xs
xsm
sm
md
lg

บนสวรรค์นั้นเหงา : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

หลังกรอบของแว่นตา ฉันมองผ่านทะลุออกไปยังบานกระจกใสบานใหญ่ของบ้าน ดอกลั่นทมสีขาว ที่กำลังชูช่ออยู่บนยอดสูงในอากาศ ดอกเสี้ยวสีขาวนวลอมชมพูที่เพิ่งผลิบานรับฤดูร้อน นั้นต้องลมผิวแผ่วไหวโอนเอน..

ดอกลั่นทมนั้นออกดอกให้เห็นและร่วงพรูลงบนพื้นได้ตลอดทั้งปีไม่เลือกฤดูกาล ส่วนเสี้ยวดอกขาวอันงดงามนั้นได้ผลิบานตามช่วงจังหวะเวลาอันเหมาะสมในแรกเริ่มฤดูร้อน อันเป็นสภาพอันเหมาะสมของตนเอง..

ในความเงียบและเย็นฉ่ำของห้องในบ้านนั้น ฉันเพิ่งจะจบงานชิ้นใหม่ล่าสุดของตนเองลงไปเมื่อวานนี้..

เป็นเวลาเพียงไม่กี่วันนับตั้งแต่ขึ้นงานให้เป็นรูปตัวคนซึ่งนอนอยู่กับพื้น แล้วฉันก็ห่อด้วยปลาสติคเอาไว้ถึงสามวัน เพื่อรอให้ดินเซ็ตตัวคายความชื้นลง เมื่อฉันเปิดมันขึ้นมาอีกครั้งก็ค่อยๆ ทำงานต่อจนเสร็จสิ้น ด้วยระยะเวลารวมเท่ากับแปดวัน

เมื่อฉันทำการเซ็นชื่อของตนเองลงไปบนชิ้นงาน อันเป็นชื่อเล่นพร้อมด้วยการขีดเส้นใต้ด้วยดอกไม้ดอกเดียว อันเป็นสัญลักษณ์ที่ฉันคิดขึ้นมาแทนตัวของตัวเอง

ที่ข้างตัวของฉันเวลาทำงานนั้น จะมีกระจกบานเล็กๆ เก่าๆ อยู่ข้างตัวบานหนึ่ง บนกระจกบานนั้นมีแต่ร่องรอยของการเลอะเปรอะเปื้อนอันถูกจับด้วยมือที่เปื้อนดินของฉัน ฉันมีมันไว้เพื่อสำหรับแก้ความสงสัยบางประการที่ฉันมีต่อสรีระของงานที่กำลังทำ ฉันจะมองส่วนนั้นๆ ของตนเองในกระจกแล้วปั้นไปตามสิ่งที่ฉันเห็น..

แม้จะผ่านขั้นตอนที่ว่านี้แต่งานของฉันที่ทำออกมาก็หาได้มีสรีระที่ถูกต้องตามสัดส่วนความเป็นจริงอันใดไม่ มันก็ยังคงเป็นงานของฉันที่เต็มไปด้วยความผิดเพี้ยนจากความเป็นจริงอยู่นั่นเอง เพราะฉันไม่ได้ตั้งอกตั้งใจที่จะเน้นในความเหมือนเหล่านั้น


มันเป็นสิ่งที่ยากเกินไปและไม่ผ่อนคลายเลยสำหรับฉัน.. ฉันเพียงมองกระจกและปั้นตามสิ่งที่เห็นอย่างคร่าวๆ ในบางจุดอันเป็นโครงร่างของมันเท่านั้น แล้วฉันก็ละจากการมองกระจกนั้นไป เป็นการมองดูอยู่แต่ที่เนื้อดินที่อยู่ข้างหน้าของฉัน และสื่อสารเพียงกับใจของตนเองที่กำลังบอก..ในขณะที่มือได้เคลื่อนไปตามคำสั่งของใจ..

เคยมีคนถามฉันว่า ฉันปั้นงานชิ้นหนึ่งๆ ใช้เวลากี่วัน...ฉันตอบไปว่า งานชิ้นหนึ่งๆ นั้นฉันจะทำเสร็จราวๆ เจ็ดแปดวัน คือขึ้นงานทิ้งไว้สามวัน แล้วค่อยลงมือทำต่ออีกราวห้าวัน...

ในขณะเดียวกันนั้นเองกับสิ่งสำคัญที่ใจของฉันได้สั่งให้มือกระทำการงานลงไปนั้น คือการนำออกซึ่งสิ่งที่ฉันมีอยู่และถูกเก็บรวบรวมมาทั้งชีวิตของฉัน..นั่นเอง


ฉันนั่งมองดูงานชิ้นใหม่ล่าสุดของตนเองที่ได้ถูกนำไปวางเอาไว้ในตู้..

งานชิ้นนี้ก็คล้ายๆ กับงานเก่า ที่ผ่านมาของฉันชิ้นหนึ่ง ที่ได้เคยทำขึ้นเมื่อราวหกปีที่แล้ว งานชิ้นนั้นมีชื่อว่า "บนสวรรค์นั้นเหงา"
 

และฉันสร้างงานชิ้นใหม่นี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์และความรู้สึกที่คิดถึงงานชิ้นเดิม ซึ่งมีสิ่งที่ฉันยังไม่พอใจในงานชิ้นนั้นซึ่งมีเท้าที่ใหญ่เกินไป
แต่ผ่านมาหลายปีแล้ว ฉันเองก็เพิ่งมาปั้น...และนั่นคงเป็นเพราะอารมณ์และความรู้สึกของฉัน ได้หวนกลับไปตกร่องยังอารมณ์เดิมๆ ด้วยกระมัง..

แต่ทว่างานชิ้นใหม่ที่ได้กระทำขึ้นภายใต้กรอบของความรู้สึกซึ่งคิดถึงงานเดิมๆ ของตนเอง แต่มันก็มีความแตกต่างออกไปในรายละเอียดที่มีอยู่ด้วยเช่นกัน..

ฉันไม่ได้เขียนลวดลายอะไรลงไปในงานชิ้นนี้ เครื่องประดับต่างๆ ที่เคยมีนั้นลดน้อยลงไป ลวดลายและเส้นผมที่ฉันชอบขีดเขียนลงไปนั้นก็ไม่ปรากฏดังงานชิ้นเก่า ด้วยเช่นกัน ฉันปล่อยให้ส่วนต่างๆ เหล่านั้นคงมีแต่ความเรียบและใช้เส้นโค้งของการแปะปาดดินลงไป โดยตัดเป็นขอบเขต ของสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏแทนในชิ้นงาน

ในระยะหลังๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ งานของฉันมักปรากฏเป็นผู้หญิงที่มีหูอยู่เพียงข้างเดียวเสมอๆ และที่หูข้างนั้นของเธอมีไว้เพียงเพื่อที่เธอจะได้ทัดดอกไม้เพียงเท่านั้น..

มันมาจากจิตใต้สำนึกบางส่วนของฉันหรือไม่หนอ..ฉันเคยตั้งคำถามนี้อย่างเงียบๆ กับตัวของตัวเอง

ท่ามกลางความเงียบที่อยู่รอบตัวฉัน ได้ยินแต่เสียงของพัดลมและเสียงการทำงานของแอร์ กระจกบานเลือนของประตูและหน้าต่างถูกปิดลงเพื่อให้ความเย็นนั้นคงอยู่..

ในตอนบ่ายของฤดูร้อนเช่นนี้ ทำให้ฉันต้องเปิดทั้งแอร์และพัดลมควบคู่กันไปในขณะทำงาน..มีเพียงเสียงของนกนานา ที่ยังคงร้อง และเสียงนั้นลอดผ่านเข้ามาได้ เสียงของนกกาเหล่านั้นถูกรู้สึกรวมเป็นเสียงเดียวกันกับความเงียบ ฉันไม่เคยรู้สึกว่าถูกรบกวนจากเสียงของสัตว์เหล่านี้เลยแม่แต่น้อยนิด

ฉันชอบที่จะไปไหนเพียงลำพังเสมอๆ โดยปกติฉันมักจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าเก่าๆ ไม่สวมเครื่องประดับใดๆ นอกจากต่างหู การไม่แต่งเนื้อแต่งตัวของฉันทำให้ฉันไปไหนมาไหนโดยปราศจากคนสนใจ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่พบเห็นฉันและจดจำฉันได้ เพราะการชอบนุ่งผ้าถุงของฉันนั่นเอง


ฉันเคยได้ยินได้ฟังคนที่พบเห็นงานของฉันและได้กล่าวตั้งชื่อให้กับงานของฉัน เช่น "รอคอย" "เหงา" "เฝ้ารอ" เป็นต้น
 

ฉันแอบยิ้มให้พวกเขาและดีใจที่งานของฉันบอกถึงความรู้สึกบางอย่างแก่คนที่พบเห็นมัน

แต่จะมีใครรู้หรือไม่หนอ ในความเป็นจริงนั้น ฉันเองที่เป็นผู้เลือกที่จะอยู่กับความเหงาของตนเอง


นับเวลาย้อนไปนับสิบปีที่ผ่านมา ที่ฉันอยู่โดยไม่ใช้โทรศัพท์ และไม่ได้ติดต่อกับใครๆ ที่ฉันรู้จัก แต่ในขณะเดียวกันที่ฉันก็ไม่เคยลืมเลือนพวกเขาพวกเขายังอยู่ในความทรงจำและความคิดถึงของฉันเสมอ


จนกระทั่งราวเจ็ดปีที่ผ่านนี้เอง เมื่อสถานะของฉันได้เปลี่ยนแปลงไป และมีอันต้องอยู่โดยลำพัง ฉันจึงเริ่มจำเป็นที่จะต้องใช้โทรศัพท์


 ในช่วงเวลาระยะหลังๆ นี้ ที่ฉันได้รู้จักกับบุคคลต่างๆ ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นบ้าง บางคนนั้นมีเรื่องที่สนใจคล้ายๆ กันกับฉัน ผูกโยงให้พูดคุยและคบหา บางคนก็มีความเอื้อเฟื้อและเป็นมิตรที่ดีต่อฉัน แต่แล้วฉันก็เลี่ยงที่จะหันกลับเข้ามาอยู่ยังความเงียบเชียบโดยลำพังอย่างที่ฉันรัก..

ฉันมีความจำเป็นต้องเหินห่างจากความสัมพันธ์และมิตรภาพต่อใครหลายคนที่ฉันรู้จัก เพื่อให้โลกส่วนตัวของฉันยังคงอยู่ต่อไป

บางคนฉันก็ได้อธิบาย บางคนฉันก็ไม่ได้อธิบาย เพียงแต่ทิ้งระยะห่างของความสัมพันธ์เหล่านั้นออกไปทีละน้อย..ทีละน้อย

ฉันเลือกที่จะรับรู้เพียงสิ่งที่ฉันให้ความสนใจเท่านั้น

"ผู้หญิงของฉันมีหูอยู่ข้างเดียว เพราะเธออยากมีมันไว้เพียงเพื่อทัดดอกไม้" และฟังเสียงแห่งใจของตนเอง อันประกอบไปด้วยถ้อยคำของความรักและคิดถึง ที่ยังคงมีต่อคนที่ฉันได้เคยรู้จักเหล่านั้น และคนที่อยู่ในอุดมคติและจินตนาการของตนเอง

และแล้วความซับซ้อนที่มีภายในจิตใจ ก็ได้ปรากฏออกมาในงาน

การงานนั้นช่างมีส่วนสัมพันธ์กับจิตใจอย่างลึกซึ้ง..

ถ่ายภาพโดย : มณีดิน








รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews


กำลังโหลดความคิดเห็น