xs
xsm
sm
md
lg

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 4

เช้ารุ่งขึ้น...มัทนานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร มินตราเสิร์ฟน้ำผลไม้ ท่านหญิงมาณวิกาเดินเข้ามาเห็นมัทนาก็แปลกใจ
“สงสัยฟ้าจะถล่มดินจะทลายมัทถึงลงมารอมื้อเช้าก่อนแม่”
“มัทก็อยากให้ฟ้าถล่มดินทลายจนโลกแตกไปเลยค่ะ มัทจะได้ไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีก”
“แม่หลงคิดว่ามัทจะเข้าใจอะไรๆได้ดีขึ้นแล้วซะอีก”
“เข้าใจหรือไม่เข้าใจ มัทก็ต้องทำตามที่ทุกคนต้องการอยู่ดี”
“ดี แบบนี้เขาเรียกว่ารับผิดชอบต่อหน้าที่..”
อนงค์ยกข้าวต้มเข้ามาเสิร์ฟ มินตราตักให้ มัทนาประชดชีวิต
“รีบๆเลยค่ะ พี่มิน แล้วก็ไม่ต้องตักเยอะ...มัทต้องรีบกินรีบไป”
ท่านหญิงมาณวิกามองหมั่นไส้

คามินนั่งอยู่ที่โต๊ะในสวนอ่านข่าวรายาในไอแพดไป จิบกาแฟไป มัทนาเดินหน้าบึ้งเข้ามา
“พร้อม...จะให้ทำอะไรก็ว่ามา”
คามินมองมัทนาขำๆ
“ยิ้ม”
“ให้ฉันยิ้ม”
“ครับ”
“มันเกี่ยวอะไรกับการเป็นราชินีไม่ทราบ”
“ประชาชนทุกคนอยากเห็นราชินีที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าคุณจะสุข เศร้า เหงา โกรธ คุณก็ต้องยิ้ม”
“หวานพอมั้ย” มัทนายิ้มหวานประชด
“พอได้ครับ...แต่ถ้าแววตายิ้มไปด้วยจะดูจริงใจกว่านี้มาก..เชิญนั่งครับ”
มัทนาเดินไปนั่งอย่างเซ็งๆ
“เข่าชิด หลังตรง ครับ”
มัทนาทำตามที่คามินบอกแต่ก็บ่น
“นี่ฝึกทหารหรือฝึกไปเป็นราชินี”
“รอสักครู่นะครับ ขอให้นั่งอยู่ตรงนี้ แบบนี้จนกว่าผมจะมา”
คามินอมยิ้ม วางไอแพดแล้วเดินออกไป มัทนามองตามหงุดหงิด

มัทนานั่งชะเง้อมองหาคามินอย่างหงุดหงิด
“หายไปไหนเป็นชั่วโมงแล้ว แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ”
มัทนาลุกขึ้นจะเดินไปแล้วชะงัก
“ไม่ได้ๆ...เดี๋ยวตานั่นต้องเยาะเย้ยแน่ๆว่าไม่รักษาคำพูด”
มัทนานั่งลงอย่างหงุดหงิด สูดลมหายใจ ตัวตรงแบบฮึดสุดๆ คามินแอบดูอยู่มุมหนึ่งยิ้มพอใจ

ท่านหญิงมาณวิกาแอบมองลูกอย่างแปลกใจ มินตราเอาแจกันดอกไม้มาวางที่โต๊ะ พลางมองตาม
“ปกติอยู่นิ่งๆได้ไม่เกิน 5 นาที ต้องนั่งอย่างนั้นตั้งหลายชั่วโมง คุณมัทคงทรมานมาก”
ท่านหญิงมาณวิกาพูดไม่คิดอะไร
“ใช่ ถ้าเป็นเธอ คงนั่งได้ทั้งวัน ไม่มีปัญหา”
มินตราชะงักนิดหนึ่ง
“ถ้ามินไปทำแทนได้ก็ดีซิคะ”
“เรื่องนี้คงแทนกันไม่ได้หรอก เดี๋ยวไปเตรียมอาหารกลางวันเถอะ ฝึกหนักแบบนี้คงจะหิวเร็วแน่ๆ”
“ค่ะ”
โทรศัพท์บ้านดัง มินตราเดินไปรับ
“สวัสดีค่ะ บ้านเกียรติกำจรค่ะ...ขนาดนั้นเลยเหรอ เหมันต์ ได้ๆ”
มินตราวางสาย ท่านหญิงมาณวิกาหันมาถาม
“เกิดอะไรขึ้น”
“เหมันต์โทรมาบอกว่าเกิดเรื่องที่โรงงานค่ะ”

“เรื่องอะไร”

มัทนาอ่านหนังสือจบเล่มวางหนังสืออย่างหงุดหงิดดูนาฬิกาหงุดหงิด
“2 ชั่วโมงแล้วนะให้อีก 5 วิ ถ้าไม่มา พอกันที.5..4..3..2..1…”
มัทนาลุกพรวดขึ้น แล้วเหน็บกิน ขาอ่อน เซถลำไป คามินพุ่งเข้ามารับ หน้าทั้งคู่ใกล้กันมาก คามินหวั่นไหววูบ มัทนาก็รู้สึกแปลกๆ คามินได้สติก่อนรีบประคองมัทนั่งแล้วถอยออกมา
“คุณจะไปไหน”
“ฉันต้องถามคุณมากกว่าว่าไปไหนมาถึงปล่อยให้ ฉันนั่งเฉยๆตั้งเป็นชั่วโมงๆหลังฉันปวดจนจะขยับตัวไม่ได้อยู่แล้ว คุณตั้งใจจะแกล้งฉันใช่มั้ย”
“นี่เป็นส่วนหนึ่งของการฝึก”
มัทนามองคามินงงๆ
“เวลามีพระราชพิธีองค์ราชินีต้องประทับอย่างสง่างามอยู่ในพิธีตลอดเวลา..แต่ละพิธีก็ใช้เวลาราวๆนี้2-3 ชั่วโมง”
“งั้นฉันก็ผ่าน”
“ความอดทนผ่านครับ แต่ความสง่างามยัง”
“อย่าบอกนะว่าจะให้ฉันนั่งอย่างสง่างามต่อ..ถ้านั่งต่อเอ็นหลังฉันคงยึดจนเป็นง่อย”
“คุณนั่งแค่สองชั่วโมง แต่ทหารราชองครักษ์ต้องยืนแบกปืนหนักหลายกิโลอยู่ทั้งวัน แล้วไม่ใช่แค่ยืนเฉยๆ แต่ต้องยืนด้วยความมั่นใจ ว่าจะสามารถถวายอารักขาได้ทุกวินาที”
“คุณ..ก็ต้องทำแบบนั้นเหรอ” มัทนาอึ้งไป
“ครับ”
“ฉันว่า คุณก็ต้องมีแอบเมื่อย แอบเบื่อบ้างละ”
“ทหารองครักษ์ไม่มีเวลารู้สึกแบบนั้น เพราะทุกลมหายใจคือความปลอดภัยขององค์กษัตริย์ซึ่งเป็นหัวใจของประชาชน”
มัทนาอึ้งไปอีก แต่ก็จะเอาชนะ
“คุณจะพูดให้สวยหรูดูดียังไงก็ได้ แต่จริงๆแล้ว มนุษย์ทุกคนมีเลือดเนื้อ มีความรู้สึกกันทั้งนั้น”
“ใช่ครับ แต่เราควบคุมและเอาชนะความรู้สึกนั้นได้ ถ้าเราเลิกคิดถึงตัวเองไปบ้าง”
“คุณว่าฉันเห็นแก่ตัวเหรอ”
โทรศัพท์คามินดัง คามินรับ
“สวัสดีครับ คุณธรรมรัตน์ ครับๆ”
คามินมองมัทแล้วเดินห่างไป มัทนามองตาม มินตราเดินออกจากบ้านหน้าเครียด
“คุณมัท วันนี้คงต้องเลิกฝึกก่อนค่ะ คุณพ่อโทรมาสั่งให้คุณมัทขึ้นไปอยู่บนห้องก่อน”
“ทำไมคะ” มัทนาแปลกใจ

ถนนหน้าออฟฟิศโรงงาน ชาวบ้านก่อม็อบ ชูป้ายประท้วง มีหัวหน้ายืนถือโทรโข่งเป็นแกนนำตะโกนเข้าไปในนิคม ยามยืนกั้นอยู่
“ไอ้นายทุนหน้าเลือด มันไม่รู้จักพอ มันจะกว้านซื้อที่ดินของเราไปตั้งโรงงาน พวกเรายอมมั้ย”
ทุกคนตะโกนไม่ยอมๆ

ในห้องทำงาน ธรรมรัตน์โทรคุยกับคามินอยู่
“ชาวบ้านที่อยู่รอบนิคม ก่อม็อบประท้วงปิดทางเข้าออก ผมไม่รู้ว่าเรื่องจะบานปลายไปแค่ไหน อาจมีนักข่าวหรือผู้ไม่หวังดีเข้าไปที่บ้าน ผมฝากคุณคามินด้วยนะครับ ขอบคุณมาก”
เหมันต์วิ่งเข้ามา ธรรมรัตน์หันไปถาม
“ตกลง มันยังไงเหมันต์ ใครเป็นแกนนำ”
“ผมไม่รู้จักครับ ไม่เคยเห็นหน้า ผมไม่เข้าใจว่าใครไปปล่อยข่าวว่าเราจะกว้านซื้อที่เพิ่ม”
ธรรมรัตน์กลุ้ม

คามินเดินกลับมาหามัทนา แต่เห็นเธอวิ่งไปทางโรงรถ มินตราวิ่งตาม
“คุณมัท อย่าไปเลยค่ะ คุณท่านบอกว่าอาจจะมีคนไม่หวังดีมาทำร้ายคนในบ้าน ห้ามพวกเราออกจากบ้านเด็ดขาด”
“แล้วถ้าพวกเขาทำร้ายคุณพ่อล่ะ มัททนรออยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก” มัทนาวิ่งไปตะโกนไป
“คุณมัท ทำไมดื้ออย่างงี้ คุณคามิน ช่วยด้วยค่ะ”

คามินวิ่งตามไป มินตราลดความเร็วลง

เพิ่มกำลังเช็ดรถ กุญแจคาไว้ มัทนาวิ่งมากระโดดขึ้นรถ ขับออกไป คามินกระโดดตบฝากระโปรงให้หยุด แล้วเปิดรถขึ้นไปนั่งคู่คนขับอย่างเร็ว
“ขึ้นมาทำไม”
“ถ้าไม่อยากให้ผมไปด้วยก็กลับเข้าบ้าน”
มัทนาขี้เกียจเถียงออกรถอย่างเร็ว พุ่งไปที่ประตู มินตราวิ่งช้าๆมา
“นายเพิ่ม ห้ามไว้อย่าให้ไป”
เพิ่มทิ้งผ้าวิ่งตาม ไปที่ประตูแต่ไม่ทัน
“เร็วซิ...” มินตราเปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งๆ “โธ่ ไม่ทันจนได้”
หันหลังเดินสบายๆเข้าบ้านไป

