คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม
ชีวิต..นั้นไม่ได้มีแต่ความสมบูรณ์พรั่งพร้อม...
องค์ประกอบของความเป็นฉัน มาจากความสมบูรณ์ในบางอย่าง และบกพร่องในบางอย่างที่มาตั้งอยู่รวมกัน จนกลายเป็นฉัน
องค์ประกอบของงานปั้นของฉัน ก็มาจากความ "ใช่" และ "ไม่ใช่" ซึ่งมาอยู่รวมกันจนเกิดเป็นงานปั้นในแบบของฉันด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางพื้นไม้ของบ้านที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นละอองดินจากการทำงาน ดินที่ตกลงจากแท่นปั้นร่วงหล่นเปรอะลงสู่พื้น อันเป็นห้องเดียวกันกับที่ฉันใช้ทำกิจกรรมเอนกประสงค์ของตนเอง ทั้งทำงานปั้น นอนเล่น นั่งเขียนหนังสือ ห้องๆ นี้เป็นที่รวมทำกิจกรรมของฉันแทบทั้งหมดในตลอดเวลา
คราบของฝุ่นดินได้จับไปทั่วทั้งบนโต๊ะและที่พื้น..ค้อน..และไฟฉาย ถูกวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ถาดอาหารไม้เก่าที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยรอยคราบจับของดินเหนียว ไข่ไก่ต้มสองใบ ที่ระเบิดจากการนำไปเข้าเตาอบ ถูกวางเคียงไว้กับกาน้ำชาที่ถูกต้มและชงอย่างตั้งใจให้หอม ด้วยเครื่องเทศและสมุนไพร....อีกหลายข้าวของสัพเพเหระที่วางอยู่อย่างผิดที่ผิดทางของมัน นั่นเป็นส่วนประกอบที่ตั้งอยู่ให้เห็นภายในบ้านของฉัน
ฉันหวนนึกถึงคำพูดของ บรรณาธิการสำนักพิมพ์คนหนึ่ง ที่ได้เดินทางมายังบ้านของฉัน เมื่อเธอยืนมองเข้าไปในตู้ใบหนึ่ง แล้วเธอก็กล่าวกับฉันว่า ในตู้ใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ แต่มันกลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน...ฉันไม่อาจคิดว่า นั่นยังนับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของฉัน...
เมื่อฉันพยายามค้นหาคำบางคำ อันเป็นคำจำกัดความที่จะใช้เฉพาะในความเป็นตัวของตัวเอง ฉันก็ยังไม่พบกับคำที่ชัดเจนคำนั้น..
ก็เพราะเมื่อยามใดที่บ้านเรือนสกปรกรกรุงรังจนมาถึงวันที่ฉันหมดความอดทนและมีเวลาว่างแล้ว ฉันก็จะทำการจัดบ้าน ปัดกวาดถู เก็บสิ่งของที่รกๆ นั้นทิ้งออกไปจากบ้านเสียจนสิ้น พื้นไม้ของบ้านถูกถูจนสะอาดส่องประกายสะท้อนความมันวาว ข้าวของถูกวางอย่างมีระเบียบ มีจังหวะว่างเว้นไว้ต่อกันระหว่างสิ่งของแต่ละอย่าง... ไม่รกเรื้อ ไม่มากไป ไม่น้อยไป แม้เป็นเพียงสิ่งของไร้ชีวิตแต่จากการจัดวางและการมองเห็นกลับกระตุ้นเตือนห้วงแห่งการรับรู้ที่เกิดขึ้นได้แก่ผู้ที่ได้มาพบเห็น
ฉันหวนคิดถึงคำพูดของพี่สาวคนหนึ่งที่ฉันรักและเคารพ ที่ได้มาหาฉันในเวลาที่ฉันไม่อยู่บ้าน
เธอได้กล่าวกับฉันในเวลาต่อมาว่า เธอมานั่งมองข้าวของในตู้ของฉัน แล้วก็รู้สึกคิดถึงฉันเหลือเกิน และฉันมักชอบคิดถึงคำๆนี้เสมอๆ ในเวลาที่ฉันทำการจัดตู้..
หญิงสาวในงานปั้นของฉัน..เธอต่างดูน่าสนใจเมื่อเธออยู่ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านและในตู้ของรักของฉัน หญิงสาวเหล่านั้นบ้างก็ชำรุดหักพัง แต่ทว่าก็ยังคงบ่งบอกอารมณ์แห่งความอ่อนหวานบนความว่างเปล่าในโลกของเธอเอง..
แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เธอต่างถูกหยิบยกลงใส่ลังแล้วออกเดินทางไปจากตู้ของรักที่เธอเคยอยู่ เธอเดินทางไปพร้อมกับฉัน เพื่อไปยังบ้านของคนอื่นๆ คนที่ปราถนาจะเห็นพวกเธอ บุคคลเหล่านั้นมักจะเป็นคนผู้มีบุญคุณบางอย่างกับฉัน หรือเป็นเพื่อนกับคนที่ฉันเคารพนับถือ
เมื่อมีคำขอมาจากบุคคลเหล่านั้น ฉันจึงจำเป็นต้องพางานปั้นของฉันไปยังบ้านของพวกเขา เมื่อฉันยกลังออกมาจากรถ นำมันไปวางลงแล้วค่อยๆ หยิบชิ้นงานออกมา ฉันก็จะต้องพบกับทั้งความชอบและความไม่ชอบของคนที่กำลังมองดูมัน และสิ่งที่ฉันทำก็คือ การรับฟังในสิ่งต่างๆ ที่เขากล่าวอย่างน้อมรับ อย่างยิ้มแย้ม และเข้าใจในสิ่งที่เขาได้บอกกับฉัน ทั้งๆ ที่ในถ้อยคำเหล่านั้นมีทั้งถ้อยคำที่ทำให้ฉันสุขใจและเศร้าใจ
ในครั้งแรกที่ฉันนำงานไปตามคำร้องขอถึงที่บ้านเช่นนี้ เป็นหลายปีดีดักที่ได้ผ่านมาแล้ว มีงานชิ้นหนึ่งถูกวางไว้ที่ร้านขนมแสนอร่อยและขึ้นชื่อในเชียงใหม่และมีคนเห็นมันจากที่นั่นและบอกเจ้าของร้านขนมให้ติดต่อมายังฉัน หลายครั้งหลายครา จนวันหนึ่งที่ฉันต้องเข้ากรุงเทพฯ และต้องการเงิน ฉันจึงนำงานปั้นไปให้เขาดูถึงที่บ้านตามคำขอที่มีมาเนิ่นนาน
ฉันพกเอาความคาดหวังเข้าไปและก็ต้องผิดหวังเมื่อผู้ที่ขอดูงานไม่ชอบมันและบอกเหตุผลถึงความไม่ชอบต่างๆ ที่มีต่องานในแต่ละชิ้นที่ฉันได้นำไปในคราวนั้น และขอให้ฉันนำงานชิ้นอื่นๆ มาให้ดูใหม่ ฉันรู้เสึกจ็บปวดเมื่อขณะที่ฉันเก็บงานกลับเข้ายังกล่องและออกมาจากบ้านหลังนั้น
นั่นเป็นครั้งแรก และมีเพียงสองสามครั้งที่บ้านหลังอื่นๆ ซึ่งฉันน้อมรับฟังทุกๆ ถ้อยคำในขณะที่กำลังเก็บงานเข้ากลับลงในกล่อง พร้อมๆ กับคิดทุกๆ ครั้งว่า..ถ้าไม่รักฉันจะไม่มา ถ้าไม่ใช่เพราะคนนั้นคนนี้บอกฉันจะไม่มา
ฉันจะไม่ทำอย่างนี้กับงานและตัวของฉันเอง เพราะในขณะัที่ฉันเก็บงานแล้วออกมาจากบ้านของพวกเขานั้น ฉันรู้สึกราวกับเป็นหญิงสาวที่ได้ไปยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม เพื่อให้เขาเพ่งพิศแล้วกล่าวปฏิเสธการร่วมรักกับเธอ แล้วไล่ให้เธอใส่เสื้อผ้าและออกไปจากบ้านของเขา
ฉันสงสารตัวเองที่ต้องซ่อนความเสียใจไว้ภายใต้รอยยิ้มของตัวเองเมื่อต้องตกไปอยู่ในภาวะเช่นนั้น และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นที่มาของ "กฏเหล็ก" ที่ฉันจะไม่นำงานไปให้ใครดูถึงสถานที่ของเขาอีกต่อไป
การงานของฉันประกอบขึ้นจากความไม่สมบูรณ์หลายสิ่งหลายอย่างมาประชุมอยู่ร่วมกัน มันผิดแรกเริ่มตั้งแต่เรื่องสรีระทั้งหมด และเมื่อถูกนำไปเทียบกับความเป็นจริงหรือหาเหตุผลต่างๆ มารองรับนั้นก็ช่างไม่มีเอาเสียสิ้น และมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางการตลาด..หูมีข้างเดียว..หน้าตอบไป..สีไม่สวย..อยากได้แบบตัวนั้น..ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันได้ยินได้ฟัง
แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ฉันได้พบกับถ้อยคำอันชื่นใจของคนที่มองเลยไปจากความผิดถูก มองเลยไปจากข้อที่ควรตำหนิติเตียนในชิ้นงานของฉัน
เขามองไปถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีอยู่ในงานของฉัน และบุคคลเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นศิลปินที่ฉันรักและเคารพนั่นเอง ฉันมักเก็บทุกถ้อยคำที่ได้รับฟังและมีคุณค่าก่อให้เกิดกำลังใจกับตัวเองไว้นานแสนนานไม่ลืมเลือนถ้อยคำเหล่านั้น...
ในขณะที่ฉันอยู่ที่บ้าน..ฉันรู้สึกตัวเองว่าฉันมีความสามารถ ฉันทำงานได้หลายอย่าง ทั้งงานปั้น งานเขียน ทั้งการทำอาหาร ทั้งความมีอิสระที่จะพาตัวเองไปไหนๆ ได้อย่างที่พึงพอใจ ฉันภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ของตัวเอง
แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อฉันต้องออกจากบ้านไปสู่เมืองใหญ่ เพียงฉันได้พบถนนหนทางที่ไม่คุ้นชินและพลุกพล่าน เพียงแค่ฉันขับรถหลงทาง หรืออยู่ท่ามกลางรถราที่ติดขัดอย่างสาหัส..ฉันกลับสติแตกทำอะไรไม่ถูก ขาดความมั่นใจในตัวเองและรู้สึกเศร้า...นั่นเป็นสองด้านที่ทำให้ฉันรู้สึกสมบูรณ์และบกพร่อง...
เมื่อต้องเข้าเมืองใหญ่ครั้งล่าสุด..ฉันก็ได้พบกับเรื่องราวที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าคล้ายๆ กับในอดีต..อีกครั้ง
ฉันเยียวยาตัวเองด้วยการเดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งถูกจัดเป็นที่หย่อนใจของผู้คน อันมีงานของฉันเป็นส่วนประกอบ เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้มีจิตใจอันเป็นสาธารณะต่อสังคม นอกจากทำธุรกิจแล้วเขายังอยากมอบพื้นที่เล็กๆ ส่วนหนึ่งของ เดอะบริโอ (The Brio) ย่านพุทธมณฑล ให้เป็นพื้นที่หย่อนใจสำหรับผู้คนในเมือง
เขาได้ผ่านไปเห็นหนุ่มสาวซึ่งชอบไปนั่งพลอดรักกันในสวนสาธารณะที่อยู่ในเขตของศาสนสถาน เขาจึงทำการจัดสวนหย่อมอันประกอบด้วยน้ำซึ่งให้ความชุ่มเย็น ที่นั่งที่หันหลังให้กับผู้คน รวมทั้งต้นไม้..ชิงช้า..น้ำพุและงานของฉัน
เขายินดีที่จะมีหนุ่มสาวมานั่งพลอดรักกัน ณ สถานที่แห่งนี้ มากกว่าจะไปนั่งอยู่ในเขตของศาสนสถาน..
"องุ่น ปั้นไปได้เลยเต็มที่..ตรงไหนโป้ก็โป้ ไม่ต้องปิดไม่ต้องซ่อน ทำไปตามที่อยากทำ ให้เห็นเป็นหญิงสาวที่มีทั้งความงาม ความเป็นแม่..และความชรา..เป็นไปตามธรรมชาติของผู้หญิงไม่ต้องปิดไม่ต้องซ่อน..."
ฉันน้อมรับฟังด้วยความรู้สึกอันแสนขอบคุณในความมีน้ำใจที่เขามีต่อสังคมและเปิดกว้างต่อการทำงานของฉัน...
หลายเดือนผ่านมาแล้วที่งานเหล่านั้นได้ถูกติดตั้งไป แม้จะยังไม่สำเร็จพร้อมสมบูรณ์ดีนัก แต่เมื่อฉันพาใจที่ระคนเศร้าของตัวเองให้ได้ไปพบเห็น ฉันรู้สึกดีใจที่ได้ไปนั่งอยู่เงียบๆ ท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวจากแสงแดดภายนอกตัวอาคาร แต่ที่ตรงนั้นกลับชื่นเย็นด้วยกระแสของน้ำ..กลับเพลิดเพลินด้วยภาพของหญิงสาวที่กำลังไกวตัวเองอย่างสบายใจบนชิงช้าริมน้ำ..
ชวนให้คิดด้วยภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปยังกลุ่มรูปปั้นของฉันที่อยู่ท่ามกลางน้ำพุเหล่านั้น..ว่าเขากำลังปล่อยใจไปที่ใด
เย็นตา..ด้วยภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งคอยใครบางคน.... และชุ่มเย็นด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจของตัวเองที่หญิงสาวผู้ไม่มีชิ้นใดสมบูรณ์หรืองามพร้อม ในงานปั้นของฉัน ถูกจัดวางอย่างให้เกียรติ และเธอเหล่านั้นได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังพักผ่อนหย่อนใจ และได้มีส่วนร่วมในการทำให้วันเวลาแห่งการหยุดพักของผู้คนในเมืองมีความหมายมากยิ่งขึ้น..
ในขณะที่ความสุขและความทุกข์ ความสมหวังและความผิดหวัง ความพอใจหรือไม่พอใจนั้นก็ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผันผ่านเข้ามาในชีวิตอันเปรียบดังฤดูกาล...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews
ชีวิต..นั้นไม่ได้มีแต่ความสมบูรณ์พรั่งพร้อม...
องค์ประกอบของความเป็นฉัน มาจากความสมบูรณ์ในบางอย่าง และบกพร่องในบางอย่างที่มาตั้งอยู่รวมกัน จนกลายเป็นฉัน
องค์ประกอบของงานปั้นของฉัน ก็มาจากความ "ใช่" และ "ไม่ใช่" ซึ่งมาอยู่รวมกันจนเกิดเป็นงานปั้นในแบบของฉันด้วยเช่นกัน
ท่ามกลางพื้นไม้ของบ้านที่เต็มไปด้วยคราบฝุ่นละอองดินจากการทำงาน ดินที่ตกลงจากแท่นปั้นร่วงหล่นเปรอะลงสู่พื้น อันเป็นห้องเดียวกันกับที่ฉันใช้ทำกิจกรรมเอนกประสงค์ของตนเอง ทั้งทำงานปั้น นอนเล่น นั่งเขียนหนังสือ ห้องๆ นี้เป็นที่รวมทำกิจกรรมของฉันแทบทั้งหมดในตลอดเวลา
คราบของฝุ่นดินได้จับไปทั่วทั้งบนโต๊ะและที่พื้น..ค้อน..และไฟฉาย ถูกวางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ถาดอาหารไม้เก่าที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยรอยคราบจับของดินเหนียว ไข่ไก่ต้มสองใบ ที่ระเบิดจากการนำไปเข้าเตาอบ ถูกวางเคียงไว้กับกาน้ำชาที่ถูกต้มและชงอย่างตั้งใจให้หอม ด้วยเครื่องเทศและสมุนไพร....อีกหลายข้าวของสัพเพเหระที่วางอยู่อย่างผิดที่ผิดทางของมัน นั่นเป็นส่วนประกอบที่ตั้งอยู่ให้เห็นภายในบ้านของฉัน
ฉันหวนนึกถึงคำพูดของ บรรณาธิการสำนักพิมพ์คนหนึ่ง ที่ได้เดินทางมายังบ้านของฉัน เมื่อเธอยืนมองเข้าไปในตู้ใบหนึ่ง แล้วเธอก็กล่าวกับฉันว่า ในตู้ใบนี้เต็มไปด้วยสิ่งของที่ไม่น่าจะมาอยู่ร่วมกันได้ แต่มันกลับมาอยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน...ฉันไม่อาจคิดว่า นั่นยังนับเป็นความสามารถอย่างหนึ่งของฉัน...
เมื่อฉันพยายามค้นหาคำบางคำ อันเป็นคำจำกัดความที่จะใช้เฉพาะในความเป็นตัวของตัวเอง ฉันก็ยังไม่พบกับคำที่ชัดเจนคำนั้น..
ก็เพราะเมื่อยามใดที่บ้านเรือนสกปรกรกรุงรังจนมาถึงวันที่ฉันหมดความอดทนและมีเวลาว่างแล้ว ฉันก็จะทำการจัดบ้าน ปัดกวาดถู เก็บสิ่งของที่รกๆ นั้นทิ้งออกไปจากบ้านเสียจนสิ้น พื้นไม้ของบ้านถูกถูจนสะอาดส่องประกายสะท้อนความมันวาว ข้าวของถูกวางอย่างมีระเบียบ มีจังหวะว่างเว้นไว้ต่อกันระหว่างสิ่งของแต่ละอย่าง... ไม่รกเรื้อ ไม่มากไป ไม่น้อยไป แม้เป็นเพียงสิ่งของไร้ชีวิตแต่จากการจัดวางและการมองเห็นกลับกระตุ้นเตือนห้วงแห่งการรับรู้ที่เกิดขึ้นได้แก่ผู้ที่ได้มาพบเห็น
ฉันหวนคิดถึงคำพูดของพี่สาวคนหนึ่งที่ฉันรักและเคารพ ที่ได้มาหาฉันในเวลาที่ฉันไม่อยู่บ้าน
เธอได้กล่าวกับฉันในเวลาต่อมาว่า เธอมานั่งมองข้าวของในตู้ของฉัน แล้วก็รู้สึกคิดถึงฉันเหลือเกิน และฉันมักชอบคิดถึงคำๆนี้เสมอๆ ในเวลาที่ฉันทำการจัดตู้..
หญิงสาวในงานปั้นของฉัน..เธอต่างดูน่าสนใจเมื่อเธออยู่ท่ามกลางบรรยากาศของบ้านและในตู้ของรักของฉัน หญิงสาวเหล่านั้นบ้างก็ชำรุดหักพัง แต่ทว่าก็ยังคงบ่งบอกอารมณ์แห่งความอ่อนหวานบนความว่างเปล่าในโลกของเธอเอง..
แต่ก็มีบางครั้งบางคราวที่เธอต่างถูกหยิบยกลงใส่ลังแล้วออกเดินทางไปจากตู้ของรักที่เธอเคยอยู่ เธอเดินทางไปพร้อมกับฉัน เพื่อไปยังบ้านของคนอื่นๆ คนที่ปราถนาจะเห็นพวกเธอ บุคคลเหล่านั้นมักจะเป็นคนผู้มีบุญคุณบางอย่างกับฉัน หรือเป็นเพื่อนกับคนที่ฉันเคารพนับถือ
เมื่อมีคำขอมาจากบุคคลเหล่านั้น ฉันจึงจำเป็นต้องพางานปั้นของฉันไปยังบ้านของพวกเขา เมื่อฉันยกลังออกมาจากรถ นำมันไปวางลงแล้วค่อยๆ หยิบชิ้นงานออกมา ฉันก็จะต้องพบกับทั้งความชอบและความไม่ชอบของคนที่กำลังมองดูมัน และสิ่งที่ฉันทำก็คือ การรับฟังในสิ่งต่างๆ ที่เขากล่าวอย่างน้อมรับ อย่างยิ้มแย้ม และเข้าใจในสิ่งที่เขาได้บอกกับฉัน ทั้งๆ ที่ในถ้อยคำเหล่านั้นมีทั้งถ้อยคำที่ทำให้ฉันสุขใจและเศร้าใจ
ในครั้งแรกที่ฉันนำงานไปตามคำร้องขอถึงที่บ้านเช่นนี้ เป็นหลายปีดีดักที่ได้ผ่านมาแล้ว มีงานชิ้นหนึ่งถูกวางไว้ที่ร้านขนมแสนอร่อยและขึ้นชื่อในเชียงใหม่และมีคนเห็นมันจากที่นั่นและบอกเจ้าของร้านขนมให้ติดต่อมายังฉัน หลายครั้งหลายครา จนวันหนึ่งที่ฉันต้องเข้ากรุงเทพฯ และต้องการเงิน ฉันจึงนำงานปั้นไปให้เขาดูถึงที่บ้านตามคำขอที่มีมาเนิ่นนาน
ฉันพกเอาความคาดหวังเข้าไปและก็ต้องผิดหวังเมื่อผู้ที่ขอดูงานไม่ชอบมันและบอกเหตุผลถึงความไม่ชอบต่างๆ ที่มีต่องานในแต่ละชิ้นที่ฉันได้นำไปในคราวนั้น และขอให้ฉันนำงานชิ้นอื่นๆ มาให้ดูใหม่ ฉันรู้เสึกจ็บปวดเมื่อขณะที่ฉันเก็บงานกลับเข้ายังกล่องและออกมาจากบ้านหลังนั้น
นั่นเป็นครั้งแรก และมีเพียงสองสามครั้งที่บ้านหลังอื่นๆ ซึ่งฉันน้อมรับฟังทุกๆ ถ้อยคำในขณะที่กำลังเก็บงานเข้ากลับลงในกล่อง พร้อมๆ กับคิดทุกๆ ครั้งว่า..ถ้าไม่รักฉันจะไม่มา ถ้าไม่ใช่เพราะคนนั้นคนนี้บอกฉันจะไม่มา
ฉันจะไม่ทำอย่างนี้กับงานและตัวของฉันเอง เพราะในขณะัที่ฉันเก็บงานแล้วออกมาจากบ้านของพวกเขานั้น ฉันรู้สึกราวกับเป็นหญิงสาวที่ได้ไปยืนเปลือยกายอยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม เพื่อให้เขาเพ่งพิศแล้วกล่าวปฏิเสธการร่วมรักกับเธอ แล้วไล่ให้เธอใส่เสื้อผ้าและออกไปจากบ้านของเขา
ฉันสงสารตัวเองที่ต้องซ่อนความเสียใจไว้ภายใต้รอยยิ้มของตัวเองเมื่อต้องตกไปอยู่ในภาวะเช่นนั้น และสิ่งเหล่านี้กลายเป็นที่มาของ "กฏเหล็ก" ที่ฉันจะไม่นำงานไปให้ใครดูถึงสถานที่ของเขาอีกต่อไป
การงานของฉันประกอบขึ้นจากความไม่สมบูรณ์หลายสิ่งหลายอย่างมาประชุมอยู่ร่วมกัน มันผิดแรกเริ่มตั้งแต่เรื่องสรีระทั้งหมด และเมื่อถูกนำไปเทียบกับความเป็นจริงหรือหาเหตุผลต่างๆ มารองรับนั้นก็ช่างไม่มีเอาเสียสิ้น และมันไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการทางการตลาด..หูมีข้างเดียว..หน้าตอบไป..สีไม่สวย..อยากได้แบบตัวนั้น..ฯลฯ นั่นเป็นสิ่งที่ฉันได้ยินได้ฟัง
แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ฉันได้พบกับถ้อยคำอันชื่นใจของคนที่มองเลยไปจากความผิดถูก มองเลยไปจากข้อที่ควรตำหนิติเตียนในชิ้นงานของฉัน
เขามองไปถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีอยู่ในงานของฉัน และบุคคลเหล่านั้นโดยส่วนใหญ่มักจะเป็นศิลปินที่ฉันรักและเคารพนั่นเอง ฉันมักเก็บทุกถ้อยคำที่ได้รับฟังและมีคุณค่าก่อให้เกิดกำลังใจกับตัวเองไว้นานแสนนานไม่ลืมเลือนถ้อยคำเหล่านั้น...
ในขณะที่ฉันอยู่ที่บ้าน..ฉันรู้สึกตัวเองว่าฉันมีความสามารถ ฉันทำงานได้หลายอย่าง ทั้งงานปั้น งานเขียน ทั้งการทำอาหาร ทั้งความมีอิสระที่จะพาตัวเองไปไหนๆ ได้อย่างที่พึงพอใจ ฉันภูมิใจในสิ่งเหล่านี้ของตัวเอง
แต่ในทางตรงกันข้ามเมื่อฉันต้องออกจากบ้านไปสู่เมืองใหญ่ เพียงฉันได้พบถนนหนทางที่ไม่คุ้นชินและพลุกพล่าน เพียงแค่ฉันขับรถหลงทาง หรืออยู่ท่ามกลางรถราที่ติดขัดอย่างสาหัส..ฉันกลับสติแตกทำอะไรไม่ถูก ขาดความมั่นใจในตัวเองและรู้สึกเศร้า...นั่นเป็นสองด้านที่ทำให้ฉันรู้สึกสมบูรณ์และบกพร่อง...
เมื่อต้องเข้าเมืองใหญ่ครั้งล่าสุด..ฉันก็ได้พบกับเรื่องราวที่ทำให้ฉันรู้สึกเศร้าคล้ายๆ กับในอดีต..อีกครั้ง
ฉันเยียวยาตัวเองด้วยการเดินทางไปยังอีกสถานที่หนึ่งซึ่งถูกจัดเป็นที่หย่อนใจของผู้คน อันมีงานของฉันเป็นส่วนประกอบ เจ้าของสถานที่แห่งนี้เป็นผู้มีจิตใจอันเป็นสาธารณะต่อสังคม นอกจากทำธุรกิจแล้วเขายังอยากมอบพื้นที่เล็กๆ ส่วนหนึ่งของ เดอะบริโอ (The Brio) ย่านพุทธมณฑล ให้เป็นพื้นที่หย่อนใจสำหรับผู้คนในเมือง
เขาได้ผ่านไปเห็นหนุ่มสาวซึ่งชอบไปนั่งพลอดรักกันในสวนสาธารณะที่อยู่ในเขตของศาสนสถาน เขาจึงทำการจัดสวนหย่อมอันประกอบด้วยน้ำซึ่งให้ความชุ่มเย็น ที่นั่งที่หันหลังให้กับผู้คน รวมทั้งต้นไม้..ชิงช้า..น้ำพุและงานของฉัน
เขายินดีที่จะมีหนุ่มสาวมานั่งพลอดรักกัน ณ สถานที่แห่งนี้ มากกว่าจะไปนั่งอยู่ในเขตของศาสนสถาน..
"องุ่น ปั้นไปได้เลยเต็มที่..ตรงไหนโป้ก็โป้ ไม่ต้องปิดไม่ต้องซ่อน ทำไปตามที่อยากทำ ให้เห็นเป็นหญิงสาวที่มีทั้งความงาม ความเป็นแม่..และความชรา..เป็นไปตามธรรมชาติของผู้หญิงไม่ต้องปิดไม่ต้องซ่อน..."
ฉันน้อมรับฟังด้วยความรู้สึกอันแสนขอบคุณในความมีน้ำใจที่เขามีต่อสังคมและเปิดกว้างต่อการทำงานของฉัน...
หลายเดือนผ่านมาแล้วที่งานเหล่านั้นได้ถูกติดตั้งไป แม้จะยังไม่สำเร็จพร้อมสมบูรณ์ดีนัก แต่เมื่อฉันพาใจที่ระคนเศร้าของตัวเองให้ได้ไปพบเห็น ฉันรู้สึกดีใจที่ได้ไปนั่งอยู่เงียบๆ ท่ามกลางอากาศอันร้อนอบอ้าวจากแสงแดดภายนอกตัวอาคาร แต่ที่ตรงนั้นกลับชื่นเย็นด้วยกระแสของน้ำ..กลับเพลิดเพลินด้วยภาพของหญิงสาวที่กำลังไกวตัวเองอย่างสบายใจบนชิงช้าริมน้ำ..
ชวนให้คิดด้วยภาพของชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งกำลังนั่งเหม่อมองไปยังกลุ่มรูปปั้นของฉันที่อยู่ท่ามกลางน้ำพุเหล่านั้น..ว่าเขากำลังปล่อยใจไปที่ใด
เย็นตา..ด้วยภาพของหญิงสาวที่กำลังนั่งคอยใครบางคน.... และชุ่มเย็นด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบใจของตัวเองที่หญิงสาวผู้ไม่มีชิ้นใดสมบูรณ์หรืองามพร้อม ในงานปั้นของฉัน ถูกจัดวางอย่างให้เกียรติ และเธอเหล่านั้นได้อยู่ท่ามกลางผู้คนที่กำลังพักผ่อนหย่อนใจ และได้มีส่วนร่วมในการทำให้วันเวลาแห่งการหยุดพักของผู้คนในเมืองมีความหมายมากยิ่งขึ้น..
ในขณะที่ความสุขและความทุกข์ ความสมหวังและความผิดหวัง ความพอใจหรือไม่พอใจนั้นก็ยังคงผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผันผ่านเข้ามาในชีวิตอันเปรียบดังฤดูกาล...
ถ่ายภาพโดย : มณีดิน
รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม
จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี
ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด
ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี
เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า
“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ
รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข
ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”
ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW
ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com
และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews