xs
xsm
sm
md
lg

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 5

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 5

บริเวณโกดัง...คามินจูงมือมัทนาไปหลบข้างตู้คอนเทนเนอร์ตู้หนึ่งแล้วมองรอบๆอย่างระแวดระวัง มัทนามองมือคามินที่จับมือตัวเองใจสั่นรู้สึกประหลาด
“ไม่มีใคร...พวกมันคงหาเราไม่เจอเลยไปกันหมด”
คามินหันมาเห็นมัทนามองมือที่จับกันอยู่ก็ตกใจรีบปล่อย ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างประดักประเดิดทำหน้าไม่ถูก
คามินรีบหลบตา
“เอ้อ”
มัทนามองคามินลุ้นว่าจะพูดอะไร
“เอ้อ...มีโทรศัพท์สาธารณะอยู่” คามินนึกได้ชี้มือไปทางหนึ่ง “ตรงโน้น...ผมจะไปโทรบอกคุณธรรมรัตน์นะครับว่าพวกเราปลอดภัยแล้ว”
คามินรีบเดินออกไป มัทนามองคามินใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก

คามินกับมัทนา เดินมาด้วยกันที่ห้องรับรอง ต่างคนต่างไม่กล้ามองหน้ากัน ธรรมรัตน์ มินตรา เหมันต์ที่รออยู่อย่างร้อนใจรีบวิ่งมาหา
“เจ็บตรงไหนรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ”
“ผมก็ไม่ครับ”
ธรรมรัตน์กับเหมันต์ ถอนหายใจอย่างโล่งอก มินตราลอบมองมัทนาไม่พอใจ
“มัทกับคุณคามินไม่เป็นไรจริงๆค่ะแต่มัท” มัทนามองคามินอย่างอึดอัดใจแล้วโกหก “เหนื่อยกลับบ้านกันเถอะค่ะ”
เหมันต์ขัดขึ้น
“ยังกลับไม่ได้ครับ...ตำรวจเจอโทรศัพท์ของคุณมัทกับคุณคามินตกอยู่ริมถนนเค้ากำลังเอามาคืนให้ที่นี่ แล้วท่านประธานก็ขอให้เขาสอบปากคำคุณมัทกับคุณคามินที่นี่เลยจะได้ไม่ต้องไปโรงพักครับ”
“พ่อไม่อยากให้เป็นข่าวไม่อยากให้ท่านหญิงรู้ว่ามัทโดนคนร้ายจับตัวพ่อไม่อยากให้ท่านหญิงเครียดจนล้มป่วยเหมือนที่เคยเป็น”
มัทนาพยักหน้าเข้าใจ คามินมองธรรมรัตน์อย่างรู้สึกผิด
“ผมผิดเองที่ประมาทจนทำให้คุณมัทตกอยู่ในอันตราย...”
“ผมต่างหากที่ประมาท ตอนงานวันเกิดยัยมัทก็มีคนบุกมายิงผมถึงบ้าน วันก่อนก็สร้างสถานการณ์ให้คนมาประท้วงที่นิคม วันนี้ก็มีคนมาจับตัวยัยมัทอีก...ผมอยากรู้จริงๆว่าผมไปทำอะไรให้ใครเจ็บช้ำน้ำใจเขาถึงจ้องทำลายผมกับครอบครัวอย่างนี้”
มินตราถามมัทนาอย่างร้อนใจ
“ตอนโดนจับตัวไป...คนร้ายพูดอะไรที่จะทำให้คุณมัทรู้บ้างมั้ยคะว่าพวกมันเป็นใคร”
“มันใส่ไอ้โม่ง เสียงก็ไม่คุ้น...มัทไม่รู้จริงๆว่าพวกมันเป็นใครแล้วมาจับตัวมัททำไม”
มินตราถอนหายใจโล่งอก เหมันต์ตัดบท
“คุณมัท คุณคามินกำลังเหนื่อยอย่าเพิ่งถามอะไรเลยมิน....” เหมันต์บอกกับมัทนาและคามิน
“นั่งพักก่อนเถอะครับ”
มัทนากับ คามินจะเดินไปนั่งที่โซฟาทั้งคู่เห็นว่าจะเดินไปทางเดียวกันก็ชะงักมองหน้ากันอย่างประดักประเดิด แล้วเปลี่ยนใจจะเดินไปนั่งอีกมุม ทั้งคู่ชะงักอีกครั้งที่จะเดินไปทางเดียวกันอีก มัทนาหงุดหงิด
“ฉันจะไปนั่งตรงโน้น”
มัทนาเดินไปที่โซฟา คามินเดินไปอีกทาง ทั้งสองนั่งคนละมุมไม่กล้ามองหน้ากัน ธรรมรัตน์ เหมันต์ มินตรามองคามินกับมัทนา ที่แยกกันนั่งคนละมุมงงๆ

ค่ำนั้น...มัทนาใส่ชุดนอนนั่งอยู่หน้ากระจก มินตราหวีผมให้ มัทนามองเหม่อคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา...คามินจับมือเธอมากุมที่หัวใจของตัวเอง
“รู้สึกหัวใจผมเต้นมั้ย”
มัทพยักหน้า
“ถ้ายังงั้นมองหน้าผมแล้วหายใจไปพร้อมกับ จังหวะหัวใจของผมเต้นนะ”
มัททำตามรู้สึกสงบลง
“แปลกจังฉันรู้สึกไม่กลัวแล้ว”
คามินเอาชายแขนเสื้อซับเหงื่อให้มัทนา
“จำไว้ ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่คุณต้องปลอดภัย”
มัทนามองหน้าคามิน เหมือนต้องมนต์กันทั้งคู่ ทั้งคู่โน้มหน้าเข้าหากันช้าๆ จนริมฝีปากแตะกัน

ปัจจุบัน...มินตรามองมัทนาที่นั่งเหม่ออย่างสงสัย
“คุณมัทคะ”
มัทนายังเหม่อไม่ได้ยิน
“คุณมัทคะ...คุณมัท”
มัทนาสะดุ้งตื่นจากภวังค์
“พี่มินเรียกมัทเหรอคะ”
“พี่เห็นคุณมัทนั่งเหม่อตั้งนานแล้วมีเรื่องเครียดอะไรรึเปล่าคะ”
“มัทก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรียกว่าเครียดรึเปล่า”
“ไม่รู้ตัวว่ารู้สึกยังไงเหรอคะ”มินตรางง

“ค่ะ...มันทั้งงง ทั้งกังวล ตื่นเต้น ตกใจ แต่ก็สงบ มีความสุข อบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก...มันหลายความรู้สึกจนมัทสับสนไปหมดแล้วละค่ะ”
“คนเราจะสับสนได้ขนาดนี้มันต้องมีสาเหตุ ตอนโดนคนร้ายจับตัวไปคุณมัทไปเจออะไรมาคะ”
มัทนาอึ้งไปไม่กล้าบอกมินตราว่าจูบกับคามิน
“ปละ...เปล่าค่ะ...ไม่ได้เจออะไร”
“ถ้าไม่ได้เจออะไรแล้วจะสับสนความรู้สึกตัวเองได้ยังไง”
“เอ้อ...มัท...มัทอาจจะตกใจที่โดนคนร้ายจับตัวไปก็ได้...ช่างเถอะค่ะนอนหลับตื่นมาเดี๋ยวก็หาย พี่มินไม่ต้องห่วงนะคะไปนอนเถอะ”
มินตราพยักหน้าแล้วเดินออกไป มัทนามองกระจกคิดถึงคามิน
“ฉันควรจะโกรธนายถึงจะถูกซิ”

มินตราไปที่เตียงล้มตัวลงเอาหมอนปิดหน้า

คามินอยู่ในห้องพักที่โรงแรม นั่งเหม่อคิดถึงตอนที่จูบกับมัทนาเช่นกัน

ในอดีต...มัทนามองหน้าคามิน เหมือนต้องมนต์กันทั้งคู่ ทั้งคู่โน้มหน้าเข้าหากันช้าๆ จนริมฝีปากแตะกัน
คิดเรื่องราวที่ผ่านมา คามินยิ้มมีความสุข แล้วได้สติรีบสะบัดหัวแล้วบอกตัวเอง
“แกบ้าไปแล้ว ทำไมแกทำแบบนี้คามิน”
คามินถอนหายใจอย่างรู้สึกผิด

สายๆของวันรุ่งขึ้น...มัทนาชะเง้อรอคามินอย่างตื่นเต้น มินตราเพิ่งเก็บดอกไม้จากในสวนถือตะกร้าเดินเข้ามาเห็นมัทนาชะเง้อเหมือนรอใครบางคนก็ถามอย่างแปลกใจ
“รอใครอยู่เหรอคะ”
มัทนาชะงักไม่กล้าบอก
“เปล่า...มัทไม่ได้รอใครซะหน่อย”
“แล้วมายืนตากแดดให้ร้อนทำไมคะ”
มัทนากลัวมินตราสงสัยโกหกกลบเกลื่อน
“เอ้อ...คือ ช่วงนี้มัทไม่ค่อยได้เล่นกีฬากลางแจ้งเหมือนที่เคยเล่นเลยกลัวว่าร่างกายขาดวิตามินเคเลยออกมาตากแดดน่ะค่ะ”
มินตรามองมัทนาไม่เชื่อ คามินขับรถเข้ามาจอด มัทนามองตื่นเต้น
“มัทเริ่มร้อนแล้ว...มัทเข้าบ้านก่อนนะคะ”
มัทนาเข้าบ้านไปอย่างมีพิรุธ มินตรามองตามสงสัย

คามินมองเข้าไปในบ้านอย่างหนักใจแล้วตัดใจเดินเข้าไปอย่างพร้อมเผชิญหน้ากับมัทนา เสียงมินตราดังขึ้น
“คุณคามินคะ”
คามินหันไปเห็นมินตราเดินมาหาอย่างร้อนใจ
“เมื่อวานตอนคุณไปช่วยคุณมัทเกิดอะไรขึ้นรึเปล่าคะ”
คามินมองมินตราอย่างตกใจ
“คุณมัทบอกคุณว่ายังไงครับ”
“ไม่ได้บอกน่ะสิคะ มินถึงต้องมาถามคุณ”
คามินถอนหายใจโล่งอกแล้วมองมินตราอย่างรู้สึกผิด
“ไม่มีอะไรครับ”
มินตราไม่เชื่อแต่เก็บอาการ
“เหรอคะ...งั้นมินคงห่วงคุณมัทจนคิดมากไปเอง”
คามินไม่อยากโกหกมากกว่านี้
“วันนี้มีประเพณีรายาหลายอย่างที่ผมต้องสอนคุณมัทไว้เตรียมรับเสด็จเจ้าชายรัชทายาท...ผมขอตัวก่อนนะครับ”
คามินเดินไปอย่างรู้สึกผิด มินตรามองตามคามินสงสัยแล้วเดินตามเข้าไป

มัทนานั่งรอคามินอย่างตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อีกใจก็อยากรู้ว่าคามินรู้สึกยังไงที่จูบกัน คามินเดินเข้ามาเห็นมัทนานั่งอยู่ก็ชะงักนิดหนึ่งแล้วเดินเข้ามาหา มัทนาหันมามองทั้งคู่สบตากันอย่างประดักประเดิดแล้วรีบมองไปทางอื่น มัทนาพูดกับคามินแบบไม่มองหน้า
“คุณ เอ้อ มีอะไรจะพูดกับฉันมั้ย”
คามินใจสั่นที่ต้องเผชิญหน้ากับมัทนารวบรวมความกล้าแล้วหันไปพูดด้วย
“มีครับ”
มัทนาหันขวับมาถามอย่างตื่นเต้น
“พูดมาเลย”
มินตราเดินมาแอบดูที่มุมหนึ่ง
“ถอนสายบัวแบบรายาให้ผมดูหน่อยครับ”
มัทนาหงุดหงิด
“ถอนสายบัวแบบรายา”
“ครับ...อีกไม่กี่วันเจ้าชายรัชทายาทก็จะเสด็จมาแล้ว ผมอยากทำให้คุณทำตามประเพณีรายาได้อย่างถูกต้องที่สุด”
“นี่คุณไม่คิดจะพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานเลยรึไง”
คามินมองหน้ามัทนาชะงักไปไม่กล้าพูด มินตราที่แอบดูอยู่แปลกใจ
“เรื่องเมื่อวาน เรื่องอะไรกันนะ”
มินตรามองมัทนากับคามินอย่างอยากรู้อยากเห็น แต่ก่อนที่มินตราจะได้ยินอะไรมากกว่านั้นอนงค์เดินเข้ามาสะกิดซะก่อน
“คุณมินมาอยู่ตรงนี้เอง...คุณท่านเรียกหาค่ะ”
มินตรามองมัทนากับคามินอย่างเสียดายแล้วเดินกลับไป อนงค์เดินตามออกไปแบบไม่สงสัยอะไร มัทนามองคามินอย่างหงุดหงิด
“ไม่ได้ยินที่ฉันถามรึไง”
“ได้ยินครับ...แต่ผมไม่มีอะไรจะพูด”
“ไม่มีอะไรจะพูด...นี่เหรอหัวหน้าราชองครักษ์ สุภาพบุรุษที่สุดในโลกแห่งรายาที่พ่อแม่ฉันชื่นชมนักหนา จูบผู้หญิงแล้วไม่มีอะไรจะพูดแม้แต่คำว่าขอโทษงั้นเหรอ”
คามินพูดไม่ออกที่มัทนาตรงมาก เขาค้อมหัว
“ผมขอโทษครับ”
“เก็บคำขอโทษของคุณไว้เถอะ เพราะฉันอยากได้ ยินคำขอโทษที่พูดด้วยความรู้สึกผิดไม่ใช่คำขอโทษที่พูดด้วยความจำใจ”
คามินมองมัทนาอย่างหนักใจ
“ผมขอโทษด้วยความจริงใจ...ผมทำไปเพราะ เพราะต้องการจะช่วยคุณเท่านั้น”
“นั่นเป็นวิธีช่วยของคุณ”
“ผมรู้ว่ามันเป็นการหมิ่นเกียรติของคุณอย่างร้ายแรง ถ้าผมจะทำอะไรเพื่อเป็นการไถ่โทษได้ ผมยินดี”
มัทนามองคามินอย่างไม่พอใจ
“ได้”
มัทนาซัดมวยรายาใส่คามินทันที คามินถอยหลบอย่างรวดเร็ว
“คุณทำอะไร”
“ฝึกมวยรายาไง ถ้าคุณรับหมัดฉันได้ ฉันจะยกโทษให้”

มัทนาใช้มวยรายาเตะต่อยคามินอย่างจริงจังกะให้เจ็บจริง คามืนถอยร่น

คามินถอยหนีมาที่ริมสระ มัทนายังใช้มวยรายาจู่โจมออกมา เธอพูดอย่างโมโห


“ฉันไม่ชอบรังแกใครฝ่ายเดียว สู้กับฉันเดี๋ยวนี้”
“ผมกลัวพลาดโดนคุณเจ็บ”
“ฉันฝึกมาจนคล่องแล้วไม่เสียทีคุณง่ายๆหรอก”
“ถ้าคุณเรียกท่าต่อยกระย่องแระแย่งนี่ว่าฝึกจนคล่อง คุณก็เข้าใจผิดแล้ว”
“งั้นก็ลอง เทควนโด้สายดำดูแล้วกัน”
มัทนามองคามินอย่างโมโห จู่โจมไม่ยั้ง คามิน ใช้มวยรายาต่อสู้กับ เทควนโด้ของมัทนาอย่างสวยงาม คามินจู่โจมกลับจนมัทนาต้องเป็นฝ่ายถอยบ้าง มัทนาถอยมาถึงริมขอบสระ แล้วเสียหลักจะหงายท้องตกสระ
“ว้าย”
คามินมองอย่างตกใจรีบรวบเอวดึงไว้ หน้ามัทนาเกือบชนหน้าคามิน ทั้งคู่มองตากันด้วยความรู้สึกลึกซึ้งใจสั่น คามินได้สติผละออกมา
“คุณไม่เป็นไรใช่มั้ย”
มัทนามองโมโห
“คนอย่างฉันมันหัวแข็งไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก”
คามินมองอย่างหนักใจ มัทนาซัดมวยรายาใส่อีก คามินจับมือ มัทนาขัดขืนจะดึงมือออกแต่สู้แรงเขาไม่ไหว คามินมองยิ้มขำพูดอ่อนโยน
“เราเสียเวลาฝึกการต่อสู้นานเกินไปแล้ว เปลี่ยนไปฝึกอย่างอื่นเถอะนะครับ”
มัทนามองอย่างหงุดหงิดพยายามดึงมือออกจากคามิน แต่สู้แรงไม่ไหวสุดท้ายยอมจำนนพูดอย่างโมโห
“ถ้าอยากให้ฉันไปฝึกอย่างอื่นก็ปล่อยฉันสิ”
คามินปล่อย มัทนารีบสะบัดมือออกมองอย่างหงุดหงิด

เจ้าชายมาคี โภคิน ชวาล แต่งชุดสากลเดินมาตามทางหน้าตำหนัก สินธร เดินนำออกมา องครักษ์คนหนึ่งยืนหน้าเครียดอยู่
“รถพระที่นั่งพร้อมรึยัง” สินธรเข้าไปถาม
“เอ่อ...” องครักษ์หน้าเสีย
“มีปัญหาอะไรก็พูดมาซิ” สินธรจ้องหน้า
พระนางสาวิตรี เทวี หฤทัย เดินมาถึง
“รถไม่มีปัญหาหรอก คนต่างหากที่มี”
โภคินและทุกคนทำความเคารพ
“เจ้าชายมาคี กลับเข้าไปในตำหนัก” พระนางสาวิตรีสั่งเสียงเข้ม
“แต่ว่าลูกต้องออกเดินทางแล้ว”
“ลูกไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น แม่ไม่อนุญาต”
โภคินขัดขึ้น
“การเดินทางไปเมืองไทยขององค์รัชทายาทครั้งนี้เป็นพระบรมราชโองการขององค์ราชา...หากผู้ใดขัดพระบรมราชโองการจะมีความผิดมหันต์พะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีมองโภคินอย่างไม่พอใจ
“ก็ให้มันรู้ไปว่าเสด็จพี่จะจับเราเข้าคุก เจ้าชายมาคีลูกสัญญากับแม่แล้ว ว่าจะอภิเษกกับหฤทัย ลูกก็ต้องทำตามคำสัญญา”
เทวีแอบหยิกหฤทัย พลางพูดไปด้วย
“พอทราบเรื่องหฤทัยเสียใจมาก เกือบจะฆ่าตัวตาย ดีที่หม่อมฉันห้ามไว้”
หฤทัยน้ำตาร่วงเพราะ แรงหยิก สินธรเห็น หฤทัยสะอื้น
“เพคะ หฤทัยเสียใจมากจริงๆ”
เจ้าชายมาคีอยากไปหาคามิน กลัวไม่ได้ไป ทำเป็นอึดอัดใจ
“แต่ลูกขัดรับสั่งของเสด็จพ่อไม่ได้”
สินธรรีบเตือน
“ควรจะรีบเสด็จไปสนามบิน หากช้ากว่านี้ จะทำให้ตารางการบินที่สนามบินปั่นป่วนนะพะยะค่ะ”
พระนางสาวิตรีตวาด
“ก็ฉันบอกว่าไปไม่ได้ ไม่ได้ยินรึไง”
“เกล้ากระหม่อมจำเป็นต้องทำตามพระบัญชาขององค์ราชา ขอประทานอภัยด้วย”
โภคินพยักหน้าให้สินธร แล้วเข้าไปโค้งแล้วแตะแขนพาเจ้าชายมาคีไป ชวาลรีบตามไปตัวลีบ พระนางสาวิตรีโกรธมากจะตามไป
“หยุดนะเจ้าชายมาคี”
สินธรเข้าขวาง พระนางสาวิตรีจ้องหน้าเอาเรื่อง“เจ้า บังอาจนะที่กล้าขัดคำสั่งเรา อย่านึกว่าไอ้คามินจะคุ้มกะลาหัวเจ้าได้”
“เกล้ากระหม่อมยินดีรับการลงฑัณฑ์พะยะค่ะ”
“ทำยังไงดีละเพคะ เจ้าชายเสด็จไปแล้ว” เทวีร้อนใจ
สินธรผละตามเจ้าชายไป พระนางสาวิตรีแกล้งเป็นลมล้มพับไป เทวีกับหฤทัยรีบเข้ามาประคองอย่างตกใจ
“ว้าย ตายจริง”
หฤทัยเข้าประคอง
“องค์ราชินีเพคะ”
เจ้าชายมาคีหันมามองเห็นพระนางสาวิตรีเป็นลมก็มองตกใจ
“เสด็จแม่”

ชวาล โภคิน สินธร ตะลึง

คามินมองมัทนาที่เล่นเปียโนบรรเลงเพลงกล่อมเด็กของรายาอย่างไพเราะ คามินยืนฟังเพลงอย่างต้องมนต์ ฟังมัทนาเล่นจนจบเพลงปรบมือให้อย่างชื่นชม
“ไม่คิดเลยว่าคุณจะเล่นดนตรีได้ไพเราะอย่างนี้”
มัทนาหันขวับมาพูดอย่างหงุดหงิด
“ฉันมีเรื่องที่คุณคิดไม่ถึงอีกเยอะ”
“ทำไมคุณถึงเล่นเพลงกล่อมเด็กของรายาได้”
“ก็มันอยู่ในดีวีดีที่คุณให้ฉันดู เพราะดีนะ...ชื่อเพลงอะไร”
“หลับฝันดี...เป็นเพลงพื้นเมืองรายาที่เอาไว้ใช้กล่อมเด็ก”
“เด็กได้ฟังเพลงเพราะๆแบบนี้ก่อนนอนคงหลับฝันดีแบบชื่อเพลงกันทุกคน...ตอนเด็กๆเวลาคุณแม่คุณร้องเพลงนี้กล่อมคุณก็หลับฝันดีเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
คามินหน้าเจื่อนเศร้าสร้อย
“ผมไม่รู้หรอกครับว่าแม่ผมเคยร้องเพลงนี้กล่อมผมรึเปล่า ตั้งแต่จำความได้ผมไม่เคยเห็นหน้าแม่กับพ่อเลย ผมเป็นเด็กกำพร้าครับ”
มัทนามองคามินอย่างไม่อยากเชื่อ
“แล้วคุณไม่อยากรู้เหรอคะว่าพ่อแม่คุณเป็นใคร”
“ไม่ครับผมไม่เคยอยากรู้...ผมรู้แค่ว่าองค์ราชาเปรียบเสมือนเจ้าชีวิตที่ผมจะยอมทำตามรับสั่งของพระองค์ทุกอย่าง”
“แล้วถ้าพระองค์สั่งให้ท่านไปตายล่ะ”
“ผมก็จะไปทันที”
“โดยจะไม่ถามพระองค์สักคำเลยน่ะเหรอว่าทำไม”
“ครับ”
“ประหลาดดีคนแบบนี้ก็มีด้วย คุณนี่ไม่เหมือนฉันสักนิ๊ด...ฉันนะถ้าอยากร้องเพลงฉันก็จะร้อง
...ถ้าอยากเต้นก็จะเต้น”
มัทนาทั้งร้องทั้งเต้น คามินยิ้มขำมองอย่างเพลินตา
“พอเถอะครับคุณมัท...คุณต้องเลิกทำแบบนี้ได้แล้วนะเดี๋ยวตอนไปเป็นราชินีแล้วเผลอตัวทำให้ชาวรายาเห็นเข้าเขาจะหัวใจวายกันทั้งประเทศ”
“แปลก...ฉันว่าเขาน่าจะดีใจที่เห็นราชินีของเขาร่าเริงแล้วก็มีความสุข”
“ครับ นั่นเป็นยอดปรารถนาของชาวรายา และของผมด้วย”
ทั้งสองอึ้งกันไป คามินรีบเปลี่ยนเรื่อง
“เรามาเล่นละครกันเถอะครับ”
มัทนาแปลกใจ
“เล่นละคร”

คามินยืนอยู่ข้างผ้าม่าน ประกาศเสียงเข้ม
“เจ้าชายและพระคู่หมั้นเสด็จแล้ว”
คามินดึงเชือกผ้าม่านเปิดออก มัทนายืนประสานมือเหมือนนางงามยิ้มหวานโบกมือ คามินมองเธอหน้าขรึมแล้วส่ายหน้า มัทนากลับมาสำรวม เดินมากลางห้อง คามินจับมือเธอมาคล้องแขนแล้วก้าวออกมาอย่างสง่างาม เขาหันไปกดรีโมทเปิดเพลงจากเครื่องเสียง เพลงของรายาดังขึ้น คามินโค้งให้ มัทนาถอนสายบัวให้เขา แล้วเต้นรำแบบรายา
“ในพิธีต้อนรับพระคู่หมั้น เจ้าชายและพระคู่หมั้น ต้องเต้นรำแบบรายาด้วยกัน การเต้นรำแบบนี้ดัดแปลงมาจากระบำของชนพื้นเมืองรายาที่จะเต้นกันในวันพบคู่”
“วันพบคู่ คืออะไรคะ”
“วันแรกของฤดูหนาว จะมีงานฉลองกันในหมู่บ้าน หนุ่มสาวที่ยังไม่มีคู่จะมาเต้นรำด้วยกัน และบอกรักกันในวันนั้น”
คามินกับมัทนา เต้นรำไปด้วยกันอย่างมีความสุข ทั้งคู่ก้าวเข้าชิดกัน มองตากัน คามินผละออก เต้นต่อ
“ไปถึงรายา ถ้าได้ซ้อมกับเจ้าชายคงจะดีกว่านี้ เจ้าชายรัชทายาททรงเต้นได้คล่องแคล่วกว่าผมมาก”
“ตอนนี้ฉันยังไม่อยากฟังเรื่องเจ้าชายรัชทายาทอยากฟังเรื่องคุณมากกว่า”
คามินชะงักนิดหนึ่งดีใจที่มัทนาสนใจแล้วรีบห้ามใจตัวเอง
“เรื่องผมไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกครับ”
“ไม่น่าสนใจสำหรับคุณแต่อาจจะน่าสนใจสำหรับฉันก็ได้...เล่าเรื่องคุณให้ฉันฟังหน่อย”
ถึงจังหวะที่มัทนาต้องหมุนตัว เธอเสียหลักเซมาชน คามินรีบรับไว้ทั้งสองมองตากันอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง คามินใจสั่นมากจนทนอยู่ใกล้ชิดมัทนาไม่ไหว
“เอ้อ...เอ้อ...วันนี้พอแค่นี้ก่อน ผมมีธุระต้องไปทำต่อ สวัสดีครับ”
คามินเดินออกไปอย่างรีบร้อน มัทนาเก้อๆ พาลๆ หงุดหงิด
“ยังกะฉันอยากจะฝึกกะนายซะเต็มประดา”

พระนางสาวิตรีกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง หฤทัยนั่งคุกเข่านอบน้อมข้างเตียง
“สีนี้แหละเพคะใช่เลย...ตอนนี้พระโอษฐ์ซีดเหมือน ทรงพระประชวรจริงๆเลยเพคะ” เทวีบอก
“แต่ตอนประชวร ไม่ควรจะทรงทาลิปสติกนะเพคะ มันเป็นสารเคมี อาจจะมีอันตราย”
หฤทัยขัดขึ้น เทวีเซ็ง
“อย่ามาทำรู้ดีหน่อยได้มั้ย”
พระนางสาวิตรีเอ็นดูความซื่อ
“ขอบใจนะหฤทัย เราไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“แต่พระองค์ตรัสกับหมอหลวงว่า ทรงหายพระทัยไม่ออก แล้วก็ทรงวิงเวียนมากนี่เพคะ”

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

เทวีหันมาดุ

“ทรงทำแบบนี้ ก็เพื่อจะให้เจ้าชายเลิกล้มการเดินทางไงเล่า ยัยลูกโง่”
หฤทัยอึ้งไป
“หมายความว่า...องค์ราชินีทรงเล่นละครแกล้งประชวรพระวาโยหลอกเจ้าชายหรือเพคะ”
เทวีมองหฤทัยอย่างไม่พอใจตีแขนอย่างแรง
“หฤทัย พูดไม่คิดอย่างนี้อยากหัวขาดรึไงรีบขอประทานอภัยองค์ราชินีเดี๋ยวนี้”
เทวีจะอธิบาย พระนางสาวติรียกมือห้าม
“หลานฤทัยหวังดีไม่เป็นไรหรอกน่า เธอไปดูซิ เทวี ทำไมเจ้าชายมาคียังไม่มาเยี่ยมเราอีก”
นางกำนัลเข้ามา
“ขอประทานอภัยเพคะ”
เทวีหันไปถาม
“เจ้าชายมาคีเสด็จมาแล้วใช่มั้ย”
พระนางสาวิตรีรีบแกล้งนอนซม เทวีรีบเอาผ้าห่มให้ แล้วหันไปบอกลูกสาว
“ไปรับเสด็จเจ้าชายซิ”
หฤทัยไปที่ประตู...บุหลันถือถาดมีข้าวต้ม แก้วยาสมุนไพรอยู่ในถาด เดินเข้าห้องมา หฤทัย ถอนสายบัว แล้วชะงักเห็นเป็นบุหลัน เทวียังไม่ได้มอง
“ทรงอดทนไว้นะเพคะ อย่าทรงเป็นอะไรนะเพคะ”
พระนางสาวิตรีรีบเล่นละคร
“บอกเจ้าชายมาคีให้ไปซะ ไม่ต้องมาสนใจ ปล่อยให้เราตายๆไปเลย แม่คนนี้มันไม่มีความหมายแล้ว”
“คือว่า เจ้า...อ้าว...” เทวีหันไปเห็นเป็นบุหลัน “เจ้าชายล่ะ”
บุหลันยืนงงๆนิดหนึ่ง
“เสด็จไปเมืองไทยแล้วค่ะ”
พระนางสาวิตรีไม่เชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเรายังไม่สบายอยู่อย่างนี้”
“ไม่ทราบเพคะ องค์ราชาทรงมีรับสั่งให้หม่อมฉันนำน้ำสมุนไพรมาถวาย”
พระนางสาวิตรีโมโหมาก
“อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องอะไร โภคินสามีเจ้าสมคบกับไอ้คามินบังคับเอาตัวเจ้าชายมาคีไปใช่มั้ย”
เทวีโวยวายอย่างโกรธจัด
“เลวมาก ถึงกลับกล้าขัดรับสั่งองค์ราชินี คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
“หม่อมฉัน ไม่กล้าเพคะ หม่อมฉันมีหน้าที่เพียงทำตามพระบัญชาขององค์ราชาเท่านั้น” บุหลันพูดนิ่งๆ
พระนางสาวิตรีปัดถ้วยสมุนไพรกระเด็นไปถูกแขนหฤทัยที่อยู่ใกล้ แต่ไม่มีใครสนใจ หฤทัยสะดุ้ง ร้องเบาๆ พระนางสาวิตรีตวาดบุหลัน
“ไม่ต้องเอาองค์ราชามาขู่เรา...ออกไป ไปให้พ้น”
“หูแตกเหรอ ออกไปซิ ไป” เทวีเสริม
บุหลันย่อทำความเคารพแล้วก็ออกไป พระนางสาวิตรีโมโหสุดๆ เทวีร้อนใจ
“ทำยังไงดีเพคะ อย่างนี้แสดงว่า หฤทัยก็คงหมดโอกาส”
“ไม่มีวัน...เราไม่มีวันยอมให้เจ้าชายมาคีอภิเษกกับหญิงอื่น แผนของไอ้คามินไม่มีวันสำเร็จถ้าเรายังมีชีวิตอยู่”
พระนางสาวิตรีจะเดินออกไป พบราชาอินทรายืนอยู่
“แข็งแรงดีแล้วเหรอ พระนางสาวิตรี”
พระนางสาวิตรีอึ้ง

คามินกลับมาที่ห้องพัก นึกถึงมัทนาเล่นเปียโนบรรเลงเพลงกล่อมเด็กของรายาอย่างไพเราะ แล้วยิ้มมีความสุข แล้วนึกถึงเหตุการณ์ที่สู้กับมัทนา เธอถอยไปถึงริมขอบสระ แล้วเสียหลังจะหงายท้องตกสระ
“ว้าย”
คามินมองอย่างตกใจรีบรวบเอวดึงไว้ หน้าของมัทนาเกือบชนหน้าคามิน ทั้งคู่มองตากันด้วยความรู้สึกลึกซึ้งใจสั่น

คามินยิ้มมีความสุขแล้วก็ต้องตื่นจากภวังค์เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขามองหน้าจอแล้วกดรับสาย
“ครับ...ท่านโภคิน...เจ้าชายรัชทายาทจะเสด็จมาถึงเมืองไทยเย็นนี้”
คามินรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

ในห้องบรรทม...ราชาอินทราต่อว่าพระนางสาวิตรี
“บุหลันรับใช้พวกเราด้วยความจงรักภักดี ตะโกนไล่อย่างนั้นคิดบ้างมั้ยว่าเขาจะเสียใจแค่ไหน”
“ทรงเข้าข้างมันเหลือเกินนะเพคะ รักหลงใครไม่ลืมพระกรรณพระเนตรอย่างนี้สักวันจะโดนพวกมันจะรวมหัวกันคิดคด”
“เราห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่เราก็ยอมให้ใครทำอะไรที่ไม่ถูกต้องไม่ได้”
“หม่อมฉันทำอะไรเพคะที่ไม่ถูกต้อง”
“แกล้งป่วย เพื่อไม่ให้เจ้าชายมาคีไปเมืองไทยไง”
“หม่อมฉันไม่สบายจริงๆ”
“คนไม่สบายคงไม่มีแรงลุกขึ้นมาอาละวาด ตะโกนใส่หน้าใครเหมือนเมื่อกี๊ได้หรอก...”
พระนางสาวิตรีมองราชาอินทราอย่างโมโห

“ทำไมเพคะ...ทำไมเสด็จพี่ถึงอยากได้นังผู้หญิงต่างชาติต่างภาษาคนนั้นมาเป็นสะใภ้นัก”

ราชาอินทราเหม่อมองไปทางหนึ่งคิดถึงบางคน

“ผู้หญิงไทยมีความอ่อนโยน อ่อนน้อม ถ่อมตนและเคร่งครัดประเพณี ไม่แพ้ชาวรายา” ราชาอินทราหันมาพูดกับพระนางสาวิตรี “มัทนาฉลาด มีความรู้ เราแน่ใจว่า ผู้หญิงคนนี้จะทำให้เจ้าชายมาคีมีความสุขได้”
พระนางสาวิตรีประชด
“บรรยายสรรพคุณหญิงไทยได้ละเอียดจนเห็นภาพขนาดนี้...เคยมีชายาเป็นหญิงไทยรึไงเพคะ”
ราชาอินทรานิ่งไปไม่ตอบ

มุมหนึ่งใกล้ห้องบรรทม...สินธรเดินเตร่คอยอารักขาองค์ราชา เสียงเทวีแว้ดเข้ามา
“เพราะความไม่ได้เรื่องของแก ถ้าวันนั้นแกไม่ดัดจริตวิ่งหนีเจ้าชายออกมา ทุกอย่างก็จบแล้ว”
สินธรเดินไปแอบฟัง...เทวีจิกหฤทัยที่ยังเจ็บแขนเพราะน้ำร้อนลวก มาด่าในมุมที่ปลอดคน
“แต่คุณแม่เคยบอกฤทัยนี่คะ ว่าเป็นผู้หญิงต้องรักษาพรหมจรรย์ไว้ยิ่งชีวิต”
“ฉันบอกให้แกรักษาไว้เพื่อเสียให้คนที่ควรจะเสีย โอ๊ย...ทำไมแกถึงเข้าใจอะไรยากแบบนี้นะ”
“แล้วถ้าลูกยอมแล้ว เจ้าชายจะทรงรักลูกเหรอคะ”
“คนที่คิดถึงแต่เรื่องความรัก คือคนโง่เท่านั้น คนเรามันต้องมีเกียรติ มีอำนาจก่อน แล้วใครๆก็จะมารักเราเอง...จำใส่หัวไว้”
เทวีเดินไปอย่างเซ็งลูก หฤทัยยืนน้ำตาคลอ เจ็บแขน
“โอย...”
สินธรออกจากมุมที่แอบอยู่เข้าไปหา
“คุณหฤทัย เป็นอะไรครับ”
“เปล่า ไม่มีอะไร”
สินธรสังเกตเห็น
“ที่แขนของคุณมีแผล ขอโทษนะครับ”
สินธรจับแขนมาดู หฤทัยสะบัด
“ก็บอกว่าไม่เป็นไรไงล่ะ โอ๊ย”
สินธรแปลกใจ
“ผิวหนังพองเหมือนถูกน้ำร้อนลวกแบบนี้ยังว่าไม่เป็นไรอีกเหรอครับ...”
หฤทัยหน้านิ่วเพราะเจ็บ

ในสวนสวย...สินธรเอาเมือกสมุนไพรคล้ายเจลทาให้หฤทัย
“ยาอะไรน่ะ”
“เป็นยางของต้นกุมภีร์”
“ชื่อน่ากลัวจัง”
“แต่รับรองว่าสรรพคุณวิเศษสุด มันจะช่วยลดอาการบวมพอง แล้วก็ไม่ปวดแสบปวดร้อนได้ครับ”
หฤทัยรู้สึกดีขึ้น
“จริงด้วย มันรู้สึกเย็นๆ ไม่เจ็บเท่าไหร่แล้ว”
“ทำไมนายถึงรู้ล่ะ ว่ายางของต้นนี้รักษาแผลได้” สินธรยิ้ม
“เมื่อก่อน หมู่บ้านผมยากจนมาก ไม่มีหมอ ไม่มียา ถ้าใครถูกไฟลวกก็ต้องใช้ยางต้นกุมภีร์รักษาครับ”
“ความจนนี่มันไม่ดีอย่างที่คุณแม่พูดจริงๆ”
“แต่มันก็ทำให้เราอดทน เข้มแข็ง เพราะเราต้องต่อสู้ ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด”
“คงเหนื่อยแย่ ชีวิตที่ต้องต่อสู้แบบนั้น...”
“การต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ถึงจะเหนื่อย แต่มันจะทำให้ชีวิตของเรามีคุณค่านะครับ”
“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงล่ะ ว่าอะไรคือความถูกต้อง”
องครักษ์คนหนึ่งวิ่งมา มองหาเห็นสินธร
“ท่านสินธรครับ”
“มีอะไร”
องครักษ์เข้ามากระซิบ สินธรกังวล พยักหน้ารับรู้
“คุณหฤทัย ผมมีงานด่วน รักษาตัวด้วยครับ”
สินธรเดินออกไปพร้อมองครักษ์ หฤทัยมองตาม ครุ่นคิดสิ่งที่สินธรพูด

ห้องสวีทชั้นบนสุดวิวกรุงเทพยามเย็นสวยงาม...ในห้องหรู กว้างขวาง มีห้องนอนสามห้อง คามินยืนที่ประตูทำความเคารพเจ้าชายที่เดินเข้ามาอย่างร่าเริง ชวาลกับโภคิน เดินตามมา เจ้าชายมาคีมองวิวกรุงเทพยิ้มพอใจ
“ถึงจะมีแต่ตึกกับรถแต่ก็วิวสวยไม่แพ้เมืองหลวงประเทศอื่น...นายเลือกวิวได้ถูกใจเรามาก”
“ขอบพระทัยพะยะค่ะ” คามินโค้งรับ
เจ้าชายมาคีหันไปหาชวาล
“เอาแชมเปญมาเราจะดื่มฉลองที่ถูกปล่อยตัวออกนอกวัง”
“แต่วันเลยเหรอพะยะค่ะ” ชวาลขัดขึ้น
เจ้าชายมาคีมองชวาลหงุดหงิดจะขยับเข้าไปเตะ
“ทำตามรับสั่งเดี๋ยวนี้เลยพะยะค่ะ”
ชวาลวิ่งออกไป เจ้าชายมาคียิ้มขำเดินไปนั่งที่โซฟาอย่างสบายใจ
“เราจะเที่ยวให้หนำใจไปเลย”
“เจ้าชายคงไม่ทรงลืมภารกิจสำคัญที่ทำให้ต้องทรงเดินทางมาที่นี่นะพะยะค่ะ” โภคินขัด
“รู้แล้วน่า เราต้องมาพบคู่หมั้นของเรา แต่ตอนนี้เราของพักหน่อยได้มั้ย” เจ้าชายเดินไปโอบไหล่คามิน “เราคิดถึงนายทุกวันเลยนะแล้วก็มีเรื่องสำคัญอยากคุยกับนายด้วย...มาคุยกับเราหน่อย”

เจ้าชายมาคีเดินออกไปที่ระเบียง คามินมองโภคิน รู้กัน เดินตามไป โภคินมองตามหนักใจ

เจ้าชายมาคีหันมาพูดกับคามินอย่างเครียดๆ
“เราต้องการรู้ความจริง เรื่องที่กรรณิการ์ถูกทำร้าย เป็นฝีมือนายอย่างที่เสด็จแม่พูดหรือเปล่า”
“ทรงคิดว่ากระหม่อมจะทำเช่นนั้นได้หรือพะยะค่ะ”
“เราก็ไม่อยากเชื่อ แต่เสด็จพ่ออาจจะทรงบังคับให้นายทำก็ได้ ยิ่งมีเรื่องคู่หมั้น บ้าบอนี่ด้วย”
“ฝ่าบาทก็ทรงเห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาองค์ราชาปกครองรายาด้วยทศพิธราชธรรมแม้แต่ชนเผ่าที่เคยก่อจลาจลพระองค์ก็ลงอาญาแค่จับขังคุกทั้งที่โทษของพวกเขามีสถานเดียวคือประหาร...องค์ราชามีเมตตาธรรมสูงส่งไม่ทำร้ายกรรณิการ์แน่นอนพะยะค่ะ”
“แล้วใครล่ะที่ทำ...เสด็จแม่”
“เรื่องนี้เราคงต้องหาพยานหลักฐานให้ได้ก่อนถึงจะสรุปได้แน่ชัด”
“ได้...เราเชื่อนาย เฮ้อ ยังไงเราก็หลุดจากกรงขังมาแล้วถึงจะไม่กี่วัน เราก็ต้องพักผ่อนให้สนุกสุดเหวี่ยง”
“ไม่ทรงอยากทราบเรื่องพระคู่หมั้นบ้างหรือพะยะค่ะ”
“ยังไงก็ต้องเจอกันอยู่แล้ว ต้องสนใจทำไม แต่อย่าลืมนะ นายสัญญากับเราแล้วว่า ถ้าเราไม่ชอบใจผู้หญิงไทยคนนี้ นายจะช่วยไม่ให้เราต้องอภิเษก”
“พะยะค่ะ กระหม่อมไม่ลืม”
“งั้นก็จบ ไปดื่มแชมเปญกันดีกว่า...เรื่องอื่นค่อยว่ากัน”
เจ้าชายมาคีเดินแยกไป คามินถอนใจ โภคินเข้ามาถามคามิน
“ตกลงปัญหาเกี่ยวกับพระคู่หมั้นที่ท่าน พูดมันคือเรื่องอะไรกันแน่ คามิน”
“มีหลายเรื่องครับ แต่ตอนนี้เรื่องอะไรก็ไม่ร้ายแรงเท่า เรื่องที่มีคนปองร้าย คุณมัทนา”
“อะไรนะ” โภคินชะงักไป

ในสำนักงานอสิต...อัคนีกระทืบเท้างอแง
“คิดถึงคุณมัท อยากได้คุณมัทเป็นเมีย อยากได้คุณมัทเป็นเมีย”
“ใจเย็นๆ...ได้แน่ๆ” อสิตปลอบ
“อยากได้ตอนนี้...ไอ้คามินมันไม่ใช่ซุปเปอร์แมนที่มาจากนอกโลกซะหน่อยแต่ลูกน้องป๊าตั้ง
หลายคนก็ยังเอาชนะมันไม่ได้...ไล่ออกให้หมดไปเลย”
“คนใจกล้า ชั่ว เห็นแก่เงินยอมไปฉุดผู้หญิง รุมกระทืบคนมันหากันไม่ได้ง่ายๆนะไอ้หนู...ไล่พวกมันออกแล้วใครจะทำงานให้ป๊า”
อัคนีถอนหายใจอย่างขัดใจ
“แต่ป๊าก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนะ พอมันทำงานผิดพลาดป๊าก็ลงโทษมันเลย...ไปป๊าจะพาไปดูว่าป๊าลงโทษพวกมันยังไง”

ในห้องออกกำลัง... อสิตกับอัคนีเดินมาที่มุมหนึ่งเห็น ยักษ์ ลูกน้อง 2 คน เหงื่อท่วมตัวนอนบนบาร์ยกน้ำหนัก ยกเหล็กที่มีจานยกน้ำหนักที่หนักมาติดอยู่ ยักษ์กับลูกน้อง 2 คน ยกน้ำหนักอย่างยากลำบาก อสิตถามยักษ์
“เท่าไหร่แล้ว”
ยักษ์พูดไม่ค่อยออก
“17 ครับ”
“ยกไปจนกว่าจะครบ200”
ยักษ์วางท่อนเหล็กลงบนบาร์อย่างเหนื่อยสุดๆ
“พวกผมไม่ไหวแล้ว...เปลี่ยนวิธีลงโทษได้มั้ยครับ”
อสิตคิดๆ
“อืม...เปลี่ยนมาลงโทษด้วยการกินดีมั้ย”
อัคนีโวยทันที
“ป๊า...ทำไมใจอ่อนกับมันอย่างนี้ละครับ”
“ก็ป๊ารักลูกน้อง...มาๆลุกมา นั่งเรียงกันให้เป็นระเบียบเลยนะเดี๋ยวจะเอาของให้กิน”
ยักษ์กับลูกน้อง 2 คนดีใจมากแล้วชะงักเมื่ออสิตชักปืนออกมา ยักษ์หน้าเจื่อน
“เสี่ยจะให้พวกผมกินอะไรเหรอครับ”
“ลูกปืนไง...กรอกปากโป้งเดียวจะได้นอนนิ่งๆไม่ต้องเหนื่อยแถมสบายไปทั้งชาติด้วย”
ยักษ์รีบตะกายไปนอนที่บาร์
“วิธีเดิมนี่ละครับ ผมทนได้”
ทันใดนั้นลูกน้องคนหนึ่ง กระเด็นเข้ามาในห้อง อสิตหันขวับไปมอง
“เฮ้ย อะไรวะ”
“เสี่ย ช่วยด้วยครับ”
อัคนีหน้าตื่น
“หรือไอ้คามิน มันบุกมา ป๊าจัดการมันเลย”
อัคนีพูดเสร็จวิ่งหลบหลัง ดำ ดอน ถอยร่นมา กับลูกน้อง ดำมีปืน สุเทษในชุดแจ็กเก็ตเดินแบกเป้เข้ามา ดำเล็งปืนใส่

“บอกว่าเข้ามาไม่งั้นยิง”

สุเทษเหวี่ยงเป้ปัดปืนกระเด็น ทุกคนเข้ารุม แต่ถูกสุเทษใช้มวยรายาจัดการ ล้มระเนระนาด อสิตจ่อปืนใส่
“ลื้อเป็นใครวะ”
“นายผมสั่งให้ผมมาพบเสี่ย”
“ไอ้ธรรมรัตน์ใช่มั้ย กล้ามากที่มาเหยียบจมูกอั๊วถึงนี่”
“มันต้องเป็นพวกไอ้คามินแน่ ท่าต่อสู้ของมันเหมือนกันเลย ป๊า”
“ลื้อเข้ามาได้ แต่อย่าหวังว่าจะออกไป ไอ้ยักษ์จัดการ”
“ยังยกไม่ถึงสองร้อยเลยนะเสี่ย” ยักษ์ขัดขึ้น
อสิตทำท่าจะยิง ยักษ์รีบวางบาเบลแล้วร่วมกับลูกน้องสองคนเข้าปะทะกับสุเทษแต่ก็ป้อแป้ หมดแรง อสิตหงุดหงิด
“ไอ้บ้า แรงไปไหนหมดวะ เลี้ยงเสียงข้าวสุก”
“มันหมดตอนยกครั้งที่ 20 เมื่อกี๊ละครับ”
อสิตทำท่าจะยิง แต่สุเทษพุ่งมาถึงตัวตะปบข้อมืออย่างรวดเร็ว
“พูดจากันดีๆดีกว่าน่าเสี่ย”
อสิตสู้กับสุเทษ แบบเสือเก่า แย่งปืนกันไปมา แต่ในที่สุดสุเทษก็เอาปืนไปได้ อัคนี เข้าข้างหลัง เอาบาเบลทุ่มใส่แต่สุเทษหลบได้ หันไปจะยิง อัคนีหงายหลังผึ่งร้องเสียงหลง อสิตร้องห้าม
“อย่า...อย่ายิงลุกอั๊วนะ”
อสิตวิ่งไปกอดอัคนี สุเทษ ลดปืนลง ล้วงซองเอกสารจากหน้าอกออกมา โยนใส่ อสิต
“ของที่นายผมฝากมาให้”
อสิตหยิบมางงๆ

นายพลวิฑูรพูดโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“ขอโทษด้วยนะเสี่ย ที่ไม่ได้ติดต่อไปก่อน เผอิญมันเป็นงานด่วนแล้วก็เป็นความลับสุดยอด...ถ้าเสี่ยช่วยทำงานนี้สำเร็จ ผมสัญญาว่าถ้ารายาเปิดประเทศให้ต่างชาติเข้าทำสัมปทานเหมืองแร่ เสี่ยจะได้รับโอกาสเป็นคนแรก...ขอบคุณมาก”
นายพลวิฑูรกดวางสาย ยิ้มเหี้ยม
“เสียใจด้วยนะ พระคู่หมั้น ท่านคงไม่มีโอกาสได้เหยียบแผ่นดินรายาซะแล้ว”

ค่ำนั้น...ในห้องนอนของมัทนา อนงค์ใส่ชุดของมัทนานอนหลับฟุบหน้าอยู่ที่โต๊ะขากางหัวยุ่งสภาพน่าเกลียด มินตราเปิดประตูเข้ามาเห็นนึกว่ามัทนานอนอยู่ก็มองดูถูก
“เนี่ยเหรอสภาพว่าที่ราชินีของรายา”
มินตรายิ้มร้ายแล้วหยิบมือถือมาถ่ายรูปไว้ มองรูปยิ้มพอใจเดินเข้าไปเขย่าตัวอนงค์พูดอ่อนโยน
“คุณมัทคะ...คุณมัท”
อนงค์งัวเงียตื่นขึ้นมาปาดปากเช็ดน้ำลาย
“คุณมัทกลับมาแล้วเหรอคะ”
มินตรามองอนงค์อย่างตกใจ
“อนงค์”
อนงค์มองมินตราอย่างตกใจสุดขีด
“คุณมิน...”
อนงค์รีบทรุดไปนั่งกับพื้นพนมมือรีบบอก
“คุณมัทให้นงค์ใส่ชุดนี้แล้วก็ให้เปิดทีวี ทำเสียงดังๆเหมือนว่าคุณมัทอยู่ในห้อง นงค์ถูกคุณมัทบังคับอย่าไล่นงค์ออกนะคะ”
มินตราจ้องหน้าคาดคั้น
“คุณมัทไปไหน”

ประตูโรงแรมเปิดออก...มัทนาแต่งตัวสวยงามเดินเข้ามาในโรงแรมพร้อมคุยโทรศัพท์กับมินตรา
“มัทจะมาคุยกับเจ้าชายให้ยกเลิกการอภิเษกค่ะ...เจ้าชายอายุเท่าๆกับมัท ก็น่าจะหัวสมัยใหม่ไม่ยอมถูกจับคลุมถุงชนง่ายๆเหมือนกัน”
พอลล่าสาวสวยเซ็กซี่ สะพายกระเป๋าหรูเดินมา มัทนามัวแต่คุยโทรศัพท์หันไปชนพอลล่าอย่างจังกระเป๋าพอลล่าตกพื้น
“ว้าย”
“ว้าย...แค่นี้ก่อนนะคะพี่มิน...”
มัทนาวางสายแล้วพูดกับพอลล่า
“ขอโทษค่ะ”
“ที่ตั้งกว้างเดินยังไงให้มาชนฉันได้รู้มั้ยว่ากระเป๋าที่ เธอทำหล่นราคากี่หมื่น”
มัทนารีบหยิบกระเป๋าขึ้นมาดูความเรียบร้อยยิ้มหวาน
“ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน...”
มัทนายื่นกระเป๋าคืนพอลล่า
“ของเขาดีจริงๆนะคะ”
“ไม่ต้องมาตลกกลบเกลื่อนเธอต้องชดใช้ค่ากระเป๋าให้ฉัน”
“แต่กระเป๋าคุณไม่เสียหายเลยนะคะ”
“ไม่เสียหายแต่ของมันหล่นไปแล้วยังไงก็ไม่เหมือนเดิม...เอาเงินค่ากระเป๋ามา 4 หมื่น”
“ของไม่เสียหายแต่จะให้ฉันชดใช้ หิวเงินมากไปรึเปล่าคุณ”
“อ๊าย...ทำของฉันหล่นแล้วยังว่าฉันอีก”
คนแถวนั้นหันมามองอย่างตกใจ เต้ยแฟนพอลล่า เป็นหนุ่มสำอางแต่งตัวแบรนเนมวิ่งเข้ามา
“อะไรกัน”
“มันทำกระเป๋าพอลล่าหล่นแต่ไม่ยอมชดใช้ค่าเสียหาย”
“ก็กระเป๋าคุณไม่ได้เสียหาย” มัทนาเถียง
เต้ยมองพอลล่าอย่างเซ็งๆ
“อย่ามีเรื่องให้เสียฤกษ์เลยน่าเดี๋ยวงานจะไม่ราบรื่น”

เต้ยดึงพอลล่าออกไป พอลล่ามองมัทนาไม่พอใจแล้วเดินไป มัทนามองไม่พอใจเช่นกันแล้วเดินออกไป

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

มัทนาเดินไปที่ล้อบบี้ถามพนักงาน
“ฉันมาหาเพื่อนชื่อเจ้าชายมาคีเขาพักห้องไหนคะ”
พนักงานกดหาข้อมูล
“ทางโรงแรมเราไม่มีแขกชื่อคุณเจ้าชายมาคีค่ะ”
มัทนาคิดๆ
“ไม่มีเหรอ...เจ้าชายเสด็จมาส่วนพระองค์อาจจะใช้ชื่อปลอม...ไมเคิลค่ะลืมไปว่าเพื่อนฉันเปลี่ยนชื่อเป็นไมเคิล”
พนักงานกดหาข้อมูล...เจ้าชายมาคีแต่งตัวหล่อติดหนวด ใส่หมวก เปลี่ยนสไตล์การแต่งตัว เดินผ่านหลังมัทนาไป
“ได้ออกจากวังทั้งทีจะให้อยู่แต่ในห้องน่ะเหรอ...ไม่มีทาง”
เจ้าชายมาคีเดินเข้ามาที่บาร์ พอลล่าเดินมาข้างๆอย่างเซ็กซี่ ทั้งสองสั่งเครื่องดื่มพร้อมกัน
“เตกีล่า”
เจ้าชายมาคีหันไปมองพอลล่าเห็นความเซ็กซี่แล้วยิ้มพอใจ
“สวยๆอย่างคุณน่าจะชอบจิบไวน์ ไม่น่าเชื่อว่าจะชอบเครื่องดื่มแรงๆ”
พอลล่ายิ้มยั่ว
“ไม่ใช่แค่เครื่องดื่มนะคะ...รถ ผู้ชาย...ชอบแรงๆทุกอย่างเลยละค่ะ”
พอลล่ายิ้มยั่วแล้วเดินไป เจ้าชายมาคีมองตามยิ้มพอใจ

มัทนาเดินออกมจากลิฟท์ตัวหนึ่ง แล้วจะต่อลิฟท์ไปห้องสวีต องครักษ์ที่ยืนคุมลิฟท์อยู่รีบถาม
“จะไปไหนครับ”
“หาเพื่อนค่ะ”
“ลิฟท์ตัวนี้ไปที่ห้องสวีทที่เจ้านายผมพักอยู่เท่านั้น...เพื่อนคุณน่าจะพักชั้นอื่นนะครับ”
“ชั้นนั้นแหละถูกแล้ว...ฉันมาหา เอ่อ มาขอเข้าเฝ้าเจ้าชายมาคี”
องครักษ์ทั้งสองคนมองมัทนาอย่างตกใจ
“คุณรู้ได้ยังไงว่าเจ้าชายเสด็จมาเมืองไทย...คุณเป็นใคร”
“มัทนา เกียรติกำจร ว่าที่พระคู่หมั้นของเจ้าชาย ฉันขึ้นไปได้แล้วนะ”
มัทนาจะกดลิฟท์แต่องครักษ์ มาขวางไว้
“ยังครับ”
“ก็รู้แล้วว่าฉันเป็นว่าที่พระคู่หมั้นทำไมถึงยังให้ขึ้นไม่ได้”
“ผู้ที่จะขึ้นไปต้องได้รับการอนุญาตจากหัวหน้าองค์รักษ์ ผมขอโทรถามท่านคามินก่อน...”
มัทนาหน้าเสียแล้วรีบเก็กบอกองครักษ์
“ฉันรู้จักคุณคามินเดี๋ยวฉันโทรคุยกับเขาเอง”
มัทนาทำทีเป็นเปิดกระเป๋าแล้วเดินไปมุมหนึ่ง

มัทนาเดินมาหน้าค็อกเทลเลาน์อย่างเซ็งๆ
“ถ้าตาคามินรู้ว่าเราจะมาคุยกับเจ้าชายต้องไม่ยอมแน่ๆ...ทำไงดี”
มัทนาเดินเข้าไปอย่างใช้ความคิดเห็นคนในค็อกเทลเล้าน์มีไม่กี่คน นั่งอยู่สองสามโต๊ะ หนึ่งในนั้นก็คือพอลล่า ซึ่งมีเจ้าชายมาคีนั่งดื่มด้วยกัน มัทนาเบ้หน้า
“มากับอีกคนแต่มานั่งกับอีกคน...ร้ายนะยะหล่อน”
มัทนามองพอลล่าอย่างดูถูกเห็นเจ้าชายมาคีกระดกเตกีล่าหมดแล้ว พอลล่ายื่นมือที่มีเกลืออยู่บนหลังมือไปให้อย่างยั่วยวน เจ้าชายมาคีมองด้วยสายตาเจ้าชู้แล้วกินเกลือที่อยู่หลังมือของเธอ
“กินบนมือคุณอร่อยกว่ากินบนมือตัวเองเยอะเลย”
พอลล่ามองเจ้าชายมาคียิ้มพอใจ
“อร่อยก็กินอีกสิคะ”
เจ้าชายมาคีกินเกลือบนหลังมือพอลล่าอีก แล้วชะงักเมื่อรู้สึกเวียนหัว ตาพล่า แล้วหมดแรงนั่งพิงโซฟา พอลล่ามองยิ้มร้ายแล้วหันไปพยักหน้าให้เต้ยที่นั่งอีกโต๊ะ มัทนามองเหตุการณ์ทั้งหมดคิดถึงเหตุการณ์ที่เจอสองคนหน้าลิฟต์
เต้ยมองพอลล่าอย่างเซ็งๆ
“อย่ามีเรื่องให้เสียฤกษ์เลยน่าเดี๋ยวงานจะไม่ราบรื่น”
นึกได้อย่างนั้น มัทนาตกใจมาก
“แก็งมอมยา”

พอลล่ากับเต้ย ช่วยกันประคองเจ้าชายมาคีที่สะลึมสะลืออกไป มัทนามองอย่างตกใจรีบตาม

พอลล่ากับเต้ย ประคองเจ้าชายมาคีที่สะลึมสะลือแทบไม่ได้สติออกมาจากค็อกเทลเลาน์ เจ้าชายมาคียังพอรู้ตัวอยู่บ้างพยายามขัดขืนพูดอ้อแอ้
“ปล่อย...จะพาเราไปไหน”
พอลล่ากับเต้ย มองเจ้าชายมาคียิ้มร้ายไม่ตอบ มัทนาวิ่งตามออกมาเห็นพอลล่ากับเต้ยกำลังจะพาเจ้าชายมาคีไปก็รีบวิ่งมาขวาง
“เดี๋ยว”
พอลล่าเห็นก็จำได้
“เธออีกแล้วเหรอ...มีอะไร”
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้”
พอลล่ากับเต้ย มองหน้ากันอย่างตกใจ พอลล่ารีบโวยวาย
“เพื่อนฉันเมาฉันจะพากลับบ้าน เธอมายุ่งอะไรด้วย”
มัทนามองพอลล่าแค้นใจแล้วคิดแผน
“ต้องยุ่งสิเพราะเขาเป็นสามีฉัน เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเขาเป็นเพื่อนกับคุณ”
พอลล่ากับเต้ย มองมัทนาอย่างตกใจ มัทนาพูดกับเจ้าชายมาคี
“ปล่อยให้ฉันนอนเหงาอยู่บ้านแล้วหนีมากินเหล้า...คุณนี่มันเลวจริงๆ” มัทนาดึงหูเจ้าชายมาคีอย่างโมโห “กลับบ้านกับฉันเดี๋ยวนี้”
“โอ้ย...ดึงหูเราทำไม เจ็บนะ”
“แค่นี้ยังน้อย กลับบ้านจะจัดให้หนักจัดให้เต็มกว่านี้อีก”
พอลล่าปัดมือมัทนาออก
“เมื่อกี๊ตอนคุยกันเขาบอกว่าไม่มีเมีย...จะให้เชื่อได้ยังไงว่าเธอเป็นเมียเขาจริงๆ”
“เดี๋ยวฉันโทรให้ป๋าพาคุณลุงนายพลนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่เป็นประธานจัดงานแต่งให้ฉันมายืนยัน ก็ด๊าย”
มัทนาหยิบโทรศัพท์มากด เต้ยรีบกระซิบพอลล่า
“ถ้าตำรวจมาเราเสร็จแน่”
“ไม่ต้องโทร...ไม่มีเวลารอเอาผัวเธอคืนไป”
พอลล่าผลักเจ้าชายมาคีไป มัทนารับตัวไว้ไม่ให้ล้ม แต่ก็เซไปติดกำแพงทั้งคู่ พอลล่ากับเต้ยรีบเดินออกไป มัทนามองสะใจแล้วพูดกับเจ้าชายมาคี
“คุณชื่ออะไร พักอยู่ที่นี่หรือเปล่า”
“ที่นี่...ที่ไหน”
มัทนามองอย่างหนักใจ
“ทั้งเหล้าทั้งยาที่โดนมอม...คงอีกนานกว่าจะได้สติต้องตามคนมาช่วย...แต่เดี๋ยวคนที่นี่ก็รู้ว่าฉันมาหาเจ้าชายน่ะซิ เอาไงดี”

ในห้องพัก...คามินเข้ามาบอกโภคินที่นั่งอยู่
“สินธรส่งข่าวมาบอกว่า สุเทษขึ้นเครื่องบินออกจากรายาเมื่อเช้า”
โภคินหน้าเครียด
“หรือว่า มันจะมาที่นี่”
“มันคงมีแผนชั่วอะไรอีกแน่”
“เราต้องเพิ่มกำลังอารักขา ทั้งเจ้าชายและคุณมัทนา” โภคินบอกทันที

ชวาลนั่งอยู่ในห้องอาหารมีจานอาหารที่กินหมดแล้ววางอยู่ พนักงานกะเทยแต่งหญิงหน้าตาน่ารักเข้ามาเก็บจาน ชวาลยิ้มเจ้าชู้แล้วแกล้งจับมือพนักงานแล้วทำเป็นตกใจ
“อุ๊ย...พี่จะช่วยหยิบให้ไม่ได้ตั้งใจ”
พนักงานยิ้ม
“พี่ชื่อชวาล...เอ้ยไม่ใช่...พี่ชื่อชาร์ล น้องคนสวยชื่ออะไรจ้ะ”
“ซูซี่ค่ะ” พนักงานเสียงห้าวมาก
พนักงานโปรยยิ้ม ชวาลอึ้ง
“โอ้โห...เสียงขนาดนี้ น่าจะชื่อซูโม่ เมืองไทยนี่แยกแยะหญิงชายลำบากจริงๆ”
โภคินเข้ามาเรียก
“ชวาล”
“อ้าวท่าน เอ้อ คุณพอล...” ชวาลหันไปยิ้มให้พนักงาน “ไว้ค่อยคุยกันนะจ๊ะ”
พนักงานยิ้มเขิน
“ค่ะ”
ชวาลส่งจูบให้ พนักงานเดินออกไป โภคินมองชวาลเซ็งๆ
“เจ้าชายอยู่ที่ไหน”
“ในห้องบรรทมครับ...บ่นว่าเพลียอยากบรรทมแล้ว ก็ไล่ผมออกมาตั้งแต่หัวค่ำ”
“ฉันเข้าไปตรวจดูความเรียบร้อยแต่เจ้าชายไม่อยู่ในห้อง”
“ฮ้า” ชวาลหน้าตื่น

ในห้องเจ้าชายมาคี...คามินเปิดผ้าห่มออกเห็นว่าหมอนข้างวางอยู่ ชวาลตกใจ
“ว้าก...เจ้าชายไม่อยู่จริงๆด้วย”
“โดนหลอกเหมือนเคย” คามินเซ็งๆ
ชวาลจ๋อยไป
“ก็เจ้าชายรับสั่งว่าทรงเมาแชมเปญ ปวดหัว ขอบรรทม ไม่ให้ใครเข้ามากวน”
โภคินดุชวาล
“บอกว่าให้ดูไว้ไม่ให้คลาดสายตา ยังจะปล่อยให้เจ้าชายหนีออกไปจนได้ ถ้าทรงเป็นอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง”
“ผมก็หัวขาดน่ะสิครับ...เด็จไปไหนก็ไม่รู้ บ้านนี้เมืองนี้เราก็ไม่รู้จักจะไปตามหาพระองค์ที่ไหน ผมตายแน่ ผมตายแน่”
คามินครุ่นคิด

“ผมวางกำลังไว้ที่หน้าโรงแรมหลายจุด ถ้าเจ้าชายเสด็จไปข้างนอกคนของผมต้องรายงานแล้ว...ผมว่าเจ้าชายน่าจะอยู่ในโรงแรมนี่ล่ะครับ”

มัทนาประคองเจ้าชายมาคีเข้ามาในห้องน้ำหญิง นั่งตรงโซฟา หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเดินออกจากห้องน้ำมองอย่างตกใจ มัทนารีบอธิบาย
“เพื่อนฉันเมาเลยจะพามาล้างหน้าน่ะค่ะ”
หญิงคนนั้นออกไป มัทนาเอาผ้าเช็ดหน้ารองน้ำบิด แล้วมาเช็ดหน้าเจ้าชายมาคี
“คุณๆ ดีขึ้นมั่งมั้ย”
เจ้าชายมาคีค่อยๆได้สติ สายตาจากเบลอๆ เห็นเป็นมัทนาชัดขึ้นๆ
“คุณเป็นใคร”
“คุณถูกคนร้ายมอมยา ฉันเลยพาคุณมาเช็ดหน้าเช็ดตา ดีนะที่ยาไม่แรงมาก ไม่งั้นคุณคงสลบไม่ได้สติ”
เจ้าชายมาคีรู้สึกดีขึ้นหลับตาตั้งสติ
“ผมโดนมอมยาเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“เหยียบเมืองไทยวันแรกก็โดนดีซะแล้ว”
มัทนาชะงัก
“คุณพูดเหมือนคุณไม่ใช่คนไทย”
“ผมเพิ่งบินมาถึงวันนี้เอง”
เจ้าชายมาคีจ้องมัทนา
“คุณสวยจัง”
“สติมาพร้อมงูบนหัวเลยนะ เจ้าชู้อย่างนี้น่ะสิถึงโดน ผู้หญิงหลอกมอมยาเอาง่ายๆ”
มัทนาลุกขึ้น เจ้าชายมาคีจับหัวตัวเอง
“งู...บนหัวผมมีงูเหรอ”
เจ้าชายมาคีคลำหน้าตามือปัดโดนหนวดหลุด มัทนาเห็นก็อึ้งไป
“หนวดปลอม...นี่คุณปลอมตัวมาเหรอทำไมต้องปลอมตัวด้วย”
เจ้าชายมาคีตกใจตอบไม่ถูก
“เอ้อ...ผม...”
“นี่คุณก็เป็นแก็งต้มตุ๋นออกมาหาเหยื่อเหมือนกัน ใช่มั้ย แต่กรรมตามสนองโดนมอมยาซะก่อน”
เจ้าชายมาคีพยายามจะอธิบาย
“ผม...”
“ขอดูหน้าคนชั่วให้ชัดหน่อยเถอะ”
มัทนากระชากหนวดอย่างแรง เจ้าชายมาคีเจ็บมากร้องลั่น
“โอ้ย”

ชวาล คามิน โภคิน เดินตามหาเจ้าชายมาคี ได้ยินเสียงร้องก็ตกใจมากทุกคนมองหน้ากันอย่างตกใจ โภคินพูดขึ้น
“เสียงเจ้าชาย”
คามินรีบวิ่งตามเสียงไป ชวาลกับโภคินรีบวิ่งตาม

มัทนาใช้สองมือกระชากหนวดอย่างโมโห เจ้าชายมาคีร้องด้วยความเจ็บปวด
“โอ้ย”
มัทนาขว้างหนวดทิ้งแล้วดึงหมวกออก
“ไหน...ขอดูหน้าจริงให้ชัดๆหน่อย”
มัทนาเห็นว่าเป็นเจ้าชายมาคีก็มองอย่างคุ้น แต่ยังไม่ทันพูดอะไร คามิน โภคิน ชวาล ก็วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ฝ่าบาท”
มัทนามองคามินอย่างตกใจ เจ้าชายมาคีอึ้งไป
“คามิน”
ชวาลรีบเข้ามากระชากมือมัทนาออกจากเจ้าชายมาคี
“หยุดทำร้ายเจ้าชายเดี๋ยวนี้นะ...เอามือออกไป”
เจ้าชายมาคีคลื่นไส้เพราะฤทธิ์ยาที่โดนมอมหันไปอาเจียน ทุกคนมองอย่างตกใจ ชวาลเข้าประคอง
“ฝ่าบาททรงเป็นอะไรพะยะค่ะ”
“เราโดนมอมยา”
โภคินมองเจ้าชายเจ้าชายมาคีอย่างเป็นห่วงรีบเข้าไปลูบหลัง ชวาลหันมาต่อว่ามัทนาอย่างโกรธจัด
“นี่เธอมอมยาเจ้าชายเหรอ”
มัทนาหน้าตื่น
“ไม่ใช่นะ ฉันไม่ได้ทำ”
ชวาลไม่เชื่อ
“โกหก...หน้าตาก็ดีไม่คิดเลยว่าจะจิตใจต่ำทราม หากินบนความทุกข์ของคนอื่น...จับตัวผู้หญิงคนนี้ส่งตำรวจเลยครับ ไปอยู่ในคุกซะบ้างจะได้เข็ดเลิกหากินด้วยการขโมยของของคนอื่น”
คามินกับโภคินรู้จักมัทนามองชวาลอย่างหนักใจ โภคินพูดขึ้นเรียบนิ่ง
“ชวาลคุณผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางมอมยาเจ้าชายหรอก”
ชวาลไม่พอใจ
“เห็นว่าเขาสวยใช่มั้ยเลยเข้าข้าง...ผู้หญิงสวยแล้วเลวมีเยอะแยะทำไมท่านถึงตัดสินคนที่หน้าตาอย่างนี้ละครับ”
คามินเซ็งๆ
“ผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางมอมยาเจ้าชายเพราะผู้หญิงคนนี้คือคุณมัทนา ว่าที่พระคู่หมั้น”
ชวาลตาเหลือก
“หา...ว่าที่พระคู่หมั้น”
เจ้าชายมาคีหันมองมัทนาอย่างตกใจไม่แพ้ชวาล

“นี่หรือคู่หมั้นของเรา”

คามินขับรถมาจอดหน้าบ้านมัทนา
“คุณมีรีโมททำไมไม่เปิดรั้วละครับ”
“เปิดรั้วให้คุณเข้าไปส่งในบ้านพ่อแม่ฉันได้ยินเสียง รถคุณจะได้ตื่นมาอาละวาดที่ฉันหนีออกไปข้างนอกน่ะสิ”
“ถ้าไม่อยากโดนดุคุณก็ไม่ควรฝ่าฝืนคำสั่ง...ออกไปไหนมาไหนคนเดียวไม่กลัวโดนจับตัวไปอีกรึไง”
“ไปละนะ ไม่อยากฟังเทศน์”
มัทนาเปิดประตูลงจากรถ คามินมองหนักใจตามลงไป

มัทนาเอากุญแจไขประตูเล็ก คามินเดินมาหา
“ตกลงจะบอกได้รึยังครับว่าไปที่โรงแรมทำไม”
“บอกครั้งที่สิบแล้วว่าเพื่อนนัดที่นั่น แล้วเพื่อนก็เปลี่ยนใจไม่มาฉันก็เลยบังเอิญไปเจอเจ้าชาย...ถ้าคุณไม่เชื่อ...ฉันก็จนใจ”
คามินไม่เชื่อ มองมัทนาอย่างหนักใจ
“เหนื่อยก็พักผ่อนเยอะๆนะครับ...พรุ่งนี้เจ้าชายจะเสด็จมาพบคุณอย่างเป็นทางการ คุณจะได้สดชื่น”
มัทนาหันขวับมองคามินอย่างไม่พอใจ
“คงดีใจสินะที่ภารกิจสิ้นสุดซะที”
“ผมถูกส่งมาเพื่องานนี้...ทำงานสำเร็จก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา”
มัทนาผิดหวังในคำตอบมองเขา เธอโกรธจัดผลักเขาอย่างแรง
“กลับไปเลยไป”
มัทนาเข้าบ้านล็อกประตูอย่างโมโห คามินมองหนักใจ

มัทนาเดินมาจะเข้าบ้าน พบมินตราที่เดินออกมาอย่างร้อนใจ
“รอมัทเหรอคะ”
“ค่ะ...พี่เป็นห่วง...เมื่อกี๊ที่มาส่งคุณมัท คุณคามินใช่มั้ย”
“ค่ะ...ตานั่นมาส่งมัท”
“ถ้าพี่ตาไม่ฝาด พี่ว่าพี่เห็นคุณผลักเขา...คุณคามินเป็นถึงหัวหน้าองครักษ์ของรายาทำไมถึงเสียมารยาทกับเขาแบบนั้นละคะ”
“มัทโกรธเขานี่คะ”
“โกรธ...เรื่องอะไร”
มัทนาชะงักไปนิดนึงแล้วตอบอย่างหงุดหงิด
“ไม่รู้เหมือนกันรู้แต่ว่าโกรธตานั่นมาก...มัทไปนอนนะคะ”
มัทนาเดินออกไปอย่างหงุดหงิด มินตรามองตามงงๆ

เจ้าชายมาคีนอนหลับ หมอเก็บกระเป๋าเครื่องมือ โภคินถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ทรงเป็นอะไรมากแน่นะ หมอ”
ชวาลแทรกขึ้น
“นั่นน่ะซิ บรรทมแน่นิ่งไปแบบนี้ ไม่รู้ว่ายาที่เสวยเข้าไปเป็นยาพิษรึเปล่า โธ่ ฝ่าบาทของชวาล ดวงพระชะตา ถูกนารีพิฆาตแท้ๆ”
โภคินมองหน้าชวาลเลยหยุดพูด หมอหันมาบอกโภคิน
“ดูจากพระอาการ น่าจะเป็นแค่ยากล่อมประสาทเท่านั้น เดี๋ยวหมดฤทธิ์ยาก็จะทรงตื่นบรรทมเองครับ”
“ขอบใจมากหมอ กลับไปพักผ่อนที่ห้องพักเถอะ”
คามินเข้ามา
“เจ้าชายทรงเป็นยังไงบ้าง”
หมอหันมาบอก
“ทรงปลอดภัยแล้ว พรุ่งนี้ผมจะมาเข้าเฝ้าดูพระอาการใหม่นะครับ”
หมอค้อมหัว แล้วออกไป โภคินบอกกับคามิน
“โชคดีนะที่เราพาหมอมาจากรายาด้วย”
คามินถอนใจ
“เจ้าชายทรงประมาทเกินไป แล้วก่อนจะบรรทมตรัสถึงคุณมัทนาบ้างมั้ย”
“ปกติถูกพระทัยผู้หญิงคนไหนเจ้าชายจะตรัสถึงไม่ขาดพระโอษฐ์สงสัยไม่โปรดคุณมัทนาเลยไม่ตรัสถึงสักคำ” ชวาลบอก
คามินถอนหายใจหนักใจ โภคินแปลกใจ
“ฉันก็คิดไม่ถึงว่า คุณมัทนาจะแก่นกล้าขนาดนี้”
“คุณมัทนาเป็นผู้หญิงหัวสมัยใหม่ครับ”
ชวาลพึมพำ
“แบบนี้ ถ้าได้เจอกับองค์ราชินี จะเป็นยังไงนะ แค่นึกก็สยองแล้ว”
โภคินมองหน้าชวาลอีกครั้ง คามินยิ่งกลุ้ม

รุ่งขึ้น...นางกำนัลหลายคนกำลังเปลี่ยนผ้าม่านในโถงตำหนักอย่างขยันขันแข็ง บุหลันดูแลความเรียบร้อย
“เบาๆมือนะจ๊ะ...แล้วดูความเรียบร้อยด้วย”
พระนางสาวิตรีกับเทวีเดินมา บุหลันมองอย่างตกใจรีบวิ่งไปหาแล้วถอนสายบัวทำความเคารพ พระนางสาวิตรีตวาดลั่น
“เปิดห้องปีกนี้ทำไม”
“จัดเตรียมไว้เป็นที่ประทับของพระคู่หมั้นเพคะ”
“เราไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนนอกให้พาผู้หญิงคนนั้น ไปอยู่ที่ตำหนักเล็กริมน้ำ”
บุหลันแย้ง
“ตำหนักเล็กริมน้ำเป็นแค่ที่รับรองข้าราชการชั้นสูงจากต่างประเทศ แต่คุณมัทนาเป็นถึงพระคู่หมั้นให้ไปอยู่ตำหนักริมน้ำจะไม่สมพระเกียรตินะเพคะ”
“พ่อเป็นแค่สามัญชน เราให้อยู่ตำหนักริมน้ำก็ถือว่าให้เกียรติแล้ว...ย้ายของทั้งหมดไปที่ตำหนักริมน้ำเดี๋ยวนี้”
“แต่ตามธรรมเนียมว่าที่ราชินีต้องอยู่ใกล้ชิดกับราชินีองค์ปัจจุบันเพื่อเรียนรู้การขึ้นเป็นราชินีองค์ต่อไปนะเพคะ”
“เจ้าอยากจะท้าทายเราใช่มั้ย...ได้”
พระนางสาวิตรีเดินกระชากผ้าม่านที่ติดเรียบร้อยแล้วหลุดกระจุย ทุกบาน

“หม่อมฉันช่วยเพคะ”

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 5 (ต่อ)

เทวีหยิบดอกไม้ในแจกันออกมาขว้างทิ้ง แล้วกระชากผ้าปูโต๊ะที่มีของประดับอยู่ทำให้ของตกกระจาย นางกำนัลร้องกันวี๊ดว้าย บุหลันยืนสงบนิ่ง
“คราวนี้คงย้ายไปจัดตำหนักเล็กได้แล้วนะ”
พระนางสาวิตรีเดินออกไปอย่างโมโห เทวีมองหน้าบุหลัน
“ควรจะรู้นะ ว่าใครเป็นใคร”
เทวีเดินสะใจออกไป บุหลันมองตามหนักใจ นางกำนัลเข้ามาถาม
“เอายังไงดีคะคุณข้าหลวง”
“ทำในสิ่งที่ควรทำ...จัดห้องนี้ต่อไป”

พระนางสาวิตรีลงนั่งอย่างโมโห นายพลนายพลวิฑูรทำความเคารพแล้วลงนั่งตาม เทวีนั่งข้างๆ
“อย่าทรงกริ้วไปเลยพะยะค่ะ เรื่องเล็กน้อย”
“จะให้น้องอยู่เฉยได้ยังไง เสด็จพี่ราชาอินทราทำแบบนี้เท่ากับไม่เห็นน้องอยู่ในสายตา”
เทวีแทรกขึ้น
“ใช่เพคะ แถมทำให้พวกหางแถวกล้าเหิมเกริมกับพระองค์ด้วย”
พระนางสาวิตรีครุ่นคิด
“หรือว่า เราจะไปเมืองไทย...ยับยั้งไม่ให้เจ้าชายมาคีรับตัวผู้หญิงไทยคนนั้นมาที่นี่”
นายพลนายพลวิฑูรรีบค้าน
“ไม่เหมาะแน่พะยะค่ะ ถ้าทรงทำเช่นนั้น องค์ราชาจะทรงพิโรธ และฝ่ายเราก็จะยิ่งเสียเปรียบ”
“นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ในที่สุดเราก็คงต้องรับหญิงต่างชาติเป็นลูกสะใภ้”
“ที่ห้ามไม่ให้เสด็จ ก็เพราะกระหม่อม ส่งคนของกระหม่อมไปจัดการแก้ปัญหาที่เมืองไทยแล้ว”
พระนางสาวิตรีดีใจ
“จริงเหรอ ใครกัน แล้วจัดการยังไงคะ”

ในห้องอาหารวีไอพี...สุเทษส่งกล่องกำมะหยี่ ให้อสิตดูพลอย ที่ยังไม่ได้เจียระนัย ก้อนใหญ่เป้ง สีเขียวแวววาว
“นี่คือของขวัญจากท่านนายพลวิฑูรฝากมามอบให้เสี่ย”
อสิตรับมามือสั่น อัคนีแย่งมาดู
“ไหนว่าเป็นถึงผู้บัญชาการสูงสุดให้หินก้อนเดียว ไม่ลงทุนเลย”
อัคนีจะโยนทิ้ง อสิตรับ
“จ๊าก...เกือบไปแล้ว ไอ้หนูลูกพ่อ รู้มั้ยว่าว่าหินก้อนนี้มันมูลค่ามหาศาลขนาดไหน”
“อย่างมากก็ร้อยห้าสิบ”
สุเทษเวทนาความโง่ของอัคนี อสิตเกือบตกเก้าอี้
“เอ่อ ท่านสุเทษ ไอ้หนูของผมมันหมายถึงร้อยห้าสิบล้านน่ะครับ”
“ผมหมายถึงร้อยห้าสิบบาทต่างหาก หินแบบนี้ขุดเอาแถวบ้านก็ได้ อยากได้สีอะไรก็ทาๆเอา”
อสิต คีบของบนโต๊ะยัดเข้าปากลูกชาย
“ปากว่างก็กินอะไรไปก่อนนะลูกรักของพ่อ...ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ลูกผมสายตาสั้น เลย
มองไม่ออกว่าหินก้อนนี้คือมรกตแท้”
อัคนีตาโต
“หา...มรกต”
สุเทษยิ้ม
“นี่คือส่วนเสี้ยวที่มีในแผ่นดินรายา ที่เหลือรอให้เสี่ยเข้าไปหาเอง...แต่หลังจากที่งานของเราสำเร็จ”
“มืออาชีพอย่างเราไม่เคยพลาด มาฉลองกันล่วงหน้าได้เลย”
อสิตยกแก้วไวน์ขึ้น
“แด่ท่านนายพลวิฑูร...และหนทางที่ยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า”
สุเทษหยิบแก้ว ดื่มรวดเดียวหมด แล้วลุกขึ้น
“ขอให้เสี่ยคัดคนฝีมือมาประชุมกับผม อย่างเร็วที่สุด...พวกอ่อนหัดอย่างเมื่อวาน ไม่เอา”
สุเทษเดินออกไปอสิตค้าง อัคนีพิจารณาดูมรกตแล้วก็ยังไม่ปลื้ม
“ทำเป็นวางก้าม แค่มรกตก้อนเดียว”
“อย่าว่าแต่มรกต ลื้อไม่รู้อะไร ทุกตารางนิ้วของผืนดินในรายา เต็มไปด้วย เพชร พลอย แร่ธาตุที่ขุดกันไม่รู้จักหมด”
อัคนีชะงักนึกได้
“รายา...อ้าว ก็ประเทศที่จะส่งเจ้าชายมาแย่งแฟนผมน่ะซิ แล้วป๊าไปช่วยมันทำไม ไอ้องครักษ์นั่นมันต้องเป็นพวกเดียวกับไอ้สุเทษด้วย ผมไม่ยอมนะ ไม่ยอมๆ”
อสิตปลอบ
“โอ๋ๆ อย่าเพิ่งร้อง ถ้าป๊ากำจัดศัตรูให้ท่านนายพลวิฑูรได้ นอกจากป๊าจะได้เป็นเจ้าของสัมปทานในทุกอย่างของรายา แล้วต่อไปก็จะได้ที่ปรึกษาใหญ่ของรัฐบาล ถึงตอนนั้นลูกชายของป๊า ก็จะกลายเป็นผู้ชายที่เนื้อหอมที่สุด ผู้หญิงทุกคนต้องมาสยบแทบเท้า”
“รวมถึงมัทนาด้วยใช่มั้ย ป๊า”
อสิตหน้าเจื่อนไป
“เออๆ...ใช่ มัทนาด้วย”
“งั้นโอเคเลย ผมจะช่วยกำจัดศัตรูของท่านนายพลวิฑูรอีกแรง แด่...มัทนาสุดที่รัก ไชโยๆ”
อสิตชนแก้วกับลูกชายหน้าเครียด...

อสิตออกมาคุยกับยักษ์หน้าประตู อัคนีนั่งทานอาหารอย่างมีความสุขอยู่ในห้อง
“ไอ้ยักษ์ บอกสมุนทุกคนห้ามให้ลูกอั๊วรู้ว่า คนที่เราต้องช่วยสุเทษกำจัด คือใครเด็ดขาด”
“ครับ เสี่ย แต่ถ้ารู้ทีหลัง ว่าเป็นคุณมัทนา คุณหนูไม่อาละวาดตายเหรอครับ”
อสิตรีบจุ๊ปาก
“เบาซิวะ ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันโว๊ย”
ยักษ์กับอสิตมองอัคนีกลุ้มๆ

คามินเปิดประตูห้องพักออกมาชะงัก เมื่อเจ้าชายมาคีแต่งตัวเรียบร้อยหล่อเฟี้ยวยืนอยู่หน้าห้อง ชวาลอยู่ข้างหลัง
“เราพร้อมแล้ว...เดินทางได้รึยัง”
คามินงง ชวาลยิ้มแย้มบอก
“วันนี้ไม่ต้องปลุก แถมสรงน้ำ แต่งพระองค์ เรียบร้อย...โดยที่ผมไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเลยครับ”
เจ้าชายมาคีปราม
“เกินไป...ชวาล เราก็แค่อยากทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อให้เสร็จๆไป”
“กระหม่อมขอเวลาอีกสิบนาที รอท่านโภคินจัดเตรียมทุกอย่างก่อนพะยะค่ะ” คามินบอก
“ดี งั้นระหว่างนี้ นายก็เล่าเรื่องคุณมัทนาให้เราฟังทีซิ เราอยากรู้”
ชวาลหน้าเหวอ
“อ้าว...เมื่อกี๊รับสั่งเหมือนไม่เต็มพระทัยจะไปพบพระคู่หมั้น”
“ไม่เต็มใจ แต่เป็นหน้าที่ ข้องใจมากมั้ย”
“ไม่พะยะค่ะ” ชวาลจ๋อย
เจ้าชายมาคีเดินเข้าไปในห้อง ชวาลกกระซิบคามิน
“สงสัย ยาเมื่อคืนยังไม่หมดฤทธิ์นะท่านคามินเจ้าชายทรงทำอะไรแปลกๆ”
คามินครุ่นคิด เอะใจว่าเจ้าชายมาคีอาจชอบมัทนา

ท่านหญิงมาณวิกาตรวจดูผักผลไม้ที่แกะสลักสวยงามอยู่ในครัว
“ดีมาก ฝีมือเธอไว้ใจได้เสมอ มินตรา”
“ขอบคุณค่ะ”
อนงค์วิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“ท่านหญิงคะ...เจ้าชายเสด็จมาแล้วค่ะ”
ท่านหญิงมาณวิกาหน้าตื่น
“อะไรนะ ทำไมเร็วแบบนี้”
“งั้นมินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ จะได้ออกไปรับเสด็จ”
“ไม่ต้อง...เธออยู่ในครัวนี่ เตรียมพวกเครื่องดื่มก่อน”
“ค่ะ” มินตราเซ็ง
ท่านหญิงมาณวิกาเดินออกไปอย่างรีบร้อน อนงค์หันมาหาป้าทิพย์

“ดีนะป้า ที่ฉันออกไปหน้าบ้านพอดี เลยได้เห็นเจ้าชายเป็นบุญตา โอ๊ย หล่อไม่แพ้ท่านองครักษ์เลย ยิ้มหวานให้ฉันด้วย...”

ป้าทิพย์ส่ายหน้า
“หล่ออีกแล้ว แกตาถั่วหรือเปล่า เห็นว่าเมืองอยู่ในป่าในเขา น่าจะรูปชั่วตัวดำเหมือนจรกา”
“ดำที่ไหน ขาวจั๊วะ แต่งตัวก็ทันสมัยยังกะศิลปินเกาหลี”
มินตราปราม
“วิพากษ์วิจารณ์กันพอหรือยัง...ให้มันรู้กาละเทศะว่าอะไรควรไม่ควร ถ้าใครได้ยินจะนึกว่าคนบ้านนี้ไม่ได้รับการอบรมมารยาท”
ป้าทิพย์กับอนงค์จ๋อยไป
“ขอโทษค่ะ”
“ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ...เตรียมน้ำมะตูมไว้ด้วย”
มินตราเดินไป อนงค์เซ็งๆ
“เมื่อเช้ายังอารมณ์ดีๆอยู่เลย เป็นอะไรไปอีกล่ะ”

มินตราเข้ามาในห้องตรงมาที่หน้ากระจก เอากระดาษซับมันเช็ดหน้า แล้ว ผัดหน้า ทาแป้งอย่างรีบร้อน
“นึกว่าฉันจะยอมเป็นแค่นางก้นครัวเหรอ เมินซะเถอะ”

มัทนา ธรรมรัตน์ หม่อมเจ้าหญิงเกยูร ท่านชายจุฑาทิพย์ ยืนรอต้อนรับอยู่หน้าบ้าน เจ้าชายมาคีเดินมาจับมือทีละคน ผู้หญิงถอนสายบัวให้ ธรรมรัตน์ผายไปทาง หม่อมเจ้าหญิงเกยูรและท่านชายจุฑาฑิพย์
“หม่อมเจ้าจุฑาทิพย์ และหม่อมเจ้าหญิงเกยูร พรหมเทพครับ”
“ต่อไปผมคงต้องเรียกว่าท่านลุงและท่านป้าใช่มั้ย”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรยิ้มรับ
“ทรงทราบธรรมเนียมไทยดีเหลือเกิน...น่าเอ็นดูจริง”
เจ้าชายมาคีมาถึงมัทนาคนสุดท้าย จับมือของเธอก้มลงจูบ มัทนาถอนสายบัว
“ในที่สุดเราก็ได้รู้จักกันเป็นทางการซะทีนะครับ”
มัทนายิ้มฝืนๆ เจ้าชายมาคีถอยออกไป หม่อมเจ้าหญิงเกยูรกระซิบกับท่านหญิงมาณวิกา
“เจ้าชายตรัสเหมือนเคย เจอยัยมัทแล้ว”
“ไม่ใช่หรอกเพคะ”
โภคินเขย่ามือกับธรรมรัตน์ คามินเป็นคนแนะนำ
“ท่านโภคินเป็นราชเลขาขององค์ราชาครับ”
โภคินยิ้มจริงใจ
“ไม่ได้พบกันนานมากนะครับ”
ธรรมรัตน์ยิ้มตอบ
“ครับนานมากทีเดียว”
คามินและคนอื่นๆมองแปลกใจที่เหมือนทั้งคู่รู้จักกันมานาน โภคินเข้ามาที่ ท่านหญิงมาณวิกา
“ยินดีต้อนรับค่ะ”
“ยินดีที่ได้พบเช่นกันครับ”
โภคินจับมือ โค้ง ธรรมรัตน์ผายมือ
“ขอเชิญประทับที่ห้องรับรองก่อนพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีมองรอบๆ
“บ้านนี้กว้างขวางสวยงามมาก เราอยากเดินดูรอบๆ รบกวนคุณมัทนาช่วยเป็นไกด์ให้หน่อยได้มั้ย”
มัทนาตั้งตัวไม่ทัน
“ฉัน...เอ่อ...หม่อมฉันเหรอเพคะ ได้ซิเพคะ ยินดีอย่างยิ่ง เชิญเสด็จเพคะ”
มัทนาถอนสายบัว เจ้าชายมาคียิ้มกริ่มเดินไปกับมัทนา คามินรีบตามไปห่างๆ โภคินหันมาบอกธรรมรัตน์
“ตั้งแต่เสด็จมาถึง ต้องทรงอุดอู้อยู่แต่ในโรงแรม คงจะทรงอึดอัดน่ะครับ”
ธรรมรัตน์เข้าใจ
“นั่นน่ะซิครับ ที่รายามีแต่ธรรมชาติสวยงามตรงกันข้ามกับในกรุงเทพฯที่มีแต่ป่าคอนกรีต”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรหันมาถามท่านหญิงมาณวิกา
“แน่ใจนะว่ายัยมัทจะไม่ปล่อยไก่อะไรขึ้นมาให้ฉันขายหน้า”
ท่านชายจุฑาทิพย์ขัดขึ้น
“จะยืนคุยกันอีกนานมั้ย ผมเมื่อยแล้ว”
“ขอโทษครับ เชิญทางนี้ครับ เชิญๆ”
ธรรมรัตน์เชิญทุกคนเข้าไปด้านใน ท่านหญิงมาณวิกามองไปทางที่มัทนาเดินไปอย่างเป็นห่วง

มัทนาพาเจ้าชายมาคีเดินเข้ามาในสวน คามินเดินตามอารักขา เจ้าชายมาคีมองมัทนาไม่วางตา
“สวย”
มัทนาเข้าใจว่าเจ้าชายมาคีชมกล้วยไม้
“กล้วยไม้ป่าเพคะ...ลูกน้องคุณพ่อหามาให้เพราะเห็นว่าคุณพ่อชอบเพคะ”
“ผมหมายถึงคนต่างหาก”
มัทนามองอย่างอึดอัด คามินเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูกแต่เก็บอาการเจ้าชายมาคีบอกกับคามิน
“ต้องขอบคุณท่านคามินที่ทำให้เราได้พบกัน”
มัทนาเหลือบมองคามินที่ทำหน้านิ่งอย่างหงุดหงิด มัทนาประชด
“ขอบคุณมาก...คุณคามินต้องเดินตามเราตลอดเวลาเลยเหรอเพคะ”
“เป็นหน้าที่ของราชองครักษ์”
“แต่หม่อมฉันอึดอัดที่มีคนคอยเดินตาม”
เจ้าชายมาคียิ้มขำ
“ผมเข้าใจ คามิน เราอยากจะคุยกับคุณมัทนาเป็นการส่วนตัวได้มั้ย”
“เอ่อ...” คามินชะงัก
“ในบ้านนี้คงไม่มีใครมาทำอะไรเราหรอก”
คามินกลัวมัทนาจะแผลงฤทธิ์ มัทนามองคามินกวนๆ
“คุณคามินคงกลัวหม่อมฉันจะทำร้ายเจ้าชายมั้งเพคะ”
“มิได้พะยะค่ะ” คามินรีบขัด

“นั่นซิ ผู้หญิงที่งดงามน่ารักอย่างคุณมัทนาจะทำร้ายเราได้ยังไง”
คามินยิ้มฝืนๆ
“ทรงเรียกหากระหม่อมได้ทุกเวลา กระหม่อมจะรอตรงนี้”
เจ้าชายมาคีฉวยมือ มัทนาสะดุ้ง
“ไปด้านโน้นกันเถอะ”

เจ้าชายมาคีฉวยมือมัทนาไป คามินมองตามเจ็บปวด

เจ้าชายมาคีมองมัทนาด้วยสายตากรุ้มกริ่มตลอดเวลา มัทนาดึงมือออกเบาๆ

“หลังจากแต่งงานแล้วคุณอยากไปฮันนิมูนที่ไหนครับ”
มัทนามองเจ้าชายมาคีอย่างอึดอัดแล้วมองคามินที่ยืนห่างออกไปอย่างโล่งใจแล้วพูดกับเจ้าชายมาคี
“ฝ่าบาทอยากอภิเษกกับหม่อมฉันจริงๆเหรอเพคะ”
“ในเมื่อเป็นพระบัญชาของเสด็จพ่อ ผมจะปฎิเสธได้ยังไง”
“ได้ซิคะ ทุกคนมีสิทธิ์จะทำตามที่หัวใจตัวเองต้องการ เราควรจะแต่งงานกับคนที่เรารัก ไม่ใช่คนที่คนอื่นยัดเยียดให้”
“ตอนแรก ผมก็คิดเหมือนคุณ แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว”
มัทนางง เจ้าชายมาคีมองมัทนาด้วยสายตาเจ้าชู้
“คุณเชื่อในรักแรกพบมั้ย”
มัทนามองเจ้าชายมาคีอย่างตกใจคิดในใจว่าซวยแล้ว เจ้าชายมาคีเดินเข้ามาจ้องหน้ามัทนาอย่างอ่อนโยน
“วินาทีแรกที่ผมพบคุณผมก็ตกหลุมรักคุณทันที...มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อแต่มันเป็นเรื่องจริง” เจ้าชายมาคีเชยคางมัทนาอย่างอ่อนโยน “คุณคือผู้หญิงที่ผมรอคอย มัทนา”
มัทนามองอย่างตกใจรีบถอยออก
“ถ้าฝ่าบาทรู้จักตัวตนของหม่อมฉันอาจจะเปลี่ยนใจ ก็ได้นะเพคะ”
“ผมอาจจะบอกรักคุณเร็วไป แต่ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมจริงใจแค่ไหน”
มัทนาอึ้งไปมองเจ้าชายมาคีครุ่นคิดเปลี่ยนแผน
“คำว่ารักมันทำให้คนเสียน้ำตามานักต่อนักแล้ว...บอกตามตรงนะเพคะว่าหม่อมฉันไม่อยากเสียใจเพราะคำๆนี้”
“ผมต้องทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ”
“ทำความรู้จักกันมากกว่านี้เพคะ”
“ด้วยวิธี”
มัทนายิ้ม
“ไปเดทกันเพคะ”

ธรรมรัตน์ โภคิน คามินอึ้งไป เพราะเจ้าชายมาคีขอให้ทั้งสามคนแยกมาคุยอีกห้อง เพื่อบอกว่าจะไปข้างนอก
“ใช่...คุณมัทนาอาสาพาเราไปเที่ยวในกรุงเทพฯ”
โภคินค้าน
“คงไม่เหมาะแน่พะยะค่ะ เพราะเสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์กำลังในการอารักขาจะไม่เพียงพอ”
“ก็ในเมื่อมาอย่างไม่เป็นทางการ คงไม่มีใครรู้หรอกว่าเราเป็นใคร”
คามินขัดขึ้น
“แต่ก็ไม่ควรเสี่ยงอยู่ดีพะยะค่ะ อีกอย่างทรงมีเวลาไม่มากหลังจากเสวยแล้ว ต้องเสด็จไปที่นิคมอุตสาหกรรมเกียรติกำจรอีก”
“หมายกำหนดการทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเราต่างหาก ตอนนี้เราอยากจะทำความรู้จักกับคุณมัทนาแล้วก็เมืองไทยให้มากขึ้น”
“ถ้าอย่างงั้นขอเวลาให้กระหม่อม จัดการติดต่อสถานที่ที่เจ้าชาย ทรงต้องการจะเสด็จไป แล้วก็จะจัดเป็นรายการถวายให้ทอดพระเนตรดีมั้ยพะยะค่ะ” ธรรมรัตน์เสนอ
เจ้าชายมาคีแย้ง
“อย่างนั้นก็ไม่สนุกซิ ไม่ต้องห่วงหรอกมีคามินอยู่ทั้งคน ก็เหมือนมีทหารอารักขาเป็นกองร้อยอยู่แล้ว งั้นก็เอาเป็นตามนี้นะ รีบไปรับประทานอาหารกันดีกว่า เราหิวแล้ว”
เจ้าชายมาคีเดินออกไป โภคินถอนใจ
“ทรงเอาแต่พระทัยตามเคย...ทีนี้จะทำยังไงกัน”
คามินหนักใจ
“คงต้องทำตามพระประสงค์ รบกวนคุณธรรมรัตน์จัดกำลังตำรวจนอกเครื่องแบบเสริมให้ด้วยนะครับ”
“ได้ครับ”
ธรรมรัตน์ออกไป โภคินพูดขึ้น
“คิดในทางที่ดี เจ้าชายทรงร่าเริงผิดสังเกตแบบนี้ แสดงว่าทรงโปรดคุณมัทนาแล้ว คุณมัทนาก็คงจะชอบเจ้าชายไม่น้อย ไม่งั้นคงไม่ทูลชวนออกไปเที่ยว”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
คามินรู้สึกอกหักวูบ ฝืนยิ้ม

มินตราออกมาจากห้องหน้าตาสวยงาม ท่านหญิงมาณวิกาเดินมา
“มินตรา ทำไมมาอยู่บนนี้ เขาตามตัวกันให้วุ่น”
มินตราทำเป็นเพลีย
“มินปวดหัวน่ะค่ะ ก็เลยขึ้นมากินยา มีอะไรเหรอคะ”
“ลูกมัทต้องตามเสด็จเจ้าชายไปข้างนอก ไปคุมการตั้งเครื่องเสวยเดี๋ยวนี้ เสร็จแล้ว ก็เตรียมทุกอย่างของลูกมัทให้พร้อม อย่าให้ขาดตกบกพร่องเด็ดขาด”
ท่านหญิงมาณวิกาเดินแยกไป มินตราจำต้องเดินตามไปอย่างแค้นๆ เธอครุ่นคิดแล้วหยิบโทรศัพท์มากดสีหน้าเครียดแค้นแต่เสียงอ่อนหวาน
“คุณอัคนีคะ...คุณมัทโดนคุณพ่อคุณแม่บังคับให้ไปเที่ยวกับเจ้าชายคุณ มัทเครียดมากเลยค่ะ...มินไม่รู้จะช่วยคุณมัทยังไงเลยโทรมาบอกคุณเผื่อคุณจะช่วยคุณมัทได้น่ะค่ะ”

อสิตโวยวายใส่ยักษ์
“อะไรวะ...แค่หาที่ซุ่มแถวบ้านมันก็ทำไม่ได้”
“มีบอดี้การ์ดซุ่มอยู่รอบบ้านแล้วก็มีตำรวจมาลาดตระเวนทุกสองชั่วโมง ถ้าส่งคนไปซุ่มดูต้องโดนจับได้แน่ครับ”
อสิตตะคอก
“แล้วอย่างนี้จะรู้ความเคลื่อนไหวของมันได้ยังไง”
“เสี่ยไม่ต้องห่วง ผมคิดวิธีมาแล้วครับ...ให้คุณหนูไปขโมยเสื้อของคุณมัทนาแล้วก็เอามาให้หมาดมกลิ่น แล้วเราก็ส่งหมาไปอยู่ทุกที่ทั่วกรุงเทพพอคุณมัทนาออกจากบ้านไปที่ที่มีหมาของเราอยู่ หมาก็จะเห่าแล้วก็ให้คนของเราที่เฝ้าหมาโทรมาบอกว่าคุณมัทนาอยู่ที่ไหนแล้วเราก็ตามไปจัดการครับ”
อสิตมองยักษ์แล้วยิ้มทำเหมือนจะชม
“โอโห...อึ้ง ทึ่ง สมองธรรมดาคิดแผนแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย”
ยักษ์ยิ้มดีใจ
“สมองไม่ธรรมดาสมองผมอัจฉริยะใช่มั้ยครับ”
อสิตตะโกนใส่หน้า
“มีแต่ขี้เลื่อย...กว่าไอ้หนูจะได้เสื้อมันมา กว่าจะให้หมาดม กว่าจะรอมันออกจากบ้านไปที่ที่หมาของเราเฝ้า...คงต้องใช้เวลาเป็นเดือนงานนี้เป็นงานด่วนไม่มีเวลามากมายอย่างนั้นหรอกโว้ยไอ้โง่”
ยักษ์จ๋อย สุเทษนั่งฟังอยู่ทั้งหมดอย่างเบื่อหน่าย แล้วลุกขึ้น อสิตเรียกไว้
“เดี๋ยวซิครับ ท่านสุเทษ ยังวางแผนกันไม่จบเลย”
“ผมไม่วางแผนกับคนปัญญาอ่อน...ขอแค่คนนำทางไปบ้านมัทนา ผมจัดการเอง”
“แต่เข้าถ้ำเสือมันเสี่ยงนะครับ”
อัคนีเปิดประตูพรวดเดินหน้าหงิกเข้ามา
“ป๊า...ขอกำลังพล 100 นึง”
อสิตมองงงๆ
“จะเอาไปทำอะไร”
“ไปทำอะไรก็ได้ให้ไอ้เจ้าชายรายานั่นยกเลิกการพาคุณมัทไปเที่ยว”
อสิตมองอัคนีอย่างดีใจ
“เจ้าชายจะพาคุณมัทไปเที่ยวเหรอ พาไปรึยัง พาไปที่ไหน”

ในบึงมีคนเล่นเวคบอร์ดตีลังกาโชว์ท่ายาก มัทนา เจ้าชายมาคี คามิน มินตรา ยืนอยู่ริมบึง เจ้าชายมาคีมองคนที่กำลังเล่นเวคบอร์ดอย่างตื่นเต้นแล้วถามมัทนาอย่างแปลกใจ
“คุณมัทชอบเล่นกีฬาแบบนี้เหรอครับ”
มัทนายิ้มแฉ่งตอบด้วยความภูมิใจ
“เรียกว่ารักเลยดีกว่าเพคะ”
มินตรามองมัทนาหมั่นไส้ มัทนาท้าทายทีเล่นทีจริง
“แต่ถ้าฝ่าบาทกลัวว่าเล่นแล้วจะเจ็บพระวรกายเรากลับก็ได้นะเพคะ”
“คนอย่างเจ้าชายมาคีไม่เคยกลัวอะไร”
คามินขัดขึ้น
“แต่กระหม่อมกลัว กระหม่อมไม่อยากให้ฝ่าบาททรงเสี่ยงกับการบาดเจ็บ ไม่อยากให้ทรงเสี่ยงอยู่ในที่โล่งที่จะทำให้ตกเป็นเป้าถูกลอบทำร้ายได้ง่ายๆแบบนี้...เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาทกับคุณมัทกระหม่อมว่าเราควรกลับพะยะค่ะ”
มัทนามองคามินหมั่นไส้
“มีหัวหน้าองรักษ์ที่เก่งที่สุดของรายามาคุ้มกัน แถมมีตำรวจนอกเครื่องแบบของคุณพ่อมาอารักขาอีก ถ้ายังปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายฉันกับเจ้าชายได้คุณก็ต้องพิจารณาตัวเองแล้วละค่ะ”
เจ้าชายมาคีเห็นด้วย
“นั่นสิ...อย่ากังวลไปหน่อยเลยน่าคามิน หมดสนุกกันพอดี ไปๆเล่นด้วยกัน”
มัทนารีบบอก
“ห้องเปลี่ยนฉลองพระองค์อยู่ด้านโน้นเพคะ เจ้าชายมาคีพยักหน้าแล้วเดินออกไป คามินมองมัทนาอย่างหนักใจแล้วเดินตามเจ้าชายมาคีไป มัทนามองคามินยิ้มเยาะที่เอาชนะได้ มินตราถามอย่างสงสัย
“คุณมัทจะแกล้งเจ้าชายเหมือนที่เคยแกล้งคุณอัคนีเหรอคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้น เราจะรับผิดชอบไม่ไหวนะคะ”
“แค่ทดสอบความแมนแบบเบาะๆน่ะ เพราะเจ้าชายสุภาพแล้วก็ไม่ได้หลงตัวเองจนน่าหมั่นไส้แบบนายอัคนี แต่ถ้าคิดจะเอามัทไปเป็นชายาก็ต้องทรงคิดหนักหน่อย”

มินตราพยักหน้าเข้าใจแล้วลอบยิ้มพอใจ

ในบึง...มัทนาเล่นเวคบอร์ดตีลังกาม้วนตัวตะโกนลั่นอย่างสะใจ คามินเล่นได้อย่างดีแต่ไม่เล่นท่ายาก ตามองเจ้าชายมาคีตลอด เจ้าชายมาคีอยู่บนเวคบอร์ดมือจับสายเคเบิ้ลที่ดึงไปอย่างช้าๆ มองมัทนาอย่างตื่นตะลึงแล้วเสียการทรงตัวล้มลง
“เฮ้ย...”
มัทนาหันมามองยิ้มเยาะสะใจ คามินตกใจ
“เจ้าชาย”
เจ้าชายมาคีพยายามลุกยืนขึ้นแล้วประคองตัวให้ยืนขึ้นได้อย่างมั่นคงมั่นใจมากขึ้นเริ่มสไลด์บอร์ดไปซ้ายขวา มัทนาหุบยิ้ม มองเจ้าชายมาคีอึ้งในพรสวรรค์

มินตรานั่งอยู่ที่โต๊ะริมบึงดูมัทนากับเจ้าชายมาคีเล่นเวคบอร์ด แล้วมองไปรอบๆ
“ทำไมอีตาอัคนีไม่โผล่มาป่วนสักทีนะ”

บนอาคารห่างออกไป...สุเทษนั่งประทับปืนเล็งไปที่มัทนาอยู่บนอาคารห่างออกไปเห็นมัทนาอยู่ในเป้าของสไนเปอร์ ยักษ์นอนส่องกล้องส่องทางไกลดูอยู่ด้วย ลูกน้อง 2 คนซุ่มแถวนั้นคอยดูต้นทางยักษ์บอกระยะ
“เตรียมตัว”
สุเทษจ้องมัทนาที่อยู่ในเป้าอย่างมีสมาธิ แล้วจะเหนี่ยวไก แต่ก็ชะงักเมื่อเสียงมือถือของยักษ์ดังขึ้น สุเทษหันไปมองอย่างหงุดหงิด ยักษ์กดรับสาย
“โทรมาทำไมกำลังยุ่ง อ้าว...ซื้อแล้วก็อยู่ในตู้กับข้าวไง ข้างกาละมังสีเขียวน่ะ เออ...แค่นี้นะ” ยักษ์กดสายทิ้ง “ขอโทษครับ”
สุเทษข่มอารมณ์ เล็งมัทนาที่อยู่ในบึงต่อ เขากำลังจะเหนี่ยวไก เสียงโทรศัพท์ยักษ์ดังอีก
“อะไรอีกวะ ไม่ได้อยู่ในตู้กับข้าว งั้นก็หาในตู้เย็นซิ ค่าไฟ จ่ายแล้วเมื่อวานที่เซเว่น อย่าโทรมาอีกจะทำงาน” ยักษ์กดทิ้ง หันมายิ้มแห้งๆ “ขอโทษอีกทีครับ”
สุเทษข่มอารมณ์เต็มที่ ไม่ทันเล็งอีกที มือถือยักษ์ก็ดังอีก ยักษ์กดรับ สุเทษเข้ามากระชากโทรศัพท์ยักษ์ขว้างไปไกล ยักษ์มองตกใจ
“เฮ้ยๆ...ขว้างโทรศัพท์ผมทิ้งทำไม”
“ถ้าไม่อยากตายก็ไปอยู่ห่างๆฉัน” สุเทษตวาด “ไป”
ยักษ์สะดุ้งรีบเดินออกไป ลูกน้อง 2 คนมองสุเทษอย่างหวาดกลัว สุเทษมองตามยักษ์ถอนหายใจอย่างหงุดหงิด

คามินปลดสายแล้ว เดินเข้ามาหามินตรา
“คุณเล่นได้ดีมากเลย ทำไมเลิกซะละคะ”
“ผมอยู่ตรงนี้จะถวายอารักขาได้สะดวกกว่าครับ”
คามินมองไปรอบๆ
“คงไม่มีอะไรมั้งคะ”
เจ้าชายมาคีสไลด์ตัวไปซ้ายขวาอย่างสนุกสนานแล้วตะโกนบอกมัทนา
“ผมจะลองตีลังกาแบบคุณ”
มัทนามองอย่างเป็นห่วง
“อันตรายอย่าเพคะ”
เจ้าชายมาคีไม่สนกระโดดตีลังกาแล้วเสียหลักมือหลุดจากสายเคเบิ้ลตัวกระแทกน้ำอย่างแรง
“โอ้ย”
เจ้าชายมาคีเท้าหลุดจากบอร์ดนอนแน่นิ่งอยู่ในน้ำเพราะใส่เสื้อชูชีพ มัทนามองอย่างตกใจ
“เจ้าชาย”

คามินกับมินตราที่นั่งดูอยู่เห็นเจ้าชายมาคีแน่นิ่งไปกลางน้ำก็มองอย่างตกใจ คามินกระโจนลงน้ำไปอย่างรวดเร็วแล้วรีบว่ายน้ำไปหาเจ้าชายมาคี...มัทนารีบปล่อยมือจากสายเคเบิ้ลแกะบอร์ดออกจากเท้าอย่างคล่องแคล่วว่ายน้ำไป การ์ดที่ดูแลความปลอดภัยรีบขับเจ็ทสกีกรูไปหาเจ้าชายมาคี...มินตรามองความโกลาหลยิ้มสะใจ
สุเทษสูดลมหายใจเข้าปอดตั้งสมาธิแล้วลงไปนั่งประทับปืนจะเล็งไปที่มัทนาไม่เห็นมัทนากับเจ้าชายมาคีอยู่ในบึงแล้ว สุเทษมองหา
“ไปไหนแล้ว”
สุเทษละสายตาจากลำกล้องปืนมองไปที่บึงไม่เห็นมัทนากับเจ้าชายมาคีแล้วก็โมโห
“โธ่เว้ย”
สุเทษหันขวับไปมองยักษ์กับลูกน้องที่ยืนจ๋อย เขาคว้าคอยักษ์
“เพราะแก...”
ลูกน้องส่องกล้องตะโกนขึ้น
“มัทนากับเจ้าชาย ขึ้นจากบึงแล้ว”
สุเทษปล่อยยักษ์ แย่งกล้องมาส่อง ในกล้องเห็น คามินช่วยเจ้าชายมาคีขึ้นจากน้ำ มัทนาขึ้นตาม มินตราวิ่งมาดูแล

ในห้องนั่งเล่น ธรรมรัตน์ตกใจ
“หมายความว่า มีคนคิดขัดขวางการอภิเษกในครั้งนี้เหรอครับ”
โภคินพยักหน้า
“ใช่ครับ เพราะฉะนั้นการอภิเษกครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของคำสัญญาแต่มีความสำคัญต่อราชบัลลังก์รายามาก จะล้มเลิกไม่ได้”
“แบบนี้ มัทนาลูกสาวผมก็อาจจะตกอยู่ในอันตรายน่ะซิครับ”
“นั่นคือสิ่งที่เราจะไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น ขอให้คุณวางใจ”
“ผมเพียงแต่กำลังคิดว่า ที่ผมกับมัทนาถูกลอบทำร้าย เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า...”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ธรรมรัตน์รีบพูด
“ผมขอร้องอย่าพูดเรื่องนี้ให้ภรรยาผมรู้”
ท่านหญิงมาณวิกาเข้ามายิ้มแย้ม โภคินหันไปถาม
“ท่านหญิงเสด็จกลับแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ...ทรงบ่นใหญ่ว่าได้เข้าเฝ้าเจ้าชายน้อยไป ยังฉายพระรูปไม่จุใจ อยากจะทรงเอาไปลงอินสตาแกรม ดิฉันเลยทูลห้ามไว้ ว่าเป็นการเสด็จส่วนพระองค์”
ธรรมรัตน์พยักหน้า
“ดีแล้วละครับ ขืนเผยแพร่ออกสื่อ อาจจะเป็นเป้าได้ โจมตีได้ง่าย”
ท่านหญิงมาณวิกาชะงัก
“เป้า...เป้าโจมตีอะไรคะ”
ธรรมรัตน์รีบเฉไป
“เป้าของพวกสื่อมวลชนนะครับ เดี๋ยวเกิดเอาไปลงข่าวมั่วๆจะเสื่อมเสียพระเกียรติ ใช่มั้ยครับท่านโภคิน”
โภคินรีบตามน้ำ
“ใช่...ใช่ครับ คุณธรรมรัตน์รอบคอบจริงๆ”
ท่านหญิงมาณวิกายังกังวล
“แต่ดิฉันห่วงเรื่องอื่นมากกว่า หวังว่ามัทนาจะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดีนะคะ”

มัทนายังอยู่ในชุดเล่นเวคบอร์ด เปิดประตูห้องวีไอพีของบึง หน้าตาไม่สบายใจ คามินหามเจ้าชายมาคีที่เจ็บขาเดินขากะเผลกเข้ามาในห้องพาไปนั่งที่โซฟา
“หม่อมฉันต้องขอประทานอภัยที่ทำให้ทรงบาดเจ็บ” มัทนาเสียงสลด
“อย่ากังวล ผมพลาดเองไม่เกี่ยวกับคุณ”
คามินมองมัทนาตำหนิ มัทนาละอายใจแต่เชิดใส่ มินตราถือถุงประคบเย็นวิ่งเข้ามาอย่างร้อนใจนั่งคุกเข่าข้างเจ้าชายมาคีอย่างเรียบร้อย คามินมองมินตราเกรงใจรีบคุกเข่านั่งข้างๆเจ้าชายมาคี
“ผมเองครับ”
มินตรารีบบอก
“ให้ฉันได้มีโอกาสถวายการปรนนิบัติเจ้าชายรัชทยาทแห่งรายาเพื่อเป็นมงคลชีวิตสักครั้งเถอะค่ะ...ขอประทานอนุญาตเพคะ”
มินตรายกเท้าเจ้าชายมาคีมาไว้บนตักแล้วเอาประคบอย่างทะนุถนอม เจ้าชายมาคีมองมินตราอย่างชื่นชม
“ยกเท้าขึ้นสูงเพื่อไม่ให้เท้าบวม ความรู้เรื่องปฐมพยาบาลของคุณใช้ได้ทีเดียว”
“เวลาคุณมัทเล่นกีฬามักจะเจ็บตัวมีแบบนี้บ่อยๆ หม่อมฉันเลยต้องศึกษาไว้ดูแลคุณมัทเพคะ”
เจ้าชายมาคี คามิน มัทนามองมินตราอย่างชื่นชม
“พี่มินมือเบามากเพคะ รับรองว่าระหว่างประคบฝ่าบาทจะไม่ทรงรู้สึกเจ็บแม้แต่นิดเดียว”
มินตราครุ่นคิดแล้วพูดกับคามินและมัทนา
“อยู่ในชุดเปียกๆนานๆเดี๋ยวจะไม่สบายนะคะ คุณมัท กับคุณคามินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะค่ะ”
คามินขัดขึ้น
“ผมทิ้งเจ้าชายให้อยู่โดยไม่มีองครักษ์ไม่ได้ครับ”
เจ้าชายมาคีหันมาบอก
“คนของเราล้อมบึงอยู่ถ้าจะมีใครมาทำร้ายเราจริง กว่าจะฝ่าคนของเรามาถึงเราได้ท่านก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วล่ะ ไปเถอะ”
คามินจะแย้ง
“แต่...”
เจ้าชายมาคีกระซิบเบาๆ
“อย่าทำเหมือนเราเป็นเด็กอมมือได้มั้ย เราอายคุณมัท”
“พะยะค่ะ”
คามินทำความเคารพแล้วเดินออกไป มัทนามองคามินยิ้มเยาะแล้วเดินตามออกไปอย่างสะใจ มินตรามองคามินกับมัทนายิ้มสมใจ

คามินกับมัทนาเดินออกมาจากห้อง
“คุณมัทนา”
มัทนาหยุด
“คุณจะว่าจะทำอะไรกับผมยังไงก็ได้นะครับ แต่ ขอร้องอย่าทำอะไรเจ้าชาย”
“ทำเจ้าชาย...ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเจ้าชายของคุณเลย”
“ผมรู้นะว่าที่คุณพาเจ้าชายมาที่นี่เพราะอยากแกล้งให้เจ้าชายเจ็บพระวรกายจะได้โกรธจนไม่แต่งงานกับคุณ”
มัทนาหงุดหงิดที่คามินรู้ทันแต่รีบเก็บอาการ
“ที่เจ้าชายเจ็บเพราะทรงอยากเล่นท่ายาก ไม่เกี่ยวกับฉัน”
“ถ้าคุณไม่พูดจาท้าทายพระองค์ก็คงไม่ทรงทำเพื่อเอาชนะคุณ”
“นั่นมันเป็นความต้องการส่วนพระองค์โทษฉันไม่ได้”
คามินจริงจัง
“คุณมัทครับ...เจ้าชายมาคีเป็นรัชทายาทเพียงองค์เดียวของรายา ร่างกายจิตใจของเจ้าชายอาจจะไม่สำคัญสำหรับคุณแต่สำคัญต่อชาวรายามากผมขอร้องละครับอย่าทำให้เจ้าชายทรงเสี่ยงอันตรายเพื่อเอาชนะคุณอีกเลย”
มัทนาอึ้งไป แต่ก็ยังอยากเอาชนะ
“เจ้าชายเอาองค์มาเสี่ยงเองคุณควรไปห้ามเจ้าชาย ไม่ใช่ห้ามฉัน”

มัทนาเดินไปอย่างหงุดหงิด คามินมองตามหนักใจ
จบตอนที่ 5 
กำลังโหลดความคิดเห็น