คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ในต้นฤดูร้อนแห่งเดือนเมษายน ดอกคุณสีเหลืองอร่ามต้องลมและพริ้วไหวอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแล้ง หมู่ดอกไม้สีสดสวยนานาพันธ์ ต่างแข่งกันชูช่อผลิบานอย่างสดใสพร่างพราวไปทั่วริมท้องถนน...ผลิบานราวกับจะต้อนรับเทศกาลวันสงกรานต์ วันอันสนุกสนานรื่นเริง วันที่ผู้คนผู้จากบ้านไปต่างกลับมายังถิ่นฐานของตนและอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา...
ชีวิตนี้ฉันเคยเล่นน้ำสงกรานต์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ครั้งเดียวนั้นก็เป็นอะไรที่ยังจำได้ไม่ลืม...ตอนนั้นเราเล่นน้ำกันอยู่ที่หน้าบ้าน จ.สิงห์บุรี เวลาหน้าแล้งและน้ำลงริมตลิ่งจะคล้ายๆ ชายหาด ฉันผู้ซึ่งไปเรียนอยู่กรุงเทพฯ และได้กลับมาบ้านย่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และญาติๆ เราพากันวิ่งเล่นน้ำอย่างสนุกสนานกันอยู่ที่ริมตลิ่ง แล้วอยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เป็นเด็กผู้ชายพายเรือผ่านมา และได้มาเล่นน้ำกับพวกเราด้วย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครอยู่บ้านไหน..แต่จำได้ว่า ในวันนั้นเป็นวันสงกรานต์ที่สนุกสนานที่สุด ฉันยังจำเสียงของย่าที่เรียกให้พวกเราขึ้นจากน้ำกันได้แล้ว...
นั่นเป็นบทสัมภาษณ์บางส่วนตอนที่ฉันเคยได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นบทสัมภาษณ์ที่ฉันชอบมากๆ
เนื่องมาจากมันมีภาพของการเล่นน้ำในวัยเมื่อแรกรุ่นดรุณีของฉันกับหมู่ญาติๆ และเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่พายเรือผ่านมา อย่างสนุกสนาน โดยที่เราไม่เคยรู้จักกันหรือได้พบเจอกันอีก..
ฉันชอบเพราะมันเป็นความรู้สึกอันสวยงามของคนวัยเริ่มสาว มันมีทั้งความเป็นเด็ก ความสนุกสนานและความรู้จักเขินอายของตนเอง และความรู้สึกเหล่านี้เมื่อฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ผ่านวันและเวลาอันล่วงเลยของชีวิตมาแล้ว.. ฉันไม่สามารถจะกลับไปรู้สึกเช่นนั้นได้อีก..
ฉันยืนมองภาพข่าวต่างๆ ของตัวเองที่ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในอดีต ฉันตัดภาพข่าวเหล่านั้นมาใส่กรอบแขวนไว้ที่ข้างฝาผนังปูนของใต้ถุนบ้านภาพข่าวต่างๆ เหล่านั้นบอกเล่าเรื่องราวของฉัน..เหมือนเป็นการแนะนำตัวเองกับใครก็ตามที่ได้มาเยือนที่บ้านของฉัน
ฉันเดินไปหยิบหมอนออกมาจากในห้องนอนและนำมาวางลงที่กลางพื้นบ้าน หยิบปากกาลูกลื่นนับสิบด้ามมาวางกองข้างๆ กัน ทุกๆ ด้ามยังเขียนติดดีอยู่ แต่ฉันมักหยิบมันมาเผื่อไว้ทั้งหมด เผื่อไว้สำหรับบางช่วงขณะของการขีดเขียนใช้งานของฉัน อาจมีปากกาด้ามใดที่ติดขัดเขียนไม่ลื่นไหล ฉันจะสามารถเปลี่ยนมันได้อย่างทันท่วงที ฉันทิ้งตัวนอนลงบนพื้นบ้านของฉันเพื่อเขียนเรื่องเล่า..
แต่ก่อนแต่ไรเมื่อที่บ้านของฉันยังไม่มีโต๊ะและเก้าอี้ ฉันก็นั่งและนอนอยู่กับพื้น จนมาถึงวันนี้ แม้บ้านของฉันมีโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวเพิ่มขึ้น ฉันก็ยังชอบการนั่งและนอนอยู่บนพื้นเช่นเดิม
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันเพิ่งได้รับโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงานปั้นมาหนึ่งตัว จากนักสะสมงานศิลปะท่านหนึ่งผู้ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายดี อดีตเพื่อนใจของฉัน
ฉันพบว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสุขภาพของฉัน เพราะในระยะหลังๆ มานี้ ฉันเริ่มมีอาการปวดที่หัวเข่า ในเวลาเดินและในขณะที่กำลังนั่งปั้นงาน การได้นั่งปั้นงานกับโต๊ะ ทำให้ฉันไม่ต้องนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน และไม่ต้องนั่งก้มจนหลังงออีกต่อไป เมื่อฉันทดลองประเดิมทำงานปั้นชิ้นแรกบนโต๊ะทำงานผ่านไปหนึ่งชิ้น ฉันได้เห็นถึงความแตกต่างของการนั่งทำงานบนพื้น และการนั่งทำงานบนโต๊ะอย่างเห็นได้ชัด คือนอกเหนือจากจะได้นั่งอยู่ในอิริยาบทที่สบายตัวเอื้อต่อการทำงานได้นานขึ้นแล้ว ฉันยังสามารถมองและเก็บรายละเอียดในมุมด้านล่างๆ ของงานปั้นได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย...
ในยามค่ำคืน..ฉันนั่งปล่อยใจมองไปที่ชิ้นงานของตัวเองซึ่งวางเรียงรายอยู่บนบ้าน มันเป็นการมองเพื่อทบทวนสิ่งที่ฉันได้ทำผ่านไปแล้ว เพื่อเชื่อมต่อกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังคิดจะทำในชิ้นต่อๆ ไป..สายตาของฉันได้มาหยุดนิ่งอยู่ที่งานปั้นรูปหญิงสาวกับเจดีย์สองชิ้นที่วางอยู่คู่กัน...นี่ไม่ใช่หญิงสาวกับเจดีย์คู่แรกที่ฉันได้ปั้นออกมา
ก่อนหน้านี้นับสิบปีที่ผ่านมาแล้วฉันเคยปั้นหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นแรกไปแล้ว และอีกชิ้นในเวลาถัดจากนั้นไม่นาน..แต่ทว่างานทั้งสองชิ้นนั้นไม่ได้อยู่ที่ฉันแล้ว นี่ถ้างานยังอยู่ครบ..ฉันคงสนุกที่จะได้นำมันมาวางเรียงๆ กัน แล้วพินิจพิเคราะห์ความแตกต่างที่ปรากฏขึ้นในงานตามลำดับขั้นของเวลาที่เปลี่ยนไป...
ฉันรู้สึกมันไม่ต่างกันนักกับการเปรียบเทียบถึงภาวะในช่วงวัยแรกรุ่นดรุณีกับวัยสาวใหญ่เช่นวันนี้ของฉัน งานปั้นรูปหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นแรกก็เช่นกัน ฉันปั้นเป็นหญิงสาวยืนแยกกันอยู่กับเจดีย์ เปิดเผย..ซื่อๆ ไม่ค่อยรู้จักหลบซ่อนอำพราง..
ในชิ้นต่อๆ มา ฉันได้ขยับมาปั้นหญิงสาวไว้อยู่ชิดอิงแอบกับเจดีย์ และงานชิ้นนั้นฉันกก็กลับไม่กล้านำไปเผยแพร่ในที่ใดๆ เพราะกลัวกับความไม่เหมาะสมที่ปั้นรูปหญิงสาวมีหน้าอกหน้าใจ เบียดชิดอยู่กับเจดีย์...
ในชิ้นต่อมาๆ ในเวลาของชีวิตที่ล่วงเลยไป หญิงสาวกับเจดีย์ของฉันยังปรากฏอยู่แต่เธอก็รู้จักที่จะจัดวางตัวเองให้พอเหมาะพอสมอย่างมีจริตของตนโดยยังไม่ทิ้งในเนื้อหาเดิมอันเป็นความประทับใจของฉัน..
เนื้อหาแห่งโศกนาฎกรรมแห่งความรักและการจากพรากกันด้วยความตาย...
ฉันมองงานหญิงสาวกับเจดีย์ที่อยู่ข้างหน้าของฉัน..ฉันคิดถึงงานชิ้นที่หนึ่งและสองที่ได้ปั้นขึ้นมาและไม่ได้อยู่กับฉัน..และ ฉันกำลังคิดว่าฉันจะปั้นงานหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นล่าสุด ให้ออกมาอย่างไร...
ฉันคงจะตัดทอนหญิงสาวของฉันให้น้อยลง เพิ่มความสง่างามให้กับเจดีย์มากขึ้น แล้วทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างอันบอกความหมายที่สำคัญไว้กับรูปปั้น...
สงกรานต์ปีนี้..ฉันคงไม่ได้ไปเล่นน้ำที่ไหน..ฉันคงไปทำบุญและกลับมานั่งอยู่ที่บ้าน เพื่อเฝ้าค้นหาและหยิบจับเอาความรู้สึกที่สวยงามอันเกี่ยวกับความรัก มาบรรจุลงในงานรูปหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นใหม่ของฉัน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ในต้นฤดูร้อนแห่งเดือนเมษายน ดอกคุณสีเหลืองอร่ามต้องลมและพริ้วไหวอยู่ท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแล้ง หมู่ดอกไม้สีสดสวยนานาพันธ์ ต่างแข่งกันชูช่อผลิบานอย่างสดใสพร่างพราวไปทั่วริมท้องถนน...ผลิบานราวกับจะต้อนรับเทศกาลวันสงกรานต์ วันอันสนุกสนานรื่นเริง วันที่ผู้คนผู้จากบ้านไปต่างกลับมายังถิ่นฐานของตนและอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา...
ชีวิตนี้ฉันเคยเล่นน้ำสงกรานต์แค่ครั้งเดียวเท่านั้น แต่ครั้งเดียวนั้นก็เป็นอะไรที่ยังจำได้ไม่ลืม...ตอนนั้นเราเล่นน้ำกันอยู่ที่หน้าบ้าน จ.สิงห์บุรี เวลาหน้าแล้งและน้ำลงริมตลิ่งจะคล้ายๆ ชายหาด ฉันผู้ซึ่งไปเรียนอยู่กรุงเทพฯ และได้กลับมาบ้านย่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และญาติๆ เราพากันวิ่งเล่นน้ำอย่างสนุกสนานกันอยู่ที่ริมตลิ่ง แล้วอยู่ๆ ก็มีใครไม่รู้เป็นเด็กผู้ชายพายเรือผ่านมา และได้มาเล่นน้ำกับพวกเราด้วย จนถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จักว่าเขาเป็นใครอยู่บ้านไหน..แต่จำได้ว่า ในวันนั้นเป็นวันสงกรานต์ที่สนุกสนานที่สุด ฉันยังจำเสียงของย่าที่เรียกให้พวกเราขึ้นจากน้ำกันได้แล้ว...
นั่นเป็นบทสัมภาษณ์บางส่วนตอนที่ฉันเคยได้ให้สัมภาษณ์ไว้กับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมา มันเป็นบทสัมภาษณ์ที่ฉันชอบมากๆ
เนื่องมาจากมันมีภาพของการเล่นน้ำในวัยเมื่อแรกรุ่นดรุณีของฉันกับหมู่ญาติๆ และเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่พายเรือผ่านมา อย่างสนุกสนาน โดยที่เราไม่เคยรู้จักกันหรือได้พบเจอกันอีก..
ฉันชอบเพราะมันเป็นความรู้สึกอันสวยงามของคนวัยเริ่มสาว มันมีทั้งความเป็นเด็ก ความสนุกสนานและความรู้จักเขินอายของตนเอง และความรู้สึกเหล่านี้เมื่อฉันเติบโตเป็นผู้ใหญ่ผ่านวันและเวลาอันล่วงเลยของชีวิตมาแล้ว.. ฉันไม่สามารถจะกลับไปรู้สึกเช่นนั้นได้อีก..
ฉันยืนมองภาพข่าวต่างๆ ของตัวเองที่ได้เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในอดีต ฉันตัดภาพข่าวเหล่านั้นมาใส่กรอบแขวนไว้ที่ข้างฝาผนังปูนของใต้ถุนบ้านภาพข่าวต่างๆ เหล่านั้นบอกเล่าเรื่องราวของฉัน..เหมือนเป็นการแนะนำตัวเองกับใครก็ตามที่ได้มาเยือนที่บ้านของฉัน
ฉันเดินไปหยิบหมอนออกมาจากในห้องนอนและนำมาวางลงที่กลางพื้นบ้าน หยิบปากกาลูกลื่นนับสิบด้ามมาวางกองข้างๆ กัน ทุกๆ ด้ามยังเขียนติดดีอยู่ แต่ฉันมักหยิบมันมาเผื่อไว้ทั้งหมด เผื่อไว้สำหรับบางช่วงขณะของการขีดเขียนใช้งานของฉัน อาจมีปากกาด้ามใดที่ติดขัดเขียนไม่ลื่นไหล ฉันจะสามารถเปลี่ยนมันได้อย่างทันท่วงที ฉันทิ้งตัวนอนลงบนพื้นบ้านของฉันเพื่อเขียนเรื่องเล่า..
แต่ก่อนแต่ไรเมื่อที่บ้านของฉันยังไม่มีโต๊ะและเก้าอี้ ฉันก็นั่งและนอนอยู่กับพื้น จนมาถึงวันนี้ แม้บ้านของฉันมีโต๊ะและเก้าอี้หลายตัวเพิ่มขึ้น ฉันก็ยังชอบการนั่งและนอนอยู่บนพื้นเช่นเดิม
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ฉันเพิ่งได้รับโต๊ะไม้สำหรับนั่งทำงานปั้นมาหนึ่งตัว จากนักสะสมงานศิลปะท่านหนึ่งผู้ซึ่งเป็นเพื่อนกับนายดี อดีตเพื่อนใจของฉัน
ฉันพบว่ามันเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสุขภาพของฉัน เพราะในระยะหลังๆ มานี้ ฉันเริ่มมีอาการปวดที่หัวเข่า ในเวลาเดินและในขณะที่กำลังนั่งปั้นงาน การได้นั่งปั้นงานกับโต๊ะ ทำให้ฉันไม่ต้องนั่งขัดสมาธิเป็นเวลานาน และไม่ต้องนั่งก้มจนหลังงออีกต่อไป เมื่อฉันทดลองประเดิมทำงานปั้นชิ้นแรกบนโต๊ะทำงานผ่านไปหนึ่งชิ้น ฉันได้เห็นถึงความแตกต่างของการนั่งทำงานบนพื้น และการนั่งทำงานบนโต๊ะอย่างเห็นได้ชัด คือนอกเหนือจากจะได้นั่งอยู่ในอิริยาบทที่สบายตัวเอื้อต่อการทำงานได้นานขึ้นแล้ว ฉันยังสามารถมองและเก็บรายละเอียดในมุมด้านล่างๆ ของงานปั้นได้ดีขึ้นมากกว่าเดิมอีกด้วย...
ในยามค่ำคืน..ฉันนั่งปล่อยใจมองไปที่ชิ้นงานของตัวเองซึ่งวางเรียงรายอยู่บนบ้าน มันเป็นการมองเพื่อทบทวนสิ่งที่ฉันได้ทำผ่านไปแล้ว เพื่อเชื่อมต่อกับสิ่งใหม่ๆ ที่กำลังคิดจะทำในชิ้นต่อๆ ไป..สายตาของฉันได้มาหยุดนิ่งอยู่ที่งานปั้นรูปหญิงสาวกับเจดีย์สองชิ้นที่วางอยู่คู่กัน...นี่ไม่ใช่หญิงสาวกับเจดีย์คู่แรกที่ฉันได้ปั้นออกมา
ก่อนหน้านี้นับสิบปีที่ผ่านมาแล้วฉันเคยปั้นหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นแรกไปแล้ว และอีกชิ้นในเวลาถัดจากนั้นไม่นาน..แต่ทว่างานทั้งสองชิ้นนั้นไม่ได้อยู่ที่ฉันแล้ว นี่ถ้างานยังอยู่ครบ..ฉันคงสนุกที่จะได้นำมันมาวางเรียงๆ กัน แล้วพินิจพิเคราะห์ความแตกต่างที่ปรากฏขึ้นในงานตามลำดับขั้นของเวลาที่เปลี่ยนไป...
ฉันรู้สึกมันไม่ต่างกันนักกับการเปรียบเทียบถึงภาวะในช่วงวัยแรกรุ่นดรุณีกับวัยสาวใหญ่เช่นวันนี้ของฉัน งานปั้นรูปหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นแรกก็เช่นกัน ฉันปั้นเป็นหญิงสาวยืนแยกกันอยู่กับเจดีย์ เปิดเผย..ซื่อๆ ไม่ค่อยรู้จักหลบซ่อนอำพราง..
ในชิ้นต่อๆ มา ฉันได้ขยับมาปั้นหญิงสาวไว้อยู่ชิดอิงแอบกับเจดีย์ และงานชิ้นนั้นฉันกก็กลับไม่กล้านำไปเผยแพร่ในที่ใดๆ เพราะกลัวกับความไม่เหมาะสมที่ปั้นรูปหญิงสาวมีหน้าอกหน้าใจ เบียดชิดอยู่กับเจดีย์...
ในชิ้นต่อมาๆ ในเวลาของชีวิตที่ล่วงเลยไป หญิงสาวกับเจดีย์ของฉันยังปรากฏอยู่แต่เธอก็รู้จักที่จะจัดวางตัวเองให้พอเหมาะพอสมอย่างมีจริตของตนโดยยังไม่ทิ้งในเนื้อหาเดิมอันเป็นความประทับใจของฉัน..
เนื้อหาแห่งโศกนาฎกรรมแห่งความรักและการจากพรากกันด้วยความตาย...
ฉันมองงานหญิงสาวกับเจดีย์ที่อยู่ข้างหน้าของฉัน..ฉันคิดถึงงานชิ้นที่หนึ่งและสองที่ได้ปั้นขึ้นมาและไม่ได้อยู่กับฉัน..และ ฉันกำลังคิดว่าฉันจะปั้นงานหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นล่าสุด ให้ออกมาอย่างไร...
ฉันคงจะตัดทอนหญิงสาวของฉันให้น้อยลง เพิ่มความสง่างามให้กับเจดีย์มากขึ้น แล้วทิ้งสัญลักษณ์บางอย่างอันบอกความหมายที่สำคัญไว้กับรูปปั้น...
สงกรานต์ปีนี้..ฉันคงไม่ได้ไปเล่นน้ำที่ไหน..ฉันคงไปทำบุญและกลับมานั่งอยู่ที่บ้าน เพื่อเฝ้าค้นหาและหยิบจับเอาความรู้สึกที่สวยงามอันเกี่ยวกับความรัก มาบรรจุลงในงานรูปหญิงสาวกับเจดีย์ชิ้นใหม่ของฉัน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews