คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ย่างเข้าเดือนห้า..น้ำท่าก็แห้งขอดคลอง..
เสียงเพลงลูกทุ่งเจื้อยแจ้วแว่วมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องน้อย เดือนห้าในเพลงตามความเข้าใจของฉัน นั้นน่าจะหมายถึงเดือนสุดท้ายของหน้าแล้งคือเดือนเมษายนนั่นเอง แต่น้ำท่าที่แม่น้ำน้อยซึ่งไหลผ่านหน้าบ้านของฉันนั้น กลับไม่ได้แห้งเหือดลงไปสักนิด สายน้ำนั้นยังคงเปี่ยมปริ่ม สองฟากฝั่งริมตลิ่งยังคงเขียวชะอุ่ม และไหลรินอย่างเอื่อยเรื่อย อย่างที่มันเคยเป็นมาเนิ่นนาน
ย้อนนึกถึงคราวที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำท่วมตั้งแต่นครสวรรค์ผ่านเรื่อยลงไปจนถึงกรุงเทพ ฯ ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างสาหัส น้ำในแม่น้ำน้อยหน้าบ้านก็เอ่อสูงจนเทียมถนน ฉันหวาดกลัวเที่ยวได้ไปคุยกับคนในตลาด แต่คนในตลาดกลับบอกกับฉันอย่างไม่กังวลใจว่า ไม่ต้องกลัวหรอกหนูที่บ้านเรานี่เป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง ถ้าที่ท่วมที่นี่ที่อื่นๆ ก็ไม่ต้องอยู่กันแล้ว
ที่ท่าน้ำหน้าบ้านของฉันนั้นมีศาลาไม้เก่าอยู่ศาลาหนึ่งที่ฉันได้สร้างไว้เมื่อหลายต่อหลายปีผ่านมาแล้ว เพื่อเอาไว้ให้พ่อกับแม่ได้เอาไว้นั่งนอนพักผ่อนดูสายน้ำที่ริมตลิ่ง แต่มาบัดนี้พ่อกับแม่ก็แก่ชราและไม่ค่อยได้เดินออกไปนั่งนอนเล่นที่นั่นเหมือนแต่ก่อน คงได้แต่ชอบนั่งอยู่ที่ศาลาเล็กๆ ที่สร้างขึ้นใหม่อันติดๆ กับตัวบ้านเท่านั้น ศาลาริมน้ำจึงถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ราวกับศาลาร้างอยู่เคียงข้างกันกับต้นมะม่วงเก่าแก่แต่โบราณ
ฉันเป็นคนที่มักชอบที่จะออกจากบ้านได้แทบทุกวัน เพื่อที่จะออกไปไหนต่อไหนซักแห่ง..ในละแวกบ้าน
ชีวิตของการกลับมาอยู่บ้านนอกแต่เพียงลำพัง ที่ฉันเคยคิดว่าที่บ้านนอกบ้านนาแห่งนี้ ที่มีแต่ต้นมะม่วงกับคนแก่ๆ จะน่าเบื่อและเหงา แต่มันกลับไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด เพียงแค่ฉันรู้จักการจัดสรรเวลาให้กับตัวเองอย่างเหมาะสม
บ้านของฉันปลูกอยู่ท่ามกลางบ้านของหมู่ญาติ..บ้านข้างหน้าเป็นบ้านของพ่อกับแม่ บ้านด้านขวาเป็นบ้านของอา บ้านด้านซ้ายเป็นบ้านของน้า และบ้านที่อยู่ด้านหลังถัดไปจากบ้านของฉันนั้นเป็นบ้านของน้องซึ่งเป็นลูกของอา
ทว่าแม้จะอยู่รายรอบกันและกัน แต่ก็ต่างมีพื้นที่ระยะห่างของบ้านแต่ละหลังอย่างพอดีพองาม ฉันมีที่สำหรับปลูกต้นไม้ไว้รายรอบบ้านจนถึงรั้ว จนทำให้มองแทบไม่เห็นบ้านอื่นๆ และในบ้านเหล่านั้นก็อยู่อาศัยกันแค่หลังละคนเดียว หรือสองคน จึงทำให้สิ่งแวดล้อมรอบบ้านของฉันนั้นเป็นไปด้วยความสงบสุข และร่มรื่นไปด้วยเงาไม้
จนฉันเคยนึกกับตัวเองขึ้นมาว่า ฉันนั้นเป็นคนที่โชคดีอยู่เหมือนกัน ที่ได้อยู่ในดินแดนที่ดี มีความอุดมสมบูรณ์ สงบ สวยงามและปลอดภัย อันความโชคดีของคนเรานั้นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันอาจเป็นเรื่องของบุญ ที่เราได้เคยทำมาแต่กาลก่อน
เมื่อพูดถึงเรื่องของบุญ ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับการทำบุญกับย่าของฉันมาตั้งเด็กๆ ย่าของฉันจะหุงข้าวทำกับข้าว เพื่อไปตักบาตรพระที่มาบิณฑบาตรถึงที่หน้าบ้านในทุกๆ เช้า โดยมีฉันคอยเฝ้าติดตามและมองเห็นการทำบุญตักบาตรของย่ามาตั้งแต่วัยนั้น..
เมื่อย่าตักบาตรเสร็จ ฉันมีหน้าที่คอยช่วยยกขันทองเหลืองเดินต้อยๆ ตามย่ากลับเข้าบ้าน "ข้าวก้นบาตร" คือข้าวที่เหลือจากการตักบาตรที่ย่ามักจะเอามาให้ฉันกิน และบางทีก็ให้เจ้าแดงสุนัขของย่าที่คอยวิ่งตามได้กิน โดยย่าจะบอกว่า เจ้าแดงกินข้าวก้นบาตร ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคน..
ความเชื่อในชาตินี้ชาติหน้าได้ถูกปลูกฝังลงสู่จิตใจของฉันนับแต่วัยนั้น.. การชอบทำบุญตักบาตรจึงได้มาอยู่ในนิสัยของฉันเรื่อยมา จนกระทั่้งเมื่อจากบ้านย่าไปอยู่กับพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ แม่เปิดบ้านเป็นร้านขายของชำพร้อมรับตัดเย็บเสื้อผ้าและยังขายข้าวแกงที่หน้าบ้านด้วย
ทุกๆ เช้าตรู่ก่อนไปโรงเรียน ฉันจะมีหน้าที่คอยตักข้าวตักแกงถวายพระที่เดินบิณฑบาตรผ่านหน้าบ้านของเราอยู่อย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ในวันที่ฉันมีอายุสี่สิบเจ็ดปี หน้าบ้านของเราที่สิงห์บุรี ปัจจุบันไม่มีพระสงฆ์เดินมาบิณฑบาตรเช่นเคย เหตุเพราะมีเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้นที่จะตักบาตรเป็นประจำ และเส้นทางนั้นไกลจากวัดและพระท่านก็ไม่มีลูกศิษย์ พระสงฆ์ที่เคยเดินมาโปรดถึงหน้าบ้านจึงมีอันงดเว้นในเส้นทางนี้ไปเสีย...
การทำบุญของฉันจึงเหลือเพียงการทำบุญในทุกๆ วันพระเท่านั้น ทุกๆ วันพระจะมีเสียงเพลงเกี่ยวกับธรรมะเปิดขึ้นจากวัดในหมู่บ้านแต่เช้าตรู่ เป็นสัญญาณให้ฉันรีบลุกขึ้นจากที่นอน ลงไปหุงข้าวและทำกับข้าวเพื่อนำไปทำบุญที่วัดในทันที
ฉันพบว่าการทำบุญนั้นทำให้ฉันมีความสุขตั้งแต่การเริ่มลงมือจัดทำอาหาร ตั้งแต่ย่ำรุ่งยังไม่สว่าง เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ที่ครัวของอา และครัวบ้านแม่ บอกให้ฉันรู้ว่า ต่างคนต่างกำลังลุกขึ้นมาทำกับข้าวไปวัด แม้จะยังไม่สว่างก็ไม่มีความกลัว กลับมีแต่ความอบอุ่นใจ ในการหยิบจับทำกับข้าวกับปลาอยู่ตามลำพัง
การทำอาหารไปถวายพระจึงกลายเป็นกิจกรรมที่ฉันทำเป็นประจำในทุกๆ วันพระ และในเวลาที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีความสุขหรือประสบพบเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นในจิตใจ เมื่อนั้นฉันก็มักจะครุ่นคิดไปสารพัดสารพัน แต่ท้ายที่สุดหลังจากผ่านความคิดที่วิตกกังวลไปแล้วฉันพบว่าเรื่องของบุญทานที่ได้เคยทำไปนั้น กลับย้อนมาเป็นสิ่งเกื้อหนุนจิตใจ ให้มั่นใจและรู้สึกในความปลอดภัยของตนเองได้อย่างดียิ่ง
จนฉันซาบซึ้งกับคำในพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ในเรื่องของบุญว่า บุญคือที่พึ่งที่ระลึก ได้เป็นอย่างดี
ในเวลาที่ฉันมีเพื่อนหรือญาติสนิทมาหานั้น สิ่งที่ฉันมักจะให้แทนของกำนัล คือการได้พาพวกเขาไปทำบุญร่วมกันกับฉัน
เช่นเมื่อหลายปีก่อน น้าน้องของแม่ที่อยู่ทางใต้ ได้ป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ น้ามาหาเราที่บ้าน และน้าเองก็เอ่ยปากว่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่น้าจะได้มาที่นี่อีก ฉันพาน้านั่งรถไปกับฉัน พาไปเที่ยววัด กราบพระพุทธรูปที่งดงาม และชักชวนกันทำบุญ บ่อยๆ ในช่วงเวลาที่น้ามา
แม้ร่างกายผ่ายผอมโรยราและอ่อนแรง แต่เมื่อได้ไปในสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้น้าอบอุ่นใจ สบายใจ สำหรับคนที่มีแรงศรัทธาเช่นน้า แววตาของน้านั้นกลับมีประกายแจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพร้อมที่จะกลับไปพบหมอและเข้าห้องผ่าตัดหัวใจ เป็นการผ่าตัดครั้งใหญ่ในชีวิตที่ก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
ความศรัทธาและความสบายใจ เกิดขึ้นมาในจิตใจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมความเจ็บไข้ได้ป่วย..น้ารอดชีวิตจากการรักษาโรคหัวใจในครั้งนั้น และแวะเวียนมาเยี่ยมแม่และฉันอยู่เสมอไม่ได้ขาดในทุกๆ ปี
กิจกรรมในชีวิตของฉันนั้นจะว่าไปก็มีแค่ไม่กี่อย่าง ...การไปทำบุญที่วัด การไปตลาด การขับรถเที่ยวดูท้องทุ่งนา การเที่ยวเสาะหาของกินตามพื้นถิ่น..และเถลไถลเรื่อยเปื่อยไปในที่ต่างๆ นั้น บางครั้งกิจกรรมที่ดูว่ามีเพียงไม่กี่อย่างและบางอย่างเหมือนไม่มีสาระนั้น มันก็ทำให้ฉันว่างเว้นจากการทำงานของตัวเองไปได้เป็นเวลานานเช่นกัน
ระยะเวลาที่ว่างเว้นนั้น อาจเป็นเดือนหรือเกือบเดือน ซึ่งมันก็นานพอที่จะทำให้ฉัน ว้าวุ่นในจิตใจได้ และแม้จะว้าวุ่นใจแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองให้นั่งลงทำงานได้
แม้จะละเลยการทำงานไป วันแล้ว..วันเล่า ฉันก็ได้แต่นั่งตรึกตรอง ผลัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองไปและรู้สึกผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ยอมทำงาน...ฉันเฝ้าคอยสังเกตุจิตใจตัวเอง ว่ามันช่างดื้อดึงคล้ายกับเด็กๆ ต้องคอยปลอบต้องคอยเอาใจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะยอมทำงานให้กับเรา
แต่ความดื้อดึงนั้นก็ดับหายไปง่ายๆ เพียงแค่ฉันได้รับสายโทรศัพท์ จากพี่ผู้หญิงผู้ที่ฉันรู้จักมาเก่าแก่คนหนึ่งตั้งแต่เริ่มหัดปั้น พี่คนนี้ชื่นชอบงานของฉัน และเป็นคนในเพียงไม่กี่คนที่ฉันคิดเอาไว้ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งที่ฉันเกิดลำบากอับจน ฉันจะสามารถยกงานไปที่บ้านของพี่เขาแล้วบอกให้ช่วยฉันได้
แต่จนแล้วจนรอดวันที่ฉันคิดเผื่อไว้นั้นก็ยังมาไม่ถึง..
เธอเปิดร้านขายของเก่าๆ และงานศิลปะและเครื่องประดับมาเนิ่นนานแล้ว ในสมัยแรกๆ ที่หัดปั้นฉันเคยนำงานดินเผาไปฝากเธอวางขาย พี่ผู้นี้มักจะมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคนที่มาเจอะเจองานของฉันทั้งดีและร้ายมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนานอยู่บ่อยๆ
เพียงการได้รับโทรศัพท์และพูดคุยสารทุกข์สุขดิบที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน และเธอวางแผนที่จะมาหาฉันที่บ้าน ฉันรู้ดีว่าเมื่อเธอมาเธอจะต้องนำงานที่ฉันเก็บไว้ที่บ้านไปกับเธอได้แน่ๆ เพียงคิดแค่นั้น เท่านั้นเอง แรงผลักในการทำงานที่เฉื่อยชาของฉันก็หวนกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
มันเป็นแรงผลักดันที่บอกกับตัวเองว่า ฉันต้องทำงานเพิ่มแล้วนะ บ้านของฉันกำลังจะโล่งไป งานที่วางอยู่ตรงนั้นตรงนี้กำลังจะจากไปอีกแล้ว..เธอต้องทำงานแล้วนะ!!! เท่านั้นแหละ ฉันก็ลงมือทำงานได้ทันทีทันใด
พลังงานจากความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์บางอย่างที่มากระทบกับเรานั้น ส่งผลไปถึงต่อความเคลื่อนไหวของอีกสิ่งหนึ่งได้จริงๆ..
แรงบุญ..ช่วยขับเคลื่อนชีวิตของฉันแน่ๆ ฉันแอบคิด...
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ย่างเข้าเดือนห้า..น้ำท่าก็แห้งขอดคลอง..
เสียงเพลงลูกทุ่งเจื้อยแจ้วแว่วมาจากวิทยุทรานซิสเตอร์เครื่องน้อย เดือนห้าในเพลงตามความเข้าใจของฉัน นั้นน่าจะหมายถึงเดือนสุดท้ายของหน้าแล้งคือเดือนเมษายนนั่นเอง แต่น้ำท่าที่แม่น้ำน้อยซึ่งไหลผ่านหน้าบ้านของฉันนั้น กลับไม่ได้แห้งเหือดลงไปสักนิด สายน้ำนั้นยังคงเปี่ยมปริ่ม สองฟากฝั่งริมตลิ่งยังคงเขียวชะอุ่ม และไหลรินอย่างเอื่อยเรื่อย อย่างที่มันเคยเป็นมาเนิ่นนาน
ย้อนนึกถึงคราวที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ น้ำท่วมตั้งแต่นครสวรรค์ผ่านเรื่อยลงไปจนถึงกรุงเทพ ฯ ผู้คนเดือดร้อนกันอย่างสาหัส น้ำในแม่น้ำน้อยหน้าบ้านก็เอ่อสูงจนเทียมถนน ฉันหวาดกลัวเที่ยวได้ไปคุยกับคนในตลาด แต่คนในตลาดกลับบอกกับฉันอย่างไม่กังวลใจว่า ไม่ต้องกลัวหรอกหนูที่บ้านเรานี่เป็นที่ดอน น้ำท่วมไม่ถึง ถ้าที่ท่วมที่นี่ที่อื่นๆ ก็ไม่ต้องอยู่กันแล้ว
ที่ท่าน้ำหน้าบ้านของฉันนั้นมีศาลาไม้เก่าอยู่ศาลาหนึ่งที่ฉันได้สร้างไว้เมื่อหลายต่อหลายปีผ่านมาแล้ว เพื่อเอาไว้ให้พ่อกับแม่ได้เอาไว้นั่งนอนพักผ่อนดูสายน้ำที่ริมตลิ่ง แต่มาบัดนี้พ่อกับแม่ก็แก่ชราและไม่ค่อยได้เดินออกไปนั่งนอนเล่นที่นั่นเหมือนแต่ก่อน คงได้แต่ชอบนั่งอยู่ที่ศาลาเล็กๆ ที่สร้างขึ้นใหม่อันติดๆ กับตัวบ้านเท่านั้น ศาลาริมน้ำจึงถูกทิ้งให้ว่างเปล่า ราวกับศาลาร้างอยู่เคียงข้างกันกับต้นมะม่วงเก่าแก่แต่โบราณ
ฉันเป็นคนที่มักชอบที่จะออกจากบ้านได้แทบทุกวัน เพื่อที่จะออกไปไหนต่อไหนซักแห่ง..ในละแวกบ้าน
ชีวิตของการกลับมาอยู่บ้านนอกแต่เพียงลำพัง ที่ฉันเคยคิดว่าที่บ้านนอกบ้านนาแห่งนี้ ที่มีแต่ต้นมะม่วงกับคนแก่ๆ จะน่าเบื่อและเหงา แต่มันกลับไม่ได้น่าเบื่ออย่างที่คิด เพียงแค่ฉันรู้จักการจัดสรรเวลาให้กับตัวเองอย่างเหมาะสม
บ้านของฉันปลูกอยู่ท่ามกลางบ้านของหมู่ญาติ..บ้านข้างหน้าเป็นบ้านของพ่อกับแม่ บ้านด้านขวาเป็นบ้านของอา บ้านด้านซ้ายเป็นบ้านของน้า และบ้านที่อยู่ด้านหลังถัดไปจากบ้านของฉันนั้นเป็นบ้านของน้องซึ่งเป็นลูกของอา
ทว่าแม้จะอยู่รายรอบกันและกัน แต่ก็ต่างมีพื้นที่ระยะห่างของบ้านแต่ละหลังอย่างพอดีพองาม ฉันมีที่สำหรับปลูกต้นไม้ไว้รายรอบบ้านจนถึงรั้ว จนทำให้มองแทบไม่เห็นบ้านอื่นๆ และในบ้านเหล่านั้นก็อยู่อาศัยกันแค่หลังละคนเดียว หรือสองคน จึงทำให้สิ่งแวดล้อมรอบบ้านของฉันนั้นเป็นไปด้วยความสงบสุข และร่มรื่นไปด้วยเงาไม้
จนฉันเคยนึกกับตัวเองขึ้นมาว่า ฉันนั้นเป็นคนที่โชคดีอยู่เหมือนกัน ที่ได้อยู่ในดินแดนที่ดี มีความอุดมสมบูรณ์ สงบ สวยงามและปลอดภัย อันความโชคดีของคนเรานั้นคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันอาจเป็นเรื่องของบุญ ที่เราได้เคยทำมาแต่กาลก่อน
เมื่อพูดถึงเรื่องของบุญ ฉันมีความทรงจำเกี่ยวกับการทำบุญกับย่าของฉันมาตั้งเด็กๆ ย่าของฉันจะหุงข้าวทำกับข้าว เพื่อไปตักบาตรพระที่มาบิณฑบาตรถึงที่หน้าบ้านในทุกๆ เช้า โดยมีฉันคอยเฝ้าติดตามและมองเห็นการทำบุญตักบาตรของย่ามาตั้งแต่วัยนั้น..
เมื่อย่าตักบาตรเสร็จ ฉันมีหน้าที่คอยช่วยยกขันทองเหลืองเดินต้อยๆ ตามย่ากลับเข้าบ้าน "ข้าวก้นบาตร" คือข้าวที่เหลือจากการตักบาตรที่ย่ามักจะเอามาให้ฉันกิน และบางทีก็ให้เจ้าแดงสุนัขของย่าที่คอยวิ่งตามได้กิน โดยย่าจะบอกว่า เจ้าแดงกินข้าวก้นบาตร ชาติหน้าจะได้เกิดเป็นคน..
ความเชื่อในชาตินี้ชาติหน้าได้ถูกปลูกฝังลงสู่จิตใจของฉันนับแต่วัยนั้น.. การชอบทำบุญตักบาตรจึงได้มาอยู่ในนิสัยของฉันเรื่อยมา จนกระทั่้งเมื่อจากบ้านย่าไปอยู่กับพ่อและแม่ที่กรุงเทพฯ แม่เปิดบ้านเป็นร้านขายของชำพร้อมรับตัดเย็บเสื้อผ้าและยังขายข้าวแกงที่หน้าบ้านด้วย
ทุกๆ เช้าตรู่ก่อนไปโรงเรียน ฉันจะมีหน้าที่คอยตักข้าวตักแกงถวายพระที่เดินบิณฑบาตรผ่านหน้าบ้านของเราอยู่อย่างสม่ำเสมอ
จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ในวันที่ฉันมีอายุสี่สิบเจ็ดปี หน้าบ้านของเราที่สิงห์บุรี ปัจจุบันไม่มีพระสงฆ์เดินมาบิณฑบาตรเช่นเคย เหตุเพราะมีเพียงไม่กี่บ้านเท่านั้นที่จะตักบาตรเป็นประจำ และเส้นทางนั้นไกลจากวัดและพระท่านก็ไม่มีลูกศิษย์ พระสงฆ์ที่เคยเดินมาโปรดถึงหน้าบ้านจึงมีอันงดเว้นในเส้นทางนี้ไปเสีย...
การทำบุญของฉันจึงเหลือเพียงการทำบุญในทุกๆ วันพระเท่านั้น ทุกๆ วันพระจะมีเสียงเพลงเกี่ยวกับธรรมะเปิดขึ้นจากวัดในหมู่บ้านแต่เช้าตรู่ เป็นสัญญาณให้ฉันรีบลุกขึ้นจากที่นอน ลงไปหุงข้าวและทำกับข้าวเพื่อนำไปทำบุญที่วัดในทันที
ฉันพบว่าการทำบุญนั้นทำให้ฉันมีความสุขตั้งแต่การเริ่มลงมือจัดทำอาหาร ตั้งแต่ย่ำรุ่งยังไม่สว่าง เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ ที่ครัวของอา และครัวบ้านแม่ บอกให้ฉันรู้ว่า ต่างคนต่างกำลังลุกขึ้นมาทำกับข้าวไปวัด แม้จะยังไม่สว่างก็ไม่มีความกลัว กลับมีแต่ความอบอุ่นใจ ในการหยิบจับทำกับข้าวกับปลาอยู่ตามลำพัง
การทำอาหารไปถวายพระจึงกลายเป็นกิจกรรมที่ฉันทำเป็นประจำในทุกๆ วันพระ และในเวลาที่ฉันรู้สึกว่าไม่มีความสุขหรือประสบพบเรื่องราวที่ก่อให้เกิดความทุกข์ขึ้นในจิตใจ เมื่อนั้นฉันก็มักจะครุ่นคิดไปสารพัดสารพัน แต่ท้ายที่สุดหลังจากผ่านความคิดที่วิตกกังวลไปแล้วฉันพบว่าเรื่องของบุญทานที่ได้เคยทำไปนั้น กลับย้อนมาเป็นสิ่งเกื้อหนุนจิตใจ ให้มั่นใจและรู้สึกในความปลอดภัยของตนเองได้อย่างดียิ่ง
จนฉันซาบซึ้งกับคำในพระพุทธศาสนาที่กล่าวไว้ในเรื่องของบุญว่า บุญคือที่พึ่งที่ระลึก ได้เป็นอย่างดี
ในเวลาที่ฉันมีเพื่อนหรือญาติสนิทมาหานั้น สิ่งที่ฉันมักจะให้แทนของกำนัล คือการได้พาพวกเขาไปทำบุญร่วมกันกับฉัน
เช่นเมื่อหลายปีก่อน น้าน้องของแม่ที่อยู่ทางใต้ ได้ป่วยหนักด้วยโรคหัวใจ น้ามาหาเราที่บ้าน และน้าเองก็เอ่ยปากว่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่น้าจะได้มาที่นี่อีก ฉันพาน้านั่งรถไปกับฉัน พาไปเที่ยววัด กราบพระพุทธรูปที่งดงาม และชักชวนกันทำบุญ บ่อยๆ ในช่วงเวลาที่น้ามา
แม้ร่างกายผ่ายผอมโรยราและอ่อนแรง แต่เมื่อได้ไปในสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้น้าอบอุ่นใจ สบายใจ สำหรับคนที่มีแรงศรัทธาเช่นน้า แววตาของน้านั้นกลับมีประกายแจ่มใสขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และพร้อมที่จะกลับไปพบหมอและเข้าห้องผ่าตัดหัวใจ เป็นการผ่าตัดครั้งใหญ่ในชีวิตที่ก็ไม่รู้ว่าผลจะออกมาเป็นเช่นไร
ความศรัทธาและความสบายใจ เกิดขึ้นมาในจิตใจของมนุษย์ตัวเล็กๆ ที่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมความเจ็บไข้ได้ป่วย..น้ารอดชีวิตจากการรักษาโรคหัวใจในครั้งนั้น และแวะเวียนมาเยี่ยมแม่และฉันอยู่เสมอไม่ได้ขาดในทุกๆ ปี
กิจกรรมในชีวิตของฉันนั้นจะว่าไปก็มีแค่ไม่กี่อย่าง ...การไปทำบุญที่วัด การไปตลาด การขับรถเที่ยวดูท้องทุ่งนา การเที่ยวเสาะหาของกินตามพื้นถิ่น..และเถลไถลเรื่อยเปื่อยไปในที่ต่างๆ นั้น บางครั้งกิจกรรมที่ดูว่ามีเพียงไม่กี่อย่างและบางอย่างเหมือนไม่มีสาระนั้น มันก็ทำให้ฉันว่างเว้นจากการทำงานของตัวเองไปได้เป็นเวลานานเช่นกัน
ระยะเวลาที่ว่างเว้นนั้น อาจเป็นเดือนหรือเกือบเดือน ซึ่งมันก็นานพอที่จะทำให้ฉัน ว้าวุ่นในจิตใจได้ และแม้จะว้าวุ่นใจแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่สามารถที่จะบังคับตัวเองให้นั่งลงทำงานได้
แม้จะละเลยการทำงานไป วันแล้ว..วันเล่า ฉันก็ได้แต่นั่งตรึกตรอง ผลัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองไปและรู้สึกผิดอยู่อย่างนั้น แต่ก็ยังไม่ยอมทำงาน...ฉันเฝ้าคอยสังเกตุจิตใจตัวเอง ว่ามันช่างดื้อดึงคล้ายกับเด็กๆ ต้องคอยปลอบต้องคอยเอาใจไปเรื่อยๆ จนกว่าจะยอมทำงานให้กับเรา
แต่ความดื้อดึงนั้นก็ดับหายไปง่ายๆ เพียงแค่ฉันได้รับสายโทรศัพท์ จากพี่ผู้หญิงผู้ที่ฉันรู้จักมาเก่าแก่คนหนึ่งตั้งแต่เริ่มหัดปั้น พี่คนนี้ชื่นชอบงานของฉัน และเป็นคนในเพียงไม่กี่คนที่ฉันคิดเอาไว้ว่า เมื่อวันใดวันหนึ่งที่ฉันเกิดลำบากอับจน ฉันจะสามารถยกงานไปที่บ้านของพี่เขาแล้วบอกให้ช่วยฉันได้
แต่จนแล้วจนรอดวันที่ฉันคิดเผื่อไว้นั้นก็ยังมาไม่ถึง..
เธอเปิดร้านขายของเก่าๆ และงานศิลปะและเครื่องประดับมาเนิ่นนานแล้ว ในสมัยแรกๆ ที่หัดปั้นฉันเคยนำงานดินเผาไปฝากเธอวางขาย พี่ผู้นี้มักจะมีเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคนที่มาเจอะเจองานของฉันทั้งดีและร้ายมาเล่าให้ฟังอย่างสนุกสนานอยู่บ่อยๆ
เพียงการได้รับโทรศัพท์และพูดคุยสารทุกข์สุขดิบที่ไม่ได้พบเจอกันมานาน และเธอวางแผนที่จะมาหาฉันที่บ้าน ฉันรู้ดีว่าเมื่อเธอมาเธอจะต้องนำงานที่ฉันเก็บไว้ที่บ้านไปกับเธอได้แน่ๆ เพียงคิดแค่นั้น เท่านั้นเอง แรงผลักในการทำงานที่เฉื่อยชาของฉันก็หวนกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว
มันเป็นแรงผลักดันที่บอกกับตัวเองว่า ฉันต้องทำงานเพิ่มแล้วนะ บ้านของฉันกำลังจะโล่งไป งานที่วางอยู่ตรงนั้นตรงนี้กำลังจะจากไปอีกแล้ว..เธอต้องทำงานแล้วนะ!!! เท่านั้นแหละ ฉันก็ลงมือทำงานได้ทันทีทันใด
พลังงานจากความเคลื่อนไหวของเหตุการณ์บางอย่างที่มากระทบกับเรานั้น ส่งผลไปถึงต่อความเคลื่อนไหวของอีกสิ่งหนึ่งได้จริงๆ..
แรงบุญ..ช่วยขับเคลื่อนชีวิตของฉันแน่ๆ ฉันแอบคิด...
ถ่ายภาพโดย : ชาญชัย แซ่ฉั่ว
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews