xs
xsm
sm
md
lg

ไม่พลัดพรากจากตัวเอง : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม

หลังแก้วลายดอกกุหลาบใบนั้น...มันคือภาพถ่ายของฉัน ฉันมองไปที่ดวงหน้าของตนเองในภาพอย่างไม่ได้ตั้งใจในขณะที่กำลังเอื้อมมือจะไปหยิบแก้ว...ฉันสะดุดกับดวงตาของผู้หญิงในภาพถ่ายเก่าใบนั้น ซึ่งก็คือตัวฉันเอง..ฉันเป็นผู้หญิงที่ไว้ผมยาวและเขียนคิ้วสีดำเข้ม อยู่บนภายใต้ดวงตาคู่อ่อนหวานแต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความดื้อดึง ในภาพนั้นฉันมีอายุยี่สิบแปด

เลข 28 สำหรับฉันในวันนั้นซึ่งเคยรู้สึกว่ามาก...และฉันในวันนั้นไม่เคยล่วงคิดมาก่อนเลยว่า มันกลับดูเป็นเลขอายุที่น้อยนิดสำหรับฉันในวันนี้ที่ได้มีอายุล่วงผ่านวัยวัน มาจนถึงวัย 47 ปี


ฉันในวันนี้มองไปที่หญิงสาวในภาพ คือตัวของฉันเองในวันก่อน แล้วรู้สึกรักเธออย่างจับใจ รักในความกล้าหาญ และขาดเขลา รักในความไม่เดียงสา และความดื้อดึงเอาแต่อารมณ์ รักในความอ่อนโยนและมองโลกในแง่ดีของเธอ... เธอเป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งที่ไม่ได้แต่งกายงามตามแฟชั่น เธอสวมเพียงเสื้อยืดและกางเกงยีนส์ สวมเครื่องประดับเล็กน้อยคือ สายสร้อยกำไล และต่างหู

ในภาพนั้นเป็นวันที่เธอไปอยุธยา...ในวันหยุดทำงาน เธอมักจะชอบขับรถพาตัวเองออกไปเที่ยวในจังหวัดรอบนอกที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ หรือชานเมืองเสมอๆ

ฉันนึกย้อนไปถึงการขับรถออกต่างจังหวัดในครั้งแรกตามลำพังของเธอ สถานที่ๆ เธอตั้งใจจะไปนั้นคือ จ.อยุธยา อีกเช่นกัน

เธอขับรถเรื่อยๆ ออกจากบ้านย่านตลิ่งชันไปยังเส้นทางสายบางบัวทอง แล้วแล่นออกไปทาง จ.ปทุมธานี แล้วจับพลัดจับผลูขับไปถามไปเรื่อยเข้าไปถึงวัดเจดีย์หอย...หนทางทั้งเปลี่ยวทั้งกันดารและเป็นถนนลูกรังขรุขระ เธอขับไปก็ลุ้นตัวเองไปอย่างหวาดวิตก ว่ามันจะหลงทางหรือไม่...จะย้อนกลับก็ไกล จะไปข้างหน้าก็กลัว...แต่ในที่สุดเธอก็ไปถึงท่าแพขนานยนตร์ข้ามแม่น้ำที่จะพารถข้ามฝั่งไปถึงหนทางแห่งจังหวัดอยุธยาได้อย่างทุลักทุเลจนได้

เมื่อถึงอยุธยาเธอเดินเที่ยวอยู่ตามวัด แล้วจึงลงเอยด้วยการขับรถกลับบ้านมาทางสายเอเชีย และเธอก็ได้รู้จักกับการหลับในเป็นครั้งแรกในชีวิต..รถเก๋งคันน้อย เพียงวูบไถลเลื่อนไปโดยไม่ทันรู้ตัวอย่างน่ากลัว ในขณะที่เธอง่วงแต่ยังฝืนทนขับรถต่อ...เธอแสนตกใจและรีบจอดพักข้างทาง และประคองใจตัวเองขับรถไปจนถึงปั๊มน้ำมัน แล้วซื้อกระทิงแดงดื่มเพื่อให้คลายหายจากอาการง่วง...และนั่น..คือฉันในวันนั้น

แม้ ไม่ใช่คนสวยประดุจนางงามแต่เมื่อยามเวลาไปไหนๆ เธอสังเกตุตัวเองมาตั้งแต่เริ่มโตเป็นสาวว่า เวลาไปไหนๆ มักมีคนชอบมองเธอ แต่เธอก็มักจะวางท่าทีเฉยๆ แต่ในท่าทีเรียบเฉยนั้นเธอก็มีความภูมิใจในตัวเองอยู่ไม่น้อย

