หัวใจเถื่อน ตอนที่ 4
ตาสบตา โดยมีเพียงภาพวาดเฟรมใหญ่นั้นขวางกลางระหว่างร่างของเขาและเธอ ราช เอ่ยขึ้น แทรกกลางเพลงรักหวานที่ดังกังวานในใจว่า
“ผมจับตัวคนร้ายได้พร้อมของกลางอย่างนี้ คุณดิ้นไม่หลุดแน่”
“ที่ฉันไม่ดิ้น เพราะฉันกลัวจะทำให้ภาพนี้เสียหายต่างหาก”
“แต่ถ้าพบว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นที่ร่างกายผม คุณอาจจะโดนข้อหาทำร้ายร่างกายเพิ่มอีกด้วย”
“ฉันก็อาจจะแจ้งข้อหาลวนลามฉันได้เหมือนกัน หากคุณยังไม่ปล่อยมือจากสะโพกของฉัน”
ราชยังมีหน้ามาพูดว่า “อ้าว นี่ก้นคุณเหรอ”
อมาวสีฉุน “คุณนึกว่าอะไรล่ะ”
“ไม่ได้นึกอะไรเลย เป็นความสัตย์จริง...แต่ตอนนี้เริ่มนึกแล้วละ”
ทิน และ ลุงกอบเดินเข้ามา
“อ้าว บอส ลงไปนอนทำอะไรอยู่อย่างนั้น” ทินทัก
“แกคิดว่าฉันทำอะไรได้ด้วยท่านี้เหรอ มาช่วยดึงตัวคุณผู้หญิงคนนี้ขึ้นไปหน่อย”
ทินตรงเข้าไปคล้ายจะดึงร่างอมาวสีขึ้นมา อมาวสีรีบร้องเรียกลุงกอบ
“ลุงกอบช่วยหน่อยค่ะ”
ลุงกอบจึงช่วยดึงตัวอมาวสีให้ยืนขึ้น ทินค่อยๆหยิบรูปตั้งขึ้น ราชลุกขึ้นตามมา สภาพของภาพวาดไม่มีอะไรบุบสลาย
“ลุงหายไปไหนมา”
“ผมจะไปหาฆ้อนมาถอนตะปูออกน่ะสิ ไม่นึกว่าคุณจะดึงออกมาเอง” ลุงบอก
“โชคดี ไม่มีอะไรเสียหาย” ราชว่า
“จะให้เรียกตำรวจมั้ยครับ บอส”
ลุงกอบตกใจ เมื่อได้ยินคำว่า เรียกตำรวจ
“ผมไม่เกี่ยวด้วยนะครับ คุณอ้อแกขอเข้ามาเอง ผมกำลังจะไปอยู่แล้ว”
“โอเค.งั้นลุงก็ไปได้...จากนี้ไป นายทินจะเป็นคนเฝ้าบ้านแก้วหลังนี้เอง”
“ผมไปก่อนนะครับคุณอ้อ” ลุงกอบค่อยๆ เดินออกไป
ราชหันมาทางจำเลย “ส่วนคุณอมาวสี เราคงต้องกักตัวคุณไว้ก่อน”
ทินแหลมขึ้น “ตั้งศาลเตี้ยเองเลยเหรอครับบอส”
“ไม่ได้ถึงขนาดนั้น...แกไปสำรวจห้องหับที่หลับที่นอนของแกให้ดี แล้วก็เตรียมทำความสะอาดบ้านด้วย ฉันจะขอคุยกับผู้ต้องหาตามลำพัง เชิญทางนี้ดีกว่าครับ คุณอมาวสี”
ราชเดินนำหน้าอมาวสีออกมายังระเบียงบ้าน บรรยากาศโดยรอบบริเวณ ดูร่มรื่น สุขสบาย
“ไม่คิดเลยว่าผมจะได้พบคุณที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพเช่นเมื่อครู่นี้”
อมาวสีรู้สึกผิดขึ้นมาจริงๆ
“ฉันขอโทษค่ะ...ฉันไม่คิดว่า...”
ราชสวนออกมาว่า “ไม่คิดว่า ผมจะมาทันได้เห็นคุณขโมยของ”
“ฉันไม่คิดว่าภาพนี้จะมีความสำคัญกับคุณ”
“โอ...คุณจะเที่ยวไปประเมินความสำคัญของคนอื่นเองอย่างนี้ไม่ได้หรอกครับ”
“ฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันขอโทษ”
“ในเมื่อจำเลยสารภาพ ศาลก็อาจจะลดโทษให้กึ่งหนึ่ง แต่ว่าความผิดมันสำเร็จแล้ว และการลักทรัพย์ก็เป็นคดีอาญา จะยอมความโดยไม่เอาผิดเลยคงไม่ได้”
ราชวางท่าเหมือนตัวเองเป็นผู้พิพากษา อมาวสีชักอึดอัดในท่าทีของเขา
“คุณจะจับตัวฉันส่งตำรวจเลยมั้ยล่ะคะ”
“ก็อาจจะไม่”
“งั้นคุณจะลงโทษฉันยังไง”
“ขอให้คุณบอกเหตุผลที่แท้จริงในการบุกรุกบ้านของผม...ถ้าเหตุผลฟังได้ ผมก็จะไม่ใจร้ายกับคุณ”
อมาวสีตัดสินใจพูดความจริง
“ภาพวาดนี้เป็นภาพคุณยายของพี่ภาคย์...เป็นภาพที่พี่ภาคย์รักมาก”
“แล้วไง”
“ฉันตั้งใจจะเก็บไว้ให้พี่ภาคย์”
“คุณรู้มั้ยว่าผมจ่ายเงินจำนวนมากเพื่อซื้อทั้งบ้าน และของทุกอย่างในบ้านหลังนี้ เพราะฉะนั้นภาพวาดนี้ก็ต้องเป็นของผม”
“ฉันขอซื้อคืนได้มั้ย”
ราชหัวเราะ “คุณไม่มีทางรู้หรอกว่า ผมจะตั้งราคาภาพนี้เท่าไหร่”
“เท่าไหร่ก็สู้ แต่คุณต้องยอมให้ฉันผ่อนนะ”
“มีใครใช้ให้คุณทำอย่างนี้หรือเปล่า”
“เปล่า ฉันคิดเองแล้วก็ทำเอง”
“แล้วคุณคิดจะเอาภาพนี้ไปเก็บไว้ที่ไหน...ในเมื่อตอนนี้พี่ภาคย์ของคุณก็ยังหายสาบสูญอยู่”
อมาวสีนิ่ง เธอเองก็ตอบไม่ได้...ราชจึงพูดสรุปความ ชัดเจน
“ผมต้องการให้ภาพนี้อยู่ในที่ที่มันเคยอยู่”
อมาวสีมองหน้าราชเหมือนจะวิงวอน
“แต่ถ้าพี่ภาคย์ของคุณกลับมาเมื่อไหร่ ผมยินดียกภาพนี้ให้เป็นของขวัญสำหรับเขา”
อมาวสีดีใจขึ้นมาจนเห็นได้ชัด “ขอบคุณค่ะ”
“ถามจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ คุณอยากได้บ้านหลังนี้คืนให้เขามั้ย”
“ถ้าฉันมีเงินพอ ฉันจะขอซื้อคืนค่ะ...เพราะบ้านแก้วหลังนี้คือทุกอย่างของพี่ภาคย์”
ราชผ่อนลมหายใจยาวๆ เกือบจะเหมือนถอนใจ
“คุณทำได้ทุกอย่างเพื่อพี่ภาคย์ของคุณจริงๆ”
อมาวสีมองหน้าราชและเอ่ยปากพูดกับเขาตรงๆ
“ค่ะ...เพราะเขาคือพี่ชายที่ฉันรักมากที่สุด”
“แต่ดูเหมือนว่าเขาจะตอบแทนคุณ ด้วยการใจร้ายกับคุณมากที่สุด”
ทั้งสองจ้องตากันนิ่งนาน
ความรักความหลัง และเรื่องราวมากมายที่บ้านแก้วเมื่อ สิบห้าปีก่อนหน้านี้ยังตราตรึงในใจใครหลายคน อย่างเหตุการณ์ตอนเด็กชายภาคย์นั่งกับพื้นขีดเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษสีขาว กลางโถงบ้านแก้ว
เสียงเด็กชายคุยกับผู้เป็นยายดังเข้ามาในความจริง
“ผมมาอยู่กับคุณยายที่นี่ได้มั้ยครับ”
“ภาคย์ยังเด็ก ก็ต้องอยู่กับพ่อกับแม่สิ”
เสียงนั้นเคยเกิดขึ้นตรงมุมหนึ่งในบ้านแก้ว ตอนที่เด็กชายภาคย์ที่นั่งอยู่บนตักคุณยาย ทั้งสองคุยกันอย่างรักใคร่ประสายายหลาน
“ถ้าโตแล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้รึเปล่า”
“ได้สิ ยายจะเก็บบ้านหลังนี้ไว้ให้ภาคย์นะ”
“ถ้าผมไปไหน ยายจะไปกับผมด้วยได้มั้ย”
“ยายแก่แล้ว ยายคงไปไหนมาไหนกับภาคย์ไม่ไหวหรอก ลูกเอ๊ย”
ภาคย์หน้าตามุ่งมั่นกับสิ่งที่กำลังทำ กระดาษที่ภาคย์ขีดเขียนอยู่ ที่แท้เขากำลังวาดรูปคุณยายของเขา ตามแบบรูปวาดสีน้ำมันเฟรมนั้น นั่นเอง
ที่บ้านพิชิตพงษ์เวลานั้น ภากรนั่งทานอาหารอยู่เพียงลำพังกลางโต๊ะอาหารใหญ่ จันเดินถือน้ำมาวางให้ภากร
“เห็นคุณอ้อมั้ย”
“คุณอ้อไม่อยู่ค่ะ”
“เขาไปไหน ทำไมฉันไม่รู้”
“คุณภากรตื่นสายนี่คะ คุณอ้อออกไปตั้งแต่เช้า”
“ไปยังไง”
“เรียกแท็กซี่ไปค่ะ”
“ไปไหน”
“ไม่ทราบค่ะ”
เห็นชัดว่า ภากรเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาทันที
รถสปอร์ตคันงามสีขาววิ่งไปบนถนนสวย ราชขับรถสบายใจเฉิบ อมาวสีนั่งนิ่งเฉย สายตามองตรงไปเฉพาะเบื้องหน้า ราชเหลือบมองอมาวสี สักพัก
“คุณดูเกร็งๆนะ...ยังไม่คุ้นกับการนั่งรถกับผมอีกเหรอ”
“ดิฉันคงคุยไม่เก่งเหมือนวัชรี”
“ไม่ใช่เรื่องคุยเก่งหรือไม่เก่ง แต่ท่าทีและอารมณ์ที่แผ่ออกมาจากตัวคุณ ทำให้ผมรู้สึกได้ว่า คุณยังระแวงผมอยู่”
“ดิฉัน เพิ่งรู้จักคุณราชได้ไม่นานนะคะ”
“ต้องคนที่รู้จักกันมานานอย่างนายภากรใช่มั้ย คุณถึงจะไว้ใจ”
อมาวสีพยายามเก็บอารมณ์ แม้จะถูกพูดจาประชดประชัน ความเงียบทำหน้าที่ของมัน แต่ถูกทำลายลง เมื่อโทรศัพท์มือถือของอมาวสีดังขึ้น อมาวสีกดรับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล...คุณภากรมีอะไรเหรอคะ”
ราชมีท่าทียิ้ม เยาะ หยัน เล็กน้อย เมื่อได้ยินอมาวสีเอ่ยชื่อภากร
ภากรยืนพูดโทรศัพท์ บริเวณระเบียงบ้านพิชิตพงษ์
“ไปไหน ทำไมไม่บอกพี่ พี่จะได้ไปส่ง”
“ไม่เป็นไรค่ะ เกรงใจคุณภากรเปล่าๆ”
“คุณพ่อพี่บอกแล้วไง ว่าให้พี่ดูแลรับส่งอ้อ”
“แล้วคุณภากรไม่ต้องทำงานเหรอคะ”
“ถึงยังไงพี่ก็มีเวลาให้อ้อได้เสมอ...ตอนนี้อ้ออยู่ไหน บอกมา พี่จะไปรับ”
“อ้อ อยู่บนรถแล้วค่ะ ใกล้จะถึงบ้านแล้ว เท่านี้นะคะ...ค่ะ”
อมาวสีกดปุ่มเลิกการสนทนา ราชหัวเราะเบาๆ ออกมา พอให้อมาวสีได้ยิน
“ถ้าเขาเห็นว่าผมเป็นคนมาส่งคุณ มีหวังได้อาละวาดน่าดู...ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
อมาวสีไม่ได้ขำไปกับราชด้วยสักน้อย
ภากรเดินไปเดินมาบริเวณสนามหน้าบ้าน ท่าทางดูไม่ค่อยจะเบิกบานแจ่มใสซักเท่าไหร่
เขาคอยแต่จะชะเง้อมองไปทางประตูบ้านที่แง้มเปิดค้างไว้ครึ่งบาน
รถราชแล่นมาจอดหน้าประตูบ้าน ราชหันมาพูดกับอมาวสีพร้อมรอยยิ้มอย่างสุภาพ
“คุณเดินเข้าบ้านเองได้นะ”
“ไม่เห็นยากตรงไหนนี่คะ”
“โอเค ผมว่านายภากรคงดักรอคุณอยู่ ถ้ามีอะไรฉุกเฉินขึ้นมาก็โทร.บอกผมได้”
อมาวสีขยับลงจากรถ แล้วจึงหันมาพูดกับราช
“ขอบคุณนะคะสำหรับการ์ด”
ราชฉงน “การ์ด?...อ๋อ ของนายวาริน คุณต้องขอบคุณเขาสิ”
“ดิฉันขอบคุณคนต้นคิดค่ะ...ฝากคุณไปบอกพี่วารินด้วยแล้วกัน”
อมาวสีเดินเข้าบ้านไป
ราชก้าวลงมายืนข้างๆ รถ มองตามอมาวสี หน้าตายังมีรอยยิ้มเปื้อนอยู่
ขณะที่อมาวสีเดินเข้าประตูมา ตรงเข้าสู่ตัวบ้าน โดยที่ด้านหลัง ภากรยืนรออยู่ หน้าตาดุดัน
“อ้อ...เดี๋ยวมาคุยกับพี่หน่อย”
“ค่ะ”
ภากรมองออกมาหน้าประตูบ้าน ซึ่งราชยังคงยืนอยู่ตรงนั้น พูดเสียงดังให้ราชได้ยิน
“ส่งเสร็จแล้วก็ไปสิ มายืนดูอะไร”
“ดูว่า แถวนี้จะมีร่องรอยคนยิงกระจกบ้านผมบ้างมั้ย” ราชตะโกนตอบมา
“เสียใจด้วยนะ”
ภากรกดรีโมทปิดประตูบ้าน
ราชจ้องหน้าภากรจนประตูปิดสนิท
อมาวสีขยับตัวลงนั่ง ในห้องนั่งเล่นบ้านพิชิตพงษ์เรียบร้อย ภากรก้าวเข้ามา ท่าทางเอาจริงเอาจัง
“ทำไมไอ้หมอนั่นถึงมาส่งอ้อได้”
อมาวสีพยายามเลือกวิธีตอบที่จะไม่ให้เกิดปัญหา
“อ้อเจอกับเขาโดยบังเอิญ”
“อ้อไปไหนมา”
“อ้อขออนุญาตคุณป้าแล้ว”
“พี่ถามว่าไปไหนมา ไม่ได้ถามว่าขออนุญาตหรือยัง”
อมาวสีอึดอัดสุดจะประมาณ หายใจลึกๆ ก่อนเอ่ยปากตอบ
“ไปบ้านแก้ว”
“บ้านแก้ว?...อ๋อ นี่นัดพบกับไอ้ราช ที่บ้านแก้วเหรอ...โอ้โฮ หลานสาวรัฐมนตรีกวี นัดพบชายหนุ่มในบ้านหลังเปลี่ยว...งามหน้าจริงๆ นี่ถ้าพ่อฉันรู้ละก้อ...”
อมาวสีเอ่ยปากโต้เถียง ชัดถ้อยชัดคำ
“อ้อไม่ได้ทำอะไรผิดนะคะ อ้อมีเหตุผลที่จะไป และก็ไปกลางวัน ลุงกอบคนเฝ้าบ้านแก้วก็อยู่ที่นั่น ไม่ได้หายไปทั้งคืนแบบคุณภากรซักหน่อย”
“อ้อย้อนพี่เหรอ”
“อ้อพูดความจริง คุณภากรอยากพูดจาดูถูกอ้อทำไม”
“แล้วอ้อไปทำไม...ไปทำอะไรที่บ้านแก้ว”
“อ้อไปดูบ้านแก้วเป็นครั้งสุดท้าย”
“โธ่...ดูแล้วได้ประโยชน์อะไร”
“อ้อดูแทนพี่ภาคย์ จะได้จดจำว่าของที่ควรจะเป็นของพี่ภาคย์กำลังจะถูกทำลาย กลายเป็นของคนอื่นได้ยังไง”
ภากรดูจะหงุดหงิดมากขึ้น เมื่อได้ยินชื่อภาคย์
“เมื่อไหร่อ้อจะเลิกพูดถึงไอ้ภาคย์ซะที ห๊ะ”
“อ้อไม่ได้พูดเองนะ คุณภากรเป็นคนถาม...
“ฉันถามเพราะความเป็นห่วง ไม่ได้ถามเพื่อให้เธอพูดถึงไอ้สารเลวคนนั้น”
“ถ้าคุณภากรไม่ต้องการได้ยินชื่อพี่ภาคย์ ก็กรุณาอย่าคุยกับอ้อเลยค่ะ...”
ภากรนิ่งงันไป
“หมดธุระกับอ้อแล้วใช่มั้ยคะ”
อมาวสีขยับจะเดินออก
“อย่าลืมนะ ว่าอ้อจะไปไหนมาไหน พี่ต้องเป็นคนไปส่ง”
“คุณภากรตื่นทันก็เชิญค่ะ”
อมาวสีเดินออกไปจากห้อง ภากรมองตามตาขวาง ไม่สบอารมณ์เป็นที่สุด
ในเวลาต่อมา ที่สวนสาธารณะ อันสวยงามร่มรื่น ชายโฉดหญิงชั่ว จอนและสายบัว เดินสอดส่ายสายตา มองไปรอบๆ
“ไหนวะ ฉันไม่เห็นวี่แววลูกนักการเมืองซักคน เดินจนทั่วแล้วนะเนี่ย”
“ใจเย็นๆ สิพี่ เขาบอกว่าเขาจะมาที่นี่เรื่อยๆ ไม่วันนี้ ก็พรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้”
“โอ๊ย อดตายกันพอดี”
จอนทิ้งตัวลงนั่งแปะไปกับพื้น
“พี่ก็ไปทำอย่างอื่นแล้วกัน จะเตรียมอุปกรณ์ หรือจะซ้อมไอ้เผือกไอ้เหิมไอ้อ้อน ให้คล่องๆก่อนก็ได้...ส่วนเรื่องเหยื่อ ปล่อยเป็นหน้าที่ฉันเอง”
สายบัวแบมือตรงหน้าจอน
“อะไร”
“ขอตังค์ติดตัวหน่อยสิพี่...เผื่อต้องลงทุนอะไรบ้าง”
“เออ...เซฟๆ หน่อยนะเว้ย สองหมื่นที่ไอ้ลุงรักษ์ให้มาจะหมดแล้ว...ได้ความยังไง โทร.หาพี่นะ”
จอนแบ่งเงินจำนวนหนึ่ง ไม่มากนัก ให้สายบัว
ที่สำนักงานท่านกวี ตอนเย็นวันนี้ หมอดูเจ้าเก่ากำลังสับไพ่เบื้องหน้าท่านกวีและคุณหญิงอำภา มีทนายชอบยืนอยู่ข้างๆ
“คราวก่อน อาจารย์บอกให้ท่านกวีทำธุรกิจเกี่ยวกับยาใช่มั้ยครับ”
“ใช่...ยา”
“ตอนนี้มีคนติดต่อมาแล้ว อยู่ๆก็มาขอให้ท่านลงทุนทำบริษัทผลิตยา อาจารย์ลองดูหน่อยได้มั้ยครับ ว่าท่านควรจะทำมั้ย”
“ทำเลย...รับรอง มีแต่ได้ มีแต่รุ่งเรือง”
ท่านกวีกับคุณหญิงอำภา หันมามองหน้ากัน คุณหญิงยังดูไม่ค่อยมั่นใจนัก
“มันจะมีโอกาสพลาดมั้ยคะ...เพราะเราไม่คุ้นเคยกับธุรกิจนี้มาก่อน”
“พลาดก็พลาดไม่มากหรอก” หมอว่า
“อ้าว...ยังไงกัน”
“ทำอะไร มันก็ต้องเผื่อใจไว้สำหรับความผิดพลาดบ้าง ทั้งนั้นแหละ...แต่ว่ากราฟชีวิตของท่านตอนนี้ กำลังไต่ขึ้นสู่ที่สูง ซึ่งหมายถึงความสำเร็จ ความก้าวหน้า ในทุกๆด้าน ท่านจะสร้างสถิติอีกมากมาย เลือกตั้งจะได้คะแนนสูงที่สุด แบบถล่มทะลายเป็นประวัติศาสตร์ ท่านจะได้เป็นรมต.ครบทุกกระทรวง เผลอๆอาจถึงขั้นขั้วตำแหน่ง นายกก็ได้นะ...อาจจะได้เป็นนายกที่หล่อที่สุด”
“ไม่มั้ง มีคนหล่อกว่าผมเคยเป็นนายกมาแล้ว”
ท่านกวีพูดคุยกับหมอดูอย่างอารมณ์ดี
“แต่ก็ต้องระวังทุกขลาภ ที่อาจโผล่เข้ามาสอดแทรกได้อยู่เรื่อยๆ...ซึ่งถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ ท่านจะวิ่งฉิว ไม่ว่าอะไรๆ ก็ฉุดไม่อยู่”
ชอบตื่นเต้น “จริงนะอาจารย์”
“จริงสิ พนันกันได้เลย...แต่ท่านต้องทำเองนะ ทำคนเดียวยิ่งดี ถ้ามีหุ้นส่วนเยอะ ดวงชะตามันจะเบียดกัน กรรมมันฉุดรั้งกัน อาจจะไม่สำเร็จเหมือนท่านทำเองคนเดียว...ท่านมีดวงคุณหญิงหนุนส่งอยู่แล้ว อย่าห่วง”
หมอดูวางไพ่ยิปซีใบแรกลงไปเบื้องหน้า
“อือม...ท่านกำลังจะมีโชคนะเนี่ย...โชคแบบไม่คาดฝัน”
“โชคอะไร”
หมอดูครุ่นคิดนิดหนึ่งก่อนเอ่ยปากพูด “ท่านชอบเด็กมั้ยล่ะ”
ทุกคนมองหน้ากัน
“เด็กของอาจารย์ หมายถึงเด็กๆ สาวๆ หรือเปล่า...ท่านกวีไม่ยุ่งเรื่องพวกนี้ครับ” ทนายชอบบอก
“ผมไม่เคยมีประวัติเสื่อมเสีย ถามคุณหญิงดูได้”
“แต่ไพ่ใบนี้บอกว่า ท่านกำลังจะมีหลาน ไม่นานนี้แหละ”
หมอดูชูไพ่ใบนั้นให้ท่านกวีดู ทุกคนอึ้ง ต่างพากันแปลกใจ
รถเก๋งคันใหญ่ของท่านกวีแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้าน ท่านกวีและคุณหญิงอำภาก้าวลงจากรถ
ทั้งสองเดินตรงเข้าบ้าน จนเห็นภากรนั่งรออยู่ที่มุมหนึ่ง ท่านกวีไม่อยากเชื่อตา
“วันนี้มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย...ลูกชายฉันอยู่บ้าน”
“ผมอยู่รอพ่อครับ ผมมีเรื่องอยากปรึกษาพ่อ”
“ปรึกษาแม่ด้วยรึเปล่าลูก”
ภากรคิดนิดหนึ่ง
“ผมขอคุยกับพ่อ แบบผู้ชายคุยกันดีกว่าครับ”
“ตามใจ...งั้นแม่ขึ้นห้องก่อนก็ได้”
“เดี๋ยวผมค่อยเล่าให้คุณฟังเอง”
“ค่ะ”
คุณหญิงอำภาแยกเดินไปขึ้นห้องนอน
ท่านกวีและภากรขยับตัวลงนั่ง
“เอ้า มีอะไรว่ามา ไอ้ลูกชาย”
ภากรวางท่าทางตัวเองให้ดูสุขุม มีสำนึก คล้ายกำลังจะสารภาพผิด
“ผมรู้ตัวดีว่า ผมไม่ได้เป็นลูกที่ดีนัก ผมสร้างเรื่องราวให้พ่อให้แม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจอยู่เสมอ...โดยเฉพาะเรื่องสีไพร”
“ลูกสาวภารโรงคนนั้นน่ะเหรอ...แกบอกว่าแกจัดการเรียบร้อยแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“งั้นก็ช่างมันเถอะ จบแล้วก็จบ จำเอาไว้เป็นบทเรียนด้วยว่าผู้ชายอย่างเรา มีผู้หญิงที่พร้อมจะตามจับอยู่เสมอ”
“ครับ”
“แล้วมีเรื่องอะไรอีก”
ภากรผ่อนลมหายใจยาวๆก่อนตอบ
“ผมเหงาน่ะครับพ่อ”
“ห๊ะ ?...ถามจริง”
“สองปีแล้วนะครับที่ชาลินีไม่อยู่”
“แต่แกก็มีที่คลายเหงาของแกอยู่เกือบจะทุกคืนตลอดสองปีนี่นา”
“ผมอยากจะเลิกครับ ผมเบื่อชีวิตที่เหลวใหลอย่างนั้น ยิ่งพ่อให้ผมรับผิดชอบบริษัทใหม่ ผมยิ่งรู้สึกว่าผมควรจะทำตัวที่ดี เลิกสำมะเลเทเมาซะที”
ท่านกวียิ้ม พอใจที่ได้ยินเช่นนั้น “ดีมาก”
“แต่ความเหงาจะหายไปทันที ที่พ่อจะยอมให้ผมแต่งงานใหม่”
ท่านกวีหัวเราะ...เขาเพิ่งเข้าใจประเด็นสำคัญของลูกชาย
“เอาซี่...ลูกผู้ชายจะมีชีวิตที่สมบูรณ์ได้...มันต้องมีคู่ชีวิตที่ดี”
“อย่างพ่อกับแม่ใช่มั้ยครับ”
“ใช่...แกต้องหาผู้หญิงที่ดีได้เท่าแม่แก หาเจอแล้วมาบอกพ่อ”
“ผมเจอแล้วครับ...อยู่ใกล้ตัวนี่เอง”
“หือม...ใคร”
“น้องอ้อไงครับ”
“พ่อนึกแล้วเชียว...ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
คราวนี้ท่านกวีหัวเราะดังมากขึ้นกว่าเก่าอีก
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 4 (ต่อ)
พอได้ฟังความจากสามีจบคำ คุณหญิงอำภา มีหน้าตาแปลกใจปนตื่นเต้น
“จริงเหรอคะ...ดิฉันไม่เห็นท่าทีสองคนนี้ว่าจะรักกันมาก่อนเลย”
“ของแบบนี้ เราอยู่วงนอก เราไม่รู้หรอก”
“แต่ก็มีหลังๆนี่เหมือนกันที่นายภากรมีอาการแปลกๆ...แล้วเขาบอกน้องหรือยัง”
“ยัง”
คุณหญิงอำภาตรึกตรองเรื่องนี้ ก่อนเอ่ยปาก
“คุณว่าหนูอ้อ จะรักลูกชายเราเหรอคะ”
“มันว่ามันทำให้อ้อรักมันได้ไม่ยาก...ซึ่งเรื่องนี้ ฉันเชื่อมัน”
ท่านกวีดูจะมีความภูมิใจในตัวลูกชายไม่น้อย
“ยายอ้อก็เป็นเด็กดีที่อยู่ในสายตาของเรามาตลอด ชาติตระกูลก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ผมคิดว่า รอให้ยายอ้อเรียนจบ แล้วก็จะจัดการให้ถูกต้องตามประเพณี คุณว่าไง”
“ดิฉันดีใจที่จะได้หนูอ้อเป็นสะใภ้ แต่คนของเราต้องพูดจากับน้องเขาให้รู้เรื่องก่อน...ต้องไม่ใช่การบีบบังคับจากเรานะคะ”
ท่านกวีมองหน้าภริยา เหมือนจะเดาได้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
“คุณกลัวประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหรอ”
“ประวัติศาสตร์ช่วงไหนล่ะคะ”
“ก็ชาลินีไง...ตอนนั้นไม่มีใครบังคับชาลินีนะ พวกเราเข้าใจว่าเขารักกันจริงๆ”
เหตุการณ์กว่าสามสิบปีก่อนหน้านี้ ผุดซ้อนขึ้นมาในความคิดของคุณหญิงอำภา
ภายในห้องที่สว่างไสวคล้ายห้องแต่งตัว แลเห็นสตรีในชุดเจ้าสาว นั่งหันหลังอยู่กลางห้องนี้ แผ่นหลังของเธอสั่นเล็กน้อย เป็นจังหวะเดียวกับเสียงสะอื้นเบาๆ ที่ลอดออกมาพอได้ยิน
เธอคือ นางสาวอำภา แม้จะอยู่ในชุดเจ้าสาว ทว่าใบหน้าของเธอกลับอาบไปด้วยหยาดน้ำตา
นายแม่ ผู้เป็นมารดา ค่อยๆ เดินเข้ามาด้านทางหลังอำภา
“ผู้หญิงในชุดเจ้าสาว ไม่ควรมีหยาดน้ำตานะลูก”
“แม่จ๋า...”
อำภาโผเข้าซบผู้เป็นแม่
“แขกเหรื่อมากมายรอหนูอยู่นะ ทุกคนคาดหวังจะได้เห็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดในคืนนี้”
“หนูไม่ได้ตัดสินใจอะไรผิดใช่มั้ยคะ”
“มีใครบังคับหนูหรือเปล่าล่ะลูก”
อำภาไม่ทันได้ตอบผู้เป็นแม่ บุรุษในชุดเจ้าบ่าวก็เดินเข้ามา เขาคือหนุ่มหล่อนามว่า นายกวี
“อำภา...คุณแม่...”
ผู้เป็นแม่ค่อยๆ เลี่ยงออกจากห้องไป
กวีเดินเข้าไปประคองอำภา
“คุณสัญญากับผมแล้วนะ ว่าจะไม่ร้องไห้...อยากให้พ่อผมโกรธหรือไง”
บ้านแก้ว ในมุมที่สง่างามท่ามกลางแสงตะวันกล้า รถสองสามคันจอดอยู่ด้านหน้า มีทั้งรถกระบะช่าง รถเก๋งของการันต์ และรถสปอร์ตของราช
อนุ และ การันต์ เดินเข้ามาในบ้านแก้ว ทั้งสองมองไปรอบๆบ้าน หน้าตาออกจะผิดหวังไม่น้อย ราชยืนมองอยู่ด้วย รอบๆ พวกเขา เป็นบรรดาช่างกำลังซ่อมแซมบ้านหลังนี้อยู่
การัณย์บ่นบ้า “โอ้..ไอ้ยักษ์เอ๊ย...นี่ถ้าฉันไม่ใช่เพื่อนแกนะ ฉันไม่มีวันเซ็นอนุมัติสินเชื่อให้แกเป็นอันขาด”
“แกไม่อนุมัติ มันก็ไปขอที่อื่น” อนุว่า
“ไม่มีที่ไหนเขาให้แกหรอก บ้านสภาพอย่างนี้ ขอสินเชื่อตั้งสามสิบล้าน จะบ้า”
“แหม ฉันกู้ระยะสั้น ปีเดียวเอง” ราชบอก
“เดือนเดียวฉันก็ไม่ให้...สิ้นคิดชัดๆ” การัณย์บ่นไม่เลิก
“มันขึ้นอยู่กับว่าจะเอาบ้านหลังนี้ไปทำอะไรต่อเว้ย...ทำเบียร์การ์เด้นมั้ยวะไอ้ยักษ์ แถวนี้บรรยากาศไม่เลวนะ”
“ไม่ละ...อบายมุขฉันไม่เอา ทำไม่ขึ้นหรอก” ราชปฏิเสธ
“งั้นสปามั้ยวะ นวดสมุนไพร นวดน้ำมัน นวดเส้น ฉันหาหมอให้เอง” อนุบอกอีก
“แกมันรู้จักแต่หมอนวดกะปู๋น่ะสิ” การัณย์ว่า
“งั้นเปิดสอนโยคะก็ได้...อยู่กับธรรมชาติดีออก กำลังฮิตด้วย” อนุไม่เลิกเสนอไอเดีย
“เดี๋ยวค่อยคิดดูอีกที”
“เห็นมั้ย มันโง่หรือฉลาดเนี่ย ซื้อบ้านสี่สิบล้าน ยังไม่รู้เลยว่าซื้อมาทำอะไร...โอ๊ย กูอยากจะตาย”
“ฉันอาจจะเก็บไว้เป็นเรือนหอก็ได้นี่”
ราชพูดแล้วเดินหนี เพื่อนๆเดินตาม
อนุว่า “ถามคุณชิดชไมรึยัง”
“รู้ได้ไงว่าเจ้าสาวคือชิดชไม” ราชย้อน
“งั้นก็น้องวัชรี” อนุทายต่อ
“เพ้อเจ้อกันเข้าไปเหอะ ป่านนี้เจ้าของบ้านคนเก่า ทั้งท่านรัฐมนตรี ทั้งคุณหญิง คงจะหัวเราะร่า เลี้ยงฉลองกันเจ็ดวันเจ็ดคืนแหงๆ”
“ไม่แน่หรอก บางทีคุณหญิงอาจจะกำลังระทมทุกข์ที่ไม่สามารถรักษาบ้านหลังนี้ไว้ได้...ใครจะรู้”
จริงดังที่ราชคาดการณ์ ด้วยเวลานี้คุณหญิงอำภานั่งไหว้พระอย่างสงบนิ่ง เสียงอธิษฐานดังออกมาให้ได้ยิน
“ไม่ว่าเวลานี้ ภาคย์ของแม่จะอยู่ที่ไหน แม่ขอให้ลูกได้รับรู้คำขอโทษของแม่ด้วย แม่ได้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้องอีกครั้งหนึ่งแล้ว...แม้แม่จะพยายามฝืน ไม่ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ก็ดูเหมือนว่า ไม่มีทางเลือกอื่นใดให้แม่เลย”
เวลาเดียวกันนี้ ราชยืนมองภาพวาดคุณยายอยู่ในบ้านแก้ว ขณะที่คุณหญิงยังอธิษฐานในใจ
“เพราะลูกไม่กลับมา ไม่เคยส่งข่าวคราวมา แม่ไม่สามารถจะอ้างกับใครๆได้ว่าเมื่อไหร่ที่ลูกจะกลับมาครอบครองสมบัติของลูกชิ้นนี้ ที่สุดแล้วแม่จึงจำต้อง ยอมเสียบ้านแก้วไป...แม่ได้แต่ขอโทษกับเทพยาดาฟ้าดิน กราบขอโทษไปยังดวงวิญญาณของคุณยาย”
มิสเตอร์หว่องและผู้ติดตามเดินเข้าบ้านพิชิตพงษ์มา ทนายชอบเป็นผู้เดินมาต้อนรับทั้งหมดเดินหายเข้าไปในตัวบ้าน
“แม่ไม่รู้ว่าการขายบ้านแก้วครั้งนี้ จะส่งผลดีหรือผลร้ายกับแม่และพ่ออย่างไร แต่ถ้าเป็นไปได้ แม่อยากมีโอกาสได้พบลูกสักครั้ง”
คุณหญิงอำภายังคงนั่งไหว้พระอธิษฐานอยู่ที่เดิม
“อย่างน้อยก็เพื่อให้แม่ได้ขอโทษลูก ต่อหน้าลูก ขอโทษในทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ได้ทำผิดพลาดไปแล้ว...ให้อภัยแม่ด้วยนะ ภาคย์”
มิสเตอร์หว่องขยับตัวลงนั่ง ในห้องรับแขกบ้านพิชิตพงษ์ แล้วเอ่ยขึ้น
“คุณหญิงไม่อยู่เหรอครับ...ผมคิดว่าจะได้มากราบสวัสดีคุณหญิงสักครั้ง”
เจ้าบ้าน ท่านกวีนั่งอยู่เบื้องหน้า มีทนายชอบนั่งเยื้องอยู่ด้านหลังในฐานะที่ปรึกษา เช่นเดียวกับผู้ติดตามที่อยู่ด้านหลังมิสเตอร์หว่อง
“คุณหญิงสวดมนต์อยู่ในห้องพระน่ะครับ...เธอทำเป็นประจำ”
“อ๋อ...หวังว่าคงขอพรให้บริษัท เฮลตี้ ฟาร์ม่า ของเราเจริญรุ่งเรืองนะครับ” หว่องบอก
“อันนั้นต้องอยู่ที่เราตั้งใจทำงาน พระท่านคงช่วยไม่ได้ถึงขนาดนั้นหรอกนะ” ท่านกวีว่า
หว่องหันไปหยิบเอกสารจากผู้ติดตามส่งให้ท่านกวีและทนายชอบ
“นี่ครับแผนงานของโปรเจ็คนี้ทั้งหมด รวมทั้งรายละเอียดการลงทุน อยู่ใน proposal นี้แล้ว”
ท่านกวีและทนายชอบรับเอกสารมาดู
“หลักการโดยรวมก็คือ ท่านต้องรีบหาซื้อที่ดิน เพื่อสร้างโรงงาน ให้พร้อมสำหรับกระบวนการผลิต...ส่วนเรื่องการขออนุญาต ผมจะดำเนินการเอง ซึ่งเรามีชื่อท่านเป็นประธานอย่างนี้แล้ว เชื่อว่าการอนุมัติคงไม่ใช่เรื่องยาก” หว่องสาธยาย
ทนายชอบดูเอกสาร “รวมๆแล้ว ประมาณห้าร้อยล้านบาท”
“ครับ” หว่องพยักหน้า
ท่านกวีครุ่นคิดชั่วครู่
“อือม...ผมคงต้องรีบระดมทุน พรรคพวกกัน”
“แต่ผมอยากให้ท่านลงทุนเองหุ้นเดียวเลยครับ เพราะจะทำให้การตัดสินใจอะไรๆ ง่ายและรวดเร็วกว่านะครับ” หว่องบอก
ท่านกวีครุ่นคิดหนักขึ้น
“คุณชอบ ลองสรุปความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ที แต่อย่าให้ผมออกหน้านะ ผมไม่ต้องการมีชื่อในธุรกิจอะไรทั้งนั้น เผื่อว่าอาจจะมีผลกับการเลือกตั้งคราวหน้า”
“งั้นใครจะดูแลบริษัทนี้ล่ะครับ” มิสเตอร์หว่องถาม
“ภากร ลูกชายผม”
“อยู่ไหนครับ...ผมจะได้ทำความรู้จัก”
“อ๋อ เขาออกไปพบปะผู้คน ไอ้หมอนี่มันเข้าสังคมเก่ง...เดี๋ยวผมจะโทร.หามันให้มันพูดกับคุณหว่องเอง”
ภากรพูดโทรศัพท์มือถือของเขา อยู่ที่สวนสาธารณะ
“ฮัลโหล คุณหว่องนะครับ...ขอโทษที ผมไม่ทราบว่าคุณหว่องจะมาวันนี้...”
ภากรยืนพูดโทรศัพท์อยู่กลางสวนสาธารณะสวยที่เดิม ด้านหลังเห็นเป็นสีไพร นั่งปอกผลไม้อยู่บนเสื่อชุดปิคนิก
“พอดีผมมีนัดลงพื้นที่ช่วยคุณพ่อน่ะครับ...เรายังมีเวลาเจอกันได้อีกเยอะครับ”
มิสเตอร์หว่อง พูดโทรศัพท์ด้วยมือถือของท่านกวี
“ครับ...แหมได้MDขยันๆอย่างนี้ บริษัทเราเจริญรุ่งเรืองแน่ครับ...เดี๋ยวพูดกับท่านรัฐมนตรีต่อนะครับ”
หว่องส่งโทรศัพท์ให้ ท่านกวีรับแล้วเดินเลี่ยงห่างออกมา จึงพูด
“ฉันบอกให้แกอยู่บ้านวันนี้ ทำไมเหลวไหลตั้งแต่แรก ห๊ะ”
“มันก็มีลืมกันบ้างสิพ่อ”
“อย่าลืมอย่างนี้บ่อยนักนะ...ธุรกิจนี้ได้เสียเป็นพันล้าน จะมาทำเป็นเล่นๆไม่ได้เข้าใจมั้ย”
“ครับผม ไว้เจอกันที่บ้านนะครับ”
เสียงท่านกวีลอดออกมาว่า “อย่ากลับดึกล่ะ”
“แหม...ขอฉลองซักวันน่าพ่อ...นะครับ”
ภากรกดปุ่มยกเลิกการสนทนา
ภากรเดินไปนั่งข้างๆ สีไพร ซึ่งยิ้มแย้มให้กับชายผู้เป็นที่รัก
“วันนี้คุณภากรดูสดใสร่าเริงจังนะคะ”
“คนกำลังมีความสุขน่ะ...รู้มั้ย ฉันออกจากบริษัทประกันแล้วนะ”
“อ้าว”
“โอ๊ย งานขายประกัน มันเป็นงานเอาใจคน...ไม่ไหวหรอก...ฉันเป็นใคร จะให้เที่ยววิ่งไปเอาใจคนโน้นทีคนนี้ที ทั้งเจ๊กทั้งแขก ทั้งตาสีตาสาที่ไหนก็ไม่รู้...ฉันไม่เอาแล้ว”
“แล้วคุณภากรจะทำอะไรคะ”
“ฉันก็จะทำงานในบริษัทของฉันเอง ลงทุนโดยพ่อฉัน”
พลันสายตาภากรเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างที่น่าสนใจอยู่ฝั่งตรงข้ามบึงน้ำ ที่แท้เป็นสายบัวกำลังวิ่งจ๊อกกิ้งอยู่ในชุดเซ็กซี่ สายบัวส่งยิ้มหวานให้ภากร
“อย่างนี้คุณภากรก็จะยิ่งไม่มีเวลาให้ไพน่ะสิคะ”
“ทำไงได้ล่ะจ๊ะ...แน่ะ ไม่ทันไรเธอจะเรียกร้องเอาเวลาจากฉันแล้วเหรอ”
“เปล่าค่ะ ไพแค่เป็นห่วงคุณภากร”
“ถ้าเป็นห่วงฉัน ก็ต้องดีกับฉัน ตามใจฉัน อย่าขัดใจฉัน นะ”
“ค่ะ”
“งั้นวันนี้สีไพรกลับบ้านเองได้มั้ยจ๊ะ...เมื่อกี้นี้ คุณพ่อเรียกให้ฉันรีบไปคุยเรื่องงานน่ะ”
“ได้ค่ะ”
สีไพรรับคำอย่างจริงใจ หารู้ไม่ว่า ภากรลอบสบตากับสายบัวอีกครั้ง
สายบัวยิ้มเซ็กซี่มากขึ้น พร้อมกับส่งสัญญาณให้รู้ว่า เธอจะไปรออยู่ด้านหน้าสวน ภากรพยักหน้ารับคำ
สายบัวเดินเข้ามา ตรงมุมหนึ่งของบริเวณหน้าสวนสาธารณะ รถของภากรแล่นเข้ามาจอดข้างๆ
ภากรเปิดกระจกรถทักทายสายบัว
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะคุณภากร โชคดีจังนะคะ เราได้เจอกันอีกแล้ว”
“ไม่ใช่โชคหรอกครับ...ผมตั้งใจมาที่นี่ ที่เดิม เวลาเดิม เผื่อว่าจะมาเจอคุณอีกแล้วก็ได้เจอจริงๆ”
“วันนี้จะอาสาไปส่งดิฉันอีกมั้ยคะ”
“ด้วยความยินดีครับ แต่มีข้อแม้ว่าวันนี้คุณต้องบอกผมนะครับว่าคุณชื่ออะไร”
สายบัวหัวเราะอย่างมีจริต เซ็กซี่เป็นที่สุด
“ตายจริง...ฉันยังไม่ได้บอกชื่อฉันเลยเหรอคะ”
“ครับ คุณเอาเปรียบผมมาก คุณรู้จักชื่อผม แต่ผมยังไม่รู้จักอะไรของคุณเลย”
“อยากรู้จักมากกว่าชื่อมั้ยล่ะคะ”
“ในลำดับต่อไป...แน่นอนครับ”
“ฉันชื่อจูดี้ค่ะ...ต้องเรียกเต็มๆ ว่าจูดี้นะคะ...เรียกแค่ ดี้ แล้ว จั๊กจี้ยังไงไม่รู้...หรือถ้าเรียกแค่ จู ยิ่งแล้วใหญ่เลย” หญิงสาวฉอเลาะ
“ครับ...คุณจูดี้”
“วันนี้เราไปฉลองกัน ในโอกาสที่คุณได้รู้จักชื่อจูดี้ ดีมั้ยคะ”
“ดีครับ ผมชอบงานฉลอง...ที่ไหนดีครับ”
ภากรส่งสายตามีเลศนัย สายบัวเบียดตัวเองเข้าไปแนบชิดภากร ออดอ้อนไปทั้งเรือนร่าง
“จูดี้ เป็นคนธรรมดา ไม่มีเชื้อสายนักการเมือง ไม่มีปัญญาไปเที่ยวที่หรูๆ หรอกค่ะ จูดี้ก็ได้แต่หาความสุขประสาประชาชนธรรมดาๆ คนหนึ่งนั่นล่ะค่ะ”
ภากรแทบคลั่งกับลีลาของสายบัว
“ไอ้ที่ว่าน่ะ ที่ไหนเหรอครับ”
“เดี๋ยวคุณภากรก็รู้เองค่ะ”
ราชพาตัวเองมายืนอยู่เบื้องหน้ากำแพงที่บรรจุกระดูกชาลินีในวัดสวยงามร่มรื่น เขาบอกตัวเองในใจ
“ชาลินีคือผู้หญิงที่น่าสงสารและน่าเห็นใจที่สุด...เธอเป็นคนเดียวที่รู้จักทั้งภาคย์ พิชิตพงษ์ และ ราช รัชภูมิ เป็นอย่างดี”
ราชมองรูปถ่ายชาลินีที่ติดอยู่ที่กำแพง
“เธอจึงเป็นคนเดียวที่เข้าใจดีที่สุดว่า ทำไมบ้านแก้วจึงต้องตกเป็นของผม...”
ราชค่อยๆ ปักธูปลงบนกระถางเล็กๆ เบื้องหน้านั้น
“น่าเสียดายที่เธอต้องจากไปด้วยความทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากนิสัยเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ของคนในตระกูลพิชิตพงษ์”
อาคารที่ทำการบริษัทรักษ์เล ที่ภูเก็ต ของ รักษ์ ราชภูมิ ต้องแสงยามเย็น ยิ่งแลดูสวยงาม
ลุงรักษ์ยืนคุยกับราชอยู่บนระเบียงสวยริมทะเล
“แล้วต่อไปล่ะ เมื่อได้บ้านแก้วมาแล้ว เธอจะทำอะไรต่อ”
“ผมต้องได้ทุกอย่างของพิชิตพงษ์”
ลุงรักษ์ถอนใจเล็กน้อย
“ฟังดูรุนแรงไปหน่อยนะราช...ทุกอย่างของเธอน่ะ หมายถึงอะไร คนหรือของ”
“ทั้งหมดครับ อะไรก็ตามที่ได้ชื่อว่าเป็นพิชิตพงษ์ มันต้องเป็นของผม”
ลุงรักษ์พยายามเตือนราชด้วยเหตุผลอย่างสุขุม
“ราชเอ๊ย...ตั้งแต่เรารู้จักกันมา ลุงรู้ว่าเธอรู้สึกอย่างไร และตั้งใจจะทำอะไร ลุงเองก็ไม่เคยลืม ที่ได้ให้สัญญากับเธอไว้ ว่าจะสนับสนุนเธอทุกอย่าง”
“คุณลุงได้ทำอย่างนั้นจริงๆครับ ผมสำนึกในบุญคุณของคุณลุงอยู่ทุกวัน”
“ลุงก็ไม่เคยลืมสิ่งที่เธอทำเพื่อลุง แต่ลุงอดเป็นห่วงเธอไม่ได้...และคงต้องคอยเตือนเธออย่างตรงไปตรงมา เพราะถ้าเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นจากการกระทำของเธอ ลุงก็จะเป็นอีกคนนึงที่เสียใจไม่แพ้เธอนะ ราช”
“ผมทราบครับ”
สาวสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา ท่าทางเธอคล่องแคล่วทะมัดทะแมง ชวนมองไม่น้อย ชื่อของเธอคือ อรัญญา หรือ น้องแก้ว
อรัญญายกมือไหว้ลุงรักษ์อย่างสวยงาม
“สวัสดีค่ะลุงรักษ์”
“สวัสดี หนูอรัญญา”
ราชมองอรัญญานิ่งๆ รักษ์จึงต้องหันไปแนะนำ
“เอ้า จำไม่ได้เหรอราช...อรัญญาไง ที่เด็กๆ เล่นน้ำทะเลกันทุกวันน่ะ”
“พี่ราชคงลืมแก้วไปแล้วละ” อรัญญาว่า
ราชเพิ่งจะเริ่มจำได้
“แหมตั้งกี่ปี มันก็ต้องเท้าความกันหน่อยสิ”
“น้องแก้วได้ทุนไปเรียนที่ญี่ปุ่น พอกลับมาก็มาทำบริษัททัวร์ จอยกับรีสอร์ทรักษ์เล ของเรา”
“โอ้ ดีจังครับ”
“วันหลังขอเชิญพี่ราชมาเป็นวิทยากรกิตติมศักดิ์ให้แก้วได้มั้ยคะ...ลูกค้าแก้วส่วนใหญ่ชอบดำน้ำ...แถวนี้ไม่มีใครดำน้ำเก่งเท่าพี่ราชอีกแล้ว”
“พูดอย่างนี้เหมือนดูถูกลุงรักษ์นะครับ”
ทุกคนหัวเราะกันครื้นเครง
“วันหลังเจอกันนะคะ...คิมี นิ โอะโมะอิ”
ราชและลุงรักษ์ ต่าง งง ไม่เข้าใจภาษา
“คิดถึงคุณจริงๆ ค่ะ”
อรัญญาแปลให้ แล้วเดินออกไป รักษ์หันมาพูดจริงจังกับราชอีกครั้ง
“ราช...ก่อนที่เธอทำอะไรมากกว่านี้ ลุงขอเจอเด็กคนนั้นซักครั้งนึงได้มั้ย”
“ได้สิครับ”
กลางสนามมวยคืนนั้น นักมวยบนเวทีกำลังชกกันอย่างเร้าใจ คนดูรอบเวทีส่งเสียงเชียร์ และส่งสัญญาณพนันขันต่ออย่างได้อารมณ์
ที่มุมหนึ่งในกลุ่มคนดู เห็นภากรและสายบัวกำลังเชียร์มวยอย่างสนุกสนาน
อีกมุมหนึ่งไม่ไกลกัน จอน ลอบมองดูท่าทีของภากรและสายบัวตลอดเวลา
ไม่นานต่อมา กลุ่มคนดูมากมายเดินออกมาจากสนามมวย ภากรและสายบัวเดินปะปนออกมาด้วย ทั้งสองอยู่ในสภาพเมามัน เหงื่อท่วมร่าง สีหน้าและแววตาของภากร รื่นเริง เบิกบาน แจ่มใส
“ผมไม่เคยมันแบบนี้มาก่อนเลยนะ จูดี้”
“จริงเหรอคะ”
“จริงครับ...สุดๆจริงๆเลย”
“ไม่ทราบว่าคุณภากรไปอยู่ที่ไหนมาคะ ถึงไม่เคยมันสุดๆ”
“ที่ที่ผมอยู่ไม่มีจูดี้นี่ครับ ผมจะสุดๆได้ยังไงล่ะ”
จอนเดินเข้ามา ขวางหน้าภากรในจังหวะนี้
“แต่ถ้าอยากมันสุดยอดกว่านี้...ผมจัดให้ได้ สนมั้ย”
ภากรสะดุ้งเล็กน้อย ไม่แน่ใจว่านายจอนคือใคร
“เอ้อ คุณ”
สายบัวรีบคลี่คลายบรรยากาศทันที
“นี่พี่ชายจูดี้ค่ะ พี่จอน”
“สวัสดีครับพี่จอน...คือ ผม...”
จอนโอบไหล่ภากรอย่างเป็นมิตร
“ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ว่าอะไรคุณหรอกที่มาเที่ยวกับน้องสาวผมน่ะ”
ภากรถอนใจ “ค่อยยังชั่ว”
“แต่ขอแนะนำว่า ถ้ารักจะคบกับน้องจูดี้ให้สุดยอดไปเลยล่ะก้อ ต้องไปกับผมในที่ของผม ผมรับประกันความหรรษา”
“ที่ไหนเหรอครับ”
“ก็ตึกที่คุณภากรไปส่งจูดี้คราวก่อนน่ะล่ะค่ะ ห้องลับของพี่จอนเขา”
“ถ้าสนใจละก้อ...วันหลังขอเชิญนะครับ”
“ถ้ามีจูดี้ไปด้วย ผมยินดีไปทุกที่ครับ”
ทั้งสามคนหัวเราะร่าเริง ภากรและสายบัวยิ้มหวานให้กัน
โดยไม่มีใครเห็นว่า นายสุด ยืนมองภาพนี้จากอีกฝั่งถนนหนึ่งของสนามมวย
นายสุดเดินขึ้นบันไดตึกแถวตรงไปยังห้องพักอาศัยของตน สีไพรเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาทักผู้เป็นพ่อ
“อ้าวพ่อ วันนี้ไม่เฝ้าตลาดเหรอคะ”
นายสุดดูมีความเครียดอยู่ในใจ
“พ่อขอเปลี่ยนกะกับเขา เพื่อนพ่อมันถูกหวย พาพ่อไปเลี้ยงข้างสนามมวย”
“ดูมวยด้วยนะพ่อ”
“เปล่า...กินไก่ย่างข้างๆสนาม...วันนี้ลูกเจอนายภากรรึเปล่า”
“เอ่อ...”
“อย่าโกหกพ่อ”
“เจอ...เมื่อตอนกลางวันค่ะ...คุณภากรพาไพไปกินส้มตำ แล้วคุณพ่อเขาก็โทร.มาตามให้รีบไปทำงาน”
นายสุดสูดหายใจลึกๆแล้วค่อยๆเดินเลี่ยงหันหลังให้ลูกสาว
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
น้ำตาของชายสูงวัยไหลลงมา อาบสองแก้ม นายสุดพยายามปาดน้ำตาโดยไม่ให้ลูกสาวรู้ แต่ดูเหมือนจะไม่อาจปิดบังได้
“เอ็งจะเป็นยังไงหนอสีไพร...ถ้าคุณภากรเขาทิ้งเอ็งไปมีคนอื่นน่ะ...เอ็งจะอยู่ยังไง”
“พ่อ...คุณภากรยังไม่ได้ทิ้งสีไพรนะพ่อ”
“พ่อก็หวังอย่างนั้น...แต่จำไว้นะลูก ไม่ว่าลูกจะผิดหวัง ช้ำใจ หรือเสียใจแค่ไหนลูกยังมีพ่ออยู่อีกคนนะ พ่อรักลูกนะสีไพร”
“สีไพรก็รักพ่อจ้ะ”
สองพ่อลูกกอดกัน น้ำตาท่วมใจ
เช้าวันหนึ่ง รถของราชจอดอยู่ริมถนน ไม่ไกลจากประตูรั้วมหาวิทยาลัยนัก ราชนั่งนิ่งในรถ มองไปเบื้องหน้า เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น
ราชมองดูหมายเลขที่เรียกเข้า แล้วจึงกดรับผ่านทางบลูทูธ เสียงชิดชไมดังเข้ามาในรถคันนี้
“ฮัลโหล...เจ้าของโทรศัพท์หมายเลขนี้อยู่รึเปล่าคะ”
“ผมกำลังจะโทร.หาคุณอยู่พอดีเลยนะ แคลร์”
ชิดชไมเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้าน มีกระเป๋าเดินทางใบย่อมวางไม่ไกลจากตัวเธอ
“ทุกครั้งที่ผู้หญิงโทร.หาผู้ชายก่อน ผู้ชายมักจะตอบกลับมาอย่างนี้เสมอ”
“รู้ทันผมอีกแล้วนะ”
“หายหน้าไปไหนมาจ๊ะ พ่อหนุ่มรูปหล่อ”
“ไปภูเก็ตครับ มีเรื่องธุรกิจต้องคุยกับคุณลุง”
เสียงน่ารักของชิดชไมดังลอดออกมาว่า “จริงอ้ะ”
“จริง...อย่าเพิ่งงอนซี่”
“แคลร์เคยงอนราชที่ไหน...ที่โทร.มานี่ ก็เพื่อบอกว่า แคลร์จะไปสิงคโปร์สามวันนะ คุยเรื่องงานโฆษณาน่ะ”
“นึกแล้วเชียว...ผู้หญิงมักจะโทรหาผู้ชายก่อน ก็เฉพาะเวลาที่เธอจะบอกเขาว่า ฉันจะไปเที่ยวนะ...ไม่ต้องห่วงฉันนะ” ราชย้อนขำๆ
“แคลร์ไปทำงานจ้า ทำงานจริงๆ...แล้วจะซื้อสิงโตพ่นน้ำมาฝากนะ”
“แค่ลอดช่องก็ปลื้มแล้วครับ...”
“บ้า...ลอดช่องสิงคโปร์ ไม่ได้มีที่สิงคโปร์นะจ๊ะ”
“โอเค. เทคแคร์ครับ...แล้วเจอกัน”
ราชกดปุ่ม เลิกการสนทนา สายตาของเขามองไปยังเป้าหมายด้านหน้า
รถภากรแล่นเข้ามาจอดหน้ามหาวิทยาลัยในเป้าสายตาของราช พอดี
อ่านต่อหน้า 3
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ภากรหันหน้าไปยิ้มร่า พูดกับอมาวสี ก่อนที่เธอจะก้าวลงจากรถ
“เห็นมั้ยว่าพี่มาส่งอ้อได้ถึงที่ ไม่ต้องเดิน...สบายกว่าขึ้นรถไฟฟ้ามาเองตั้งเยอะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ด้วยความยินดี...เย็นๆ พี่จะมารับนะ อ้อเลิกเรียนกี่โมง”
“วันนี้อ้อกลับเองดีกว่า เพราะเวลาเลิกยังไม่แน่นอนค่ะ”
“คิดจะหนีพี่น่ะสิ”
“เปล่าค่ะ...แต่คุณภากรจะได้ทำงานโดยไม่ต้องมากังวลกับอ้อ”
“ไม่มีปัญหา...อ้อรู้ว่าเลิกกี่โมง โทร.บอกพี่นะจ๊ะ”
ภากรขับรถออกไปอย่างมีความสุข
อมาวสีมองตามรถไป สีหน้าของเธออึดอัดไม่มีความสุข
ฟากราช ยังนั่งนิ่งอยู่ในรถ ที่เดิม เขามองภาพอมาวสีกับภากรอย่างครุ่นคิดตริตรอง
ที่บ่อนของจอนเวลานั้น เผือก เหิม อ้อน กำลังซักซ้อมบทบาทของนักพนันกันอยู่ พวกมันล้อมวง เล่นไพ่เก้าเก กลางวงมีแต่เศษเหรียญไม่กี่บาท
“อั๊วว่าก่อนเลยนะ เอาไปสามหมื่น” เหิมวางมาด
“พ่อเลี้ยงอย่างผมสู้ขาดใจครับ สามหมื่นแล้ว เกทับไปอีกแสนสอง...นี่ เป็นไง” เผือกเกทับ
ถึงบทของอ้อน “โอ้โฮ ถ้าผมไม่สู้ก็เสียหน้าคุณหนูบอยลูกเจ้าพ่อจากระนองสิครับ จากแสนสอง เติมไปอีกล้านห้าครับผม มีใครขอดูมั้ย คร้าบ”
สายบัวเดินออกมาจากห้อง ส่ายหน้า เชิงดูถูกพวกมัน
“เฮ้ย บอกตรงๆนะ พวกเอ็งเล่นกันแข็งมาก...ไม่เหมือนเลย ไม่มีวิญญาณเลยอย่างนี้หลอกใครจะมีใครเชื่อมั้ยเนี่ย”
“โง่ๆ อย่างลูกนักการเมืองหลอกไม่ยากหรอกน่า” เผือกโต้
“โง่อย่างนั้นก็ฉลาดกว่าพวกเอ็งหละ...เสียแรงอยู่บ่อนมาทั้งชีวิต เสือกเล่นไม่เหมือน”
สายบัวเดินหนีไปไปรินน้ำเปล่ากิน
“ข้าอุตส่าห์ดูมาจากในหนังแล้วนะเนี่ย” อ้อนบ่น
“หนังเรื่องอะไรวะ” เหิมถาม
“ไททานิค ให้เสียงภาษาไทยโดยพันธมิตร”
เหิมเซ็ง “ถุ๊ย ไททานิค...ชู้รักเรือล่ม เนี่ยนะ”
“อ้าว มันมีฉากเล่นไพ่กันในเรือเว้ย” อ้อนเถียง
ไอ้เผือกเดินไปหาสายบัว “พี่จอนล่ะ”
“นอนอยู่”
เผือกบ่น “โห คนเป็นหัวหน้า ตื่นสายได้...เอาเปรียบลูกน้องนี่หว่า”
จอนเดินหน้ายุ่งหัวกระเซิงออกมาจากห้อง
“ข้าไม่ได้ตื่นสาย ข้านอนใช้ความคิดเว้ย”
“คิดว่าอะไรเหรอลูกพี่”
“คิดว่าวันๆจะเอาอะไรแดกน่ะสิ”
เหิมเดินเข้ามาเสนอความเห็นกับลูกพี่
“เราพาเหยื่อมาเชือดได้แล้วมั้งลูกพี่...นายภากรอะไรนั่นน่ะ ที่กำลังติดสายบัวแหง็กเลยนะ”
“ปัญหาคือเรายังไม่พร้อม...สภาพบ่อนเรายังไม่เนียน ดูดีไม่พ่อ...แล้วพวกเอ็งก็มีแต่เศษตังค์เล่นกันอย่างนี้ มันไม่น่าเชื่อเว้ย”
อ้อนเสนอว่า “เราต้องหาทุนเพิ่ม”
จอนบอก “ใช่”
“จากไหนครับ”
“เอ็งเอานามบัตรไอ้หมอนั่น มาให้ข้าซิ” จอน หมายถึง ราช รัชภูมิ
“พี่จะโทร.ไปขู่มันเหรอ”
“ข้าไม่โทร. ข้าจะไปเอาถึงที่เลย” จอน นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ
หมู่มวลนักศึกษาไม่น้อยเดินอยู่ตามทางเดินมุ่งหน้าออกจากมหาวิทยาลัย สาวงาม เกิร์ลแก๊งทั้งสี่เดินคุยมาปะปนอยู่ในกลุ่มนั้น
วัชรีเอ่ยชวน “วันนี้ไปนั่งท่องหนังสือบ้านเรากันมั้ย”
“ไม่ได้ ฉันต้องรีบกลับบ้าน คุณป้ามาค้างที่บ้าน ท่านไม่ค่อยมีเพื่อนคุย” นิลรัตน์บอก
“เธอล่ะพึงใจ” วัชรีถาม
“แม่ให้รีบกลับ มีหนุ่มจะมาดูตัว”
สามคนร้อง “ถามจริง” พร้อมเพรียง
“จริง เถ้าแก่ร้านทองเชียวนะ”
นิลรัตน์แปลกใจ “อ้าวแล้วคุณการัณย์ล่ะ เห็นโทรคุยกันอยู่ไม่ใช่เหรอ”
พึงใจประดิษฐ์ท่าเหนียมอาย
“คุณการัณย์เป็นลูกชาย...เถ้าแก่ร้านทองนี่พ่อเขา”
เพื่อนๆ พากันกรี๊ด
“ต๊าย...มาสู่ขอกันแล้วเหรอ” นิลรัตน์ถามย้ำ
“ป่าว...เอาทองมาขายแม่ฉัน”
“เธอล่ะอมา ไปบ้านฉันมั้ย...วันนี้พี่วารินว่าง อยู่บ้านด้วยนะ”
“ยายอมาคง ยาก เพราะพี่ชายคุมแจ เดี๋ยวก็มารับแล้วมั้ง” นิลรัตน์ตอบแทน
“เราไม่ได้บอกเวลาเขา...เราว่าจะกลับเอง”
ทั้งสี่เดินมาถึงลานจอดรถหน้ามหาวิทยาลัย
“โอเค. งั้นแยกย้ายกันตรงนี้นะ” วัชรีบอกลา
“แล้วเจอกันนะ เพื่อนๆ”
ทุกคนแยกย้ายไปยังรถของตัวเอง ส่วนอมาวสีเดินตรงไปทางหน้าประตูรั้วมหาวิทยาลัย
อมาวสีเดินข้ามถนนหน้ามหาวิทยาลัย เมื่อเธอข้ามมาถึงอีกฝั่งหนึ่ง รถเก๋งของราชแล่นเข้าไปจอดขนาบข้างเธอ ราชเปิดกระจกด้านข้างโผล่หน้าทักทายอมาวสี
“สวัสดีครับ”
“คุณราช”
อมาวสีมองหน้าราชด้วยความแปลกใจ
“แหม ช่างบังเอิญจริงๆนะครับ ที่ผมได้เจอคุณตรงนี้”
อมาวสีเหน็บ “บังเอิญเกินไปรึเปล่าคะ”
ราชยิ้ม “ผมตั้งใจ”
“ตั้งใจทำอะไรคะ”
“ตั้งใจมารับคุณไปส่งบ้าน”
“ฉันต้องทำตามความตั้งใจของคุณด้วยเหรอ”
อมาวสีเดินหนีจากรถราชไป ราชขับรถตาม ขนานไปกับเธอ
“เอาเป็นว่า ผมขอร้องก็แล้วกัน เพราะผมมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณด้วย”
อมาวสีเดินต่อไป ไม่มีคำตอบ
“เชื่อใจผมเถอะน่า...นี่มันก็กลางวันแสกๆ ผมไม่ขับรถพาคุณเข้ารกเข้าพง เหมือนนายภากรหรอก”
“คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับดิฉันคะ”
“เรื่องบ้านแก้ว”
อมาวสีหยุดเดิน หันมามองหน้าราช พบรอยยิ้มเชื้อเชิญจากหน้าหล่อๆ ของเขา
รถสปอร์ตคันงามของราชวิ่งไปบนถนนหลวง ราชขับรถพร้อมกับพูดโทรศัพท์ไปด้วย ราชใส่หูฟัง เสียงคู่สนทนาในโทรศัพท์จึงไม่ดังออกมาให้เราได้ยิน อมาวสีได้แต่นั่งนิ่งเงียบ
“น้าเทินสั่งคอนเทนเนอร์เพิ่มอีกสองตู้นะ แล้วติดต่อคุณประสงค์ ขอรถเทลเล่อร์เพิ่มอีกสี่คัน เพราะของค่อนข้างชิ้นใหญ่ ขอคนขับสองคนสลับมือกันนะ เชียงราย กรุงเทพฯ แปดร้อยกว่ากิโล ถ้าเผลอหลับใน จะไม่คุ้มกัน...น้าเทินต้องคุมตอนซีลของเองนะ คนอื่นผมไม่ไว้ใจ..ส่วนไอ้ทินก็ให้เฝ้าบ้านแก้วนั่นแหละ ตามนี้นะครับ...อ๋อ คุณชิดชไมไปสิงคโปร์ ไม่งั้นผมก็ต้องไปกินข้าวกับเธอแล้ว สิ...เท่านี้นะ”
ราชกดปุ่มเลิกการสนทนา เขาเหลือบมองดูอมาวสีที่ยังนั่งนิ่งเงียบ
“คุณสบายดีมั้ยครับ”
“ถ้าถามไปงั้นๆ เอง ฉันก็คงไม่จำเป็นต้องตอบหรอกนะคะ...เข้าเรื่องเลยดีกว่า”
ราชชอบใจยิ่งนัก หัวเราะเบาๆ หล่อพอประมาณ
“เอ๊า..ผมถามเพราะอยากรู้จริงๆ ว่าคุณสบายดีมั้ย...นายภากรเขาเล่นงานอะไรคุณหนักหรือเปล่า
อมาวสีส่ายหน้า”
“งั้นก็ดีแล้ว...ค่อยสบายใจหน่อย”
“พูดเรื่องบ้านแก้วเลยเถอะค่ะ ที่คุณว่าสำคัญน่ะคืออะไร”
“เดี๋ยวแป๊บนึงได้มั้ยครับ...ขอคุยไปพร้อมกับดื่มกาแฟไปด้วยได้มั้ยล่ะ”
รถของราชเลี้ยวเข้าที่จอดรถร้านเบเกอรี่ ตกแต่งสไตล์เก๋ไก๋ น่ารัก แห่งนั้น
มันเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว ขณะที่พนักงานเสิร์ฟเธอนำกาแฟและน้ำผลไม้ปั่นมาวางเบื้องหน้าราชและอมาวสี
“ดื่มน้ำก่อนซิครับ”
อมาวสีเริ่มแสดงท่าทีให้เห็นว่าเธออึดอัด
“ดิฉันว่า คุณรีบจบพิธีรีตองของคุณซะทีเถอะค่ะ ฉันอยากรู้เรื่องบ้านแก้วที่คุณว่าแล้ว”
“ใจร้อนจริงๆ นะคุณ”
“ฉันไม่ได้ใจร้อน แต่ฉันรู้สึกว่าคุณจงใจแกล้งฉันมากกว่า...ฉันไม่มีเวลามากนักนะคะ ต้องรีบกลับบ้าน ท่องหนังสือเตรียมสอบ”
ราชยังคงดื่มกาแฟอย่างละเมียดละไม ใจเย็นสุดๆ
“ไม่ใช่รีบกลับไปรายงานตัวกับใครที่บ้านเหรอครับ”
อมาวสีโกรธมากขึ้น
“คุณราชคะ กรุณาพูดเรื่องสำคัญของคุณเดี๋ยวนี้เถอะค่ะ”
“มีคนมาขอซื้อบ้านแก้วจากผม…”
อมาวสีนิ่ง เงียบกริบ
“ทำไมเงียบไปล่ะครับ”
“ดิฉันยังนึกไม่ออก ว่าควรจะรู้สึกยังไงกับเรื่องที่คุณราชบอก”
“คืองี้ ผมเห็นว่าคุณผูกพันกับบ้านหลังนี้มาก ถูกต้องมั้ยครับ...อาจจะไม่มากเท่าพี่ภาคย์อะไรของคุณก็ตามทีเถอะ...แต่มันทำให้ผมคิดว่า อะไรที่เกี่ยวกับบ้านแก้ว...ผมก็ควรมาบอกให้คุณรู้ไว้ ประสาคน...เอ่อ...คนรู้จักกัน”
อมาวสีเริ่มสนใจ อยากรู้จริงๆ “คนซื้อเป็นใครเหรอคะ”
“ไม่รู้สิครับ ติดต่อผมมาทางโทรศัพท์ บอกว่ายอมสู้ราคาไม่อั้น จะขายเท่าไหร่ก็ซื้อทั้งนั้น...เอ หรือว่าจะเป็นพี่ภาคย์ของคุณที่พยายามจะซื้อบ้านหลังนี้คืน”
“เป็นไปได้เหรอ”
ราชยักไหล่ แสดงให้รู้ว่าไม่มีความเห็นเรื่องนี้
“ทีนี้ผมก็มานั่งคิดดู...ถ้าหากว่ามันได้กำไรดี ผมอาจจะต้องขาย ซึ่งถ้าผมขายก็หมายความว่าข้าวของทั้งหมดในบ้านแก้วก็จะเป็นของผู้ซื้อรายใหม่ เรื่องรูปวาดหรืออะไรก็ตามที่ผมสัญญากับคุณไว้ ก็อาจจะไม่ได้เป็นไปตามนั้นนะครับ”
อมาวสีนิ่งอึ้งไปอีกนิดหนึ่ง “แล้วคุณราชตกลงใจยังไงคะ”
“ยังครับ ผมยังไม่ได้ตกลงใจ...ผมคิดว่า ผมจะให้คุณเป็นคนตัดสินใจเรื่องนี้...”
อมาวสีมีสีหน้าแปลกใจ “ฉันมีสิทธิ์เหรอคะ”
ราชยิ้มซะหวาน “ถือเป็น compliment จากผม”
“ฉันไม่ขอรับสิทธิ์นี้ค่ะ...มันไม่ถูกต้อง”
ราชวางท่าครุ่นคิด
“อ้ะ...งั้นคุณลองช่วยผมคิดนะ ทางเลือกที่หนึ่ง...ขาย แล้วก็รอดูหน้าคนซื้อว่าเขาจะใช่พี่ภาคย์ของคุณมั้ย ถ้าไม่ใช่ คุณก็ใช้เสน่ห์ของคุณหว่านล้อมให้เขาหลงใหลคุณ และยอมเก็บบ้านแก้วไว้ในสภาพเดิมเพื่อรอพี่ภาคย์ของคุณกลับมาซื้อคืน...หรือทางเลือกที่สอง คือ...ไม่ขายเด็ดขาด”
อมาวสีตอบโดยเร็ว “ไม่ขายเด็ดขาดค่ะ”
ราชยิ้ม “แสดงว่าคุณเชื่อใจผมมากว่าผู้ซื้อรายใหม่”
“ฉันไม่รู้”
“งั้นผมขอข้อแลกเปลี่ยน...ผมจะไม่ขายบ้านหลังนี้ก็ได้ แต่วันนึงคุณต้องมีอะไรตอบแทนผมบ้าง”
อมาวสีฉงน “อะไร...ตอบแทนยังไง”
“ยังไม่ใช่วันนี้ เพราะฉะนั้นผมยังไม่บอก...แต่รับรองว่า ไม่เกินวิสัยที่คุณจะทำให้ผมได้หรอกครับ”
อมาวสีรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องจำยอม
รถราชแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้ม สองคนอยู่ในรถ...ราชหันไปพูดกับอมาวสี
“คุณเดินเข้าบ้านเองได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร...ผมจำได้”
“ค่ะ”
“แต่ต้องก้าวยาวๆ หน่อยนะ...ฝนกำลังจะตก...คุณกลัวเสียงฟ้าร้องด้วยนี่”
อมาวสีสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเสียงฟ้าร้อง
“คุณรู้ได้ยังไง”
“ครั้งแรกที่เราเจอกันบนหลังม้าไง คุณตกใจจนคุมม้าไม่อยู่ ลืมแล้วเหรอ”
อมาวสีนึกได้ “ค่ะ”
“รู้อะไรมั้ย...ลุงผมอยากเจอคุณมากเลยนะ ลุงอยู่ภูเก็ต...คุณพอจะไปภูเก็ตกับผมได้มั้ย”
“คุณชวนเด็กผู้หญิงที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่วันไปภูเก็ตอย่างนี้ ทุกคนเหรอคะ”
“เฉพาะคนที่คุณลุงผมสนใจ เท่านั้น”
ราชยิ้มหล่อลากไส้ เช่นเคย อมาวสีขยับเดินออก
ขณะที่อมาวสีเดินก้าวท้าวยาวๆ เข้าบ้านมา เสียงภากรดังขึ้น
“อ้อ”
ภากรยืนรออมาวสีอยู่ตรงลานหน้าบ้านนั่นเอง หน้าตาของภากร ดูไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก
“คะ”
“กลับมากับใครน่ะ”
“กลับเองค่ะ”
“ทำไมไม่รอพี่...ทำไมไม่โทรบอกพี่ว่าเลิกเรียนกี่โมง พี่บอกแล้วไงว่าจะไปรับ”
“คุณภากรคะ อ้อบอกแล้วว่าอ้อกลับเองได้...จะให้อ้อคอยโทรบอก คอยโทร.รายงานตลอดเวลาอย่างนั้น อ้อทำไม่ได้หรอกค่ะ...เหมือนอ้อเป็นนักโทษยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีอิสระที่จะทำอะไรได้เลย อ้ออึดอัดค่ะ”
อมาวสีขยับตัวจะเดินเข้าบ้าน แต่ภากรเอื้อมมือฉุดข้อมือเธอไว้
“อ้อคุยกับพี่ก่อน”
“คุยในบ้านก็ได้นี่คะ”
“ไม่ คุยกันให้รู้เรื่องตรงนี้หละ”
“ฝนจะตกแล้วนะคะ”
“แค่จะ...ยังไม่ตกซักหน่อย จนกว่าอ้อจะบอกพี่ว่าใครมาส่ง...พี่เห็นนะ อ้อ ไม่ได้นั่งแท๊กซี่หรือมอเตอร์ไซค์เข้ามา...ไอ้ราชใช่มั้ย ไอ้ราช รัชภูมิ ไอ้เศรษฐีบ้านนอกหน้าโง่นั่นใช่มั้ย...พี่จำรถมันได้”
“คุณภากรจำได้แล้วจะมาถามอ้อทำไม”
อมาวสีสะบัดมือหลุดจากการเกาะกุมของภากร
“พี่อยากรู้ว่าอ้อจะโกหกพี่มั้ยน่ะสิ...แล้วอ้อก็โกหกพี่จริงๆ”
“อ้อไม่จำเป็นต้องบอกคุณภากรทุกเรื่องนี่คะ”
“แต่เรื่องนี้ต้องบอก อ้อจะไปไหนมาไหนกับไอ้คนที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าอย่างนั้นไม่ได้”
“คุณราชเขาเป็นคนดีนะคะ”
ภากรฉุนมากขึ้นอีก “ยังจะออกรับแทนมันอีก”
“ก็จริงนี่คะ อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยล่วงเกินอะไรอ้อเหมือน...”
อมาวสีหยุดคำพูดตัวเองแค่นั้น แต่สายตาของเธอยังจับจ้องที่หน้าภากร
ภากรต่อซะเองว่า “เหมือนพี่...”
อมาวสีไม่ตอบ
“พี่ขอโทษอ้อไปแล้วนะ เรื่องนั้นน่ะ...แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญกว่า และจากนี้ไป อ้อจะไปไหนมาไหน ต้องบอกพี่ทุกเรื่อง”
“คุณภากรเอาสิทธิ์อะไรมาบังคับอ้อ”
“สิทธิ์ที่ฉันเป็นพี่ชายเธอน่ะสิ และไม่ใช่แค่นั้นนะ...ที่สำคัญยิ่งไปกว่ากว่านั้นก็คือ...เธอคือคนที่จะต้องแต่งงานกับฉัน”
ภากรเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ จริงจังกว่าทุกครั้ง จนอมาวสีตกใจ
“คุณภากร”
“ทีนี้รู้แล้วสินะว่าทำไมฉันถึงต้องห้ามเธอคบค้าสมาคมกับใครทั้งนั้น โดยเฉพาะไอ้ราช”
อมาวสีโกรธ “คุณภากร”
“เรื่องนี้ คุณพ่อรับรู้และตกลงใจแล้วด้วย”
“อ้อเคยบอกแล้วว่า อ้อไม่ได้รักคุณภากรแบบนั้น”
“อ้อจะเป็นของใครไม่ได้นอกจากฉัน ไม่ว่าอ้อจะรักฉันหรือไม่ก็ตาม...เธอคือว่าที่เจ้าสาวของฉัน จำไว้”
ฝนเทกระหน่ำลงมาทันที ภากรรีบเดินเข้าบ้านไป
ทิ้งให้อมาวสียืนตากฝนอยู่ตรงนั้น...เนิ่นนาน
รถราชยังจอดอยู่ที่เดิม ราชนั่งมองภาพนี้ สีหน้านิ่ง แววตาลึกล้ำ ไม่อาจรู้ได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
นมพริ้งถือร่มเดินก้าวยาวๆ เข้าไปหาอมาวสี
“คุณอ้อคะ ยืนตากฝนทำไม เข้าบ้านเถอะค่ะ”
นมพริ้งจูงอมาวสีเดินเข้ายังตัวบ้าน
สองคนนั่งหลบฝนคุยกันอยู่ตรงระเบียงเรือนนมพริ้ง โดยนมพริ้งช่วยเช็ดผมให้อมาวสี
เธอนั่งหน้าตาซึม นิ่ง
“คุณอ้อทะเลาะอะไรกับคุณภากรเหรอคะ”
“เปล่าจ้ะ...ไม่ได้ทะเลาะ”
“คุณอ้อพูดอะไรให้แกโกรธหรือเปล่า”
อมาวสีส่ายหน้า
“แต่ทำไมคุณภากรตะโกนเสียงดังลั่นอย่างนั้นล่ะคะ ป้าเดินสวนกับแกตรงบันได เห็นหน้าตาแกขึงขัน เหมือนมีเรื่องกับใครมา...หรือว่าคุณภากรพูดอะไรให้คุณอ้อโกรธรึเปล่า คุณอ้อถึงได้ยืนตากฝนอยู่อย่างนั้น”
อมาวสีตัดสินใจเล่าให้นมพริ้งฟัง
“เขาโกรธที่อ้อกลับบ้านมาเอง...แต่อ้อตกใจที่เขาบอกว่า อ้อต้องแต่งงานกับเขา”
นมพริ้งตกใจ “ตายจริง...แกพูดเรื่อยเปื่อยไปเองหรือเปล่าคะ ป้าไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อนเลย”
“คุณภากรคงไม่ได้พูดเรื่อยเปื่อยหรอกค่ะ เพราะว่า...”
“เพราะอะไรคะ”
“เพราะเขาเคย...”
“เคยอะไรคะ....”
อมาวสีนึกถึงเรื่องที่ภากรล่วงเกินเธอในรถข้างทางคืนนั้น แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ ไม่พูดเรื่องนี้
“เขาบอกว่า อ้อต้องเป็นของเขา ไม่ว่าอ้อจะรักเขาหรือไม่ก็ตาม”
“เฮ้อ...อย่างนี้อีกแล้วเหรอ...”
นมพริ้งหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตอีกครา
ที่บ้านพิชิตพงษ์ เมื่อสิบสองปีที่แล้ว ในห้อง ห้องหนึ่งที่เปิดประตู้แง้มไว้ ภากรและชาลินีอยู่ในห้องนั้น ทั้งสองกำลังทะเลาะกัน เสียงดัง
“ผมจะไปไหนมาไหน จะกลับหรือไม่กลับ มันก็เป็นสิทธิ์ของผม คุณจะมาห้ามผมได้ยังไง”
“แต่ฉันเป็นภรรยาของคุณนะคะ”
“โธ่...จะบอกให้นะ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนที่ไอ้ภาคย์รัก ฉันไม่มีวันจะแต่งงานกับเธอหรอก”
“คุณภากร คุณพูดอะไรออกมา”
“พูดความจริงน่ะสิ...แต่จะมาโทษฉันคนเดียวก็ไม่ได้ ต้องโทษแม่เธอด้วย เพราะแม่เธอก็อยากได้ฉันเป็นลูกเขยมากกว่าไอ้ลูกนอกคอกอย่างไอ้ภาคย์”
ชาลินีโกรธ “คุณภากร...”
“เธอมันโง่เอง ฉันแค่ต้องการแย่งทุกอย่างของไอ้ภาคย์มาเท่านั้น แต่บังเอิญเธอก็เป็นคนหน้าตาสวยงามดี ฉันก็เลยไม่ลำบากใจที่จะแย่งเธอมา...แต่ป่านนี้ไอ้ภาคย์มันคงช้ำใจตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่ฉันจะได้ไปสนุก สุขสำราญ ตามใจฉันเองบ้าง”
ชาลินีร้องไห้หนักยิ่งขึ้น เธอตะโกนคร่ำครวญเสียงดังลั่น พร้อมกับยกมือทุบไปบนร่างของภากรด้วยเรี่ยวแรงเท่าที่เธอมี
“ทำไมคุณทำอย่างนี้...ทำไม...”
“เธออยากจะร้องไห้คร่ำครวญถึงไอ้ภาคย์ก็ช่าง ฉันไม่สน...จะร้องไห้จนช้ำใจตาย ฉันก็ไม่แคร์...ตายไปพร้อมๆกันกับไอ้ภาคย์เลยก็ดี”
ภากรเหวี่ยงชาลินีออกไป แล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ภากรหุนหันออกมานอกห้อง โดยไม่เห็นว่านมพริ้งยืนฟังอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลจากหน้าห้องนัก
สีหน้านมพริ้งไม่สู้ดี ด้วยสงสารชาลินีสุดกำลัง
นมพริ้ง สะเทือนใจกับเหตุการณ์ในอดีตที่เพิ่งนึกถึง อมาวสี ยังคงนั่งน้ำตาไหลอยู่ใกล้ๆ นมพริ้ง
“ถึงตอนนั้นคุณภากรก็คงจะบอกคุณลุง แล้วคุณลุงก็ต้องบังคับอ้อ...ป้าว่าอ้อควรจะทำยังไงคะ”
“ถ้าตัดเรื่องที่คุณภากรเธอชอบแกล้งคุณอ้อออกไป คุณอ้อคิดว่าจะรักคุณภากรได้มั้ยล่ะคะ”
“อ้อเคารพคุณภากรอย่างพี่ชาย เท่านั้น”
“คุณอ้อมีใครที่รักอยู่แล้วหรือเปล่า...บอกป้าได้นะ”
“อ้อยังไม่เคยคิดเรื่องนี้ค่ะ อ้อยังเด็กอยู่นะป้า”
“ถ้าอย่างนั้นคุณอ้อ ก็ต้องพูดแบบนี้กับคุณลุงตรงๆ”
“คุณลุงก็คงบอกว่าอยู่ๆ ไปก็รักเองนั่นแหละ”
“นั่นน่ะสิ”
“ป้าจ๋า ถึงเวลานั้น ป้าต้องช่วยอ้อคิดนะจ๊ะป้า”
“ค่ะ...ป้าจะพยายามอย่างที่สุด แต่ก็ไม่รู้ว่าผลจะเป็นยังไงนะคะ”
อมาวสีดูจะหมดกำลังใจ เธอคิดถึงพี่ภาคย์ขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้าพี่ภาคย์ยังอยู่ พี่ภาคย์คงช่วยอ้อได้แน่ๆ”
“ถ้าเปลี่ยนจากคุณภากรเป็นคุณภาคย์ คุณอ้อจะรู้สึกต่างกันมั้ยคะ”
อมาวสีได้แต่คิดตาม ไม่เอ่ยปากตอบ
ที่ห้องเก็บของเล็กๆ ในบ้าน ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดา คุณหญิงรื้อค้นตามกล่องเก็บของ และซอกมุมต่างๆ ที่ลังเก่าใบหนึ่งในนั้นบรรจุหนังสือเรียน และสมุดการบ้านของเด็กเมื่อสามสิบปีที่แล้ว คุณหญิงทิพย์สุดาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา มีรูปถ่ายเก่าหนึ่งใบแทรกอยู่ในหนังสือเล่มนั้น
คุณหญิงหยิบรูปนั้นขึ้นมาดู สีหน้ามีแววดีใจ แม้ด้านข้างของรูปจะมีร่องรอยถูกฉีกขาด ความทรงจำเก่าๆ ผุดซ้อนขึ้นมาในจังหวะนี้
เมื่อสามสิบสองปีที่แล้ว เด็กหญิงทิพย์สุดายืนเกาะชายเสื้อของชายร่างสูงใหญ่ผู้เป็นอา ในมือของเด็กหญิงมีหนังสือเรียนหรือสมุดการบ้านถืออยู่ มันเป็นเล่มเดียวกับที่เห็นในห้องเก็บของก่อนหน้านี้
ส่วนชายผู้เป็นอานั้น ยืนหันหลัง จังยังไม่เห็นใบหน้าของเขา
“ท่านอาจะไปจริงๆเหรอคะ...ท่านอา...”
“อาอยู่ไม่ได้หรอกหลานทิพย์...อาต้องไป”
“อาจะไปไหน”
“อาจะไปให้ไกลจากทุกคนที่อารู้จัก”
“ไม่นะ อาอย่าไป...ไม่ไปนะคะ...ทิพย์ไม่ให้ท่านอาไป ทิพย์คิดถึงอา”
ชายผู้เป็นอาหยิบรูปถ่ายหนึ่งใบออกมาจากกระเป๋า เขาฉีกด้านข้างของรูปออกไปเสี้ยวหนึ่ง แล้วยื่นรูปนั้นให้เด็กหญิง
“ถ้าคิดถึงอา ก็เก็บรูปอาไว้...”
คุณหญิงทิพย์สุดาเดินไปที่โทรศัพท์ วางรูปใบนั้นลงบนโต๊ะ แล้วยกโทรศัพท์พูด
“นายนพเหรอ...พี่เจอรูปท่านอาแล้วนะ เหมือนมาก เหมือนมากๆ แล้ววันหลังพี่จะเอาไปให้ดูจ้ะ”
รูปถ่ายใบนั้นบนโต๊ะ มันคือรูปถ่ายท่านชายคฑาเทพ ในเสื้อผ้าชุดเดียวกับชายคนที่วิ่งเล่นหยอกล้อกับคุณหญิงอำภาในวัยสาวที่บ้านแก้วนั่นเอง
ขอบของรูปมีรอยถูกฉีกออก มีมือผู้หญิงเอื้อมออกมาจากขอบด้านนั้นโอบไหล่คฑาเทพไว้ ข้างๆ กันบนโต๊ะเป็นรูป ราช รัชภูมิ ที่ได้มาจากนิลรัตน์ ผู้เป็นหลาน
พินิจพิเคราะห์แล้วพบว่า ใบหน้าบุรุษ ทั้งสองคน มีส่วนที่เหมือนกันมากอย่างเหลิอเชื่อ
อ่านต่อหน้า 4
หัวใจเถื่อน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ความหลังเมื่อ 32 ปีที่แล้ว ผุดซ้อนขึ้นตามมาอีกระลอก ม.ร.ว.หญิงทิพย์สุดาอยู่ในวัยเพียง 13 ปี โดยตอนนั้นชายผู้เป็นอาเดินออกมา พลันเขาหันกลับมาหาเด็กหญิงทิพย์สุดาที่อยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าชัดๆ ว่าช่างละม้ายคล้ายเหมือน ราช รัชภูมิ เป็นที่สุด
บุรุษท่านนี้คือ ท่านชายคฑาเทพ
“เก็บรูปอาไว้ให้ดีนะ เพราะ นอกจากรูปใบนี้แล้วจะไม่มีใครได้เห็นหน้านายคฑาเทพคนนี้อีกเลย”
เด็กหญิงกำรูปแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้น
“และอาขอฝากหลานไว้เรื่องหนึ่ง เมื่อหลานโตขึ้น...ตามหาเด็กชายคนนึงที่หน้าตาเหมือนอา มอบทุกสิ่งทุกอย่างของอาให้เขา เพราะเขาคือสายเลือดของอา...สายเลือดของ ทวยไท”
รถราชวิ่งไปบนถนนครึ้มฟ้าครึ้มฝน เขาขับรถด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หวนคิดถึงเรื่องที่คุยกับวารินในตอนกลางวัน เหตุผลแห่งความเครียดนี้
เวลานั้นราชเดินพูดโทรศัพท์อยู่ในบ้านพักของเขา
“วันนี้ว่างมั้ยเพื่อน ว่าจะแวะไปหา...ไปอัพเดท นิยายรักของเพื่อนหน่อย”
วาริน เดินพูดโทรศัพท์ไปพร้อมกับก้าวยาวๆ ตรงไปที่รถของตัวเองอย่างเร่งรีบ
“เรากำลังจะไปโรงพยาบาลว่ะ...ไปเยี่ยมน้องอ้อ”
ราชพูดโทรศัพท์สีหน้าไม่ค่อยดีนัก “น้องเขาเป็นอะไรไป”
“ยังไม่รู้เลย แต่ว่าไข้ขึ้นสูงมาก...วัชรีเขาแวะไปรับจะไปขี่ม้ากันถึงได้รู้ ก็เลยรีบพาไปโรงพยาบาล...ไปเยี่ยมด้วยกันมั้ยล่ะ..เจอกันที่นั่นเลยนะ”
“ได้ โอเค เดี๋ยวเจอกัน”
ราชขับรถสีหน้ายังคงเคร่งเครียดอยู่ เขากดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง
“ฮัลโหล วาริน...อ้อ คุณวัชรีเหรอครับ”
วัชรีพูดโทรศัพท์มือถือของพี่วาริน สาววัยกำดัดอยู่ในห้องตรวจกับอมาวสีแล้ว
“พี่วารินอยู่กับอมาค่ะ คุยกับหมออยู่”
ราชนั่งจับพวงมาลัยรถ มองไปนอกหน้านิ่งๆ รถกำลังจอดอยู่กับที่
“อ๋อครับ...เป็นอะไรมากมั้ยครับ”
39/3
วัชรีออกมาพูดโทรศัพท์หน้าห้องตรวจ ด้านหลังเห็นวารินยืนคุยกับหมออยู่
“ไข้ขึ้นสูงค่ะ หมอกำลังรอผลตรวจเลือดอยู่...เห็นพี่วารินบอกว่าคุณราชกำลังมาที่โรงพยาบาล ตอนนี้อยู่ตรงไหนแล้วคะ”
“เอ้อ...รถติดมาก เอาเป็นว่าผมฝากเยี่ยมด้วยแล้วกัน...เอาไว้วันหลังมีโอกาส ผมค่อยแวะไปเยี่ยมอีกทีครับ”
รถของราชจอดอยู่ที่ลานจอดรถโรงพยาบาลนั้นเอง ขณะกดเลิกสายการสนทนา ไม่นานนักเสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาอีกครั้ง ราชกดสปีคเกอร์โฟนรับ มีเสียงชิดชไมดังเข้ามา
“ฮัลโหล ดาร์หลิง กำลังเหงาอยู่รึเปล่าจ๊ะ”
“คุณเดาเก่งจังเลยนะแคลร์”
“ถ้ากำลังคิดถึงแคลร์ละก้อ ค่ำนี้แคลร์กลับแล้ว ไฟล้ท์....ลงที่สุวรรณภูมิ ราชมารับแคลร์ได้มั้ยคะ”
“แน่นอน ไม่มีปัญหา เจอกันนะ...มิส ยู ครับ”
ราชกดวางสาย คล้ายจะงุนงงสับสนกับอารมณ์ของตัวเอง
นิลรัตน์และพึงใจเดินฉับๆ เข้ามาตามทาง ตรงไปหาวัชรีที่นั่งอยู่บริเวณโถงใกล้ห้องตรวจ
“ยายอมาเป็นไงบ้าง” นิลรัตน์ถามทันที
“เมื่อกี้หมอเจาะเลือดไปตรวจไข้เลือดออกกับหัดเยอรมันด้วยหละแก เสี๊ยวเสียว”
“เขาเจาะยายอมา เธอไปเสียวแทนทำไม” พึงใจว่า
“เพื่อนกันเสียวแทนกันได้ย่ะ นี่ฉันยังตื่นเต้นแทนเลย ว่าจะเป็นไข้เลือดออกหรือหัดเยอรมัน”
“ถ้าหัดเยอรมันละแย่เลย” พึงใจหน้าเสีย
นิลรัตน์ยังมีอารมณ์ขัน “หัดยาก...”
“หัดฝรั่งเศสพอไหว ฉันเอ สตาร์ฝรั่งเศสทุกตัว” พึงใจบอก
วารินเข็นรถเข็นอมาวสีออกมาจากห้องตรวจ หน้าตาเธอดูอิดโรยเห็นชัดแจ้ง เพื่อนๆ รีบวิ่งเข้าไปหาทันที
นิลรัตน์ถามทันที “เป็นไงบ้างคะพี่วาริน”
“ไม่มีอะไรน่าห่วง เดี๋ยวรอรับยา แล้วก็กลับบ้านนอนพักสองวันก็หาย”
อมาวสีบอก “ไข้หวัดธรรมดาน่ะ”
“ค่อยยังชั่ว” วัชรีโล่งอก
“หิวมั้ย” พึงใจถาม
อมาวสีพยักหน้า
“เดี๋ยวพี่ไปหาซื้อของกินให้นะ” วารินบอก
“พี่วาริน ไม่ต้อง” วัชรีหันมาทางสองสาว “เธอสองคนไปซื้ออาหาร ฉันจะไปรอรับยา ส่วนพี่วาริน นั่งคุยกับอมาตรงนี้แหละ”
เพื่อนๆรีบออกไป ตามคำสั่งของวัชรี เหลือเพียงวารินนั่งอยู่ข้างๆ อมาวสี วารินยิ้มให้อมาวสี
“ไอ้เจ้า นายราช ว่าจะแวะมาเยี่ยมน้องอ้อด้วย...ป่านนี้ ทำไมยังไม่ถึงซักที”
“ช่างเถอะค่ะ” อมาวสีวางหน้าเฉยๆ ท่าทีเนือยๆ
รถของราชแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพักของเขาในกรุงเทพฯ ราชลงจากรถเดินตรงเข้าไปในบ้าน เมื่อถึงประตูบ้าน พบว่าประตูเปิดอ้าไว้อยู่แล้ว ราชเข้าไปในโถงบ้าน ก็เห็นแขกไม่ได้เชิญ นาม ไอ้จอน นอนเอกเขนกอยู่กลางห้อง
“มาแล้วเหรอพ่อเจ้าประคุณ หายหัวไปไหนมา ปล่อยให้พี่รออยู่ตั้งกว่าสามชั่วโมง เบียร์ในตู้เย็นแกก็หมดแล้ว มีแต่ไวน์ที่ฉันก็เปิดไม่เป็น”
จอนยกขวดไวน์ชูให้ดูความริยำของมัน คอขวดนั้นถูกตีให้แตก จอนรินไวน์ในขวดนั้นใส่ชามแก้ว แล้วจึงยกขึ้นดื่ม
“เฮ้ย นี่บ้านฉันนะ ไม่ใช่ที่ซ่องสุมของแก รู้จักเกรงใจกันบ้าง” ราชโมโห
“แล้วนี่ไม่เกรงใจตรงไหน ฉันทำอะไรฉันก็บอกแกหมด”
จอนยอกย้อน ก่อนจะเทไวน์ลงบนพื้น แล้วใช้เท้าเขี่ยพรมใกล้ตัวมาเช็ด
“ทำน้ำหก ฉันก็เช็ดให้ เห็นมั้ย...เนี่ยเหรอ ไม่เกรงใจ”
“ฉันหมายถึงเรื่องที่แกงัดบ้านฉันเข้ามา”
“อ๋อ อันนี้มันสัญชาติญาณ...มันเป็นงานถนัด...ช่วยไม่ได้นี่หว่า แกไม่อยู่ฉันก็ต้องงัดสิ...ไม่ยาก...ทำไม จะเรียกตำรวจมาจับฉันเหรอ”
“แกต้องการอะไร”
“ตังค์ฉันหมด”
“อะไร...ก่อนแกออกมาจากภูเก็ต ลุงรักษ์ก็ให้แกไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่...ให้สองหมื่นบาท กับแผลเป็นนี่ไง...โธ่ มันจะพอใช้ได้ยังไง”
“ไม่มีเงินก็หางานทำสิ”
“ก็กำลังจะทำงานอยู่นี่ แต่มันต้องมีเงินลงทุนเว้ย”
“เท่าไหร่”
“สองแสน”
“ไม่มี”
จอนกระชากคอเสื้อราชขึ้นมา
“คนอย่างแกไม่มีเงินสองแสนก็เกินไปแล้ว ซื้อบ้านไม่รู้กี่สิบล้านยังซื้อได้”
“นั่นมันเงินลงทุนของคุณลุง...บ้านหลังนั้นจะเป็นของคุณลุงรักษ์”
“ถุ๊ย...ใครจะเชื่อ เด็กอมมือยังรู้ได้เลยกว่าแกหลอกเอาเงินของลุงฉัน...อยากรู้จริงๆว่าแกมันเป็นไข่ที่ลุงไปปล่อยเชื้อทิ้งไว้หรือไงวะ...อยากได้อะไรเป็นต้องได้ไปหมดทุกอย่าง”
ราชกระชากมือจอนออกมากำไว้
“แกพูดมากเกินไปแล้วนะ”
“หรือไม่จริง แกยักยอกเงินลุงฉันไปเท่าไหร่แล้วบอกมาซิ ไอ้เด็กจรจัด ไอ้เด็กไม่มีหัวนอนปลายเท้า แกคิดจะชุบมือเปิบ เอาสมบัติของลุงฉันไปครอบครองทั้งหมดเลยใช่มั้ย”
“พูดอีกคำ ฉันชกหน้าแกแน่”
“เอาดี้ ไอ้ลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ แน่จริงมึงชกเลย”
ราชเงื้อหมัดชกจอนจนล้มกลิ้งหน้าคะมำ จอนพยายามชกตอบ แต่ไม่อาจทำอะไร ราชได้
ราชเป็นฝ่าย ไล่ยำไอ้จอนข้างเดียว
“ใช่...ฉันคือลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่ฉันรักดีเว้ย...ฉันไม่เคยทำเรื่องเหลวไหลให้เสื่อมเสียถึงลุง เหมือนอย่างแก”
ราชกระชากคอจอนขึ้นมา เขาพ่นคำพูดใส่หน้ามัน
“ลุงรักษ์คือผู้ที่สร้าง ราช รัชภูมิขึ้นมา ชีวิตของฉันทั้งชีวิตจึงเป็นของท่าน ไม่มีวันที่ฉันจะทรยศท่าน จำไว้”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก...ไอ้ลูกพ่อแม่ทิ้ง...พ่อแม่แท้ๆ ทิ้งมึง มึงยังไม่แคร์เลย...มึงจะมาจงรักภักดีกับลุงกูได้ยังไง”
ราชนิ่งไปนิดหนึ่ง
“ถ้าแกไม่ใช่หลานเมียลุง...แกตายไปนานแล้ว”
ราชเหวี่ยงร่างของจอนออกไปไกลตัว
“ถ้าต้องการเงินจริงๆ ก็รีบไปหาที่อื่นซะดีกว่า”
“ฉันจะหาที่นี่ แกจะให้ฉันดีๆ หรือต้องให้ฉันอาละวาดพังข้าวของก่อน”
“ถ้าทำอะไรในนี้เสียหายแม้แต่ชิ้นเดียว ฉันไม่ไว้หน้าแกแน่”
“ที่แล้วมาแกเคยไว้หน้าฉันเหรอ”
จอนทุ่มข้าวของใกล้ตัวจนพังพินาศ ราชพุ่งเข้าไปชกจอนอีกหลายหมัด แล้วจับโยนออกมานอกบ้าน ไอ้จอนนอนหมอบอยู่ตรงนั้น ราชโยนเช็คเงินสดลงไปบนหน้าจอน
“เช็คเงินสดหนึ่งแสนบาท ฉันมีให้แกเท่านี้ เป็นเงินส่วนตัวของฉันไม่เกี่ยวกับลุง รีบไปขึ้นเงินซะ แล้วอย่าโผล่หน้ามาที่นี่อีก”
“ทำไม”
“ถ้าฉันเห็นหน้าแกอีกเมื่อไหร่ แกตายแน่ ลูกไม่มีพ่ออย่างฉัน ติดคุกได้ ไม่มีอะไรให้ห่วงอยู่แล้ว...หรือจะลอง”
จอนเงียบ ไม่ลองดีกว่า มันก้มลงเก็บเช็คแล้วเดินโซเซออกไปจากบ้าน
ด้านท่านกวีเดินเข้ามากลางโถงบ้าน คุณหญิงอำภากำลังให้การต้อนรับคุณนายชื่นอยู่
“โชคดีของดิฉันจริงๆ ได้เจอกันพร้อมหน้าทั้งคุณหญิงทั้งท่านกวีเลย ไม่ทราบว่ารบกวนท่านรึเปล่าคะ”
“โอ๊ย ไม่รบกวนหรอกครับ ยินดีเลย วันนี้ว่างพอดี ทั้งผมทั้งคุณหญิง”
“ทีหลังโทร.มานัดล่วงหน้าก็ดีนะคะ จะได้เตรียมอะไรไว้รับรองให้เต็มที่” คุณหญิงบอก
“อย่าเลยค่ะ ลำบากคุณหญิงเปล่าๆ พอดีดิฉันไปที่สวน ขนุนกำลังออกลูกดกเชียว ดิฉันนึกถึงท่านกับคุณหญิง ก็เลยเลือกเอาผลงามๆ มาฝากค่ะ”
“เชิญนั่งทางนี้ดีกว่า ทานของว่างกันก่อน นานๆได้คุยกันซะที เผื่อจะขอคุณนายเป็นหัวคะแนนให้ผมหน่อย...เขตคลองสาน ต้องพึ่งคุณนายชื่นละครับ”
“ได้เลยค่ะ...”
ท่านกวีหันไปสั่งจันที่ยืนอยู่แถวนั้น
“ไปเรียกนายภากรมาหน่อยซิ บอกว่าแม่ยายมาเยี่ยม”
รถตู้บ้านวัชรีแล่นเข้ามาจอดหน้าบ้านพิชิตพงษ์ ภายในรถ อมาวสีกับวัชรีนั่งอยู่ในนั้น
“ฉันไม่ต้องลงนะอมา เดี๋ยวเจอพี่ชายเธอ ขี้เกียจคุย” วัชรีว่า
“ฝากขอบคุณพี่วารินด้วยนะ”
“ได้ไง...ต้องขอบคุณเองสิ อ้ะ”
วัชรีส่งโทรศัพท์มือถือให้ อมาวสีรับมาพูด
“ถึงบ้านแล้วค่ะ...ขอบคุณพี่วารินอีกครั้งนะคะ...ค่ะ...สวัสดีค่ะ”
อมาวสีส่งโทรศัพท์คืนให้วัชรี
“ทีนี้พี่ชายฉันก็นอนหลับสบายแล้วละ”
อมาวสีค่อน “เธอน่ะชอบแกล้งให้พี่เขาลำบาก”
“ลำบากที่ไหน เขาเต็มใจเพื่อเธอย่ะ...ถามทุกวันเลย” วัชรีทำเสียงล้อพี่ชาย มีอะไรให้พี่ทำเพื่อน้องอ้อบ้างๆ”
อมาวสีค้อน “บ้า”
“ไปละนะ”
อมาวสีก้าวลงจากรถ เห็นรถตู้เคลื่อนออกไป
ภากรเดินเข้ามาในโถงนั่งเล่นบ้าน เขายกมือไหว้คุณนายชื่น
“สวัสดีครับ ผมนี่แย่จริงๆ ไม่ได้ไปเยี่ยมคุณแม่นานแล้ว จนคุณแม่ต้องเป็นฝ่ายมาซะเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ นานๆ เจอกันทีดีแล้ว จะได้คิดถึงกันมากๆ ดูหน้าตาภากรจะสดใสขึ้นนะ”
ภากรยิ้มรับ ท่านกวีได้จังหวะเอ่ยปากพูด
“ผมว่าจะบอกข่าวคุณนายอยู่เหมือนกัน เรื่องนายภากรนี่แหละ”
“มีอะไรเหรอคะ” คุณนายชื่นเลิกคิ้วท่าทีฉงน
“คุณนายคงไม่ว่าอะไรนะ ถ้าเจ้าภากรจะแต่งงานใหม่”
“โอ๊ย จะไปว่าอะไร ดีใจด้วยละซีไม่ว่า” ผู้เป็นแม่ยายว่า
“เกรงใจหนูชาลินีน่ะค่ะ” คุณหญิงอำภาว่า
“หนูชาลินีมีบุญอยู่เท่านั้น...นี่ก็พ้นกันไปอยู่คนละภพแล้ว ให้คนที่อยู่ทางนี้อยู่อย่างมีความสุขดีกว่าค่ะ...จะจัดงานเมื่อไหร่บอกนะคะ ดิฉันขอมาช่วยงานเต็มที่เลย”
“ขอบคุณครับ”
“ว่าแต่เจ้าสาวของพ่อภากรเป็นใครล่ะ พอจะบอกแม่ได้มั้ย” คุณนายถาม
อมาวสีเดินเข้ามาหยุดด้านนอกห้องโถง ทันได้ยินพอดี
ภากรยิ้ม มองหน้าพ่อภาคภูมิใจลึกๆ ท่านกวีเป็นผู้เอ่ยปากตอบแทน
“หลานห่างๆผมเองครับ ยายอ้อ อมาวสี”
อมาวสี ช็อก อึ้ง นิ่งงันไป เธอไม่นึกว่าจะได้ยินเรื่องนี้จากปากของคุณอา
“อ๋อ หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักดีออก จะแต่งกันเมื่อไหร่ล่ะคะ”
“รอให้ยายอ้อเรียนจบก่อนครับ แล้วค่อยหาฤกษ์หมั้นหมายให้เรียบร้อย แล้วอีกซักเดือนนึงก็แต่งได้เลย”
ภากรยิ้มกริ่ม มีความสุขล้น กลุ่มคนในโถงรับแขก กำลังคุยกันออกรสชาติ สนุกสนานร่าเริง
ส่วนอมาวสี ค่อยๆ เดินเลี่ยงออกไปอย่างเซื่องซึม
อมาวสีเดินเข้ามาทรุดนั่งบนเตียงนอน ท่าทางเธอ ราวกับจะหมดเรี่ยวหมดแรง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อมาวสีกดปุ่มรับสายอย่างไร้อารมณ์ เสียงเพื่อนๆ ดังเข้ามาในสาย
เริ่มจากเสียงวัชรี “ยายอมา ฉันเกิดความคิดหละ...นี่พวกเราอยู่ในสายหมดเลยนะ”
ตามด้วยเสียงพึงใจ “จ้า นี่พึงใจจ้า”
“นิลรัตน์รายงานตัวจ้า”
มีเสียงวารินด้วย “พี่วารินก็มาด้วยนะครับ”
เสียงพึงใจกรี๊ด “เฮ้...พี่วารินเข้ากลุ่มด้วยเหรอ”
เสียงนิลรัตน์ทัก “อมาทำไมเงียบจัง ส่งเสียงให้เพื่อนฟังหน่อย ยังอยู่รึเปล่า”
“อยู่จ้ะ...ว่าไงกันเหรอ”
“พวกเรามีความคิดว่า ก่อนสอบเราจะไปพักผ่อนที่ปราณบุรีซักคืนนึงดีมั้ย” วัชรีออกไอเดีย
เสียงทุกคนบอก “ดี” พร้อมกัน
“พี่วารินจะเปิดบ้านพักให้ และเป็นผู้ใหญ่ไปให้ความคุ้มกันพวกเราด้วย” วัชรีบอก
“ด้วยความเต็มใจคร้าบ”
นิลรัตน์บอกว่า “ยายอมาไปด้วยกันนะ”
อมาวสีนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยปากใดๆ
วัชรีแลกใจ “ทำไมเงียบไปล่ะ อมา...อมา”
“สงสัยกินยาแล้วหลับคาโทรศัพท์แหงเลย” พึงใจบอก
ระหว่างที่เสียงคุยกันของเพื่อนๆ ดังเจื้อยแจ้วอยู่นั้น อมาวสีดูไม่มีความสุขไปกับเพื่อนๆ ด้วยเลยแม้แต่น้อย
ที่บ่อนของจอน คืนนั้น
สายบัวใส่ยาตามบริเวณแผลแตกของจอน อ้อนถือน้ำใบบัวบกชามใหญ่มาวางให้ข้างๆ
“ทำไมลูกพี่ต้องมีแผลฟกช้ำมาพร้อมกับเงินทุกที ตกลงพี่ไปหาเงินด้วยการขึ้นเวทีชกมวยเหรอครับ”
จอนยกเท้าถีบอ้อนไปหนึ่งที
“ข้าได้เงินมายังไงเอ็งไม่ต้องเสือก พวกเอ็งมีหน้าที่เอาเงินนี่ไปเติมส่วนที่ขาดของบ่อนเราให้สวยงาม...ทำได้มั้ย”
เผือกถาม “เราขาดอะไรบ้างล่ะครับ”
สายบัวหงุดหงิด “ขาดสมองน่ะสิ...พวกเอ็งโง่ๆ อย่างนี้คงจะหลอกคุณภากรได้หรอก”
“อ้าว...อย่ามาดูถูกกัน” เหิมฉุน
สายบัวบอก “มันถูกเป๊ะเลยละสิ”
จอนขยับตัวลุกขึ้นเดินเปลี่ยนอิริยาบถ
“พอแล้ว ไม่ต้องเถียงกัน...ไป เร่งซักซ้อมให้ดี ซื้อเสื้อผ้าเพิ่มอีกคนละสองชุดซื้อไฟมาประดับให้สวยด้วย”
3 ลูกน้องรับ “ครับ” พร้อมเพรียง
“เงินที่เหลือก็ไปหาซื้อชิปงามๆ มาใช้แทนเงิน ให้เหมือนบ่อนอาชีพหน่อย เข้าใจมั้ย”
3 ลูกน้องรับ “ครับ ลูกพี่”
“สายบัว เธอมีหน้าที่ยั่วยวนให้มันรัก ให้มันหลงจนโงหัวไม่ขึ้น”
“ไม่ยาก...”
“แต่อย่าไปหลงรักมันเข้าจริงๆ นะเว้ยสายบัว”
“แหมฉันรักพี่คนเดียวก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ฉันไม่แส่ไปรักคนอื่นให้เดือดร้อนหรอกจ้ะ”
“ดีมาก...ถึงเวลาเชือดหมูแล้วโว้ยพวกเรา”
ไอ้จอน ชายโฉด บอกด้วยท่าทีฮึกเหิมเพื่อ บิวท์ เมียชั่ว และ 3 สมุนแสบ ของมัน
อ่านต่อตอนที่ 5