คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ท้องฟ้าในยามสายของวันนี้ช่างดูครึ้มหม่นนัก..
เพียงแค่เดือนมีนาคมแต่อากาศนั้นร้อนอย่างอบอ้าวสาหัสสากรรจ์มาสองวันเต็มแล้วๆ และนี่ดูราวเหมือนฝนกำลังจะตก
ท้องฟ้าอันหม่นหมองเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดบรรยากาศที่สดชื่นในหัวใจไปได้เลย
ฉันนอนเขียนหนังสืออยู่ที่กลางพื้นบ้าน ท่ามกลางความเงียบสงบ และเสียงนกที่ร้องอยู่ไกลๆ..
หลายสิ่งหลายอย่างของชีวิตและการงานของฉันในช่วงนี้ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้หยุดชะงักลง
หลายวันก่อนฉันนำชิ้นงานที่ปั้นเสร็จและตั้งค้างไว้นานแล้วลงเข้าเตาเผา ในใจนั้นก็หวังวาดว่าเมื่อเผางานเสร็จได้ชิ้นงานสีส้มสดสวย
ฉันก็จะนำงานเหล่านั้นมาจัดแต่งภายในบ้านและภายในตู้ของรักของฉัน จัดให้สวยสมดังใจ เมื่อนำงานเข้าเตาเสร็จฉันก็มาขึ้นงานชิ้นใหม่แล้วห่อพลาสติคไว้ชิ้นหนึ่งแล้วลงมือปัดกวาดบ้านเตรียมคิดมองหาที่ตั้งให้กับงาน
แต่ทว่าเมื่อเตาเผาทำงานไปได้ราวสี่ชั่วโมงเตาไฟฟ้าที่ใช้เผางานนั้น ก็เกิดปัญหามีเสียงดังเกิดขึ้น เสียงดังนั้นเป็นเสียงของเครื่องกลไกที่ติดขัด ดังมาถึงบ้านชั้นบน
ฉันรีบเปิดประตูและวิ่งลงไปดู เพียงแค่ก้าวพ้นออกจากประตูบ้านก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยเข้าปะทะจมูก กลิ่นไหม้นั้นฟุ้งอย่างรุนแรงอยู่ในอากาศ เมื่อฉันลงไปถึงที่เตาก็พบว่า แผงวงจรบอกระดับของความร้อนนั้นได้ดับสนิท ไม่ทำงานอีกต่อไป ฉันพยายามมองหาต้นตอที่มาของกลิ่นไหม้อันรุนแรงนั้น แต่ก็ไม่พบที่มาจากภายนอกของเตา|
ฉันยืนดูอยู่ชั่วครู่ จึงไปหยิบถุงมือกันไฟขึ้นมาสวมแล้วพาตัวเองขึ้นไปยืนบนม้านั่งไม้ข้างๆเตา แล้วเอื้อมมือไปดึงก้านสวิทซ์ของตัวตัดไฟลงมาอย่างทันท่วงที
รุ่งเช้า..ฉันจึงไปเปิดฝาเตาดูอีกครั้ง พบว่างานทั้งหมดของฉันยังเป็นปกติดี ยกเว้นชิ้นหนึ่งที่ได้ระเบิดแตกตรงช่วงขา...
ฉันทำใจ...ปล่อยทิ้งงานทั้งหมดลงไว้ข้างในเตา และรอจนกว่าช่างจะมา
ฉันนอนมองงานแต่ละชิ้นของตัวเองที่วางเรียงรายอยู่บนบ้าน แล้วเกิดความคิด...
งานที่ฉันได้ขึ้นรูปขึ้นมาใหม่ในชิ้นล่าสุดที่ยังห่อไว้นั้น ก็จะยังคงเป็นคล้ายๆ งานเหล่านี้อีกหรือ...
นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบในใจของฉันเอง
ก็ในสิ่งนี้ที่เราหลงรักและสร้างมันมาจากความคิดฝันของตนเองแท้ๆ
แล้วเราจะยังมีวันเบื่อและคิดที่จะหนีจากรูปแบบของมันที่เราเคยชอบมันอีกหรือ...
หรือว่าฉันขาดการเว้นระยะสำหรับการทำงานให้กับตัวเองหรือว่าฉันขาดการคบหาสมาคมกับใครๆ เพื่อเปิดตาดูสิ่งใหม่ๆ จากคนรอบข้างหรือว่าฉันอยู่กับตัวเองมากเกินไป
ฉันพยายามนึกตรึกตรองหาที่มาของความรู้สึกเบื่อหน่ายในงานของตัวเอง...
แต่ในขณะเดียวกันที่ฉันก็พบว่า เมื่อฉันได้ไปเปิดหาดูภาพงานของคนที่ทำงานประติมากรรมเก่งๆ และมีฝีมืออันก้าวล้ำนั้น ฉันก็พบว่า มันให้ทั้งคุณและโทษกับความรู้สึกในจิตใจของฉัน
ในแง่ของการให้คุณ คือถ้าฉันมองงานเหล่านั้นในยามที่ภาวะจิตใจและอารมณ์อันเป็นปกติ ฉันก็จะเกิดความชื่นชมในงานเหล่านั้นและปิติกับความงดงามที่ปรากฏในงาน
แต่ทว่าในยามนี้..ยามที่ฉันกำลังรู่้สึกตีบตันและอ่อนล้า เมื่อฉันมองงานของคนที่มีความสามารถเหล่านั้นแล้ว ก็อดเผลอคิด ดูถูกงานของตัวเองเสียไม่ได้
งานของเรานั้นช่างมีข้อด้อย
งานของเราเทียบกับของเขาไม่ได้เลย
ในช่วงขณะที่หัวใจอ่อนแอและไม่ตั้งมั่น ความคิดเช่นนี้ดูจะประดังประเดเข้ามาจู่โจมจิตใจของฉันอย่างง่ายดาย ความภูมิใจในตนเองที่เคยมีนั้นกลับเหือดหายไปเสียสิ้น...
ฉันมองงานของตนเองที่ได้ขึ้นรูปไว้เมื่อหลายวันก่อนอีกครั้ง..กับคำถามเดิมที่ผุดขึ้นในใจว่า..นี่ฉันจะปั้นงานชิ้นใหม่ขึ้นมาแล้วเป็นคล้ายๆ งานชิ้นเดิมๆ อยู่อีกหรือ...???
นั่นเป็นคำถามที่ฉันถามซ้ำๆ กับตัวของฉันเอง
ฉันเชื่อว่าคำถามเหล่านี้คงเคยเกิดขึ้นกับคนทำงานศิลปะแทบทุกคนบ้างไม่มากก็น้อย
บางขณะฉันคิดว่า การย่ำอยู่กับที่ แต่ไม่ได้หยุดย่ำนั้น จะทำให้เราลงลึกได้กับบางสิ่งบางอย่างและผลิดอกออกผลสิ่งที่เราลงรากลึกนั้นให้ออกมากับผลงาน
แต่ในขณะเดียวกันที่ฉันก็มองเห็นคนอื่นๆ มากมายที่ก้าวเดินออกไปข้างหน้า และพวกเขากำลังย่างก้าวกว้างไกลออกไปในงานของตัวเอง แล้วฉันล่ะ...ฉันจะเป็นอย่างเขาบ้างไหมหนอ
ฉันจะยังคงย่ำอยู่กับที่ หรือจะลองก้าวไปข้างหน้า..
บางทีคำถามที่เกิดขึ้นกับตัวของฉันเองในวันนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในงานของฉันในวันต่อๆ ไป ในชิ้นต่อๆ ไป...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ท้องฟ้าในยามสายของวันนี้ช่างดูครึ้มหม่นนัก..
เพียงแค่เดือนมีนาคมแต่อากาศนั้นร้อนอย่างอบอ้าวสาหัสสากรรจ์มาสองวันเต็มแล้วๆ และนี่ดูราวเหมือนฝนกำลังจะตก
ท้องฟ้าอันหม่นหมองเช่นนี้ไม่ก่อให้เกิดบรรยากาศที่สดชื่นในหัวใจไปได้เลย
ฉันนอนเขียนหนังสืออยู่ที่กลางพื้นบ้าน ท่ามกลางความเงียบสงบ และเสียงนกที่ร้องอยู่ไกลๆ..
หลายสิ่งหลายอย่างของชีวิตและการงานของฉันในช่วงนี้ดูเหมือนมีบางสิ่งบางอย่างที่ได้หยุดชะงักลง
หลายวันก่อนฉันนำชิ้นงานที่ปั้นเสร็จและตั้งค้างไว้นานแล้วลงเข้าเตาเผา ในใจนั้นก็หวังวาดว่าเมื่อเผางานเสร็จได้ชิ้นงานสีส้มสดสวย
ฉันก็จะนำงานเหล่านั้นมาจัดแต่งภายในบ้านและภายในตู้ของรักของฉัน จัดให้สวยสมดังใจ เมื่อนำงานเข้าเตาเสร็จฉันก็มาขึ้นงานชิ้นใหม่แล้วห่อพลาสติคไว้ชิ้นหนึ่งแล้วลงมือปัดกวาดบ้านเตรียมคิดมองหาที่ตั้งให้กับงาน
แต่ทว่าเมื่อเตาเผาทำงานไปได้ราวสี่ชั่วโมงเตาไฟฟ้าที่ใช้เผางานนั้น ก็เกิดปัญหามีเสียงดังเกิดขึ้น เสียงดังนั้นเป็นเสียงของเครื่องกลไกที่ติดขัด ดังมาถึงบ้านชั้นบน
ฉันรีบเปิดประตูและวิ่งลงไปดู เพียงแค่ก้าวพ้นออกจากประตูบ้านก็ได้กลิ่นเหม็นไหม้โชยเข้าปะทะจมูก กลิ่นไหม้นั้นฟุ้งอย่างรุนแรงอยู่ในอากาศ เมื่อฉันลงไปถึงที่เตาก็พบว่า แผงวงจรบอกระดับของความร้อนนั้นได้ดับสนิท ไม่ทำงานอีกต่อไป ฉันพยายามมองหาต้นตอที่มาของกลิ่นไหม้อันรุนแรงนั้น แต่ก็ไม่พบที่มาจากภายนอกของเตา|
ฉันยืนดูอยู่ชั่วครู่ จึงไปหยิบถุงมือกันไฟขึ้นมาสวมแล้วพาตัวเองขึ้นไปยืนบนม้านั่งไม้ข้างๆเตา แล้วเอื้อมมือไปดึงก้านสวิทซ์ของตัวตัดไฟลงมาอย่างทันท่วงที
รุ่งเช้า..ฉันจึงไปเปิดฝาเตาดูอีกครั้ง พบว่างานทั้งหมดของฉันยังเป็นปกติดี ยกเว้นชิ้นหนึ่งที่ได้ระเบิดแตกตรงช่วงขา...
ฉันทำใจ...ปล่อยทิ้งงานทั้งหมดลงไว้ข้างในเตา และรอจนกว่าช่างจะมา
ฉันนอนมองงานแต่ละชิ้นของตัวเองที่วางเรียงรายอยู่บนบ้าน แล้วเกิดความคิด...
งานที่ฉันได้ขึ้นรูปขึ้นมาใหม่ในชิ้นล่าสุดที่ยังห่อไว้นั้น ก็จะยังคงเป็นคล้ายๆ งานเหล่านี้อีกหรือ...
นั่นคือคำถามที่ผุดขึ้นอย่างเงียบเชียบในใจของฉันเอง
ก็ในสิ่งนี้ที่เราหลงรักและสร้างมันมาจากความคิดฝันของตนเองแท้ๆ
แล้วเราจะยังมีวันเบื่อและคิดที่จะหนีจากรูปแบบของมันที่เราเคยชอบมันอีกหรือ...
หรือว่าฉันขาดการเว้นระยะสำหรับการทำงานให้กับตัวเองหรือว่าฉันขาดการคบหาสมาคมกับใครๆ เพื่อเปิดตาดูสิ่งใหม่ๆ จากคนรอบข้างหรือว่าฉันอยู่กับตัวเองมากเกินไป
ฉันพยายามนึกตรึกตรองหาที่มาของความรู้สึกเบื่อหน่ายในงานของตัวเอง...
แต่ในขณะเดียวกันที่ฉันก็พบว่า เมื่อฉันได้ไปเปิดหาดูภาพงานของคนที่ทำงานประติมากรรมเก่งๆ และมีฝีมืออันก้าวล้ำนั้น ฉันก็พบว่า มันให้ทั้งคุณและโทษกับความรู้สึกในจิตใจของฉัน
ในแง่ของการให้คุณ คือถ้าฉันมองงานเหล่านั้นในยามที่ภาวะจิตใจและอารมณ์อันเป็นปกติ ฉันก็จะเกิดความชื่นชมในงานเหล่านั้นและปิติกับความงดงามที่ปรากฏในงาน
แต่ทว่าในยามนี้..ยามที่ฉันกำลังรู่้สึกตีบตันและอ่อนล้า เมื่อฉันมองงานของคนที่มีความสามารถเหล่านั้นแล้ว ก็อดเผลอคิด ดูถูกงานของตัวเองเสียไม่ได้
งานของเรานั้นช่างมีข้อด้อย
งานของเราเทียบกับของเขาไม่ได้เลย
ในช่วงขณะที่หัวใจอ่อนแอและไม่ตั้งมั่น ความคิดเช่นนี้ดูจะประดังประเดเข้ามาจู่โจมจิตใจของฉันอย่างง่ายดาย ความภูมิใจในตนเองที่เคยมีนั้นกลับเหือดหายไปเสียสิ้น...
ฉันมองงานของตนเองที่ได้ขึ้นรูปไว้เมื่อหลายวันก่อนอีกครั้ง..กับคำถามเดิมที่ผุดขึ้นในใจว่า..นี่ฉันจะปั้นงานชิ้นใหม่ขึ้นมาแล้วเป็นคล้ายๆ งานชิ้นเดิมๆ อยู่อีกหรือ...???
นั่นเป็นคำถามที่ฉันถามซ้ำๆ กับตัวของฉันเอง
ฉันเชื่อว่าคำถามเหล่านี้คงเคยเกิดขึ้นกับคนทำงานศิลปะแทบทุกคนบ้างไม่มากก็น้อย
บางขณะฉันคิดว่า การย่ำอยู่กับที่ แต่ไม่ได้หยุดย่ำนั้น จะทำให้เราลงลึกได้กับบางสิ่งบางอย่างและผลิดอกออกผลสิ่งที่เราลงรากลึกนั้นให้ออกมากับผลงาน
แต่ในขณะเดียวกันที่ฉันก็มองเห็นคนอื่นๆ มากมายที่ก้าวเดินออกไปข้างหน้า และพวกเขากำลังย่างก้าวกว้างไกลออกไปในงานของตัวเอง แล้วฉันล่ะ...ฉันจะเป็นอย่างเขาบ้างไหมหนอ
ฉันจะยังคงย่ำอยู่กับที่ หรือจะลองก้าวไปข้างหน้า..
บางทีคำถามที่เกิดขึ้นกับตัวของฉันเองในวันนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในงานของฉันในวันต่อๆ ไป ในชิ้นต่อๆ ไป...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews