ปีกมงกุฎ ตอนที่ 4
ในขณะที่ดารินทร์กำลังขับรถออกจากที่จอดรถ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ดารินทร์หยิบมาดู แล้วกดรับ
“จะรีบไปไหนหะ ยัยตรี รอประเดี๋ยว ชั้นกำลังขับรถไปแล้ว ห๊ะ อะไรนะ ออกไปแล้วเหรอ แกออกไปกับใคร ห๊ะ...เดี๋ยวยัยตรี...เดี๋ยว”
ดารินทร์หงุดหงิดที่ตรีอัปสรตัดสายก่อนจะซักไซ้ให้รู้เรื่อง
“อะไรของเค้าเนี่ย...ไปกับใครก็ไม่บอก”
ดารินทร์หงุดหงิดสุดขีด
ณเดชย์ขับรถสปอร์ตแล่นมาตามท้องถนน ตรีอัปสรหันมาต่อว่า
“คุณนะ รู้ตัวไม๊คะ ว่าทำอะไรอยู่”
ณเดชย์อมยิ้มอย่างมีความสุข “รู้ซิ...รู้ตัวดีทุกอย่าง”
“ถ้าใครเห็นเข้าแล้วเอาไปบอกคุณมุกตาภา จะทำยังไงคะ”
“ไม่มีใครเห็นหรอก ตรี รถคันนี้ปกติ ผมก็ไม่เคยใช้ ไม่มีใครคิดว่าเป็นผมหรอก”
ตรีอัปสรถอนหายใจ ส่ายหน้ากับความรั้นของเขา หล่อนใส่จริตทำท่าเหมือนเอือมนิดๆ
“แล้วคุณนะรู้ได้ยังไงคะ ว่าตรีอยู่ที่นั่น”
ณเดชย์หัวเราะ “ถ้าผมอยากรู้เรื่องของตรีนะ ผมก็ต้องรู้ทุกเรื่อง”
“คุณจะพาตรีไปไหนคะ”
ณเดชย์หันมามอง ยิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่ตอบ
รถสปอร์ตหรูราคาแพง จอดอยู่ในโชว์รูม รถของณเดชย์จอดนิ่งอยู่ สองคนนั่งอยู่ในรถ
“ตรียังไม่ได้เลือกรถ ผมก็เลยพามา”
ตรีอัปสรมองณเดชย์อย่างเป็นปลื้มซึ้งใจ ในความใส่ใจของณเดชย์
“คุณนะ”
“ผมตั้งใจจะซื้อรถให้ตรีจริงๆ”
“ตรีทราบค่ะ แต่ตรีบอกแล้วว่า ตรีไม่อยากรบกวน”
“ผมเต็มใจ ตรีลงไปเลือกซิครับ”
“คุณนะ รอในรถใช่ไม๊คะ”
ณเดชย์พยักหน้า ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ ซาบซึ้ง
“ถ้าคุณนะไปเลือกกับตรี ต้องเป็นข่าวแน่ๆ”
“ผมรู้ ผมเสียหาย ยังไม่เท่าตรีเสีย ผมไม่ยอมให้ตรีเสียหรอกน่ะ”
“ขอบคุณค่ะ งั้นตรีขอไปดูรถก่อนนะคะ”
ณเดชย์พยักหน้า ตรีอัปสรเปิดประตูลงไป ณเดชย์มองตาม
ด้านมุกตาภาหารืออยู่กับชญานนท์ และอติรุจ อยู่ในห้องอาหารในโรงแรม
“คุณพ่ออยากให้กิจกรรมในช่วงเก็บตัวของสาวงามทั้ง 20 คนที่เชียงรายน่าสนใจ เป็นประโยชน์แล้วก็สนุกด้วยค่ะ พี่นนท์ก็เลยคิดว่าพี่รุจน่าจะช่วยตรงนี้ได้ ใช่ไม๊คะ พี่นนท์”
มุกตาภานั่งคุยงานไปดื่มกาแฟไป ชญานนท์ใจลอยเหมือนไม่ได้ฟัง มุกตาภาเห็นอาการนั้น
“พี่นนท์คะ”
ชญานนท์ยังนิ่งเหมือนไม่ได้ยิน มุกตาภาหันมามองอติรุจแปลกใจกับท่าทางของชญานนท์
“นนท์” อติรุจเสียงดังขึ้นอีก “เฮ้ย นนท์”
อติรุจเสียงดังและเข้ม จนชญานนท์สะดุ้งนิดๆ หันไปมอง
“อะไรนะ นายว่าอะไรนะรุจ”
มุกตาภามองชญานนท์อย่างพิจารณา “พี่นนท์เป็นอะไรคะ ไม่สบายรึเปล่า หรือว่ามีอะไร”
ชญานนท์ยกมือขึ้นลูบหน้า “อืม...พี่คงเหนื่อย ไม่มีอะไรหรอก”
“แน่ใจนะคะ”
ชญานนท์ยิ้ม “แน่ใจซิ” เขาหันมาทางอติรุจ ซึ่งมองชญานนท์เหมือนรู้ทันแต่ไม่พูดอะไร “นายทำรายละเอียดมาดูหน่อยนะ ว่าเราควรจะทำอะไรมั่งที่เชียงราย”
“ได้ เดี๋ยวชั้นทำส่งมาให้ดู”
ชญานนท์พยักหน้า มุกตาภาแอบมองชญานนท์อย่างพิจารณา จบภาพที่มุกตาภา
เย็นนั้น รถณเดชย์แล่นมาจอดริมถนนใกล้ๆ ห้างสรรพสินค้า
ณเดชย์หันมาถามตรีอัปสร “แน่ใจนะ ว่าจะให้ผมส่งที่นี่”
ตรีอัปสรยิ้ม “ค่ะ ตรีจะซื้อของด้วย”
ณเดชย์พยักหน้า “โอเค”
ตรีอัปสรมองณเดชย์ด้วยแววตาหวานฉ่ำ ลึกซึ้ง
“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับรถ ตรีไม่รู้จะตอบแทนคุณนะยังไง”
ณเดชย์จับมือตรีอัปสรขึ้นมาจูบเบาๆ มองอย่างกรุ้มกริ่ม มีเลศนัย
“ผมไม่ต้องการอะไรตอบแทน แค่ได้อยู่ใกล้ๆ ตรี เหมือนตอนที่เราอยู่ที่ลอนดอน ผมก็มีความสุขแล้ว”
“รอให้ผ่านการประกวดนางสาว ณ สยาม ไปก่อนนะคะ คุณนะรอได้ใช่ไม๊คะ”
ณเดชย์พยักหน้า ตรีอัปสรชะโงกหน้าไปหอมแก้ม ณเดชย์อย่างเร็ว
“รักคุณนะคะ”
ตรีอัปสรลงรถไปเลย ณเดชย์ยิ้ม มองตามอย่างมีความสุข ก่อนจะออกรถไป
ตรีอัปสรเดินเข้ามาในห้าง หล่อนนึกสนุกตั้งใจจะเช็คเรทติ้งว่ามีใครรู้จักสนใจบ้างไม๊ ซักครู่ มีกลุ่มผู้หญิงเดินแกมวิ่งผ่านมาจากข้างหลังของตรีอัปสรประมาณ 5-6 คน ตรีอัปสรมองตาม เห็นอรสินีกำลังยืนเลือกซื้อของกับสลิลทิพย์
กลุ่มผู้หญิง ร้องขึ้นเซ็งแซ่ “พี่อรใช่ไม๊คะ”/ “น้องอรใช่ไม๊คะ”
อรสินีหันมามองยิ้มหวานไม่ถือตัว “ใช่ค่ะ”
กลุ่มผู้หญิงหันมาส่งเสียงกรี๊ดกันเอง อย่างดีใจ
“นั่นไง เห็นไม๊ ใช่จริงๆ ด้วย” หญิง 1 บอก
หญิง 2 ว่า “ขอถ่ายรูปด้วยนะคะ เห็นในทีวีว่าสวยแล้ว ตัวจริงสวยกว่าเยอะเลยค่ะ”
หญิง 1เสริม “พวกเราเชียร์เต็มที่เลยนะคะ สัญญาว่าจะโหวตให้เป็นขวัญใจประชาชนค่ะ”
สลิลทิพย์ยิ้มปลื้มใจ อรสินีถ่ายรูปกับกลุ่มผู้หญิงอย่างกันเอง มีคนผ่านไปมาหยุดยืนดูยิ้มๆ
ตรีอัปสรหน้าหงิกงอ มองอย่างไม่พอใจ บ่นพึมพำ
“ทำไม ชั้นต้องมาเจอมันด้วยเนี่ย”
ตกตอนเย็น ดารินทร์เดินมาหยุดยืนที่เก้าอี้สนามถามเสียงขุ่น
“แกไปไหนมา”
ตรีอัปสรซึ่งนั่งนิ่งใช้ความคิดอยู่ หันมามองแม่ก่อนจะบอก “ไปดูรถมา”
“ไปกับใคร”
ตรีอัปสรถอนหายใจหงุดหงิด “ตรีก็ไปดูคนเดียวซิ แม่ จะให้ตรีไปดูกับใคร”
“แล้วนี่เป็นอะไร หน้าตาเคร่งเครียด มีอะไรรึเปล่า”
“แม่คอยดูนะ ตรีจะต้องเป็นนางสาว ณ สยามให้ได้ ตรีจะต้องเป็นที่หนึ่ง” แววตาตรีอัปสรมุ่งมั่นมากขึ้น “ทุกคนจะต้องรักตรี สนใจตรี ให้ความสำคัญกับตรี มากกว่าคนอื่น”
ดารินทร์พอใจขยับเข้าไปสวมกอดตรีอัปสร ให้กำลังใจลูก
“ตรีต้องได้เป็นแน่นอนลูก มงกุฎนางสาว ณ สยาม ต้องเป็นของตรีแน่นอน”
“ตรีจะทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม”
ดารินทร์ยิ้มอย่างพอใจ
ท้องฟ้าราตรีนี้ เหนือบ้านดารินทร์ ดวงดาวส่องแสงระยิบระยับ นายพลอัศวินกำลังจะเดินเข้าบ้านแต่ชะงักเมื่อเหลียวมองไปอีกด้าน เห็นตรีอัปสรในชุดนอนมีเสื้อคลุม กอดอก แหงนมองท้องฟ้าอยู่ อัศวินกระแอมให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว ตรีอัปสรหันไปมอง
“คุณลุง”
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะ”
ตรีอัปสรพูดเล่น ขำๆ “ตรีตั้งใจจะมาขอพรพระจันทร์ค่ะ แต่เป็นคืนข้างแรม ก็เลยไม่เห็นพระจันทร์”
อัศวินหัวเราะเบาๆอย่างเอ็นดู “จะขอพรอะไรกับพระจันทร์เหรอ”
“ขอให้ตรีได้เป็นนางสาว ณ สยาม ค่ะ”
อัศวินเดินเข้ามาใกล้ๆ สบตาตรีอัปสรอย่างลึกซึ้งมีนัย
“ถ้าขอเรื่องนี้ ขอที่ลุงก็ได้น่ะ ไม่ต้องถึงดวงจันทร์หรอก”
ตรีอัปสรมองอัศวิน แววตาสดใสมีความหวัง
“หนูตรีรู้แล้วใช่ไม๊ ว่าลุงเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวดนางสาว ณ สยาม”
“ทราบค่ะ ตรีเห็นในเอกสารที่ได้รับแจก”
“ลุงช่วยหนูตรีได้นะ เพียงแต่ว่า...” นายพลสูงวัยทอดคำ
“เพียงแต่ว่าอะไรคะ”
อัศวินขยับเข้ามาใกล้ มองตรีอัปสรด้วยแววตาร้อนแรง ก่อนจะพูดเบาๆ แต่หนักแน่น
“ลุงอยากให้หนูตรีเป็นของลุง”
แวบเดียวเท่านั้น ตรีอัปสรมองนายพลผู้เป็นสามีแม่ ไม่ผิดไปจากที่คิดนัก วินาทีถัดจากนั้นหล่อนก็เบิกตาทำท่าเหมือนตกใจสุดขีด ไม่นึกว่าจะได้ยินนายพลอัศวินพูดเช่นนี้
“ถ้าหนูตรีให้ลุง ลุงก็พร้อมจะช่วยให้ความฝันของหนูตรีเป็นจริง”
นายพลอัศวินมองมาตาเชื่อมเหมือนรอคำตอบ ตรีอัปสรครุ่นคิดวูบเดียว สีหน้าคล้ายตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ด้านดารินทร์เดินลงบันไดมาจากข้างบน สอดตามองไปรอบๆ ห้องโถง พลางร้องหา
“คุณอัศ...คุณอัศคะ”
เมื่อไม่เจอ ดารินทร์เดินไปที่ประตูบ้าน เปิดออกเพ่งมองไปอย่างพิจารณา สักครู่จึงเห็นตรีอัปสรในชุดนอนเดินตัดมาจากสวน
“อ้าว ยัยตรี ยังไม่นอนอีกเหรอ”
“กำลังจะไปนอนแล้วค่ะ”
“แล้วแกไปไหนมา”
“ตรีไปเดินเล่นที่สนาม ตรีไปนอนนะคะ”
ตรีอัปสรหลบตาแล้วรีบเดินไปทันที ทั้งๆ ที่ผู้เป็นแม่ขยับอ้าปากจะถาม ดารินทร์ขมวดคิ้วนิดๆ มองตามหลังไป บ่นบ้า สงสัยว่าลูกสาวเป็นอะไร
“เป็นอะไรของมัน”
ดารินทร์หันไปอีกทาง แล้วเปลี่ยนสีหน้า เมื่อเห็นนายพลอัศวินเดินเข้ามาคนละทางกับตรีอัปสร
“คุณอัศ...คุณอัศไปไหนมาคะ”
นายพลอัศวินยิ้มให้ เดินเข้ามากอดดารินทร์ แล้วพาเดินนำกลับไปทางบันได
“ไปนอนกันเถอะ”
“ค่ะ”
นายพลอัศวินกับดารินทร์เดินขึ้นบันไดไป
ตรีอัปสรยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องนอน ทอดสายตามองออกไปไกล ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปนั่งบนเตียงนอน พบว่าตุ๊กตาหมี “เป็นหนึ่ง” นั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง ตรีอัปสรเดินไปหยิบตุ๊กตามากอด แล้วซุกตัวลงนอนเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น สีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา
ก่อนหน้านี้ ตรีอัปสรมองนายพลอัศวินนิ่งไปไม่ตอบ จนท่านนายพลต้องขยับเข้ามาใกล้ถามเสียงนุ่ม
“ว่าไงล่ะ...ให้ลุงได้ไม๊”
“คุณลุงต้องการคำตอบตอนนี้เลยเหรอคะ”
“การประกวดกำลังจะเริ่มแล้วนะหนูตรี ถึงลุงจะมีตำแหน่งสำคัญ แต่ลุงก็ต้องล้อบบี้กรรมการคนอื่นด้วย”
ร่างนายพลอัศวินเข้ามาจนเกือบจะแนบชิดตรีอัปสร พลางยื่นหน้าเข้ามากระซิบที่ข้างหู
“คำตอบของหนูตรี จะเป็นแรงผลักดันให้ลุง ทำให้หนูตรีสมปรารถนาได้นะ”
ตรีอัปสรช้อนตามองหน้าท่านนายพลอัศวิน ที่มองอย่างใจจดใจจ่อ
คิดถึงตอนนี้ ตรีอัปสรขยับลุกขึ้นนั่งชันขากอดเข่า และยังมีน้องหมีเป็นหนึ่งกอดอยู่ด้วย ตรีอัปสรมีสีหน้าทุกข์ใจ เป็นกังวล สุดท้ายลุกขึ้น เดินช้าๆ ไปยืนหน้ากระจก พูดกับตัวเองเบาๆ
“จำไว้นะ ตรีอัปสร ไม่มีใครได้อะไรมา โดยที่ไม่เสียอะไรไป ถ้าเธออยากได้ เธอก็ต้องยอม”
ฟากนายพลอัศวินพลิกตัวไปอีกด้านหนึ่ง สีหน้าครุ่นคิดถึงเรื่องเดียวกัน
ไม่นานมานี้ ตรีอัปสรเงยหน้ามองให้คำตอบ
“ถ้าคุณลุงช่วยให้ตรีได้ตำแหน่ง นางสาว ณ สยาม จริงๆ ตรีก็พร้อมจะเป็นของคุณลุงค่ะ”
นายพลสูงวัยดีใจสุดขีด “หนูตรี” พลางขยับเข้ามากอดตรีอัปสร แต่ตรีอัปสรเบี่ยงตัวออก
“อย่าค่ะ เดี๋ยวแม่เห็น”
นายพลอัศวินยิ้ม “ลุงดีใจน่ะ ที่หนูตรีเข้าใจความรู้สึกของลุงที่มีต่อหนู”
“แต่คุณลุงต้องสัญญากับตรีนะคะ ว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ไม่บอกให้ใครรู้เด็ดขาด”
“ได้ซิ ลุงสัญญา ลุงจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับของเราสองคน”
ตรีอัปสรพยักหน้ารับ ยิ้มฝืนๆ
ดารินทร์นอนหลับไปแล้ว ส่วนนายพลอัศวินพลิกตัวนอนหงาย สีหน้าอิ่มเอิบสุขล้น ก่อจะหันมามองดารินทร์ซึ่งหลับอยู่ นิ่งนาน
ตอนสาย ร้านรวงในห้างดังแห่งนี้เพิ่งเปิดให้บริการ รวมทั้งร้านทำผมของเอมม่า ที่ตรีอัปสรเดินเข้ามา เอมม่าเห็นก็ยิ้มกว้าง เดินเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ น้องตรีอัปสร”
ตรีอัปสรไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“คุณดาโทร.มาเมื่อซักครู่แล้วค่ะ สั่งพี่เอมม่าไว้เรียบร้อยว่าให้ทำผมทรงรับมงกุฎให้น้องตรี”
ตรีอัปสรขมวดคิ้วแปลกใจ “ทรงรับมงกุฎ” สีหน้าหล่อนเป็นคำถาม
“ใช่ค่ะ” เอมม่าหยิบรูปทรงผมที่ว่าให้ดู “เป็นทรงที่สาวๆ ที่เข้าประกวดทำกันนะค่ะ”
ตรีอัปสรงงนิดๆ “ทำเหมือนกันทุกคนน่ะเหรอคะ กองประกวดเค้าบังคับเหรอคะ”
เอมม่าทำท่าคิด เพราะไม่คิดว่าจะเจอคำถามแบบนี้ ก่อนจะตอบว่า
“ก็คงไม่ได้บังคับหรอกมั้งคะ แต่ในฐานะที่พี่ทำผมให้นางงามมา ก็จะทำทรงรับมงกุฎกันทั้งนั้นค่ะ”
ตรีอัปสรพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เอมม่ายิ้มหวานเชื้อเชิญ
“เชิญข้างในเลยค่ะ”
เอมม่าเดินนำเข้าไปด้านใน เป็นจังหวะเดียวกับที่อรสินีที่สระผมเสร็จเดินออกมาพอดี อรสินีเห็นตรีอัปสรก็ดีใจ
“ตรี”
“คุณอร”
“กำลังคิดอยู่เชียวว่าต้องเจอเพื่อนๆ ที่เข้ารอบที่นี่แน่ แล้วก็โชคดีได้เจอตรี”
ตรีอัปสรยิ้ม “ค่ะ”
“เดี๋ยวทำผมเสร็จ ค่อยคุยดีกว่า ตรีไปสระผมก่อนเถอะ”
“ค่ะ”
อรสินีเดินไปนั่ง ตรีอัปสรเดินเข้าไปข้างใน ลอบทำหน้าหงุดหงิดเล็กๆ ไม่คิดว่าจะเจออรสินีที่นี่
ขณะเดียวกัน ที่สถานีโทรทัศน์ไทยเท็น ชญานนท์เดินมาตามทางในสถานีกับน้องสาว มุกตาภาหันมามองพี่ชายแล้วอมยิ้มนิดๆ
ชญานนท์มองฉงน “อมยิ้มอะไร ยัยมุก”
“เปล่าค่ะ แหม...ยิ้มก็ไม่ได้เหรอคะ”
“ก็ยิ้มของเรามันมีเลศนัย”
มุกตาภาหัวเราะคิก “จริงๆก็ขำพี่นนท์นั่นล่ะค่ะ ไม่ซิ ต้องสงสารถึงจะถูกใช่ไม๊คะ...แต่ขำมากกว่า”
“อะไรของเราห๊ะ ยัยมุก....ตกลงอารมณ์ไหนแน่”
“อารมณ์สงสารแล้วกันค่ะ” มุกตาภาแกล้งถอนหายใจดังๆ “เฮ้อ...จะไปทานข้าวกับแฟนตามลำพังก็ทำไม่ได้ ต้องยอมให้น้องสาวไปเป็นก้าง”
ชญานนท์หัวเราะเซ็งๆ “ทำไงได้ล่ะ หน้าที่ก็ต้องทำไป แต่เรื่องหัวใจก็ไม่ควรละเลย ใช่ไม๊”
“ค่ะ...ไม่มีปัญหามุกยินดีช่วย แต่มุกช่วยพี่นนท์แล้ว พี่นนท์ก็อย่าลืมเรื่องของมุกแล้วกัน”
“โห...ยังไม่ทันจะเริ่มช่วยเลย ทวงเรื่องของตัวเองก่อนแล้ว”
มุกตาภาเกาะแขนพี่ชายเดินคู่กันไป ชญานนท์ยิ้มขำท่าทางประจบของน้องสาว
ส่วนที่ร้านทำผมหรู ภาพจากในกระจกเงาเห็นตรีอัปสรที่ทำผมเสร็จสวยงามเป็นทรงทันสมัย ไร้กระบังตามทรงมาตรฐานนางงามที่เห็นเจนตา ตรีอัปสรมองเงาในกระจกอย่างพอใจ อรสินีซึ่งทำผมเสร็จเหมือนกัน มองมาที่ตรีอัปสรแววตาชื่นชม
“ตรีสวยจังเลย ผมทรงนี้เข้ากับหน้าตรีมากเลยนะ”
“ใช่ค่ะ แต่ทรงนี้ก็เหมาะกับคุณอรนะคะ” เอมม่าฉอเลาะ
อรสินียกมือจับผมของตัวเอง ตรีอัปสรยิ้มให้
“ทรงรับมงกุฎใช่ไม๊คะ พี่เอมม่า”
เอมม่ายิ้มจืดๆ สีหน้าตรีอัปสรใสซื่อ เหมือนไม่ได้พูดกระแทกแดกดันหรือประชดใดๆ
“ใช่ค่ะ”
ตรีอัปสรหันมาทางอรสินี “พี่เอมม่าบอกว่า ทรงนี้พวกที่เข้าประกวดนิยมทำกันค่ะคุณอร”
อรสินียิ้มกว้าง “ใช่ เวลาอรดูประกวดก็เห็นนางงามทำทรงนี้กันทั้งนั้น”
อรสินีเออออ ไม่มีท่าทางไม่พอใจใดๆทั้งสิ้น แล้วยังมองผมของตรีอัปสรอย่างชื่นชมอย่างจริงใจ
“ทรงผมของตรีจะต้องเด่นที่สุดใน 20 คนแน่ๆเลย”
ตรีอัปสรยังไม่ทันพูดอะไร โทรศัพท์ของอรสินีก็ดังขึ้น ตรีอัปสรเมินหน้าไปทางอื่น ดูออกว่าเซ็ง
“ฮัลโหล มาถึงแล้วเหรอคะ เสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
สองสาวเดินมาตามทางในห้าง ดูสวยเด่นคนละสไตล์ ตรีอัปสรออกตัวในที่สุด
“ตรีว่า...ตรีแยกกลับก่อนดีกว่าค่ะ”
“ทำไมล่ะ ทานข้าวด้วยกันก่อนเถอะ หลายๆคนสนุกดี”
ตรีอัปสรสะดุดหู เลิกคิ้ว “หลายๆ คนเหรอคะ”
อรสินีพยักหน้า “ใช่...เสียดายที่พี่รุจไม่ว่าง”
ตรีอัปสรพยายามมองจับกิริยาอรสินีดูว่าจริงใจหรือเสแสร้ง อรสินีหันมามอง แล้วยิ้มให้ก่อนจะจูงมือตรีอัปสรไปด้วยกัน
“เอาไว้ตรีค่อยนัดพี่รุจ มาทานข้าวกันเองแล้วกันนะ”
อรสินีพูดแหย่เล่น ตรีอัปสรยิ้มบางๆ
“รีบไปกันเถอะ....อรหิวแล้ว”
“ค่ะ”
อรสินีลากตรีอัปสรเดินไป
ชญานนท์กับมุกตาภารออยู่แล้วในร้านอาหารหรูของห้าง มองอย่างไม่คิดว่าตรีอัปสรจะมาด้วย อรสินีกับตรีอัปสรนั่งตรงกันข้าม
“วันนี้มุกไม่มีนัดกับคุณนะ ใช่ไม๊ อรเกรงใจจัง”
มุกตาภายิ้มนิดๆ “มุกว่าง มาด้วยความเต็มใจเลย อรไม่ต้องกังวลหรอก”
อรสินียิ้มให้มุกตาภา แล้วหันมาทางตรีอัปสร พร้อมกับส่งเมนูให้
“ตรีดูเมนูก่อน”
ตรีอัปสรรับมา “ค่ะ”
ชญานนท์บอก “พี่สั่งสปาเกตตี้ให้น้องอรแล้วนะ”
“ขอบคุณค่ะ”
ตรีอัปสรซึ่งเปิดเมนูดู มีสีหน้าหมั่นไส้ในความใส่ใจ มุกตาภามองท่าทางของตรีอัปสร ก็แกล้งพูดด้วยความหมั่นไส้เช่นกัน
“พี่นนท์น่ะ รู้ใจอรมากกว่ารู้ใจมุกอีก”
ชญานนท์หัวเราะเบาๆ “ก็มุกมีคุณนะ รู้ใจอยู่แล้วนี่ พี่จะไปรู้ใจมุกซ้ำซ้อนอีกทำไมจริงไม๊ น้องอร”
อรสินีหัวเราะเบาๆ ไม่ตอบแต่หันมาทางตรีอัปสร “เลือกได้รึยัง ตรี ทานอะไรดี”
“ได้แล้วค่ะ”
ตรีอัปสรพยายามฝืนยิ้มกลบ เก็บอาการ มุกตาภาปรายตามองอย่างสะใจเล็กๆ ที่เห็นตรีอัปสรตัวคนเดียวไม่มีพวก ชญานนท์มองตรีอัปสรด้วยแววตาเฉยชาดังเคย
อีกฟากหนึ่ง ภาพจากในจอคอมพ์ เป็นข่าวในเว็บดัง รวมรูปภาพสาวงามผู้เข้าประกวด เป็นรูปของตรีอัปสรในอิริยาบถต่างๆ สวย เซ็กซี่ ดูเป็นธรรมชาติทุกรูป ณเดชย์ดูรูปเหล่านั้นอย่างรักใคร่ หลงใหล ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มา นัยน์ตายังมองในจอคอมพ์นิ่ง
ทั้ง 4 คน เริ่มต้นทานอาหาร บรรยากาศค่อนข้างอึดอัดพิกล เพราะชญานนท์กับมุกตาภาก้มหน้าก้มตาทานอาหาร โดยไม่ได้คุยกับตรีอัปสรเลย อรสินีเงยหน้าขึ้นมอง
“อันที่จริง มุกน่าจะชวนคุณณเดชย์มาด้วยน่ะ”
มุกตาภาชะงักไปนิด “ชวนแล้ว แต่คุณนะติดทานข้าวกับลูกค้า”
อรสินีร้อง “อ๋อ”
โทรศัพท์ของตรีอัปสรดังขึ้นในจังหวะนี้ ตรีอัปสรหยิบขึ้นมาดู เห็นเป็นชื่อณเดชย์ หล่อนปรายตามองมุกตาภา แล้วยิ้มเยาะนิดๆ
“ขอโทษนะคะ” ตรีอัปสรพูดจบก็กดสายรับโทรศัพท์โดยไม่ลุกขึ้นเดินไปคุยที่อื่น “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
ณเดชย์ยิ้มกว้าง พูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานด้วยสีหน้ารื่นรมย์
“รับสายเป็นทางการจัง...คิดถึงตรีที่สุดเลย รู้ไม๊”
“ตรีก็คิดถึงเหมือนกันค่ะ”
ตรีอัปสรตอบพร้อมๆกับสบตากับมุกตาภาที่มองมาพอดี
“ชื่นใจที่สุด งั้นมาทานข้าวด้วยกันน่ะ ตรีอยู่ที่ไหนเดี๋ยวผมไปรับ”
“ว่างเหรอคะ”
“ว่างซิครับ สำหรับตรี ผมว่างเสมอ”
ตรีอัปสรมีสีหน้าสะใจ “แต่ตรีไม่ว่างค่ะ ตรีกำลังทานข้าวอยู่ แค่นี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวค่อยคุยกันใหม่”
“เดี๋ยวก่อนตรี...เดี๋ยว”
ตรีอัปสรตัดสายไปแล้ว ณเดชย์เซ็ง
ตรีอัปสรยิ้มซื่อใสแต่มีแววเยาะแวบหนึ่ง โดยมีมุกตาภาแอบมองอย่างหมั่นไส้แกมสงสัย
มุกตาภาเดินนำมาตามทางในห้าง มีชญานนท์ อรสินี และตรีอัปสร เดินตามมา
มุกตาภาหันมาพูดกับพี่ชาย “ขอบคุณนะคะพี่นนท์ที่เลี้ยงข้าว มุกขอแยกก่อนไม่ว่ากันนะคะ”
“พี่เข้าใจ มีนัดกับคู่หมั้นต่อล่ะซิ” ชญานนท์เย้า
มุกตาภาอมยิ้ม “ก็ทำนองนั้นอ่ะค่ะ”
ตรีอัปสรยิ้มในสีหน้า มันเป็นยิ้มเยาะหยันแกมสมเพช ชญานนท์เห็นรอยยิ้มนั้นจังๆ ชายหนุ่มชะงักไปนิดหนึ่ง
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 4 (ต่อ)
โชคดีที่มุกตาภาไม่เห็น ด้วยกำลังหันไปบอกลาอรสินีพอดี
“ขอแยกก่อนนะอร”
“จ้า แล้วเจอกันนะ”
มุกตาภาขำๆ “ต้องเจอกันอยู่แล้วละ เพราะมุกต้องเกาะติดกองประกวดนางงาม ไปนะ”
“สวัสดีค่ะ คุณมุกตาภา”
ตรีอัปสรพูดด้วยใบหน้าสงบเรียบร้อย แต่แววตาเยาะเย้ยดังเดิม ชญานนท์เป็นคนเดียวที่สังเกตเห็น
มุกตาภาหันไปมอง ฝืนยิ้มนิดๆ พูดตามมารยาท “สวัสดี”
มุกตาภาแยกไปแล้ว อรสินีลอบสบตากับชญานนท์ เป็นเชิงบอกว่ามุกตาภาออกอาการไม่ปลื้มตรีอัปสรเห็นๆ
ชญานนท์บอก “ไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้าน” เขาหันไปทางตรีอัปสร “คุณจะไปไหน ผมกับน้องอรจะไปส่งให้ก่อน”
“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก ตรีกลับแท็กซี่ได้”
อรสินีบอก “ให้พี่นนท์ไปส่งเถอะตรี”
“อย่าดีกว่าค่ะ จะเสียเวลาทำงานของคุณนนท์เปล่าๆ”
เสียงไลน์จากโทรศัพท์ของอรสินีดังขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาดู
“พี่นนท์ไม่ต้องไปส่งอรหรอกค่ะ คุณแม่ไลน์มาบอกว่ามารับอรที่นี่แล้วไปส่งตรีเถอะค่ะ”
ตรีอัปสรอิดออด “แต่...”
อรสินีคะยั้นคะยอ “ให้พี่นนท์ไปส่งเถอะตรี”
ชญานนท์พูดต่อ “ไม่ต้องเกรงใจหรอก”
ตรีอัปสรมองอรสินีท่าทีเกรงใจ อรสินีพยักหน้าให้ ตรีอัปสรยิ้มคล้ายจำนน แล้วหันไปทางชญานนท์
“ค่ะ” หล่อนหันมาทางอรสินี “ขอบคุณมากนะคะ...คุณอร”
เสียงไลน์ดังขึ้นอีก อรสินีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู พลางบอก
“อร แยกเลยนะคะ คุณแม่มาถึงแล้ว ไปนะตรี ไปนะคะพี่นนท์”
“แล้วพี่จะไปหาที่บ้านนะ”
“ค่ะ”
อรสินีแยกไป ชญานนท์หันมาทางตรีอัปสร แล้วเดินนำไป ตรีอัปสรเดินตามอย่างครุ่นคิด
สลิลทิพย์รออยู่ในที่จอดอยู่ในลานจอดของห้าง ซักครู่อรสินีเดินออกมามองหาจนเจอ จึงเดินตรงมาที่รถ
“ทำไมเดินมาคนเดียวล่ะ ยัยมุกกับตานนท์แยกกลับไปแล้วเหรอ”
“ค่ะ”
“อันที่จริง มียัยมุกมาด้วยก็น่าจะเดินมาส่งอรนะ” สลิลทิพย์ตำหนิ
“มุกเค้าแยกไปธุระเรื่องงานค่ะ อรก็เลยไม่อยากให้พี่นนท์เดินมาส่ง”
“อ้าว...เหรอ”
อรสินี ไม่อยากให้สลิลทิพย์ซัก ก็เปลี่ยนเรื่องคุย
“ทรงผมอรเป็นยังไงบ้างคะ ถูกใจคุณแม่ไม๊คะ”
สลิลทิพย์มองอย่างพิจารณา สีหน้ามีแววพอใจ
“สวย...ถึงจะพูดมากไปหน่อย แต่ฝีมือไม่ตกจริงๆ ยัยเอมม่า”
อรสินียิ้มขำๆ “นึกว่าคุณแม่ว่า อรพูดมากไปหน่อยซะอีก”
สลิลทิพย์เอ็นดู “เริ่มมีมุกแล้วนะเรา ดีแล้วล่ะ อีกหน่อยพอได้เป็น นางสาว ณ สยาม ต้องออกงานบ่อย มีอารมณ์ขันจะทำให้เราดูมีเสน่ห์”
อรสินียิ้มแต่ไม่พูดอะไร สลิลทิพย์สตาร์ทรถ แล้วเคลื่อนออกไป
มีคนเดินออกมาจากในห้าง 2-3 คน ต่อมาจึงเห็นตรีอัปสรเดินออกมากับชญานนท์ โดยชญานนท์เดินนำมา ตรีอัปสรเร่งมาจนเดินตีคู่กัน รถของสลิลทิพย์ขับผ่านมา เพื่อจะออกไปจากลานจอดรถ
สลิลทิพย์มองไปเห็นชญานนท์ที่เดินคู่มากับตรีอัปสรผ่านหน้าไป อรสินีก็เห็นเช่นกัน สลิลทิพย์มองทั้ง 2 คนที่เดินไป ก่อนจะหันขวับมายังอรสินี
“นังตรีอัปสร มันไปเดินกับตานนท์ได้ยังไงห๊ะยัยอร แกเห็นไม๊”
“เห็นค่ะ”
“แล้วไปเจอมันที่ไหน ทำไมถึงไปเดินคลอคู่กับตานนท์ได้” สลิลทิพย์เสียงขุ่นมองอรสินีอย่างจับสังเกต “ แกรู้ใช่ไม๊ ว่าแฟนแกกับนังนั่นไปด้วยกัน แกรู้เห็นเป็นใจกับมันเหรอ ยัยอร”
“คุณแม่คะ ก็แค่พี่นนท์ไปส่งตรี...ตรีเค้าไม่มีรถ ก็แค่นั้นเองค่ะ”
สลิลทิพย์ฉุนขาดของขึ้น เสียงเข้มทันที “แค่นั้นเหรอ แกนี่มันไร้เดียงสาหรือว่าโง่กันแน่ ห๊ะ ยัยอร ก็รู้อยู่ว่าแม่มันเป็นคนยังไง แล้วคิดว่าลูกมันจะวิเศษไปกว่าแม่มันเหรอ”
“คุณแม่คะ”
“แทนที่แกจะเรียกชั้น แกช่วยเรียกตัวเอง เตือนสติตัวเองดีกว่า แม่มันเคยฉกพ่อแกไป อย่าบอกนะว่าแกอยากให้นังตรีอัปสรมันฉกตานนท์ไปอีกคน”
อรสินีก้มหน้านิ่งไม่ตอบอะไร สลิลทิพย์มองอย่างโกรธแกมหมั่นไส้
สลิลทิพย์สอนสั่ง “แล้วอย่าคิดเถียงชั้นในใจว่า พี่นนท์ของแกไม่ใช่คนแบบนั้น เพราะชั้นก็เคยคิดว่าพ่อแกไม่มีวันมีเมียน้อยเหมือนกัน. แกอาจจะไว้ใจตานนท์แต่แกไม่ควรชี้โพรงให้กระรอก เข้าใจไม๊”
“เข้าใจค่ะ”
“อย่าให้โอกาสผู้หญิงคนนี้เข้ามาใกล้คนรักของแกอีก”
สลิลทิพย์พูดจบก็ออกรถไปอย่างมีอารมณ์
ชญานนท์เข้ามานั่งในรถ ตรีอัปสรนั่งอยู่ข้างๆ แล้วหันไปมองชญานนท์ที่ทำหน้าเฉยเมย
“ถ้าคุณนนท์ไม่สะดวก ตรีกลับเองก็ได้นะคะ”
ชญานนท์ย้อนถามนิ่งๆ “ทำไมถึงคิดว่า ผมจะไม่สะดวก”
“ตรีก็ดูจากสีหน้าของคุณนนท์ไงคะ”
ชญานนท์รู้สึกตัวว่าตัวเองเฉยเมยเย็นชา ท่าทีจึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“คุณจะให้ผมไปส่งที่ไหน”
“ตรีจะกลับบ้านค่ะ”
“บอกทางผมด้วยแล้วกัน”
“ค่ะ”
ชญานนท์ออกรถไป
อติรุจซึ่งนั่งทำงานอยู่ที่ออฟฟิศ เงยหน้าขึ้นเมื่อประตูห้องเปิดเข้ามา เผยให้เห็นสลิลทิพย์เดินหน้าบึ้งเข้ามา มีอรสินีเดินตามมา อติรุจแปลกใจ
“เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมวันนี้คุณแม่นางงามกับน้องอรถึงมาหาผมได้”
สลิลทิพย์ค้อนขวับ “เมื่อไหร่แกจะเลิกแขวะ กัด จิก แม่ซะทีนะ ตารุจ ปากจัดเป็นผู้หญิงไปได้”
อติรุจหัวเราะกลบเกลื่อน แล้วหันไปทางอรสินีซึ่งหน้าจ๋อยๆ
“มีอะไรรึเปล่า ยัยอร ทำไมหน้าจ๋อยอย่างนั้นล่ะ”
อรสินียิ้มบางๆ “ไม่มีอะไรค่ะ”
สลิลทิพย์แทรกขึ้นเสียงขุ่น “ทำไมจะไม่มี น้องสาวแกเพิ่งจะใจดี ใจกว้าง ปล่อยให้นังงูพิษไปกับตานนท์ สองต่อสอง
อติรุจงงๆ “นังงูพิษ” พูดทวนเป็นเชิงถาม
สลิลทิพย์เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาอีก “ก็นังตรีอัปสรกิ๊กแกไง...ตารุจ”
อติรุจเหนื่อยใจ “ไปด้วยกัน ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ครับ คุณแม่ เค้าไม่ได้ไปทำอะไรกันซะหน่อย”
“แกจะรู้ได้ยังไงว่าทำหรือไม่ทำ ใครมันจะมาบอก”
สลิลทิพย์พูดด้วยอารมณ์โกรธ โดยไม่ทันมองหน้าอรสินีซึ่งจ๋อยลงไป อติรุจหันมามองหน้าอรสินีแล้วก็หันไปทางสลิลทิพย์
“คุณแม่ครับ”
อติรุจเรียกเหมือนปราม เตือนสติ สลิลทิพย์ปรายตามองอรสินีแล้วขยับลุกขึ้น
“พูดไปก็เท่านั้น นี่พ่อแกอยู่ที่ห้องหรือเปล่าตารุจ”
“อยู่ครับ”
“ชั้นไปหาพ่อแกดีกว่า”
พูดจบสลิลทิพย์ก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง อติรุจหันมาทางอรสินีพูดปลอบ
“อร อย่าเครียด...อย่าคิดมากนะ”
อรสินียิ้มให้ “อรเป็นห่วงพี่รุจมากกว่าค่ะ เพราะอรเป็นคนบอกพี่นนท์ให้ไปส่งตรีเอง”
อติรุจหน้าเหวอ “อ้าว...เหรอ”
อรสินียิ้มออกมากขึ้น “พี่รุจอย่าคิดมากนะคะ ไม่มีอะไรหรอกค่ะ อรเชื่อว่ายังไง ตรีก็ไม่สนใจพี่นนท์มากกว่า พี่รุจหรอกค่ะ”
“แล้วไปเจอกันยังไง...ถึงให้นายนนท์ไปส่งตรีได้”
อรสินียิ้มนิดๆ เล่าให้พี่ชายฟัง
รถของชญานนท์แล่นมาจอดหน้าบ้านดารินทร์ โดยในรถตรีอัปสรหันมามองชญานนท์แล้วยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
น้ำเสียงชญานนท์ฟังดูห่างเหิน “ไม่เป็นไร”
ตรีอัปสรมองชญานนท์เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่าง ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง
“อันที่จริง ถ้าคุณนนท์ไม่ชอบหน้าตรี ก็ไม่เห็นต้องฝืนใจมาส่งตรีเลยนะคะ”
“ผมไม่อยากขัดใจน้องอร แล้วอีกอย่าง คุณก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดที่ผมต้องดูแลอยู่แล้ว”
ตรีอัปสรประชดในที “อ๋อ...ทำตามหน้าที่”
ชญานนท์ถอนหายใจเบาๆ “ผมคงห้ามความคิดคุณไม่ได้ แล้วแต่คุณจะคิดเถอะ” ชายหนุ่มก้มหัวให้นิดหนึ่ง “สวัสดี”
ตรีอัปสรหน้าตึงเล็กน้อย เมื่อชญานนท์พูดตัดบทแบบไม่สนใจ
“ค่ะ...สวัสดี”
ตรีอัปสรเปิดประตูลงจากรถไป ชญานนท์ออกรถไปทันที
ตุ๊กตาหมี “เป็นหนึ่ง” ซึ่งนั่งพิงหมอนอยู่บนเตียง มือของตรีอัปสรคว้าตุ๊กตามาถือไว้ ตรีอัปสรเอนตัวกึ่งนั่งกึ่งนอน มีเป็นหนึ่งอยู่ตรงหน้า
“นึกว่าจะญาติดีกันได้ แต่ก็งี่เง่าเหมือนเดิม ตรีทำอะไรผิดเหรอ เป็นหนึ่ง ทำไมเค้าถึงไม่ชอบหน้าตรี”
ตรีอัปสรทำหน้าครุ่นคิด หวนนึกถึงความขัดแย้งแต่เยาว์วัย
ในตอนนั้น ตุ๊กตาหมีตัวสวยลอยข้ามกำแพงออกมาตกกับพื้นถนนตรงหน้าเด็กหญิงตรีอัปสรที่เดินมาพอดี ตรีอัปสรสวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ มอมแมมประสาเด็กสลัม พอเห็นตุ๊กตาจึงก้มลงหยิบขึ้นมา แล้วมองเข้าไปทางกำแพงบ้านสลิลทิพย์
ตรีอัปสรอุ้มตุ๊กตาเดินไป เห็นอติรุจเดินเร็วรี่ เข้าบ้านไป ตรีอัปสรเดินตรงไปที่หน้าบ้าน ประตูเปิดอยู่ จึงเดินผ่านเข้าไปเลย เมื่อมองไปทางหนึ่งเห็นอรสินีนั่งเล่นขายของมีเครื่องครัวของเล่นวางอยู่ แต่บังเอิญอรสินีหันข้างให้ไม่เห็น ตรีอัปสรมองไปที่อรสินีโดยไม่ทันสังเกตว่าตุ๊กตาในมือถูกกระชากไปอย่างแรง
“เอาคืนมา”
เป็นเด็กชายชญานนท์ที่ดึงไป พร้อมกับผลักตรีอัปสรล้มลงไปก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย”
ชญานนท์ด่า “จะขโมยตุ๊กตาของน้องอรเหรอ ยัยขี้ขโมย”
เสียงที่ดังของชญานนท์ทำให้อรสินีหันมามอง
ตรีอัปสรเถียง “ชั้นไม่ได้ขโมย ใครก็ไม่รู้โยนออกไปข้างนอก ชั้นก็เก็บมาคืน”
ชญานนท์ไม่เชื่อ “โกหก ใครจะโยนตุ๊กตาออกไป”
“ชั้นไม่ได้โกหกนะ”
ชญานนท์ด่าอีก “ขี้ขโมยแล้วยังโกหกเก่งอีก”
ตรีอัปสรเสียงสั่นเหมือนจะร้องไห้ “ชั้นไม่ได้โกหก ชั้นไม่ได้ขโมย”
ชญานนท์เสียงดัง “ไม่จริง ขโมยปากแข็ง แบบนี้ต้องจับส่งตำรวจ”
เสียงของเด็กชายอติรุจดังขึ้น “มีอะไรกัน”
ชญานนท์และตรีอัปสรหันไปมอง เห็นอติรุจเดินมากับอรสินี
ชญานนท์ฟ้อง “เด็กคนนี้ขโมยตุ๊กตาน้องอร”
ตรีอัปสรตวาดแว้ด “ชั้นไม่ได้ขโมย ชั้นกำลังจะเอามาคืน”
อติรุจบอก “ขอบใจเธอมากนะ”
ชญานนท์ไม่พอใจ “ไปขอบใจทำไมรุจ ยัยนี่ขโมยตุ๊กตาน้องอรนะ”
ตรีอัปสรตะโกนเสียงสั่น น้ำตาพรู “ไม่จริง”
ชญานนท์ตวาดกลับ “จริง”
“พอเถอะนนท์”
อติรุจหยิบตุ๊กตาจากชญานนท์มาส่งให้อรสินี อรสินีรับมาถือไว้
“เข้าบ้านได้แล้วอร...นนท์ด้วย”
อรสินีมองตุ๊กตาในมือแล้วมองตรีอัปสร “ขอบใจนะ”
อรสินีพูดจบก็หมุนตัวเดินเข้าบ้าน ชญานนท์มองตรีอัปสรแล้วสะบัดหน้าเดินเข้าบ้านไป อติรุจหันมามองตรีอัปสร
“เธออย่าเพิ่งไปไหนนะ รอชั้นอยู่ตรงนี้ก่อน”
ตรีอัปสรมองอติรุจที่เดินแยกไปอย่างแปลกใจ ก่อนจะยกมือขึ้นป้ายน้ำตา
ไม่นานนักตุ๊กตาน้องหมี เป็นหนึ่ง ยื่นเข้ามาตรงหน้าตรีอัปสร เด็กหญิงมองตุ๊กตาแต่ยังไม่ได้รับ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนให้
เด็กชายอติรุจยิ้มพลางบอก “ชั้นให้เธอ”
ตรีอัปสรส่ายหน้า ท่าทางยังไม่ค่อยไว้ใจอติรุจเท่าไหร่
อติรุจคะยั้นคะยอ “เอาไปเถอะ เทดดี้ตัวนี้เป็นของชั้นเอง เด็กๆทุกคนต้องมีตุ๊กตาหมีเทดดี้แบร์เป็นของตัวเองคนละตัวนะ”
ตรีอัปสรไม่ไว้ใจ “แล้วเธอเอามาให้ชั้นทำไม เธอก็ต้องมีเหมือนกัน”
อติรุจยิ้ม “ชั้นมีหลายตัว ไม่ต้องห่วงหรอก รับไปเถอะ”
ตรีอัปสรมองตุ๊กตาหมีอย่างพอใจ ก่อนจะรับมากอดไว้กับตัว
“นิ่มจังเลย”
อติรุจพอใจที่ตรีอัปสรชอบ “เธอชื่ออะไรน่ะ”
“ชั้นชื่อ ตรีอัปสร”
“ชื่อเธอเพราะจังเลย ชั้นชื่ออติรุจน่ะ จะเรียกพี่รุจก็ได้ ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ”
ตรีอัปสรกอดตุ๊กตาหมี ยิ้มให้อติรุจอย่างเป็นมิตร ก่อนจะมองเลยไปในบ้าน เห็นชญานนท์ยืนมองอยู่แล้ว พอชญานนท์เห็นตรีอัปสรมองมาก็สะบัดหน้าเข้าบ้านไป
นึกเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ตรีอัปสรอดพึมพำไม่ได้ว่า
“ไม่น่าจะเป็นเพื่อนกันได้เลย คนนึงก็แสนดี มีน้ำใจอบอุ่น อีกคน ก็ร้ายกาจ เย็นชา ใจร้าย”
ตรีอัปสรมองน้องหมีในมือแล้วถอนหายใจเซ็งๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ประตูเปิดออกเห็นปิ๋มเดินเข้ามา “คุณตรีคะ คุณผู้หญิงให้ลงไปหาค่ะ”
ตรีอัปสรพยักหน้ารับ
ดารินทร์มองตรีอัปสรอย่างพิเคราะห์ ใบหน้าดูออกว่าหงุดหงิด
“นี่แกทำผมทรงอะไรของแกเนี่ย ชั้นสั่งเอมม่าไว้แล้วว่าให้ทำทรงไหนแล้วทำไมถึงได้กลายเป็นทรงนี้”
“ก็ตรีชอบผมทรงนี้”
“ไม่มีนางงามที่ไหน เค้าทำทรงนี้กันหรอก” ดารินทร์หมั่นไส้
“ดีซิ จะได้ไม่เหมือนใครไง ให้คนอื่นเค้าทำไปเถอะ ทรงรับมงกุฎอะไรนั่นน่ะ”
ดารินทร์ส่ายหน้า “แกนี่มันรั้นจริงๆ”
ตรีอัปสรยิ้มๆ “ใครจะรู้ ถ้าตรีได้เป็นนางสาว ณ สยาม บางทีผมทรงนี้ของตรี อาจจะเป็นทรงฮิตอินเทรนด์ไปเลยก็ได้”
ดารินทร์คร้านจะเถียง “เออ ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
“แล้ววันนี้ คุณลุงอัศวินจะมาที่นี่รึเปล่าแม่”
“ทำไม แกมีอะไรกับเค้าเหรอ”
“ตรีจะไปมีอะไรกับเค้า แม่ก็ถามแปลก”
“ชั้นจะไปรู้เหรอ ปกติแกก็ไม่เคยถามถึงคุณอัศ แล้วอยู่ดีๆ ก็ถามถึง”
ตรีอัปสรขยับลุกขึ้น ถอนหายใจดังๆ “เฮ้อ....ถามถึงก็สงสัย ไม่ถามก็บ่นว่าไม่สำนึกบุญคุณ เอาใจยากจริงๆ นะ แม่เนี่ย”
พูดจบตรีอัปสรก็เดินกลับขึ้นบันไดไป ดารินทร์ส่ายหน้า
ณเดชย์เดินเข้ามาในโถงของบ้าน มองไปทางห้องรับแขก แล้วมีสีหน้าแปลกใจ เขาเดินเข้าไปหาบิดาที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่
“เป็นไปได้ยังไงครับเนี่ย วันนี้คุณพ่ออยู่บ้าน”
นายพลอัศวินลดหนังสือพิมพ์ลง มองณเดชย์ขำๆ
“คนเรามันก็ต้องมีช่วงเว้นวรรคกันบ้าง”
ณเดชย์ฉงน “เว้นวรรค เพื่ออะไรครับ พักผ่อนเหรอครับ”
“เฮ้ย ถึงชั้นจะแก่กว่านาย แต่ชั้นก็ยังแข็งแรง เตะปี๊บดังไป 3 บ้าน 8 บ้านเลยนะเว้ย”
“หมายความว่า มีบ้านเล็ก บ้านน้อย 8 บ้านหรือเปล่าครับ” ณเดชน์เย้าหยอก
นายพลอัศวินหัวเราะชอบใจ “ชั้นเน้นคุณภาพ ไม่เน้นปริมาณ”
เสียงคุณหญิงสุดสวาทแหลมเข้ามา “ดีใจจริ๊ง ที่ชั้นยังอยู่ในหมวดคุณภาพ”
พ่อลูกหันไปมอง เห็นคุณหญิงสุดสวาทเดินนวยนาดเข้ามาในชุดสวยงาม ทันสมัย แม้จะขัดกับวัย แต่ใส่แล้วก็ยังดูดี
ณเดชย์ยิ้มเอ่ยทัก “วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา ผมว่าเราน่าจะทานข้าวด้วยกันนะครับคุณพ่อ คุณแม่”
คุณหญิงสุดสวาทบอก “แม่มีนัดแล้ว”
“ก็เลื่อนนัดไปซิ ไอ้พวกเด็กหนุ่มๆ มันไม่กล้าหืออือหรอก” ท่านนายพลดักคอ
คุณหญิงสุดสวาทหน้าตึง “ใครบอกคุณว่าชั้นมีนัดเด็ก”
นายพลอัศวินยิ้มเยาะ หัวเราะหึๆ “ถ้างั้นก็คงมีนัดประชุมสภาสตรีมั้ง ถึงเลื่อนนัดไม่ได้”
“ใช่ค่ะ” คุณหญิงหันมาทางลูกชาย “แล้ววันนี้ทำไม เราถึงได้กลับมาเร็วล่ะ ไม่ไปหาหนูมุกเหรอ”
“ไม่ละครับ วันนี้ผมอยากพัก”
“ทานข้าวกับคุณพ่อไปละกัน..แม่ไปละ”
“แล้วคืนนี้กลับรึเปล่า”
“คุณจะถามทำไมคะ ทำยังกับคุณจะนอนบ้านงั้นละ”
คุณหญิงสุดสวาทพูดจบก็เดินนวยนาดออกไป ลูกกับพ่อหันมามองหน้ากัน
เย็นจวนค่ำ ในร้านเสื้อผ้าผู้ชายในห้าง เห็นแมน ชายหนุ่มอายุราว 23-25 ปี กำลังเลือกชุดอยู่ แมนเอาเสื้อมาทาบตัว
“ตัวนี้เป็นไงบ้างครับ...พี่”
พี่คนนี้ คือคุณหญิงสุดสวาท ที่ยืนกอดอกมอง ทำท่าเหมือนหญิงสาววัยเดียวกัน
“ก็ดีนะ...แมนใส่อะไรก็ดูดีทั้งนั้นละ”
“แล้วตัวนี้ละครับ”
แมนหยิบเสื้ออีกตัวขึ้นมาให้ดู คุณหญิงมองซ้าย ขวา เห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ ก็ขยับมาจับเสื้อเบียดตัวแนบเข้าไป
“ตัวไหน ก็ได้หมด ซื้อไปทั้ง 2 ตัวนั่นล่ะ”
แมนหอมแก้มอย่างเร็ว คุณหญิงออกอาการตกใจใส่จริต ค้อนวงเล็กๆ พองาม
เด็กรับใช้เก็บจานอาหารมื้อค่ำบนโต๊ะ แล้วนำเอาจานผลไม้มาวาง นายพลอัศวินนั่งอยู่กับณเดชย์ 2 คน เด็กรับใช้เดินออกไป
“คืนนี้คุณพ่อไม่ไปบ้านโน้นเหรอครับ”
“ไปซิ”
“คนนี้เหมือนคุณพ่อจะรักจริงนะครับ” ชายหนุ่มถาม
นายพลอัศวินหัวเราะเบาๆ “พ่อก็รักจริงทุกคนนั่นละ”
“รักจริง พร้อมกันหลายๆคนรึเปล่าครับ พ่อ”
ท่านนายพลชอบใจ “ใช่ ของแบบนี้จะเลือกที่รักมักที่ชังทำไม สงสารผู้หญิงเค้า”
“แล้ว...ผู้หญิงก็เต็มใจที่จะแบ่งผู้ชายกันใช้เหรอครับ”
“เรื่องแบบนี้มันเป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่เราต้องคุมเกมให้ได้ จะกี่คน ก็ไม่มีปัญหา ทำไม นี่แกคิดจะมีคนอื่นนอกจากหนูมุกเหรอ”
ณเดชย์ส่ายหน้า “เปล่าครับ ถ้าผมรักใคร ผมรักทีละคน”
อัศวินหัวเราะเย้า “ไม่ได้เลือดพ่อเลยนี่หว่า แต่ก็ดีแล้วละ ท่าทางหนูมุก คงไม่ใจกว้างให้แกมีคนอื่นหรอก”
“ใครจะใจกว้างเหมือนคุณพ่อ คุณแม่ล่ะครับ คุณแม่ก็ใจกว้างให้คุณพ่อมีคนอื่น คุณพ่อก็ใจกว้างให้คุณแม่มีคนอื่นเหมือนกัน”
ผู้เป็นบิดาถอนหายใจ “แม่เราก็เหมือนข้าว ต้องมีไว้ติดบ้าน แต่ไม่ต้องกินทุกมื้อก็ได้ เพราะเราก็ยังอยากกิน ก๋วยเตี๋ยว สปาเก็ตตี้ สเต็ก สลัด ใช่ไม๊”
ณเดชย์สัพยอก “คุณแม่ก็คิดแบบเดียวกับคุณพ่อมั้งครับ”
นายพลอัศวินหัวเราะ “น่าจะใช่นะ”
ท่านนายพลขยับลุกขึ้น ณเดชย์มองตาม
“คุณพ่อจะไปแล้วเหรอครับ”
“ใช่” สีหน้านายพลสูงวัยมีเลศนัย กรุ้มกริ่ม “ช่วงนี้สัญชาตญาณนักล่าของพ่อกำลังพลุ่งพล่าน”
“คุณพ่อล่าใครอยู่เหรอครับ”
นายพลอัศวินหัวเราะ “เอาไว้ล่าสำเร็จแล้วจะบอก”
ผู้เป็นพ่อเดินออกไป ณเดชย์มองตามอย่างครุ่นคิด
ด้านคุณหญิงสุดสวาทเดินคู่มากับแมนโดยเปิดเผย แมนถือถุง 4-5 ใบ ที่ช้อปปิ้งมาด้วย คุณหญิงเดินเข้าไปในร้าน เลือกโต๊ะมุมด้านใน
เสียงพีรวัชร์ดังขึ้น “สวัสดีฮ่ะ...คุณหญิง”
คุณหญิงสุดสวาทหันไปมอง เห็นคุณพีเดินย้วยเข้ามายกมือไหว้ตัวเอง แต่ตามองแมนเขม็ง
“นึกว่าจะไม่เจอใคร ยังอุตส่าห์มาเจอคุณพีเข้าจนได้”
พีรวัชร์ยิ้มหวาน “แหมๆๆ...คุณหญิงขา คนเด่น คนดัง เซเลบ ไฮโซอย่างคุณหญิงสุดสวาท ไปที่ไหนก็ต้องเจอคนรู้จักอยู่แล้วฮ่ะ แล้วนี่ มาช้อปปิ้งเหรอฮะ”
“เมื่อกี้น่ะ ชอปปิ้ง แต่ตอนนี้ชั้นจะพักหาอะไรกิน”
พีรวัชร์มองแมนแล้วหันมาพูดเป็นนัย “ของแถวนี้ น่ากินซะด้วยซิฮะ”
คุณหญิงสุดสวาทยิ้ม “แต่คงกินด้วยกันไม่ได้หรอกน่ะ...คุณพี”
“อุ๊ย...พีไม่กินหรอกฮ่ะ พียังไม่หิว”
“ไม่หิว...แล้วมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ”
“พีนัดแหล่งข่าวไว้น่ะฮ่ะ แต่ไม่ได้นัดที่ร้านนี้น่ะฮะ”
“อ๋อ...งั้นก็รีบไปเถอะ ประเดี๋ยวแหล่งข่าวจะรอ”
“ฮ่ะ” พีรวัชร์ยกมือไหว้ “พีไปนะฮะ” สุดท้ายหันไปทางแมน “ไปนะฮะ”
แมนยิ้มให้พีรวัชร์นิดๆ คุณหญิงมองคุณพีอย่างหมั่นไส้ แล้วพูดดักคอไว้
“หวังว่าคอลัมน์ซุบซิบในหนังสือบีลิฟฉบับหน้า คงไม่มีเรื่องชั้นมา กิน อาหารที่นี่นะ”
คุณหญิงเน้นคำว่า “กิน” เหมือนให้คุณพีรู้
พีรวัชร์ยิ้ม “ไม่มีแน่นอนฮ่ะ คุณหญิงไม่ต้องห่วงฮ่ะ”
คุณหญิงยิ้มหวานตอบ ขู่กลายๆ “ชั้นไม่ได้ห่วงตัวเอง แต่ชั้นเป็นห่วงคุณพีต่างหาก เพราะถ้าเรื่องชั้นออกสื่อก็ต้องเป็นคุณพีนั่นล่ะ คุณพีคงไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวใช่ไม๊ รีบไปเถอะ..อย่าให้แหล่งข่าวรอไม่ดีนะ”
พีรวัชร์ยิ้มจืดๆ “ฮ่ะ”
คุณพีเดินออกไป คุณหญิงสุดสวาทหันมาทางแมน
“สั่งอาหารเถอะ พี่หิวจะแย่แล้ว”
“ครับ”
ที่ร้านอาหารอีกร้านในห้าง เมย์กับริสา สองขาเม้าท์ยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างสนใจ
“เด็กใหม่อีกแล้วเหรอ” เมย์หน้าตื่น
“ยัยคุณหญิงนี่ กินเด็กเป็นยาอายุวัฒนะเลยน่ะ”
พีรวัชร์นั่งอยู่ตรงข้าม “คนนี้หล่อล่ำ ซิกแพค น่ากินสุดๆฮ่ะ แต่...”
ริสาซัก “แต่...อะไรคุณพี”
“แต่เราเม้าท์ได้แค่นี้นะฮะ ห้ามหลุดออกสื่อเด็ดขาด ยัยคุณหญิงเล่นงานพีแน่”
ริสาไม่สน “อูย...แต่รู้กันปากต่อปาก ก็แพร่ไปทั่วแล้ว”
เมย์แทรกขึ้น “จะว่าไปแล้ว ยัยคุณหญิงสุดสวิงนี่ เด็ดกว่าผัวหล่อนอีกนะยะ เมียน้อยท่านนายพลยังแก่กว่ากิ๊กยัยคุณหญิงอีก”
ริสาเอออ “เออ...ใช่ แต่ก็อย่าไปหมิ่นท่านอัศวินนะ ท่านอาจจะเป็นพระยาเทครัวก็ได้น่ะ ยัยดารินทร์น่ะลูกสาวสวยจะตาย ใช่ไม๊ คุณพี”
พีรวัชร์พยักหน้า “ใช่ฮ่ะ สวยมาก...พีว่าหนูตรีเป็นตัวเก็ง นางสาว ณ สยาม ลำดับต้นๆ เลยล่ะฮ่ะ”
“แล้วที่หายตัวไปล่ะ มีคนเม้าท์ว่าไปนอนกับผู้ชายเลยตื่นไม่ทัน” ริสาว่า
พีรวัชร์แก้แทน “อูย....ข่าวมั่วฮ่ะ งานเนี้ยน่าจะเป็นเรื่องแค้นฝังหุ่นของรุ่นใหญ่แล้วบานปลายมาถึงรุ่นเล็กมากกว่า”
เมย์สนใจ “ใครล่ะ รุ่นใหญ่น่ะ ยัยดารินทร์ไปมีเรื่องกับใคร”
พีรวัชร์บอก “แหม...จริงเท็จประการใด พีไม่รู้นะฮะ รู้แต่ว่าคุณดากับคุณสลิลกินเกาเหลากัน”
เมย์กับริสาตาโต เมย์ยกมือทาบอก “อุ๊ยตาย อุ๊ยตาย”
“สลิลกับดารินทร์เหรอ อย่าบอกนะว่าเรื่อง...”
ริสาเว้นวรรค หันมาทางเมย์ เหมือนจะรอให้เมย์พูดต่อ
“ฉกผัว”
“แล้วสลิลไปทำอะไรล่ะ หวังว่าคงไม่ได้ไปกักตัวยัยลูกสาวของดารินทร์ไว้”
เมย์ตาโตอีก “ต๊าย...ถ้าเป็นเรื่องจริงก็มหากาพย์เลยนะนั่น”
“วกมาเรื่องของเราดีกว่าฮ่ะ ตอนนี้มีข่าวอะไรเด็ดๆ มั่งฮะ”
ริสาขายข่าวตัวเองว่า “เอาเรื่องของพี่ก่อนนะ วันก่อนไปงานเลี้ยง พี่ลืมแหวนเพชรไว้ในห้องน้ำ โชคดีนะ ที่นึกขึ้นได้ก่อน เอาไปเขียนได้เลยนะ พี่อนุญาตแหวนเพชร 4 กะรัต”
เมย์ต่อ “เรื่องของพี่ด้วยจ้ะ...”
เกย์บอกอทำทีเป็นตั้งใจฟัง ถึงแม้จะแอบเซ็งที่ สองนางเม้าท์แต่ข่าวเรื่องตัวเอง
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 4 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน นายพลอัศวินในชุดนอน นั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟาห้องรับแขก แต่ไม่ค่อยมีสมาธิเหมือนกำลังรอใครอยู่ ซักครู่หนึ่งตรีอัปสรเดินลงบันไดมาพอเห็นท่านนายพลนั่งอยู่ที่โซฟาก็หลบวูบ เหมือนไม่อยากเจอ
ตรีอัปสรฉากหลบอีกครั้ง เมื่อเห็นดารินทร์ในชุดนอนเดินลงมาหาอัศวิน
“มีข่าวอะไรน่าสนใจเหรอคะ”
นายพลอัศวินหันไปมอง “ก็ข่าวสารการเมืองทั่วๆ ไป...ทำไมเหรอ”
“เปล่าค่ะ...ปกติดาเห็นว่าถ้าคุณขึ้นไปแล้ว จะไม่ลงมาอีก”
นายพลอัศวินหัวเราะ “กลายเป็นคนช่างสังเกต จับผิดไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
ดารินทร์หัวเราะเบาๆ เดินมานั่งเบียด กอดแขนซบอ้อน
“ดาจะจับผิดคุณอัศทำไมล่ะคะ ขึ้นข้างบนกันเถอะค่ะ...นะคะ...นะ”
ตรีอัปสรมองเห็นด้านหลังแม่ที่คลอเคลียอัศวินอยู่ เหมือนไม่อยากเห็นภาพ หล่อนหลบวูบ
“โอเค ขึ้นก็ขึ้น” ท่านนายพลว่า
ดารินทร์หัวเราะเสียงใส ใส่จริตเหมือนสาวน้อย ลุกขึ้นแล้วฉุดนายพลอัศวินให้ลุกตาม ก่อนจะซบและกอดเอวเดินอี๋อ๋อกันขึ้นห้องไป ตรีอัปสรค่อยๆ โผล่ออกมาจากที่ซ่อน มองตามไป วูบหนึ่งเหมือนรับไม่ได้กับสิ่งที่แม่ทำ
แป๋วนั่งพับเสื้อผ้าตัวเองอยู่ในห้องนอน ซักครู่ปิ๋มเดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอ ปิดบ้านเรียบร้อยแล้วใช่ไม๊”
“แล้วจ้ะ”
ปิ๋มทรุดตัวลงนั่ง ทำท่าครุ่นคิด แป๋วมองลูกสาวอย่างสงสัย
“เป็นอะไร นังปิ๋ม....มีอะไร”
“ชั้นว่า...มันมีอะไรแปลกๆ น่ะแม่ เมื่อกี้ชั้นเห็นคุณตรีเหมือนจะหลบหน้าท่านอัศวินกับคุณผู้หญิง”
แป๋วขมวดคิ้ว “แล้วคุณตรีจะหลบหน้าทำไมวะ มั่วแล้วนังปิ๋ม เค้าเป็นแม่ เป็นลูก เป็นพ่อเลี้ยงกัน...จะหลบหน้ากันไปทำไม”
“นั่นซิ ชั้นก็สงสัยเหมือนกัน...ชั้นว่าต้องมีอะไรแน่ๆ เลยแม่”
แป๋วส่ายหน้าแล้วเอ็ดเอา “มันจะมีอะไรก็เรื่องของนาย เอ็งไปยุ่งอะไรด้วย ทำเป็นคนใช้ในละครไปได้ ไป๊ เอาผ้าไปเก็บในตู้ให้แม่ แล้วมานอนได้แล้ว”
“จ้ะ” ปิ๋มทำหน้าเซ็งที่แม่ไม่สนใจ หยิบผ้าไปเก็บในตู้
แป๋วเอนตัวลงนอนโดยไม่สนใจ
ตอนเช้าตรีอัปสรเดินออกมาจากในบ้าน แล้วชะงักเมื่อเห็นนายพลอัศวินเตร่อยู่หน้าบ้าน ตรีอัปสรขยับจะเดินกลับเข้าไป นายพลผู้เป็นพ่อเลี้ยงหันมาเห็นก่อน
“หนูตรี”
ตรีอัปสรหันมามองแล้วยิ้มหวานให้ก่อนจะยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีจ้ะ...เมื่อคืนลุงไม่เห็นหนูตรีเลย”
“ตรีไม่ค่อยสบายค่ะ ปวดหัว ก็เลยขึ้นนอนตั้งแต่หัวค่ำ”
นายพลอัศวินเป็นห่วงออกนอกหน้า “แล้วดีขึ้นรึยัง”
“ดีขึ้นแล้วค่ะ”
“ไปพักผ่อนต่างจังหวัดซัก 2-3 วัน ไม๊ล่ะ ลุงมีบ้านพักอยู่ที่เขาใหญ่ เงียบ สวย อากาศดี เป็นส่วนตัว”
นายพลนักรักเดินเข้าไปใกล้ตรีอัปสร แววตาเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม
“พรุ่งนี้ลุงว่าง หนูขับรถไปก่อน แล้วลุงตามไป เราจะได้อยู่ด้วยกัน”
ตรีอัปสรบ่ายเบี่ยงในที “แล้วตรีจะบอกแม่ว่ายังไงล่ะคะ อีกไม่กี่วัน ตรีก็ต้องไปเก็บตัวกับกองประกวดแล้ว คุณลุงอย่าเพิ่งใจร้อนซิคะ รอให้ตรีได้ตำแหน่งก่อน ตรีสัญญาว่า ตรีจะไม่หนีไปไหน ตรีพร้อมจะเป็นของคุณลุงแน่นอนค่ะ”
นายพลอัศวินขยับเข้ามาจะกอดอย่างเผลอตัว แต่ตรีอัปสรขยับถอยหลังไป
“อย่าค่ะ”
นายพลอัศวินชะงักมองตรีอัปสรที่มีสีหน้าเหมือนกังวลอย่างพิเคราะห์
“หนูตรี....มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่า”
ตรีอัปสรถอนหายใจเบาๆ “ตรีกังวลเรื่องแม่ค่ะ ถ้าแม่รู้เรื่องที่ตรีตอบตกลงกับคุณลุง…”
ตรีอัปสรพูดค้างไว้แค่นั้น นายพลอัศวินมองตรีอัปสรอย่างเชื่อมั่น
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น...ลุงรับผิดชอบเอง”
ตรีอัปสรสบตาพ่อเลี้ยง อัศวินมองอย่างหลงใหล
“ลุงเพิ่งรู้ตัวนะ ว่าลุงรักหนูตรีมาก”
ตรีอัปสรยิ้มให้แล้วหมุนตัวกลับเข้าบ้านไป นายพลอัศวินมองตามตาเชื่อม สองคนไม่รู้ว่าดารินทร์ยืนมองอยู่ข้างบน สีหน้าครุ่นคิดตริตรอง
รถยนต์ของมุกตาภาแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกเข้าบ้านณเดชย์ หล่อนเดินลงมาพร้อมถุงใส่ขนมกล่องใหญ่ เด็กรับใช้เดินออกมารับ
“คุณหญิงแม่ อยู่ไม๊”
“อยู่ค่ะ”
มุกตาภาพยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปด้านใน
ตอนสาย คุณหญิงสุดสวาทนั่งจิบชาอยู่บนโต๊ะ มีนิตยสาร แมกกาซีน วางอยู่ 2-3 ฉบับ บางเล่มเปิดหน้าซุบซิบ ข่าวเซเลบอยู่ คุณหญิงเงยหน้าขึ้นมองเห็นมุกตาภาเดินเข้ามาจึงยิ้มทัก
“อ้าว...หนูมุก”
มุกตาภายกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ...คุณหญิงแม่”
“นัดกับตานะไว้รึเปล่า รู้สึกว่าเค้าไปทำงานแล้วนะ”
“มุกไม่ได้นัดหรอกค่ะ ตั้งใจจะมากราบเยี่ยมคุณหญิงแม่” หญิงสาวยกถุงขนมขึ้นให้ดูยิ้มหวาน “เค้กร้านนี้อร่อยมากค่ะ คุณหญิงแม่ เป็นเค้กเฮลตี้ เพื่อสุขภาพด้วยนะคะ คุณหญิงแม่ไม่ต้องกลัวอ้วนเลยค่ะ”
“ขอบใจมากจ้ะ แค่แวะมาหา แม่ก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องซื้ออะไรมาฝากหรอก”
มุกตาภายิ้มยกมือไหว้ “ขอบพระคุณคุณหญิงแม่ค่ะ ที่เอ็นดูมุก”
คุณหญิงหัวเราะเบาๆ “ไม่ให้แม่เอ็นดูว่าที่ลูกสะใภ้ แล้วจะให้แม่เอ็นดูใครล่ะ”
มุกตาภาทำหน้าสลดเล็กๆ เจียมตัว “มุก คงจะเป็นว่าที่ลูกสะใภ้ไปอีกนานแน่ๆ ค่ะ...เพราะช่วงนี้ มุกไม่ได้เจอคุณนะเลย”
คุณหญิงเลิกคิ้วฉงน “ไม่เห็นตานะบอกแม่เลย หรือจะงานเยอะ”
“มุกก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ถ้ามุกไม่โทร.ไปหา คุณนะก็ไม่เคยโทร.หามุกเลย”
คุณหญิงฉุน “ตายจริง ทำไมตานะถึงได้เหลวไหลอย่างนี้ เดี๋ยวแม่จัดการให้”
“อย่าดีกว่าค่ะ คุณหญิงแม่...คุณนะจะหาว่ามุกมาฟ้องคุณหญิงแม่”
คุณหญิงสุดสวาทมองมุกตาภาอย่างจับสังเกต “หนูมุกกลัวว่า ตานะจะมีคนอื่นรึเปล่าลูก”
“ค่ะ มุกรู้สึกว่าคุณนะ มีคนอื่น”
“ถ้ามีก็เป็นพวกของเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร เป็นแค่ทางผ่าน แต่หนูมุกคือจุดหมายปลายทางของตานะ นะลูก ตานะไม่มีทางเห็นใครดีกว่าหนูมุกหรอก...แม่รับรองได้”
มุกตาภาค่อยๆยิ้มออก เมื่อคุณหญิงรับรองเสียงหนักแน่น
อีกฟาก รถสปอร์ตป้ายแดงจอดอยู่ในบ้าน ตรีอัปสรเดินดูรถอย่างพอใจ แล้วเปิดเข้าไปนั่ง สีหน้าอิ่มเอมมีความสุข ก่อนจะเปิดประตูออกมา พอหันไปเห็นดารินทร์ยืนกอดอกดูอยู่ไม่ห่าง
“สวยไม๊...แม่”
ดารินทร์มองรถ แล้วหันมาทางตรีอัปสร สีหน้าเคร่งขรึม
“ชั้นให้เงินแกไปไม่ถึงล้าน แล้วทำไมแกได้รถสปอร์ตมาห๊ะ ยัยตรี แกไปเอาเงินมาจากไหน”
“ก็เงินที่แม่ให้นั่นแหละ...ตรีเอาไปดาวน์”
“แล้วแกจะเอาเงินที่ไหนไปผ่อนทุกเดือน”
“เอาเถอะน่า...เดี๋ยวตรีจัดการเอง”
ดารินทร์ดักคอ “ไม่ใช่ว่าแกไปขอคุณอัศเค้านะ”
ตรีอัปสรมองแม่ “คิดได้ไงเนี่ย...แม่”
“ชั้นจะไปรู้เหรอ...ก็เห็นพักนี้แกคุยกับคุณอัศบ่อยๆ”
“ที่ถามนี่...เพราะหึงตรีเหรอ”
ดารินทร์หน้าตึงเสียงเข้มทันที “ตรีอัปสร...นี่ชั้นเป็นแม่แกนะ”
ตรีอัปสรย้อน “ตรีไม่ลืมหรอกค่ะ ว่าแม่เป็นแม่ แต่ที่แม่พูด แม่คิดรึเปล่าว่าตรีเป็นลูกแม่ ถ้าตรีคิดจะขอเงินจากคุณลุง ตรีจะมาขอเงินแม่ทำไม...แล้วถ้ากลัวว่าจะต้องเดือดร้อนผ่อนรถให้ตรี ก็ไม่ต้องกลัวนะ ตรีจัดการเองได้”
พอพูดเท่านั้นตรีอัปสรก็เปิดประตูรถสปอร์ต แล้วขับออกไปเลย ดารินทร์มองตามอย่างโกรธขึ้ง
เช้าวันนี้ กองประกวดนางสาว ณ สยาม นัดหมายสาวงามมาเรียนการแต่งหน้าทำผมที่สถานีโทรทัศน์ไทยเท็น จึงเห็นเจ๊หนึ่ง วรัญญา ทิปปี้ ภารดี พากันเดินเข้าไปในตึกสถานี
สาวงามคนอื่นๆ เดินกันอยู่ด้วย รวมทั้ง กัลยาณีและดาราวรรณด้วย จังหวะนี้รถสปอร์ตของตรีอัปสรแล่นปราดผ่านไป ทุกคนมองตามไปอย่างสนใจ
วรัญญาถามขึ้นทันที “ใครอ่ะ เจ๊”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
ทิปปี้กัด “ต๊าย...เป็นพี่เลี้ยงนางงามภาษาอะไรยะ นังเจ๊หนึ่ง หูตาไม่ไวเลย”
“อุ๊ย ใครจะจมูกมด ตาผี เหมือนหล่อนล่ะยะ นังทิปปี้.....”
เจ๊หนึ่งลากเสียงคำว่า “ปี้” ยาว
“เค้าเรียกว่า ความสามารถพิเศษย่ะ”
ภารดีเอ่ยขึ้น “แต่คงไม่ต้องใช้ความสามารถพิเศษของพี่ทิปปี้แล้วละ เพราะดีรู้แล้วว่าเป็นใคร”
วรัญญาพูดต่อให้ “ยัยตรีอัปสร”
ทุกคนหันไปมองที่ลานจอดรถห่างออกไป เห็นตรีอัปสรกดรีโมทล็อครถแล้วเดินเชิดตรงมา
ไม่นานต่อมา ภายในในห้องประชุมสถานีโทรทัศน์ไทยเท็น บรรดาสาวงามนั่งเรียงกันอยู่ตามเลขประจำตัว ตรีอัปสรนั่งคู่กับอรสินี โดยด้านหน้าห้องประชุม อาจารย์ดรีมริกา ยืนอยู่กับเมคอัพอาร์ทิสต์ชื่อดัง
“สวัสดีค่ะ สาวๆ วันนี้ถือว่าเป็นวันแรกของการเก็บตัวสาวงามทั้ง 20 คนนะคะ แต่จะเป็นการเก็บตัวแบบไป-กลับ รวม 2 วัน เราจะเข้าคอร์สแต่งหน้า ทำผม เพื่อให้น้องๆทุกคนมีพื้นฐาน สามารถดูแลตัวเองได้ วันนี้เราได้รับเกียรติจากคุณกุ๊กไก่ เมคอัพอาร์ตทิสชื่อดังมาแนะนำ เคล็ดลับการแต่งหน้า และคุณป๊อกกี้ แฮร์สไตล์ลิสต์ชื่อดังมาแนะนำ และสอนวิธีการทำผมอย่างง่ายๆ แต่ได้ใจความ สวยงามค่ะ ขอเชิญอาจารย์กุ๊กไก่ค่ะ”
อาจารย์กุ๊กไก่ทักทาย “สวัสดีฮ่ะ น้องๆ ทุกคน”
ส่วนที่ห้องทำงานคุณดิษฐ์เวลาเดียวกันนั้น มุกตาภายื่นแฟ้มเอกสารส่งให้บิดาและพี่ชายคนละชุด มีรัตน์อยู่ด้วย
“นี่เป็นตารางเวลาของสาวงามทั้ง 20 คนค่ะ ตั้งแต่เก็บตัววันนี้จนถึงวันตัดสิน”
คุณดิษฐ์เปิดอ่าน “โหวตขวัญใจประชาชนก็เริ่มวันนี้ เป็นวันแรกเหรอ”
“ค่ะ”
รัตน์เสริม “แล้ววันนี้ก็เป็นวันแรกที่เราจะมีรายการ “ต้องขยาย” เป็นรายการที่เจาะลึกสาวงามแต่ละคนค่ะ”
“แล้วกระแสตรีอัปสรเป็นไงบ้าง” คุณดิษฐ์ถาม
ชญานนท์บอก “ก็ซาไปแล้วครับ”
คุณดิษฐ์มองมุกตาภา ชญานนท์ และรัตน์ พูดด้วยเสียงหนักแน่น
“ผมต้องการเรตติ้ง...ไม่ซิ...ผมต้องพูดว่า เราต้องการเรตติ้ง ถึงจะถูก เราไม่ได้ต่อสู้กับช่องฟรีทีวีแค่นั้นนะ ยังมีช่องดาวเทียม เคเบิ้ลอีกเป็นร้อยช่อง ที่เรามองข้ามไม่ได้ อะไรที่มันจะเป็นข่าว เป็นตัวเพิ่มเรตติ้ง เราต้องทำ” คุณดิษฐ์มองมายังชญานนท์ “นนท์รู้ใช่ไม๊ว่าพ่อหมายถึงอะไร”
“ทราบครับ”
คุณดิษฐ์พยักหน้าพอใจ มุกตาภามองพ่อแล้วหันไปมองรัตน์
ส่วนที่ห้องประชุม เครื่องสำอางวางอยู่ด้านหน้าของสาวงามทุกคน คนละชุด โดยมีกุ๊กไก่ กำลังอธิบายการกรีดอายไลน์เนอร์
“คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอนของการกรีดตากันนะคะ เชื่อว่าน้องๆ เกือบทุกคนคงจะคุ้นเคยกันดี บางคนบอกว่าถ้าไม่ได้กรีดตา ไม่กล้าออกจากบ้านกันเลยทีเดียว วันนี้ อาจารย์กุ๊กไก่ จะมาแนะนำเคล็ดลับการกรีดอายไลน์เนอร์ให้ติดทนนานและสวยคมสมใจนึกนะคะ เริ่มต้นจากต้องใช้มือและก้านสำลีเช็ดรองพื้น เช็ดครีมต่างๆที่ติดอยู่ที่เปลือกตาออกให้หมดก่อน”
บรรดาสาวงามเริ่มต้นทำตามขั้นตอนที่กุ๊กไก่สอน
สาวงามหยิบดินสอมาแล้วหัดกรีดตา โดยกุ๊กไก่ทำนำให้ดูทุกขั้นตอน ภารดี แอบมองตรีอัปสรอย่างหมั่นไส้ ตรีอัปสรหยิบดินสอขึ้นมาจะกรีดตา ภารดีทำเป็นลุกขึ้นถือดินสอออกมา
พอกุ๊กไก่พอเดินไปใกล้ๆ ตรีอัปสร ภารดีก็แกล้งสะดุดขาตัวเองถลาไปชนตรีอัปสรซึ่งกรีดตาอยู่ แต่ตรีอัปสรเบี่ยงตัวไปทางอรสินีเพื่อหยิบสำลพอดี ทำให้ภารดีไม่โดนตรีอัปสร แต่ล้มลงไปเอง ร้องลั่น
“ว้าย”
ทุกคนหันมามอง พี่เลี้ยงเข้ามาประคอง รวมทั้งกุ๊กไก่และดรีมริกา
“เจ็บไม๊หนู....มีแผลรึเปล่า” กุ๊กไก่ถาม
“เดินยังไงจ๊ะเธอ....ถึงได้จับกบ” ดรีมิกาตำหนิ
ตรีอัปสรไม่ขยับลงไปช่วย แต่มองภารดีอย่างรู้ทัน ขำแกมสมเพช ภารดีหันมาเห็นแววตานั้นพอดี ก็ยิ่งโกรธแค้น แต่ทำอะไรไม่ได้
เย็นแล้ว ทิปปี้กับภารดีเดินเข้ามาที่ลานจอดรถ สีหน้าภารดีหงุดหงิดเอามาก
“เจ็บใจจริงๆ นี่ถ้านังตรีอัปสรมันไม่เอี้ยวตัวไปหยิบของนะ รับรองมันได้กรีดตาสมใจแน่”
ทิปปี้สยอง กลืนน้ำลาย “ถ้าโดนเข้าไปเต็มๆ มันไม่ใช่กรีดตาแล้วแต่มันทิ่มตาบอดเลยนะนั่นน่ะ จะโหดไปไม๊”
ภารดีไม่สนใจ “จะตัดคู่แข่งออก มันก็ต้องโหด ต้องแรง...ไม่งั้นจะตัดได้เหรอ”
“แล้วมันตัดได้ไม๊ล่ะ ดีเท่าไหร่แล้วที่แข้งขาไม่มีแผล ไม่งั้นแทนที่จะตัดนังนั่น กลายเป็นตัดตัวเองออกมา” ทิปปี้กัด
ภารดีถอนหายใจฟืดฟาด อย่างรำคาญ “เฮ้อ...จะบ่นอะไรนักหนาเนี่ย พี่ทิปปี้”
“จะทำอะไรก็ต้องคิดให้รอบคอบก่อน...ได้มันจะไม่คุ้มเสีย”
“แต่คราวเนี้ย ถึงจะพลาดเรื่องนึง แต่ก็ได้ประโยชน์อีกเรื่องนึงนะ...พี่ทิปปี้...คอยดูข่าวคืนนี้แล้วกัน”
ภารดียิ้มอย่างพึงใจ ในท่าทีหมายมาด
ภาพจากจอทีวีในห้องโถงบ้านดารินทร์คืนนี้ นักข่าว ศรศรี มณีศิลป์ กำลังรายงานข่าวอยู่ในห้องประชุมที่เก็บตัวสาวงามทั้ง 20 คน
“ในวันแรกของการเก็บตัวสาวงามทั้ง 20 คน เป็นไปอย่างเรียบร้อย ถ้าไม่นับอุบัติเหตุนิดหน่อยที่เกิดขึ้นระหว่างการแนะนำเทคนิคการแต่งหน้าโดย อาจารย์กุ๊กไก่ค่ะ เรื่องเกิดขึ้นจากสาวงามหมายเลข 11 คุณภารดี มีสมทรัพย์ สะดุดล้มลงไปอย่างแรง โชคดีที่ไม่มีแผล และไม่เป็นอะไรมากนะคะ เราไปคุยกับเธอดีกว่าค่ะ”
ภารดี ยืนทำหน้าเรียบร้อย ไร้เดียงสา สวย หวานสุดฤทธิ์
“หนูดีกำลังจะเดินไปหาอาจารย์กุ๊กไก่ แล้วพอเดินผ่านโต๊ะของเพื่อนหนูดีก็สะดุดล้มค่ะ”
“สะดุดอะไรคะ”
“หนูดีก็ไม่แน่ใจค่ะ ว่าเป็นขาของใครหรือว่าจะเป็นอย่างอื่น” ภารดีพูดเป็นนัย
“หมายความว่า มีคนขัดขาคุณภารดีเหรอคะ”
“หนูดีไม่แน่ใจค่ะ”
“แล้วไปล้มที่โต๊ะไหนคะ” ศรศรีซัก
“โต๊ะของคุณตรีอัปสรค่ะ แต่หนูดีไม่คิดว่าจะเป็นคุณตรีอัปสรนะคะ ที่ขัดขาหนูดีล้ม”
จู่ๆ จอทีวีดับวูบลง ดารินทร์ซึ่งกำลังดูอยู่อย่างสนใจ หันไปมองเห็นตรีอัปสรเป็นคนกดรีโมทปิดทีวี
“ปิดทำไม ชั้นจะดูว่านังนั่นมันจะดราม่าไปถึงไหน”
“อย่าไปสนใจเลยแม่...รกหู รกตา รกสมองเปล่าๆ”
“แล้วแกไปขัดขาเค้าจริงๆรึเปล่า”
ตรีอัปสรถอนหายใจเฮือก “ตรีจะโง่ลดตัวลงไปทำอย่างนั้นทำไม ยัยหนูดี หนูเลวเนี่ย มันไม่อยู่ในสายตาของตรีซักนิด ไม่ใช่คู่แข่งตรีเลย”
ดารินทร์พยักหน้าครุ่นคิด “นั่งนี่มันแสบจริงๆ ไปเก็บตัวที่เชียงราย แกต้องระวังตัวไว้นะ มันประกาศสงครามออกสื่อซะขนาดนี้”
“ค่ะ ตรีจะระวังตัว แต่มันก็ต้องระวังตรีด้วยเหมือนกัน...ตรีไม่ยอมเป็นคนถูกกระทำข้างเดียวหรอก”
ตรีอัปสรพูดจบก็ขยับจะเดินออกไป ดารินทร์มอง
“แล้วนั่นแกจะไปไหนอีกหะ แหม...พอมีรถสปอร์ตนี่ อยู่ไม่ติดบ้านเลยนะ”
ตรีอัปสรอมยิ้ม “ก็นิดนึงน่ะแม่ ออกไปช่วยเพิ่มรถติด...กลับไม่ดึกหรอก”
พูดจบตรีอัปสรก็เดินออกไป ดารินทร์มองตามหมั่นไส้ลูกสาวนิดๆ
ภาพในจอทีวีบ้านสลิลทิพย์ เป็นภาพวีทีอาร์ ที่อรสินียกมือไหว้แนะนำตัวเองอย่างแช่มช้อย แต่มั่นใจ สลิลทิพย์นั่งดูอยู่อย่างพอใจ ก่อนจะหันไปทางอรสินี
“แม่ว่างานนี้อรของแม่ต้องกวาดทุกรางวัลแน่”
อรสินีมองสลิลทิพย์เหมือนเป็นคำถามว่า “ทำไมแม่ถึงคิดแบบนั้น”
สลิลทิพย์ทำหน้าเซ็งใส่ “ยัยอร....ต่อไปนี้แกต้องหัดเปิดหูเปิดตาให้กว้างเข้าไว้ รู้เค้ารู้เรา รบกี่ครั้งก็ชนะทุกครั้ง เห็นข่าวเมื่อกี้นี้ไม๊ ยัยหนูดีอะไรนั่นมันประกาศศึกกับนังตรีอัปสร แล้วคอยดูนะ มันต้องมีคนอื่นมาร่วมวงด้วยให้มันตีกันไป อรอยู่เฉยๆ รอรับมงกุฎ รอรับคะแนนโหวตขวัญใจประชาชนไป แม่เชื่อว่าอรลอยลำแน่”
อรสินีรับเสียงอ่อย “ค่ะ”
สลิลทิพย์มองอย่างตำหนิ เกิดอาการของขึ้น เมื่ออรสินีรับคำอ่อยๆ
“ยัยอร ให้มันกระตือรือร้น มั่นใจกว่านี้ได้ไม๊ แม่ขอร้องให้อรเข้าประกวด แต่ไม่ได้บังคับนะ อรสมัครใจเองใช่ไม๊”
เสียงอติรุจดังขึ้น “โอ้โฮ้....ต้อนเข้ามุมเลยนะครับ...คุณแม่”
สลิลทิพย์หันไปมองอติรุจอย่างหงุดหงิด
“มาได้จังหวะทุกครั้งเลยนะ ตารุจ”
อติรุจหัวเราะ ไม่วายที่จะกัดตามเคย “มาได้จังหวะหรือมาขัดจังหวะครับ”
อาชัญเดินตามหลังอติรุจเข้ามาด้วย
“กำลังอบรมนางงามก่อนเก็บตัวเหรอ”
“มาคู่เลย วันนี้...ทำไมกลับพร้อมกันได้ล่ะ พ่อลูก”
“ก็อยากกลับมาทานข้าว พร้อมหน้าพร้อมตาบ้าง อีก 2 วัน ลูกสาวก็จะไปเชียงรายแล้ว”
“ก็ดีเหมือนกัน”
อติรุจหันไปทางอรสินี “ไง เรา...เงียบเชียว”
อรสินียิ้มแห้งๆให้พี่ชาย อติรุจดึงแขนอรสินีให้ลุกขึ้น
“มากับพี่ พี่มีอะไรจะให้”
สองพี่น้องออกไป อาชัญมองตามไป ส่วนสลิลทิพย์ค้อนตามหลังไป อย่างรู้ทัน
“ตารุจนี่แผนสูงขึ้นทุกวัน กลัวชั้นจะบ่นยัยอรต่อ รีบแยกไปเชียว”
“ผมไปล้างมือก่อนนะ”
อาชัญแยกไปอีกทาง เหลือสลิลทิพย์บ่นบ้า หงุดหงิดอยู่คนเดียว
“แต่ละคน...ไม่ได้อย่างใจเล้ย”
อติรุจเดินมาอีกมุมกับน้องสาว หันมามองอรสินีอย่างเห็นใจ
“พี่สงสารอรจริงๆ แต่ไม่รู้จะช่วยยังไง”
อรสินียิ้มบางๆ “อรไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่รุจ มนุษย์เรามีสัญชาติญาณการเอาตัวรอดกันทุกคน อรก็ต้องหาทางออกให้ตัวเองจะได้รอด”
อติรุจหัวเราะเบาๆ “อดทน แล้วก็ยอมรับสภาพนี่ถือว่าเป็นทางออกเหรอ”
“ก็ปรับตัว ปรับใจไงคะ คนเราเปลี่ยนแปลงกันได้ค่ะ พี่รุจ”
“แล้วคุณแม่บ่นอะไร”
“ก็ไม่เกี่ยวกับอรหรอกค่ะ เป็นเรื่องตรีน่ะค่ะ อรอยากให้พี่รุจคุยกับตรีเตือนตรีบ้าง อรเป็นห่วงตรีคะ”
อติรุจถอนหายใจ สีหน้ากังวลนิดๆ
“นี่เค้าประกวดนางงามหรือทำสงครามกันแน่”
รถสปอร์ตของตรีอัปสรจอดอยู่ หล่อนกำลังยกมือไหว้ณเดชย์อยู่
“ขอบคุณคุณนะมากนะคะ ตรีชอบมากค่ะ”
ณเดชย์เอื้อมมือไปจับมือตรีอัปสร แล้วดึงเข้ามากอด
“ผมดีใจที่ตรีชอบ ผมอยากให้ตรีมีความสุขน่ะ”
ตรีอัปสรพูดเสียงหวานอยู่ในอ้อมอกของณเดชย์ “ตรีมีความสุขมากค่ะ”
ณเดชย์ก้มลงจูบเรือนผมตรีอัปสร “ไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่านะ”
ตรีอัปสรขยับตัวออกมองณเดชย์ตาฉ่ำ “ตรีอยากไปนะ แต่เราทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ”
ณเดชย์อ้อนออด “ตรี ไม่มีใครเห็นหรอก เชื่อผมซิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ตรีไม่อยากทำร้ายจิตใจคุณมุก คุณเองก็เหมือนกัน วันนี้คุณต้องทำหน้าที่คู่หมั้นของคุณมุกให้สมบูรณ์ที่สุด อย่าให้ใครตำหนิได้แล้วที่สำคัญ อย่าให้ใครรู้เรื่องของเราเด็ดขาด”
ณเดชย์เหนื่อยหน่าย “ทำไมความรักของเราถึงได้มีอุปสรรคมากแบบนี้นะ”
“คุณนะต้องใจเย็นๆนะคะ .ตรีเชื่อว่าซักวันเราต้องผ่านอุปสรรคพวกนี้ไปได้ค่ะ”
ตรีอัปสรเบียดซุกตัวเข้าไปอีก ณเดชย์กอดกระชับสีหน้าอิ่มเอมไปกับคำหวานนั้น โดยไม่เห็นว่าตรีอัปสรทำสีหน้าทั้งเซ็งและเอือมเพียงไหน
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 4 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา ภาพข่าวสัมภาษณ์ภารดีเมื่อคืนนี้ปรากฏอยู่ในจอทีวีภายในห้องทำงานกรรมการผู้จัดการช่องไทยเท็น โดยมีคุณดิษฐ์ นั่งอยู่กับชญานนท์ มุกตาภา และรัตน์ที่กำลังรายงานอยู่
“เมื่อคืน หลังจากที่ข่าวนี้ออกไป เว็บแทบจะล่มค่ะ มีคนมาแสดงความคิดเห็นสารพัดเลยค่ะ”
“ถ้าข่าวที่ออกไปมีสีสันแบบนี้ เรตติ้งพุ่งแน่”
“แต่ผมว่าถ้ามีแต่เรื่องแบบนี้บ่อยๆ มันก็น่าจะน่าเบื่อ ไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้วนะครับ” ชญานนท์ดูจะไม่ชอบใจนัก
“ก็ต้องดูจังหวะซิ แล้วที่สำคัญ เราก็ไม่ได้เต้าข่าวขึ้นมาเอง เรื่องที่เกิดมันจริงทั้งนั้น เราแค่ขยายกระจายข่าวให้คนรู้” คุณดิษฐ์บอก
“ใช่ค่ะ หน้าที่ของเราก็คือ จับตาสาวๆ ทั้ง 20 คนไว้ แล้วก็เลือกว่าจะเอาเรื่องของใครมาเป็นประเด็นออกสื่อ” รัตน์เสริม
“เน้นตัวเก็งที่กรรมการเล็งๆ ไว้ก็ดี เพราะหลังจากประกวดแล้ว นางสาวณ สยาม กับรองจะมีงานต่อ”
รัตน์รับ “ค่ะ”
คุณดิษฐ์หันไปทางลูกสาวที่เอาแต่เงียบ “ว่าไงมุก เก็บข้อมูลอย่างเดียวเลยรึไง”
“ค่ะ...มุกจะช่วยคุณรัตน์ดูสาวๆ ตอนอยู่เชียงรายเองค่ะ”
คุณดิษฐ์พยักหน้า “พ่อจะรอดูข่าวอยูที่นี่นะ”
“ค่ะ อืม...มุกขอตัวก่อนนะคะ...มุกมีนัด”
มุกตาภาลุกขึ้นออกไป ชญานนท์มองอย่างแปลกใจเล็กๆ
ชญานนท์เดินมาตามทาง จนถึงด้านหน้าสถานี เมื่อมองไปยังลานจอดเขาเห็นรถสปอร์ตคันหนึ่งจอดอยู่ มุกตาภาขึ้นรถคันนั้นไป ชญานนท์มองรถอย่างพิจารณา สีหน้าครุ่นคิด
มันเป็นรถหรูที่เหมือนชญานนท์จะเคยเห็นมาก่อนแต่เขานึกไม่ออก รถแล่นออกไปแล้ว ชญานนท์ยังยืนมองนิ่งอยู่ จนรัตน์เดินมามองท่าทีแปลกใจ
“มีอะไรรึเปล่าคะ คุณนนท์”
“เปล่าครับ...ไม่มีอะไร”
“อย่าบอกนะคะ ว่าคุณนนท์ห่วงน้องสาวที่ไปกับคู่หมั้น” รัตน์ยิ้มเย้า
ชญานนท์ขมวดคิ้ว “คู่หมั้น...นั่นรถนายนะเหรอครับ”
คุณรัตน์ยิ้ม “ค่ะ รถแพงขนาดนั้น ต้องระดับคุณณเดชย์ ลูกชายท่านนายพลอัศวินเท่านั้นล่ะค่ะ”
ชญานนท์พยักหน้ารับช้าๆ สีหน้าหมกมุ่นครุ่นคิด
รถสปอร์ตแล่นเข้ามาจอดยังลานจอดรถร้านอาหารแห่งหนึ่ง ในรถณเดชย์มีสีหน้านิ่งเฉย มุกตาภาซึ่งนั่งมาด้วยมองณเดชย์อย่างพยายามระงับอารมณ์
“ถ้าคุณนะไม่อยากมา ก็ไม่เห็นต้องฝืนใจมารับมุกเลยค่ะ”
“ผมไม่ได้ฝืนใจ แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาสั่งผม” ณเดชย์แดกดัน
“มุกก็ไม่ได้สั่งอะไรนี่คะ”
“มุกไม่สั่ง แต่มุกไปหาคุณแม่ แล้วให้คุณแม่สั่งผม”
“คุณก็บอกคุณแม่ซิคะ ว่าคุณไม่ชอบให้ใครสั่ง คุณไม่ชอบมุกแล้ว...คุณอยากถอนหมั้นกับมุก”
ณเดชย์เซ็ง “ไปกันใหญ่แล้วมุก”
มุกตาภาโพล่งขึ้นมา “ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครคะ”
ณเดชย์อารมณ์เสีย “พูดอะไรเนี่ย”
“มุกถามว่ามันเป็นใคร”
ณเดชย์โมโหแล้ว “เลิกคิดเอง เออเองได้แล้ว มุกตาภา ผมไม่มีใครทั้งนั้น ผมงานยุ่ง คุณก็น่าจะรู้”
มุกตาภามองณเดชย์ “มุกรู้แล้วค่ะ”
“รู้แล้ว แต่ก็ยังงอแง” ณเดชย์พยายามใจเย็น “ผมงานยุ่งจริงๆ อย่าคิดมากซิ ไป๊ ไปทานข้าวกันเถอะ ผมหิวแล้ว...นะ”
ณเดชย์พยายามอ้อนเปลี่ยนอารมณ์ เพื่อให้บรรยากาศดีขึ้น
“จะงอนให้ผมเป็นโรคกระเพาะเลยรึไง ไปทานข้าวเถอะ ผมหิวจริงๆ นะ”
มุกตาภาพยายามจะทำหน้านิ่งๆ แต่พอเจอณเดชย์อ้อนก็อดยิ้มกับคำพูดนั้นไม่ได้ มุกตาภาพยักหน้ารับแต่ยังมีฟอร์มอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเดินนำลงจากรถไป
ณเดชย์แอบถอนหายใจโล่งอกเล็กๆ ก่อนจะลงรถไป
แพรวกับแจนเพื่อนมุกตาภานั่งอยู่ในร้านอาหารก่อนแล้ว แพรวนั่งหันหน้าไปทางประตูทางเข้าร้าน เพิ่งทานอาหารเสร็จ บนโต๊ะมีแก้วกาแฟ ที่ประตูร้านเปิดออก ณเดชย์เดินนำมุกตาภาเข้ามา มุกตาภาเห็นแพรวพร้อมกับที่แพรวเห็นมุกตาภา
มุกตาภาทัก “แพรว”
แพรวทักตอบ “มุก”
มุกตาภาหันไปทางณเดชย์ เหมือนจะชวนไปหาเพื่อน แต่ณเดชย์ชิงพูดขึ้นก่อน
“คุณไปคุยกับเพื่อนเถอะ ผมไปหาโต๊ะนั่งก่อน”
“ไปทักทายเพื่อนมุกก่อน ไม่ได้เหรอคะ”
มุกตาภาชักสีหน้านิดๆ ณเดชย์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะพยักหน้า แล้วเดินไปกับคู่หมั้น แพรวลุกขึ้นเดินมาหา
“สวัสดีค่ะ คุณนะ สบายดีนะคะ”
“สบายดีครับ” ณเดชย์ยิ้มทักตามมารยาท
“ไม่ได้เจอคุณนะเลย หลังงานหมั้น จนกลับมาจากอังกฤษ”
“ครับ”
ณเดชย์เหมือนถามคำตอบคำ แพรวรู้สึกได้เลยหันมาทางมุกตาภา
“สงสัยคุณนะจะหิวแล้วละ มุก”
“ย้ายโต๊ะไปนั่งด้วยกันไม๊”
“ไม่ละ แพรวอิ่มแล้ว ต้องรีบไปธุระกับแจนด้วย”
มุกตาภามองไปที่โต๊ะเพื่อน เห็นแจนหันมายิ้มให้
แพรวพูดกับณเดชย์ “เชิญเถอะค่ะ คุณนะ” แล้วจึงหันมาทางมุกตาภา “ไปเถอะ มุก แล้วค่อยเจอกัน”
มุกตาภาพยักหน้ารับ แพรวหันไปทางณเดชย์ “แพรวขอตัวนะคะ”
“ครับ”
ณเดชย์เดินแยกไป มุกตาภาหันมาทางแพรว “ไปนะ”
“โอเค แล้วค่อยโทร.หานะ”
มุกตาภาเดินไปหาณเดชย์ แพรวเดินแยกไป
ขณะที่ณเดชย์กำลังเปิดเมนูดูอยู่ มุกตาภาเดินมานั่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น
“ผมสั่งให้มุกเลยนะ เอาง่ายๆ ผมหิวจริงๆ”
มุกตาภาซึ่งไม่ค่อยพอใจท่าทีณเดชย์ที่ออกอาการเฉยชากับแพรว คลายสีหน้าลง
“ค่ะ”
ณเดชย์พูดกับบริกร “ข้าวผัดปลาสลิด 2 แล้วก็ชาเย็น 2”
มุกตาภาฝืนยิ้มให้ณเดชย์ ไม่อยากให้เสียบรรยากาศ
แพรวกับแจน เปิดประตูเดินออกมาจากร้านอาหารแล้ว
“ท่าทางเพื่อนซี้แพรว รักคู่หมั้นมากน่ะ” แจนว่า
แพรวขำๆ “อ้าว ถ้าเค้าไม่รักกัน แล้วเค้าจะหมั้นกันทำไม”
แจนค้อนเล็กๆ “ย่ะ ชั้นหมายถึง ผู้หญิงดูจะรักผู้ชายมากกว่า”
แพรวเห็นด้วย “จริงอ่ะ นี่ เพื่อนชั้นออกนอกหน้า ขนาดนั้นเลยเหรอ”
แจนหัวเราะ “เออ รักเพื่อนจนดูไม่ออกเลยรึไง”
แพรวไม่ตอบแต่หัวเราะขำ ก่อนจะพากันเดินไปที่รถ
ตรีอัปสรเดินมานั่งบนเตียง หยิบน้องหมีเป็นหนึ่งขึ้นมากอด สีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบมือถือมาแต่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมาก่อน ดูเบอร์แล้วจึงกดรับสาย
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ คุณพี”
เสียงพีรวัชร์ดังมาทางปลายสาย “น้องตรีจ๋า อยู่ไหนเอ่ย พี่มีเรื่องสำคัญจะบอกจ้ะ”
“เรื่องอะไรคะ”
“บีลิฟเล่มใหม่ปกคุณตรีอัปสรวางแผงแล้วนะจ๊ะ สวยมาก” คุณพีลากเสียงยาว
ตรีอัปสรตื่นเต้น “เหรอคะ”
“อยากเห็นไม๊....เดี๋ยวพี่เอาไปให้ดู”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวตรีออกไปหาซื้อเอง ขอบคุณมากนะคะ ที่โทร.มาบอก สวัสดีค่ะ”
ตรีอัปสรกดตัดสาย ทำท่าคิดแล้วกดโทร.ออกอีกครั้ง มือยังกอดหมีอยู่
“ฮัลโหล คุณรุจเหรอคะ ตรีเองค่ะ พรุ่งนี้ตรีต้องไปเก็บตัวที่เชียงรายแล้ว ตรีอยากพบคุณรุจก่อนไป ได้ไม๊ค่ะ”
ตอนสายในวันถัดมา รถสปอร์ตของตรีอัปสรแล่นมาจอดที่ลานจอดรถ หล่อนลงจากรถแล้วเดินไปที่ตึกออฟฟิศ
ต่อจากนั้น ประตูห้องทำงานอติรุจเปิดออก แลเห็นพนักงานหญิง 1 เดินนำตรีอัปสรเข้ามา
“คุณตรีอัปสรมาแล้วค่ะ”
อติรุจ นั่งคุยงานอยู่กับชญานนท์ ทั้งคู่หันไปมอง ตรีอัปสรชะงักไปนิด เพราะไม่คิดว่าชญา
นนท์จะอยู่ด้วย
อติรุจยิ้มทัก “ตรี”
“สวัสดีค่ะ...เออ...ตรีมารบกวนเวลาทำงานคุณรุจรึเปล่าคะ”
อติรุจยิ้มกว้าง “ถ้ารบกวนผมจะชวนตรีให้มาที่นี่เหรอ ผมกับนนท์คุยงานกันเสร็จแล้ว”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “แน่นะคะ ตรีรู้สึกผิดเลยนะคะเนี่ย”
ชญานนท์ยิ้มบางๆ “เรื่องแค่นี้ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกครับ เอาไว้รู้สึกผิดกับเรื่องใหญ่ๆ ดีกว่า”
อติรุจไม่เข้าใจความนัย คำพูดของชญานนท์ ในขณะที่ตรีอัปสรรู้สึกผิดปกติ หล่อนมองชญานนท์อย่างท้าทาย
“คุณนนท์หมายถึงอะไรคะ”
ชญานนท์บอกเรียบๆ “ก็ตามที่พูดนั่นละครับ ไม่มีอะไรซับซ้อน”
อติรุจเห็นตรีอัปสรเครียด จึงช่วยแก้ให้ “นนท์เค้าไม่อยากให้ตรีรู้สึกผิดที่มาหาผมไง ใช่ไม๊นนท์”
“ก็ทำนองนั้น” ชญานนท์ขยับลุกขึ้น “ชั้นว่า ชั้นกลับก่อนดีกว่า”
“อ้าว จะรีบไปไหนล่ะ ไปทานข้าวด้วยกันก่อนซิ”
“ไม่ดีกว่า...ชั้นมีนัด”
“ชั้นตั้งใจจะโทร.หาน้องอร ชวนไปทานข้าวด้วยกัน”
ชญานนท์แหย่ “ชั้นกับน้องอรเจอคุณตรีบ่อยกว่านายอีก ใช่ไม๊ครับ คุณตรี”
“ค่ะ ตรีเจอคุณอรกับคุณนนท์ ที่กองประกวดน่ะค่ะ”
“นายไปทานกับคุณตรีเถอะ จะได้มีเวลาคุยกันนานๆ ชั้นไปนะ”
ชญานนท์หันไปก้มหัวให้ตรีอัปสรก่อนจะเดินออกไป อติรุจหันมาทางตรีอัปสร
“หิวรียังตรี ผมขอเคลียร์งาน 10 นาทีนะ”
ตรีอัปสรยิ้มให้แล้วพยักหน้า มองอติรุจอย่างอ่อนโยน
ไม่นานต่อมา อรสินีเดินนำน้อยซึ่งถือถาดของว่างตามเข้ามา
“ทำไมวันนี้มาหาอรได้ล่ะคะ”
น้อยวางถาดของว่างแล้วเดินออกไป ชญานนท์จึงตอบ
“ก็คิดถึงไงคะ พรุ่งนี้น้องอรก็ต้องไปเก็บตัวแล้ว”
อรสินีหัวเราะเบาๆ “ทำยังกับจะไม่เจอกันนะคะ อรไปเก็บตัว พี่นนท์ก็ไปอยู่ใกล้ๆ”
“อยู่ใกล้ก็เหมือนไกล พี่มาหาก่อนดีกว่า”
อรสินีถามขึ้น “อรจะได้นอนห้องเดียวกับตรีไม๊คะ”
ชญานนท์พยักหน้า “คิดว่าห้องเดียวกันนะคะ”
อรสินียิ้มดีใจ “ดีจังเลยค่ะ อรจะได้มีเพื่อน”
ชญานนท์มองอรสินีอย่างครุ่นคิดกังวลที่เห็นคนรัก ซื่อ ใส บริสุทธิ์ใจเหลือเกิน
“อรคิดว่า เค้าเป็นเพื่อน แต่เค้าอาจจะคิดว่าอรเป็นคู่แข่งก็ได้นะ”
“ถ้าเป็นคนอื่นอาจจะใช่ค่ะ แต่กับตรี เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วนะคะ”
“พี่ก็พูดเผื่อๆ ไว้ ระวังไว้ซักนิดก็ดี”
อรสินียิ้ม “ค่ะ อรจะระวัง”
จากนั้นอรสินีส่งจานแบ่งของว่างให้ ชญานนท์ยิ้มแล้วรับมาถือไว้ พร้อมกับจับมืออรสินีไว้ด้วย
“พี่รักน้องอรนะ”
อรสินียิ้มหวาน “อรก็รักพี่นนท์ค่ะ”
สองคนส่งสายตาหวานฉ่ำให้กัน
เย็นนั้น ที่แผงหนังสือในห้าง แลเห็นนิตยสารบีลิฟ หน้าปกตรีอัปสรวางเด่นอยู่ เป็นนิตยสารเพิ่งออกใหม่ มีคนหยิบมาดู อติรุจกับตรีอัปสรเดินคู่กันมา ตรีอัปสรเดินโฉบมาที่แผงหนังสือ อติรุจเดินตาม
ตรีอัปสรแสร้งทำเป็นมองไปที่หนังสืออื่น อติรุจกวาดตามองไปเห็นบีลิฟหน้าปกตรีอัปสรก็ตื่นเต้น
“ตรี”
“คะ” ตรีอัปสรหันไปมอง
อติรุจชี้ไปที่หนังสือแล้วหยิบขึ้นมา ตรีอัปสรทำเป็นตื่นเต้น แปลกใจ ซื่อใสไร้เดียงสา
“อุ๊ย วางแผงแล้วเหรอคะ เนี่ย”
“สวยมากเลยนะ ตรี” อติรุจชื่นชม
ตรีอัปสรเขินอาย “แหม...เล่นชมกันต่อหน้าแบบนี้ ตรีเขินนะคะ”
ระหว่างที่สองคนพูดคุยกันเริ่มมีคนสนใจ ดูปกหนังสือแล้วมองตรีอัปสรว่าเป็นคนเดียวกัน
อติรุจว่า “ก็ตรีสวยจริงๆนี่”
“ช่างภาพเก่งมากกว่าค่ะ แล้วก็คงรีทัช ช่วยด้วย”
อติรุจยกหนังสือขึ้นเทียบหน้า “ไม่หรอก ตัวจริงกับในรูปก็สวยไม่ต่างกัน”
หญิง 1 สอดขึ้น “ใช่ค่ะ สวยจริงๆ ชั้นว่าคุณต้องได้เป็นนางสาว ณ สยาม แน่นอน”
ตรีอัปสรยิ้มหวานหยดท่าทีกันเอง “ขอบคุณค่ะ”
หญิง 1 บอก “ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ”
มีคนมาขอถ่ายรูปกับตรีอัปสรอีก ตรีอัปสรยิ้มอย่างมีความสุข ถ่ายรูปกับผู้คนโดยมีอติรุจช่วยถ่ายให้บ้าง
อาหารวางลงบนโต๊ะ บริกรวางจานอาหารสุดท้ายลง ตรีอัปสรนั่งตรงข้ามกับอติรุจ หน้าตามีความสุข ตาพราวเป็นประกาย อติรุจมองอย่างเอ็นดู
“ตรีนี่เกิดมาเพื่อเป็นซุปเปอร์สตาร์จริงๆ”
“ทำไมคะ” ตรีอัปสรขยับมองอติรุจ ตั้งใจถาม “ทำไมคุณรุจถึงคิดอย่างนั้น”
“ก็ตรีมีความอดทนสูงในการยิ้ม แล้วก็ใจเย็น ถ่ายรูปกับคนนู้น...คนนี้ไม่เบื่อ แล้วที่สำคัญผมว่าตรีดูมีความสุขมากเลยเวลามีคนมาห้อมล้อม”
ตรีอัปสรเอียงคอน่ารัก “จริงเหรอคะ...ตรีไม่รู้ตัวเลยนะคะเนี่ย”
“จริงซิ”
ตรีอัปสรทำท่าคิดก่อนพูด “อาจจะเป็นเพราะตรีเคยจน เคยอยู่ในสลัม เป็นเด็กผู้หญิงมอมแมม มอซอไม่มีตัวตนในสายตาใคร แล้วอยู่ดีๆ วันนึง ก็มีผู้คนให้ความสนใจตรี” พูดถึงตอนนี้ตรีอัปสรยิ้มกว้าง “เป็นความสุขที่อธิบายไม่ถูกจริงๆค่ะ”
อติรุจมองด้วยแววตาอ่อนโยน “อย่าให้เรื่องที่ผ่านมาทำให้เราเจ็บปวดแต่ให้มันเป็นแรงบันดาลใจให้เราก้าวไปข้างหน้าดีกว่า” เขายิ้มส่งสายตามาอย่างเอ็นดู “ทานอาหารเถอะ ผมไม่อยากให้ตรีกลับบ้านดึก พรุ่งนี้ต้องออกเดินทางแต่เช้า”
“ค่ะ”
ตรีอัปสรมองอติรุจอย่างอ่อนโยน แล้วก้มหน้าทานอาหาร บรรยากาศอบอุ่น มีความสุข
คืนนั้นกระเป๋าเสื้อผ้าวางบนเตียงนอน เสื้อผ้าถูกพับวางเป็นระเบียบ มีปิ๋มนั่งพับผ้าอยู่ข้างๆ ตรีอัปสรนั่งอยู่บนเตียงมองซ้ายมองขวา เหมือนดูว่ายังขาดอะไรอีกรึเปล่า
“มีอะไรอีกไม๊คะ คุณตรี”
“ก็น่าจะครบแล้วละ เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว รองเท้า...หมวก...ครบถ้วน”
ประตูห้องเปิดออก ดารินทร์เดินเข้ามา พร้อมกับหนังสือบีลิฟ
“ยัยตรี....แกเห็นหนังสือรึยัง”
ดารินทร์ชูหนังสือบีลิฟหน้าปกตรีอัปสรให้ดู ตรีอัปสรหยิบเล่มที่ตัวเองซื้อมาให้ดูเหมือนกัน
“ซื้อมาแล้วเหมือนกันเหรอ”
“ค่ะ คุณรุจซื้อให้ตรี”
ดารินทร์เสียงเข้ม “ลูกชายนังสลิลทิพย์น่ะเหรอ”
“ค่ะ”
ดารินทร์หันไปทางปิ๋ม “เรียบร้อยแล้วใช่ไม๊ ปิ๋ม”
“ค่ะ”
ดารินทร์พยักหน้า “ลงไปช่วยแม่แกเตรียมอาหารเถอะ”
“ค่ะ.....
พอปิ๋มลุกขึ้นเดินออกไปแล้ว ดารินทร์หันมาเอาเรื่องตรีอัปสร
“นี่แกยังไปคบค้าเกี่ยวข้องกับลูกชายนังนั่นอยู่อีกเหรอ หาเรื่องให้แม่มันมาฉีกอกจริงๆ”
“คุณรุจเค้ายังไม่สนใจแม่ของเค้าเลย แล้วตรีจะไปเดือดร้อนทำไม”
“ต้องรอให้นังนั่นมันมาด่าแก แล้วคุณรุจของแกก็ยืนอยู่ข้างแม่เค้าก่อนใช่ไม๊ ถึงจะรู้สึก” ดารินทร์หมั่นไส้
ตรีอัปสรถอนหายใจ “แม่คงไม่ได้เข้ามาเทศน์ตรีเรื่องคุณรุจใช่ไม๊คะ”
ดารินทร์เดินมาเปิดหนังสือบีลิฟดูไปมาก่อนจะถามเสียงจริงจัง
“แกรู้กระแสโหวตขวัญใจประชาชนบ้างรึเปล่า”
ตรีอัปสรส่ายหน้า ถือดีอวดเก่งตามเคย “ไม่รู้ ตรีไม่ได้สนใจ”
ดารินทร์มองลูกสีหน้าเอือมระอา “แกควรสนใจแล้วก็ตามข่าวนะ ยัยตรี เพราะมันเป็นเรื่องของแกโดยตรง”
ตรีอัปสรมองดารินทร์แล้วหัวเราะ “ใจคอแม่จะให้ตรีกวาดทุกตำแหน่งไม่แบ่งใครเลยรึไงคะ”
“แกไม่ต้องมากระแทกแดกดันชั้น ยัยตรี...ตำแหน่งขวัญใจประชาชนมันเป็นตำแหน่งที่พิสูจน์ว่า แกเป็นที่รักของทุกคนในประเทศนี้”
“โห...แม่ ตรีพูดจริงๆนะ แค่ 19 คนที่เข้ารอบมากับตรี ตรียังเอาชนะใจให้รักตรีไม่ได้เลย”
“ก็นั่นมันเป็นคู่แข่งแก...ไม่ใช่เพื่อน...ไม่ใช่พี่น้อง”
“แล้วแม่จะให้ตรีทำอะไร”
“เอาแบบง่ายๆ แล้วเห็นภาพเลยนะ ช่วงเก็บตัวที่เชียงราย แกช่วยทำตัวเหมือนนางเอกในละครที่แกดูตั้งแต่เด็กน่ะ น่ารัก แสนดี มองโลกในแง่ดี พูดเพราะ คิดบวก แกทำได้ไม๊”
“ตรีจะพยายามแล้วกัน” ตรีอัปสรทำเหมือนนึกขึ้นมาได้ “แต่วันนี้ตอนตรีไปกับคุณรุจ มีคนมาขอถ่ายรูปกับตรีเต็มเลย”
“นั่นไง ขนาดแกยังไม่ทำอะไรให้เค้าประทับใจ ยังมีคนปลื้มแก แล้วคิดดูซิ ถ้าแกสร้างภาพ สวยหวาน เรียบร้อย น่ารัก แกจะได้คะแนนนิยมมากแค่ไหน” ดารินทร์ผุดยิ้มร้ายออกมา “ลูกสาวนังสลิลทิพย์จะต้องไม่ได้ตำแหน่งอะไรเลย นังสลิลมันจะต้องแพ้ย่อยยับ แกต้องช่วยแม่ ทำให้สำเร็จน่ะยัยตรี”
ดารินทร์มองอย่างมุ่งมั่น ตรีอัปสรมีสีหน้าครุ่นคิด แววทะเยอทะยานฉายโชนในตาคู่งามนั้น
อ่านต่อตอนที่ 5