xs
xsm
sm
md
lg

ปีกมงกุฎ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปีกมงกุฎ ตอนที่ 2

สลิลทิพย์เดินนำอรสินีเข้ามาในห้องรับแขก อติรุจซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงยหน้าขึ้นมองแม่กับน้อง

“กลับมาแล้วเหรอครับ ว่าที่นางงามกับว่าที่คุณแม่นางงาม”
สลิลทิพย์ค้อนลูกชาย แล้วประชดกลับ “ย่ะ ว่าที่คุณพี่ชายนางงาม”
อติรุจขำๆ “เป็นยังไงบ้างอร คู่แข่งน่ากลัวไม๊”
“สวยๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ พี่รุจ”
สลิลทิพย์คุยโอ่ “สวย แต่ก็สู้ลูกแม่ไม่ได้ซักคน”
“อรว่า เค้าก็สวยนะคะคุณแม่ ส่วนใหญ่ก็เคยผ่านเวทีประกวดกันมาแล้วทั้งนั้น”
สลิลทิพย์ถอนหายใจ “ยายอร รูปร่างหน้าตาเราน่ะ ชนะขาดลอยอยู่แล้ว แต่เรื่องความมั่นใจในตัวเองเนี่ย แพ้เค้าหลุดลุ่ย อรต้องมั่นใจว่าตัวอรเองสวยที่สุด สวยกว่าใครๆ อรจะต้องได้เป็นนางสาว ณ สยาม บอกตัวเองไว้นะ ลูก เวลาส่องกระจกก็บอกตัวเอง”
อติรุจเหน็บ พูดต่อให้แม่ “เวลากินข้าว นั่ง นอน ยืน หายใจเข้า-ออก ก็บอกตัวเองไว้ ว่า อรสวยกว่าใคร”
สลิลทิพย์เสียงเข้ม “ตารุจ อย่าประชดแม่”
“ผมไม่ได้ประชดครับ ผมกำลังสอนน้องตามนโยบายคุณแม่เลยนะครับ”
สลิลทิพย์ค้อนอติรุจแล้วลุกขึ้น “แม่ไปบริษัทดีกว่า”
สลิลทิพย์เดินแยกไป อติรุจมองตาม ยิ้มขำนิดๆ แล้วหันมาทางอรสินี
“พี่รุจก็ชอบแหย่คุณแม่”
อติรุจขยับเข้ามาจับมืออรสินี “พี่ไม่เคยเห็นด้วยเลยเรื่องประกวดนางงามอะไรเนี่ย แล้วพี่ก็รู้ว่าอรต้องฝืนใจตัวเองแค่ไหน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คิดซะว่าได้ประสบการณ์ใหม่ ได้รู้จักคนมากขึ้น”
อติรุจหัวเราะ “เริ่มมีความคิดแบบนางงามแล้วนะเรา”
อรสินีหัวเราะเบาๆ แล้วทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“พี่รุจเจอตรีรึยังคะ ตั้งแต่วันที่เราเจอที่สนามบิน”
อติรุจส่ายหน้า “ยังเลย”
“อ้าว เหรอคะ อรคิดว่า โทร.หานัดทานข้าวกันแล้วซะอีก”
“ตรีคงงานยุ่งมั้ง เดี๋ยวถ้าตรีว่างคงโทร.มาเองล่ะ ถ้าตรีไม่ลืมนะ”
อติรุจพูดจบก็อ่านหนังสือต่อ อรสินีมองพี่ชายอย่างเห็นใจ

บรรยากาศในโถงกลางร้านเสื้อ Enchant ของห้างดังกลางใจเมือง แลเห็นพนักงาน กำลังจ๊ะจ๋า แนะนำชุดให้ลูกค้าอยู่ ด้านใน เป็นห้องทำงานส่วนตัว มีเพียงกระจกกั้นมองออกมาเห็นทุกอย่างในร้าน ดารินทร์กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในนั้น
“วันสุดท้ายเลยค่ะ ใช่ค่ะ ต้องไปให้ได้นะคะพี่อยากให้ไปเจอลูกตรีอัปสร ค่ะ พี่ฝากบอกเล่มอื่นด้วย”ดารินทร์เสียงอ่อนเสียงหวานมาก “ค่ะ ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันนะ” ดารินทร์กดโทรศัพท์แล้วหันมาทางตรีอัปสร “เรียบร้อย แกไปลองชุดได้แล้ว เดี๋ยวคุณอัศวินจะมารับไปทานข้าว”
ตรีอัปสรมองดารินทร์อย่างตริตรองก่อนจะตัดสินใจถาม
“แม่ของคุณอรเคยทำอะไรให้แม่เจ็บช้ำน้ำใจเหรอ”
ดารินทร์ ซึ่งกำลังหน้าสดชื่นอารมณ์ดีที่นัดนักข่าวไป ได้เปลี่ยนสีหน้าเป็นนิ่งไม่ตอบ ตรีอัปสรมองแม่แน่วนิ่ง
“เงียบแบบนี้ น่าจะเรื่องใหญ่”
ดารินทร์มองตรีอัปสร “นี่ยังติดใจเรื่องนี้อยู่อีกเหรอ แกจะอยากรู้ไปทำไม”
“แม่ดึงตรีมาเป็นหมากตัวนึงในการแก้แค้นของแม่นะคะ แล้วแม่จะไม่บอกตรีหน่อยเหรอ ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ตรีจะได้ตั้งใจช่วยแม่ให้เต็มที่ไง”
ดารินทร์ถอนหายใจ “ยายสลิลทิพย์ทำธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์เนม ชั้นเองก็เป็นดีไซเนอร์เสื้อผ้า มีห้องเสื้อ ธุรกิจยายนั่นกับชั้นไม่ได้เอื้อประโยชน์กันนะ แต่เป็นคู่แข่งกัน เป็นคู่แข่งกันเรื่องงาน แล้วยังมาเป็นคู่แข่งกับชั้นเรื่องลูกอีก”
ตรีอัปสรคิดตาม “แค่เนี้ย เรื่องแค่เนี่ยะเองเหรอ”
“เรื่องทำมาหากิน...เรื่องปากท้องเงินทอง เรื่องสำคัญทั้งนั้น แกเห็นว่าเรื่องแค่นี้เหรอ....
“ก็เมื่อกี้ ตอนที่แม่เห็นยายสลิลทิพย์ในทีวี ตรีว่าท่าทางแม่เหมือนโกรธแค้นมากกว่าเรื่องคู่แข่งธุรกิจ ตรีก็เลยคิดว่า มันน่าจะมีต้นเหตุที่แรงกว่านี้” ตรีอัปสรตั้งข้อสังเกต
“ขัดขากันทางธุรกิจ ก็สมควรจะโกรธแค้นแรงพอแล้ว”
ดารินทร์ ขยับลุกขึ้นตัดบท
“ไปลองชุดได้แล้ว ชั้นอยากให้แกสวยที่สุดตั้งแต่วันสมัครจนถึงวันใส่มงกุฎ”
ดารินทร์เดินนำออกจากห้องไป ตรีอัปสรมองตามสีหน้าครุ่นคิด เหมือนไม่เชื่อที่แม่พูด

เย็นนั้นชญานนท์นั่งทานอาหารอยู่กับมุกตาภา ในร้านอาหารหรูบรรยากาศเลิศ ของห้างดัง
“มื้อนี้มุกเลี้ยงเองค่ะ ไถ่โทษที่จับพี่นนท์ถ่ายสัมภาษณ์เยอะไปหน่อย”
“โอเค ดี พี่จะล้มทับให้แบนเลย” ผู้เป็นพี่ชายสัพยอก
มุกตาภาหัวเราะขำ แล้วมองเลยไปเห็นนายพลอัศวินที่กำลังเดินเข้ามา
“พี่นนท์ คุณลุงอัศวิน”
ชญานนท์หันไปมองตาม เห็นอัศวิน เดินเข้ามากับดารินทร์และตรีอัปสร
“มากับเมียน้อยค่ะ” มุกตาภาเหยียดปาก
ชญานนท์ทำเสียงปราม “มุก”
นายพลอัศวิน ซึ่งเดินเข้ามามองเห็นสองพี่น้อง ก็ยิ้มแย้มเดินเข้ามาทักอย่างชิดเชื้อ มุกตาภากับ
ชญานนท์ขยับลุกขึ้น ยกมือไหว้
“ว่าไง มุก นนท์ สบายดีนะ”
“สบายดีครับ”
อัศวินพูดกับมุกตาภา “พักนี้หนูมุกไม่ค่อยไปที่บ้านลุงเลย”
“ช่วงนี้มุกยุ่งๆ เรื่องนางสาว ณ สยามค่ะ”
“อ๋อ...” ท่านนายพลหันไปทางดารินทร์และตรีอัปสร “นี่ คุณดารินทร์ เจ้าของห้องเสื้อ Enchant รู้จักกันแล้วนี่”
ชญานนท์กับมุกตาภายกมือไหว้ ดารินทร์ “สวัสดีครับ”/ “สวัสดีค่ะ”
ดารินทร์รับไหว้ “สวัสดีค่ะ”
“นี่ ตรีอัปสร ลูกสาวคุณดารินทร์ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันละมั้ง” ท่านนายพลแนะนำต่อ
ตรีอัปสรยิ้มทัก “สวัสดีค่ะ”
ชญานนท์กับมุกตาภามองตรีอัปสรด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน ชญานนท์เฉยเมย ส่วนมุกตาภา
เหมือนไม่ถูกชะตา

ในร้านอาหารหรูเวลานั้น บ๋อยนำเอาอาหารมาเสิร์ฟที่โต๊ะ ดารินทร์ นายพลอัศวิน และตรีอัปสร มุกตาภาแอบปรายตามองไปที่โต๊ะของดารินทร์ แล้วหันมาทางชญานนท์
“มุกละกลัวใจผู้หญิงสมัยนี้จริงๆ แยกแยะผิดชอบ ชั่วดีไม่ถูกกันแล้ว”
“เค้าอาจจะมีเหตุผลอะไรซักอย่าง ที่เราไม่รู้”
มุกตาภามองพี่ชาย “พูดเหมือนเข้าข้างเลยนะคะ พี่นนท์ ผู้หญิงที่ยอมเป็นเมียน้อยจะมีเหตุผลอะไรคะ นอกจากรักสบาย”
ชญานนท์ย้อนแย้ง “ไม่คิดว่าจะบูชาความรักบ้างเหรอ”
มุกตาภามองไปทางดารินทร์ ซึ่งกำลังตักอาหารเอาใจนายพลอัศวินอยู่ ก่อนจะหันมาทางชญานนท์
“อาจจะมีนะคะซักสอง สามเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ใช่ยายนี่แน่นอน แล้วยายลูกสาวนั่น มุกว่าเดินตามรอยเท้าแม่ แน่ๆ”
ชญานนท์ไม่พอใจนัก ส่งเสียงปราม “มุก...พี่ไม่อยากให้มุกมองคนอื่นในแง่ร้ายแบบนี้นะ...อีกอย่างเราก็ไม่ได้รู้จักเค้าจริงๆ ว่าเนื้อแท้เค้าเป็นคนยังไง”
“มุกพูดบนพื้นฐานความเป็นจริงค่ะ แม่เป็นเมียน้อย แล้วลูกสาวก็เห็นดีเห็นงาม สนิทสนมกับพ่อเลี้ยงชั่วคราวที่แม่ฉกมา” มุกตาภามองชญานนท์ “ผู้หญิงแบบนี้มันจะคิดอะไรดีๆเป็นเหรอคะ อยากรู้จริงๆว่า ใครจะโชคดีได้ยายตรีอัปสร เป็นเมียน้อย ที่แน่ๆ ต้องเงินหนาประมาณคุณลุงอัศวินเลยนะคะ เพราะถ้ายายนี่ได้ตำแหน่งอะไรซักอย่างพ่วงท้ายมาด้วย งานนี้ ค่าตัวเมียน้อยพุ่งแน่”
ชญานนท์มองมุกตาภาที่โต้ฉอดๆ ก่อนจะมองไปทางตรีอัปสร ซึ่งกำลังแย้มยิ้มอยู่กับแม่และนายพลอัศวิน

ชั่วขณะหนึ่งตรีอัปสรหันมามองเขาพอดี สองคนสบสายตากันจังๆ ต่างคนต่างนิ่งงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเมินหน้าหนีไปทางอื่น

เช้าก่อนวันสุดท้ายของการรับสมัครสาวงาม บริเวณลานด้านหน้าตึกก่อนเข้าห้องโถงรับสมัคร แลเห็นนักข่าว ช่างภาพ จำนวนมากกว่าทุกวัน ยืนเตร่รออยู่ จับกลุ่มคุยกันบ้าง เห็นสาวงามเดินเข้าไป โดยที่นักข่าวไม่ค่อยสนใจนัก
สักครู่หนึ่ง มีรถแล่นมาจอด นักข่าวหันไปดู เห็นประตูเปิดออก ดารินทร์และตรีอัปสรเดินลงมาจากรถ ตรีอัปสรสวยสง่ามาก นักข่าวกรูกันเข้ามาถ่ายรูปทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ดารินทร์หน้าบาน เป็นปลื้มที่นักข่าวให้ความสนใจ
“ขอให้น้องเข้าไปเขียนใบสมัครก่อนนะคะ เสร็จแล้วให้สัมภาษณ์ ถ่ายรูปเต็มที่เลยค่ะ”
ดารินทร์ยิ้มให้แล้วดึงตรีอัปสรเข้าไป

ดาราวรรณกับกัลยาณี สองสาวงามเจนสังเวียน กำลังเขียนใบสมัครอยู่ เงยหน้าขึ้นมองเมื่อเห็นตรีอัปสรเดินเข้ามากับดารินทร์ มีนักข่าวกรูตามมาติดๆ
“ใครน่ะ รู้จักไม๊” ดาราวรรณหันไปถามกัลยาณี
กัลยาณีส่ายหน้า “ไม่เคยเห็น เด็กใหม่มั้ง”
ดาราวรรณงง “เด็กใหม่....ทำไมนักข่าวตามขนาดนั้น”
กัลยาณีเซ็ง “แล้วชั้นจะรู้ไม๊เนี่ย”
ตรีอัปสร ดารินทร์ เดินมานั่งเก้าอี้ไม่ห่างจากสองสาว ตรีอัปสรมองมาทางดาราวรรณและกัลยาณี แล้วมองเมินไปโดยไม่สนใจ ทำให้ดาราวรรณและกัลยาณีซึ่งยิ้มให้ ยิ้มค้าง ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน รับรู้ถึงความร้ายกาจของตรีอัปสร
ตรีอัปสรก้มหน้าเขียนใบสมัคร โดยมีดารินทร์ เข้ามาอยู่ใกล้
ดาราวรรณกับกัลยาณีเขม่นตรีอัปสรนิดๆ

ที่ห้องประชุมสถานีโทรทัศน์ ไทยเท็น ชญานนท์ มุกตาภา และเจ้าหน้าที่กำลังประชุมทำความเข้าใจเรื่องวันในการคัดเลือกรอบแรก หลังจากวันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร เสียงเคาะประตูดังขึ้น รัตน์เปิดประตูเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างคุณรัตน์ วันสุดท้ายแล้ว คึกคักไม๊ครับ มีคนมาสมัครเยอะรึเปล่า”
“คนสมัครไม่เยอะค่ะ แต่นักข่าวเยอะมาก” รัตน์บอก
ชญานนท์หันมาสบตากับมุกตาภา เหมือนรู้กันอยู่แล้วว่าทำไมนักข่าวมาเยอะ
รัตน์พูดต่อ “ลูกสาวคุณดารินทร์มาสมัครด้วยค่ะ รัตน์ว่าการประกวดปีนี้ต้องสนุกแน่ๆ เลยค่ะ นี่แค่มาสมัคร คุณดารินทร์เธอยังเกณฑ์นักข่าวมาได้ขนาดนี้ วันคัดตัวรอบแรก ช่วงเก็บตัวจนถึงตัดสินรับรองว่ามีข่าวตลอดแน่ๆ นี่รัตน์ก็ให้นักข่าวของไทยเท็น เตรียมสัมภาษณ์เธอด้วยนะคะ”
“สัมภาษณ์คนอื่นด้วยนะคะ มุกไม่อยากให้พี่เลี้ยงของสาวๆ ที่มาสมัครพูดว่าเรา ไม่ยุติธรรม” มุกตาภาว่า
“ได้ค่ะ”
“เรื่องการคัดเลือกรอบแรก ผมอยากให้ทำข่าวต่อได้เลยนะครับ รวมทั้งเรื่องเก็บตัวผู้เข้าประกวดด้วย ผมขอดูรายละเอียดหน่อย”
“ได้ค่ะ” มุกตาภารับคำ
ชญานนท์พยักหน้า

ใบสมัครของตรีอัปสรถูกยื่นให้เจ้าหน้าที่รับสมัคร ซึ่งเจ้าตัวยิ้มบางๆ ใบหน้าละมุน ท่าทีอ่อนโยนมาก
“เรียบร้อยแล้วค่ะ”
เจ้าหน้าที่ตรงโต๊ะยิ้มให้อย่างชื่นชมในความงามและมารยาท นักข่าวที่ตามมาเป็นกลุ่ม ยืนจับตาดูอยู่
“สัมภาษณ์ได้รึยังครับ”
ดารินทร์ยิ้มให้ “ได้แล้วค่ะ ไปทางโน้นดีไม๊คะ”
ยังไม่ทันจะขยับ ดาราวรรณกับกัลยาณีก็เดินเข้ามาเอาใบสมัครให้เหมือนกัน
ดาราวรรณพูดกับตรีอัปสร “ถ่ายรูปด้วยกันได้ไม๊คะ”
ตรีอัปสรซึ่งอยู่ต่อหน้านักข่าว เปลี่ยนท่าทีจากเมื่อครู่ตอนนั่งเขียนใบสมัครไปทันที หันมายิ้มให้สองสาว กัลยาณีงงนิดๆ เพราะไม่คิดว่าดาราวรรณจะขอถ่ายรูป ดาราวรรณแอบหลิ่วตาให้กัลยาณี
“ได้ค่ะ” ตรีอัปสรหันไปทางนักข่าว “ขอเวลาซักครู่นะคะ”
ตรีอัปสรหันมายืนคู่กับดาราวรรณ ให้กัลยาณีถ่ายรูปให้ ตรีอัปสรยิ้มอย่างสวยงามหวานหยด ดาราวรรณเปลี่ยนมาถ่ายรูปให้กัลยาณีกับตรีอัปสรอีกรูป
“ถ่ายด้วยกันอีกรูปไม๊คะ” ตรีอัปสรหันไปทางดารินทร์ “แม่ขา...ถ่ายรูปให้หน่อยนะคะ”
ดารินทร์ยิ้มรับ “ได้ซิคะ ลูก”
ตรีอัปสรหันมาพูดกับดาราวรรณ “ส่งโทรศัพท์ให้คุณแม่ช่วยถ่ายเลยค่ะ”
ดาราวรรณส่งโทรศัพท์ให้ดารินทร์ “ขอบคุณค่ะ”
ดารินทร์รับโทรศัพท์จากดาราวรรณมาถ่ายรูปให้ทั้ง 3 สาวอย่างเป็นกันเอง

บรรดาสาวงามที่มาสมัคร เดินออกมาพร้อมกับพี่เลี้ยง 2-3 คน ดาราวรรณกับกัลยาณีเดินตามออกมา แล้วมาหยุดยืน ดาราวรรณมองกัลยาณีแล้วมองไปด้านในที่นักข่าวรุมถ่ายรูป สัมภาษณ์ตรีอัปสรอยู่
ดาราวรรณบอก “แกว่าแปลกๆ ไม๊ นี”
กัลยาณีทำท่าคิด “ก็นิดนึงอ่ะ”
“นิดนึงอะไรล่ะ ไม่เห็นเหรอตอนที่มานั่งเขียนใบสมัครใกล้ๆ เรา ยายนั่นเชิดซะคางแทบจะติดเพดาน พอชั้นแกล้งขอถ่ายรูปด้วย ทำยังกะใส่หน้ากากพันหน้า เปลี่ยนเป็นยิ้มหวาน คะ ขา ในบัดดลเพราะอยู่ต่อหน้าสื่อ นี่มันถึงหน้าสะตอแล้วเหรอ”
กัลยาณีหัวเราะเบาๆ “แกก็ไม่ใช่น้อยนะ แผนสูง กะว่ายายนั่นจะหน้าหงิกเหวี่ยงต่อหน้าสื่อล่ะซิ ที่ไหนได้ยายนั่นแสบกว่า รู้งานเก็บอาการอยู่”
ดาราวรรณยึกสนุก “ยายนี่ ท่าจะแรง ถ้าเข้ารอบลึกๆ ได้เหมือนกันล่ะก้อ เจอชั้นแน่”
กัลยาณีหัวเราะขำ “ชั้นว่า บางทีแกอาจจะคิดมากไปก็ได้น่ะ เด็กเพิ่งเข้าวงการอาจจะทำตัวไม่ถูก ก็เลยทำเหมือนเชิดใส่ แต่พอตั้งหลักได้ก็ยิ้มแย้มให้เราเป็นปกติ”
ดาราวรรณมองอย่างหมั่นไส้ “ย่ะ แม่โลกสวย เตรียมตัวเป็นนางงามตั้งแต่วันสมัครเลยนะยะ....หล่อน”
กัลยาณีหัวเราะขำดาราวรรณที่ประชดประชันก่อนจะมองไปด้านใน

กัลยาณีเห็นบรรดานักข่าวกำลังล้อมวงรอบ ตรีอัปสรอยู่ มีดารินทร์ยืนอยู่ข้างๆ
“ทราบมาว่าคุณตรีอัปสรกลับมาจากลอนดอนเพื่อมาประกวดนางสาว ณ สยาม เลย ใช่ไม๊คะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “ใช่ค่ะ”
“ทำไมถึงเลือกเวทีนี้ล่ะคะ”
“เพราะตรีเชื่อว่า เวทีนางสาว ณ สยามเป็นเวทีที่ได้มาตรฐาน น่าเชื่อถือที่สุดค่ะ ถ้าใครได้เป็นนางสาว ณ สยามก็ต้องภูมิใจว่าเป็นผู้หญิงที่งามทั้งภายใน ภายนอก มีคุณสมบัติครบถ้วน”
“แล้วคุณตรีอัปสรคิดว่าเวทีนี้จะให้อะไรกับคุณตรีอัปสรบ้างคะ”
ตรีอัปสรยิ้ม “สิ่งแรกที่ได้ก็คงจะเป็นเพื่อนค่ะ มิตรภาพที่อบอุ่นจากพี่ๆ สื่อมวลชนด้วย”
นักข่าวที่รุมเอาไมค์และโทรศัพท์จ่อปากตรีอัปสร ถึงกับร้องฮิ้ว ถูกใจกับคำตอบของตรีอัปสร
ดารินทร์ปลื้มไปกับคำตอบของลูกสาว

มุมหนึ่งไม่ห่างกันนัก ชญานนท์ยืนอยู่ มีมุกตาภายืนอยู่ใกล้ๆ
“ให้สัมภาษณ์แบบปูพรมแดงเตรียมขึ้นรับมงกุฎเลยนะคะเนี่ย”
ชญานนท์ยิ้มนิดๆ “ก็เป็นธรรมดา”
“ไม่ธรรมดาอ่ะค่ะ ยายนี่ดูยังไง มุกก็ว่าไม่ธรรมดา”
ชญานนท์ปราม “เบาๆ หน่อยมุก ใครได้ยินเข้า จะไม่ดี”
“มุกเพิ่งพูดกับพี่นนท์ไป ว่าถ้ายายนี่ได้ตำแหน่งอะไรซักอย่าง รับรองว่าอัพค่าตัวพุ่งปรี๊ดแน่ ผิดปากมุกไม๊ล่ะคะ”
“พี่เชื่อแล้ว”
มุกตาภาหันมามองพี่ชาย “เชื่อที่มุกพูดใช่ไม๊คะ”
“เปล่า พี่เชื่อเรื่องที่ว่า คนเราถ้าไม่ถูกชะตากัน ต่อให้ไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน ก็ไม่ชอบหน้ากันได้จริงๆ”
“ใช่ค่ะ”
ชญานนท์และมุกตาภาเห็นดารินทร์และตรีอัปสรยกมือไหว้ขอบคุณสื่อ
“มุกว่างานนี้ อรเจอศึกหนักแน่ ยายตรีอัปสรนี่มาแรงไม่ใช่เล่นเลยนะคะ”
ชญานนท์ไม่ตอบ แต่มองตามตรีอัปสรไปใบหน้าเรียบเฉย
ตรีอัปสรเดินเข้าเฟรมหน้าตามีความสุขมากกับดารินทร์ ดารินทร์มองตรีอัปสรอย่างพิจารณา
“เป็นไงบ้าง ยายตรี นี่แค่วันแรก ก้าวแรกของการประกวดนะ หน้าตาแกยังดูปลื้มปริ่มซะขนาดนี้”
ตรีอัปสรพูดอย่างครุ่นคิด “ตรีเพิ่งรู้สึกตัวนะแม่ ว่าตรีก็ชอบบรรยากาศแบบนี้เหมือนกันก่อนหน้านี้ เวลาใครมาสนใจ ชื่นชม รูปร่างหน้าตาของตรี ตรีน่ะทั้งเบื่อทั้งรำคาญ”
ดารินทร์แปลกใจ “แกเบื่อ ทำไม”
“ก็มันน่าเบื่อไม๊ล่ะ ทุกคนสนใจแต่รูปร่าง หน้าตาตรี ทั้งๆ ที่ตรีมีความรู้ความสามารถอื่นๆ อีกเพียบ”
ดารินทร์ยิ้มๆ “คนเรา ก็ต้องดูที่ภายนอกก่อนเป็นอย่างแรก ไม่งั้นคลินิกศัลยกรรมจะผุดเป็นดอกเห็ดเหรอ ทั้งส่วนไอ้เรื่องความรู้ ความสามารถ ค่อยตามทีหลัง แล้ววันนี้เป็นไงล่ะ”
ตรีอัปสรยิ้ม “ดีค่ะ ดีกว่าที่คิดเยอะ เป็นที่ยอมรับของผู้คน ทุกคนให้ความสนใจตรีมีตัวตนในสายตาของพวกเค้า มันมีความสุขนะแม่”
“เตรียมตัว เตรียมใจ ไว้ได้เลย ยายตรี ต่อไปจะต้องมีคนสนใจ ให้ความสำคัญกับแก มากกว่าวันนี้ ร้อยเท่า พันเท่า”
ตรีอัปสรยิ้มอย่างหมายมาด เห็นแรงทะเยอทะยานในตางามคู่นั้น

ตอนเย็น วรัญญานั่งอ่านทวิตเตอร์ของช่อง ไทย10 เกาะติดการรับสมัครของนางสาว ณ สยามอยู่เห็นภาพ ตรีอัปสรหันมายิ้มในชุดที่ไปสมัครประกวด วรัญญา ถือผลไม้ค้างอยู่ อ้าปากค้าง เหมือนตกตะลึงกับภาพที่เห็นก่อนจะรู้สึกตัว ตะโกนเสียงดัง
“เจ๊...เจ๊หนึ่ง เจ๊...มานี่เร็ว...เจ๊”
“เออ...มาแล้ว...มาแล้ว”
เจ๊หนึ่งเดินมาโดยที่หน้ายังมีมากส์แปะหน้าอยู่
“มีอะไรห๊ะ เรียกซะยังกะ ถูกลอตเตอรี่ 4 ใบ ซ้อน”
“เจ๊ มาดูนี่ซิ ผู้หญิงคนนั้น ที่เราเจอที่ร้าน”
เจ๊หนึ่งเดินเข้าไปชะโงกหน้ามองที่ไอแพด วรัญญาสไลด์รูปตรีอัปสรคนเดียวไปอีกรูปเห็นตรีอัปสรยืนคู่กับดารินทร์ กำลังยิ้มแย้มแจ่มใสเจ๊หนึ่งเอามาสก์แปะหน้าออกทันที
เจ๊หนึ่งคาดไม่ถึง “ลูกสาวยายดารินทร์เหรอ” สีหน้าเปลี่ยนเป็นหมั่นไส้ ของขึ้นทันที “อื๋มม นังตัวดี...ร้ายทั้งแม่ ทั้งลูกเลย ทำเป็นสงบนิ่ง เชิดหน้า วางท่าไฮโซ ที่แท้ก็อยากได้เงินรางวัลสิบกว่าล้านเหมือนกันล่ะวะ”
“เจ๊ ตอนรัญเจอยายอรสินีวันสมัคร รัญก็ทำใจไว้แล้วนะ ว่ารัญคงได้รองอันดับหนึ่ง แล้วนี่อะไรเนี่ย มาเจอตัวเก็งเข้าไปอีกตัว รัญไหลลงไปอยู่รองอันดับสองแน่ๆ เลย แล้วเงินรางวัลจะเหลือเท่าไหร่ล่ะ”
เจ๊หนึ่งหงุดหงิด “ปีนี้เศรษฐกิจมันไม่ดีรึไงวะ พวกไฮโซ เศรษฐีถึงได้เข้ามาล่ารางวัลกันเป็นเทือก ทั้งอรสินี ทั้งลูกสาวยายดารินทร์”
“แล้วยายดารินทร์นี่ ทำอะไรอ่ะเจ๊”
“เป็นดีไซเนอร์เจ้าของห้องเสื้อ Enchant แล้วก็เป็นเมียน้อยนายพลอัศวิน ที่เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า”
วรัญญาทึ่ง “โห ควบ 2 อาชีพยังไม่พอกินอีกเหรอ ยังจะส่งลูกสาวเข้าประกวดอัพค่าตัวอีก”
“เอาเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็สู้ไม่ถอย เจ๊ไม่ยอมกลับบ้านมือเปล่าแน่นอน”
ปากบอกอย่างนักสู้ขาอ่อนตัวฉกาจ แต่เจ๊หนึ่ง แอบกังวลเหมือนกัน
สลิลทิพย์นั่งทานอาหารอยู่กับเมย์เพื่อนไฮโซ สลิลทิพย์มองไปตรงทางเข้า ริสาเดินเข้ามาท่าทางตื่นเต้น
“มาแล้ว มาแล้ว รถติดมาก ขอโทษที” พลางหันไปทางสลิลทิพย์ “นี่ ชั้นมีข่าวเด็ดมาบอก เอ๊ะ หรือ เธอจะรู้แล้ว”
“เรื่องอะไร ข่าวอะไร”
ริสามองสลิลทิพย์ “ท่าทางจะยังไม่รู้ นี่ ข่าวสำคัญ รู้เค้า รู้เรา ตอนรบจะได้ไม่เพลี่ยงพล้ำ”
ริสาพูดไปก็เปิดไอแพดข่าวนางงาม ไล่ภาพไปเรื่อยๆ จนไปหยุดที่ภาพตรีอัปสรกับดารินทร์ ตอนไปสมัครประกวด นางสาว ณ สยาม แล้วยื่นให้สลิลทิพย์ดู
“ลูกสาวยัยดารินทร์ ไปสมัครประกวดนางสาว ณ สยามวันนี้ แม่เรียกตัวให้กลับมาจากลอนดอนเลยนะ”
สลิลทิพย์มองภาพอย่างคิดไม่ถึง โกรธ แค้นใจ พูดไม่ออก ริสาซึ่งไม่รู้ความแค้น ยังคงบรรยายต่อไป
“ข่าวเค้าเขียนว่า ยายนี่ ชื่ออะไรนะ เออ นี่ไงๆ ยายตรีอัปสรเนี่ย เป็นตัวเก็ง นางสาว ณ สยาม อีกคนนะ”
เมย์ชะโงกมาดู “ไหนดูซิ เออ...สวยเหมือนกันนะ”
“ใช่ แต่ชั้นว่า หนูอรสวยกว่านะ”
ริสาพูดแล้วก็สะกิดเมย์ ส่งสัญญาณให้ดู หน้าสลิลทิพย์ที่ไม่พอใจอย่างแรง
“เออ ใช่ ดูยังไง หนูอรก็สวยกว่า เนอะ”
ริสากับเมย์ แอบปรายตามองกัน

สลิลทิพย์เข้าบ้านมา ทรุดตัวลงนั่งโซฟา พูดกับตัวเอง
“นังดารินทร์ มันส่งลูกสาวมันลงประกวดด้วย”
อรสินีได้ยิน จึงบอก “ลูกสาวเค้าชื่อ ตรีอัปสรค่ะ”
สลิลทิพย์หันขวับ “อรรู้จักมันด้วยเหรอ”
“รู้จักค่ะ”
“รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แม่ไม่เห็นรู้เรื่องเลย มันตั้งใจจะประกาศสงครามกับแม่ นี่มันคงคิดว่าจะเอาชนะแม่ได้ล่ะซิ”
อรสินีมองสลิลทิพย์อย่างจับสังเกต “แม่มีอะไรกับคุณดารินทร์เหรอคะ”
“มีซิ มีมากด้วย นังนี่มันจองล้างจองผลาญแม่มานานแล้ว ตั้งแต่มันคิดจะฉกคุณพ่อไป”
อรสินีตกใจกับเรื่องที่ได้ยิน
“อะไรนะคะ”

ตอนเย็น อีกมุมหนึ่งในบ้าน อติรุจมองอรสินีเหมือนไม่อยากเชื่อเรื่องที่ได้ยิน
“แม่ของตรีกับคุณพ่อเนี่ยนะ”
“ใช่ค่ะ แต่เรื่องมันผ่านมาเป็นสิบๆ ปีแล้ว”
“นานขนาดนั้น ยังแค้นกันไม่เลิกอีกเหรอ คุณแม่คิดไปเองหรือเปล่า ว่าคุณดารินทร์คิดจะทำสงครามกับคุณแม่”
อรสินีถอนหายใจ “อรก็ไม่ทราบค่ะ แต่คุณแม่โกรธมากเลยนะคะ”
อรสินีครุ่นคิด เล่าเรื่องแม่ให้พี่ชายฟังว่า ตอนนั้น สลิลทิพย์พูดด้วยสีหน้าโกรธแค้น
“ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน แม่จะไม่มีวันให้อภัยคนไร้ยางอายอย่างนังดารินทร์เด็ดขาด”
อรสินีมองท่าทางของสลิลทิพย์ก็เงียบไม่พูดอะไร สลิลทิพย์หันมามองอรสินี
“อร ลูกต้องได้ตำแหน่งนางสาว ณ สยาม นะ ลูกต้องได้สวมมงกุฎเข้าใจไม๊”

สองพี่น้องคุยกันต่อ อรสินีถอนหายใจเมื่อเล่าจบ อติรุจมองน้องสาวอย่างเห็นใจ
“พี่สงสารอรจริงๆ พี่ว่าตอนนี้อรกำลังกลายมาเป็นเครื่องมือแก้แค้นให้คุณแม่น่ะ”
“แต่เรื่องที่คุณแม่มุ่งมั่นว่า อรต้องได้ตำแหน่งนี่ซิคะ อรไม่อยากให้คุณแม่คาดหวังขนาดนั้น”
“ซึ่งเราก็พูดกับคุณแม่ไม่ได้ซะด้วยซิ”
“ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้อรก็ไม่เคยมั่นใจว่าจะได้ตำแหน่งนะคะ พี่รุจ ยิ่งตอนนี้ รู้ว่าตรีมาประกวดด้วย อรยิ่งไม่มั่นใจใหญ่เลย ตรีเค้าทั้งสวยทั้งเก่ง”
“พี่กลัวว่าคุณแม่จะหาทางทำทุกอย่างให้อรได้ตำแหน่งน่ะซิ”
อรสินีมองอติรุจ “พี่รุจหมายความว่ายังไงคะ คุณแม่จะทำอะไรคะ”
อติรุจสบตากับอรสินี สีหน้าเป็นกังวล

จริงอย่างที่อติรุจเป็นกังวล ด้วยเวลาเดียวกันนี้สลิลทิพย์เดินวางมาดอยู่ในห้างหรูกลางใจเมือง ก้าวย่างอย่างมั่นคง เดินไปอย่างมีจุดมุ่งหมาย สลิลทิพย์เดินผ่านร้านขายโทรทัศน์ และ เครื่องไฟฟ้า ในจอโทรทัศน์เห็นข่าวบันเทิงช่องไทยเท็น และเป็นภาพตรีอัปสรกำลังให้สัมภาษณ์อยู่ สลิลทิพย์เหลียวมองภาพในจอ สีหน้าเครียดเข้มขึ้นกว่าเดิม สะบัดหน้าก้าวเดินฉับๆ ไป

สลิลทิพย์เดินวางมาดสง่างามเข้ามาในห้องเสื้อ Enchant เหน่งผู้จัดการร้านเดินเข้ามาต้อนรับ
“สวัสดีค่ะ”
สลิลทิพย์ถามหน้านิ่ง “ดารินทร์อยู่ไม๊”
เหน่งเริ่มแปลกใจในท่าทีและน้ำเสียง “เอ่อ....คือ...คุณมีธุระอะไร”
เหน่งยังพูดไม่จบ สลิลทิพย์ก็พูดขัดขึ้นมาก่อน น้ำเสียงเข้ม สีหน้าเครียด น่าเกรงขาม
“ชั้นถามว่าดารินทร์อยู่ไม๊”
เหน่งเห็นท่าทางของสลิลทิพย์ยิ่งไม่กล้าบอก สลิลทิพย์มองเลยกระจกเข้าไป เห็นดารินทร์พูดโทรศัพท์ หัวเราะหน้าตาสดชื่นอยู่ในห้อง ดารินทร์มัวแต่คุยสายจึงไม่เห็น สลิลทิพย์ก้าวฉับๆ เข้าไปที่ห้องดารินทร์ทันทีไม่ฟังเสียงเหน่ง
“เดี๋ยวค่ะ คุณ เดี๋ยว...เดี๋ยวค่ะ”
สลิลทิพย์เดินเข้าไปโดยที่เหน่งไม่กล้าดึงไว้ นุชซึ่งเห็นเหตุการณ์พุ่งเข้ามาหาเหน่ง
“ใครอ่ะ”
“คลับคล้ายคลับคลาแต่นึกไม่ออกอ่ะ เหมือนไฮโซน่ะ แต่ไม่รู้จัก”
ทั้งนุชและเหน่งมองตามไปอย่างสนใจ

ดารินทร์วางสายหันมาเห็นศัตรูคู่แค้น สลิลทิพย์มองมาอย่างเอาเรื่อง แต่ดารินทร์กลับใจเย็น มองอย่างกวนๆ
“อุตส่าห์หอบสังขารมาถึงนี่ จะมาขู่ชั้นเหรอ กลัวลูกสาวชั้นขนาดนั้นเชียว”
“คนอย่างชั้นไม่เคยขู่” สลิลทิพย์มองดารินทร์อย่างท้าทาย “น่าจะรู้นะ เคยเจอมาแล้วนี่ ถึงขั้นไปทำหนังหน้าใหม่เลยไม่ใช่เหรอ”
ดารินทร์โกรธจัดเมื่อโดนจี้เรื่องอดีต “นังเลว” พร้อมกับขยับจะเข้าไปตบ
สลิลทิพย์ยกกระเป๋าขึ้นมา มือล้วงอยู่ในกระเป๋า เห็นปลายกระบอกปืนโผล่ออกมา ดารินทร์ชะงักค้าง มองอย่างนึกไม่ถึง
“คิดจะโชว์ความไพร่อวดลูกน้องรึไง แน่จริงก็เข้ามาซิ”
ดารินทร์มองสลิลทิพย์อย่างแค้นใจ ก่อนจะตั้งสติได้
“แกไม่กล้ายิงชั้นหรอก”
สลิลทิพย์เหยียดยิ้ม “เหรอ” พลางมองไปรอบๆ “จะลองดูไม๊ล่ะ...จะว่าไปร้านนี้ก็สวยดีนะ”
ดารินทร์โกรธจัด “นังชั่ว...แกนี่มันเลวซ้ำซากจริงๆ”
“แต่ชั้นไม่ทำอะไรซ้ำซากหรอก แล้วชั้นก็ไม่ได้กลัวลูกสาวแกด้วยเพราะชั้นรู้ว่าลูกสาวชั้นจะได้ครองมงกุฎแน่นอน แต่ที่ชั้นมาเนี่ยชั้นจะมาถามว่า คิดดีแล้วใช่ไม๊ที่จะเสนอหน้ามาแข่งกับชั้น”
ดารินทร์บอก “คิดดีแล้ว...คิดดีเป็นที่สุด”
“คิดจะประกาศสงครามกับชั้น”
“แล้วก็เป็นสงครามที่ชั้นจะชนะ อย่างขาวสะอาด”
สลิลทิพย์หยัน “แม่สกปรกโสโครกเละเทะ แล้วลูกจะชนะขาวสะอาดได้ยังไง”
ดารินทร์ยังไม่ทันจะโต้กลับ ตรีอัปสรใช้หลังเปิดดันประตูเข้ามา ในมือถือถุงเหมือนไปชอปปิ้งมา ไม่ทันเห็นว่ามีสลิลทิพย์อยู่ในห้อง ตรีอัปสรพูดเสียงตื่นเต้นไปด้วย ก่อนจะหันมา
“มีคนมาขอลายเซ็นตรีด้วยล่ะ...แม่”
ตรีอัปสรเห็นสลิลทิพย์ก็ชะงัก เพราะไม่คิดว่าจะเจอสลิลทิพย์ที่นี่
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ”
สลิลทิพย์มองตรีอัปสรตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเก็บกระเป๋าสะบัดหน้าเดินออกไป ในขณะที่ตรีอัปสรวางถุงและเตรียมจะยกมือไหว้แต่ไม่ทัน ตรีอัปสรมองตามไป แล้วหันมามองดารินทร์เป็นคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น

คืนนั้น ดารินทร์นั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน มองกระจกนิ่ง ตรีอัปสรเดินเข้ามานั่งที่เตียง
“แม่จะเล่าเรื่องของแม่กับยายสลิลทิพย์ให้ตรีฟังได้รึยังคะ”
ดารินทร์มองตรีอัปสรแล้วถอนหายใจ หันไปทางอื่น ตรีอัปสรขยับเข้ามานั่งคุกเข่ากับพื้น จับมือดารินทร์
“จนถึงขนาดนี้แล้ว แม่เล่าให้ตรีฟังเถอะค่ะ”
ดารินทร์นิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วพยักหน้าช้าๆ
“แม่เกือบตายเพราะนังสลิลทิพย์”
ตรีอัปสรตกใจนึกไม่ถึง “เกือบตาย ขนาดนั้นเลยเหรอแม่”
ดารินทร์ไม่ตอบได้แต่พยักหน้า และเริ่มเล่าเรื่องราวความแค้นแต่หนหลังให้ลูกสาวฟัง

ค่ำคืนหนึ่ง เมื่อ 20 กว่าปีก่อน งานแฟชั่นโชว์จัดขึ้นที่โรงแรมแห่งนั้น ในวาระเลี้ยงฉลองจบการศึกษาสถาบันออกแบบเสื้อผ้า บนเวทีมีตัวหนังสือเขียนไว้ว่า “ฉลองจบการศึกษาและประกวดผลงานออกแบบเสื้อผ้า”
งานเริ่มขึ้นโดยมีนางแบบซึ่งเป็นนักเรียนออกแบบเสื้อผ้า ใส่ชุดที่ตัวเองดีไซน์และตัดเย็บ ออกมาเดินโชว์ คณะกรรมการดูผลงานอย่างชื่นชม
เสียงดารินทร์บรรยายเรื่องราวประกอบขึ้นว่า “แม่รู้จักกับคุณอาชัญในวันที่แม่เดินแบบชุดที่แม่ออกแบบในวันจบการศึกษา เขาเป็นประธานคณะกรรมการตัดสินการประกวดในคืนนั้น”
ดารินทร์ที่เวลานั้นยังสาวและสวย เดินแฟชั่นในชุดสวยงาม อาชัญนั่งอยู่ที่โต๊ะกรรมการ หล่อและยังหนุ่มแน่นมองดารินทร์อย่างถูกใจ
ดารินทร์เล่าต่อ “แม่ได้รางวัลชนะเลิศ”
ดารินทร์รับถ้วยรางวัลจากอาชัญ โดยที่มือของอาชัญจับมือของดารินทร์ช่วงส่งถ้วยรางวัล ไม่เท่านั้นอาชัญยังสบตาดารินทร์บอกความรู้สึกอย่างเปิดเผย ดารินทร์สบตาแล้วหลบวูบอย่างเขินอาย

สองคนสานสัมพันธ์กันต่อ นัดเจอกันในร้านอาหารหรูตอนกลางคืน บรรยากาศแสนโรแมนติก
ดารินทร์เล่าว่า “คุณอาชัญชอบแม่มาก แม่เองก็ปลื้มเขาจนลืมคิดไปว่า เขามีพันธะกับใครอยู่รึเปล่า”
“มีใครเคยบอกคุณไม๊ ว่าคุณเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวย ทั้งเก่ง” อาชัญป้อนคำหวาน
ดารินทร์เขินอาย “คุณอาชัญเป็นคนแรกค่ะ ที่พูดแบบนี้”
อาชัญยกแก้วไวน์ขึ้นชนและชวนคุย
ดารินทร์เล่าต่อ “คุณอาชัญยื่นข้อเสนอขอเลี้ยงดูแม่ในฐานะภรรยา แล้วออกเงินทุนให้แม่เปิดร้านออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้า โอกาสดีแบบนี้ แม่ก็ต้องรีบคว้าไว้เป็นธรรมดา”

ฟังมาถึงตอนนี้ ตรีอัปสรมองหน้าดารินทร์
“แม่ไม่รู้ว่ายายสลิลทิพย์เป็นเมียของคุณอาชัญใช่ไม๊”
“ใช่ จนกระทั่งวันนั้น วันก่อนที่แม่จะเปิดห้องเสื้อของแม่อย่างเป็นทางการ”

ไม่นานต่อมา ดารินทร์เปิดร้านเสื้อสมใจ โดยมีอาชัญเป็นสปอนเซอร์ หลังสองคนทีสัมพันธ์ลึกซึ้ง ดารินทร์เดินดูความเรียบร้อยในร้าน มีพนักงานหญิง 2 คน คอยช่วยจัดร้านให้ดูสวยงาม
ดารินทร์กำลังจัดชุดให้หุ่นโชว์อยู่
เสียงสลิลทิพย์ดังขึ้น “ดารินทร์”
ดารินทร์หันไปมองเห็นสลิลทิพย์ยืนอยู่ก็งง ด้วยไม่รู้จัก สลิลทิพย์เดินเข้ามาใกล้ๆ มองตั้งแต่หัวจรดเท้า ดารินทร์มองสลิลทิพย์อย่างแปลกใจ งงๆ
“นี่เหรอ ดารินทร์ ที่คุณอาชัญทุ่มทุนให้เงินมาเปิดร้าน” สลิลทิพย์มองไปรอบๆ ร้าน “ใหญ่โตเหมือนกันนิ” แล้วเหลียวกลับมามองดารินทร์พูดเยาะ “สูบเก่งเหมือนกันนะแก”
“คุณเป็นใคร”
สลิลทิพย์มองดารินทร์อย่างรังเกียจ “หัดเปิดหู เปิดตาให้กว้างหน่อย จะได้รู้ว่าผู้ชายที่แกเอามากกกอด เค้าโสดหรือว่ามีเมียแล้ว”
ดารินทร์งงหนัก “หมายความว่ายังไง”
สลิลทิพย์ส่ายหัว “ฉลาดแต่เรื่องแย่งผัวชาวบ้าน กับเป็นเมียน้อยน่ะ...แต่เรื่องอื่นโง่หมด
ดารินทร์ชักโกรธ “ออกไปจากร้านชั้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ชั้นไปแน่ แค่เดินเข้ามาประเดี๋ยวเดียว ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่า เสนียดเกาะไปทั้งตัวแล้ว แต่ก่อนที่ชั้นจะไป ขอเปิดหู เปิดตานังโง่ให้มันฉลาดก่อน ฟังให้ดีนะ ชั้นชื่อ สลิลทิพย์ วัณณุวรรธน์ เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณอาชัญ วัณณุวรรธน์”
ดารินทร์ตกตะลึงกับคำพูดของสลิลทิพย์ จนพูดอะไรไม่ออก
“ถึงกับอึ้ง พูดไม่ออกเลยเหรอ คราวหน้าถ้าจะหาผัว ช่วยตรวจดูให้ถี่ถ้วนก่อน อย่าผลีผลาม อยากมีผัวรวยจนตัวสั่นหน้ามืด”
สลิลทิพย์เดินเฉียดดารินทร์ไป จับชุดที่แขวนอยู่ขึ้นมาด้วยสองนิ้วอย่างรังเกียจ แต่สีหน้ายังยิ้มเยาะ น้ำเสียงดูถูกเต็มที่
“ชุดสวยดีนะ ออกแบบเองใช่ไม๊ อืม...หวังว่าพรุ่งนี้ลูกค้าจะมีโอกาสเห็นชุดสวยๆของเธอนะ”
สลิลทิพย์พูดจบก็เดินนวยนาดออกไป ดารินทร์ยืนนิ่งเป็นหุ่น พูดอะไรไม่ออก

ตรีอัปสรติดใจ พูดทวนคำช้าๆ “หวังว่าพรุ่งนี้ลูกค้าจะมีโอกาสเห็นชุดสวยๆ ทำไมสลิลทิพย์ถึงพูดแบบนั้นกับแม่ล่ะ”
“ตอนแรก แม่ก็ไม่เข้าใจ แต่คืนนั้นแม่ก็รู้คำตอบ ว่านังสลิลทิพย์มันพูดแบบนั้นทำไม”
ตรีอัปสรมองดารินทร์อย่างตั้งใจฟัง

ค่ำคืนหนึ่ง ดารินทร์นอนอยู่ในห้องที่ชั้นบนของร้านเสื้อ หลับสนิท มีควันลอยเข้ามาในห้อง ควันคละคลุ้ง และหนาขึ้นเรื่อยๆ
เสื้อผ้าในร้านชั้นล่าง ทั้งบนราวและบนหุ่นโชว์ โดนไฟไหม้ลุกท่วม หุ่นโชว์โดนไฟไหม้ล้มลง เปลวเพลิงโหมไหม้กระหน่ำ ลุกลามไปทั่วร้าน

ควันไฟในห้องนอนดารินทร์คละคลุ้งเต็มห้อง ดารินทร์ที่นอนอยู่สำลักควันจนตื่นขึ้นมา และตกใจกับควันไฟมากมายในห้อง
“อะไรกันเนี่ย”
ดารินทร์ลุกขึ้นเปิดประตูห้องนอนออกไป เห็นประกายไฟแลบขึ้นมาจากชั้นล่าง
ดารินทร์กรี๊ดด้วยความตกใจ “ร้านของชั้น” ร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย”
ดารินทร์วิ่งลงบันไดไป พบว่าไฟกำลังลุกโหมอย่างหนัก ดารินทร์ร้องไห้ไป กรีดร้องไปด้วย สติหลุด เสียใจอย่างรุนแรง พยายามจะหนีออกไป แต่ก็โดนไฟโหมจากทุกทิศทาง ดารินทร์ส่งเสียงร้องอย่างตกใจ และหวาดกลัวสุดขีด

เปลวไฟโหมไหม้ออกมาข้างนอก มีรถดับเพลิงแล่นมาจอด พนักงานรีบลงมาลากสายฉีดน้ำดับ
ชาวบ้านละแวกนั้น วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์
พนักงานดับเพลิงหันไปถาม “มีคนอยู่ข้างในไม๊”
ชาวบ้านบอก “มีค่ะ มีคนอยู่ข้างใน ช่วยด้วยค่ะ”
พนักงานฉีดน้ำเข้าไป มีเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพยายามฝ่าเปลวเพลิงเข้าไปด้านใน

เสื้อผ้าติดไฟลุกท่วม ดารินทร์ทั้งกรีดร้อง ทั้งร้องไห้ หน้าตาเปรอะเปื้อน ลูกไฟและหุ่นที่ไหม้ล้มลงมา ดารินทร์โดนเศษไฟ ร้องกรี๊ด
“ช่วยด้วย ช่วยชั้นด้วย ช่วยด้วย”
ดารินทร์ขยับจะหาทางออก หุ่นที่ไฟลุกท่วมอีกตัวล้มลงมาใส่พอดี ทำให้ดารินทร์ล้มลง
พนักงานดับเพลิงวิ่งเข้ามา ดารินทร์ซึ่งนอนอยู่หันไปมองเห็นภาพเบลอๆ
ดารินทร์รวบรวมแรงเปล่งเสียงออกมาเบาๆ “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย”
ในสายตาดารินทร์ยามนี้ เห็นพนักงานเป็นภาพเบลอๆ แล้วทุกอย่างก็ดำมืดไปหมด

ดารินทร์ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล มีผ้าก๊อตพันรอบหัว รอยแผลไหม้ตามเนื้อตัว ปิดผ้าก็อตเต็มไปหมด ดารินทร์นอนนิ่งให้หมอตรวจอาการ
ดารินทร์เล่าว่า “แม่เกือบเอาชีวิตไม่รอด หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เสื้อผ้าเป็นร้อยชุดที่เตรียมไว้สำหรับเปิดร้าน มอดไหม้ไม่เหลือ แม่นอนอยู่ในโรงพยาบาลเกือบเดือนกว่าอาการจะดีขึ้น แต่เรื่องมันก็ยังไม่จบ”

หลังพักฟื้นอยู่เกือบเดือน วันนี้ พยาบาลเข็นรถซึ่งดารินทร์นั่งอยู่มาหยุดตรงมุมหนึ่งในสวนสวยของโรงพยาบาล
“อีกซักพัก จะมาพากลับห้องนะคะ”
“ได้ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ คุณพยาบาล”
พยาบาลยิ้มให้แล้วเดินแยกไปทางหนึ่ง ดารินทร์นั่งมองสวนอย่างครุ่นคิด สักครู่หนึ่ง มีมือชาย 1 เข้ามาจับที่เข็นรถแล้วเข็นไปอย่างแรง
ดารินทร์ตกใจ “อุ๊ย คุณพยาบาล ทำไมกลับมาเร็ว อุ๊ย...”
ดารินทร์ยังพูดไม่จบ หันไปมองเมื่อเห็นว่าไม่ใช่พยาบาลก็ตกใจ
“แก...แกเป็นใคร...หยุดนะ...ช่วยด้วย...”
ดารินทร์ตะโกนได้คำเดียว ก็เห็นปืนมาจ่อที่หลัง
ชาย 1 เสียงเข้ม “หุบปาก ถ้าไม่อยากตาย”
ดารินทร์หน้าซีด กลืนน้ำลาย ไม่กล้าพูดอะไร ชาย 1 เดินจากด้านหลังมาข้างหน้า ทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้ ตรงข้ามดารินทร์ที่อยู่ในรถเข็น ดูจากไกลๆ แล้วเหมือนคนมาเยี่ยมกำลังคุยกันอยู่มากกว่า
“แกเป็นใคร”
“ชั้นเป็นใครไม่สำคัญ แต่ชั้นมีเรื่องสำคัญมาบอกให้แกทำ”
ดารินทร์มองจ้องชาย 1 อย่างหวาดผวา กลืนน้ำลาย
ชาย 1 พูดต่อ “เลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณอาชัญ ถ้าแกยังอยากหายใจอยู่”

เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ดารินทร์มีแววตาเคียดแค้น เจ็บช้ำ ตรีอัปสรมองดารินทร์ มีความรู้สึกร่วมไปกับแม่ด้วย
“แล้วแม่ทำยังไง แม่บอกคุณอาชัญรึเปล่า ว่าเมียเค้าร้ายกาจขนาดไหน”
“บอกซิ ถึงแม่จะกลัวว่านังสลิลทิพย์มันจะรู้ว่าแม่ยังแอบติดต่อกับคุณอาชัญ แต่แม่ก็ต้องบอกเค้าว่า เมียของเค้าพยายามจะฆ่าแม่ ทำร้ายทำลายแม่จนไม่มีอะไรเหลือ”
“แล้วคุณอาชัญเค้าว่ายังไงบ้างคะ”
ดารินทร์มองตรีอัปสรแล้วสีหน้าหวนรำลึกขึ้นมาอีก

อาชัญหันมามองดารินทร์ที่นั่งอยู่บนรถเข็นในห้องพักที่โรงพยาบาล ท่าทีไม่เชื่อเรื่องที่ได้ฟัง
“ไม่น่าเป็นไปได้ คุณสลิลไม่เคยพูดกับผมซักคำว่ารู้เรื่องของดา ไม่เคยมีปฏิกิริยาอะไรกับผมเลย”
“เมียของคุณมาหาดาที่ร้าน บอกว่าเป็นเมียคุณ แล้วคืนนั้นร้านก็โดนวางเพลิง ดาเกือบจะเอาตัวไม่รอดนะคะ”
อาชัญไตร่ตรอง “ดาจะบอกว่าคุณสลิลเป็นคนวางเพลิงเหรอ”
“แล้วคุณคิดว่าจะเป็นใครล่ะ...หรือคุณคิดว่าไฟฟ้าลัดวงจร
ดารินทร์พูดเสียงประชดอย่างไม่พอใจ อาชัญถอนหายใจ
“แล้วเมื่อวานนี้ ก็มีผู้ชายมาหาดา มาบอกให้เลิกยุ่งกับคุณ ถ้ายังอยากหายใจอยู่ ช่วยบอกดาหน่อยเถอะค่ะ ว่าใครส่งผู้ชายคนนั้นมา”
“ผมจะลองคุยกับคุณสลิลดูเรื่องที่ไปหาดาที่ร้าน” อาชัญบอก
“คุณจะถามเมียคุณว่าไงคะ...เธอไปอาละวาดเมียน้อยชั้นมารึเปล่า งั้นเหรอคะ”
อาชัญมองดารินทร์อย่างไม่พอใจเล็กๆ
“ผมว่าดาเปลี่ยนไปนะ ไม่น่ารักเหมือนเดิม”
ดารินทร์แค้นใจน้อยใจ “เกือบโดนไฟคลอกตาย มีคนเอาปืนมาจ่อขู่ ใครเจอแบบนี้เข้า ถ้ายังเหมือนเดิมอยู่ ดาว่าไม่บ้าก็หน้ามืดแล้วล่ะค่ะ”
อาชัญขมวดคิ้ว “ดา”
“ถ้าคุณไม่เชื่อดา ถ้าคุณคิดว่าเมียคุณไม่มีพิษสง หรือถ้าคุณรู้สึกผิดที่ทรยศลูกเมียของคุณ มายุ่งเกี่ยวกับดา ดาว่าเราเลิกคบกันเถอะค่ะ”
“ดารินทร์”
“ดาจะไม่โทษคุณหรอกนะคะ ว่าคุณเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน ตบมือข้างเดียว ยังไงก็ไม่ดัง ดาเองก็ผิดด้วย คุณรู้สึกผิด ดาเองก็ยังไม่อยากตายเราแยกย้ายกันดีกว่าค่ะ”
อาชัญตะลึงมองดารินทร์นิ่งอยู่อย่างนั้น

เช้าวันต่อมา ตรีอัปสรนั่งอยู่ที่เก้าอี้สนามคนเดียว ใบหน้าสวยของตรีอัปสรหมกมุ่นครุ่นคิดถึงอดีตอันแสนเจ็บปวด

เด็กหญิงตรีอัปสร เดินมานั่งบนโต๊ะไม้โย้เย้ ที่หน้าทางเข้า ออก สลัม ในมืออุ้มตุ๊กตาหมีมาด้วย ตรีอัปสรชะเง้อคอมอง มีผู้คนเดินผ่านไปมา
“มานั่งคอยแม่เหรอ นังตรี” ป้าถาม
ตรีอัปสรมองป้าแล้วพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร ป้าเดินมาใกล้ๆ
“ถ้าแม่เอ็งมา เค้าก็ไปรับที่บ้านได้ ไม่ต้องมานั่งคอยืดคอยาวตรงนี้หรอก”
เด็กหญิงตรีอัปสรไม่ตอบ ยังคงจ้องไปที่ถนนอย่างใจจดใจจ่อ ป้าคนนั้นมองตรีอัปสรอย่างสมเพช เวทนาก่อนจะเดินแยกไป ตรีอัปสรยังนั่งรออยู่อย่างนั้น

นึกขึ้นมาแล้วตรีอัปสรมีสีหน้าครุ่นคิด แค้นใจ ดารินทร์เดินเข้ามานั่งด้วย
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
ตรีอัปสรหันไปมองดารินทร์
“ตรีกำลังคิดถึงตัวเอง คิดถึงวันที่ตรีนั่งรอแม่อยู่ที่หน้าสลัม แล้วแม่ก็ไม่มาซะที ตรีไปนั่งรอทุกวัน รอแม่ทุกวันอย่างมีความหวัง”
ตรีอัปสรมองหน้าดารินทร์ น้ำตาไหลพรั่งพรู ดารินทร์มองแล้วดึงตรีอัปสรเข้ามากอด
“แม่เห็นลูก แม่ไปดูลูกทุกวัน ร้องไห้ทุกวัน แต่เข้าไปหาลูกไม่ได้ แม่หมดตัว ไม่มีอะไรเหลือ ทั้งๆ ที่ตั้งใจว่าเปิดร้านแล้วจะรีบมารับลูก”
ตรีอัปสรมองดารินทร์ แววตาแค้นใจ น้ำตานองเต็มหน้า
“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำลายแม่คนเดียว แต่มันทำร้ายตรีด้วย เพราะมัน ตรีถึงต้องอยู่ในขุมนรก สลัมนั่น นานกว่าที่ควรจะเป็น ตรีจะช่วยแม่ มันจะต้องเจ็บกว่าที่เราเจ็บ”
ดารินทร์มีสีหน้าพอใจที่ได้ยินตรีอัปสรพูดอย่างนั้น
“ตรีจะทำทุกอย่าง มงกุฎนางสาว ณ สยาม จะต้องเป็นของตรี”
ในแววตาอันดุดัน สีหน้าของตรีอัปสร มุ่งมั่นมาดหมายเป็นที่สุด

เวลาเดียวกัน ชญานนท์เดินเข้ามาหาอรสินีซึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่ โดยไม่รู้ตัว ชญานนท์มองอรสินีนิ่งนาน จนอรสินีรู้สึกตัวเงยหน้าขึ้น แล้วยิ้มอย่างดีใจ
“พี่นนท์ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ”
อรสินีวางหนังสือลง ขยับลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ชญานนท์เดินเข้าไปกอดอรสินี
“คิดถึงน้องอรที่สุด”
อรสินีปล่อยให้ชญานนท์กอดครู่หนึ่ง แล้วจึงดันตัวเองออกมา มองชญานนท์ก่อนจะยิ้มให้
“พี่นนท์ทำเหมือนเราไม่ได้เจอกันมาเป็นปีเลยนะคะ”
ชญานนท์ยิ้ม “ไม่เคยได้ยินเหรอคะ คนรักกัน ห่างกันแค่วันเดียว ก็เหมือนยาวนานนับเดือน”
อรสินีหัวเราะขำ “ไม่เคยได้ยินค่ะ สงสัยพี่นนท์จะคิดเอง พูดเองมากกว่า”
ชญานนท์หัวเราะที่หญิงสาวรู้ทัน สองคนพากันเดินมานั่ง
“ทำไมวันนี้มาหาอรได้ล่ะคะ ช่วงนี้เห็นว่างานยุ่ง”
“ก็พี่นนท์บอกแล้วไง...ว่าคิดถึง”
“มีอะไรมากกว่าคิดถึงไม๊คะ”
“มี”
อรสินีเลิกคิ้วเป็นเชิงถามว่าอะไร ชญานนท์ทำหน้าจริงจังก่อนจะพูดเบาๆ
“รัก”
อรสินียิ้มเขินอาย เพราะไม่คิดว่า ชญานนท์จะใช้มุกนี้บอกรัก อรสินีขยับลุกขึ้น
“อรไปดูกาแฟกับขนมให้พี่นนท์ดีกว่า”
อรสินีขยับลุกขึ้นเดินไป ชญานนท์มองตามไปอย่างเอ็นดู

สลิลทิพย์เดินเข้ามาในโถง เห็นอรสินีกับน้อยกำลังเตรียมเครื่องดื่มและขนมอยู่ และเห็นว่าชญานนท์อยู่ตรงมุมพักผ่อน แต่ไม่ได้เดินเข้าไปหา ทั้งอรสินีและน้อยก็ไม่เห็นสลิลทิพย์
สลิลทิพย์มองอรสินีเตรียมเครื่องดื่ม ด้วยสีหน้าสดชื่นแล้วละตัวเดินไปอีกทาง

สักครู่หนึ่ง สลิลทิพย์เข้ามาทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ชญานนท์
“อาทิตย์หน้าก็ประกาศรายชื่อนางงามเข้ารอบ 20 คนแล้วใช่ไม๊นนท์”
“ครับ”
“แล้วพอจะรู้รึยังว่ามีใครเข้ารอบบ้าง”
“อีก 2-3 วันน่าจะรู้ครับ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการน่ะครับ คุณน้า” ชญานนท์ออกตัว
สลิลทิพย์พยักหน้า “จ้ะ น้าไม่อยากรู้หรอกว่าใครจะเข้ารอบบ้าง น้ารู้แต่ว่ายายอรเข้ารอบแน่นอน”
ชญานนท์ยิ้มโดยไม่ตอบอะไร สลิลทิพย์ทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้
“อืมม์ นนท์ แล้ววันประกาศคนที่เข้ารอบ 20 คนนี่ ทุกคนที่สมัครต้องอยู่ครบใช่ไม๊”
“ใช่ครับ เพราะต้องมีการสัมภาษณ์ ออดิชั่น ก่อนครับ หลังจากนั้นก็จะประกาศผล สาวงามที่เข้ารอบ 20 คน วันนั้นเลยครับ”
“แล้วถ้าเกิดใครไม่ได้มาวันนั้นก็โดนตัดสิทธิ์เลยรึเปล่า” สลิลทิพย์ซักเหมือนคนอยากรู้ทั่วๆ ไป
“ใช่ครับ ไม่มาก็ไม่ได้สัมภาษณ์ ออดิชั่น ก็ถือว่าจบไป”
“แล้วถ้าคนสมัครมา มีเรื่องอะไรอีกไม๊ที่จะโดนตัดสิทธ์”
“ก็อาจจะเอกสารไม่ครบ ส่วนสูงไม่ถึง อายุเกิน อะไรพวกนี้อ่ะครับ” ชายหนุ่มมองสลิลทิพย์อย่างให้กำลังใจ “คุณน้าไม่ต้องห่วงหรอกครับ น้องอรไม่โดนตัดสิทธิ์แน่นอน”
สลิลทิพย์พยักหน้า “น้าก็ไม่ได้คิดถึงยายอรหรอกจ้ะ” ชญานนท์มองฉงน สลิลทิพย์รีบบอก “น้าก็อยากรู้น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ชญานนท์พยักหน้ารับ “ครับ”
อรสินีเดินเข้ามาพร้อมกับน้อยที่ถือถาดเครื่องดื่มและขนมเข้ามา
“คุณแม่อยู่นี่เอง”
สลิลทิพย์ยิ้ม “แม่มาคุยกับนนท์เรื่องประกาศผล 20 คนสุดท้ายน่ะ ขอบใจนะนนท์”
อรสินีจัดขนม รินกาแฟให้ชญานนท์ สลิลทิพย์มองภาพตรงหน้าอย่างอารมณ์ดี

บรรยากาศสวยงาม ยามเย็น ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา อรสินีเดินคลอคู่มากับชญานนท์
“พี่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคุณน้าจะใจดี ยอมให้อรออกมากับพี่”
“นั่นซิคะ อรก็แปลกใจเหมือนกัน ก่อนหน้านี้คุณแม่ยังบอกให้เราเจอกันเฉพาะที่บ้าน”
“ถึงจะครั้งเดียว พี่ก็ดีใจแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มหวาน
“ค่ะ” อรสินีถอนหายใจ “ไม่น่าเชื่อเลยนะคะ จากที่เราเคยใช้ชีวิตปกติ กลายเป็นว่าเราต้องระวังทุกอย่าง”
“แล้วถ้าอรได้เป็นนางสาว ณ สยาม ยิ่งต้องระวังมากกว่านี้”
อรสินียิ้มขำ “แอบหวังว่าอรจะได้ตำแหน่งเหมือนกันเหรอคะ” หญิงสาวผ่อนลมหายใจเบาๆ มองไปไกล “อรไม่คิดว่าอรจะต้องได้ตำแหน่งหรอกค่ะ พี่นนท์ ที่อรประกวดก็เพราะคุณแม่ อรไม่อยากให้คุณแม่โกรธ”
“แล้วถ้าเกิดอรไม่ได้ตำแหน่ง...อรไม่คิดว่าคุณน้าจะโกรธเหรอคะ...
“ก็อาจจะโกรธ อาจจะผิดหวังนะคะ ถ้าจะผิดก็คงผิดที่อรสวยได้ไม่สุด”
ชญานนท์อดขำกับท่าทางและคำพูดของอรสินีไม่ได้
“ขำอะไรคะ อรพูดจริงๆ นะคะ”
“พี่รู้ แล้วพี่ก็คิดต่อให้น้องอรไว้แล้วนะ ว่าหลังจากการประกวดแล้วอรจะทำอะไร”
อรสินีหันมามองชญานนท์แล้วเลิกคิ้วเป็นคำถาม
“หลังจากการประกวดนางสาว ณ สยาม แล้ว...เราแต่งงานกันเถอะ”
อรสินีคาดไม่ถึง “อะไรนะคะ”
“วันนี้พี่นนท์เกริ่นไว้ก่อนน่ะ รอจนผ่านงานประกวดไปก่อน พี่จะมาขออย่างเป็นทางการ”
“ถ้าคุณแม่รู้ จะดีใจที่เราจะแต่งงานกันหรือจะเสียใจที่อรไม่ได้เป็นนางสาว ณ สยามคะเนี่ย”
ชญานนท์กับอรสินี สบตากันด้วยความรักล้นใจ

เย็นเดียวกัน รูปตรีอัปสรวางอยู่บนโต๊ะในร้านกาแฟ มีมือหยิบรูปนั้นขึ้น พบว่าเป็นชายหนุ่มชื่อ ชาติ ที่หยิบรูปขึ้นมาดูอย่างพิจารณา
“สวยนะครับ สวยมาก”
สลิลทิพย์หงุดหงิด “ชั้นไม่ได้ให้มาชื่นชมความงาม ชั้นต้องการรู้ความเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนี้”
“ครับ เหมือนผมจะคุ้นๆ เคยเห็นที่ไหนมาก่อน”
“รายงานชั้นทุกวันว่ามันไปทำอะไร ที่ไหนบ้าง”
“ขอโทษนะครับ กิ๊ก คุณอาชัญหรือเปล่าครับ”
สลิลทิพย์หน้าตึง ไม่พอใจ “นายชาติ ถึงชั้นจะใช้บริการนายมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าชั้นกับนาย จะสนิทกันนะ”
ชาติหน้าสลดลงถนัดตา “ครับ ขอโทษครับ”
“เอาเวลาที่อยากรู้เรื่องคนอื่น ไปจัดการเรื่องที่ชั้นสั่งดีกว่า”
สลิลทิพย์พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป ชาติมองตามแล้วก้มหน้าดูรูปตรีอัปสรอีกครั้ง

รถของชญานนท์แล่นเข้ามาจอดหน้าประตูบ้าน สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ในรถ
“พี่นนท์ไม่ต้องไปส่งหรอกค่ะ อรเข้าบ้านเองได้”
“ทราบแล้วค่ะ ก็ดีเหมือนกันนะคะ อรจะได้มีเพื่อน”
ชญานนท์มองอรสินีและก็อดขำคำพูดของคนรักไม่ได้ อรสินีมองชญานนท์อย่างแปลกใจ
“ขำอะไรคะ อรพูดอะไรผิดเหรอ”
“ไม่ผิดหรอก....แค่แปลก”
“แปลกยังไงคะ”
“ถ้าเป็นคนอื่นทั่วๆ ไปอ่ะนะ เค้าก็ต้องคิดว่าตรีอัปสรเข้ามาเป็นคู่แข่ง ไม่ใช่ดีใจว่าจะได้เพื่อน”
อรสินีหัวเราะขำ “อรไม่เคยคิดว่าใครจะมาเป็นคู่แข่งอรเลยนะคะ อรพูดจริงๆ นะคะไม่ได้แอ๊บเป็นนางเอก”
ชญานนท์ขำกับคำพูดของอรสินี “พี่รู้ ว่าอรไม่ได้แอ๊บ อรของพี่ เป็นคนดี จิตใจดี แต่ก็ต้องระวังตัวไว้ด้วย”
อรสินียิ้มอย่างเชื่อมั่น “อรเชื่อว่าถ้าเราคิดดี ทำดี เราก็จะได้สิ่งดีๆ กลับมาค่ะ”
“ก็ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
อรสินียิ้มกับชญานนท์

อีกวันหนึ่งที่ร้านอาหารหรู
พีรวัชร์ หรือ คุณพี บก.นิตยสารแฟชั่นแถวหน้า นั่งรออยู่ หันมาเห็นดารินทร์เดินมากับตรีอัปสร ดารินทร์ยิ้มหวานเข้ามาหา คุณพีขยับลุกขึ้น
“สวัสดีค่ะ คุณพี รอพี่นานไม๊คะ”
“ไม่นานฮ่ะ....พีพึ่งมาถึงแป๊บเดียวเอง”
ดารินทร์พูดแนะนำกับตรีอัปสร “คุณพีเป็นบรรณาธิการของนิตยสารบีลิฟแมกกาซีน ที่มียอดขายสูงสุดของเมืองไทย”
ตรีอัปสรยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย “สวัสดีค่ะ”
พีรวัชร์ยกมือรับไหว้ มองตรีอัปสรอย่างชื่นชมในความสวย ดารินทร์พูดต่อ
“ตรีอัปสร ลูกสาวพี่ค่ะ”
“พีเห็นในข่าว ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วฮ่ะ ออร่ากระจายเลย เชิญนั่งเลยฮ่ะ”
ทั้ง 3 คน ทรุดตัวลงนั่ง พีรวัชร์ยังมองตรีอัปสรไม่วางตา
“เห็นในทีวีว่าสวยมากแล้ว มาเจอตัวจริง สวยเต็มๆ สมบูรณ์แบบจริงๆ ฮ่ะ”
ตรีอัปสรยกมือไหว้อีกครั้ง “ขอบคุณมากค่ะ คุณพีชมตรีแบบนี้ตรีคงไม่ต้องสั่งอะไรมาทานแล้วล่ะค่ะ”
พีรวัชร์หัวเราะเบาๆ “สวยขนาดน้องตรีนี่ ไม่ต้องเสียเวลาไปประกวดเลยก็ได้นะฮะ ขึ้นปกบีลิฟแค่ครั้งเดียว ก็ดังกระหึ่ม วงการนางแบบสั่นสะเทือนแน่นอนฮ่ะ”
“พี่อยากให้ลูกตรี มีประสบการณ์น่ะค่ะ อีกอย่างถ้าเกิดตรีโชคดีได้ตำแหน่งนางสาว ณ สยาม ขึ้นมาจริงๆ ล่ะก้อ ถือว่าเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลของพี่เลยนะคะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน พูด ช้า ชัด ดูเป็นลูกคุณหนูผู้ดี ไฮโซเป็นอย่างยิ่ง
“คุณแม่ไม่ต้องการให้ตรีได้อะไรมาง่ายๆ ค่ะ พี่พี แต่ก็ดีนะคะ ชีวิตต้องต่อสู้ ต้องแข่งขัน อีกอย่างตรีก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่ารูปร่างหน้าตาของตรี พอจะสู้กับคนอื่นได้หรือเปล่า”
“อูย...สู้ได้สบายมากฮ่ะ แล้วยังมีคุณแม่ทำหน้าที่เจ๊ดันขนาดนี้ รับรองว่าดังแน่ๆ”
ดารินทร์ยิ้มพอใจ “พี่คิดไว้คร่าวๆแล้ว ขอแค่คุณพีช่วยสานต่อก็พอค่ะ”
“ได้เลยฮ่ะ พี่พร้อมตั้งแต่เห็นน้องตรีแล้วล่ะ”
ดารินทร์ยิ้มสมใจ ตรีอัปสรมองแม่สลับกับมองพีรวัชร์ยิ้มบางๆ

ไม่นานต่อมา ดารินทร์ ตรีอัปสรและพีรวัชร์เดินมาตามทางเดินในห้าง หน้าตาทุกคนยิ้มแย้มแจ่มใส
“พรุ่งนี้ พี่จะส่ง schedule มาให้นะฮะ ว่าจะเดินทางวันไหน เรื่องชุดคุณดาเตรียมไว้ได้เลยฮ่ะ”
“ค่ะ พี่อยากให้บีลิฟเล่มนี้ ออกมาก่อนลูกตรีจะเก็บตัวรอบสุดท้ายค่ะเป็นไปได้ไม๊คะ”
พีรวัชร์ยิ้ม “ได้แน่นอนอยู่แล้วฮ่ะ ไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ พีเนรมิตให้ได้”
ดารินทร์หัวเราะถูกจริต “น่ารักมากเลยคุณพี สมแล้วที่เป็นบอกอชื่อดังของเมืองไทย”
ตรีอัปสรรู้หน้าที่โดยไม่ต้องสอน ยกมือไหว้อ่อนน้อม “ขอบพระคุณ คุณพี มากค่ะ”
“ไม่เป็นไรฮ่ะ เรายังต้องทำงานด้วยกันอีกหลายงาน”
“ด้วยความยินดีค่ะ”
พีรวัชร์ยิ้มพอใจกับคำพูดของตรีอัปสร แล้วหันไปทางดารินทร์
“พีต้องขอตัวก่อนนะฮะ ขออนุญาตแยกตรงนี้เลย”
ดารินทร์ :ค่ะ....ขอบคุณมากนะคะ....สวัสดีค่ะ....
ทั้งพีรวัชร์ ดารินทร์และตรีอัปสร ยกมือไหว้ ล่ำลากัน
“สวัสดีจ้ะ”
“สวัสดีค่ะ”
พีรวัชร์เดินแยกไปแล้ว ดารินทร์สบตากับตรีอัปสรที่ยิ้มแย้มอยู่ แม่ลูกมองหน้ากันค่อยๆ เปลี่ยนสีหน้า โดยเฉพาะดารินทร์ มีแววแห่งความมุ่งมั่น
“วันนี้แกเดินห้าง ช้อปปิ้งซะให้พอนะ ยายตรี อีกหน่อย แกไม่มีทางเดินไปไหนแบบนี้ได้อีกแล้ว”
“ทำไมคะ ทำไมถึงเดินไม่ได้”
ดารินทร์ยิ้มย่อง “เพราะว่าแกจะโด่งดัง เป็นที่รู้จักของผู้คน ไปไหนมาไหน ก็จะมีคนมาทักทาย ขอถ่ายรูป กันจนไม่มีความเป็นส่วนตัวไง แกเตรียมตัวดังไว้ได้เลย ยายตรี”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ เหมือนพร้อมรับทุกสถานการณ์อยู่แล้ว

บ่ายคล้อย รถของดารินทร์แล่นเข้ามาจอดในบ้าน ปิ๋มวิ่งออกมารับ ดารินทร์กับตรีอัปสรเดินลงมาจากรถ ตรีอัปสรบอก
“ปิ๋ม เอาของลงจากรถให้หมดนะ”
“ค่ะ”
“แม่”
ดารินทร์ซึ่งกำลังจะเดินเข้าบ้าน หันมามอง ตรีอัปสรยังยืนอยู่ที่รถ
“ตรี ออกไปข้างนอกนะ”
“จะไปไหนอีกล่ะ”
“ออกไปขับรถเล่น ส่งท้ายก่อนที่ชีวิตจะเปลี่ยนไปไง”
“ชั้นว่าแกเก็บเนื้อเก็บตัวไว้มั่งก็ดีน่ะ”
“อ้าว เมื่อกี้ยังบอกหยกๆ ว่า อยากไปไหนก็รีบไป เพราะอีกหน่อยไปลำบาก ไม่ใช่เหรอคะ”
ดารินทร์ค้อนควัก “เกิดจะว่านอนสอนง่าย ทำตามคำแม่บอก เอาตอนนี้อะนะ”
ตรีอัปสรหัวเราะขำ “ตรีไปนะ แม่ ไม่ต้องห่วง”
ตรีอัปสรเปิดประตูรถ ขับออกไป ดารินทร์มองตามแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้าบ้านไป

บนท้องถนน รถราวิ่งสวนกันไปมา รถของตรีอัปสรเข้ามาจอดริมทาง ไม่ห่างจากบ้านสลิลทิพย์นัก ตรีอัปสรลงจากรถ กดล็อครถ เดินไปช้าๆ แล้วมาหยุดยืนมองฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นคฤหาสน์ บ้านของสลิลทิพย์
ตรีอัปสรทอดสายตามองไปคล้ายรำลึกถึงความหลัง

เด็กหญิงตรีอัปสร ในชุดนักเรียน เดินมาจนใกล้ถึงบ้านสลิลทิพย์ เห็นรถแล่นเข้าไปจอด
โดยในบ้าน เด็กชายอติรุจกับเด็กหญิงอรสินี ในชุดนักเรียนเดินลงจากรถ น้อยออกมาหิ้วกระเป๋านักเรียนให้ อติรุจและอรสินี ตะโกนเรียก “คุณแม่” แล้ววิ่งเข้าไปในบ้าน
ต่อมาตรีอัปสรในชุดมอมแมม เดินมาหยุดยืนเกาะรั้วดูในบ้าน เห็นอติรุจกับอรสินีวิ่งเล่นกันมาจากอีกด้าน
น้อยถือถาดขนม เครื่องดื่ม มาวางที่โต๊ะสนาม ร้องเรียกพี่น้อง
“คุณรุจ คุณอร มารับประทานของว่างก่อนค่ะ”
อติรุจวิ่งเข้ามาหา “มีอะไรกินมั่ง น้อย”
“พายไส้กรอก พายไก่ ค่ะ”
อรสินีตามมา “น้องอรขอน้ำแดงด้วย”
“ได้เลยค่ะ”
อรสินีกับอติรุจเดินไปนั่งที่เก้าอี้สนาม ตรีอัปสรยืนเกาะรั้ว มองภาพตรงหน้า มีความสุขกับภาพที่เห็น แต่อิจฉาเด็ก 2 คนที่มีความสุข สุดท้ายนึกเศร้ากับสภาพตัวเองที่ไม่มีวันมีความสุขเหมือนคนอื่น

ตรีอัปสรดึงตัวเองกลับมา ยืนมองบ้านสลิลทิพย์นิ่ง แล้วถอนหายใจ สภาพบ้านไม่เปลี่ยนไปมาก ตรีอัปสรเดินช้าๆ ผ่านบ้านสลิลทิพย์ไปด้านใน

ผู้คนเดินเข้าออกตรอกทางเข้าสลัมขวักไขว่ ตรีอัปสรเดินมาถึงทางเข้า หยุดยืนมองชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าไปด้านใน
ความทรงจำเก่าๆ ผุดซ้อนเข้ามาในห้วงคิด แววตาหญิงสาวมองทางเดินในสลัมเบื้องหน้า มองเห็นเรื่องราวในอดีต
เวลานั้นเด็กหญิงตรีอัปสรในชุดมอมแมมเดินเข้าไปในสลัม มีชาวบ้านทักทาย
“นังตรี หายไปไหนมาห๊ะ พ่อเอ็งเค้าตามหาแน่ะ”
ตรีอัปสรไม่ตอบ เดินก้มหน้างุดๆ ผ่านไป

ไม่นานต่อมามือของเด็กหญิงเปิดฝาหม้อข้าวคดข้าวใส่จาน แล้วเดินไปเปิดฝาชีหยิบปลาเค็มมาใส่จาน
“นังตรี”
เด็กหญิงตรีอัปสรสะดุ้งเฮือก หันมามอง เห็นชบา ผู้เป็นแม่เลี้ยง รูปร่างอ้วน ดำ เดินตีหน้ายักษ์เข้ามา
“ชั้นบอกให้แกไปช่วยชั้นขายของที่ตลาด ทำไมแกไม่ไป ห๊ะ”
“หนูปวดหัว”
ชบาตวาด “ปวดหัวแต่ออกไปแรดๆๆๆ อยู่ข้างนอก อย่านึกว่าชั้นไม่รู้นะ”
“หนูไม่ได้ออกไปแรดๆ หนูเอาหนังสือเรียนไปคืนเพื่อน”
“โกหก”
“หนูไม่ได้โกหก ถ้าน้าไม่เชื่อก็ถามพ่อได้เลย หนูเอาหนังสือเรียนไปคืนเพื่อนจริงๆ แล้วหนูก็ปวดหัวด้วย ใช่ไม๊ พ่อ”
ตรีอัปสรหันไปทางกล้า ซึ่งนั่งกินเหล้า หน้าฉ่ำอยู่มุมบ้าน กล้าส่งเสียงอ้อแอ้
“เออ ใช่ นังตรีมันไม่สบายจริงๆ”
ชบาชี้หน้าเอาเรื่องกล้า “เมาแล้วก็เงียบไปเลยพี่กล้า ไม่ต้องเสนอหน้าออกความเห็น”
กล้าทำหน้าเอือมๆ แต่ก็หุบปากไม่พูดอะไร หยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่ม ชบาหันมาทางตรีอัปสรที่ถือจานข้าวอยู่ในมือ
“แล้วนี่อะไร ปวดหัว ไม่สบาย แต่ตักข้าวซะเต็มจาน แกจะกินเข้าไปหมดเหรอห๊ะ นังตรี”
“ก็หนูหิว”
ขาดคำ ชบาก็ปัดจานข้าวในมือตรีอัปสร กระเด็นลงไปกับพื้น ข้าวในจานหกกระจายเต็มพื้น
ตรีอัปสรมองข้าวที่พื้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองชบา ชบายิ้มอย่างสะใจ
“หิวนักใช่ไม๊ ไปเก็บกินซิ นังตรี”
ตรีอัปสรน้ำตาไหลด้วยความคับแค้นใจที่ทำอะไรไม่ได้ ทั้งโกรธทั้งหิว
“ในเมื่อแกไม่ช่วยชั้นทำมาหากิน แกก็ไม่ควรจะกินข้าว”
ตรีอัปสรยกมือขึ้นป้ายน้ำตาที่ไหลรินรดแก้ม พร้อมกับสะอื้น ชบามองอย่างรังเกียจ
“อย่ามาสำออย บีบน้ำตา ไม่มีใครสนใจแกหรอก”
กล้ายังคงกินเหล้าต่อไป อย่างสบายอารมณ์ไม่สนใจ ว่าตรีอัปสรกำลังถูกแม่เลี้ยงรังแก ชบาเดินไปจิ้มหัวตรีอัปสร
“นี่ถ้าชั้นไม่เห็นแก่พี่กล้า ชั้นไล่แกออกจากบ้านไปนานแล้ว”
ชบาพูดจบก็ผลักตรีอัปสรจนล้มลงไปกองกับข้าวที่หกเกลื่อน ตรีอัปสรร้องไห้ มีเสียงสะอื้นดังอย่าง
ทั้งตกใจและเจ็บ
“ร้องเข้าไป ร้องให้ดังไปถึงแม่แกเลย มันจะได้มารับแกไปพ้นๆ หน้าชั้นซะที”
พูดจบชบาก็เดินไป ทิ้งตรีอัปสรนั่งร้องไห้อยู่กับพื้นอย่างน่าเวทนา

ตรีอัปสรก้าวเท้ามาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านพ่อ สะท้อนใจ จนน้ำตาคลอ
เสียงคุ้นหูของกล้าผู้เป็นบิดาดังมาจากด้านหลัง “คุณ... คุณ...คุณ...”
ตรีอัปสรรู้สึกตัว หันขวับมามอง เห็นกล้าซึ่งแก่ลงไปมากหน้าฉ่ำเมาได้ที่ แขนหนีบขวดเหล้าขาวไว้ ยืนเซไปเซมาอยู่ ตรีอัปสรตกใจ เพราะไม่คิดว่าจะเจอพ่อ
“มาหาใครเหรอครับ มาหาผมหรือมาหานังชบา” กล้าตะโกนเข้าไปในบ้าน “ชบา...นังชบา...”
ตรีอัปสรรีบพูดขัดขึ้น เพราะกลัวชบาจะออกมาและจำได้
“ชั้นไม่ได้มาหาใคร ชั้นหลงทางมา”
กล้าซึ่งกำลังตะโกนเรียกชบา ก็ชะงักหยุดค้างหันมามอง
“อ๋อ...ไม่ได้มาหาใคร หลงทางมา ก็ต้องไปทางนี้เลยคุณ เดินตรงไปทางโน้น แล้วจะทะลุถนนใหญ่เองล่ะ”
กล้าพูดจบก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม ตรีอัปสรมองกล้าอย่างสลดใจ
“ลุงเมามากแล้วนะ ยังจะกินอีกเหรอ”
“เมาที่ไหนล่ะคุณ ผมม่ายมาว…”
“จนขนาดนี้ยังบอกว่าไม่เมาอีก”
เสียงชบาดังออกมา “กลับมาแล้วเหรอ พี่กล้า”
ตรีอัปสรได้ยินเสียงชบา ก็รีบเดินออกแยกไปทันที ชบาเดินออกมาที่ประตูมองกล้า
“คุยกับใครอ่ะ แล้วตะโกนเรียกชั้นทำไม”
“คุยกะผู้หญิง หลงทางมา ไปโน่นแล้ว”
ชบามองตามไปเห็นหลังตรีอัปสรไวๆ
“ใครอ่ะ แต่งตัวดี หลุดมาแถวนี้ได้ยังไง”
ชบามองตามอย่างแปลกใจ

ตรีอัปสรเดินหนีอย่างเร็วรี่เกือบเป็นวิ่ง จนมาถึงทางออกถนนใหญ่ ที่โล่งโปร่ง ตรีอัปสรหยุดยืนถอนหายใจอย่างโล่งอก เหมือนหลุดออกมาจากที่แออัดได้ ตรีอัปสรผ่อนลมหายใจช้าๆ หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าเหมือนให้กำลังใจตัวเอง ก่อนจะขยับเดินห่างจากสลัม แหล่งรวมความเจ็บปวดเมื่อวัยเยาว์ออกไปเรื่อยๆ

เวลานั้นรถของชญานนท์แล่นมาถึงหน้าบ้านสลิลทิพย์ ขอดรอสักครู่ประตูเปิดออก ชญานนท์ขับรถเข้าไปในบ้าน
ตรีอัปสรเดินมาจากอีกด้านหนึ่ง ถึงหน้าบ้าน มองเข้าไป เห็นอรสินีออกมารับชญานนท์ เขายิ้มให้อย่างอบอุ่น เดินคลอคู่เข้าบ้านไปด้วยกัน
ตรีอัปสรมองเข้าไปในบ้าน นึกถึงภาพชญานนท์ที่ยิ้มอย่างอบอุ่นกับอรสินีเมื่อครู่ นั่นยิ่งทำให้ไฟริษยาคุโชนในใจตรีอัปสร สีหน้าหล่อนแสดงออกอย่างชัดแจ้ง

ตรีอัปสรเข้ามานั่งนิ่งในรถ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หญิงสาวคุ้ยกระเป๋าถือหยิบโทรศัพท์ออกมา โดยไม่เห็นว่านามบัตรของอติรุจติดออกมาด้วย ตรีอัปสรมองจอเห็นว่าเป็นณเดชย์โทร.มา เบ้ปากทำท่าเซ็งๆสายตามองไปเห็นนามบัตรหล่นอยู่ก็หยิบขึ้นมาดู เห็นชื่อ “อติรุจ วัณณุวรรธน์”
ตรีอัปสรนิ่งคิด

ไม่นานหลังจากนั้น ที่ร้านกาแฟบรรยากาศดีแห่งหนึ่ง อติรุจทรุดตัวลงนั่งมองตรีอัปสรซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามอย่างเป็นปลื้ม
“นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไม๊”
ตรีอัปสรยิ้มและค้อนอติรุจเล็กๆ ก่อนจะเอื้อมมือไปจิกมืออติรุจ
“เจ็บไม๊ล่ะคะ ถ้าคุณรุจเจ็บ ก็แสดงว่าเรื่องจริง ไม่ใช่ความฝันค่ะ”
อติรุจหัวเราะ “เจ็บครับ เจ็บ”
ตรีอัปสรปล่อยมือจากมือเขา
อติรุจพูดต่อ “ผมไม่คิดว่าตรีจะโทร.มาหา”
“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะคะ ตรีจะลืมคุณรุจได้ยังไง” ตรีอัปสรทำท่าน่ารัก “อาจจะมาช้า แต่ก็มานะคะ”
อติรุจหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดู ท่าทางน่ารักนั้นของตรีอัปสร บ๋อยเอาเครื่องดื่มพร้อมเค้กมาวางให้
“ตรีสั่งชาให้คุณรุจนะคะ”
“ดีครับ” ชายหนุ่มมองเค้ก “เราจะทานกันหมดไม๊นี่”
ตรีอัปสรหัวเราะ “หมดซิคะ”
อติรุจเลิกคิ้ว “ตอนนี้ควรจะต้องระวังรูปร่างไม่ใช่เหรอ ตรี”
“คุณรุจทราบด้วยเหรอคะ”
“ข่าวดังซะขนาดนั้น คุณตรีอัปสร ผู้สมัครนางสาว ณ สยาม อิมพอร์ตจากลอนดอน”
ตรีอัปสรมองอติรุจนิ่งๆ “นักข่าวก็พยายามหาข่าว ทำข่าวให้น่าสนใจค่ะ โดยเฉพาะนักข่าวของช่อง Thai 10 เค้าต้องหาประเด็นจุดเด่นของคนที่มาสมัคร อย่างคุณอรก็อยู่ในหมวดไฮโซสาวที่มาประกวด”
“พูดตรงๆนะ ผมไม่เคยเห็นดี เห็นงามกับการประกวดนางงามอะไรพวกนี้เลย แล้วดูซิ ยิ่งไม่ชอบ...ยิ่งเจอ” ชายหนุ่มบ่นระบาย
ตรีอัปสรหัวเราะขำ “ทั้งคุณอร ทั้งตรี สองคนเลยนะคะ”
“ใช่ แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว ผมก็ต้องเชียร์ทั้งคู่”
“ขอบคุณค่ะ คุณรุจดีกับตรีเสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เรารู้จักกันจนถึงวันนี้”
อติรุจมองตรีอัปสรอย่างจริงใจ “และก็วันต่อๆไปด้วย”
ตรีอัปสรยิ้มปลื้มๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตรีอัปสรหยิบมาดู
“แม่โทร.มาค่ะ” ตรีอัปสรกดรับสาย “ฮัลโหล ค่ะ ก็ไม่ไกลมากค่ะ โอเคค่ะ”
ตรีอัปสรวางสายโทรศัพท์แล้วหันมาทางอติรุจ
“ตรีต้องกลับแล้วค่ะ แม่จะใช้รถ ตรียืมรถแม่มาอ่ะค่ะ”

ตรีอัปสรเดินมาหยุดที่รถกับอติรุจ
“ขอบคุณนะคะ ตรีตั้งใจจะมาเลี้ยงคุณรุจ กลายเป็นว่าคุณรุจมาเลี้ยงตรี”
“ผมจะให้สุภาพสตรีเลี้ยงได้ยังไงล่ะ”
“ตรีว่าตรีเป็นสตรีที่ไม่สุภาพมากกว่าค่ะ”
ตรีอัปสรพูดทีเล่นทีจริง อติรุจมองอย่างเข้าใจ
“มองไปข้างหน้า แล้วเดินไปอย่างมั่นใจเถอะตรี อย่าให้เรื่องที่ผ่านมาในอดีต มาบั่นทอนกำลังใจ”
ตรีอัปสรมองอติรุจอย่างซาบซึ้ง ตั้งแต่เล็กจนบัดนี้ เขาแสนดี หวังดีกับหล่อนเสมอ ตรีอัปสรเอื้อมมือไปแตะแขนของอติรุจเป็นเชิงขอบคุณ
“ตรีจะพยายามค่ะ”
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจ อยากคุยกับใครซักคน ให้นึกถึงผมเป็นคนแรก ผมพร้อมที่จะฟังตรีทุกเรื่อง”
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณคุณรุจมาก”
อติรุจเปิดประตูรถให้ตรีอัปสร ตรีอัปสรหันมามอง อติรุจยิ้มให้แต่ไม่ได้จับมือแตะตัวตรีอัปสร
“แล้วเจอกันนะคะ”
“ครับ”
ตรีอัปสรขึ้นรถแล้วขับออกไป อติรุจมองตามอย่างอาวรณ์

ในเวลานั้น ดารินทร์แต่งตัวสวยงาม เดินออกมาจากตัวบ้าน รถของตรีอัปสรแล่นเข้ามาจอด ตรีอัปสรลงจากรถ คนขับรถวิ่งเข้าไป
“ถ้ามาช้ากว่านี้อีก 10 นาที ชั้นต้องเรียกแท็กซี่แน่ แกไปไหนมาเนี่ย”
ตรีอัปสรขำๆ “นี่ขนาดรีบ ยังมีเวลาถามอีกนะแม่ รีบไปเถอะค่ะ รถติดจะแย่”
“ไปอาบน้ำ อาบท่า โปะครีม โบ๊ะมากส์ซะ อย่าปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ อีก 2-3 วัน น่าจะรู้เรื่อง ถ่ายแฟชั่น”
“ค่ะ”
ดารินทร์ขยับจะพูดต่อแต่โทรศัพท์ดังขัดขึ้น ดารินทร์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
“ตายแล้ว คุณอัศวินโทร.มาตามแล้ว”
ดารินทร์ขึ้นรถทันที แล้วสั่งคนขับรถ
“ไปเร็ว ออกรถ” ดารินทร์รับโทรศัพท์เสียงอ่อนหวาน “ฮัลโหล ค่ะ ออกมาแล้วค่ะ”
รถแล่นออกไป ตรีอัปสรมองตามด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

เย็นจวนค่ำ สลิลทิพย์พูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน ที่ช็อปแบรนด์เนมในห้าง
“ว่าไงนะ ยัยตรีอัปสรเจอกับนายรุจเหรอ”
“ใช่ครับ ไปดื่มกาแฟทานเค้กด้วยกันครับ” เสียงชาติรายงานดังลอดออกมา
สลิลทิพย์มีสีหน้าไม่พอใจ
ชาติจอดรถซุ่มดูอยู่ พูดโทรศัพท์ไปด้วย
“ท่าทางสนิทสนมคุ้นเคยมากเลยนะครับ”
สลิลทิพย์เงียบไปชั่วครู่ ชาติทำท่าเหมือนจะรู้ว่าสลิลทิพย์ให้ตามตรีอัปสรทำไม
“คุณสลิลเป็นห่วงคุณอติรุจเหรอครับ แต่ผมว่าทั้งสองคนก็ดูดีนะครับเหมือนจะเข้ากันได้...”

สลิลทิพย์อยู่ที่ช็อปหงุดหงิดอารมณ์เสียเมื่อได้ยินชาติพูด
“เลิกสู่รู้ซะทีเถอะ นายชาติ”
อติรุจรับเสียงอ่อยๆ “ครับ...ครับ”
“แล้วก่อนหน้านั้นล่ะ ยัยตรีอัปสรไปไหนมาบ้าง”
“ตอนเช้าไปทานอาหารกับ อืม น่าจะเป็นแม่นะครับ อ๋อ...แต่มีคนอื่นมากินด้วยนะครับ” ชาติรายงาน
“แล้วมีอะไรอีก”
“ไม่มีแล้วครับ”
“ตามดูต่อไป อย่าให้คลาดสายตานะ”
“ครับผม”
สลิลทิพย์วางสายโทรศัพท์
ฝ่ายชาติวางสายพร้อมกับผ่อนลมหายใจ บ่นบ้าเซ็งๆ
“จ่ายร้อยแต่ให้ทำงานพัน ใครจะไปตามได้ทั้งวันนะ แค่เช้าเย็นก็คุ้มแล้ว ยัยสลิลเอ๊ย”
ชาติขับรถออกไป

ค่ำนั้น พอเข้าบ้านมาสลิลทิพย์นั่งหน้าขรึมซักไซ้ลูกสาวเรื่องตรีอัปสร
“พี่ชายเรา เค้าไปรู้จักยายตรีอัปสรตั้งแต่เมื่อไหร่ เรารู้ไม๊ ยายอร”
“ก็รู้จักพร้อมๆ กับที่อรรู้จักน่ะค่ะ คุณแม่”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่” สลิลทิพย์คาดคั้น
เสียงอติรุจดังเข้ามา “ตั้งแต่เด็กครับ”
สลิลทิพย์กับอรสินีหันไปมองเห็นอติรุจเดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอ พ่อตัวดี ไปจิบกาแฟแกล้มเค้กมา อร่อยไม๊”
“อร่อยครับ” ผู้เป็นลูกชายตอบหน้าเฉย
สลิลทิพย์มองอติรุจอย่างหมั่นไส้ หงุดหงิด
“ตารุจ ก็รู้อยู่ว่าแม่ไม่ชอบมัน โดยเฉพาะแม่ของมัน”
“คุณแม่ครับ เรื่องมันจบไปนานแล้วนะครับ แล้วตรีอัปสรก็ไม่รู้ไม่เห็นไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่แม่เธอทำไว้”
“แม่ลูกกัน สายเลือดเดียวกัน DNA ตกทอดถึงกันนะ มันจะวิเศษกว่ากันได้ยังไง”
“คุณแม่ครับ ถ้าคุณแม่จะให้ผมเลิกคบกับตรี ผมคงทำไม่ได้หรอกครับ”
สลิลทิพย์ตาโต “นี่แกใช้คำว่า คบเหรอ แกเป็นแฟนกับมันแล้วเหรอ รุจ”
“ผมขอไม่ตอบนะครับ รอให้ผมแน่ใจก่อนแล้วผมจะบอก ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
อติรุจเดินแยกขึ้นบันไดไป สลิลทิพย์มองตามตาขุ่นขวาง แล้วหันมาทางอรสินี
“ตารุจ มันกลายเป็นแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย โอย ชั้นจะบ้าตายผู้ชายบ้านนี้มันเป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย”
อรสินีมองสลิลทิพย์อย่างเข้าใจและเห็นใจ แต่ไม่รู้จะทำยังไง

ประตูห้องนอนถูกเปิด อติรุจในชุดนอน ซึ่งยืนอยู่ที่หน้าต่างหันมามอง เห็นอรสินีโผล่หน้าเข้ามา
“อรเข้าไปได้ไม๊คะ”
“ได้ซิ”
อรสินีเข้ามานั่งที่เตียง สีหน้าหมอง เป็นกังวล อติรุจมองอรสินีอย่างเห็นใจ
“คุณแม่เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นรึยัง”
“ค่ะ โชคดีที่คุณพ่อยังไม่กลับมา ไม่งั้นมีภาคสองแน่”
อติรุจพยักหน้าเห็นด้วย “แต่พี่แปลกใจว่าคุณแม่รู้ได้ยังไงว่า พี่นัดเจอกับตรี”
“นั่นซิคะ หรือคุณแม่จะให้คนสะกดรอยตามพี่รุจ”
อติรุจขมวดคิ้ว “ตามพี่ ตามทำไม ถ้าบอกว่าตามตรียังเป็นไปได้มากกว่า”
อรสินีนิ่งคิด “แล้วคุณแม่จะตามตรีทำไมล่ะคะ”
“คุณแม่อาจจะอยากรู้มั้งว่าคู่แข่งของลูกสาว วันๆ ทำอะไรมั่ง”
อรสินีถอนหายใจหนักหน่วง “เมื่อไหร่จะจบๆ ซะทีคะพี่รุจ”
“ยังไม่เริ่มเลย ร้องหาตอนจบซะแล้ว”
อติรุจยิ้มให้กำลังใจน้องสาว อรสินียิ้มตอบ

เช้านี้ ดารินทร์กำลังพูดโทรศัพท์ในห้องอาหาร สีหน้าสุขล้น
“ได้ค่ะ ได้เลยค่ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
ดารินทร์กดโทรศัพท์ ตรีอัปสรเดินลงมาพอดี
“ยายตรี คุณพีโทร.มาบอกคิวถ่ายแฟชั่นแล้วนะ”
“เมื่อไหร่คะ”
“มะรืนนี้”
“เหรอคะ ทำไมเร็วจัง ไหนแม่ว่าอีก 2-3 วันไง”
ปิ๋มถือถาดอาหารมาเสิร์ฟให้ตรีอัปสร
“คุณพีเปลี่ยนนางแบบให้แกขึ้นปกก่อน จะได้ทันหนังสือวางแผงตอนเก็บตัว 20 คนอย่างที่แม่ขอไว้”
ตรีอัปสรอดทึ่งไม่ได้ “โอ้โฮ แม่ของตรีใหญ่โต กว้างขวาง สั่งได้จริงๆ น่ะเนี่ย”
“ก็ใช่น่ะซิ มะรืนนี้แกไปถ่ายปกหนังสือ พอแกถ่ายเสร็จ วันรุ่งขึ้นก็ประกาศผลสาวงาม 20 คน ซึ่งแกติดแน่นอน”
ปิ๋มเชียร์อย่างตื่นเต้นเป็นปลื้ม “ใช่ค่ะ ติดแน่ๆ เพราะคุณตรีสวยที่สุดเลยค่ะ”
ดารินทร์ยิ้มขำ “ของฝากก็ได้ไปแล้ว จะเอาอะไรอีกห๊ะ ปิ๋ม”
“ปิ๋มพูดจริงๆ ค่ะ ไม่ได้หวังอะไรซักนิด แต่ถ้าคุณตรีไปถ่ายแบบแถวทะเลแล้วของฝากจะซื้อมา ปิ๋มก็รับได้ค่ะ”
ดารินทร์หมั่นไส้ “แกนี่มันตลกบริโภคจริงๆ”
“ตรีต้องเตรียมตัวยังไงบ้างคะ”
“เดี๋ยวแกไปที่ร้านกับแม่ จะได้ลองชุด”
“ค่ะ”

ณเดชย์นั่งอยู่ในห้องทำงาน มองรูปตรีอัปสรในวันสมัครนางงามจากข่าวในเว็บ สุดท้ายหยิบโทรศัพท์ โทร.หาตรีอัปสร

โทรศัพท์ดังขึ้น ตรีอัปสรอยู่ในร้านเสื้อ Enchant แล้ว เอื้อมมือมาหยิบโทรศัพท์ ก่อนจะหันไปทางนุช
“ขอตัวแป๊บนะคะ”
ตรีอัปสรเดินแยกไปอีกทาง ดารินทร์เดินนำเหน่งซึ่งถือชุดตามหลังมา ดารินทร์มองตามหลังตรีอัปสรไป
“ใครโทร.มา”
นุชส่ายหน้า “ไม่ทราบค่ะ”

ตรีอัปสรหลบมุมมาคุยโทรศัพท์กับณเดชย์
“ตรีคิดถึงนะมากนะคะ แต่ช่วงนี้ตรียุ่งจริงๆค่ะ”
“แล้วเมื่อไหร่ตรีจะหายยุ่งล่ะ นะโทร.หาบางทีตรีก็ไม่รับสาย ไม่โทร.กลับด้วย”
น้ำเสียงณเดชย์ตัดพ้อ ตรีอัปสรทำหน้าเบื่อๆ แต่น้ำเสียงยังหวานออดอ้อนอยู่
“นะคนดี อย่างอนตรีนะคะ ตรีสัญญาว่าถ้าว่างเมื่อไหร่ ตรีจะไปหาทันทีเลย นะคะ”
ณเดชย์ย้ำ “จริงๆ นะ”
“จริงซิคะ อือม์ แค่นี้ก่อนนะคะ นะ ตรีกำลังลองชุด เตรียมไปถ่ายแฟชั่นน่ะค่ะ”

ณเดชย์ยังพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงาน
“โอเคครับ ผมรออยู่น่ะ”
ณเดชย์จูบโทรศัพท์แล้วกดวางสาย มองรูปตรีอัปสรในจอคอมพ์ เอื้อมมือไปลูบไล้ด้วยความคิดถึง เสียงประตูเปิดเข้ามาโดยไม่เคาะ ณเดชย์เงยหน้าขึ้นมองสะดุ้งนิดๆ เพราะไม่คิดว่าจะเป็นมุกตาภา
“มุก มาได้ยังไงเนี่ย”
ณเดชย์คลิกเม้าท์เพื่อปิดภาพของตรีอัปสรทันที
“ทักทายคู่หมั้นได้น่าประทับใจจริงๆ นะคะ...คุณนะ”
ณเดชย์ขยับลุกขึ้นเดินไปหา “คิดมากน่า ก็ผมแปลกใจ ปกติคุณไม่เคยมาหาผมที่นี่”
“ก็เพราะคุณเงียบหายไปเลย มุกก็ต้องเป็นฝ่ายมาหาคุณเอง มาดูว่าคุณทำอะไรหนักหนาถึงไม่มีเวลาแม้แต่จะโทร.หาคู่หมั้นเลย”
ณเดชย์ยิ้มนิดๆ “ดีเหมือนกัน จะได้มาเห็นว่าผมทำงานจริงๆ ยุ่งจริงๆ”
“ทำงานอยู่ก็โอเคค่ะ กลัวแต่ว่าจะไปดื่มไวน์ ดินเนอร์ ใต้แสงเทียน อยู่กับสาวที่ไหนน่ะซิคะ เห็นวันก่อนอัพรูปขึ้น ไอ จี”
ณเดชย์ถามเสียงเรียบ “จะมาถามเรื่องนี้เหรอ”
“จะมาถามว่าไปทานกับลูกค้าหรือเพื่อนค่ะ ทาลิปสติกซะแดงจัดเลย”
ณเดชย์หัวเราะเบาๆ แต่ไม่ได้ตอบอะไร เดินกลับไปนั่งทำงานต่อ มุกตาภาพยายามข่มอารมณ์ไว้ไม่เซ้าซี้ โดยนึกถึงคำพูดเตือนของแพรวที่บอกว่าให้ใจเย็นๆ อย่าเอะอะโวยวายไป
มุกตาภาเอ่ยขึ้น
“วันนี้มุกไปทานข้าวกับพี่นนท์ เจอคุณลุงอัศวินไปทานข้าวกับยัยดารินทร์ แล้วก็ลูกสาวยายนั่น”
ณเดชย์ชะงักไปนิดไม่พอใจ แต่ก็ทำงานต่อเหมือนไม่มีอะไรน่าสนใจ
“เหรอ แล้วทักทายกันไม๊”
“ทักซิคะ แหม...ก็คุยกันนิดหน่อยก่อนจะแยกย้ายกันไป เพิ่งรู้นะคะว่าลูกสาวยายนั่นเรียนที่ลอนดอนเหมือนคุณ เคยเจอกันบ้างไม๊คะ”
“ก็เจอบ้าง” ณเดชย์ตอบเหมือนไม่สนใจ “มุกคุณช่วยออกไปบอกเลขาผมให้ช่วยไปซื้ออาหารมาทานหน่อยซิครับ คุณจะทานกับผมไม๊ หรือว่าต้องกลับไปทานที่บ้าน แต่คงคุยอะไรกันได้ไม่มากนะ ผมต้องทำงาน”
“งั้นมุกออกไปบอกเลขาคุณ แล้วมุกกลับเลยดีกว่า จะได้ไม่กวนเวลาทำงาน”
ณเดชย์ยิ้มให้นิดๆ “โอเค แล้วผมจะโทร.ไปหานะ”
มุกตาภาพยักหน้า “ค่ะ”
ณเดชย์ก้มหน้าดูเอกสารต่ออย่างตั้งใจ มุกตาภามองครู่หนึ่งแล้วจึงเดินออกไป พอคล้อยหลังมุกตาภา ณเดชย์ก็เงยหน้าขึ้นมอง ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก

คืนนั้น มุกตาภานั่งมองโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานในห้องนอนอย่างครุ่นคิดตริตรอง เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มา แต่ก็ชะงักไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มุกตาภาเข้าไปใน IG แล้วไล่รูปไปที่รูปแก้วไวน์ของณเดชย์ มีคนคอมเม้นท์เข้ามาหลายคน ประมาณว่า “โรแมนติค จริงนะ” / “ลิปสติกที่แก้วยังแดงขนาดนี้ แล้วที่ปากจะขนาดไหน” / “อิจฉาว่ะ” / “สองต่อสอง....ขอแต่งงานรึเปล่า”
มุกตาภาอ่านไป สีหน้าโกรธเป็นริ้วๆ และรุนแรงขึ้นด้วยความหึง และแค้นใจ
“มุก ทำอะไรน่ะ” เสียงชญานนท์ดังมาจากด้านหลัง
มุกตาภาตกใจ สะดุ้งนิดๆ ก่อนจะหันไปมอง “พี่นนท์ มุกตกใจหมดเลย”
“ใจลอยไปไหนล่ะ”
ชญานนท์เดินมาทรุดตัวนั่งตรงโซฟา มุกตาภาถอนหายใจอย่างเป็นทุกข์
“มีอะไรรึเปล่า”
มุกตาภามองชญานนท์แล้วยื่นโทรศัพท์ตัวเองที่หน้าจอเป็น IG รูปแก้วไวน์ 2 ใบ ให้ชญานนท์ดู
ชญานนท์รับมาถือมองรูปอย่างงงๆ
“สองต่อสอง” เขาเงยหน้าขึ้น “ใคร มุกกับคุณนะเหรอ”
มุกตาภามีสีหน้านิ่ง ประมาณว่า “ไม่ใช่หนู” ชญานนท์อ่านสีหน้านั้นออก
“พี่นนท์ต้องช่วยมุกนะคะ ช่วยสืบให้มุกหน่อย ว่านังผู้หญิงหน้าด้านที่มายุ่งกับคู่หมั้นของมุก มันเป็นใคร”
“ใจเย็นๆ มุก บางทีมันอาจจะไม่มีอะไรมากไปกว่า แค่รูป”
มุกตาภาหน้าบึ้ง “พี่นนท์จะรอให้นังผู้หญิงปริศนา ปากแดงนี่มันมาฉกนะไปจากมุกก่อนใช่ไม๊คะ ถึงจะเรียกว่า มีอะไร”
ชญานนท์ถอนหายใจ “มันก็ไม่ถึงขนาดนั้น”
“ผู้หญิงน่ะ มีสัญชาติญาณนะคะ มุกเห็นรูปนี้ มุกก็รู้แล้วว่านี่มันคือสัญญาณอันตรายของชีวิตคู่ของมุก พี่นนท์ เข้าใจไม๊คะ”
ชญานนท์พยักหน้า มุกตาภาจับมือชญานนท์ มองชญานนท์แน่วแน่

ทีมถ่ายแบบของพีรวัชร์เดินทางมาถึงริมชายหาดยามสาย ทีมงานกำลังเตรียมฉาก กล้อง สำหรับถ่ายแบบ ที่เต้นท์ใกล้ๆ เห็นตรีอัปสรกำลังแต่งหน้าทำผมอยู่ มีพีรวัชร์กับดารินทร์ยืนดูอยู่
“พี่ต้องฝากลูกตรีไว้กับคุณพีด้วยนะคะ”
“ได้เลยฮ่ะ ไม่มีปัญหา”
“มีอะไรก็แนะนำสั่งสอนน้องได้เลยนะคะ ลูกตรียังใหม่ไม่เคยถ่ายแบบเลย”
“คุณพี่ไม่ต้องห่วงฮ่ะ พีขอเอาชื่อเสียงเป็นประกันเลยฮ่ะ รับรองว่าบีลิฟเล่มนี้ จะต้องเป็น talk of the town แน่ๆ ฮ่ะ”
“ขอบคุณมากค่ะ งั้นพี่ขอตัวก่อนนะคะ พรุ่งนี้ฝากพาลูกตรีกลับบ้านด้วยนะคะ”
“ได้ฮ่ะ”
ดารินทร์หันไปทางตรีอัปสร “ตั้งใจทำงานนะลูก แล้วก็ อย่าออกไปตากแดดมาก ผิวจะเสียหมด”
“ค่ะ”
ดารินทร์จับมือตรีอัปสรแล้วเดินแยกไป ตรีอัปสรหันไปแต่งหน้าต่อ

ตรีอัปสรถ่ายแฟชั่นอยู่ริมทะเล ในชุดต่างๆ มีพีรวัชร์ คอยดู บอกท่า และชื่นชมในความสวยและท่วงท่าการโพสของตรีอัปสรที่คล่องแคล่วราวมืออาชีพ

ฟากสลิลทิพย์นัดพบกับชาติที่ร้านอาหาร เพื่อฟังความเคลื่อนไหว
“นังตรีอัปสรมันไปถ่ายแฟชั่นเหรอ”
“ครับ”
สลิลทิพย์กัดฟันพูดอย่างโกรธแค้น “นังดารินทร์”
“คุณสลิลพูดว่าอะไรนะครับ”
“เปล่า มีรายละเอียดไม๊”
“มีครับ ผมส่งรายละเอียดเข้าโทรศัพท์คุณสลิลแล้วครับ”
สลิลทิพย์พยักหน้า สีหน้าครุ่นคิด
“คุณสลิลมีอะไรจะให้ผมทำอีกไม๊ครับ”
“มีซิ แล้วแกต้องทำให้สำเร็จด้วย”
ชาติมองเหมือนเป็นคำถามว่า คืออะไร สลิลทิพย์มีสีหน้าร้ายกาจ มีแผนการชั่วอยู่ในใจ

ตรีอัปสรเดินออกมาจากกระโจมเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดปกติ พีรวัชร์เดินเข้าไปหา
“พรุ่งนี้ เราเริ่มงานซัก 8 โมงเช้า น้องตรีไหวไม๊ฮะ”
“ไหวค่ะ”
“ดีฮ่ะ น่าจะถ่ายเสร็จซักบ่าย 2 แล้วเราก็กลับกันเลย”
“ค่ะ ตรีขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“ฮ่ะ แล้วลงมาทานอาหารด้วยกันนะฮะ”
ตรีอัปสรยิ้ม “ได้ค่ะ”
ตรีอัปสรเดินแยกไป เกย์บอกอคนดังหันมานัดกองกับทีมงาน
“เอ้า เก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เจอกัน 6 โมงเช้า”
“ค่ะ” / “ครับ” ทีมงานรับพร้อมๆ กัน
พีรวัชร์เดินแยกไปทางที่พัก ส่วนทีมงานเก็บข้าวของกันไป

ทางด้านดารินทร์คุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“มะรืนนี้ค่ะ ใช่ค่ะ พี่อยากรบกวนให้น้องๆมาทำข่าวของลูกตรีด้วย รับรองว่าหลังจากออดิชั่นเข้ารอบ 20 คนแล้ว พี่จะเคลียร์ลูกตรีให้สัมภาษณ์เต็มที่เลยค่ะ ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ดารินทร์วางสาย ดูกระดาษรายชื่อต่างๆ มีรอยขีดเหมือนติดต่อไปแล้วเป็น 10 หัวหนังสือ ดารินทร์มองรายชื่อแล้วยิ้มอย่างพอใจ
“เอาให้ดังกระหึ่มตั้งแต่เริ่มต้นกันเลย ชั้นจะดูน้ำหน้านังสลิลซิ มันจะทำยังไง”
ดารินทร์ยิ้มสะใจ

น้อยตักข้าวใส่จานให้อาชัญ สลิลทิพย์ อติรุจ สลิลทิพย์ยังงอนอติรุจอยู่แต่ไม่แสดงออกเยอะมาก เพราะไม่อยากให้อาชัญรู้เรื่อง อรสินีเดินเข้ามานั่งประจำที่
สลิลทิพย์ถามขึ้น “อร...ลองชุดรึยัง ใส่ได้ไม๊”
“ลองแล้วค่ะ ใส่ได้พอดีเลยค่ะ คุณแม่”
“เราต้องสวยโดดเด่นตั้งแต่วันแรก ให้คณะกรรมการประทับใจที่สุด พวกนักข่าวสื่อมวลชนเห็น ก็จะตีข่าวให้เราดังกระฉ่อน ช่วยเราอีกแรง”
“ผมว่าจบงานนี้ คุณน่าส่งนางงามเข้าประกวดให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลยนะ”
“ผมเห็นด้วยครับพ่อ”
สลิลทิพย์หน้าตึงค้อนขวับ “สามัคคีรวมพลังกันน่ะพ่อลูก จับมือกันรุมแม่”
“ใครจะกล้ารุมคุณแม่ล่ะครับ ผมกำลังคิดว่าถ้ายายอรได้เป็นนางสาว ณ สยาม ก้อถือว่าเป็นโปรไฟล์การปั้นนางงามของคุณแม่เลยนะครับ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว”
อรสินีมองท่าทางมุ่งมั่นของสลิลทิพย์อย่างไม่สบายใจนัก อาชัญมองลูกสาวอย่างเห็นใจ
อาชัญเรียกลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อร”
อรสินีมองอาชัญ “คะ คุณพ่อ”
“ทำใจให้สบายนะลูก อย่ากดดันตัวเอง จะทำอะไรก็ต้องทำอย่างมีความสุข แล้วทุกอย่างจะออกมาดี”
อรสีนียิ้ม “ค่ะ”
“แม่ก็ไม่ได้กดดันอรนะ ที่แม่พูดทุกวันว่าอรจะต้องได้เป็นนางสาว ณ สยาม เพราะแม่เชื่อมั่น...แล้วที่สำคัญตอนนี้แม่ยิ่งเชื่อมั่นที่สุด”
สลิลทิพย์ยิ้มอย่างเชื่อมั่น สุขสม อติรุจกับอาชัญลอบสบตากัน ส่วนอรสินียิ้มตอบสลิลทิพย์ที่ยิ้มให้
อย่างมั่นใจ

ชายทะเล ยามเช้า แดด และแสงสวยกำลังดี สำหรับกองถ่ายแฟชั่น ตรีอัปสรแต่งหน้าทำผมอยู่ ช่างภาพเตรียมพร้อม พีรวัชร์เดินไปมา ปากก็เร่งงานให้เริ่มถ่ายเร็วขึ้น ตรู่ต่อมาตรีอัปสรโพสท่าถ่ายรูป เห็นภาพในโน้ตบุ๊คที่ต่อสายจากกล้องช่างภาพ พีรวัชร์มองอย่างพอใจ
ตรีอัปสรเปลี่ยนเสื้อผ้าอีก 2-3 ชุด การถ่ายแบบราบรื่นไร้อุปสรรค
ไม่มีใครรู้ว่า ชาติยืนมองการถ่ายแบบอยู่อีกมุม

งานถ่ายแบบเสร็จสิ้นฟินสมใจทุกฝ่าย ตรีอัปสรเดินกลับเข้ามาในล็อบบี้โรงแรมที่พัก เสียงพีรวัชร์ดังมาจากด้านหลัง
“น้องตรีฮะ น้องตรี”
ตรีอัปสรหันไปมองเห็นพีรวัชร์เดินแกมวิ่งเข้ามาหา
“น้องตรี ขึ้นไปอาบน้ำให้สดชื่นก่อนนะฮะ อีกซัก 2 ชัวโมง พี่จะโทร.ขึ้นไปตามนะฮะ รับรองว่าถึงกรุงเทพฯไม่ค่ำแน่ มีเวลานอนเต็มอิ่มพรุ่งนี้จะได้หน้าเด้ง”
ตรีอัปสรยิ้ม “ได้ค่ะ”
พีรวัชร์ทำมือเป็นเครื่องหมายโอเค ใส่จริต
“โอ๊...เค๋ค่ะ เดี๋ยวเจอกัน”
พีรวัชรเดินแยกไป ตรีอัปสรเดินแยกไปเอากุญแจที่เคาน์เตอร์

ตรีอัปสรออกมาจากห้องน้ำ ซับหยดน้ำจากใบหน้า จนใสสะอาด เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตรีอัปสรเดินไปดูทางช่องตาแมว แล้วเปิดประตู เห็นบ๋อยเอาน้ำส้มมาให้
“คุณพีสั่งเครื่องดื่มมาให้คุณตรีอัปสรครับ”
ตรีอัปสรยิ้มพลางพยักหน้า เปิดประตูกว้าง ให้บ๋อยเอาถาดเครื่องดื่มไปวาง ตรีอัปสรส่งทิปให้ บ๋อยโค้งแล้วเดินออกไป ตรีอัปสรปิดประตู แล้วเดินไปแต่งตัว
แก้วน้ำส้มวางอยู่ ขณะตรีอัปสรแต่งตัวอยู่หน้ากระจก

ฝ่ายดารินทร์นั่งดูร่างแบบเสื้ออยู่ในห้องทำงานภายในร้าน ซักครู่โทรศัพท์ดังขึ้น ดารินทร์กดรับ
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”
“คุณดารินทร์ใช่ไม๊ครับ” เสียงชาย 1 ถาม
“ใช่ค่ะ”
“ผมโทร.จากคุณพีนะครับ” ชาย 1 บอก
“ค่ะ” ดารินทร์ตั้งใจฟังที่ชาย 1พูด “อ้าว เหรอคะ อ๋อ ค่ะ...ค่ะ ได้ค่ะ ฝากบอกคุณพีว่าอย่าสายนะคะ ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
ดารินทร์วางสายโดยไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้น ดารินทร์โบกมือให้เหน่งซึ่งอยู่นอกห้องให้เข้ามาหา
“เหน่ง เอาชุดของยายตรีไปใส่ไว้ในรถให้ชั้นด้วย”
เหน่งแปลกใจ “คุณตรีไม่ได้เข้ามาที่นี่เหรอคะ”
“ไม่อ่ะ ยังถ่ายแบบกันไม่เสร็จ พรุ่งนี้คุณพีจะพายายตรีไปที่สถานีไทยเท็นเลย”
“อ้าว แล้วเสื้อผ้า หน้า ผม ล่ะคะ”
“คุณพีเค้าจะแต่งหน้า ทำผม ไปให้เลย เสื้อผ้าไปเปลี่ยนเอาที่โน่น”
“อ๋อ ค่ะ”
“เอาไปใส่รถเลยนะ เดี๋ยวชั้นจะไปทำผมก่อน พรุ่งนี้จะได้ดูดีไม่เสียชื่อคุณแม่นางงาม” ดารินทร์พูดทีเล่นทีจริงอย่างอารมณ์ดี
เหน่งยิ้มไปด้วย “ค่ะ”
เหน่งเดินออกไป ดารินทร์หันไปเก็บของบนโต๊ะ

บ่ายนั้น ทีมงานรวมตัวกันอยู่ที่ล็อบบี้ เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ พีรวัชร์กำลังกดโทรศัพท์อยู่
“เอ๊ะ น้องตรีทำไมไม่รับสาย แปลกจริง”
พีรวัชร์ตัดสาย แล้วหันไปพูดกับทีมงาน
“ขนของขึ้นรถตู้เลย ถ้าพร้อมก็ล้อหมุนได้”
“ค่ะ” / “ครับ” ทีมงานรับ
พีรวัชร์จะกดโทรศัพท์อีกครั้ง แต่มือถือดังขึ้นก่อน คุณพีกดสายรับ
“ฮัลโหล ฮ่ะ พี่เองฮ่ะ อะไรนะฮะ อ้าว อ๋อ ฮ่ะ ฮ่ะ ถึงว่าซีฮะ โทร.หาน้องตรีไม่รับสาย อ๋อ...อ๋อ ฮ่ะ...ไม่เป็นไรฮ่ะ ถ้ากลับไปแล้วก็โอเคฮ่ะ...พี่จะได้ไม่กังวล ฮ่ะ...สวัสดีฮ่ะ”
พีรวัชร์กดวางสาย แปลกใจนิดๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ฮัลโหล กำลังกลับแล้ว ใช่ ขึ้นปกเล่มนี้เลย เออ...เออ..ใช่ๆ”
พีรวัชร์คุยงานแล้วเดินไปยังรถตู้ที่จอดรออยู่

เช้าวันออดิชั่น บริเวณทางเข้าห้องโถงสถานีโทรทัศน์ไทยเท็น แลเห็นสาวงามทยอยเดินเข้าไปด้านใน หน้าประตูแรกมีป้ายห้องพักสาวงาม มีเจ้าหน้าที่ของกองประกวดคอยแจ้งให้สาวงามกับพี่เลี้ยงให้เข้าไปพักในห้องก่อน
รถของสลิลทิพย์มาจอดหน้าตึก สลิลทิพย์กับอรสินีลงมาจากรถ นักข่าวกรูกันเข้ามาสัมภาษณ์ สลิลทิพย์หน้าตาสดชื่นมีความสุข
“คุยได้ไม่นานนะคะ น้องอรต้องเข้าไปเตรียมตัวด้านในค่ะ”
นักข่าวหญิง 1 ยิงคำถาม “มั่นใจไม๊คะว่าจะเข้ารอบ 20 คนน่ะค่ะ”
อรสินีหันมายิ้มให้ แต่ยังไม่ทันได้ตอบ สลิลทิพย์ก็หันขวับมาทางนักข่าว ชิงตอบแทน
“คุณแม่ขอตอบแทนน้องอรนะคะ คุณแม่มั่นใจที่สุดค่ะ เข้ารอบ 20คนนี่ ชิลล์มากค่ะ”
นักข่าวหัวเราะขำ “แหม...คุณสลิลทิพย์ใช้ภาษาวัยรุ่นด้วยนะคะ”
สลิลทิพย์ยิ้มหวาน “ขอตัวก่อนนะคะ” หันไปพูดกับอรสินี “ไปค่ะ ลูก”
สลิลทิพย์จูงมืออรสินี แหวกสื่อเดินเข้าไปข้างใน

ในรถไม่ห่างจากทางเข้าสถานีโทรทัศน์ไทยเท็น ดารินทร์นั่งอยู่ในรถท่าทางกระวนกระวาย ดูนาฬิกาข้อมือ
“ทำไมยังไม่มากันอีกนะ”
ดารินทร์เริ่มหงุดหงิด หยิบโทรศัพท์มากดสายถึงตรีอัปสร พบว่าปิดมือถือ ดารินทร์ขมวดคิ้วอย่าง
แปลกใจ
“ทำไมปิดมือถือ หรือว่าแบตหมด”
ดารินทร์ต่อสายถึงคุณพี คราวนี้มีเสียงเรียก ดารินทร์มีสีหน้าดีขึ้น ตั้งใจรอให้พีรับสาย

มือถือของพีรวัชร์ เห็นชื่อดารินทร์โทร.เข้า แต่ไม่มีเสียงดัง โทรศัพท์สั่นอยู่บนหัวเตียง โดยที่เกย์บอกอนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงในชุดนอนสีหวานลายการ์ตูนคิตตี้

ภายในห้องพักสาวงาม ในช่องไทยเท็น นักข่าวสาว ศรศรี มณีศิลป์ เจ้าประจำที่รายงานข่าวมาตลอด กำลังยืนรายงานข่าวอยู่มาดกระฉับกระเฉง ด้านหลังเห็นเหล่าสาวงามเดิน นั่งเรียงแถว
“คุณผู้ชมคะ เหล่าสาวงามกำลังทยอยเข้ามา เพื่อเตรียมตัวให้คณะกรรมการสัมภาษณ์ และแสดงความสามารถต่างๆ ตามที่เธอได้เขียนไว้ในใบสมัครนะคะ และในบ่ายวันนี้ทางกองประกวดจะประกาศรายชื่อสาวงาม 20 คนที่เข้ารอบค่ะ ดูจากสีหน้าของสาวงามทุกคน ต่างก็มีความเชื่อมั่นในความสวย ความสามารถของตัวเอง แต่จะโดนใจกรรมการหรือไม่ บ่ายนี้เราจะทราบค่ะ”
สาวงามและพี่เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็น วรัญญากับเจ๊หนึ่ง ทิปปี้กับภารดี ดาราวรรณและกัลป์ยานี ต่างก็
พยายามทำตัวเด่นเพื่อให้ช่างภาพถ่ายภาพ ส่วนอรสินีนั่งอยู่กับสลิลทิพย์ ยิ้มแย้มแจ่มใส

ดารินทร์อยู่ในรถ ทั้งโกรธและหงุดหงิด จนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ไอ้คุณพีก็หายหัวไป ลูกชั้นก็หาย ต้องมีอะไรแน่ๆ ต้องมีอะไรแน่ๆ ยายตรี ยายตรีอยู่ไหน”
ดารินทร์เครียดถึงขีดสุด

ขณะที่ชญานนท์กำลังเดินออกจากห้องทำงาน มุกตาภาเปิดประตูเข้ามาพอดี
“พี่นนท์คะ”
“ว่าไง พี่กำลังจะลงไป มากันครบรึยัง”
“ยังค่ะ ขาดไป 2-3 คน แต่มีอยู่คนนึงที่มุกไม่คิดว่าเค้าจะไม่มา”
ชญานนท์ฉงน “ใคร”
“ตรีอัปสรค่ะ ตรีอัปสรยังไม่มา”
“อาจจะมาถึงเป็นคนสุดท้ายก็ได้มั้ง บางคนเค้าก็มีฤกษ์มีเวลาของตัวเอง”
“อีก 10 นาที จะเริ่มออดิชั่นเนี่ยนะคะ มุกว่าแปลกๆ นะคะ แล้วคนของมุกก็มาบอกว่า เห็นรถของดารินทร์จอดอยู่ เห็นดารินทร์อยู่ในรถคนเดียว แต่ไม่เห็นตรีอัปสร”
“แปลก ตรีอัปสรจะสละสิทธิ์เหรอ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น”

ชญานนท์ขมวดคิ้วฉงนฉงายเป็นที่สุด

อ่านต่อตอนที่ 3
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 1
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 1
ประกายเพชรต้องแสงไฟ ส่องประกายวิบวับ มงกุฎเพชรสวยงามนั้นวางอยู่บนที่ตั้งซึ่งหมุนได้รอบตัว มีผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มรองอยู่ ยิ่งทำให้มงกุฎในฝันของสาวสวยทั่วประเทศ แลดูงดงามและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ไม่ไกลกันนัก มีโมเดลบ้านทรงโมเดิร์น และ โลโก้รูปกุญแจรถยนต์ อันเป็นของรางวัลใหญ่ในการประกวด นางสาว ณ สยาม ประจำปี 2557 นี้ ที่สถานีโทรทัศน์ ไทยเท็น (Thai 10) โดย คุณดิษฐ์ เบญจาบูรณี กรรมการผู้จัดการ จัดงานแถลงข่าวขึ้น ในบ่ายวันนี้ ณ ห้องแถลงข่าวของช่อง ท่ามกลางกองทัพสื่อที่มาทำข่าวกันอย่างล้นหลาม นักข่าวหญิง 1 ท่าทีแคล่วคล่อง ยืนถือไมค์ที่มีป้ายโลโก้ “ข่าว Thai 10” ติดอยู่ เปิดฉากรายงานข่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น