ในเย็นของวันอาทิตย์ ฉันนอนอยู่บนเตียง ห้องนอนของฉันในเย็นวันนี้ถูกจัดแต่งใหม่อีกครั้งด้วยตู้ไม้เก่าใบขนาดย่อมที่่ฉันเพิ่งซื้อหามา
ฉันเลือกวางตู้ใบใหม่ของบ้านไว้ที่หัวเตียง..ข้างในตู้นั้นยังว่างเปล่า และฉันกำลังคิดว่าจะเอาอะไรใส่ลงไปในนั้น..ในตู้ที่ว่างเปล่าแต่ถูกคล้องไว้ด้วยลูกกุญแจ
ฟ้าหน้าฝนเป็นสีหม่นเทา มองเห็นเมฆฝนเคลื่อนตัวอยู่ไกลๆ แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ยามเย็นจับขอบฟ้าเป็นสีชมพูจางๆ ความมืดค่อยๆ โรยตัวเข้ามา นกสองสามตัวบินกลับรังอย่างหงอยเหงา
ภายในห้องนอนที่เงียบสงบมีเพียงเสียงเครื่องไฟฟ้าคือพัดลมที่กำลังทำงาน..
ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาฉันได้พักมือจากการปั้น และมีโอกาสได้ต้อนรับบุคคลต่างๆ ซึ่งมาหาฉันที่บ้าน ฉันดีใจและเป็นเกียรติ ยามเมื่อมีผู้มาเยี่ยมเยือนฉันถึงเรือนชาน แม้ฉันจะไม่ได้ลงมือทำงานแต่ฉันก็ปฎิบัติราวกับว่าในทุกๆ ขณะของชีวิตของฉันนั้นต่างล้วนเป็นการงาน
ฉันพอใจที่การต้อนรับจากฉันทำให้คนที่ได้มาพบฉันนั้นมีความสุข บ่อยครั้งที่เรื่องราวชีวิตของฉันถูกเปิดเผยจากตัวฉันเองแบ่งปันให้กับผู้ที่มาเยือนและผู้ที่ฉันคบหาเสมอ เพราะเรื่องราวในชีวิตของฉันนั้นมันช่างควบคู่กันไปอย่างแยกจากกันไม่ได้ กับงานปั้นของฉันที่เป็นอยู่
เรื่องราวความเป็นไปในชีวิตของฉันมันได้ถูกบันทึกไว้อย่างแนบแน่นอยู่ในงานปั้นของฉันเอง
และบ่อยครั้งอีกเช่นกันที่ฉันก็ได้มีส่วนรับรู้ในเรื่องราวอันละเอียดอ่อนและเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลต่างๆ ที่ฉันได้รู้จักและคบหาผู้มาเยี่ยมเยือนถึงเรือนชานนั้น
นั่นเป็นเพราะการงานของฉันได้เปิดช่องว่างที่ทำลายกำแพงและเปลือกของความเป็นส่วนตัวของเขาเหล่านั้นออกไปจนเกือบหมดสิ้น รูปปั้นหญิงสาวของฉัน..เธอได้เข้าไปทักทายกับเรื่องราวในจิตใจของใครหลายๆ คน ไม่เว้น..แม้แต่ตัวของฉันเอง
ฉันพบเรื่องราวนี้ในงานปั้นหญิงสาวชิ้นล่าสุดของตัวเองที่เพิ่งเสร็จไปเมื่อสามวันก่อน งานชิ้นใหม่ชิ้นนี้เป็นรูปหญิงสาวที่มีเพียงตัว เพียงขา และแขน เพียงอย่างละข้างเดียวเท่านั้น
ฉันเริ่มงานด้วยการขึ้นรูปทิ้งไว้เสียนานหลายต่อหลายวันโดยห่อไว้ในแผ่นพลาสติก จนดินคายความชื้นออกไปแล้วเป็นอย่างมาก รูปทรงของงานที่ขึ้นไว้นั้นเริ่มแข็งตัวและทรงตัวได้เป็นอย่างดี ตอนแรกฉันคิดว่าการทรงตัวของดินนั้นจะทำให้ฉันได้เปรียบหากจะเลือกปั้นเป็นรูปหญิงสาวในลักษณะท่ายืน แต่เมื่อฉันเริ่มทำงานปั้นเป็นท่ายืนผ่านไปได้สักพัก ฉันก็เปลี่ยนใจจับชิ้นงานวางลงแล้วจัดท่าให้เธอ กลายเป็นหญิงสาวในอิริยาบถของการนั่ง คล้ายๆ กันกับงานชิ้นก่อนๆ ที่ผ่านๆ มาของฉัน
และในขณะที่ฉันลงมือทำงานอยู่นั้น ฉันก็มีความรู้สึกอันหลากหลายที่ประดังประเดผ่านเข้ามา แรกตั้งแต่ฉันนึกตำหนิตัวเองที่ทำงานตามความเคยชินและงานก็ออกมาคล้ายๆ กับงานชิ้นเดิมๆ ที่ทำผ่านไปแล้ว ฉันมีภาวะของการอย่ากได้สิ่งใหม่ๆ เข้ามาในงาน และภาวะเช่นนั้นได้บีบคั้นตัวเองให้ไม่มีความสุข.. ต่อมาฉันก็รู้สึกเศร้าจนถึงกับร้องไห้กับภาวะอันโดดเดี่ยวของตนเองที่ผ่านเข้ามากระทบใจ..
แต่ไม่ว่าความรู้สึกต่างๆ จะเป็นเช่นไร นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึก ฉันเรียนรู้กับตัวเองในเรื่องของความรู้สึกเสมอๆ ว่ามันเป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามากระทบจิตใจของฉัน ซึ่งมันมีอำนาจที่จะก่อให้เกิดทั้งความสุขและความทุกข์ได้เท่าๆ กัน แล้วไม่นานมันก็จะจากไป
ส่วนสิ่งที่จะยังคงอยู่และช่วยยืนยันความเป็นจริงให้กับฉันได้ นั่นคือตัวชิ้นงานที่เกิดขึ้นใหม่ การลงมือทำงานและต้องทำงานนั้นให้สำเร็จจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันยิ่งนัก
ในระยะเวลาของการทำงานที่ห่างกันราวห้าปีนั้น มีงานสองชิ้นที่เกิดขึ้นในต่างเวลา ซึ่งโต้ตอบสื่อสารระหว่างกันให้ฉันได้รับรู้ ในเนื้อหาที่ถูกสื่อสารนั้นอย่างชัดเจน โดยที่ฉันไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้มันเป็นเช่นนั้น
จาก.. "บลู..สิ่งที่เหลือจากการขาดหาย" มันได้เดินทางมาถึง "ส่วนที่ขาดหาย..คล้ายรอคอยการเติมเต็ม"
ทั้งสองประโยคในเครื่องหมายคำพูดข้างต้นนั้น คือชื่องานของฉัน
งานชิ้นที่ชื่อว่า "บลู..สิ่งที่เหลือจากการขาดหาย" ถูกฉันปั้นขึ้นเมื่อราวห้าปีที่ผ่านมาแล้ว ที่บ้านหลังนี้ของฉัน เธอเป็นหญิงสาวที่มีหน้าอกข้างเดียว มีแขนและขาเพียงข้างเดียว ด้านหลังของเธอถูกปาดด้วยลวดตกแต่งดินให้มีรอยถากลากยาวคล้ายรอยของการถากลงในการตัดไม้..
ใช่...เธอมีเพียงครึ่่งตัวเท่านั้น และอีกครึ่งตัวของเธอนั้นขาดหายไป แต่บลู..ก็พอใจที่จะมีเพียงส่วนที่เหลืออยู่ เธอพอใจในความงามจากการขาดหายของเธอ ฉันมักอธิบายเรื่องของ "บลู" กับผู้คนที่พบเห็นและสนใจเธอว่า
..แม้เธอจะเป็นผู้หญิงที่ไม่มีความครบพร้อม..ชีวิตที่ผ่านมาได้พรากครึ่งหนึ่งของเธอให้ขาดหายแหว่งวิ่นไปกับเหตุการณ์และวันเวลา แต่ทว่าเธอก็ยังดำรงอยู่ได้อย่างสวยงาม สวยงามในความขาดที่ปรากฏและคงอยู่อย่างเป็นประโยชน์ในความหมายที่ฉันอยากส่งให้กับหญิงสาว...
ฉันได้นำต้นแบบดินเผาของ บลู ไปหล่อออกมาเป็นงานบรอนซ์ และมีโอกาสนำเธอไปแสดงในงานแสดงศิลปะหลายๆ สถานที่ ฉันภูมิใจในตัว บลู..และมีคนที่ได้พบเห็นมารักชอบเธอ และพอใจในความงามอันเกิดจากการขาดหายของเธอ
บลูถูกซื้อไปหลายต่อหลายชิ้น นับแต่มีการปรากฏขึ้นของเธอ ฉันเก็บต้นแบบของเธอมาทำความสะอาดคราบมันๆ ที่ติดตามผิวงานและบรรจงแกะเศษยางแม่พิมพ์ออกจากส่วนต่างๆ ของเธอ แล้วนำเธอไปเข้าเตาเผางาน..ฉันเผางานต้นแบบของบลูใหม่อีกครั้งเพื่อทำลายคราบและร่องรอยที่เกิดจากการหล่อ นั้นให้หมดไปมากที่สุด และนำเธอมาวางไว้ในบ้านของฉัน ฉันกับรูปปั้นบลูชิ้นนี้ต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน เธอเป็นงานที่ฉันรัก
และฉันก็ยังคงทำงานที่ขาดหายๆ ในเวลาต่อมา
บ้างมีเพียงหัวแขนและขา เพียงข้างเดียว บ้างมีเพียงหัวกับแขน...ต่างๆ นานา ที่ฉันค่อยๆ ค้นหาในความแปลกใหม่ ที่ฉันพึงใจ
จนกระทั่งเมื่อมาถึงงานชิ้นใหม่ล่าสุดนี้ของฉัน ฉันได้สังเกตในสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อฉันทำงานเสร็จสิ้นลง เธอก็เป็นงานรูปหญิงสาวที่คล้ายๆ กับบลู คือมีแขนและขาเพียงอย่างละข้าง ส่วนที่ด้านหลังของงานนั้นถูกฉันเกลาด้วยความตั้งใจจนกลายเป็นความกลมกลึง ทว่าในท่านั่งของรูปปั้นที่มีตัวไม่ครบถ้วนนั้น มันกลับสื่อสารบอกกับฉันว่า เธอกำลังรอคอยการเติมเต็ม ในส่วนที่ขาดหายไปของเธอ
ฉันยิ้มรับกับตัวเองในสิ่งที่งานบอกกับฉัน หรือว่างานชิ้นนี้ คือ บลูที่ได้เปลี่ยนแปลงไป..เธอเดินทางด้วยถนนสายแห่งความรู้สึก ถนนสายนั้นของเธอได้เปลี่ยนแปลงไป..จากที่เคยพอใจในความขาดหาย...กลายมาเป็นการรอคอยการเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายนั้น...????
งานปั้นรูปหญิงสาวของฉัน ได้แสดงถึงบางส่วนอันเร้นลับของจิตใจภายใน เผยออกมาสู่งานอย่างตรงไปตรงมา จนฉันเองซึ่งเป็นผู้ปั้นก็ยังนึกประหลาดใจ
....หลังจากฉันได้รับโทรศัพท์ของการบอกข่าวดีในการขายงานได้จากเจ้าของแกลเลอรี่ ฉันรอคอยจนมาถึงเย็นวันเสาร์ ฉันจึงไปเที่ยวเดินที่ตลาดขายของเก่าที่คูเมืองในจังหวัดที่ฉันอยู่ ฉันเดินพลางมองพลางอย่างสบายใจ ฉันแบ่งเงินอันเป็นรายได้จาการขายงาน มาเที่ยวเดินหาตู้ไม้เก่าซักหนึ่งหลัง เพื่อที่จะนำไปใส่ชิ้นงานของฉัน และเป็นการเติมเต็มเครื่องประดับให้กับบ้านของฉันด้วยความรู้สึกสุขใจ
สิ่งของแทบทุกอย่างในบ้านเรือนของฉัน ล้วนมีที่มาซึ่งได้มาจากการทำงาน และความรัก.. ฉันฉุกใจคิดเรื่องของตัวเองว่า แล้วฉันยังต้องการการเติมเต็มด้านใดในชีวิตของฉันอยู่อีกหรือ ฉันกลับพบคำตอบว่า ฉันยังรักที่จะสร้างงานโดยอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของการอยู่ตามลำพังอย่างจับใจไม่เปลี่ยนแปลง .
..แม้ในบางคราของยามค่ำคืน ในขณะที่ฉันกำลังเคลิ้มหลับ ฉันเคยรู้สึกอย่างชัดเจนราวกับสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นจริง ว่า ฉันได้พบกับอ้อมกอดอันแสนอบอุ่น และการพรมจูบลงบนศีรษะของฉันอย่างอ่อนโยนทะนุถนอม โดยชายผู้ที่ฉันมีความรู้สึกรักอย่างจับจิตจับใจ ความรู้สึกนั้นช่างเด่นชัดราวกับเป็นความจริง..
แต่ทว่ามันเป็นเพียงการเกิดขึ้นของหลุมแห่งอารมณ์อันอ่อนไหวและลึกๆ ของฉันเท่านั้น เมื่อฉันตื่นขึ้นมาและสำรวจจิตใจค้นหาชายผู้ใดที่ฉันจะรู้สึกรักได้อย่างจับจิตจับใจขนาดคนในความฝันนั้น มันก็ไม่มีในชีวิตจริงของฉัน...
ฉันได้แต่มองเข้าไปในพื้นที่ว่างเปล่าของตู้ใบใหม่...ที่ฉันคิดไว้แล้วว่ามันจะถูกเติมเต็มด้วยรูปปั้นหญิงสาว และสิ่งของที่ฉันรัก..
ฉันมองไปยังพื้นที่อันว่างเปล่าภายในตู้นั้น..มองผ่านเลยไปจากลูกกุญแจที่ยังคล้องปิดตู้อยู่....
ภาพถ่ายโดย : มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews