่วง หนานไตร ข้าจะรีบรักษาให้”
“ไม่เป็นไรครับ หมื่นหล้า ยังไงเราก็ต้องส่งไม้ให้ทันเวลา”
หมื่นหล้าฉงน “แล้วเอ็งจะทำยังไง หนานไตร”
หนานไตรไม่ตอบชายชรา มองแสงคำกับพวกด้วยแววตาท้าทาย
ด้านเนื้อนาง กับคำฝายนั่งกินข้าวเช้าอยู่ที่โรงอาหาร กำปุ้งสะกิดรัญจวนให้มอง ชั่วอึดใจหนึ่ง สองดาวยั่วพากันเดินตรงมาที่เนื้อนาง คำฝาย
“กินเข้าไปเยอะๆ นะ จะได้มีแรงออดอ้อนผู้จัดการ เผื่อจะได้เจ้าบ่าวคนใหม่”
เนื้อนาง คำฝายวางช้อนลง มองรัญจวน
รัญจวนเยาะ “อิ่มละ”
กะเทยดอยเสริม “สงสัยจะรีบไปทำงานบนเรือนสำนักงานค่ะคุณพี่ งานอะไรน้า หุบๆ อ้าๆ อ้าๆหุบๆ”
“งานล้างปากหุบๆ อ้าๆ ของแกไง นังแมงมุมยักษ์”
คำฝายกับกำปุ้งจะปรี่เข้าหากัน
“ไม่รู้อะไรจริง ก็เงียบซะบ้าง หรืออยากปากแตกก่อนหน้าหนาว”
เนื้อนางกำหมัดจ้องเอาเรื่องรัญจวน ยังไม่ทันซัดกัน สร้อยฟ้าก็วิ่งหน้าตื่นมาส่งเสียงดังบอกทุกคน
“เค้าว่าหนานไตรทะเลาะกับแสงคำเรื่องขนไม้”
“ทะเลาะกับพวกควาญ หนานไตรมันจะอยู่ไม่ได้นะ” รัญจวนว่า
เนื้อนาง กับคำฝายมองหน้าสบตากันแล้วลุกออกไปทันที
กำปุ้งจีบปากเสียดสีไล่หลัง “ตายแล้ว พอพูดถึงอดีตเจ้าบ่าว มันก็แล่นไปหา”
“รีบไป ชาวบ้านตีกัน มันเรื่องของเรา”
รัญจวนวิ่งนำ กำปุ้ง สร้อยฟ้าตาม และมีบรรดาชาวบ้านวิ่งตามออกไปด้วยความอยากรู้
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดนั้น หนานไตรยืนตรงข้ามแสงคำ หมื่นหล้า อิน กับควาญช้างทุกคนมองหนานไตรด้วยสายตาสงสัย เมื่อหนานบอกจะไม่ใช้งานควาญช้าง เนื้อนาง คำฝายวิ่งมาเห็นสองฝ่ายยืนประจันหน้ากัน
“ข้องใจกันมากนักเหรอ ทำไม ช้างป่วย ผมก็จะเอารถบรรทุกขนไม้ออกไป ไม่เห็นลำบากตรงไหน ถึงยังไงเราก็ต้องส่งไม้ให้ตรงเวลา”
รัญจวนวิ่งนำสร้อยฟ้า กำปุ้งกับชาวบ้านที่พากันตามมาดูเหตุการณ์ ทุกคนพากันมองหนานไตรที่ยืนเผชิญหน้าแสงคำ
“ทำอย่างนี้ อีกหน่อยก็ให้รถมันมาลากไม้แทนช้างเลยสิวะ” แสงคำว่า
ชาวบ้านพากันฮือฮา หนานไตรยังยิ้ม
“อย่าหาเรื่องน่ะ แสงคำ ฉันไม่ได้พูดเรื่องไล่ควาญช้างสักหน่อย” หนานไตรจ้องตาแสงคำ “ฉันกำลังแก้ปัญหาในฐานะผู้จัดการ เราไม่จำเป็นต้องใช้รถเลย ถ้าพวกนายดูแลช้างให้ดีกว่านี้”
แสงคำจ้องตาตอบ “แกคิดว่าฉันทำงานไม่ดี”
“ใช่หรือไม่ใช่ นายรู้อยู่แก่ใจ แสงคำ”
ทุกคนมองการเผชิญหน้าของหนานไตรกับแสงคำอย่างหายใจไม่ทั่วท้อง
หมื่นหล้าตัดบทขึ้น “เอาละ แยกย้ายกันได้แล้ว เร่งทำงาน”
รัญจวนเซ็ง “อะไร มันต้องมีแลกกันสักหมัดสองหมัด”
“เดี๋ยวก่อนครับทุกคน ไหนๆ ก็มารวมกันที่นี่แล้ว ผมมีเรื่องจะบอก”
ทุกคนมองหนานไตรเป็นตาเดียว
คำฝายกระซิบถามเนื้อนาง “จะไล่อ้ายแสงคำหรือเปล่า”
“ไม่หรอก หนานไตรไม่ทำแบบนั้น” เนื้อนางมั่นใจ
คำฝายมองเหล่ “หืม รู้ใจไปซะหมด หมั่นไส้นะยะหล่อน”
เนื้อนางมองค้อนคำฝาย แล้วมองไปที่หนานไตร
หนานไตรหันมองทุกคนด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“ผมเห็นพวกเราขยันทำงานกันตลอด ผมอยากขอบใจทุกคน อยากให้พวกเราได้มีความสุขกันเล็กๆ น้อยๆ ก็เลยคิดอยากจะจัดงานประกวด ธิดาปาง ขึ้น”
กะเทยกำปุ้งเนื้อเต้น ปากสั่น ยกมือ ร้องกรี๊ดด “อ๊าย... ชั้น...ชั้นประกวดคนแรก”
สร้อยฟ้าเอาด้วย “ชั้นคนที่สอง”
สาวคนงานในปางรีบหันมาคุยกันสีหน้าตื่นเต้น หนานไตรมองไปทางเนื้อนาง
“ทุกคนมีสิทธิ์เข้าประกวดนะครับ มีรางวัลนิดๆ หน่อยๆ ให้พอได้ชื่นใจ”
“ชั้นจะต้องได้รางวัลธิดาปาง เพราะชั้นงามกว่าใคร” รัญจวนเชิดหน้า
คำฝายหมั่นไส้ “ป้าๆ อายุหนังหน้าเกินหรือเปล่า”
รัญจวนค้อนขวับ หมื่นหล้ามองหนานไตรอย่างแปลกใจ หนานไตรยิ้มให้
“ผมขอเชิญหมื่นหล้าเป็นกรรมการด้วยนะครับ”
หนานไตรยิ้มมองไปที่เนื้อนาง ขณะที่เนื้อนางมองตอบด้วยแววตาสงสัย
สองสาวอยู่ในห้องเรียน เวลานี้ เด็กๆ กำลังคัดลายมือ เนื้อนางมองคำฝายด้วยสายตายังคาใจไม่คลาย
“หนานไตรเค้านึกสนุกอะไรถึงจะประกวดธิดาปาง”
“ตั๋วจะคิดเล็กคิดน้อย คิดมากไปทำไม หนานไตรเค้าก็คงอยากให้เราลืมเรื่องเศร้าๆ น่ะสิ”
คำฝายหรี่ตามองเนื้อนาง แล้วจับหมุนไปรอบๆ
“เนื้อนาง...พี่จะส่งตั๋วเข้าประกวด
“ไม่นะ ไม่เอา ฉันไม่ประกวด”
เนื้อนางส่ายหน้าดิก ไม่ยอมท่าเดียว
หนานไตรเดินขึ้นเรือนสำนักงานมา มีม่อนดอยบ่นตามหลัง
“นี่แกสบายใจขนาดจัดงานประกวดธิดาปางเลยเหรอวะ หนานไตร เรื่องไม้หาย แกยังไม่จัดการเลย
หนานไตรยิ้ม “จะเครียดไปทำไมล่ะ”
“ไอ้หนานไตร ไหนว่าแกมาเป็นผู้จัดการ หรือว่ากลัวพวกแสงคำ” ม่อนดอยฉุนสุดขีด
“หน้าอย่างฉัน ดูเหมือนคนกลัวอะไรด้วยเหรอ”
“ฉันไม่เข้าใจแกเลยว่ะ”
“ใจเย็นๆ ม่อนดอย งานประกวดธิดาปางจะทำให้ฉันจับตัวไอ้คนขโมยไม้ของเรา”
ม่อนดอยฟังแล้วยิ้มออก หนานไตรสายตามีแผน
พ่อเลี้ยงอินถานั่งอยู่บนรถเข็น ที่วันดีกำลังเข็นมานั่งรับลมที่ระเบียงบ้านหิมวัต พ่อเลี้ยงหน้าตาสดชื่นขึ้นที่ได้ออกมานอกห้อง แม่นายศรีวัลลาเดินมาด้านหลัง ถามเสียงขุ่นไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ใครใช้ให้แกพาพ่อเลี้ยงออกมานอกห้อง วันดี”
แม่นายก้าวมายืนต่อหน้าอินถา กับวันดี
“หมอเปิ้นสั่งไว้เจ้า”
อินถามองแม่นายอย่างเกลียดชัง
“แกคงอยากเห็นฉันนอนแห้งตายอยู่ในห้องมากสินะ ศรีวัลลา”
“ก็ยังดีกว่าออกมานอนตายข้างนอกให้เป็นที่สมเพช ทุเรศนัยน์ตา รู้ตัวว่าหมดประโยชน์ ก็ไม่น่าจะยื้อสังขารตัวเองไว้นะ พ่อเลี้ยงอินถา”
วันดีตกใจกับคำพูดแม่นาย ศรีวัลลาไม่กลัวเกรง เข้ามาจ้องหน้าอินถา
อีกด้านดาวเด่นเดินผ่านเห็น พอเห็นก็รีบหลบฟังทันที
อินถายิ้ม “ฉันยังตายไม่ได้ ฉันต้องอยู่เห็นความยิ่งใหญ่ของ ณไตร หลานรักของฉัน”
“แกมันบ้า พ่อเลี้ยงอินถา หลงอยู่แต่เรื่องทำไม้คร่ำครึของแก ลูกชายชั้นไปเรียนถึงอังกฤษ เค้าควรจะกลับมาเชิดหน้าชูตาอยู่ในวงสังคม ไม่ใช่ไปหมกตัวอยู่ในป่า ทั้งกันดาร ทั้งเสี่ยงอันตรายนั่น เพราะแกคนเดียว แกบังคับให้ณไตรไปทำงานในปาง” ศรีวัลลาด่าว่า
“ฉันกำลังสอน ณไตร ให้รู้จักชีวิต รู้จักทำงาน รู้จักรักษามรดกของตระกูล ไม่ใช่ทำตัวสุขสบาย เอาแต่นั่งกินนอนกินบนกองสมบัติของฉัน” อินถาว่า
“ก็ธรรพ์ไง แกก็สอนธรรพ์ไปสิ แกมีหลานชายสองคนนะ ทำไมต้องเป็นณไตร”
ศรีวัลลาขึ้นเสียงใส่ วันดีมองพ่อเลี้ยงอย่างเป็นห่วงว่าอาการจะกำเริบ อินถาจ้องสะใภ้ไม่มีความเกรงกลัว
“ฉันมีหลานชายคนเดียว ณไตร เท่านั้น! คนอื่นฉันไม่นับ”
วันดีมองพ่อเลี้ยงด้วยสีหน้าตกใจ ดาวเด่นที่แอบฟัง นิ่วหน้างุนงง
ศรีวัลลาจ้องอินถาด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พ่อเลี้ยงสู้สายตาแม่นาย
“แกมันลำเอียง คอยดูนะ ถ้าณไตร ลูกชายชั้น เป็นอะไรไป” ศรีวัลลาก้มลงใกล้ขู่สียงต่ำๆ “ฉันจะเผาปางนั่นต่อหน้าแก จะรอดูแกหมดลมหายใจ ตายไปพร้อมๆ กับซากปางไม้”
แม่นายศรีวัลลาสะบัดหน้า หันหลังเดินไป ดาวเด่นรีบหลบออกไปก่อนที่แม่นายเดินผ่าน
แม่นายเดินเร็วรี่ออกไป วันดีมองตามแม่นายด้วยสายตาหวาดกลัว
ไม่นานนักดาวเด่นที่เดินหลบมาอีกมุมของบ้าน สีหน้าวุ่นวายใจ เป็นห่วงพี่สาว
“พี่แขนะพี่แข รู้หรือเปล่าว่าจะมาเป็นสะใภ้บ้านผีสิง คนครอบครัวเดียวกันแท้ๆ ยังคิดจะฆ่ากันเอง”
อินถานิ่ง สีหน้าไม่ค่อยดี วันดีย่อตัวเข้ามาใกล้ สายตาเป็นห่วง
“พ่อเลี้ยงสีหน้าบ่ดี วันดีไปเอายาให้ก่อนนะเจ้า”
“ไม่ต้อง ฉันไม่ตายง่ายๆ หรอกวันดี ฉันต้องอยู่ขวางนังศรีวัลลาให้ถึงที่สุด”
วันดีมองอารมณ์อินถาแล้วพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น
“คุณธรรพ์เปิ้นก็น่าสงสารนะเจ้า ไม่ได้ไปไหน ต้องคอยอยู่ดูแลรับใช้ ตามคำสั่งแม่นาย ทั้งๆ ที่เธอก็จบเมืองนอกเหมือนคุณณไตร แต่ก็ไม่เคยได้ทำงานแสดงฝีมือ”
“ฉันไม่นับว่าไอ้ธรรพ์มันเป็นหลาน มันก็แค่กาฝากของตระกูลฉัน น้ำหน้าอย่างไอ้ธรรพ์ไม่สมควรจะเสนอหน้าอยู่ในบ้านนี้ซะด้วยซ้ำ”
วันดีมองอินถาที่หน้าตาโกรธจัด หอบหายใจแรง
“ปางไม้คือสมบัติที่ฉันรักที่สุด สายเลือดของฉัน ณไตรคนเดียวเท่านั้น ที่ต้องเป็นเจ้าของอาณาจักรหิมวัต”
วันดีรับฟังพ่อเลี้ยงอินถา แล้วเหลียวมองไปไกลลิบตา ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ซ่อนความรู้สึกภายในทั้งหมด
ฝ่ายแสงคำยืนโกรธกริ้วเคียดแค้นหนานไตรอยู่ในปาง มีอินอยู่ใกล้ คอยพูดยุ
“ไอ้หนานไตร มันจงใจลองดีกับแก”
“มันไม่มีทางชนะข้า ยังมีเวลา ข้าจะสั่งสอนให้มันรู้ ตัดไม้คราวหน้าถ้าไม่มีควาญทำงานให้สักคน มันก็หมดปัญญาหาเงินมาจ้างรถบรรทุก”
“ปล่อยไว้นานไม่ได้นะ แสงคำ ที่ไอ้หนานไตรมันจัดงานธิดาปาง เพราะมันกำลังเอาใจให้คนทั้งปางเข้าข้างมัน”
แสงคำฟังอินด้วยความเกลียดชังหนานไตรมากขึ้นทุกที
โรงครัวได้กลายเป็นเวทีประกวดสาวงามไปแล้ว รัญจวนซ้อมย่อตัวรับมงกุฎ ขณะที่กะเทยกำปุ้งกำลังซ้อมเดิน ส่วนสร้อยฟ้าซ้อมโบกมือ คนงานพากันมองขำ
สามสาวหันมาเห็นกัน ก็เชิดใส่กัน
“งานนี้เค้ามีไว้ให้แต่คนสวยๆ กำปุ้งแกไม่ต้องสมัครเข้าประกวดหรอก”
“เสียใจค่ะ คุณพี่ กำปุ้งรู้ตัวค่ะว่า กำปุ้งเกิดมาเพื่อเวทีนี้”
“เค้าประกวดธิดาปาง ไม่ใช่ ธิดาช้าง โอ๊ะ รึจะให้ฉันช่วยมั้ย สากกะเบือทุบสลายไขมัน ลองมั้ยอีนี่”
คนงานหัวเราะ กำปุ้งเชิดใส่รัญจวน
ฟากเนื้อนางเดินคุยมากับคำฝาย ที่เคี่ยวเข็ญให้ประกวดธิดาปางไม่เลิก
“ตั๋วต้องเข้าประกวดนะ เนื้อนาง ตั๋วต้องได้เป็นธิดาปางแน่ๆ”
“ไม่เอา ฉันไม่ชอบ ทำไมพี่คำฝายไม่ประกวดซะเองล่ะ”
“เค้าประกวดคนสวย ไม่ใช่ประกวดคนมีเสน่ห์ เก๋ไก๋เยี่ยงพี่”
เนื้อนางยิ้มให้กำลังใจ “พี่คำฝายของฉันสวย ตาโต ยิ้มเก่ง ประกวดเถอะนะ เนื้อนางกับตาจะเชียร์พี่คำฝายเอง”
“ซึ้งมากน้อง ทั้งปางมีคนเชียร์ตั้ง 2 คน...เอ่อ..แต่ว่า...จริงเหรอ ฉันสวยเหรอ” คำฝายเคลิ้ม ชักลังเล
เนื้อนางเชียร์ใหญ่ “สวยที่สุดจ้ะ สวยกว่าพวกรัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้าแน่ๆ”
“เออ จริงด้วย พี่สวยกว่านังสามตัวนั้นแน่นอน เอาวะ พี่จะประกวดธิดาปาง”
เนื้อนางยิ้ม “เนื้อนางเป็นพี่เลี้ยงให้จ้ะ”
คำฝายทำหน้าเคลิ้มฝัน “คำฝาย ธิดาปางงามที่สุด งามสามดอยแปดดอย”
สองคนหัวเราะคิกคัก แต่พอหันกลับมา เนื้อนาง กับคำฝายต้องชะงัก
“เย้ย...นี่ก็สวยจนหมาหอนกลางวันแสกๆ โผล่มาได้ทุกที่ทุกเวลา”
เป็นแขไขเดินมาหยุดมองธรรพ์อยู่ข้าง
“นี่มันเวลาทำงาน แต่เธอสองคนกลับมาเดินลอยชาย”
“เรากำลังจะไปทำงานค่ะ”
เนื้อนางมองสบตาคำฝายไม่ให้พูดอะไรอีก
คำฝายคันปาก ทนไม่ไหว ยิ้มลอยหน้าไปทางแขไข
“มาเดินตามหาผู้จัดการหนานไตรเหรอคะ คุณแขไข”
“ใช่ ฉันมีงานต้องสั่งหนานไตร”
“สั่งแล้วสั่งอีก สั่งจัง ท่าทางงานจะเยอะท่วมหัว ทำไม่หมดสักที”
เนื้อนางรีบดึงคำฝายจะออกไป แขไขมองตาม แล้วพูดขึ้นปลายเสียงเยาะ
“ดีใจด้วยนะเนื้อนางที่ได้แต่งงาน”
เนื้อนางไม่ทันตอบ คำฝายหันมาตอบแทน
“วุ๊ย สูมาเต๊อะเจ้า เนื้อนางไม่ได้แต่งงาน ยังสาว ยังสวย และโสดมากเจ้า”
ธรรพ์รีบตัดบท “เธอสองคนจะไปทำงานอะไร ก็ไปเถอะ”
เนื้อนางรีบดึงคำฝายออกไป แขไขหันขวับมามองธรรพ์
“พี่ธรรพ์รู้เรื่องเนื้อนางไม่ได้แต่งงาน แต่ไม่บอกแข”
“คือพี่ยังไม่มีโอกาสจะบอกน่ะครับ”
แขไขสะบัดหน้าพรืดเดินหนีไป ธรรพ์มองแล้ววิ่งตาม
“คุณแข อย่าโกรธพี่เลยนะครับ”
ส่วนในบ้านหิมวัตเวลานี้ ดาวเด่นพนมมือไหว้แม่นาย มีจันตา บัวผุดมองอยู่ด้านหลัง วันดียืนใกล้ดาวเด่น
“ดาวลานะคะ”
แม่นายเสียงเรียบเย็น “รีบไป แล้วไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก ไม่ต้องห่วงพี่สาวเธอ เราดูแลแขไขได้”
ดาวเด่นมองไป เห็นจันตาส่งยิ้มเยาะมา ดาวเด่นแกล้งทำเสียงอ่อยๆ
“ถึงแม่นายไม่สั่ง ดาวก็ไม่อยากกลับมาเหยียบที่นี่หรอกค่ะ” เด็กสาวพึมพำในลำคอ “กัดกันเสียขนาดนั้น”
จันตาได้ยินไม่ถนัด “พูดอะไรน่ะ”
“รำพึงรำพันกับต้นไม้ กับใบหญ้า สบายใจดีออก”
“มิน่าอยู่ซะนาน บ้านช่องไม่กลับ”
“ที่อยู่นาน ...ก็จำใจ เพราะเป็นห่วงพี่สาว”
“เราก็” จันตาเน้นคำ “จำใจ ต้อนรับเหมือนกัน แต่เดี๋ยวก็จะม่วนอก ม่วนใจ๋ สบายหูกันแล้ว”
แม่นายรำคาญขึ้นเสียงตัดบท “ส่งแขก จันตา”
ดาวเด่นยิ้ม “ไม่ต้องส่งหรอกค่ะ คนกันเอง อีกหน่อยก็เป็นญาติกันแล้ว”
“ต้องส่งค่ะ ส่งแล้วก็เอาน้ำมนต์รดทั้งบ้าน โบราณเปิ้นว่า ไล่เสนียด ปัดรังควาน”
ดาวเด่นย้อน “งั้นจันตาอาบน้ำมนต์ก่อนดีกว่ามั้ย เอ๊ะ ไม่ได้สินะ พอโดนน้ำมนต์ จันตาก็คงร้องกรี๊ด กรี๊ด กรี๊ด”
“มันหาว่า คุณแม่บ้านเป็นผีก๊ะ” บัวผุดว่า
จันตาถลึงตาใส่บัวผุด “ใครใช้ให้แกอ้าปากพ่นลมเหม็นๆ ออกมาฮะ นังบัวผุด”
“รีบไปเถอะค่ะ คุณดาว รถรออยู่”
วันดีเร่ง ไม่อยากให้มีเรื่องกัน ดาวเด่นยังหันไปยิ้มให้แม่นาย
“ไปนะคะ แม่นาย”
“ฝากไปบอกคุณหญิงมาลัยด้วย งานแต่งงานแขไขไม่จำเป็นต้องให้เธอมา”
“ดาวไม่มาไม่ได้หรอกค่ะ เผื่อวันนั้นจะมีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นยิ่งกว่างานแต่งพี่แขอย่างเช่น...” ดาวเด่นทอดเสียง มองแม่นาย “มีการฆ่าชายแก่ประมุขของบ้าน แย่งมรดกก้อนโต ใครคือทายาทที่แท้จริง เหมือนในนิยายสิบสตางค์ไงคะ”
ดาวเด่นหัวเราะยั่ว แม่นายตาลุกวาว
“ออกไปให้พ้นบ้านชั้น”
วันดีรีบดึงดาวเด่นออกไป ดาวเด่นหัวเราะชอบใจ จันตาเต้น
“จันตาขอไปส่งมันให้ถึงอกถึงใจหน่อยนะเจ้า”
จันตาเดินออกไป บัวผุดตามทันที แม่นายมองตามดาวเด่นด้วยสายตาเกลียดชัง
วันดีพาดาวเด่นมาที่รถ ซึ่งคนขับจอดรออยู่ จันตา และบัวผุดเดินเร็วรี่ตามมาเอาเรื่อง
“คุณดาวเด่น”
ดาวเด่นหันมามองไม่กลัวแม้แต่น้อย จันตาถลาเข้ามาประชิดอย่างมุ่งร้าย วันดีห้ามทันที
“อย่านะ จันตา คุณดาวเด่นเธอเป็นแขก”
จันตาไม่สนผลักวันดี บัวผุดเข้ามาขวางวันดีไว้
“แขกพิเศษก็ต้องส่งให้จำไปจนวันตาย”
จันตาจับข้อมือดาวเด่นบีบแน่น
“ไม่เคยมีใครกล้าเถียงแม่นาย”
วันดีห้าม “จันตา อย่าทำ คุณดาวเด่นเธอเจ็บ”
จันตาด่า “ขี้ข้าอย่าสะเออะ”
“จันตาก็ขี้ข้าเหมือนกันไม่ใช่เหรอ ระดับหางแถวด้วย”
ดาวเด่นด่าจับข้อมือจันตามองสู้ตา จันตาจิกเล็บลงในข้อมือดาวเด่น
“อย่าบังอาจกับแม่นาย ไปแล้วก็ไม่ต้องกลับมาอีก”
ดาวเด่นเจ็บ แต่กัดฟันทน
“ฉันคงจะคิดถึงแม่นายกับทาสผู้ซื่อสัตย์อย่างจันตามากเลยนะ”
ดาวเด่นใช้อีกมือล้วงกระเป๋า หยิบกล่องกระดาษออกมาส่งให้ จันตาผงะ แปลกใจ
“รับไปสิ ของขวัญ ฉันอยากขอบใจที่จันตาดูแลฉันอย่างดี”
บัวผุดปรี่เข้ามาจะรับแทน แต่จันตาไม่ยอม ปล่อยมือดาวเด่น หันมาตีมือบัวผุด
“ของข้า”
“ขอบคุณนะคะ ป้าวันดี หนูไปก่อน”
ดาวเด่นไหว้วันดี แล้วรีบขึ้นไปนั่งรถ
จันตาแกะกล่องของขวัญ เห็นเป็นแมลงสาปวิ่งพล่านทะลักออกมา 10 กว่าตัว จันตากับบัวผุดกรี๊ดสนั่น โยนกล่องทิ้งแทบไม่ทัน
ดาวเด่นอยู่ในรถ ยื่นหน้ามาหัวเราะ
“คราวหน้า จะเปลี่ยนเป็นน้องงูเห่า ให้สมกับปากของจันตา ที่เห่าไม่มีกาลเทศะ ปากบอนไปเรื่อยๆนะจ๊ะ” ดาวเด่นหันไปสั่งคนขับ “ไปเลย เร็วๆ”
วันดีมอง รถพาดาวเด่นออกไปอย่างเร็ว จันตาเต้นด้วยความโกรธสุดขีด
“อีเด็กผี อีเด็กเปรต เจอคราวหน้าแม่จะบีบคอให้ตายคามือ”
ดาวเด่นนั่งยิ้มสะใจมาในรถ ด้านหลังคือกระเป๋าหลายใบ ดาวเด่นมองทางด้านนอกแล้วบอกคนขับ
“ช่วยแวะโรงพยาบาลก่อนนะ ฉันต้องไปเอายา คุณหมอเทพทัตนัดเอาไว้”
คนขับพยักหน้า ดาวเด่นยิ้มออกมาแววตาเจ้าเล่ห์
แขไขมองหนานไตรที่ถูกตามตัวมาพบบนเรือนรับรองแขก พอเห็นหน้าหล่อนก็ใส่เป็นชุด ธรรพ์ได้แต่ยืนฟังไปด้วย
“จงใจปิดเรื่องเนื้อนางยังไม่แต่งงานเพราะกลัวแขจะตามมาใช่มั้ย ยังไงแขก็มาค่ะ แขต้องมาทำหน้าที่ครูของเด็กๆ แขเป็นคนรับผิดชอบหน้าที่”
หนานไตรย้อนถามเนื้อเสียงประชด “สบายใจหรือยังครับ”
“ไม่ต้องประชดค่ะแล้วก็ไม่ต้องไล่ด้วย แขไม่กลับง่ายๆ แขรับปากแล้วว่าแขจะเป็นครู เป็นนางฟ้าของเด็กๆ ที่นี่”
“ยังไม่ต้องกลับหรอกครับ จริงๆ อยากจะให้อยู่เสียด้วยซ้ำ”
ธรรพ์กับแขไขงงที่หนานไตรไม่ไล่เหมือนทุกครั้ง
หนานไตรอธิบาย “คือเรากำลังจะมีงานประกวดธิดาปาง ผมอยากให้คุณแข” หนานไตรมองน้องชาย “กับนายนะ ธรรพ์ อยู่ช่วยจัดงานนี้ให้หน่อย”
ธรรพ์งง “ธิดาปาง พี่น่ะนะ เป็นคนจัด นึกสนุกอะไรขึ้นมาครับ”
“ก็ที่นี่มีแต่เรื่องรำคาญใจ หนวกหูมาหลายครั้งแล้ว ฉันก็อยากให้คนงานเค้าสบายใจบ้าง”
หนานไตรหันไปมองแขไข
“หวังว่าคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงคุณแขนะครับ”
“งานเล็กๆ แค่นี้ แขทำได้ค่ะคอยดูแล้วกัน มันจะต้องเป็นงานที่สนุกที่สุด”
แขไขยิ้มเชิด มุ่งมั่นมาดหมายว่าจะทำให้ณไตรประทับใจได้
ทางด้านดาวเด่นอมยิ้ม หัวเราะหัวใคร่ นั่งรถมากับเทพทัตที่ขับแล่นมาตามถนนมุ่งหน้าสู่ปางหิมวัต
“สนุกอยู่คนเดียวเลยนะคุณดาว” หมอสัพยอก
“โธ่ ก็พี่หมอเป็นสุภาพบุรุษขี่ม้าขาวคนเดียวที่จะช่วยดาวได้ ขืนพี่หมอไม่ไปปางไม้กับดาว ดาวก็ต้องถูกส่งขึ้นรถไฟกลับบ้าน”
ดาวเด่นเกาะแขนเทพทัตประจบเอาใจแบบเด็กๆ
“คุณแขไขฆ่าพี่แน่ๆ นี่ยังไม่นับแม่นายนะ”
“ไม่ฆ่าหรอกค่ะ เพราะชีวิตพี่หมอสำคัญกับทุกคน นึกว่าช่วยเด็กตาดำๆ นะคะ”
ดาวเด่นกะพริบตาถี่ๆ ออดอ้อนเทพทัตที่ได้แต่ยิ้ม
“ก็นั่งมาด้วย ยังไงก็ต้องช่วยแล้วล่ะครับ”
“พี่หมอน่ารักที่สุดเลยค่ะ”
ดาวเด่นเอาหัวซบลงที่แขนหมอประจบ เทพทัตยิ้มมองด้วยความเอ็นดู
เย็นลง หนานไตรเดินขึ้นมาเรือนสำนักงาน เห็นเนื้อนางกำลังแปลเอกสาร คำฝายนั่งพิงเสาหลับ
หนานไตรยิ้มเดินเข้ามาหา “เหนื่อยมั้ย เนื้อนาง”
เนื้อนางเงยมองหนานไตรนิดเดียวแล้วก้มหน้าทำงานต่อ
“ไม่เหนื่อย”
“เป็นอะไร โกรธผมเหรอ”
“ไม่โกรธ”
“ไม่โกรธแล้วทำไมไม่ยิ้มให้ผมเลย”
คำฝายแกล้งหรี่ตามามอง แล้วอมยิ้ม หลับต่อเปิดโอกาสให้หนานไตรคุยกับเนื้อนาง
“ไม่ต้องพูดเล่น ไปทำงาน เดี๋ยวคุณแขไขเธอจะดุเอา หาว่าเราทำงานให้เธอไม่คุ้มเงินเธอ”
หนานไตรยิ้ม “อ๋อ รู้แล้ว... นึกว่าหึงใคร”
เนื้อนางร้อนตัว “เนื้อนางไม่ได้หึงใครทั้งนั้น เราเป็นลูกจ้างเค้า ก็ต้องทำงานให้เต็มที่”
“คร๊าบ ผมจะทำตามที่เนื้อนางบัญชาทุกอย่าง” หนานไตรยิ้ม “เนื้อนาง คุณประกวดธิดาปางด้วยหรือเปล่า”
เนื้อนางลุกขึ้นเดินมาหยิบเอกสารดู หนานไตรเดินมาใกล้
“ไม่ประกวด”
หนานไตรเข้ามาประชิด “ประกวดด้วยสิ นะครับ แต่อย่าแต่งตัวชะเวิบชะวาบ แต่งตัวให้มิดชิด แต่งหน้าน้อยๆ ยังไงคุณก็ชนะอยู่แล้ว”
เนื้อนางประชด “ตกลงจะให้ฉันประกวดธิดาปาง หรือว่าไปถือศีล ห้ามจัง”
“ก็ผมหวง”
เนื้อนางมองหนานไตร ทั้งอึ้งทั้งอาย
“ผมว่าผู้หญิงแต่งตัวเรียบร้อย ก็น่ารักอยู่แล้ว”
คำฝายทำท่าบิดตัวตื่น
“คุยอะไรกัน รบกวนคนนอน ได้ยินว่าประกวดๆ”
“คำฝายเป็นพี่เลี้ยงให้เนื้อนางประกวดธิดาปางด้วยนะ”
“เป็นพี่ล้งพี่เลี้ยงอะไร หนานไตร แกนี่ตาต่ำยิ่งกว่าตาตุ่มเลยนะ” คำฝายชี้เนื้อนาง “นั่นน่ะพี่เลี้ยง” แล้วชี้ตัวเอง “นี่น่ะ ธิดาปาง”
คำฝายลุกเดินโพสท่า โบกมือแบบนางงาม
“คำฝายน่ะเหรอจะประกวด”
เนื้อนางบอก “ใช่ เราจะส่งพี่คำฝายไปสวมมงกุฎ”
คำฝายเชิด “รางวัลน่ะมีอะไรบ้าง เหมาะสมกับตำแหน่งธิดาปางสวยๆ อย่างฉันหรือเปล่า”
“ก็ไม่รู้ว่าเหมาะสมพอหรือเปล่า เมื่อกี๊เห็นคุณแขไขบอกว่าจะให้รางวัลร้อยนึง”
หนานไตรอมยิ้มขำ มองคำฝายกับเนื้อนาง อย่างอารมณ์ดี
อ่านต่อหน้า 3
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 5 (ต่อ)
ข่าวเงินรางวัลหนึ่งร้ายบาทกระจายมาถึงในโรงอาหาร รัญจวน สร้อยฟ้า และกำปุ้งตาโตเท่าไข่ห่าน สามคนร้องประสานเสียง
“ร้อยนึง”
คนงานหญิงอื่นๆที่ได้ยินพากันดีใจ ตื่นเต้น
กำปุ้งกรี๊ด “โอ๊ย เจ้าป่าเจ้าเขาเจ้าขา ถ้ากำปุ้งได้เงินร้อย จะแก้ผ้ารำถวายแก้บน 7 คืน 10 คืนเลยเจ้าค่ะ”
คำฝายกับม่อนดอยยืนอยู่ตรงข้ามกลุ่มรัญจวน
“นังนี่ อุบาทว์กว่าใครในสามโลก สงสารเจ้าป่าเจ้าเขาว่ะ” คำฝายเยาะ
รัญจวนเพ้อ “ได้ร้อยนึง ฉันจะเอาไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ ใส่ไม่ซ้ำกันเลยสักวัน”
สร้อยฟ้าไม่ยอม “ฉันต่างหากที่จะได้ร้อยนึง”
ม่อนดอยขัดขึ้น “ถามกรรมการตาถึงอย่างฉันก่อนดีกว่า”
กำปุ้งด่า “โธ่ไอ้ดำ ไอ้ตาถั่ว”
รัญจวนทำท่าเดินบิด แอ่น ลีลายั่วยวนเซ็กซี่
“พอได้ตำแหน่งธิดาปาง ฉันก็ไปประกวดนางสาวเชียงใหม่ แล้วก็ไปประกวดนางสาวไทย”
“ปลุกป้าแกด้วยนะ กำปุ้ง สงสารแก ฝันกลางวันแสกๆ” คำฝายมองสมเพช
“แน่นอนว่าตำแหน่งธิดาปางจะต้องเป็นใครไม่ได้ นอกจากกำปุ้ง ที่ได้คะแนนเป็นเอกฉันท์”
“ข้ามศพอีคำฝายไปก่อนเหอะ”
สร้อยฟ้าบอก “งั้นแกนอนลงเลย”
คำฝายถลึงตาใส่ “นังสร้อย อย่าแส่ สำหรับข้าไม่เอาดีทางความสวยซึ้งอยู่แล้ว”
“คงคิดจะส่งนังเนื้อนางประกวด เชอะ ฝ่าดงขาอ่อนของพวกเราไปให้ได้ก่อนเถอะ” กำปุ้งยิ้มเหยียด
สามสาวถกผ้าถุง โชว์ขาอ่อนอย่างมั่นใจ
“เสียใจ ไม่ใช่เนื้อนางโว๊ย เวทีนี้มีไว้สำหรับคนสวยไม่เหมือนใคร ไม่มีใครอยากเหมือนอย่างข้าต่างหาก”
รัญจวนเบ้ปาก “น้ำหน้าอย่างแกน่ะนะ จะประกวด”
ม่อนดอยบ่นบ้าออกมาเซ็งๆ “ตายๆๆๆ เวทีธิดาปางนี่มันเวทีรวมคนแปลกเหรอวะ”
คำฝายหันไปบิดหูม่อนดอย
“อย่างข้าสวยแปลก สะท้านสะเทือนใจชายโว๊ย”
“ที่จริงหนานไตรมาเป็นผู้จัดการนี่ก็ดีเนอะ ปางไม้เรามีอะไรใหม่ๆ สนุกกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”
รัญจวนเอ่ยขึ้น “ข้าล่ะสงสัยอย่างเดียว ว่าหนานไตรจะเป็นได้นานแค่ไหน”
“ไม่รู้ล่ะ ฉันอยากให้มีประกวดทุกปี ชั้นก็จะเชียร์ให้หนานไตรเป็นผู้จัดการปางมากกว่าไอ้แสงคำ” ม่อนดอยว่า
อินนั่งฟังเงียบๆ อยู่ตรงมุมหนึ่ง ยิ้มหยันในสีหน้าแววตาร้ายกาจ
ขณะเดียวกันแสงคำเดินมามอง เห็นเนื้อนางกลับถึงบ้านแล้ว และกำลังเก็บผ้าที่ตากแดดไว้ที่ราว เนื้อนางพอเห็นแสงคำ ก็ไม่อยากคุย หันหลังจะเดินเข้าเรือน แสงคำเดินตามมาถาม
“เนื้อนางไม่ได้ประกวดบ้าๆ บอๆ ตามไอ้หนานไตรมันใช่มั้ย”
“ทำไมล่ะ ฉันก็อาจจะอยากได้เงินรางวัล เงินตั้งร้อย ฉันจะเอามาให้ตา”
“อยากเดินให้ผู้ชายมาจ้องหรือไง”
“เราประกวดกันสนุกๆ ไม่มีใครคิดน่าเกลียดเหมือนที่อ้ายคิดหรอกนะ”
“ใช่สิ ไอ้หนานไตรมันทำอะไร ก็ดีไปหมด”
เนื้อนางพูดเหน็บ “หนานไตรเค้าดี เพราะเค้าตั้งใจทำเพื่อความสุขของคนทั้งปาง ไม่ใช่แค่ความสุขของตัวเอง”
เนื้อนางเก็บผ้าแล้วเดินขึ้นเรือนไป แสงคำยิ่งเจ็บใจที่เนื้อนางเห็นดีเห็นงามไปกับหนานไตร
บนเรือนสำนักงาน เย็นจวนค่ำ หนานไตรกำลังอธิบายแผนกับม่อนดอย
“คืนที่ประกวด เราจะให้ทุกคนมารวมตัวกันทั้งปาง”
“คนที่หายไป คือคนที่แกสงสัย”
“ใช่...ฉันแกล้งเหลือซุงไว้ให้พวกมันแอบเอาไปขายได้อีก คืนประกวดเป็นโอกาสดีถ้ามันจะติดต่อคนมาซื้อ”
“ถ้าเป็นแสงคำจริงๆ แกจะทำยังไง หนานไตร” ม่อนดอยอดกังวลไม่ได้
“ฉันละเว้นคนที่ทำผิดไม่ได้ ยังไงฉันก็ต้องทำตามกฎของที่นี่และกฎของบ้านเมือง”
ม่อนดอยมองอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ขณะที่หนานไตรแววตาเอาจริง
แสงคำนั่งอยู่บนแคร่หน้าเรือนพักคนงาน มีอินนั่งอยู่ใกล้
“หนานไตร มันตั้งใจประกาศตัวเป็นศัตรูกับข้าทุกอย่าง”
“มันจะหาทางบีบพวกเราออกไป”
“ไม่ใช่เรา ไอ้หนานไตรต่างหากที่ต้องพ้นไปจากปางนี้”
แววตาแสงคำวาววับ แค้นใจและโกรธเกลียดหนานไตรถึงขีดสุด
ที่เรือนรับรองแขกของปางไม้หิมวัตตอนนี้ หนานไตรกับธรรพ์มองดาวเด่นกับหมอเทพทัตที่มาถึง
“หมอครับ คราวนี้มาแปลกนะครับ มากับคุณดาว” หนานไตรทักด้วยสีหน้าแปลกใจ
“มากันเยอะๆ ก็สนุกดีน่ะครับ”
“สนุกตรงไหนล่ะคะ เดี๋ยวน้องดาวป่วย ก็ลำบากอีก” แขไขไม่ชอบใจนัก
“ดาวถึงต้องพาพี่หมอมาด้วย” ดาวเด่นบอก
เทพทัตมองหนานไตรอย่างเกรงใจ
“ฉันสงสารคุณดาวเค้าน่ะ กะว่าแค่มาส่ง เดี๋ยวก็ไป”
“อยู่ก่อนสิ หมอ ฉันจะให้แกเป็นกรรมการนางงาม”
เทพทัตฉงน “อะไรนะ ชั้น...กรรมการนางงาม คิดอะไรพิเรนทร์อีกวะ ณไตร”
“ท่าทางพี่หมอจะไม่ชอบ” ธรรพ์เย้า
“ทำไมไม่บอกก่อน จะได้ลางานเพิ่มอีกสามวัน” เทพทัตว่า
หนานไตรกับธรรพ์หัวเราะ ดาวเด่นหันไปถามแขไขด้วยแววตาอยากรู้
“ประกวดอะไรกันเหรอคะ”
ด้านเนื้อนางกับคำฝายกำลังเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่ๆ หมื่นหล้ามองแล้วยิ้มขำ
“ชุดนี้ก็ไม่สวย ชุดนั้นก็ไม่ดี ไม่มีชุดไหนเหมาะสำหรับธิดาปางอย่างฉันเลย”
หมื่นหล้าเหน็บขึ้น “ชุดสวยๆ มันก็ไม่น่าดูทั้งนั้น ถ้าเอ็งใส่”
คำฝายค้อน “แหม พ่ออุ๊ย ชมบ้างก็ได้ ฉันตั้งใจจะเอาเงินรางวัลมาให้เลยนะ”
“ให้มันชนะซะก่อนเถอะวะ นังขี้โม้”
“ไม่รู้ละ พวกป้ารัญจวนมันไปซื้อชุดกันถึงในเวียง แล้วจนๆ อย่างเราทำไงดีล่ะ”
เนื้อนางมองชุดแล้วหยิบซิ่นกับเสื้อมาจับคู่ใหม่
“เดี๋ยวเนื้อนางจะเอาชายซิ่นตัวนี้มาเย็บต่อกับซิ่นตัวนี้ แล้วก็แก้เสื้อ ปักดอกไม้เพิ่มไปหน่อย แค่นี้พี่คำฝายก็ได้ชุดใหม่เข้าประกวดแล้วจ้ะ”
“เนื้อนาง ตั๋วเก่งมาก พี่นึกไม่ถึงเลย ว่าแต่ สวยแน่นะ”
หมื่นหล้ายิ้ม “ทีนี้รู้หรือยัง คำฝาย ความงามมันอยู่ที่ปัญญา ไม่ใช่แค่หน้าตาอย่างเดียว”
เนื้อนางยิ้มชื่นเมื่อเห็นผู้เป็นตามองมายังตนด้วยความภูมิใจ
รุ่งเช้าวันงาน แขไขมองคนงานที่กำลังตกแต่งสนามให้เป็นเวทีประกวดย่อมๆ ธรรพ์สั่งคนงานขนโต๊ะ เก้าอี้มาตั้ง เทพทัตคอยช่วยดู
กำปุ้ง กับสร้อยฟ้ามองเทพทัตตาปรอย แขไขหันมาถามรัญจวน
“พวกเธอพร้อมจะแข่งหรือยัง ฉันขออย่างเดียว อย่าให้เนื้อนางเป็นคนชนะ”
“ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ คุณแขไขขา นังเนื้อนางมันไม่กล้าขึ้นมาเทียบความงามกับพวกเราหรอกค่ะ มันไม่ได้ประกวดงานนี้”
สร้อยฟ้าเสริมคำพูดรัญจวน “มันส่งนังคำฝายมา พวกเราฆ่ามันตายคาเวทีแน่ๆ ค่ะ”
แขไขยิ้มดีใจ กำปุ้งกะเทยดอยรีบออดอ้อน
“ถ้าคุณแขไขมีชุดสวยๆอยากจะให้กำปุ้งใส่ กำปุ้งก็ไม่เกี่ยงนะคะ”
“มาเลย ตามมาเลือกชุดเก่าๆ ของชั้นก็แล้วกัน”
แขไขเดินนำออกไป กำปุ้งรีบตาม ธรรพ์มองตามแขไข เทพทัตเห็นท่าทางแขไขก็พูดขึ้น
“คุณแขไขเค้าคงจะสนุกกับงานนี้เต็มที่เลยนะ”
“อะไรที่พี่ไตรต้องการ คุณแขเค้าเต็มใจทำทั้งนั้น” ธรรพ์ว่า
เทพทัตจ้องหน้าจับสังเกต “เฮ้ย นายพูดเหมือนอิจฉาพี่ชายเลยว่ะ”
ธรรพ์ได้ยินก็รีบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่แล้วครับ ผมไม่มีวันที่จะอิจฉาพี่ไตร ผมรักเคารพพี่ชายผมมากที่สุดนะครับพี่หมอ คุณแขเธอเหมาะกับผู้ชายเก่งๆ อย่างพี่ไตรมากกว่าผม”
“แล้วไอ้ณไตรมันคิดแบบนายหรือเปล่า คนอย่างมันต้องเลือกทุกอย่างด้วยตัวเองโดยเฉพาะเรื่องสำคัญอย่าง ผู้หญิงที่จะมาเป็นคนรัก”
เทพทัตพูดอย่างคนที่รู้จักเพื่อนดี ธรรพ์ได้แต่มองตามแขไขไปด้วยแววตาเป็นประกาย ทั้งรักทั้งชื่นชม
เนื้อนางสะบัดเสื้อกับซิ่นที่ซักเตรียมให้คำฝายใส่ประกวด ขึ้นตากที่ราว คำฝายมองปลื้มปริ่ม
“พอแก้แล้วก็ง้ามงามเนอะ
“เนื้อนางทำสุดฝีมือ เพื่อพี่คำฝาย ธิดาปางคนสวย”
คำฝายซ้อมย่อตัว เนื้อนางยิ้มขำ
“อยากให้ถึงคืนนี้เร็วๆ จัง เนื้อนางอยากเห็นตอนที่พี่คำฝายชนะพวกรัญจวน”
“ไม่ต้องห่วง พี่จะทำให้ตั๋วสมหวังเอง”
เนื้อนาง กับคำฝายเดินเข้าเรือนไป
โดยไม่ทันเห็นกำปุ้งที่แหวกพุ่มไม้ออกมา มองไปที่เสื้อกับซิ่นที่ตากอยู่ด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
“ฝันค้างไปเถอะ นังคำฝาย”
กำปุ้งค่อยๆ ย่องเข้าไปดึงเสื้อกับซิ่นออกมาจากราวทันที
เสื้อกับซิ่นของคำฝายที่เนื้อนางเตรียมไว้ ถูกแขไขเอากรรไกรตัดจนขาดเป็นริ้ว แล้วทิ้งลงพื้นเรือน ด้วยสายตาสะใจ
“ทีนี้นังคำฝาย พวกเนื้อนาง มันก็จะมีแต่ชุดซอมซ่อใส่ขึ้นประกวด” กำปุ้งบอกสีหน้าระรื่น
แขไขหยิบเสื้อผ้าสวยๆของตัวเอง 3-4 ชุดส่งให้กำปุ้ง
“รางวัล ฉันให้”
กะเทยดอยไหว้ชดช้อย แล้วรีบรับเสื้อผ้ามาจากแขไข ดีใจสุดๆ
แสงคำเดินมาหยุดตรงสะพานไม้ริมบึง มองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิด หนานไตรเดินตามมา แสงคำพอเห็นก็บันดาลโทสะ พุ่งเข้ามากระชากคอหนานไตร
“อย่าคิดว่าจัดงาน แล้วคนทั้งปางจะรักแก”
“อิจฉาเหรอ แสงคำ อิจฉาที่ฉันทำดี ในขณะที่แกมีแต่ความโกรธ ความหลงผิด” หนานไตรเย้ยหยัน
“มึง”
แสงคำชก หนานไตรตาไวหลบทัน แล้วพลิกตัวกดแสงคำติดพื้น มองจ้องอย่างไม่เกรงกลัว
“ถ้าคิดจะกลับตัว กลับใจก็ทำซะตอนนี้ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน ไม่ให้อภัยแกอีก”
หนานไตรพูดเป็นนัย แล้วผลักแสงคำกลิ้งไปกับพื้น แสงคำหันขวับมองมาจ้องด้วยแววตาดุดัน หนานไตรหันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น แสงคำมองตามอย่างเจ็บแค้น
บ่ายคล้อย ดาวเด่นมาสอนหนังสือที่โรงเรียนแทนแขไข บอกเด็กๆ ที่กำลังเก็บกระเป๋ากลับบ้านกัน
“พรุ่งนี้มาเรียนอีกนะ เอาการบ้านมาให้พี่ตรวจด้วย”
เด็กพากันไหว้ดาวเด่นแล้ววิ่งออกไป ดาวเด่นเห็นเด็ก 2-3 คนท้าย ก็เดินเข้าไปหา
“แถวนี้มีอะไรน่าเที่ยวบ้าง”
“ครูเคยเห็นกวางมั้ย” เด็กหนึ่งยิ้มบอก
“ไม่เคยเห็น กวางอยู่ตรงไหนเหรอ”
น้ำเสียงดาวเด่นเสียงตื่นเต้นมาก
ดาวเด่นที่เดินตามเด็กท่าทางซนๆ 3 คนลัดเลาะเข้าไปในป่า เด็กๆ พาดาวเด่นเดินมาเรื่อยๆ ดาวเด่นมองไปรอบๆ แต่สีหน้าเริ่มเหนื่อย ยกมือปาดเหงื่อ
เด็กๆ วิ่งนำไปอย่างเร็ว ดาวเด่นพยายามวิ่งตาม แต่หยุดหอบ ไม่ทัน พอเงยขึ้นมาอีกที เด็กๆ หายไปหมดแล้ว ดาวเด่นรีบเดินตามไปโดยเร็ว
“รอด้วย รอด้วย”
ธรรพ์กับแขไขกำลังจิบชายามบ่าย เทพทัตลุกขึ้นมองไปรอบๆ
“น้องดาวไปไหนตั้งแต่เช้า”
“แขให้ไปสอนหนังสือแทนแขที่โรงเรียนค่ะ”
ธรรพ์ดูเวลา “ตอนนี้ เวลาเลิกเรียนแล้วนะครับ”
“ก็คงเที่ยวเล่นสนุกเรื่อยเปื่อยนั่นแหละค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดีซะอีก ไม่อยู่พูดจาน่ารำคาญ”
แขไขจิบชาไม่สนใจน้องสาว ต่างจากเทพทัตที่มีสีหน้าเป็นห่วงดาวเด่นชัดแจ้ง
ฟากดาวเด่นเดินหลงเข้ามาในป่าลึก มองไปไม่เห็นใคร ดาวเด่นป้องปากเรียกขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย มีใครได้ยินมั้ย”
ดาวเด่นได้ยินเสียงตัวเองสะท้อนไปมา มองไปรอบๆ ไพรพนาอย่างนึกกลัว
“เมื่อกี๊มาจากทาง...นี้...”
ดาวเด่นหมุนตัวมองไปรอบๆ แล้วตัดสินเดินไปอีกทางหนึ่ง
“ทางนี้น่าจะกลับปาง”
ขณะเดียวกันแสงคำเดินเร็วรี่มา เจอเด็ก 3 คนวิ่งกันมา พอเห็นแสงคำก็วิ่งเข้าไปหา
“แสงคำช่วยด้วย” เด็ก 1 หน้าตาตื่น
แสงคำมองงงๆ “มีอะไร”
“ครูหลง” เด็ก 1บอก
“ครู...พวกแม่นายใช่มั้ย” แสงคำถาม
“ใช่ เราพาครูไปดูกวาง แต่ครูหลงอยู่ในนั้น”
เด็กชี้ไปในป่า แสงคำมองแล้วสั่งเด็ก
“กลับบ้านไปซะ เดี๋ยวข้าไปตามให้เอง”
เด็กๆ วิ่งกลับบ้านไป แสงคำยิ้มเหยียด
“ช่างหัวมัน ไอ้พวกแม่นาย ปล่อยให้มันหลงไป”
แสงคำตัดสินใจไม่ช่วย แต่เดินไปได้สองสามก้าวก็หยุดด้วยความลังเล
ควาญช้างหนุ่มผู้มุทะลุหันกลับไปมองทางที่เด็กๆวิ่งออกมาอย่างชั่งใจอีกครั้ง
ดาวเด่นอ่อนแรงเต็มทน มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นกลัว เสียงตะโกนให้ช่วยเริ่มแหบหาย
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ ช่วยฉันด้วย...พาฉันออกไปที”
แสงคำโผล่พรวดออกมาพุ่มไม้ทางหนึ่ง ดาวเด่นตกใจ ผงะถอยหลังหนี จนสะดุดหินล้มพับลงไปคาพื้น
“นาย” ดาวเด่นหน้าซีดขาวจำแสงคำที่พุ่งเข้ามาได้ “ช่วย...ฉัน...ด้วย”
“ก็ไม่ได้อยากมาช่วยหรอกนะ แต่ถ้าพวกแม่นายมาตายกลางป่า คนเดือดร้อนมันก็ต้องเป็นข้ากับเนื้อนาง”
ดาวเด่นตกใจกับน้ำเสียงดุดันและแววตากระด้างของแสงคำ คอพับในอ้อมแขนแสงคำหมดสติไป
แสงคำมองอย่างรำคาญ ก่อนจะช้อนร่างดาวเด่นอุ้มขึ้นพาดบ่าแบกออกไป
ฝ่ายเนื้อนางกับคำฝายเดินมาที่ราวตากผ้า เห็นชุดที่เตรียมไว้ถูกตัดขาดวิ่น
“ชุด...ชุดของพี่ ขาดหมดเลย” คำฝายแค้น นึกปราดเดียว “มันต้องไม่ใช่ใครนอกจาก ฝีมือ..แก๊งอีป้ารัญจวน แม่ขอตบเรียงตัวให้หน้าบวม ขึ้นเวทีไม่ได้หน่อยเถอะ”
คำฝายคว้าเสื้อบนราว เดินเร็วรี่จะไปเอาเรื่อง เนื้อนางดึงไว้
“อย่ามัวไปตบตีให้เสียเวลาเลย พี่คำฝาย รีบทำชุดใหม่ก่อนดีกว่า”
“มันจะทำทันได้ยังไง ชุดนี้เมื่อคืนตั๋วยังนั่งทำจนเช้า นี่มันก็ใกล้เวลาประกวดแล้ว”
“แต่เราต้องสู้นะ พี่คำฝาย”
คำฝายทิ้งตัวลงอย่างหมดแรง
“สู้ยังไง ไม่มีชุดสวยๆ พี่ก็แพ้มันวันยังค่ำ”
คำฝายปาชุดทิ้งด้วยความเจ็บใจ
“ไม่แพ้ เราต้องไม่แพ้พวกรัญจวน” เนื้อนางว่า
คำฝายมองเนื้อนาง แล้วตัดสินใจ
“มีทางเดียวนะ เนื้อนาง ที่เราจะไม่แพ้พวกมัน
เนื้อนางมองคำฝายเห็นแววตาเด็ดเดี่ยวตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ขณะเดียวกัน หนานไตรกำลังหยิบปืนออกมาเช็คความเรียบร้อย ม่อนดอยเดินร้อนใจเข้ามาบอก
“แสงคำหายไปจากปาง”
หนานไตรนิ่ง ยกปืนขึ้นเล็ง ม่อนดอยมองงง
“คืนนี้ ฉันจะให้คนไม่ซื่อสัตย์ มันรับโทษ”
เทพทัตเที่ยวเดินตามหาดาวเด่นในปาง พอผ่านคนงานก็ถามขึ้น
“เห็นน้องดาวมั้ยครับ”
คนงานพากันส่ายหน้า เทพทัตสีหน้าไม่ดี เพราะเป็นห่วงดาวเด่นที่ร่างกายอ่อนแอขี้โรค
ร่างดาวเด่นพาดอยู่บนบ่าแสงคำที่เดินจ้ำก้าวเร็วมาตามทางริมน้ำตก ดาวเด่นที่ได้สติขึ้นมาในสภาพหัวห้อย ทุบหลังแสงคำบอก
“ปล่อย ปล่อยฉันลงก่อน”
แสงคำหยุดเดินปล่อยดาวเด่นลงยืน
“เลือดตกหัว หน้าจะมืดตายอยู่แล้ว”
“ปากแบบนี้ น่าจะปล่อยให้หลงป่าสัก 3-4 วัน”
แสงคำเดินหนีไป ดาวเด่นรีบเดินตาม
“ขอบใจนะ เด็กๆไปบอกนายใช่มั้ย”
แสงคำไม่พูดด้วย เดินนำลิ่วๆ ไป ดาวเด่นยังเดินตาม
“นี่นายควาญช้าง ช่วยอะไรฉันอีกอย่างสิ”
“ช่วยอะไรอีก” แสงคำรำคาญ
“ฉันอยากขี่ช้าง”
ดาวเด่นวิ่งมาดักหน้าแสงคำ แล้วยิ้มให้
“หัดให้ฉันขี่ช้างหน่อยได้มั้ย”
แสงคำมองดาวเด่นที่ยิ้มจริงใจ แววตากะตือรือร้นอย่างชั่งใจ
เวลานั้น ช้างตัวเล็กยืนแกว่งงวงอยู่ ดาวเด่นลูบตัวด้วยความตื่นเต้น แสงคำสั่งช้างนั่งลง ดาวเด่นมองทึ่ง ที่เห็นช้างนั่งลงโดยว่าง่าย แสงคำบอกดาวเด่น
“ค่อยๆ เหยียบ แล้วก้าวขึ้นไป”
แสงคำชี้มือลงที่ข้างหูช้างให้ดาวเด่นปีนขึ้นไป ดาวเด่นลองทำ แต่เก้ๆ กังๆ จนหล่นหงายเงิบ แสงคำเข้าไปรับร่างดาวเด่นไว้
ดาวเด่นมองแสงคำเห็นแววตารำคาญ แสงคำผลักดาวเด่นให้ออกห่างตัว
“เอ้า ลองใหม่ เร็วๆ”
“ก็อย่าเร่งนักสิ ถ้าฉันขี่เป็น ฉันจะมาขอให้นายช่วยมั้ยล่ะ”
“ก็ตั้งใจหน่อย”
ดาวเด่นเถียงคำไม่ตกฟาก “ตั้งใจแต่มันไม่ถนัดไง”
แสงคำทั้งฉุนทั้งหงุดหงิด “ไม่ได้เรื่อง”
“เอ๊ะ นายนี่ ขี้โมโหจัง”
“เสียเวลา”
“เสียเวลาอะไร ฉันเห็นวันๆ นายก็ไม่ได้ทำอะไร” ดาวเด่นปากเก่งตามประสา
แสงคำ ตาวาว โกรธมากหันไปสั่งช้างทันที ช้างลุกขึ้นร้องเสียงดัง ดาวเด่นตกใจ
“พวกแม่นาย ไม่เคยเห็นหัวคน”
แสงคำว่าใส่หน้าแล้วหันหลังเดินออกไปเลย ทิ้งดาวเด่นให้ยืนโมโหอยู่ลำพัง
ระหว่างนี้เทพทัตที่เดินตามหาจนทั่วปาง เห็นดาวเด่นยืนอยู่ก็รีบเข้ามา
“น้องดาว หายไปไหนมา”
“ก้อเที่ยวอยู่แถวๆ นี้น่ะค่ะ”
“อยู่กับช้าง?” เทพทัตถามสีหน้าฉงน
“ค่ะ อยู่กับช้าง สบายใจกว่าอยู่กับคนขี้โมโห พี่หมอมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“พี่มาตาม ได้เวลาน้องดาวทานยาแล้ว” พลาง หมอเทพทัตถอดเสื้อแจ๊กเก๊ตของตัวเองคลุมลงให้ดาวเด่นอย่างอ่อนโยน “อากาศเริ่มเย็น เดี๋ยวไม่สบาย จะอยู่ดูงานคืนนี้ไม่สนุกนะ”
เทพทัตยิ้มอ่อนโยน มองดาวเด่นที่ยิ้มแววตาสดใสทันควัน
“จริงด้วย งานประกวด เย้”
ลานหน้าเรือนสำนักงานกลางปางไม้ มีเวทีไม้ยกสูงขึ้นมาเหนือพื้น ตกแต่งเรียบง่าย ประดับด้วยดอกไม้สวยงาม มีป้ายผ้าเขียนว่า “การประกวดธิดาปางไม้หิมวัต”
แขไขนั่งอยู่ด้านล่างเด่นเป็นประธาน ธรรพ์ ดาวเด่นและเทพทัตนั่งถัดมา ชาวบ้านพากันทยอยเข้ามานั่งกับพื้นบ้าง นั่งเก้าอี้ที่วางไว้บ้าง
ม่อนดอยในชุดหล่อยื่นหน้ามาเคาะไมค์ ทำหน้าที่โฆษก
“ฮัลโหล 1 2 3 เทสต์...เทสต์ ฮัลโหล”
หนานไตรยืนมองอยู่ด้านหลังตบมือนำ ชาวบ้านพากันตบมือตาม
“ขอสวัสดีพี่น้องทุกคน กระผมม่อนดอย ภูสูง ดีใจมากที่ได้มาเป็นโฆษกงานสำคัญ ครั้งแรกครั้งยิ่งใหญ่ของพวกเรา งานประกวดธิดาปางงง...”
เสียงกลองชาวบ้านตีรับ คนดูเฮ หนานไตรยิ้มมองบรรยากาศสดชื่นเฮฮาตรงหน้า
“วันนี้เรามีแขกพิเศษที่จะมาเป็นกรรมการ การตัดสินที่ยิ่งใหญ่ และยุติธรรมที่สุด ได้แก่ คุณแขไข คุณธรรพ์ คุณดาวเด่น คุณหมอเทพทัต”
ธรรพ์ เทพทัต และดาวเด่น หันมายิ้มกับชาวบ้าน ชาวบ้านปรบมือต้อนรับ ยกเว้นแขไขที่ลุกขึ้นโบกมือเหมือนนางงาม ดาวเด่นมองพี่สาวขำๆ
แขไขนั่งลง หนานไตรกอดอกมอง ไปที่ชาวบ้านทุกคน
“และกรรมการกิตติมศักดิ์ของเรา พ่ออุ๊ยหมื่นหล้า”
หมื่นหล้าที่นั่งห่างกลุ่มแขไขหันไปยิ้มให้ ชาวบ้านพากันเฮ
“และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเชิญทุกท่านพบกับสาวงามผู้เข้าประกวดท้าลมหนาวในปีนี้”
เสียงกลองรัวรับอย่างน่าตื่นเต้น
“สาวงามคนแรก ยิ้มหวานปานน้ำผึ้งเดือนห้า ตาคม ผมยาว รักเด็ก รักธรรมชาติ รักที่สุดคือผู้ชายหล่อๆ หมายเลข 1 นางสาวสร้อยฟ้า”
สร้อยฟ้าเดินนวยนาดออกมา ชาวบ้านตบมือ
“สาวงามคนต่อไป ฉายาสวยสะท้านใจ มือวางอันดับหนึ่งประจำโรงครัว สัดส่วน 38-22-36 สวยเรี่ยสวยราด สวยไม่ยอมใคร หมายเลข 2 นางสาวรัญจวน”
เห็นรัญจวนในชุดสวยเดินออกมา กองเชียร์เงียบกริบ รัญจวนเท้าสะเอว จิกตาถลึงมอง กองเชียร์ตบมือเฮ
ทางฝ่ายแสงคำนั่งกินเหล้า คนงานหนุ่มๆ แต่งตัวหล่อพากันเดินไปเป็นกลุ่ม
“แสงคำไปดูประกวดธิดาปางกัน”
“ไม่ดู”
คนงานพากันเดินหนีแสงคำที่อารมณ์ไม่ดี
“ไอ้อิน ไอ้อินโว๊ย เอาเหล้ามาให้ข้าอีก”
แสงคำตะโกนเรียกอีก แต่ไม่เห็นอินโผล่ออกมาเหมือนเคย แสงคำมองหา สีหน้าแปลกใจ
“ไอ้อินหายไปไหน”
ที่งานประกวดธิดาปาง หนานไตรกอดอกอยู่มุมหนึ่ง สอดตามองหาไปรอบๆ
“แสงคำ...แกไม่มา
ม่อนดอยเจื้อยแจ้วอยู่บนเวที “และหมายเลข 3 สาวงามที่ไม่รู้จะเกิดมาทำไม สวยจนอดใจอยากจะเตะไม่ไหวหมายเลข 3 กำปุ้ง หรือน้องแมงมุมยักษ์”
กำปุ้งเดินออกมาในชุดของแขไขที่ตอนนี้ปริแตกเพราะรูปร่างคนละไซส์ แต่กำปุ้งก็ยังมั่นใจ แต่งประโคมหน้าผมอย่างจัดหนัก ดาวเด่นเห็นหัวเราะพรืดออกมา หมอเทพทัตกับธรรพ์แค่อมยิ้ม
“นั่นมันชุดพี่แข เค้ายัดตัวเองลงไปได้ยังไง”
กะเทยกำปุ้งออกมายืนแอ่น มีทั้งเสียงโห่ฮา ประสมเสียงปรบมือเปาะแปะ รัญจวนอยู่บนเวทีขมุบขมิบปากด่าลูกสมุนทั้งๆ ที่หน้าฉีกยิ้ม
“นึกว่าสวยตายแล้วนะแก ใส่ชุดของคุณแขไข อย่างนี้เค้าเรียกกระแดะค่ะ”
กำปุ้งฉีกยิ้มตอบ “ของแบบนี้ว่าไม่ได้นะคะ คุณพี่ ดูซะก่อน ทุกคนอึ้งตะลึงกับความงามของคุณน้อง”
“อึ้ง หรือจะอ๊วก”
กำปุ้งกับรัญจวนเชิดหน้าไม่ยอมกัน
เวลาเดียวกันแสงคำเดินดุ่มๆ มาตามลำพัง สีหน้าดูเคร่งเครียด
หนานไตรมองไปที่บนเวที ที่ตอนนี้มีสาวในปางอีก 2 คนยืนต่อจากกำปุ้ง รัญจวน สร้อยฟ้า ทั้งหมดรวมเป็นผู้เข้าประกวด 5 คน
“และสาวงามคนสุดท้าย หมายเลข 6”
ม่อนดอยหยุดเว้นคำ ทุกคนมองงง
“สำหรับสาวงามคนนี้ บอกได้คำเดียว สวยสะพรึง
ดาวเด่นได้ยินแล้วตบมือ หัวเราะชอบอกชอบใจ
“สวยสะพรึง ใครน่ะ อยากเห็นหน้าจัง”
“หมายเลข 7 ขอเสียงปรบมือต้อนรับตัวเก็งธิดาปางของเรา นางสาวคำฝาย”
เสียงปรบมือดัง ประสมเสียงกลองรัวเร็ว คำฝายเดินนวยนาดออกมา ดาวเด่นปรบมือเชียร์ซะดัง
“สู้เค้า คำฝาย”
คำฝายส่งจูบไปทั่ว แล้วนึกได้
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ เปลี่ยนใจแล้วค่ะ คำฝายขอสละตำแหน่งที่ทรงคุณค่านี้ให้คนสวยน้อยกว่าได้แจ้งเกิดบ้าง วันนี้คำฝายขอเป็นพี่เลี้ยงนางงาม ตัวจริงต้องคนนี้...”
คำฝายวิ่งหลบเข้าไป เสียงกลองรัวใหม่อีกครั้ง
เนื้อนางเดินออกมาในชุดเสื้อพื้นเมืองสั้นเหนือเอว นุ่งซิ่นสวยกรอมเท้าที่หนานไตรซื้อให้
หนานไตรและทุกสายตามองจับจ้องไปที่เนื้อนางที่เยื้องย่างสวยเด่นบนเวที
“คนนี้สิ สวยจนลืมหายใจ”
เทพทัตปรบมือดัง ธรรพ์แอบมองมาที่แขไข เห็นแขไขหน้าตาโกรธมาก
“ไหนว่าเนื้อนางไม่ประกวด”
หมื่นหล้าปรบมือ ยิ้มปลื้มใจกับหลานสาวคนสวย
เนื้อนางมายืนเด่นอยู่ตรงกลาง รัญจวน กำปุ้ง รีบขยับเบียดมาประกบเนื้อนาง ไม่ยอมแพ้
หนานไตรมองจ้องมาที่เนื้อนางด้วยสายตาชื่นชม
ขณะเดียวกัน ที่ถนนนอกปางหิมวัต แลเห็นร่างชายคนหนึ่งเดินไปเดินมา ท่าทางลุกลี้ลุกลน อยู่ในความมืด สักครู่หนึ่ง มีรถกระบะมาจอดลงใกล้ๆ คนในรถลงมา เดินตรงมาที่ร่างชายที่ยืนรออยู่ ส่งเงินเป็นปึกยื่นให้
ชาย 1 ถาม “ทำไมต้องรีบร้อนเรียกข้ามาเอาไม้คืนนี้ด้วยวะ”
มือชายคนนนั้นรับเงินมากำไว้แน่น
การประกวดธิดาปางดำเนินไป บนเวทีสาวงามทั้ง 7 ยืนอยู่ ทุกคนมองลงมารอกรรมการให้คะแนน
“รอบนี้จะเป็นการแสดงความสามารถพิเศษ”
รัญจวน กะ กำปุ้ง เลิกลัก รัญจวนฉีกยิ้มอยู่บ่นออกมา
“ความสามารถอะไร ข้าไม่มี สวยอย่างเดียวก็พอแล้ว”
โฆษกม่อนดอยเอ่ยขึ้น “เริ่มจากหมายเลข 3 นางสาวกำปุ้ง”
กำปุ้งไหว้สวยงามเดินมาด้านหน้า ฉีกยิ้มให้กรรมการ
ม่อนดอยยื่นไมโครโฟนในมือให้ “มีความสามารถพิเศษอะไรบ้างครับ”
“สวยค่ะ” กำปุ้งบอก
ชาวบ้านโห่ฮา รัญจวน และสร้อยฟ้าช่วยกันโห่ด้วย กำปุ้งยังฉีกยิ้มอยู่
“ความสามารถพิเศษน่ะครับ มีมั้ย” โฆษกถามอีก
กำปุ้งคิดปราดเดียวแล้วฉีกยิ้ม “แปร๋น...”
ทุกคนมอง กำปุ้งยกมือขึ้นแล้วร้องทำเสียงช้าง
“แปร๋น... แปร๋น...”
ทุกคนฮาลั่น ม่อนดอยหัวเราะจนแทบพูดต่อไม่ได้
“ขอเสียงปรบมือให้ธิดาช้างของเรา นางสาวกำปุ้งกับความสามารถเลียนเสียงช้าง”
ทุกคนกำลังขำ กำปุ้งแกว่งมือเลียนแบบงวงช้าง
“อย่าลืมเทคะแนนให้กำปุ้งด้วยนะคร๊า แปร๋น...แปร๋น...”
ระหว่างนี้ หนานไตรมองไปบนเวทีแวบเดียว แล้วเดินแยกตัวออกไปอย่างเงียบกริบ
ที่ถนนนอกปาง เป็นอินนั่นเองที่กำลังนับเงินแล้วบอกคนมารับซื้อไม้
“คืนนี้พวกมันมัวแต่สนุกในงาน เดี๋ยวเอารถเข้าไปขนซุงที่เหลือได้เลย ไม่มีใครมาสนใจเราหรอก”
หนานไตรลัดเลาะมาเห็นด้านหลังอิน ที่กำลังเจรจากับคนรับซื้อไม้ อินกำลังจะแยกไป หนานไตรชักปืนออกมา
“หยุดนะ ไอ้อิน”
“หนานไตร”
ไวเท่าความคิด อินวิ่งหลบทันที คนรับซื้อไม้รีบวิ่งขึ้นรถ แตกกระเจิง หนานไตรมอง แล้ววิ่งตามอินไปอย่างเร็ว
ฝ่ายเนื้อนางยืนยิ้มเด่นอยู่ตรงกลางเวที ทุกคนมองจ้อง แสงคำเดินเข้ามาในงานมองตรงไปที่เนื้อนางด้วยสีหน้าตื่นตะลึง สายตาลึกซึ้ง สุดแสนรัก
ม่อนดอยทำหน้าที่โฆษกต่อ “เอาละครับ มาถึงสาวงามอีกคนของเรา หมายเลข 7 เนื้อนาง วันนี้มี ความสามารถพิเศษอะไรมาโชว์ครับ”
เนื้อนางเดินออกมา โปรยยิ้มให้กับทุกคน
“ดิฉันคิดว่าศิลปะล้านนาของเรางดงาม ติดตาตรึงใจทุกคนที่พบเห็น ความเป็นล้านนาคือไมตรีจิต เยือกเย็น อ่อนหวาน ควรที่เราจะรักษา สืบทอดไว้ และความสามารถของดิฉันในวันนี้ก็คือศิลปะแท้ๆ ของล้านนา ฟ้อนแง้น ค่ะ”
ชาวบ้านปรบมือเฮ หมื่นหล้าปรบมือดังกว่าใคร ยิ้มดีใจ ปลื้มใจเป็นที่สุด
“ฟ้อนแง้น น่าสนใจนะครับ”
ธรรพ์หันไปหา แต่แขไขหน้าบึ้ง มีแต่ดาวเด่นกับเทพทัตที่กระตือรือร้น
“ฟ้อนแง้นเป็นยังไง มีใครเคยเห็นมาก่อนมั้ย อยากเห็นจังเลยค่ะ”
ธรรพ์กับเทพทัตส่ายหน้าไม่รู้ แววตาทุกคนมองไปที่เนื้อนางบนเวที
หนานไตรวิ่งเร็วลัดเลาะหวังจะจับตัวคนลอบขายไม้ให้ได้ อินวิ่งเร็วอย่างคนชำนาญป่า กำลังจะหนีพ้น หนานไตรยกปืนเล็งไป ยิงไปที่อิน กระสุนดังขึ้น ปัง !!
เสียงกระสุนนัดนั้นดังสะท้อนก้องทั่วไพร ทุกคนได้ยิน ต่างพากันตกใจ เนื้อนางชะงัก หันไปมองทางเสียง
ม่อนดอยเอ่ยขึ้น “เสียงปืน”
แสงคำหันขวับ หมื่นหล้ามองหา
“เสียงปืน อยู่ไม่ไกล แสงคำไปกับข้า”
แสงคำวิ่งออกไปกับหมื่นหล้าทันที ทุกคนในงานหน้าตาตื่น ตกใจ แขไขลุกขึ้นกวาดตามองไปทั่วงาน แล้วถามขึ้นเสียงดัง
“หนานไตร หนานไตรหายไปไหน”
เสียงปืนดังขึ้นอีกปัง เนื้อนางตกใจอุทานออกมา
“หนานไตร”
อ่านต่อหน้า 4
เพลิงฉิมพลี ตอนที่ 5 (ต่อ)
หนานไตรยิงปืนไปอีกนัด อินล้วงปืนจากเอวมายิงสวนไปหลายนัด เสียงปืนดังก้องป่า หนานไตรหลบวูบหลังต้นไม้
ทุกคนที่เวทีประกวดธิดาปางได้ยินเสียงปืนติดกันๆ เนื้อนางวิ่งลงจากเวที คำฝายวิ่งมาสมทบ
“เอาคนไปช่วยหนานไตรเร็ว” เนื้อนางร้อนใจ
แขไข ธรรพ์ ดาวเด่น และเทพทัต ต่างมีสีหน้าตกใจ ม่อนดอยที่ถือไมค์อยู่รีบพูดบอกทุกคน
“อย่าตกใจ อย่าตกใจ หนานไตรไปไล่จับโจร”
ธรรพ์ถามขึ้นงงๆ “หมายความว่ายังไง ม่อนดอย”
เนื้อนางเร่งใหญ่ “พูดสิ ม่อนดอย รู้อะไรก็พูดมา”
“หนานไตรวางแผนจับคนขโมยไม้คืนนี้” ม่อนดอยบอก
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นอีก เสียงเซ็งแซ่ว่า...ใครขโมยไม้
เนื้อนางหันไปมองทางในป่า สีหน้าเป็นห่วงหนานไตรเป็นอย่างมาก
เวลานั้นอินโผล่มาจากหลังต้นไม้ มองไม่เห็นหนานไตร แต่พอหันกลับมาเจอหนานไตรอ้อมเงียบ มาประชิดตัว หนานไตรศอกเข้าหน้า อินเซปืนร่วงหลุดมือ หนานไตรเข้ามาจะจับ อินถีบเข้าร่างหนานไตรเต็มแรง ปืนหนานไตรหลุดมือหล่นพื้นไปไกล
อินพุ่งเข้าชกด้วยหมัด หนานไตรหลบว่องไว ชกสวนกลับอินอีกหลายหมัด จนอินล้มคว่ำ
หนานไตรหันไปหยิบปืนจากพื้น พอหันกลับมาเห็นอินคว้าปืนขึ้นมาเหมือนกัน สองคนเล็งปืนใส่กัน พร้อมลั่นกระสุนเข้าหาอีกฝ่ายทันที
หนานไตรพยายามเกลี้ยกล่อม “แกยังมีโอกาสนะ ไอ้อิน บอกฉันมาใครร่วมมือกับแกขโมยไม้ไปขาย”
ระหว่างนี้ แสงคำกับหมื่นหล้าวิ่งมาจากอีกด้าน แสงคำจะเข้าไป หมื่นหล้ายกมือห้ามไว้ ให้ฟังหนานไตรที่โต้กับอิน
“มึงจะยอมตาย รักษาผลประโยชน์ของคนอื่นไปทำไมวะ หนานไตร ตายไปเจ้าของปางเค้าก็ให้แค่ค่าทำศพ” อินว่า
“ฉันทำงานด้วยใจ ไม่ใช่เพราะความโลภอย่างแก”
“ถุย...ผู้จัดการอย่างมึง กูเขี่ยกระเด็นพ้นปางมาหลายคนแล้ว กูไม่ให้ใครมาขวางทางรวยของกู”
หมื่นหล้าทนฟังไม่ไหว ตะโกนขึ้น “ไอ้อิน”
หนานไตรกับอินหันไปเห็นหมื่นหล้า กับแสงคำ เดินเข้ามา
“เสียแรงกูสั่งสอนมา มึงกล้าทรยศศักดิ์ศรีควาญ ทรยศความไว้ใจของพวกเรา”
แสงคำขอร้อง “วางปืนลง ไอ้อิน”
“กูไม่วาง พวกมึงจะรุมกู”
หมื่นหล้ายัวะ ด่าอย่างรุนแรง “ผิดแล้วยังดื้อด้านอีก ไอ้ชาติชั่ว”
อินบันดาลโทสะ หันไปจะยิงหมื่นหล้า หนานไตรตะโกนก้อง
“หมื่นหล้า ระวัง”
อินยิงไปทางหมื่นหล้า แต่หมื่นหล้ากระโดดหลบ แสงคำจะเข้าช่วยหมื่นหล้า อินหันไปยิงใส่อีกจนแสงคำต้องหลบ
อินเหนี่ยวไก จะยิงซ้ำหมื่นหล้า หนานไตรพุ่งมาผลักหมื่นหล้าให้พ้นวิถีกระสุน อินยิงอีกนัดหนานไตรโดนกระสุนเจาะเข้าไหล่ขวาร่างสะบัดไป หมื่นหล้า กับ แสงคำที่อยู่ห่าง มองตะลึงตกใจมาก
“หนานไตร”
“มึงตายแน่ ไอ้ผู้จัดการ”
อินคำรามจะเข้ามายิงซ้ำ แต่หนานไตรพลิกตัวหันมายิงสวน กระสุนเข้ากลางอกอินจังๆ อินเลือดทะลัก อินกัดฟันสู้ ฝืนเหนี่ยวอีกนัด คราวนี้โดนท้องหนานไตรล้มลง
หนานไตรยิงไปอีก 3 นัดเจาะร่างอินล้มลง ขาดใจตายคาที่
แสงคำ กับหมื่นหล้ามองตะลึง เห็นหนานไตรกุมแผลที่เลือดทะลักออกตรงท้องทรุดลงกับพื้นทันที
ทุกคนได้ยินเสียงปืนหลายนัด เนื้อนางหันไปบอกพวกคนงาน
“นิ่งกันอยู่ทำไม ไปช่วยหนานไตรกันเร็ว”
แขไขได้ยินแล้วโมโหปรี๊ดขึ้นมาทันที กระชากแขนเนื้อนางเต็มแรง
“แกเป็นใครถึงกล้ามาสั่งคนงาน ที่นี่ชั้นสั่งได้คนเดียว”
“จะหึงจะหวงก็ให้มันดูเวล่ำเวลาบ้างเถอะ นังผู้ดีตกมัน” คำฝายด่า
แขไขหันไปตบปากคำฝายทันที พวกบนเวทีเห็นก็ร้องกรี๊ด
เนื้อนาง ดาวเด่น ธรรพ์ และเทพทัตตกใจ คำฝายหันขวับมาจ้องแขไขตาวาว
“อีคำฝายไม่ทนแล้ว วันนี้ขอตบล้างปากผู้ดี เป็นบุญมือสักทีเถอะวะ”
คำฝายพุ่งเข้าไปตบแขไขจนหน้าสะบัด บนเวทีกรี๊ดดังกว่าเดิม
“แก อีขี้ข้า” แขไขเต้นเร่าๆ
เนื้อนางรีบดึงคำฝายออก ดาวเด่นรั้งแขนพี่ไว้
ธรรพ์ กับเทพทัตเข้ามาขวางกลางคำฝายกับแขไขที่จะปรี่เข้าหากันอีก
กำปุ้ง รัญจวน และสร้อยฟ้าถกกระโปรงปรี่ลงมาที่คำฝาย
“ตบมันค่ะ ตบมัน คุณแขไข” รัญจวนเชียร์ใหญ่
กำปุ้งเสริม “อย่าให้รอดมันไปได้ทั้งสองคนเลยค่ะ”
คำฝายกำหมัดแน่น เนื้อนางมองเห็นพวกรัญจวนปรี่เข้ามาตามคำสั่งแขไข
“จัดการมัน รัญจวน”
รัญจวนพุ่งเข้าบีบคอเนื้อนาง กำปุ้งตบคำฝาย
“หยุด ฉันบอกให้หยุด” ธรรพ์พูดแทบเป็นตวาด
แขไขสวนออกไปดังกว่า “อย่าหยุด”
เนื้อนางสู้ บีบคอรัญจวนตาเหลือกบ้าง คำฝายทุบหมัดเข้าข้างกกหูกะเทยถึกเซแซดๆ ม่อนดอยเตะตามน้ำ ร่างกำปุ้งหัวทิ่มตกเวทีไป
สร้อยฟ้าถลาเข้ามา ถูกคำฝายถีบกระเด็น เนื้อนางผลักรัญจวนออกแล้วตบหน้าสะบัดซ้ายขวา พวกชาวบ้านล้อมวงเชียร์ แขไขหน้าตื่น เห็นพวกตัวเองสู้ไม่ได้
คำฝาย กับเนื้อนางหันขวับมาทางแขไข ดาวเด่นตะโกนขึ้นด้วยความโมโห
“จะกัดกันเหมือนหมาตรงนี้ไปทำไม ในป่ายิงกันตายไม่รู้กี่ศพแล้ว”
ทุกคนชะงักค้าง
เนื้อนางได้สติ “ไปช่วยหนานไตรก่อนเถอะ พี่คำฝาย อย่าเสียเวลากับพวกบ้าหาเรื่อง”
แขไขตาวาว เนื้อนางคว้ามือคำฝายจะวิ่งไป แต่กำปุ้งที่ตั้งหลักได้ไม่ยอม พุ่งเข้ามาถีบคำฝายล้มกลิ้งไปกับพื้น
“ถีบกูแล้วจะหนีง่ายๆ เหรอ อีคำฝาย”
เทพทัตรีบพุ่งไปจับรัญจวนที่จะเข้าไปทำร้ายเนื้อนาง ม่อนดอยถีบกำปุ้งกระเด็นแรงกว่าเก่า
“เมื่อตะกี้น่ะ ตีนกูเจ้า”
แขไขขึ้นเสียงใส่หมอ “ปล่อยรัญจวนเดี๋ยวนี้ เนื้อนางมันต้องถูกลงโทษ
ธรรพ์เสียงแข็ง “อย่าปล่อย ที่นี่ปางไม้หิมวัต ไม่ใช่ในกาดที่จะตบกันไม่เลือกหน้า” ชายหนุ่มมองแขไขที มองเนื้อนางที “ไม่รู้จักว่าคนไหนนาย คนไหนบ่าว”
น้ำเสียงธรรพ์สั่งเด็ดขาด ทุกคนต้องหยุดฟัง แขไขชักสีหน้าไม่พอใจ ดาวเด่นกระชากแขนพี่ห้ามเต็มที่
เนื้อนาง กับคำฝายมองพวกรัญจวนอย่างสะกดอารมณ์เต็มที่
ในป่าตอนนี้ แผลถูกยิงของหนานไตรมีเลือดทะลักออกมาน่ากลัวมาก แสงคำต้องถอดเสื้อกดเลือดที่ท้องไว้ หนานไตรมองแสงคำแล้วเอ่ยขึ้น
“ฉันขอโทษที่คิดว่านายเป็นคนขโมยไม้”
“ฉันเองก็ไว้ใจคนผิด ไม่คิดว่าไอ้อินมันจะเห็นแก่เงิน”
“ทนหน่อย หนานไตร” หมื่นหล้าหันไปสั่ง “แสงคำ ช่วยข้าพยุงมันกลับไปที่ปางเร็ว”
“ศพไอ้อินล่ะครับ หมื่นหล้า” หนานไตรหันไปร่างไร้วิญญาณของอิน
“ข้าอยากจะปล่อยให้แร้งกาจิกกินอยู่ที่นี่ให้สมกับความชั่วของมัน แต่มันก็จะอุจาดตาคนอื่น เดี๋ยวข้าจะให้คนมาเอากลับไป ตอนนี้เอ็งห่วงตัวเองก่อน หนานไตร”
แสงคำ กับหมื่นหล้าช่วยกันพยุงหนานไตร รีบเร่งพากลับไปที่ปาง
ทางด้านเนื้อนางกับพวกแขไข รัญจวนยืนประจันหน้ากันอยู่ ธรรพ์สั่งสำทับ
“กลับเรือนไป เนื้อนาง ทุกคนแยกย้าย งานวันนี้จบแล้ว”
สร้อยฟ้าสอดขึ้น “แล้วตกลงใครได้เป็นนางงามปาง”
รัญจวนฉุน “อีสร้อยฟ้า หัวหูยุ่งเป็นผีบ้าอย่างงี้ มันไม่มีใครชนะแล้ว”
“ม่อนดอย ไปตามหาหนานไตรกับฉัน...”
ธรรพ์พูดไม่ทันขาดคำ ม่อนดอยม่องไปทางหนึ่งแล้วบอก
“ไม่ต้องไปแล้วครับ มากันโน่นแล้ว”
ทุกคนมองไปเห็น แสงคำ หมื่นหล้ากำลังพยุงหนานไตรที่เลือดไหลท่วมตัวเข้ามา
“หนานไตร” เนื้อนางตกใจมาก
หนานไตรมองเห็นเนื้อนางหน้าตื่นอยู่ท่ามกลางทุกคน ก็ยิ้มให้แต่อ่อนแรง ร่างทรุดลง
ทุกคนกรูกันมาที่หนานไตร เทพทัตร้องสั่ง
“ถอยออกไปอย่ามุง ถอยออกไป”
เทพทัตรีบแหวกคน ถลาเข้ามาดูอาการเพื่อน หนานไตรยังยิ้มเหมือนไม่มีอะไรหนักหนาสาหัส
“ผมไม่เป็นอะไรมาก หมอ”
เทพทัตสั่ง “พาไปเรือนรับรองเดี๋ยวนี้”
“ใครไม่เกี่ยว หลีกทางสิ” ดาวเด่นบอกเสียงดัง
ทุกคนพากันหลบให้ทางแสงคำกับม่อนดอยพยุงร่างหนานไตรออกไป
หนานไตรเดินผ่านเนื้อนางแล้วยิ้มให้ แววตาเนื้อนางเป็นห่วงหนานไตรเหลือเกินแล้ว มองตามไม่ละสายตา เทพทัต กับแขไขรีบตามไป
เนื้อนางขยับจะเดินตามไป ธรรพ์เตือนขึ้นตรงๆ แต่แววตาจริงใจ
“เธออยู่ที่นี่แหละ เนื้อนาง ขืนตามไป มีหวังตบกันเรือนพัง ไม่ต้องรักษาคนเจ็บ”
ดาวเด่นยิ้มด้วยไมตรี “พี่หมอเทพทัตอยู่ทั้งคน หนานไตรไม่เป็นอะไรหรอก”
ดาวเด่นยิ้มให้เนื้อนางแล้วรีบตามไปทางเรือนพักผู้จัดการปาง
ทุกคนพากันมองตาม จับกลุ่มวิจารณ์เซ็งแซ่
“หนานไตรจะรอดมั้ย” รัญจวนมองตามไป
“คนดี ผีไม่คุ้มเยอะแยะไปนะคะ” กะเทยดอยว่า
“อีปากแบบนี้ ผีมันจะฉีกปาก แล้วเอาสากกะเบือตำๆๆ”
คำฝาย กับกำปุ้งหันมาแยกเขี้ยวใส่กันอีก
เนื้อนางได้ยินแล้วยิ่งสีหน้าไม่ดี มองหน้าตา หมื่นหล้ายิ้มให้กำลังใจ
“พระท่านต้องคุ้มครองคนดี หนานไตรต้องไม่เป็นอะไร”
เนื้อนางยังมองตาม สีหน้าแววตาห่วงใยหนานไตรจับจิต
ในแสงเทียนเรื่อเรืองที่ถูกจุดขึ้นบนเรือน เนื้อนางนั่งอยู่กับคำฝาย ชะเง้อมองไปทางหน้าบ้าน หมื่นหล้ายืนอยู่ สักครู่ร่างสูงของแสงคำเดินเร็วรี่กลับมา เนื้อนางลุกขึ้นถาม เสียงร้อนรน
“หนานไตรเป็นยังไงบ้าง”
แสงคำมองด้วยสายตาตัดพ้อน้อยใจเนื้อนาง บอกเสียงขุ่น
“อยู่กับหมอ คงไม่ตายง่ายๆ”
“อ้ายแสงคำ ปากหรือรูพ่นลมตดวะ” คำฝายฉุน
แสงคำย้อน “ทำไม จะตบข้าเหมือนที่ตบคุณแขไขเหรอ”
หมื่นหล้าตกใจ “นังคำฝาย! เอ็งตบคนของแม่นาย”
“ก็ฉันทนไม่ไหว เลยซัดไปฉาดนึงเต็มๆ มือ มันอยากมาทำเนื้อนาง”
เนื้อนางแก้ให้ “พี่คำฝายช่วยเนื้อนางจ้ะตา เราไม่ได้หาเรื่องใครก่อน”
หมื่นหล้าหน้าเครียด “แต่คนเป็นนาย ยังไงมันก็ถูกวันยังค่ำ อยู่ห่างได้ก็อยู่ห่างซะ เรามันผู้น้อย”
แสงคำแดกดันออกมา “เนื้อนางคงไม่กลัวหรอก พ่ออุ๊ย ยังไงก็มีหนานไตรคอยช่วย”
แสงคำมองอย่างน้อยใจ แล้วเดินออกไป คำฝายมองหมั่นไส้
“ทำมาเป็นใจน้อย ตัวใหญ่ยังกะงัวกะควาย”
“ตาจ๋า เนื้อนางไม่ได้คิดอย่างที่อ้ายแสงคำพูดเลยนะจ๊ะ” ช่างฟ้อนคนสวยบอก
“ดีแล้ว เนื้อนาง ตาเห็นแล้ว หนานไตรมันเป็นคนดีจริงๆ อย่าให้มันต้องเดือดร้อนเพราะเราเลย”
หมื่นหล้ายิ้มกับหลาน เนื้อนางยิ้มดีใจ แสงเทียนวับแวมวูบไหวยิ่งทำให้ใบหน้าเนื้อนางสวยผุดผ่องสุดจะประมาณ
เช้าวันนี้ หนานไตรนอนหลับอยู่ในห้องบนเรือน มีผ้าพันแผนที่ไหล่ขวาและท้อง แขไขนั่งกุมมือหนานไตร มองด้วยสายตาเป็นห่วงมาก
ธรรพ์ กับ ดาวเด่นยืนดูอยู่ หนานไตรลืมตาขึ้นดึงมืออกจากแขไข เทพทัตพยุงหนานไตรลุกนั่ง
“โชคดีกระสุนไม่ฝังใน ฉันเย็บแผลให้แล้ว”
หนานไตรมองขอบใจเพื่อน แล้วหันไปทางธรรพ์
“ธรรพ์ จัดการเรื่องศพอินหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับพี่ ตำรวจมาตั้งแต่เช้ามืด หมื่นหล้ากับแสงคำให้การ ว่าพี่ยิงป้องกันตัว ส่วนเรื่องอิน...ญาติเค้ามารับศพไปแล้ว”
“จัดการเรื่องงานศพให้เค้าด้วยนะ ธรรพ์ ให้เงินดูแลลูกเมียเค้าสักก้อน ครอบครัวอินคงลำบาก ขาดหัวหน้าครอบครัวไปทั้งคน”
แขไขสอดขึ้นมา “ทำไมต้องใจดีกับพวกขี้ขโมยด้วยคะ มันตายซะได้ก็ดี”
หนานไตรมองจ้องแขไขด้วยสายตาตำหนิ
“ผมไม่ได้ต้องการให้อินตาย ผมอยากให้เค้ากลับใจมากกว่า”
แขไขยังไม่เลิกรา “ให้โอกาสคนเลวก็เหมือนปล่อยงูพิษเข้าป่า วันนึงมันก็ต้องแว้งมากัดเรา”
หนานไตรไม่อยากฟัง หันไปทางเทพทัต
“ไอ้หมอ มาพยุงฉันที”
หมอท้วง “แกจะเดินเลยเหรอวะ”
“เออ ฉันไม่เจ็บถึงตายหรอกน่า”
เทพทัตเข้ามาพยุงหนานไตรลงจากเตียง
“พี่จะไปไหนครับ” ธรรพ์ถามขึ้น
“สูดอากาศข้างนอก ฉันต้องการความสดชื่น”
หนานไตรเดินออกไปมีเทพทัตพยุง ธรรพ์เดินตามไปอย่างเป็นห่วง แขไขไม่พอใจ ดาวเด่นมองพี่แล้วพูดขึ้น
“พี่ณไตรเค้าหมายถึงในนี้มีแต่ลมปากเหม็นๆ”
แขไขแว้ดใส่ “ดาวเด่น! แกเป็นน้องสาวชั้นนะ”
“เพราะเป็นน้อง และเพราะดาวรักพี่ ดาวถึงต้องพูด พี่แขหยุดดูถูกหยุดเหยียบย่ำคนอื่นสักที ก่อนที่ทุกคน โดยเฉพาะพี่ณไตรจะรังเกียจพี่แขไปมากกว่านี้”
ดาวเด่นเดินออกไปอีกคน ทิ้งให้แขไขโมโหฮึดฮัดขัดใจอยู่คนเดียว
หนานไตรมีเทพทัตพยุงออกมา ธรรพ์ กับดาวเด่นตามออกมาช่วยขยับเก้าอี้ให้นั่ง ที่หน้าเรือนตอนนี้ ม่อนดอย รัญจวน กำปุ้ง สร้อยฟ้า กับคนงานอีก 5-6 คนเดินมา
ม่อนดอยร้องถาม “เป็นยังไงบ้างหนานไตร พวกเรามาเยี่ยม”
รัญจวนถือดอกไม้ป่านำขบวนขึ้นมายื่นให้ หนานไตรยิ้ม
“ขอบใจมากทุกคน ผมไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็กลับไปทำงานได้แล้ว”
แขไขเดินออกมาเห็นพวกคนงานมา ก็มองหมั่นไส้
“คุณหมอนี่รักษาได้ทุกโรคมั้ยคะ กำปุ้งเห็นหน้าคุณหมอทีไรแล้วหัวใจมันเต้นโครมคราม อยากจะแหวกอกให้คุณหมอจับที่หัวใจ”
กำปุ้งไม่พูดเปล่า คว้ามือหมอวางลงบนอก เทพทัตหัวเราะรีบชักมือกลับ
“อาการแบบนี้เหมือนผีเข้านะครับ น้ำมนต์ซักถังน่าจะช่วยได้มากกว่า”
กำปุ้งค้อนควัก ธรรพ์กับดาวเด่นอมยิ้มขำกำปุ้ง
“สงสัยกำปุ้งเป็นโรคขาดความรัก อยากได้หมอหล่อๆ มาดูแล”
“จะหมอหรือคุณธรรพ์ กำปุ้งไม่เกี่ยงเจ้า” กะเทยดอยบอก
“คุณหมออยู่รักษาหนานไตรนานๆ นะคะ สาวๆ ที่ปางฝากบอกมา”
“ตกลงนี่จะมาเยี่ยมหนานไตร หรือมาจีบหมอ”
สามดาวยั่วประสานเสียงพร้อมเพรียง “จีบหมอ”
เทพทัตหัวเราะขำ
แขไขมองบรรยากาศยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างขัดหูขัดตา หมั่นไส้ไปหมด
หนานไตรหันมาถามม่อนดอยให้ได้ยินกันสองคน
“เนื้อนางล่ะ ไม่มาด้วยเหรอ”
“มาได้ที่ไหน ขืนมา คุณแขไขจะได้ฉีกอก” ม่อนดอยกระซิบบอก
“แล้วเนื้อนางเค้าไม่ฝากบอกอะไรมาเลยเหรอ”
“ไม่มี”
หนานไตรได้ยินแล้วหน้าม่อยลงทันที ยันกายลุกขึ้น ทุกคนหันขวับมามอง หนานไตรขยับเดิน ทุกคนขยับตามทันที หนานไตรมองรำคาญ ห้ามขึ้น
“ไม่ต้องตาม ผมอยากพักผ่อน”
หนานไตรค่อยพยุงร่างเดินกลับเข้าไปข้างใน แขไขจะตาม ดาวเด่นดึงข้อมือ ส่ายหน้าห้ามว่าอย่าขัดคำสั่ง
หนานไตรเดินห่างจากทุกคน มาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยอยากเห็นหน้าเนื้อนาง
ไม่นานต่อมาเนื้อนางมองม่อนดอยที่กำลังปั้นหน้าเล่าอาการหนานไตร คำฝายกำลังเปลี่ยนน้ำฝนที่หม้อน้ำดินเผาหน้าเรือนไว้เพื่อรับรองแขกมองมา
“หนานไตรเปิ้นน่าสงสารมากๆ แผลถูกยิงทะลุท้อง เลือดยังไหลไม่หยุด ได้แต่นอนนิ่งๆ หายใจแหม็บๆ รอคนไปดูใจ
เนื้อนางหน้าจ๋อย “อาการไม่ดีเลยเหรอ”
ม่อนดอยทำเป็นยกชายเสื้อซับน้ำตา “ไม่รู้จะเป็นหรือตาย”
“โธ่...หนานไตร”
เนื้อนางเดินลงเรือนด้วยความเป็นห่วง ม่อนดอยแอบมองยิ้มๆ คำฝายเข้ามาฟาดแขนม่อนดอยอย่างแรง
“ไอ้ม่อนดอยขี้จุ๊”
เนื้อนางหันมามองม่อนดอยกับคำฝาย
“ข้าเพิ่งได้ยินนังป้ารัญจวนมันแหกปากเล่าลั่นโรงอาหาร บอกว่าหนานไตรไม่เป็นอะไร ยิ้มหล่อได้เหมือนเดิมแล้ว”
เนื้อนางได้ยินมองม่อนดอยเขม็ง ม่อนดอยรีบบอก
“ก็หนานไตรมันอยากได้คนเยี่ยมไข้เป็นเนื้อนาง”
“ขืนไป ยายผู้ดีตกมัน ก็ต้องหาเรื่องด่าเนื้อนาง ชั้นก็จะทนคันไม้คันมือไม่ไหว พ่ออุ๊ยก็จะมีเรื่องให้ร้อนใจ รำคาญหูอีก”
เนื้อนางหันหลังกลับมาทางเรือน ม่อยดอยก้าวยาวๆ ไปดักตรงหน้า
“แต่หนานไตรมันต้องการกำลังใจนะ เนื้อนาง”
“คุณแขไขคนสวยก็อยู่ทั้งคน” เนื้อนางกังวล
“ไม่เหมือนกันหรอก คนใกล้ตัวแต่ไม่ได้ใกล้ใจ ไม่เห็นหนานไตรมันจะสนใจคุณแขไขสักกะนิด มันถามหาแต่เนื้อนาง”
เนื้อนางทำเป็นไม่สนใจคำพูดม่อนดอย หันหลังให้ซ่อนสายตาวิบวับ ที่ได้ยินว่าหนานไตรถามถึง
ขณะที่หนานไตรนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียงสีหน้าเศร้า เพราะน้อยใจที่เนื้อนางไม่ได้มาเยี่ยม จู่ๆผ้าม่านหน้าต่างก็ถูกแหวกออก หนานไตรรู้สึกถึงลมเย็นวูบเข้ามา จึงผินหน้าเหลียวไปมอง พอเห็นเป็นเนื้อนางที่แหวกม่านออก หนานไตรยิ้มกว้างออกมา ทั้งดีใจทั้งแปลกใจ
“เนื้อนาง”
เนื้อนางอมยิ้มเขิน ปีนอยู่บนเก้าอี้เก่าๆ
“ฉันมาเยี่ยม เป็นยังไงบ้าง หนานไตร”
หนานไตรดีใจเหลือแสน รีบลุกเร็วจะมาหาเนื้อนางที่หน้าต่าง แต่เจ็บแผลจนเซ ชนเก้าอี้ที่ตั้งอยู่ เก้าอี้จะล้ม แต่คว้าไว้ทัน กลัวเสียงดังจนคนข้างนอกรู้
หนานไตรจับเก้าอี้วางได้หมือนเดิม แต่ตัวเองทรุดลง เนื้อนางตกใจ ตัดสินใจปีนเข้ามาในห้อง
“หนานไตร”
เนื้อนางเข้ามาประคอง หนานไตรแตะมือมองจ้อง สองสายตาสบกันด้วยความรักความคิดถึง และห่วงหา เนื้อนางประคองหนานไตรขึ้น
หนานไตรตัดพ้อ ดุด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “ผมคิดว่าเนื้อนางจะไม่มาเยี่ยมผมซะแล้ว”
เนื้อนางอมยิ้ม “มาช้านิดเดียว ต้องดุด้วยเหรอ”
“ดุครับ แล้วก็จะลงโทษด้วย”
หนานไตรขยับใกล้ เนื้อนางมองตาวิบวับของหนานไตรแล้วเขิน
“ต่อไปเนื้อนางต้องมาเยี่ยมผมทุกวัน แล้วก็มาเยี่ยมนานๆ” หนานไตรว่า
“ไม่ได้หรอก เนื้อนางไม่อยากเจอพยาบาลส่วนตัวของหนานไตร” เนื้อนางเหน็บ
“ผมไม่เคยมีพยาบาลส่วนตัว”
หนานไตรขยับเข้าใกล้อีก
“แต่ตอนนี้อยากมีแล้ว...อยากให้เนื้อนางเป็นพยาบาลของผม”
เนื้อนางมองสะเทิ้นเขินอาย ขยับตัวออกห่าง
“งั้นก็ต้องเชื่อเนื้อนาง ไปนั่งพักก่อนนะ เดี๋ยวจะเจ็บแผล เชื่อเนื้อนางนะ เนื้อนางอยากให้หนานไตรหายเร็วๆ”
เนื้อนางดึงหนานไตรมานั่งลงที่เตียง หนานไตรยอมทำตามอย่างว่าง่าย เนื้อนางจะเดินออกห่าง หนานไตรรีบคว้ามือไว้
“อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ”
“ปล่อยเถอะ หนานไตร แค่เนื้อนางเข้ามาในห้องนี่ เกิดใครมาเห็นเข้าจะไม่ดี”
เห็นหนานไตรหน้าม่อยเนื้อนางยิ้มปลอบใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อ ส่งให้หนานไตร
“เนื้อนางอยากมาขอบคุณ ที่หนานไตรยอมเจ็บเพื่อช่วยชีวิตตา”
หนานไตรรับมาปลายนิ้วแตะปลายนิ้วในจังหวะนี้ เนื้อนางดึงมือกลับอย่างนุ่มนวล ยิ้มหวาน หนานไตรเปิดผ้าเช็ดหน้าออก เห็นกล้วยไม้สวย ก็ยกขึ้นดม ส่งสายตาไปทางเนื้อนาง
“หอมเย็น ชื่นใจ ไม่มีใครเทียบ”
เนื้อนางเขินกับสายตาคู่นั้น ค่อยๆ เดินกลับไปที่หน้าต่าง จะปีนออกไป
“มาเยี่ยมผมอีกนะครับ เนื้อนาง...นะครับ”
หนานไตรเอ่ยร้องขอเสียงอ้อน เนื้อนางหันมายิ้มหวานให้อีกที ก่อนจะปีนออกไป หนานไตรมองตามตาละห้อย เอาผ้าเช็ดหน้าแนบอกไว้อย่างทะนุถนอม
ขณะนั้น ดาวเด่นกำลังเดินมองหาแสงคำ เทพทัตเดินตามหลัง
“น้องดาวมองหาใครอยู่หรือเปล่า”
“เปล่าๆ ค่ะ ดาวไม่ได้มองหาควาญ” ดาวเด่นรีบแก้ตัว “ดาวมองหาช้าง ดาวอยากขี่ช้าง”
“อ้าว...อยากขี่ช้างก็ต้องไปทางโน้นซีครับ ทางนี้ไปเรือนคนงานนะ”
“อ๋อ...ดาวหลงทางน่ะค่ะ”
ดาวเด่นยิ้มแก้เก้อให้เทพทัต
แสงคำกำลังเดินออกมา มองไปเห็นเทพทัตกำลังอุ้มดาวเด่น ยกขึ้นนั่งบนช้าง โดยที่ดาวเด่นยิ้มชอบใจ เทพทัตคอยดูดาวเด่นเล่นกับช้าง แสงคำมองจ้อง
ดาวเด่นหันมาเห็นแสงคำ ก็โบกมือยิ้มให้อย่างทักทาย แสงคำเดินไปเลยไม่สนใจดาวเด่น
ดาวเด่นมองตาม หน้าตาเคืองขุ่น นึกน้อยใจแสงคำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ฝ่ายหนานไตรนั่งมองผ้าเช็ดหน้าที่เนื้อนางให้ แล้วยกขึ้นดมอีกครั้ง ภาพตอนใกล้ชิดเนื้อนางหลายครั้งผุดขึ้นมาในห้วงคิด
หนานไตรวางผ้าเช็ดหน้าบนอก แล้วนอนหลับตาลงอย่างมีความสุข
เนื้อนางกลับถึงเรือนแล้ว กำลังเคี่ยวยาในหม้อ คำฝายวางกระจาดสมุนไพรแห้งลง
“มีความสุขเหลือเกินนะ คงจะเอาหัวใจใส่ลงไปในหม้อยา ขอให้หนานไตรหายวันหายคืน”
เนื้อนางค้อนควักพูดประชด “พูดดังๆ สิ พี่คำฝาย จะได้รู้กันทั้งปาง”
“ไม่รู้หร้อก ปิดปากคำฝายกับม่อนดอยได้ ก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าเนื้อนางกับหนานไตรแอบเป็นห่วง ..เป็นใย...เป็นคน...” คำฝายยกเอานิ้วสองชี้คู่กัน
เนื้อนางอาย ยกกระบวยขึ้นขู่ คำฝายลอยหน้าหัวเราะคิกเสียงใส
หนานไตรนอนหลับไปสักครู่หนึ่ง โดยมีผ้าเช็ดหน้าเนื้อนางวางอยู่บนอก จนได้ยินเสียงเอะอะจากหน้าเรือน
“ขนลงมาให้หมด”
หนานไตรลืมตาตื่นขึ้น
“เสียงจันตา”
หนานไตรวางผ้าเช็ดหน้าลงบนหมอน รีบลุกออกไปด้วยความสงสัย
หนานไตรก้าวออกมาที่หน้าเรือน เห็นแม่นายลงจากรถ มีจันตากำลังสั่งคนขับรถขนของ แขไขก้าวไปยืนข้างแม่นายศรีวัลลาที่มองมายังเขา
“แขให้คนไปบอกแม่นายเองค่ะ ว่าพี่ไตรถูกยิง” แขไขบอกอีกว่า “คุณไม่ควรทำให้ผู้ใหญ่เป็นห่วง”
ธรรพ์เดินมาจากห้องด้านใน มายืนข้างพี่ชาย มองแม่นาย
“ไม่ต้องว่าหนูแข แกสองคนมันใจดำ ปิดบังกระทั่งเรื่องคอขาดบาดตายกับแม่”
แม่นายเดินขึ้นเรือนมากับแขไข มาหยุดหน้าหนานไตร
“แม่มารับแกกลับบ้าน”
“ผมยังกลับไม่ได้ครับ”
หนานไตรรีบมองธรรพ์ด้วยสายตาขอร้องให้ช่วยพูด ธรรพ์จำใจต้องหาเหตุผลบอกแม่
“พี่หมอสั่งว่าห้ามแผลกระทบกระเทือน”
แม่นายยิ้มใจเย็น “นึกแล้วว่าแกคงไม่ยอมกลับง่ายๆ ไม่เป็นไร ไม่กลับ แม่กับหนูแขไขก็จะอยู่ที่นี่ ดูแลแกไม่ให้คลาดสายตา”
แม่นายเดินขึ้นเรือน ผ่านหนานไตรกับธรรพ์เข้าไปด้านใน แขไขตามติด จันตาที่ตามรั้งท้าย ยิ้มบอกกับหนานไตร
“แม่นายให้ขนเสบียงมาเต็มรถ งานนี้อยู่ได้เป็นปี ไม่ไล่ไม่กลับแน่นอนค่ะ”
จันตาเดินตามแม่นายไปหนานไตรหันรีหันขวางหงุดหงิด ธรรพ์มองพี่ชายแล้วพูดขึ้น
“ทีนี้พี่จะหนีไปไหน ก็ไม่พ้นแล้วล่ะครับ”
“ฉันไม่หนีแล้ว...ดูสิว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน”
หนานไตรพูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด
แขไขเดินพาแม่นายเข้ามาในห้องนอนที่หนานไตรนอน จันตาเดินตามมา
“แขดูแลพี่ไตรที่ห้องนี้ เฝ้าอยู่คนเดียวทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ”
แม่นายยิ้มชื่นกับแขไข แล้วหันมองไป เห็นผ้าเช็ดหน้าบนหมอนก็หยิบขึ้นมา เปิดเห็นกล้วยไม้ในผ้าเช็ดหน้า
“หนูแขนี่น่ารักจริงๆ สรรหาดอกไม้มาทำให้ลูกชายน้าสดชื่น”
“ไม่ใช่ค่ะ ไม่ใช่ของแข”
แขไขเข้ามาดึงผ้าเช็ดหน้าไปมอง แม่นาย จันตามองสงสัย
“งั้นก็ต้องเป็นของนังหญิงร้าย ร่ายเสน่ห์มารยา”
“นังเนื้อนาง มันแน่ๆ แขจะไปเอาเรื่องมัน” แขไขโวยลั่น
“หยุดก่อน หนูแข”
“ทำไมละคะ แม่นาย ดูสิคะ แขปรนนิบัติพี่ไตรอยู่แท้ๆ เนื้อนางมันยังหน้าด้าน” แขไขแค้นนัก กำผ้าเช็ดหน้าแน่น “เอาผ้าเช็ดหน้าถูกๆ นี่มาล่อตาล่อใจพี่ไตร”
“น้าจัดการเรื่องนี้แน่ แต่เราต้องไม่ใช่คนผิดในสายตาณไตรเหมือนที่ผ่านๆ มา” แม่นายหันไปเรียก “จันตา”
จันตารีบเสนอหน้าเข้ามาใกล้ “แม่นายอยากรู้ใช่มั้ยคะ ว่าตอนนี้นังเนื้อนางมันทำอะไร อยู่ที่ไหน ให้จันตาวางแผนร้ายทำลายมันเลยมั้ยคะ...มั้ยคะ”
จันตายิ้มรู้ใจเจ้านาย ศรีวัลลาหันมองแขไขแววตามีแผนร้าย
เวลานั้นเนื้อนางเดินถือตะกร้าเสื้อผ้ามากับคำฝายจะไปซักที่ลำธาร สร้อยฟ้าเดินออกมาจากอีกทาง
“นังคำฝาย”
“เนื้อนาง ได้ยินเสียงผีเปรตที่ไหนมาร้องเรียกขอส่วนบุญกลางวันแสกๆ มั้ย” คำฝายแกล้งหันไปทำเป็นเพิ่งเห็น “อ้าว นังสร้อยฟ้านี่เอง”
“ไปช่วยที่โรงครัวหน่อย คุณแขไขให้ทำความสะอาด เอาจานชามมาต้ม”
“ต้มทำไมวะ จานชามกินก็ไม่ได้” คำฝายตีรวน
“นังง่าว ต้มฆ่าเชื้อโรคโว๊ย หมอเปิ้นสั่งให้ทำความสะอาดเรือนที่หนานไตรนอนเจ็บ”
คำฝายไม่อยากไป “คนงานก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ ข้าไม่ว่าง กำลังจะไปซักผ้า”
เนื้อนางเอ่ยขึ้น “ฉันไปให้เอง”
“ไม่ต้อง คุณแขสั่งแค่นังคำฝาย แกหยุดอยู่ตรงนั้น เนื้อนางไม่ต้องมาสะเออะเป็นนางฟ้า”
คำฝายฉุน “ที่ข้าไปเนี่ย ถือว่าทำให้หนานไตรที่กำลังเจ็บอยู่หรอกนะ ไม่ใช่ทำให้นังผู้ดี”
คำฝายวางตะกร้า สะบัดก้นไปกับสร้อยฟ้าฉุนๆ เนื้อนางหยิบตะกร้าขึ้นมา เดินแยกไปทางลำธารโดยไม่รู้ว่าเรื่องร้ายๆ รออยู่
หนานไตรมองแม่นายกับแขไขที่กำลังจิบชา หน้าตาสดชื่นอย่างไม่ค่อยไว้ใจ หนานไตรหันไปทางดาวเด่น
“คุณดาวเพิ่งกลับมาจากในปาง เห็นเนื้อนางบ้างมั้ยครับ”
ดาวเด่นกระเถิบมาใกล้หนานไตร ธรรพ์ เทพทัต
“ไม่เห็นเลยค่ะ”
“ไอ้หมอ ฉันวานแกไปที่เรือนเนื้อนางที” หนานไตรบอก
“ไปตอนนี้ แม่นายก็ฆ่าฉันสิวะ” หมอท้วง
“ใจเย็นๆ นะครับ พี่...ยิ่งทำท่าว่าเป็นห่วง คนรับเคราะห์จะเป็นเนื้อนาง” ธรรพ์ปราม
หนานไตรว้าวุ่นใจ นั่งไม่ติด ลุกขึ้น แม่นาย กับแขไขหันมามอง
“จะไปไหนหรือ ณไตร มาทานชาด้วยกันก่อนสิ”
“ผมจะไปกินยา”
หนานไตรเดินเข้าไปทางห้องนอน แขไขยิ้มแย้มจิบชาไปตามปกติ ทุกคนได้แต่มอง ไม่กล้าทำอะไรให้แม่นายหงุดหงิด
แม่นายสบตาจันตาเป็นอันรู้กัน
ด้านสร้อยฟ้าเอาจานชามมาวางกองลงหน้าคำฝายกับคนงานหญิงที่กำลังต้มลงในหม้อ
“ถอดกะได ถอดไม้ ถอดตะปูเรือนมาต้มด้วยเลยสิวะ”
คำฝายบ่น สร้อยฟ้าทำไม่สนใจ หันหลังแอบยิ้มร้ายตามแผนของแม่นาย
ฝ่ายหนานไตรเดินเข้าห้องมา เห็นผ้าเช็ดหน้ายังวางอยู่บนหมอนเหมือนเดิม หนานไตรรีบปิดประตู เดินมาหยิบดู ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่สายตาหนานไตรยังกังวลใจไม่คลาย
ขณะเดียวกัน เนื้อนางกำลังก้มซักผ้า รัญจวน กับกำปุ้งย่องเข้ามาจากด้านหลัง กำปุ้งเอาผ้าปิดตาเนื้อนาง เนื้อนางดิ้นรนสุดแรง
“ใครน่ะ ใคร ปล่อยฉันนะ”
เนื้อนางดิ้นแต่กำปุ้งรัดแน่น เนื้อนางคว้าตะกร้าเหวี่ยงไป โดนกำปุ้งจุก กำปุ้งจะแหกปากร้อง รัญจวนจ้อง กำปุ้งเอามือปิดปาก
รัญจวนพุ่งเข้าไปตบเนื้อนางคว่ำ เนื้อนางจะแกะผ้าปิดตาออก แต่กำปุ้งเข้ารวบสองมือเนื้อนางขึ้นเหนือตัว รัญจวนเข้ามาคร่อม มองจ้องหน้าเนื้อนาง แล้วฉีกเสื้อเนื้อนางดังแคว่ก
“อย่า...อย่า อย่าทำฉัน” เนื้อนางกรีดร้อง
รัญจวนสบตาร้ายกับกำปุ้ง แล้วฉีกเสื้อเนื้อนางด้วยแววตาร้ายกาจ กำปุ้งจิกหัว เนื้อนางพยายามดิ้นรนเต็มที่ รัญจวนกระชากเนื้อนางขึ้น ตบอีกทีอย่างแรง เนื้อนางสลบไปกับพื้นทันที
รัญจวนฉีกผ้าถุงเนื้อนางขึ้นมา แล้วถกขึ้นสูง เนื้อนางไม่รู้ตัวนอนสลบ
“เนื้อนาง คนอย่างแกไม่มีวันชนะแม่นาย”
กำปุ้ง กับรัญจวนมองแล้วยิ้มร้ายให้กัน รีบวิ่งออกไปทันที
ทิ้งร่างเนื้อนางในสภาพยับเยินให้นอนสลบอยู่ตรงนั้น
อ่านต่อตอนที่ 6