ตำหนักเจ้าชายมาคี...ชวาลกำลังจัดเครื่องเสวยชุดฮ่องเต้ มีพวกติ่มซำ ละลานตา แล้วหยิบจานอาหารมาเต้นล่ออยู่หน้าเจ้าชาย
“ฝ่าบาท ซาลาเปาไส้พิเศษสั่งตรงมาจากฮกเกี้ยน ฮ้อมหอม ลองเสวยนิดส์นึงนะพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีนั่งนิ่งที่เก้าอี้หวายนั่งเล่น สีหน้าไร้อารมณ์ ชวาลเอาซาลาเปาไปใกล้ๆ ยั่วแต่เจ้าชายมาคีเบือนหน้า ชวาลเดินไปที่โต๊ะมองหาว่าจะเลือกอะไรดี แอบบ่น
“อะไรๆ ก็ไม่เหวย จานนี้น่าจะดี”
แล้วก็หยิบจานเสี่ยวหลงเปาไปหาเจ้าชายมาคี
“ฝ่าบาท เสวยเสี่ยวหลงเปา ร้อนๆ จากเซี่ยงไฮ้” ชวาลทำเสียงเล็กเสียงน้อย “หน่อยนะพะยะค่ะ”
เจ้าชายมาคีหันหนีอีกด้าน ชวาลท้อ
“ฝ่าบาทอย่าทรงทำแบบนี้เลย ไม่ได้เสวยอะไรมาตั้งแต่เย็นวาน เกิดประชวรไปกระหม่อมจะทำยังไง เสวยเสี่ยวหลงเปาสักลูกก็ยังดี”
ชวาลยื่นให้ เจ้าชายมาคีเอาหมอนปิดหน้า
“กระหม่อมไม่รู้จะทำยังไงแล้ว รับสั่งอะไรบ้างเถอะ เอาแต่ทรงนิ่งแบบนี้ กระหม่อมกลุ้มพระทัย เอ้ย! กลุ้มใจ”
เจ้าชายมาคีเอาหมอนออก ชวาลยิ้มดีใจ
“ทรงเห็นใจกระหม่อม ยอมเสวยแล้วใช่มั้ยฝ่าบาท”
ชวาลยื่นจานเสี่ยวหลงเปาให้เจ้าชายมาคีๆหยิบตะเกียบ
“เสี่ยวหลงเปาร้อนๆ ข้างในร้อนระอุ ระวังพระโอษฐ์พองนะ ฝ่า...”
ไม่ทันขาดคำเจ้าชายมาคีคีบเสี่ยวหลงเปาไปอุดปากชวาล พร้อมกับปิดปากให้เสร็จ ชวาลตาโตเพราะร้อนระอุในปาก
“รำคาญพูดมากอยู่ได้...อย่าคายเด็ดขาด”
เจ้าชายมาคีเดินไปนอนทิ้งตัวที่เตียงอย่างเซ็ง ชวาลวิ่งพล่านเตะโน่นล้ม นี่หกทั่วห้อง ร้อนหน้าแดง ลิ้นพอง วิ่งมาเกือบชนกับหฤทัยที่ถือถาดอาหารเข้ามาปิดฝาครอบไว้ ชวาลชะงักคายซาลาเปา
“คุณหฤทัย แค่กๆ”

เจ้าชายมาคีนอนเซ็ง หฤทัยสงบเสงี่ยม ยื่นถ้วยซุปให้ พูดตามที่เทวีสั่งมา
“ฤทัยทราบว่าฝ่าบาทเสวยอะไรไม่ได้ ก็เลยทำซุปมะเขือเทศมาถวาย ซุปมะเขือเทศอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ เสวยแล้วจะทำให้พระองค์สดชื่นขึ้นนะเพคะ”
“แต่เราเกลียดมะเขือเทศ”
เจ้าชายมาคีเดินเข้าไปที่ห้องนอน หฤทัยอึ้งไป หันไปถามชวาล
“เจ้าชายทรงเกลียดมะเขือเทศเหรอ แต่ทำไม...คุณแม่บอกว่าเจ้าชายทรงโปรดมะเขือเทศล่ะ ชวาล”
ชวาลอึกอัก

“คือ...ที่จริงก็เหวยได้ละครับ เดี๋ยวผมเอาไปแช่เย็น ไว้ก่อนแล้วค่อยอุ่นถวาย”

เจ้าชายมาคีเดินไปที่เตียงล้มตัวลงนอน
“ชวาลๆ หูแตกเหรอ”
หฤทัยวิ่งเข้ามา
“พี่เรียกชวาล เข้ามาทำไม”
“ชวาลไม่อยู่เพคะ เอ่อ ทรงต้องการอะไรเพคะ”
เจ้าชายมาคีรำคาญสุดๆ
“มันก็ไม่ใช่เรื่องของเธอ”
“แต่คุณแม่สั่งว่าให้ฤทัยมาคอยถวายการปรนนิบัติฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีหมั่นไส้เต็มแก่
“หมายความว่าฉันอยากจะได้อะไร เธอก็ทำให้ได้หมดใช่มั้ย”
“เพคะ” หฤทัยซื่อมาก
เจ้าชายมาคีคิดแกล้ง หรี่ตาทำหน้าหื่น
“ดี...”
เจ้าชายมาคีถอดเสื้อเดินเข้าหา หฤทัยงง ถอย
“ฝ่าบาท จะทรงทำอะไรเพคะ”
เจ้าชายมาคีดึงหฤทัยกระชากเข้ามา
“ก็ทำอย่างที่เธออยากให้ทำมาตลอดไงล่ะ”
หฤทัยตกใจ

หฤทัยวิ่งหนีออกมาจากห้อง เจ้าชายมาคี ตามออกมากระชากแขนไว้
“จะไปไหนล่ะ อยากเป็นชายาของพี่มากไม่ใช่เหรอแล้วจะหนีทำไม”
“ไม่เพคะ มันต้องไม่ใช่แบบนี้”
หฤทัยร้องไห้ดิ้นรน
“อย่าเพคะ”
หฤทัยดิ้นรนจนหลุด วิ่งหนีออกไป
“ก็แค่นี้”
เจ้าชายมาคีเดินกลับเข้าไป สินธร ก้าวเข้ามาเห็นเหตุการพอดีก้มลงหยิบเครื่องประดับผมของหฤทัยที่หล่นอยู่

รถมัทนาวิ่งมาถึงนิคม ชะลอจอดมองไปเห็นม๊อบอยู่เต็มด้านหน้า กำลังพยายามดันยามเข้าไปโดยพยายามแย่งกระบองจากยาม ชาวบ้านคนหนึ่งตะโกน
“เข้าไปข้างในให้ได้ ลากไอ้ธรรมรัตน์ออกมา”
มัทนาโมโห
“อะไรกันเนี่ย มันจะมากไปแล้ว”
มัทนาจะเปิดประตูลงจากรถ คามินห้ามไว้
“คุณจะทำอะไร”
“ฉันก็จะไปพูดกับคนพวกนั้นให้รู้เรื่อง”
“พวกชาวบ้านกำลังโกรธพ่อคุณ คุณลงไปอาจจะเป็นอันตรายได้”
“แต่คุณก็ได้ยินว่าเขากำลังจะบุกไปทำร้ายคุณพ่อ”
“เรามีแค่สองคน ทำอะไรไม่ได้หรอก แจ้งตำรวจเถอะครับ”
ชาวบ้านชาย ตียามล้มลง ยามอีกคนจะเข้าช่วยก็โดนรุม
“ไม่ทันแล้ว ฉันต้องลงไปห้ามเขา”
มัทนาจะลงจากรถแต่คามินกดปุ่มล็อคประตู
“แต่คุณเป็นว่าที่ราชินีของรายาคุณต้องรักษาตัวให้ดีที่สุด ผมยอมให้คุณเสี่ยงกับคนที่ขาดสติแบบนั้นไม่ได้”
มัทนากดเปิดล็อค
“ชีวิตฉันไม่ได้มีหน้าที่เป็นว่าที่ราชินีของรายาอย่างเดียวนะ ฉันยังมีหน้าที่ลูกที่ต้องช่วยพ่อแก้ปัญหาด้วย”
คามินกดปิดล็อค
“ผมไม่ให้คุณลง”
มัทนากดเปิดล็อค
“ฉันจะลง”
คามินกับมัทนาเถียงกันกดปุ่มล็อคอย่างไม่มีใครยอมใครแต่แล้วคามินก็ชะงักหันไปมองเพราะได้ยินเสียงใกล้เข้ามา พอหันไปเจอชาวบ้านรุมรถอยู่แล้วเคาะรถทุบรถจนรถโยก
“ลงมา ลงมา”
มัทนาตกใจมาก
“ว้าย”
มัทนากับคามินมองชาวบ้านที่รุมทุบรถอย่างตกใจ เหตุการณ์รุนแรงเลวร้ายมากขึ้น

ธรรมรัตน์กับเหมันต์อยู่ในออฟฟิศต่างคนต่างคิดหาทางแก้ปัญหาสีหน้าเครียดจัด เหมันต์กำลังโทรบอกตำรวจ ผู้จัดการนิคมวิ่งเข้ามา
“ท่านประธาน แย่แล้วครับ”

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)

กระจกรถฝั่งมัทนาโดนทุบเปรี้ยงอย่างแรง มัทนาสะดุ้งเฮือกผงะมาพิงคามินอย่างตกใจ ชาวบ้านทุบกระจกแตกเปรี้ยง มัทนากับคามินมองอย่างตกใจ ชาวบ้านเอื้อมมือเข้ามาจิกผมมัทนาอย่างแรง

“ลงมาเดี๋ยวนี้”
มัทนากรี๊ดลั่นอย่างเจ็บปวด คามินมองตกใจจับมือชาวบ้านบิดข้อมืออย่างแรง
“อ๊าก”
ชาวบ้านชักมือออกนอกรถไป
“เอาตัวออกห่างหน้าต่างให้มากที่สุด”
มัทนาเอนตัวมาทางคามินจนหลังพิงเขา ชาวบ้านเอื้อมมือมาพยายามจะจับมัทนาให้ได้
“ลงมา...ลงมา”
มัทนาขยับหนีจนไปนั่งตักเขา คามินโอบเธอไว้แล้วชักปืนจากเอวขึ้นขู่
“ถอยไป บอกให้ถอย ไม่งั้นฉันยิง”
ชาวบ้านที่เกาะกระจกอยู่ถอยออกจากรถ มัทนาจับมือคามินไว้
“อย่ายิงนะ”
“แต่เขาจะทำร้ายคุณ”
“พวกเขาไม่มีอาวุธ แล้วเขาก็เป็นคนไทย คุณไม่มีสิทธิ์ทำร้ายพวกเขา”
คามินทึ่งนิดๆที่มัทชาตินิยม ชาวบ้านตะโกน
“คิดเหรอว่าจะหนีพ้น”
มัทนากับคามินมองอย่างตกใจ
“ขืนอยู่ในนี้ชาวบ้านต้องพังรถเข้ามาแน่ เราต้องฝ่าวงล้อมออกไป”
“ลงไปคุณมีแต่ตายกับตาย”
“ต่อให้ต้องตายฉันก็ต้องช่วยคุณพ่อให้ได้”
คามินหันมาพูดกับมัทนาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ถ้าคุณยืนยันแบบนี้ ผมจะลงไปด้วยผมจะคุ้มกันคุณเอง”
มัทนามองคามินอย่างอึ้งๆ

รถที่อยู่ในวงล้อมของชาวบ้านมีเสียงปืนดังขึ้น 3 นัดซ้อน ชาวบ้านตกใจมากอุดหูนั่งลงอย่างหวาดกลัวเสียงตะโกนโหวกเหวกเงียบลง เหมันต์ขับรถพาธรรมรัตน์ออกมา เบรกรถเอี๊ยดด้วยความตกใจ ทั้งสองมองหน้ากันอย่างตกใจ
“เสียงปืน”
เหมันต์ตกใจมาก
“ชาวบ้านยิงคุณมัท”
คามินถือปืนยื่นออกมาจากหน้าต่างรถที่เปิดอยู่ แล้วลงจากรถกราดปืนขู่ชาวบ้าน
“ถอยห่างออกไป คุณมัทนา ลูกสาวคุณธรรมรัตน์จะลงไปเจรจากับพวกคุณ”
คามินเปิดประตูลงไปก่อน แล้วอ้อมไปเปิดให้มัทลง ชาวบ้านพอเห็นมัทนาชัดๆ ก็ซุบซิบกัน เพราะสวยมาก คามินหันไปพยักหน้าให้ มัทนายกมือไหว้ชาวบ้านรอบทิศ
“สวัสดีค่ะพี่ป้าน้าอาทุกคน”
ชาวบ้านมองมัทนางงๆว่าจะมาไม้ไหน
“มัทไม่รู้ว่าทุกคนมีปัญหาอะไรกับคุณพ่อ แต่ทำไมไม่คุยกันดีดีละคะ คุณพ่อเป็นคนมีเหตุผล ท่านต้องรับฟังแน่”
หัวหน้าม็อบพูดใส่โทรโข่ง
“มีเหตุผลเหรอ ถ้ามีจริงคงไม่ใช้นักเลงไปข่มขู่ จะยิงจะเผา บีบให้เราขายที่หรอก”
มัทนากับกับคามินต้องปิดหูเพราะดังมาก ชาวบ้านฮืฮฮาาว่าใช่ๆ มัทนายัวะ แย่งโทรโข่งมา
“ไม่จริง คุณพ่อไม่มีทางทำแบบนั้น”
คามินจับแขนเตือนสติ
“คือฉันหมายความว่า ถ้ายังไม่มีหลักฐานว่าคุณพ่อเป็นคนทำก็ยังไม่ควรจะใช้ความรุนแรง เพราะมันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย”
ชาวบ้านหญิงคนหนึ่งตะโกนสวนมา
“คนรวยอย่างพวกคุณ จะรู้อะไร วันๆก็เอาแต่แต่งตัวสวยๆ ขับรถโก้ๆ คิดแต่จะหาเงินบนความทุกข์ยากของคนจน”
ทุกคนฮือฮา สนับสนุน
“ฉันมีเงินก็จริง แต่เงินทุกบาททุกสตางค์ ฉันสาบานได้ว่าคุณพ่อหามาด้วยความสุจริต และถ้าฉันไม่สนใจพวกคุณ ฉันก็คงไม่มาให้พวกคุณทำร้ายถึงที่นี่”
หัวหน้าม็อบ แย่งโทรโข่งไปพูดอีก
“คนที่ถูกทำร้ายคือพวกเราต่างหาก โน่น ไอ้มีโดนตีหัวแตก ไอ้แหวงก็ถูกเผาบ้านไปเมื่อวาน ใครจะรับผิดชอบวะ”
มัทนาแย่งโทรโข่งมาอีก

“ฉันรับผิดชอบเอง มีอะไร ฉันมัทนา เกียรติกำจรขอรับผิดชอบเพียงคนเดียว ทั้งค่ารักษาพยาบาลเงินชดเชยค่าเสียหาย และจะช่วยเป็นตัวกลางเจรจากับคุณพ่อด้วย”

ชาวบ้านซุบซิบฮือฮากัน คามิน ดึงโทรโข่งจากมัทนาไปพูด
“ผม...คามิน ขอใช้ตำแหน่งราชองครักษ์แห่งรายาเป็นประกันอีกคน”
ความสง่างามของคามินกับมัทนา ที่ยืนคู่กัน ทำให้ชาวบ้านอ่อนลงโดยอัตโนมัติ หัวหน้าม็อบเห็นท่าไม่ดี แย่งโทรโข่งไปอีก
“อย่าไปเชื่อ มันหลอกพวกเรา บุกไปเอาตัวไอ้ธรรมรัตน์ออกมา”
คามินเอะใจที่หัวหน้าม็อบจงใจไม่เจรจา แถมยังโบกมือให้คนฮือตามวิ่งเข้าโรงงาน รถธรรมรัตน์วิ่งมาพอดี บีบแตรสนั่น แล้วจอด หัวหน้าม็อบรีบยุยงชาวบ้าน
“นั่นไง...มันมาแล้ว จับตัวมันออกมา”
มัทนาตะโกนห้าม
“อย่านะ...อย่า”
คามินยิงปืนขึ้นฟ้าอีกหลายนัด ชาวบ้าน ชะงักกัน มัทนาวิ่งเข้าไปหาพ่อ
“มัท”
เสียงหวอตำรวจดังมา เหมันต์เข้ามาบอก
“ตำรวจมาแล้วครับ”
ชาวบ้านหันไปมองรถตำรวจสองคันวิ่งมา หัวหน้าม็อบตกใจ ถือโอกาสชุลมุนจะหนี คามินกระโดดล็อค
“เฮ้ย ปล่อยนะโว้ย...”
รถตำรวจจอด ตำรวจกรูลงมา

ในห้องทำงานธรรมรัตน์ในนิคม...มัทนา เดินไปเดินมา อย่างร้อนใจ คามินนั่งกอดอกมอง
“ทำไมนานนัก”
“ตำรวจคงอยากสอบปากคำให้ละเอียดที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่ากฎหมายประเทศคุณเป็นยังไง แต่อย่างน้อยที่สุด เขาก็มีความผิดฐานบุกรุก ต้องถูกดำเนินคดีแน่ ไม่ต้องกลัวหรอกครับ”
“ฉันไม่ได้อยากให้พวกเขาติดคุก”
“อ้าว...ทำไมละครับ”
“พวกเขาเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ถ้าเขาไม่ลำบากจริงคงไม่มาประท้วงหรอก อีกอย่าง ถ้าเขาถูกคนของพ่อฉันบีบจริงเราก็ควรจะชดเชยให้เขามากกว่าจับเขาติดคุก”
คามินยิ่งประทับใจในน้ำใจมัทนา
“แต่บางที เขาอาจจะมาชุมนุมด้วยเหตุผลอื่นก็ได้นะครับ”
“เหตุผลอะไรคะ”
ธรรมรัตน์เปิดประตูเข้ามา เหมันต์ตามหลัง
“มีคนจ้างวาน...”
คามินกับมัทนาหันไปมอง
“คุณพ่อ”
“คุณคามินพูดถูก ม็อบคราวนี้ไม่ธรรมดา แกนนำยอมรับแล้วว่า ได้รับเงินค่าจ้างให้มาปลุกปั่นชาวบ้าน ว่าเราจะขยายนิคม ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย”
มัทนาสงสัย
“แล้วใครคะที่ทำแบบนี้”
เหมันต์หันมาบอก
“รู้แต่ว่าชื่อนายยักษ์ แต่ไม่มีหลักฐานอื่นมากกว่านี้”
คามินคิดๆ
“ผมคิดว่าคนจ้างวานน่าจะเป็นคนเดียวกับที่ส่งมือปืนมายิงคุณธรรมรัตน์ที่งานเลี้ยง”
มัทนาโกรธมาก
“เลวมาก อย่าให้รู้นะว่าเป็นใคร...”
ธรรมรัตน์ขัดขึ้น
“มัทรู้มั้ยว่าลูกมีความผิด...ถ้าท่านราชองครักษ์ไม่มาด้วยอะไรจะเกิดขึ้น” ธรรมรัตน์หันไปหาคามิน “ต้องขอโทษอีกครั้งนะครับ”
“ไม่เป็นครับ เป็นหน้าที่ของผมอยู่แล้ว ที่ต้องถวายอารักขาพระคู่หมั้น”
“ใครเป็นคู่หมั้นใคร” มัทนาสวน
“มัท” ธรรมรัตน์ปราม
มัทนาหน้าง้ำ
“พี่เหมันต์ไปหาอะไรกินกันดีกว่า อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ทำคุณบูชาโทษชัดๆ”
มัทนาเดินงอนออกไป เหมันต์ตาม ธรรมรัตน์ถอนใจ
“ถึงวันนี้ผมก็ยังนึกภาพมัทนาเป็นราชินีแห่งรายาไม่ออกอยู่ดี”
คามินยิ้มๆ
“แต่ผมว่าผมพอจะนึกออกนะครับ...ต้องขอบคุณเหตุการณ์วันนี้ มันทำให้ผมได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่าจะได้เห็น”
ธรรมรัตน์งงๆ

เจ้าชายมาคีนั่งบนเตียงเล่นเกมส์ฟุตบอลกับจอทีวี เซ็งๆ ชวาลเข้ามา
“ขอประทานอนุญาต ฝ่าบาท”
“ถ้าเจ้าขืนมาจู้จี้กับเราอีก เราจะตัดลิ้นเจ้าทิ้ง”
“แต่ว่า...”
เจ้าชายมาคีหันขวับ ชวาลปิดปาก แล้วชี้ไม้ชี้มือ ภาษาใบ้ว่ามีคนมาหา เจ้าชายมาคีกดปิดรีโมท ขว้างรีโมททิ้ง
“นี่ยัยหฤทัยยังไม่เข็ดอีกเหรอ”
พระนางสาวิตรีเดินเข้ามากับนางกำนัล
“แม่เอง เจ้าชายมาคี”
“เสด็จแม่...”
เจ้าชายมาคีรีบลุกขึ้นถวายความเคารพ
“เห็นว่าหฤทัยทำซุปมะเขือเทศที่ลูกชอบมาให้ ได้ชิมรึยังจ้ะ”
“ลูกเกลียดๆซุปมะเขือเทศ ต่อไปนี้ไม่ต้องให้ใครทำมา ให้ลูกอีก”

“ถ้าอย่างงั้นก็มากินซุปบร๊อคเคอรี่ฝีมือแม่นะจ๊ะ”

พระนางสาวิตรีแบมือเรียกสนมให้ส่งถ้วยซุปปิดฝามา ชวาลรีบไปหยิบโต๊ะที่ใช้ตั้งอาหารบนเตียงมาวาง เจ้าชายมาคีมองหน้า ชวาลรีบยกโต๊ะออกไป
“ลูกไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น อดตายไปเลยยิ่งดี”
เจ้าชายมาคีลงนอนกอดอกหันหลังให้
“แต่ถ้าเป็นอาหารฝีมือกรรณิการ์ล่ะ ลูกจะกินมั้ย”
“เสด็จแม่พูดถึงกรรณิการ์ทำไม ในเมื่อไม่มีใครยอมรับเธอสักคน”
พระนางสาวิตรีส่งถ้วยซุปให้นางกำนัลและโบกมือไล่ออกไป
“แม่จะรับกรรณิการ์มาดูแล หาหมอที่เก่งที่สุดมารักษาให้หายแล้วก็จะส่งให้บุหลันฝึกมารยาทของชาววังให้ แบบนี้เรียกว่ายอมรับมั้ย”
เจ้าชายมาคีตกใจหันไปหาพระนางสาวิตรี
“อะไรนะ เสด็จแม่”
“แม่มาคิดดูแล้ว กรรณิการ์ไม่มีความผิดอะไรสักนิด แถมยังต้องมาถูกทำร้าย มันไม่ยุติธรรมเลย”
เจ้าชายมาคีตื่นเต้น
“นี่ นี่ลูกไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย หมายความว่าเสด็จแม่ทรงยอมให้ลูกอภิเษกกับกรรณิการ์แล้ว”
พระนางสาวิตรีพยักหน้า เจ้าชายมาคีโผกอด
“เสด็จแม่พระทัยดีที่สุด ลูกรักเสด็จแม่”
“แต่ว่า แม่มีข้อแม้นะ”
เจ้าชายมาคีชะงัก

หฤทัยยืนร้องไห้ สินธรเดินเข้ามาถือเครื่องประดับของเธอที่เขาเก็บไว้
“คุณหฤทัย”
หฤทัยสะดุ้ง หันไปมอง
“เจ้าชายให้มาตามตัวเราใช่มั้ย ขอร้องล่ะ อย่าพาตัวเราไปเลย กลับไปทูลเจ้าชายว่าไม่พบเราได้มั้ยสินธร”
“เจ้าชายไม่ได้ทรงให้ผมมาตามคุณ แต่ผมจะเอาสิ่งนี้มาคืน คุณทำตกไว้ที่หน้าห้องเจ้าชายตอนวิ่งออกมา”
สินธรยื่นให้ หฤทัยรับไว้ สินธรมองเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย หฤทัยมองเสื้อผ้าที่ยับเยินก็รีบจัดให้เข้าที่แล้วก็รีบติดเครื่องประดับแต่ก็ทำหล่นอีก สินธรก้มลงเก็บพร้อมกับหฤทัยมือถูกมือ ทั้งคู่มองหน้ากันก่อนผละออก
“ขอโทษครับ”
หฤทัยร้องไห้ออกมาอีกด้วยความอาย
“นายคงคิดดูถูกฉันอยู่ใช่มั้ย”
“ผมเข้าใจดีกว่าเกิดอะไรขึ้น คุณหฤทัยอย่ากังวลเลยครับ” สินธรสงสาร
หฤทัยเช็ดน้ำตา พยายามติดเครื่องประดับ
“ผมช่วยมั้ยครับ”
“ขอบคุณ ...ถ้าแม่เห็นฉันในสภาพนี้ ฉันคงโดนดุแน่ๆ”
“ขออนุญาตนะครับ”
สินธรติดให้ ทั้งคู่รู้สึกแปลกๆ ชวาลเรียกตามหลังมาไกลๆ
“ท่านสินธร”
หฤทัยรีบกำชับ
“ท่านอย่าบอกเรื่องนี้กับใครนะ ฉันขอร้อง”
“ครับ วางใจได้”
“ขอบใจนะสินธร”
หฤทัยรีบเดินออกไป สินธรมองตามด้วยความสงสาร เห็นใจ ชวาลเดินมาถึงพอดีแต่หฤทัยไม่อยู่แล้ว
“อยู่ที่นี่เอง ให้ผมตามหาตั้งนาน”
“เกิดเรื่องกับเจ้าชายเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซิ”
สินธรรีบวิ่งไป ชวาลหน้าเหวอ
“อ้าว...เฮ้ย เดี๋ยว...”

สินธรวิ่งมา เห็นเจ้าชายมาคีนั่งกินซุปมะเขือเทศสบายใจ อิ่มพอดี
“เอ๊ะ...” สินธรมองรอบๆ
“มีอะไร วิ่งหน้าตาตื่นมา”
“ก็ชวาลบอกว่า...”
“มาก็ดีแล้ว เราจะออกไปประชุมที่วังหลวง เตรียมรถให้ด้วย...ชวาล เราอิ่มแล้ว ความจริงซุปมะเขือเทศฝีมือหฤทัยก็อร่อยไม่เลวนะ”
เจ้าชายมาคีเดินอารมณ์ดีเข้าไปในห้องสรง สินธร เห็นที่หูเจ้าชายมาคีใส่ตุ้มหูครบทั้งสองข้างก็ ตกใจ ชวาลหันมาหา
“งง งงล่ะซิ อย่าว่าแต่ท่านเลย ผมก็งง ก่อนองค์ราชินีจะเสด็จมา เจ้าชายยังทรงเอาแต่บรรทม ไม่ยอมเหวย ไม่ยอมรับสั่งอะไร แต่พอองค์ราชินีเสด็จกลับไป ก็ทรงลุกขึ้นมา เสวย ที่สำคัญ เสวยซุปของคุณหฤทัยด้วย ที่รีบไปตามท่านก็เพราะว่าจะให้ช่วยมาดีใจด้วยกัน...”
เสียงเจ้าชายมาคีดังมา
“ชวาล”
“ไปเดี๋ยวนี้พะยะค่ะ”

ชวาลวิ่งตามเจ้าชายไป สินธรแปลกใจ มองถ้วยซุปคิดว่าต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

บ้านนายพลวิฑูร...หฤทัยเดินเข้าบ้านมากลัวๆ เทวีโผล่พรวด
“หายไปไหนมา”
“คุณแม่...” หฤทัยสะดุ้ง
“ทำไมเสื้อผ้า ผมเผ้ายับเยินแบบนี้”
หฤทัยน้ำตาคลอ
“เจ้าชายเพคะ เจ้าชายทรงรังแกฤทัย”
“อะไรนะ...” เทวีหน้าตื่น
“ท่าทางเจ้าชายน่ากลัวมากเลยค่ะ โชคดีที่ฤทัยหนีออกมาได้ทัน” หฤทัยร้องไห้
“หนี...หนีทำไม...หา ปัญญาอ่อนรึไง”
เทวีทั้งหยิกทั้งตี
“ที่ฉันให้แกไปเฝ้าก็เพื่อจะให้เจ้าชายรังแกแกนี่แหละ สมองแกนี่มันทำด้วยอะไร สอนไม่รู้จักจำ”
นายพลวิฑูรเดินออกมา
“อะไรกัน เอะอะเป็นพวกข้างถนนไปได้”
“ก็ยัยฤทัยน่ะซิคะ ถูกเจ้าชายลวนลามแล้วดันดัดจริตวิ่งหนีออกมา เจ้าชายทำแบบนี้แสดงว่ามีใจให้แกแล้ว ทำไมถึงโง่แบบนี้”
นายพลวิฑูรตวาด
“หยุด! คนที่โง่คือเธอต่างหาก คิดเหรอ ว่าใช้วิธีตื้นๆแบบนั้นแล้วจะได้อภิเษกกับเจ้าชายรัชทายาท”
เทวีจ๋อยไป
“ก็ลองมาตั้งไม่รู้กี่วิธี ไม่เห็นจะได้ผล จนเจ้าชายประทานกุณฑลให้นังนักร้องนั่นไปแล้ว”
“คิดอย่างเธอ อีกร้อยปี ก็ไม่ได้เป็นใหญ่ พาหฤทัยไปแต่งตัวให้สวยที่สุดเดี๋ยวนี้”
“ทำไมละคะ วันนี้มีงานอะไรเหรอ” เทวีงงๆ
“งานเปิดตัว ว่าที่องค์ราชินีองค์ต่อไปแห่งรายาไงล่ะ”
นายพลวิฑูรยิ้มสมใจ เทวีตาโต
“หมายความว่า...”
หฤทัยหน้าเหลอหลา

ราชาอินทราอยู่ในห้องบรรทมตกใจกับสิ่งที่โภคิดบอก
“พระนางสาวิตรีน่ะเหรอ จะเข้าประชุมแทนเรา”
“พะยะค่ะ องค์ราชินีตรัสสั่งไม่ให้งดการประชุม เพราะจะเสด็จแทนพระองค์ สินธรบอกว่าเจ้าชายรัชทายาทจะทรงเข้าประชุมด้วย”
ราชาอินทรากังวล ลุกจากที่นอน
“ช่วยแต่งตัวให้เราด้วย เราจะเข้าประชุมเดี๋ยวนี้”
ราชาอินทราเซหน้ามืด โภคินประคอง
“ฝ่าพระบาท”
ราชาอินทราเซลงนั่งที่เตียงแล้วนึกได้ หันไปเปิดหมอน ควานหากล่องกุณฑล
“แย่แล้ว กุณฑลของเจ้าชายมาคี”

เจ้าชายมาคีอาบน้ำแล้วเดินเข้ามาที่กระจก มองกุณฑลที่หูซ้าย

ก่อนหน้านี้....พระนางสาวิตรียื่นกล่องกุณฑลให้เจ้าชายมาคีๆเปิดดู
“กุณฑลของลูก”
“ใช่...ถ้าลูกรับปากว่า จะมอบมันให้หฤทัย แม่จะคืนให้ลูก”
เจ้าชายมาคีคิดหนัก
“แต่ถ้าลูกตกลงอภิเษกกับหฤทัย กรรณิการ์จะอยู่ในฐานะอะไร”
“แรกๆก็อาจเป็นแค่สนมกำนัล แต่ถ้ากรรณิการ์ตั้งครรภ์ ลูกก็จะสามารถสถาปนานางขึ้นมาเป็นชายาได้อีกองค์ ตามประเพณี”
“แล้วถ้ากรรณิการ์ไม่มีลูก”
“อย่างน้อย ลูกก็จะได้อยู่ด้วยกัน เพราะแม่คุยกับหฤทัยแล้วคิดดูนะ ได้หฤทัยเป็นชายาก็ยังดีกว่าที่จะต้องแต่งงานกับผู้หญิงอื่นที่พ่อของลูกอาจกำลังหาให้ เชื่อแม่เถอะ”
เจ้าชายมาคีคิดหนัก แต่ก็ตัดสินใจ

“ได้...ลูกจะเชื่อเสด็จแม่”

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)

ห้องประชุมใหญ่ วังหลวงปัจจุบัน...พระนางสาวิตรีเดินเข้ามายืนหัวโต๊ะ นายพลวิฑูร กรมวัง และรัฐมนตรีต่างๆ ถวายความเคารพ
“เชิญนั่งเถอะ”
ทุกคนนั่งลง นายพลวิฑูรกับกรมวังนั่งขนาบ
“ท่านทั้งหลายคงจะแปลกใจที่เรามาทำหน้าที่องค์ประธานการประชุมแทนองค์ราชา ทั้งๆที่ทรงโปรดให้เลื่อนการประชุมออกไป”
ทุกคนมองหน้ากัน นายพลวิฑูรเสริม
“ฝ่าพระบาททรงพระปรีชา พวกเกล้ากระหม่อมพร้อมน้อมรับพระราชวินิจฉัย”
พระนางสาวิตรียิ้มพอใจ
“ราชกิจขององค์ราชาเราคงไม่ก้าวก่าย แต่ที่มาในวันนี้เพราะมีเรื่องที่อยากจะขอความเห็นพวกท่าน เกี่ยวกับการอภิเษกของเจ้าชายรัชทายาท”
ทุกคนฮือฮา นายพลวิฑูรอมยิ้ม กรมวังพูดขึ้น
“เกล้ากระหม่อมไม่ทราบกำหนดการเรื่องนี้มาก่อนเลย”
รัฐมนตรีถวายบังคม
“ขอเดชะ ตอนนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเจ้าชายรัชทายาทกับนักร้องที่ชื่อกรรณิการ์ หรือว่า การอภิเษกที่ทรงหมายถึง...”
ทุกคนมีทีท่าตกใจ ไม่พอใจโดยเฉพาะกรมวัง
“กรรณิการ์เป็นเพียงสามัญชน มีอาชีพเต้นกินรำกินไม่คู่ควรกับองค์รัชทายาท ขอทรงพิจารณาด้วย”

ทุกคนแซ่ซ้อง
“ให้พิจารณาด้วย”
พระนางสาวิตรีโบกมือ
“เอาละ ใจเย็นๆก่อน พวกท่านเข้าใจผิดแล้ว ผู้หญิงที่เจ้าชายมาคีจะอภิเษกด้วยคือ...”
พระนางสาวิตรียังไม่ทันเอ่ยชื่อ ราชาอินทราเดินเข้ามากับโภคินขัดขึ้นเสียก่อน
“ขอโทษด้วยที่มาช้า”
“เสด็จพี่” พระนางสาวิตรีอึ้งไป
ราชาอินทรามองอย่างตำหนิ
“ประกาศเรื่องสำคัญอย่างงี้น่าจะรอเราก่อน”
พระนางสาวิตรีหน้าตื่นมองหน้ากับนายพลวิฑูร

คามินอยู่ในห้องพักของโรงแรมโทรศัพท์คุยกับสินธรพลางหยิบไอแพดมากดโปรแกรมสไกด์ เพื่อพูดคุยเห็นหน้ากับทางรายา
“แล้วตอนนี้เจ้าชายอยู่ไหน สินธร”
สินธรรออยู่หน้าประตู ตำหนักเจ้าชายมาคี
“กำลังจะเสด็จออกจากตำหนักครับ...”
“ขอฉันคุยกับพระองค์เดี๋ยวนี้”
เจ้าชายมาคีแต่งตัวเสร็จ เดินออกมาได้ยินพอดี ชะงัก
“คามินเหรอ...บอกว่าเราไม่ว่างต้องไปประชุมเรื่องงานอภิเษก”
“แต่ท่านคามินมีเรื่องสำคัญมากที่ต้องทูลพระองค์ เดี๋ยวนี้พะยะค่ะ” สินธรยื่นให้
เจ้าชายมาคีชักยัวะ
“งั้นเหรอ...แต่เรามีธุระที่สำคัญกว่า เราเป็นองค์รัชทายาท ทำไมจะต้องมาคอยทำตามคำสั่งของราชองครักษ์ด้วย”
คามินได้ยินร้อนใจ พูดเสียงดัง
“สินธร เปิดสปี๊คเกอร์โฟน”
เจ้าชายมาคีกำลังจะเดินออกเสียงคามินดังออกมา
“ฝ่าบาท ตอนนี้กระหม่อมอยู่ที่ประเทศไทย ทรงอยากจะเสด็จมาพักผ่อนคลายเครียดมั้ยพะยะค่ะ”

เจ้าชายมาคีชะงักกึก คามินถอนใจเฮือกที่หยุดเจ้าชายสำเร็จ รู้ว่าถ้าคุยเรื่องงานไม่สนแต่เรื่องเที่ยวถึงไหนถึงกัน

ในห้องประชุม...พระนางสาวิตรีย้ายมานั่งข้างๆ คู่กับราชาอินทรา โภคิน ก็ไปนั่งอยู่ตรงที่ๆยังว่าง ราชาอินทราตรัสขึ้น
“เมื่อกี้ เจ้าพูดถึงงานอภิเษกใช่มั้ย...พูดต่อซิ เราเองก็กำลังอยากหารือเรื่องนี้อยู่พอดี”
“เจ้าชายมาคีเพิ่งมาบอกหม่อมฉันเช้านี้ว่าต้องการอภิเษกกับหฤทัย”
ทุกคนดีใจ กรมวังเห็นด้วย
“เป็นข่าวดีที่สุดพะยะค่ะ คุณหฤทัยเหมาะสมที่สุดแล้วที่จะเป็นพระชายา”
รัตมนตรีเสริม
“แบบนี้ฝ่ายความมั่นคง คงไม่ต้องหนักใจแล้ว ถ้าข่าวนี้ออกไป ประชาชนต้องมีความรู้สึกต่อองค์รัชทายาทดีขึ้น”
นายพลวิฑูรทำเป็นเพิ่งรู้สร้างภาพ
“กระหม่อมเองก็เพิ่งทราบจากองค์ราชินีเดี๋ยวนี้ รู้สึกเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อครอบครัวอย่างหาที่สุดมิได้”
ราชาอินทราหน้าสงบนิ่ง
“เราก็เห็นด้วยที่ว่าหฤทัยเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นชายาของเจ้าชายมาคี”
“เสด็จพี่”
พระนางสาวิตรียิ้มดีใจ นายพลวิฑูรเองก็นึกไม่ถึง
“แต่หฤทัยก็ยังไม่เหมาะสมพอที่จะเป็นราชินีองค์ต่อไปของรายา”
“หฤทัยยังเด็ก กระหม่อมยังต้องอบรมอีกมาก” นายพลวิฑูรหน้าเสีย แต่พยายามพูดดี
“เราไม่ได้ตำหนิหฤทัยแต่เรากำลังจะบอกว่า...เราได้หมั้นหมายเจ้าชายมาคีไว้กับหญิงอื่นแล้ว”
ทุกคนงง พระนางสาวิตรีหน้าตื่น
“อะไรนะเพคะ”

เจ้าชายมาคีเข้ามามองที่หน้าจอไอแพด เห็นภาพวิวอันสวยงามในเมืองไทยต่างๆที่คามินส่งมาให้ แล้วภาพเปลี่ยนเป็นหน้าคามิน
“อะไรกันคามิน ไหนเสด็จพ่อบอกว่านายไปคุมสร้างฝาย ที่แท้ก็หนีไปเที่ยวแล้วก็ทิ้งเราให้เผชิญเรื่องบ้าๆอยู่คนเดียว”
“กระหม่อมทราบเรื่องทั้งหมดแล้ว แต่กระหม่อมกำลังทำภารกิจสำคัญให้กับฝ่าบาท”
เจ้าชายมาคีงงๆ
“ภารกิจอะไร”
“กระหม่อมมาดูตัวพระคู่หมั้นให้พระองค์”
เจ้าชายมาคีชะงัก
“คู่หมั้น”

บ้านนายพลวิฑูร...หฤทัยแต่งตัวสวยงามนั่งตัวตรง รอให้มีคนมาแสดงความยินดี เทวีก็นั่งยิ้มอยู่เหมือนกัน แต่ก็เริ่มเมื่อย ทุบๆขา
“คุณแม่คะ... ลูกขอไปห้องน้ำสักครู่ได้มั้ย”
“ไม่ได้ เกิดพวกกรมวัง รัฐมนตรีทั้งหลายมาแสดงความยินดีจะให้เค้ารอได้ยังไง”
“แต่ลูกไปไม่นานหรอกค่ะ”
“นาทีนึงก็ไม่ได้ อดทนแค่นี้ไม่ไหว จะเป็นราชินีของรายาได้เหรอ”
เสียงรถมา เทวีตื่นเต้น
“มากันแล้ว...ไหนดูซิ”
เทวีเช็คความสวยงามของลูก
“ยิ้ม...”
หฤทัยฉีกยิ้มทันที เทวีรีบลุกขึ้น ไปรอรับ นายพลวิฑูรเดินดุ่มเข้ามาด้วยความโมโหสุดๆ เทวีเข้าไปยิ้มแย้ม ก้มหน้าก้มตาพูดไม่ดูว่าใคร
“ท่านพี่ ตกลงมีใครมาบ้างคะ น้องจะได้ต้อนรับถูก”
นายพลวิฑูรผลักแจกัน ใหญ่ ลงแตกกระจาย หฤทัยกรี๊ดร้องพร้อมกับเทวี
“ว้ายย อะ...อะไรกันคะ”
“ไม่มีใครมาทั้งนั้น แล้วก็หยุดพล่ามซะที”
สุเทษวิ่งเข้ามา
“ท่านนายพลครับ”
สุเทษเห็นแจกันแตกแล้วตกใจ
“มีเรื่องบ้าอะไรอีก”
“คามินไม่ได้อยู่ที่ฝาย ผมเช็คไปที่กองการต่างประเทศ เลยรู้ว่าคามินบินออกนอกประเทศไปหลายวันแล้ว”
“ที่แท้องค์ราชาก็เตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว พวกเราเสียรู้จนได้”
หฤทัยหันมาถาม
“ลูกไปห้องน้ำได้รึยังคะ”
นายพลวิฑูรตวาด
“จะไปตายที่ไหนก็ไป”
นายพลวิฑูรเดินไปที่ห้องทำงาน สุเทษตาม หฤทัยรีบวิ่งไปห้องน้ำ เทวีงงมาก

“มันเรื่องอะไรกันเนี่ย”

ราชาอินทราเดินเข้ามาในห้อง พระนางสาวิตรีเดินตาม
“นึกไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะใช้วิธีนี้มาเอาชนะหม่อมฉัน”
“มันเป็นความจริง ไม่งั้นเราคงไม่ประกาศในที่ประชุมวันนี้”
“แต่หม่อมฉันไม่ยอมรับคู่หมั้นกำมะลอที่เสด็จพี่ทรงอุปโลกขึ้นมาเด็ดขาด ผู้หญิงคนละเชื้อชาติ คนละภาษา ไม่เคยเห็นหน้า แถมยังเป็นแค่ลูกพ่อค้า ไม่ควรคู่ราชบัลลังก์รายา”
“เราบอกไปแล้วว่า แม่ของมัทนาเป็นเชื้อพระวงศ์ ส่วนพ่อก็เป็นสหายรักของเราแล้วก็เป็นคนดี ไม่ว่าจะเป็นรูปโฉม การศึกษา ความประพฤติเราติดตามดูมาโดยตลอด เราขอรับรองว่ามัทนามีคุณสมบัติสมบูรณ์พร้อม”
“แล้วหฤทัยล่ะเพคะ หฤทัยก็เพียบพร้อมทุกอย่าง”
“แต่เจ้าชายมาคีรักหฤทัยอย่างน้อง”
“นี่พระองค์ยังทรงกล้ารับสั่งคือความรักหรือเพคะ ทรงรู้จักความรักด้วยเหรอ”
ราชาอินทราปวดใจ ยิ้มขมขื่น
“รู้ซิ เราถึงอยากจะให้โอกาส เจ้าชายมาคี เพื่อลูกจะไม่ต้องอยู่อย่างตายทั้งเป็น...”
พระนางสาวิตรีผิดหูมาก
“อย่างนี้นี่เอง ในที่สุดก็รับสั่งออกมาจนได้...”
พระนางสาวิตรีน้ำตาเต็มตาเดินออกไปด้วยความเจ็บใจสุดๆ ราชาอินทราทรุดลงนั่งอย่างเครียด โภคินเดินเข้ามา ราชาอินทราโล่งใจ
“โชคดีที่คามินยั้งเจ้าชายมาคีไว้ได้ทัน”
“ตอนแรกท่านคามินดูเหมือนจะลังเลอะไรบางอย่าง แต่เมื่อครู่ ยืนยันมาแล้วว่าทางเมืองไทยพร้อมรับเสด็จ”
“แสดงว่ามัทนาผ่านการทดสอบจากคามินแล้ว...”

เย็นนั้น มัทนาอยู่ในห้องน้ำหลับตาพริ้มแช่ตัวอยู่ในอ่างน้ำอุ่น
“โอ๊ย...สบายจัง”
มินตราเข้ามามอง
“เหมันต์เล่าให้พี่ฟังหมดแล้วว่าคุณมัทก่อวีรกรรมอะไรมามั่ง ดีนะคะที่คุณคามินไปด้วยไม่งั้น”
“พอๆเถอะพี่มิน ใครใครก็พูดแบบนี้จนมัทเบื่อจะฟัง มัทไม่ได้ง้อให้เขาไปช่วยซะหน่อย”
“ค่ะคุณมัทไม่เคยง้อ ไม่เคยขอร้องใคร แต่ทุกคนก็พร้อมจะเดือดร้อนเพื่อคุณมัท”
มัทลืมตา มินตรารีบทำหน้าเศร้า
“พี่มินโกรธมัทเหรอคะ มัทขอโทษ มัทมัวแต่เป็นห่วงคุณพ่อก็เลยลืมตัว”
“อยู่ที่เมืองไทย คุณมัทลืมตัวบ่อยๆได้ เพราะมีแต่คนที่รัก ที่คุ้นเคย แต่ถ้าไปอยู่รายามีแต่คนแปลกหน้า คุณมัทจะเป็นแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
มัทนานิ่งไป
“จริงด้วย มัทลืมเรื่องบ้าๆนี้ไปซะสนิท”
“โอ๊ยๆ อยากกลั้นใจตาย”
มัทนาดำลงไป มินตรามองมัทนาอย่างเกลียดชัง เธอจินตนาการขึ้นมาว่า....เธอมองมัทที่จมอยู่เอื้อมมือไปกดหัว มัทนาทะลึ่งขึ้นมา มินตราจับหัวกดด้วยสองมือ
“นี่ อยากตายนักใช่มั้ย”
มัทนาดิ้นรน
“อย่า”
เสียงโทรศัพท์พ่วงในห้องน้ำดังขึ้น...มินตราสะดุ้ง มัทนาทะลึ่งพรวดขึ้นมาเอง มินตราไม่ได้กดแต่ยืนกำผ้าขนหนูบิด มินตรารีบไปรับโทรศัพท์
“ฮัลโหล คุณมัทอาบน้ำอยู่ค่ะท่านหญิง ค่ะๆได้ค่ะ”
มินตราวางสาย
“แม่จะเรียกมัทไปเทศนาเรื่องวันนี้ใช่มั้ย”
“คงไม่ใช่หรอกค่ะ เพราะท่านยังไม่ทราบวีรกรรมของคุณมัท แต่ท่านทรงโทรมาสั่งให้คุณมัทรีบลงไปเฝ้าท่านหญิงหม่อมเจ้าหญิงเกยูรค่ะ”
“ท่านป้าเหรอ”
มัทนาเซ็ง

ในห้องรับแขก...หม่อมเจ้าหญิงเกยูรกำลังร่ายยาว

“รู้มั้ยว่า ฉันโดนพระญาติพระวงศ์พารุมกันต่อว่าเรื่องที่เธอแต่งหน้าแต่งตาน่าเกลียด ไปเต้นแร้งเต้นกาบนเวทีวันนั้น คราวนี้ เรื่องมันใหญ่เกินกว่าที่ฉันจะแก้ตัวให้ได้แล้ว เธอต้องไปกราบขอ ประทานอภัยและขอโทษทุกๆคน”
ท่านหญิงมาณวิกาจ๋อยไป
“น้องก็ตั้งใจจะไปอยู่แล้วค่ะ แต่เผอิญช่วงนี้ติดงานสำคัญ”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรไม่พอใจ
“จะมีอะไรสำคัญไปกว่าชื่อเสียงของราชสกุลพรหมเทพอีก”
มัทนาเดินลงมากับมินตรา ทั้งคู่ไหว้หม่อมเจ้าหญิงเกยูร
“แต่มัทคิดว่า ชื่อเสียงพวกนั้นมันไม่มีความสำคัญสักนิด”
“เธอว่าอะไรนะ รู้มั้ยว่าตอนที่แม่เธอแต่งงานกับพ่อ เธอ เพราะมีฉันคอยแก้ต่าง ทุกคนถึงได้ยอมรับ”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรบอกอย่างไม่พอใจ มัทนาไม่หยุด
“คุณพ่อเป็นคนดีรักครอบครัว ขยันทำมาหากิน คุณแม่รักคนดีอย่างคุณพ่อก็สมควรแล้ว ผิดตรงไหนเหรอเพคะ”

เพิ่มเปิดประตูให้ คามินกับธรรมรัตน์ ลงจากรถ
“ยัยมัทคงทำใจไม่ทัน ที่ทุกอย่างกะทันหันแบบนี้ ไม่รู้จะแผลงฤทธิ์อะไรอีก คุณมั่นใจแล้วเหรอคุณคามินที่จะให้เจ้าชายมาพบลูกสาวผม”
“ครับ วันนี้คุณมัทนาเธอแสดงให้ผมเห็นแล้วว่าในสถานการณ์คับขัน เธอเป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่ทิ้งความรับผิดชอบ”
“คุณมั่นใจในตัวยัยมัทมากกว่าผมซะอีก...”
“ที่แล้วมา คุณมัทนาเธอรู้สึกว่าโดนบังคับ ก็เลยต่อต้านแล้วก็กลายเป็นอคติ แต่ถ้าเมื่อไหร่เธอยอมรับการ อภิเษกด้วยความเต็มใจของตัวเองจริงๆได้ เมื่อนั้น ปัญหาทุกอย่างก็จะหมดไป”
เสียงหม่อมเจ้าหญิงเกยูร เรียกชื่อมัทนาด้วยความโกรธ ธรรมรัตน์แปลกใจ
“เอ๊ะ เสียงใครเอะอะ”
ธรรมรัตน์รีบเข้าไป คามินตาม

หม่อมเจ้าหญิงเกยูรถูกย้อนยาวโกรธหน้าแดง
“ก้าวร้าว อวดดี...เลือดพ่อแรง พูดจาไม่มีสัมมาคารวะส่อสกุล...นี่ล่ะคือสิ่งที่ผิด เข้าใจหรือยัง”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรลุกขึ้นตั้งท่าจะกลับ มัทนาลุกตาม
“ท่านป้าเพคะ มัทกำลังทูลในสิ่งที่ถูกต้อง แค่อยากให้ทรงทราบว่าคุณพ่อคุณแม่ของมัทแต่งงานกันด้วยความรักแม้จะไม่มีฐานันดรศักดิ์ แต่ท่านก็มีความสุขกว่าคนที่มีแต่ไม่เคยรู้จักคำว่ารักแท้เลย”
ท่านหญิงมาณวิกาตะลึงจะเป็นลม ธรรมรัตน์เข้ามาได้ยินพอดี รีบปราม
“ลูกมัท ลูกไม่ควรก้าวร้าวผู้ใหญ่นะลูก”
“มัทนา...กราบขอประทานอภัยท่านป้าเดี๋ยวนี้”
มัทนาเฉยมินตราเดินมาสะกิด
“คุณมัทค่ะ ใจเย็นๆ ค่ะ”
มัทนาโกรธ พยายามระงับอารมณ์
“มัทไม่ได้ทำอะไรผิดค่ะ”
“มินพาคุณมัทออกไปก่อน”
ท่านหญิงมาณวิกาสั่ง แล้วหันไปไหว้หม่อมเจ้าหญิงเกยูรที่กำลังดมยาดม
“น้องขอโทษแทนลูกมัทด้วยนะคะ”
“เราไม่ผิดจะต้องขอโทษทำไมค่ะคุณแม่”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรโกรธมาก
“จองหองเหมือนพ่อ แล้วฉันจะคอยดูว่าเธอจะลงเอยกับผู้ชายแบบไหน”
“ขอประทานอภัย”
คามินโค้งให้ หม่อมเจ้าหญิงเกยูรเพิ่งสังเกตเห็น มองแปลกใจ
“กระหม่อมขอเสียมารยาท แนะนำตัว กระหม่อม คามิน เป็นหัวหน้าราชองครักษ์จากประเทศรายา”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรชะงักมองสำรวจ มัทนาได้ที ข่ม
“ที่ท่านแม่กับมัทไม่มีเวลาไปกราบพระญาติพระวงศ์ก็เพราะต้องเตรียมงานใหญ่กับท่านราชองครักษ์นี่แหละค่ะ”
“งานอะไรกัน”
“งานรับเสด็จ เจ้าชายรัชทายาทจากรายา กระหม่อม” คามินอธิบาย
“เจ้าชายนะเหรอจะเสด็จมา”
“ค่ะ พวกเราก็เลยวุ่นวายกันเล็กน้อย”
หม่อมเจ้าหญิงเกยูรแปลกใจ
“แล้วพระองค์ทำไมต้องเสด็จมาที่นี่”
“เพื่อมารับพระคู่หมั้นไปเข้าพิธีอภิเษกที่รายา น่ะซิเพคะ”
“ใคร ใคร คือพระคู่หมั้น”
มัทนายิ้มๆเชิดๆ
“อย่าบอกนะว่า คือ...”

ท่านหญิงมาณวิกาแอบหมั่นไส้ลูก ธรรมรัตน์กับคามินอมยิ้ม มินตราไม่ชอบใจแต่ก็สงวนท่าที

ล่ารักสุดขอบฟ้า ตอนที่ 4 (ต่อ)

รถเคลื่อนตัวมารับหม่อมเจ้าหญิงเกยูรที่หน้าบ้านธรรมรัตน์ ทุกคนเดินมาส่งท่านหญิงมาณวิกานำมา หม่อมเจ้าหญิงเกยูรสีหน้ายิ้มแย้ม
“พี่กลับก่อนนะน้องมาณ ต้องรีบไปแจ้งข่าวดี เดี๋ยวจะเตรียมตัวรับเสด็จกันไม่ทัน”
ท่านหญิงมาณวิกายิ้มเช่นกัน
“แล้วน้องจะแจ้งวันที่แน่นอนอีกครั้งนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ พี่คงต้องมาอีกเรื่อยๆ จะได้ ดูแลเรื่องจิปาถะให้หลานมัท จะได้ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง เพราะนอกจากเธอ” หม่อมเจ้าหญิงเกยูรมองธรรมรัตน์ “ที่นี่คงไม่มีใครรู้เรื่องธรรมเนียมประเพณีอะไรๆสักเท่าไหร่”
ธรรมรัตน์ฝืนยิ้ม หม่อมเจ้าหญิงเกยูรจับไม้จับมือมัทนา
“ป้าดีใจด้วยจริงๆนะ...เราคงได้พบกันอีกนะคุณคามิน”
“กระหม่อม ขอฝ่าบาททรงเดินทางโดยปลอดภัย” คามินโค้งรับ
คนรถเปิดประตูหม่อมเจ้าหญิงเกยูรนั่งเรียบร้อย รถเคลื่อนออกไป มัทนาสะใจ
“เป็นไงละคะ คุณพ่อ ตอนเสด็จมา พระพักตร์ยังกับนังพันธุรัตน์ แต่พอตอนเด็จกลับก็กลายเป็นนางฟ้าไปเลย”
ท่านหญิงมาณวิกามองลูกสาวอย่างอยากหยิกมาก
“ถ้าขืนพูดอีกคำแม่จะหยิกให้เนื้อเขียวเลย เข้ามาข้างในเดี๋ยวนี้”
ท่านหญิงมาณวิกาเดินนำไป ธรรมรัตน์กระแอม
“ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้ว งั้นเข้าไปคุยเรื่อง การรับเสด็จองค์รัชทายาทกันดีกว่านะครับ”
“ครับ ผมคิดว่าคราวนี้คงจะกลายเป็นพิธีใหญ่แล้ว”
คามินมองมัทนายิ้มๆแล้วเดินไปกับธรรมรัตน์
“เขายิ้มอะไรของเขา”
“คุณคามินก็คงดีใจที่คุณมัทยอมรับการอภิเษกอย่างเต็มใจน่ะสิคะ”
“ใครว่ามัทเต็มใจ”
“ถ้าไม่เต็มใจแล้วคุณมัททูลเรื่องนี้กับท่านหญิงหม่อมเจ้าหญิงเกยูรทำไมละคะ...”
“ก็มัทโกรธแทนแม่...ตายจริง....” มัทนาเพิ่งนึกขึ้นได้ ว่าพลาดไปแล้ว
“พี่ว่าคราวนี้คุณมัทคงเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้วค่ะ”
มินตราเดินเข้าไป มัทนาอึ้งตัวเอง
“นี่เราทำอะไรไป โอ๊ย มัทนานะมัทนา”

มินตราเดินเข้ามาในห้องนอนอย่างเซ็งๆ เปิดตู้หยิบเสื้อนอนออกมาเพื่อจะอาบน้ำ แล้วเห็นหีบหวาย เลยยกมาเปิดดู ข้างในเป็นพวกตุ๊กตา ของเล่น เก่าๆและ รูปถ่าย มินตราหยิบรูปถ่ายขึ้นมาดู เป็นตัวเธอเองตอนเด็กกับมัทนา ๆใส่กระโปรงพองฟู มินตราใส่ชุดเรียบๆลงมาหน่อยไม่หรูเท่ามัทนายืนกุมมือเรียบร้อย ขณะที่มัทนาแลบลิ้นปลิ้นตาใส่กล้อง

ในอดีต...มัทนาในชุดกระโปรงบาน กำลังปีนต้นมะม่วง โดยมีมินตรายืนหน้าตื่นอยู่ข้างล่าง
“คุณมัทคะ อย่าขึ้นไปเดี๋ยวตกลงมานะคะ”
“ไม่หรอกน่า สบายมาก”
มัทนาเก็บมะม่วง แล้วโยนให้มินตรา
“พี่มินรับหน่อย”
มินตราวิ่งไปรับ มัทนาเอื้อมจะหยิบพวงที่ไกลออกไป แต่เจองูขียวพันกิ่งไม้อยู่
“อ๊าย”
มัทนาผงะ หงายหลังตกลงไปแล้วคว้ากิ่งไม้ไว้ได้ห้อยต่องแต่ง มินตราตกใจ
“คุณมัท”
มินตราทิ้งมะม่วงวิ่งเข้าไปรับมัทนาที่ตกลงมาพอดี ล้มลงไปทั้งคู่

มินตรายืน แขน ขาถลอกปอกเปิก แต่ถูกแม่เอาไม้เรียวตีก้นไม่นับ
“บอกแล้วใช่มั้ย ว่าให้คอยดูคุณมัท ถ้าเธอตกลงมาแข้งขาหักจะว่ายังไง”

มินตาได้แต่ร้องไห้

มินตรานั่งเศร้า มัทนาเข้ามากอด
“โอ๋ โอ๋เจ็บมั้ยพี่มิน มัทให้น้องตุ๊กตามาอยู่เป็นเพื่อนนะ อย่าร้องไห้นะ”
มัทนายื่นตุ๊กตาที่ถือมาด้วยให้

ปัจจุบัน...มินตราหยิบตุ๊กตาตัวเดียวกันที่ขึ้นมาดู คิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น

มินตรายืนอยู่ริมสระดู มัทนาที่ว่ายน้ำอยู่หลายชั่วโมง
“คุณมัท ท่านหญิงให้ขึ้นได้แล้วค่ะ”
“ยังไม่อยากขึ้น ยังสนุกอยู่เลย”
มัทนาตะคริวกินกะทันหัน จมน้ำลง
“ช่วยด้วยคุณมัท จมน้ำ”

มินตราร้องลั่น แล้วกระโดดลงไป แม่ของมินตราวิ่งมา กระโดดไปช่วย

แม่มินตราฟาดมินตราไม่ยั้ง
“ปล่อยให้คุณมัทเล่นน้ำตั้งสามสี่ชั่วโมงได้ยังไง หา”
“มินบอกแล้วคุณมัทไม่เชื่อ ฮือๆ”
แม่มินตราเดินออกไป มินตรานั่งร้องไห้ มัทนาที่แอบดูอยู่ รีบออกมา
“พี่มิน เจ็บมั้ย โอ๋ๆ เพี้ยงมัทเป่าให้นะ”
มัทนาเอากล่องดนตรีที่มีนางฟ้าเต้นระบำหมุนไปมา
“เดี๋ยว นางฟ้าจะเสกให้พี่มินหายเจ็บนะคะ”
มินตรามองกล่องดนตรี ค่อยยิ้มออก

ปัจจุบัน...มินตรานั่งมองกล่องดนตรีอย่างคนเก็บกด หันไปมองรูปถ่ายของแม่ นั่งอยู่ที่พื้นกับกับตัวเธอ ท่านหญิงมาณวิกานั่งบนเก้าอี้ มีมัทนาบนตัก กล่องดนตรีที่เธอหมุนหยุด จึงหยิบกล่องมาไขลาน แต่ไม่เดิน ก็เขย่าตบๆ จนแรงขึ้นๆ ก่อนจะขว้างลงไปถูกรูปถ่ายกระเด็นตกพื้นกรอบแตกกระจาย

วันใหม่...อัคนีที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับมินตรา เด้งขึ้นมาจากโซฟาที่นอนเล่นเกมอยู่
“คุณมัทจะไปรายาแล้ว..โอ๊ยๆ”
อัคนีเจ็บหลัง ที่ยังรัดเฝือกอ่อนไว้ มินตราแกล้งบอก
“คุณมัทเป็นห่วงอาการของคุณก็เลยให้ดิฉันโทรมาถาม เพราะต่อไปคงไม่ได้ติดต่อกันอีก”
“ไม่นะครับ ถ้าผมไม่ได้พบคุณมัท ผมต้องขาดใจตายแน่ๆ”
“ดิฉันเห็นใจคุณจริงๆ แต่คงช่วยอะไรไม่ได้”
“ผมจะไปหาคุณมัทเดี๋ยวนี้”
“คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะ คุณมัทกำลังจะออกจากบ้าน ไปที่...”

อสิตด่ายักษ์ด้วยความโมโห ที่ทำงานไม่สำเร็จ
“ลื้อนี่มันห่วยแตกงานง่ายๆ แค่ไปปลุกม็อบให้มันประท้วงไอ้ธรรมรัตน์ก็ทำไม่สำเร็จ”
“คุณมัทนาลูกสาวธรรมรัตน์ออกมาไกล่เกลี่ย ชาวบ้านก็เลยใจอ่อนครับ”
“มัทนา ลูกสะใภ้ในอนาคตของอั๊วเนี่ยนะ...ท่าทางดวงจะไม่สมพงษ์กันซะแล้ว นี่ไอ้หนูมันยังเดี้ยงไม่หาย”
อัคนีถือโทรศัพท์ โวยวายใหญ่โตเข้ามาหาหาอสิต ดำ ดอนคอยประคอง
“ป๊าๆ อยู่ไหน ช่วยผมด้วยป๊าๆ”
“ระวังครับ คุณหนู” ดำร้องบอก
“ไอ้หนู ไม่สบายทำไมไม่นอนพัก หา ออกมาเดินทำไม” อสิตเป็นห่วง
“ป๊าต้องช่วยผมนะ คราวนี้เรื่องคอขาดบาดตายจริงๆ มัทนากำลังจะไปแต่งงานที่รายาแล้ว”
“มัทนาอีกแล้ว แล้วรู้ได้ยังไง ใครบอกลื้อ”
“พี่เลี้ยงคุณมัท เขาบอกด้วยว่าไอ้เจ้าชายลาลา อะไรนั่นมันจะมาหาคุณมัทที่เมืองไทยในสองสามวันนี้ ผมไม่ยอมนะป๊า คุณมัทเป็นแฟนผม คุณมัทต้องแต่งงานกับผมคนเดียว”
“แล้วลื้อจะให้ป๊าทำไง จะใช้วิธีของป๊าลื้อก็ไม่ยอม”
“วิธีของป๊าคือ...”
“ฉุด พอเข้าหอเรียบร้อยค่อยไปขอขมากันทีหลัง ไม่ต้องไปแข่งอะไรให้มันเหนื่อย ยังไงครอบครัวเมียแกก็ต้องยอม ส่วนไอ้เจ้าชายนั่นมันคงไม่รับสินค้ามือสองแน่”
“แต่ทำอย่างงั้น มันไม่สมศักดิ์ศรีอัคนีเลย”
“ตามใจลื้อ”
“ตกลงป๊า ฉุดก็ฉุด”
อสิตมองหน้า เพราะตอบเร็วมาก

ห้องประชุม นิคมอุตสาหกรรม...คามินดูผังการรักษาความปลอดภัย กับธรรมรัตน์และผู้จัดการ
“ผมจะจัดทีมรปภ.ไว้ตามจุดต่างๆที่ มีเครื่องหมายนี่นะครับ” ผู้จัดการบอก
“ผมคิดว่าเราอาจจะต้องปิดทางเข้าออกด้านนี้” คามินชี้ในผัง “คงต้องคุยกับทางเจ้าของโรงงานด้วย”
“ขอให้ช่วยกำชับว่า เจ้าชายเดินทางมาเป็นการส่วนพระองค์นะครับ เรายังไม่ต้องการให้ข่าวแพร่ออกไปจนกว่าจะแถลงเป็นทางการ”
“ครับ ต้องให้เหมันต์เป็นคนประสานงาน เอ เหมันต์หายไปไหนเนี่ย”
ธรรมรัตน์บ่น เหมันต์เดินเข้ามา
“ขอโทษครับ เผอิญ นายเพิ่มโทรมา บอกว่ารถเสียให้ผมส่งรถไปรับคุณมัทที่สปา”
“แล้วจัดการรึยัง”
“เรียบร้อยครับ เห็นบอกยางโดนตะปูแบนสองล้อเลยน่าจะเป็นพวกมือบอน”

คามินฟัง เอะใจ

ลานจอดรถ...มินตรากับมัทนาก้มมองรถที่ยางแฟบ สองล้อหน้า เพิ่มส่ายหน้า
“ไม่น่าเลย ลานจอดรถของสถานที่ส่วนตัว ปล่อยให้มีคนมาปล่อยลมยางได้ไง”
“พวกโรคจิตมั้งคะ เห็นว่าโดนหลายคันเหมือนกัน”
“แสดงว่าตอนนี้ ดวงมัทคงตกสุดๆ เฮ้อ เจ้าประคู้นขอให้เครื่องบินเจ้าชายขัดข้องบินไม่ได้เทิ้ด” มัทนาเซ็งสุดๆ
“นึกว่าคุณมัทจะอธิษฐานให้มีคนมาลักพาตัวคุณมัทไปซะอีก” มินตรามอง
“ไม่หรอกค่ะ มัทไม่อยากให้พ่อกับแม่เดือดร้อน ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขนาดนี้ มัทก็ต้องเผชิญกับมัน”
มินตรามองหมั่นไส้
“อีกนานมั้ยจ้ะ นายเพิ่ม กว่ารถจะมา”
“น่าจะอีกสักพักครับ”
“ที่จริงเราขึ้นแท๊กซี่กลับก่อนก็ได้ ไม่ต้องกวนคนอื่น เนอะพี่มิน” มัทนาหันมาถาม
“จะดีเหรอครับ” เพิ่มกังวล
“ไม่ดียังไงล่ะ คนเขานั่งกันทั้งบ้านทั้งเมือง เดี๋ยวรถมา นายเพิ่มก็ให้ลากคันนี้ไปแล้วกัน”
มัทนาเดินไปเลย มินตรารีบตาม
“คุณมัท เดี๋ยวค่ะ”

มัทนาเดินมาโบกแท๊กซี่ แต่ยังไม่ทันที่แท๊กซี่จะเข้าจอด รถตู้แล่นปราดมาจอดตัดหน้า ยักษ์กับพวกกรูลงมาเอาปืนจี้ตัวมัทนา มินตราตะลึงไปชั่วครู่ เพราะคิดไม่ถึงว่าจับตัวกันรุนแรงขนาดนี้
“ขึ้นรถ”
มัทนาใช้ท่าป้องกันตัวถองยักษ์ที่ล็อคคอ เอาหัวโขก กระทืบเท้า แล้วหมุนตัวออกมาเข่าใส่
ลูกน้องที่ถือปืนเงอะงะไม่กล้ายิง มัทนาวิ่งหนีไปหามินตรา
“หนี พี่มิน”
มินตรากลัวมัทนาไม่โดนจับ แกล้งล้ม มัทนาเข้ามาประคอง ยักษ์กับคนร้ายวิ่งมา จับนามัทอีกที
มัทนาถือเครื่องช็อตไฟฟ้าช็อตคนที่มาจับได้คนหนึ่ง แต่มินตราวิ่งหนีทำเป็นวิ่งไม่ทัน มัทนาโดนยักษ์จับโป๊ะยาสลบ และลากขึ้นรถไปทันที ขณะเดียวกันรถของธรรมรัตน์อีกคันแล่นสวนมา คามินเห็นมัทนาก่อนถูกลากขึ้นรถ ร้องบอกคนขับ
“จอด”
คามินโดดลงจากรถวิ่งไปแต่ไม่ทัน รถตู้แล่นออก คามินวิ่งตามรถ มินตราอ้าปากค้าง
“คุณคามิน”

รถตู้แล่นมา ติดไฟแดงต่อจากรถคันหน้า เยื้องไปทางหลังคามินวิ่งตาม เห็นสะพานลอยอยู่ข้างหน้า คามินวิ่งขึ้นสะพานลอย
ไฟแดง เปลี่ยนเป็นไฟเหลือง และเขียว คามินวิ่งถึงกลางสะพานมองลงไปเห็นรถตู้กำลังแล่นผ่านคามินตัดสินใจกระโดดลงหลังคารถ ภายในรถยวบลง
“เฮ้ย อะไรตกใส่หลังคา พี่ยักษ์”
“ขับไปเข้าซอยลัด” ยักษ์ร้องสั่ง
ลูกน้องคนขับเร่งเครื่อง

รถตู้เลี้ยวเข้ามาในซอย พยายามขับส่ายให้คามินตก คามินเกาะแน่น ยักษ์สั่งลูกน้องที่นั่งประกบมัทนาอยู่
“ออกไปดูซิวะ”
ลูกน้องเปิดประตูโหนตัวชะเง้อไป ถูกคามินถีบกลิ้งตกไป ยักษ์ชักปืน เปิดกระจกเอื้อมไปยิง คามินหลบ
“ไอ้จ้อย เร่งเครื่องแล้วกระทืบเบรกโว้ย”
สมุนทำตาม คามินกลิ้งลงมาตรงหน้ารถ ไปนอนที่พื้น มินตราก็กลิ้งจากเบาะหล่นไปที่พื้นรถ เริ่มได้สติ ยักษ์แค้น
“อั๊วขอลงไปดูหน้ามันหน่อยซิ”
ยักษ์ถือปืนเดินลงไป แต่ก็ชะงักเพราะคามินหายไปแล้ว
“เฮ้ย”
คามินเข้ามาข้างหลังสะกิด ยักษ์หันมา คามินต่อยเปรี้ยง ยักษ์เซ หันมายิงใส่คามินหลบแล้วเตะปืนกระเด็น ก่อนที่จะเข้าชกกันตัวต่อตัว แต่ลูกน้องวิ่งเอาเหล็กแป๊บเข้ามาฟาด คามินหลบทัน ฟาดเข้าหน้ายักษ์มึนไป
“ไอ้โง่”
ลูกน้องตกใจทิ้งเหล็ก
“ขอโทษพี่”
คามินวิ่งขึ้นรถ สตาร์ทออกไป
“ไอ้เวรมันไปแล้ว”

ยักษ์วิ่งหยิบปืน ยิงใส่รถ

คามินขับรถไป บ่นไป
“แล้วนี่จะไปไหนดีวะเนี่ย”
มัทนาตื่นขึ้นแล้ว นึกได้ว่าถูกคนร้ายจับมา เห็นด้านหลังคามินขับรถก็เข้าใจผิด
“แก จอดรถเดี๋ยวนี้”
มัทนารัดคอคามิน
“คามินเฮ้ย คุณ แค่กๆ”
คามินเหรถเข้าข้างทางจอดเอี๊ยด มัทนาเปิดประตูวิ่งหนี คามินลงวิ่งตาม
“มัทนา... คุณมัท”
คามินคว้าตัวไว้ มัทนากัดมือ
“โอ๊ย คุณมัท ผมเอง คามิน”
มัทนาเงื้อมือค้าง
“คุณ ทำไมเป็นคุณ”
“คุณโดนจับมา ผมตามมาช่วยคุณ”
“แล้วพวกผู้ร้ายมันอยู่ไหน”
เสียงปืนดังเปรี้ยง
“ว้าย”
ทั้งคู่หมอบกันโดยอัตโนมัติ คามินหันไป เห็นพวกยักษ์กับลูกน้องถือปืนวิ่งมาแต่ไกล
“หยุด”
คามินดึงมัทนา
“วิ่งเร็ว”
ทั้งคู่วิ่งกันไป ยักษ์กับลูกน้องตาม

คามินพามัทนา วิ่งหนีมาบริเวณโกดัง เลียบๆ ไปที่ตู้คอนเทรนเนอร์พามัทนาขึ้นไปและปิดประตู ยักษ์กับลูกน้องวิ่งมา
“แยกกันค้น ถ้าไม่เจอกลับไปโดนเสี่ยกระทืบแน่”

เหมันต์นั่งปลอบใจมินตราที่กำลังร้องไห้ในห้องรับรอง ธรรมรัตน์เปิดประตูมาอย่างร้อนใจเพิ่งกลับจากตรวจงาน
“เหมันต์ตำรวจว่ายังไงบ้าง ลูกมัทปลอดภัยใช่มั้ย”
“ตำรวจจับสัญญาณจีพีเอสที่เครื่องโทรศัพท์ของคุณมัทได้ครับกำลังออกตามหากันอยู่ครับ”
มินตราแกล้งสะอื้น ยกมือไหว้
“มินขอโทษค่ะ มินผิดเองที่ปกป้องคุณมัทไม่ได้”
“มันเป็นเรื่องสุดวิสัย ไม่โทษเธอหรอกหยุดร้องไห้เถอะ แล้วนี่ท่านหญิงทราบเรื่องหรือยัง”
มินตราส่ายหน้า
“มินไม่กล้าบอกค่ะ เลยรีบมาบอกท่านก่อน”
“ไม่เข้าใจเลย ทำไมพวกมันต้องจับคุณมัทไปด้วย เธอไม่เคยเห็นหน้าพวกมันเลยเหรอ” เหมันต์ถามอย่างกังวล
“ไม่...ไม่เคย ทะเบียนฉันก็จำไม่ได้ ถ้าคุณมัทเป็นอะไร ฉันจะไม่ให้อภัยตัวเองตลอดชีวิต”
“ยัยมัทต้องไม่เป็นไร ฉันมั่นใจว่าคุณคามินต้องช่วยยัยมัทได้”
ธรรมรัตน์เชื่อมั่น แต่ มินตรากลัวมัทนารอด

ในตู้คอนเทนเนอร์ คามินแนบหู ฟัง มัทนาแนบตาม
“ฉันว่ามันคงไปแล้วมั้ง”
“รออีกสักพัก ให้แน่ใจกว่านี้”
“คุณยังไม่ได้บอกเลยว่ามาช่วยฉันทันได้ยังไง พ่อฉันขอให้มาเหรอ”
“สัญชาตญาณ พอรู้ว่ารถของคุณถูกเจาะยาง ผมก็สังหรณ์ว่าคุณอาจจะเป็นอันตราย”
“เซนส์ของคุณดีขนาดนั้นเลยเหรอ”
“องครักษ์ถูกฝึกมาให้ละเอียดอ่อนในเรื่องนี้”
“คุณก็คงละเอียดอ่อนในเรื่องนี้เรื่องเดียว ความรู้สึกอื่นๆตายด้านหมด”
คามินเพิ่งรู้สึกว่ามัทนาเบียดอยู่ใกล้มากกระเถิบออก
“ผมจะออกไปก่อนคุณอยู่ในนี้ รอฟังสัญญาณผม”
คามินจะเปิด แต่ปรากฏเปิดไม่ได้
“ทำไม เปิดไม่ออกเหรอคะ”
“จริงด้วย ทำไง”
มัทนาจะทุบ คามินจับมือไว้
“อย่าครับ พวกนั้นอาจจะยังอยู่ข้างนอก”
คามินควานหาโทรศัพท์
“โทรศัพท์ผมคงหล่นตอนสู้กันหรือไม่ก็ตอนที่หนีเปลี่ยนมาตู้นี้”
มัทนาควานหาโทรศัพท์ของตัวเองก็ไม่เจอ
“ของฉันก็หายไปไหนไม่รู้ ทำไงดี เรามิต้องติดอยู่ในนี้จนแห้งตายเหรอ”
“ผมไม่ปล่อยให้คุณตายหรอก” คามินเครียด
มัทนาจะหายใจไม่ค่อยออก
“แต่ฉันรู้สึกว่าอากาศน้อยลงยังไงไม่รู้”
“ต้องพยายามอย่าพูด เพราะยิ่งพูดเราก็จะคายคาร์บอนไดออกไซด์มามากเท่านั้น”
คามินเป็นห่วง ขยับเข้าไปใกล้ จับมือเธอไว้
“ตั้งสติไว้นะครับ อย่าฟุ้งซ่าน”
มัทนาส่ายหัว รู้สึกกลัว
“ฉันไม่เคยรู้สึกกลัวแบบนี้มาก่อนเลย ทั้งร้อน และก็หายใจไม่ออก”
คามินจับมือมัทมากุมที่หัวใจของตัวเอง
“รู้สึกหัวใจผมเต้นมั้ย”
“ถ้ายังงั้นมองหน้าผมแล้วหายใจไปพร้อมกับจังหวะหัวใจของผมเต้นนะ”
มัทนาพยักหน้า ทำตามรู้สึกสงบลง
“แปลกจังฉันรู้สึกไม่กลัวแล้ว”
คามินเอาชายแขนเสื้อซับเหงื่อให้มัทนา
“จำไว้ ตราบใดที่ผมยังมีชีวิตอยู่คุณต้องปลอดภัย”
มัทนามองหน้าคามิน เหมือนต้องมนต์ ทั้งคู่โน้มหน้าเข้าหากันช้าๆ จนริมฝีปากแตะกัน
เสียงตู้คอนเทรนเนอร์เปิดออก แสงสาดเข้า มัทนาผละออกอย่างหน้าแดงซ่าน คามินยกมือบังแสง
“อ้าว พวกคุณมาอยู่ในนี้ได้ไง นี่มันตู้รถรับส่งสินค้า” คนงานงง
“ขอโทษครับ”
คามินรีบจูงมือมัทออกไปทันที

“เฮ้อ..หนุ่มสาวสมัยนี้ หาสถานที่พลอดรักกันแปลกๆ” คนงานส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ
 
จบตอนที่ 4 
กำลังโหลดความคิดเห็น