ในวัยสาวเธอเห็นเพื่อนๆ หลายต่อหลายคนต่างรอคอยความรักแต่เธอไม่เคยต้องรอคอยความรัก เพราะมักจะมีคนมาชอบพอหลงรักเธอเสมอๆ..ไม่เคยขาด แต่ทว่าเธอกลับมองไม่เห็นคุณค่าของความรักของคนเหล่านั้น ในส่วนลึกของจิตใจ เธอต้องการที่จะเป็นผู้ที่รู้สึกว่า "เหนือกว่า" อยู่เสมอ แม้ในเรื่องของความรัก

แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะเป็นสาวสวยที่ไม่มีหัวจิตหัวใจ เธอแสนอ่อนไหวและเชื่อคนง่าย เธอเคยรู้สึกผิดบาปต่อคนรักคนแรกผู้แสนดีของเธอ และเธอก็ยอมขับรถไปจอดเงียบๆ ที่ลานพระบรมรูปทรงม้าในหัวค่ำของคืนวันหนึ่ง แล้วร้องไห้อธิษฐานบอกขอให้ความเศร้าโศรกเสียใจอันใดที่เกิดจากการผิดหวังในความรักของเขา ซึ่งเกิดจากการกระทำของเธอนั้น จงบังเกิดขึ้นกับเธอแทน...และนั่น..ก็คือฉันในวันนั้น



ฉันนึกย้อนไปในเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ ที่ฉันได้ผ่านมาในอดีต แล้วฉันก็รู้สึกแสนจะรักและสงสารเธอ..จนอยากจะโอบกอดเธอ...คือตัวของฉันเอง หญิงสาวผู้มีอายุ 28 ปี ในภาพผู้นั้น... ก็วันเวลาเหล่านั้นเธอยังเยาว์ ยังเขลา ขาดที่พึ่งและเต็มไปด้วยความไม่รู้ หลายสิ่งหลายอย่างที่เธอได้เคยตัดสินใจอย่างโง่เขลาไปด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดของตัวเอง ฉันกล่าวขอให้เธอจงให้อภัยตัวเองเสีย ในความพลั้งพลาดหลายประการในชีวิตที่ผ่านมา...มันไม่ใช่ความผิดบาป แต่มันเป็นความไม่รู้และอ่อนประสบการณ์ของชีวิต

ฉันในวันนี้ยืนมองภาพตัวเองในวันเก่าๆ ที่ผ่านมา ด้วยความรักและเข้าใจในตัวเอง
ความรู้สึกหนึ่งได้ผุดขึ้นมาอย่างเด่นชัดเกินกว่าคำใดๆ นั่นคือคำว่า "ฉันรักเธอ"

ฉันรักเธอและจะทำแต่สิ่งดีๆ ให้กับเธอ..
เธอเหนื่อยและผ่านการเรียนรู้มามากแล้ว
ตอนนี้เธอไม่ต้องเหนื่อยมากเท่ากับเมื่อก่อนอีกแล้ว

"ฉันในวันนี้ ได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและจะปกปักรักษาเธอ ฉันจะทำความดีความงามให้กับเธอ"

บ่อยครั้งที่เหตุการณ์ต่างซึ่งผันผ่านเข้ามาในชีวิต ดูราวจะเป็นบททดสอบให้กับเรา ทั้งพ่ายแพ้ และทั้งผันผ่านมาได้อย่างมีชัยชนะ

สิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นองค์ประกอบที่ทำให้เรากลายเป็นมนุษย์ที่ได้เติบโตขึ้น....อย่างเช่นเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งได้สนทนากับพี่ผู้หญิงท่านหนึ่งซึ่งไม่ได้พบกันมาเป็นเวลานานสิบกว่าปีแล้ว จากบทสนทนาสั้นๆ ระหว่างเรายิ่งทำให้ฉันตระหนักแก่ใจตัวเองว่า..ฉันได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น..

หลายๆ เหตุการณ์ที่ฉันเคยมองคนอื่นๆ หลายๆ คนอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจในชีวิตอย่างนั้น..ในเวลานั้น แต่เมื่อถึงเวลานี้เมื่อมีเหตุการณ์ในชีวิตของตนเองที่เกิดขึ้นคล้ายๆ กันมาให้ประสบ..ฉันจึงได้เข้าใจคนเหล่านั้นที่ฉันเคยไม่เข้าใจพวกเขา...ว่าเพราะอะไรเขาจึงตัดสินใจเช่นนั้นในชีวิต...และฉันจึงรู้จักกับคำว่า "เคารพในการตัดสินใจ" และจะไม่ไปคิด"ตัดสิน" การตัดสินใจใดๆ ของคนอื่นๆ อีกต่อไป เพราะทุกๆ อย่างในการกระทำของคนคนหนึ่งนั้น มันมีเหตุผลที่รองรับอยู่เสมอ เพียงแต่เราต้องใช้เวลาที่จะเข้าใจมัน...

ชีวิต..สอนฉัน ในหลายๆ เรื่องๆ แม้เรื่องของความพลัดพราก ฉันเคยเจ็บปวดกับการพลัดพราก พลัดพรากจากกันทั้งยังมีชีวิตลมหายใจ แต่ไม่เคยกลับมาพานพบกันอีก ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ตายจากกัน มันช่างแสนเจ็บปวดในระยะแรก แต่กาลเวลาก็ทำให้เราดีขึ้นในที่สุด...

ชีวิต..สอนฉันในความพลัดพรากจากกัน ด้วยการตายจาก มันช่างแสนเศร้า...เมื่อความตายของสิ่งที่เรารักได้อุบัติขึ้น มันช่างไม่มีหนทางใดๆ ที่จะหยุดยั้งหรือนำพาชีวิตให้หวนกลับมาพบกันได้อีกเลย..และไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่เรารักนั้นไปอยู่เสียที่ไหน ไม่มีหนทางใดๆ ที่จะติดต่อหรือสื่อสาร..และกาลเวลาอีกเช่นกันที่ก็จะทำให้ความเศร้าค่อยๆ เจือจางลง แต่ทว่ากาลเวลาไม่สามารถพรากสิ่งที่เรารักไปจากความทรงจำของเราได้

ฉันในวันนี้ยืนมองภาพถ่ายของตัวเองในวันก่อนเก่า..และบอกกับตัวเองว่า ไม่ว่าจะต้องพลัดพรากจากอะไรๆ อีกกี่ครั้งกี่หนก็ตาม แต่สิ่งที่เราจะไม่มีวันพลัดพรากจากกัน ระหว่างฉันกับเธอ นั้นคือ เราจะไม่มีวันพลัดพรากจากความเป็นตัวของเราเอง...

ภาพถ่ายโดย : มณีดิน


รู้จัก... องุ่น เกณิกา สุขเกษม

จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยสยาม เคยทำงานเป็นสาวแบงค์ นาน 7 ปี

ปี 2540 เป็นต้นมา หันมาจับเศษดินปั้นเป็นหญิงสาวมากจริต จนได้รับการยอมรับ และรู้จักในฐานะประติมากรหญิงผู้ไม่เคยผ่านการเรียนศิลปะจากรั้วสถาบันใด

ขณะนี้องุ่นใช้ชีวิตและทำงานประติมากรรม อยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันร่มรื่นของบ้านริมแม่น้ำน้อย จ.สิงห์บุรี

เป็นชีวิตที่สมถะ เรียบง่าย สบายๆ แม้ไม่ได้สบายด้วยวัตถุ ดังที่เธอเคยให้สัมภาษณ์ ART EYE VIEW เมื่อหลายปีก่อนว่า

“สบายด้วยอากาศ ด้วยต้นไม้ และมีอิสระ ทุกวันนี้ทำงานปั้นดิน และเผาเองทุกชิ้น ส่วนชิ้นไหนที่เห็นเหมาะเห็นชอบ ก็จะนำไปหล่อที่โรงหล่อ

รู้สึกเป็นตัวของตัวเองมากเลย เวลาที่ทำงาน เพราะอะไรที่มันเป็นชีวิตเรา เป็นความรู้สึกนึกคิดของเรา พอได้ทำเป็นงานออกมาแล้วมีความสุข

ถ้าช่วงไหนไม่ได้ทำงานปั้น มันเหมือนชีวิตเราหมดคุณค่า และอัดอั้น เพราะเรามีความรู้สึกที่ต้องระบายออกมา”

ติดตาม คอลัมน์ : เรื่องเล่าในเงาดิน โดย : องุ่น เกณิกา สุขเกษม ได้ทุกอาทิตย์ ทาง ART EYE VIEW

ส่งข่าวสารงานศิลปะร่วมสมัย มาได้ที่ ข่าว ART EYE VIEW ของ www.astvmanager.com และ ART EYE VIEW เซกชัน Lite ในหนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ Email: thinksea@hotmail.com

และคลิกเป็น แฟนเพจ ได้ที่ http://www.facebook.com/arteyeviewnews


กำลังโหลดความคิดเห็น