ปีกมงกุฎ ตอนที่ 1
บทประพันธ์ : ไปรยา
บทโทรทัศน์ : น้องนุช ชวาลา
กำกับการแสดง : มารุต สาโรวาท
แนวละคร : เมโลดราม่า
ผลิต : บริษัท มาสเคอเรด จำกัด โดย มารุต สาโรวาท
ออกอากาศ : จันทร์-อังคาร เวลา 20.20 น. ทาง ช่อง 7 สี
ระยะเวลาออกอากาศ : เริ่มตอนแรก จันทร์ที่ 26 พ.ค. พ.ศ. 2557
ประกายเพชรต้องแสงไฟ ส่องประกายวิบวับ มงกุฎเพชรสวยงามนั้นวางอยู่บนที่ตั้งซึ่งหมุนได้รอบตัว มีผ้ากำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มรองอยู่ ยิ่งทำให้มงกุฎในฝันของสาวสวยทั่วประเทศ แลดูงดงามและโดดเด่นมากยิ่งขึ้น
ไม่ไกลกันนัก มีโมเดลบ้านทรงโมเดิร์น และ โลโก้รูปกุญแจรถยนต์ อันเป็นของรางวัลใหญ่ในการประกวด นางสาว ณ สยาม ประจำปี 2557 นี้ ที่สถานีโทรทัศน์ ไทยเท็น (Thai 10) โดย คุณดิษฐ์ เบญจาบูรณี กรรมการผู้จัดการ จัดงานแถลงข่าวขึ้น ในบ่ายวันนี้ ณ ห้องแถลงข่าวของช่อง ท่ามกลางกองทัพสื่อที่มาทำข่าวกันอย่างล้นหลาม
นักข่าวหญิง 1 ท่าทีแคล่วคล่อง ยืนถือไมค์ที่มีป้ายโลโก้ “ข่าว Thai 10” ติดอยู่ เปิดฉากรายงานข่าว
“คุณผู้ชมคะ...ขณะนี้ดิชั้นกำลังอยู่ในงานแถลงข่าว การประกวด นางสาว ณ สยาม ประจำปี 2557 เป็นการประกวดเพื่อสรรหาหญิงไทยที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติ ไม่ว่าจะเป็น ความสวย ความรู้ ความสามารถ ไหวพริบปฏิภาณ และที่สำคัญเธอจะต้องเป็นผู้หญิงที่เป็นแบบอย่างที่ดีในสังคมด้วยค่ะ”
นักข่าวหญิงนางนั้นเหลียวนำสายตาไปที่มงกุฎเพชรข้างโต๊ะแถลงข่าว “และภาพที่คุณผู้ชมเห็นอยู่ในขณะนี้คือ มงกุฎเพชร มูลค่ากว่าหนึ่งล้านห้าแสนบาท สำหรับสาวงามผู้ที่ได้รับตำแหน่ง เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะได้ครอบครองค่ะ และนอกจากมงกุฎเพชรแล้วก็ยังมีรางวัลต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว และรถยนต์ มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาทค่ะ...โดย คุณดิษฐ์ เบญจาบูรณี ผู้บริหารระดับสูงของช่อง Thai 10 ในฐานะผู้อำนวยการการประกวด ได้กล่าวถึงการประกวดในครั้งนี้ค่ะ”
คุณดิษฐ์ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน “สำหรับการประกวด ในปีนี้ เราจัดขึ้นภายใต้แนวคิด "งามอย่างไทย งามไกลทั่วโลก" ผมต้องการให้นางสาว ณ สยาม เป็นตัวแทนของสาวไทยไปประกวดเวทีระดับโลก เพื่อประกาศให้นานาชาติได้รู้ว่าผู้หญิงไทย งามทั้งภายนอกและภายใน มีคุณสมบัติครบถ้วน”
นักข่าวหญิง 1 หันหน้ามาทางกล้อง รายงานต่อว่า “นับว่าเป็นอีกหนึ่งเวทีที่เปิดโอกาสให้สาวไทยได้รับประสบการณ์ดีๆให้กับตัวเองนะคะ...เพราะนอกจากของรางวัลที่มีมูลค่ากว่าสิบล้านแล้ว เธอยังได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวดในเวทีนานาชาติ และยังมีโอกาสได้เป็นนักแสดงในสังกัดสถานีโทรทัศน์ Thai 10 ด้วยค่ะ...คุณผู้ชมสามารถเกาะติดข่าวสารทุกความเคลื่อนไหว ตั้งแต่วันเปิดรับสมัครสาวงาม จนถึงวันตัดสินว่าใครจะได้เป็น นางสาว ณ สยามประจำปี 2557 ได้ทางช่อง Thai 10 ค่ะ ศรศรี มณีศิลป์ รายงานค่ะ”
ภายในร้านทำผมหรูเจ้าประจำ สลิลทิพย์ กำลังทำผมอยู่โดยช่างฝีมือดี มี เอมม่า เจ้าของร้าน คอยดูแล สลับกับดูข่าวการประกวดนางงามในโทรทัศน์ไปด้วย ก่อนจะหันมาพูดกับสลิลทิพย์
“คุณสลิลน่าจะส่งคุณน้องอร เข้าประกวดนะฮะ” เอมม่า หมายถึง อรสินี
สลิลทิพย์ สาวใหญ่ใบหน้างดงามสมวัยเงยหน้าขึ้นจากปกนิตยสารแฟชั่น มองไปที่จอทีวี ท่าทีไม่สนใจนัก
“นางสาว ณ สยาม นี่น่ะเหรอ”
“ฮ่ะ เป็นเวทีการประกวดนางงามที่ไฮโซมากนะฮะ รางวัลก็เริด” เอ็มม่าว่า
สลิลทิพย์เยื้อนยิ้มนิดๆ “ต้องกลับไปถามเจ้าตัวเค้าก่อนว่าสนใจรึเปล่า”
“บอกคุณน้องอรสินีเถอะฮ่ะ คุณสลิล ว่าถ้าได้ตำแหน่งล่ะก้อ ไม่ใช่เป็นบันไดนะฮะ แต่เป็นลิฟท์เลื่อนขึ้นไปเลยล่ะฮ่ะ ทั้งชื่อเสียง เงินทอง โอกาสด้านธุรกิจ อูย รับรองว่าธุรกิจของคุณสลิล รั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่แน่นอนฮ่ะ” เจ้าของร้านทำผมชื่อดัง คอนางงาม เชียร์สุดลิ่ม
สลิลทิพย์หัวเราะเบาๆ เอมม่า กดเครื่องอบผมครอบให้ ก่อนจะหันไปทางหน้าร้าน เห็นดารินทร์เดินเข้ามาอย่างมีมาด ในมือถือแก้วกาแฟ เอมม่ารีบหันไปจ๊ะจ๋าต้อนรับแขกทันที
“สวัสดีฮ่ะ...คุณดา...หายไปนาน น้าน นาน...นะฮะ....นึกว่าจะลืมเอมม่าแล้วซะอีก...สบายดีนะฮะ”
“ก็เรื่อยๆ”
ดารินทร์มองไปเห็นสลิลทิพย์พอดี สลิลทิพย์เองก็มองมายังดารินทร์ ทั้งคู่ตกใจ คาดไม่ถึง โดยเฉพาะสลิลทิพย์ เป็นดารินทร์ตั้งหลักได้ก่อน มือที่ถือแก้วกาแฟเย็นเกร็งแน่น
“แต่วันนี้สงสัยจะก้าวเท้าผิดก่อนออกจากบ้าน” ดารินทร์พูดเป็นนัย
“อุ๊ยต๊าย....จริงเหรอคะ”
“จริงซิ....ก้าวเท้าผิด ทำให้เจออะไรซวยๆ ได้”
ดารินทร์พูดไปก็เดินไปจะนั่งเก้าอี้ตัวข้างๆ สลิลทิพย์ แต่ดารินทร์เกิดสะดุดขาตัวเอง จนหน้าคะมำไปข้างหน้า แก้วกาแฟเย็นในมือหกกระจายไปทางสลิลทิพย์
ดารินทร์ตกใจร้อง “ว้าย”
เช่นเดียวกับสลิลทิพย์ “ว้าย”
ต่างคนต่างตกใจ ดารินทร์นั้นตกใจเนียนมาก เหมือนเป็นอุบัติเหตุจริงๆ ส่วนสลิลทิพย์กรี๊ดต่ออย่างโกรธจัดลุกขึ้นพรวด แต่หัวไปกระแทกที่อบผมอย่างแรงทรุดตัวลงไปอีก
“ว้าย...” สลิลทิพย์ร้องโวยวายมากขึ้น
เอมม่าถลันมาดูแล “คุณสลิล....เดี๋ยวค่ะ ใจเย็น เอมม่าช่วยค่ะ”
เอมม่ายกเครื่องอบผมออก สลิลทิพย์ลุกขึ้นพรวดทันที มองดารินทร์ตาขวาง
“อีบ้า...เลอะเทอะหมดเลย...แก...แกแกล้งชั้นใช่ไม๊”
สลิลทิพย์ขยับจะพุ่งเข้าไปหา แต่เอมม่าเข้ามาขวางไว้ก่อน
“คุณสลิล...อย่าค่ะ...อย่า...เอมม่าว่าไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนดีกว่าค่ะ”
สลิลทิพย์ยังมองดารินทร์อย่างโกรธแค้น แต่ดารินทร์เหยียดยิ้ม ทำหน้าเยาะหยันสมเพชสารรูปของสลิลทิพย์ เอมม่ามัวแต่กันสลิลทิพย์อยู่ จึงไม่เห็นสีหน้าดารินทร์
“ทางนี้ค่ะ....มากับเอมม่านะคะ”
เอมม่าพยายามลากสลิลทิพย์ไป ส่วนดารินทร์เปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มเยาะเป็นแค้นใจ และสะใจในที่สุด
สลิลทิพย์เดินเข้ามาในลานจอดรถท่าทางหงุดหงิดเต็มที่ เสื้อผ้าเปียกน้ำเป็นหย่อมๆ สีหน้าบึ้งตึง เดินมาอย่างอารมณ์เสีย บ่นพึมพำอย่างแค้นใจ
“นังบ้า...ซวยจริงๆ”
เสียงดารินทร์ดังมาจากด้านหลัง “ใช่...ซวยจริงๆ”
สลิลทิพย์หันขวับไปมองเห็นดารินทร์ยืนอยู่ สลิลทิพย์ขยับจะพุ่งเข้าไปตบด้วยความโกรธจัด
“นังดารินทร์”
ดารินทร์ล้วงกระเป๋าหยิบเครื่องช็อตไฟฟ้าออกมาขู่กลับ
“เข้ามาซิ...ตบชั้นเจอช็อตแน่”
สลิลทิพย์ชะงักค้าง ไม่กล้าเข้าไป เพราะดารินทร์ดูเหมือนจะเอาจริง ดารินทร์มองซ้ายมองขวา มีคนเดินผ่านมามองสองคนอย่างสงสัย แล้วเดินเลยไป
ดารินทร์เยาะเย้ย “อยากขึ้นหน้าหนึ่ง เพราะทำร้ายร่างกายชั้น ก็เอาซิ...เข้ามาเลย”
“อีบ้า...อีปีศาจ” สลิลทิพย์ด่า
ดารินทร์เบ้ปาก “ทำไม อีไฮโซ...เจอกาแฟเย็นราดเข้าไป เปลือกผู้ดีถึงกับเปื่อยเลยเรอะ”“มันจะมากไปแล้วน่ะ นังดารินทร์...ผู้หญิงต่ำๆ อย่างแก ชั้นพูดด้วยก็ถือว่ากรุณามากแล้ว...หลีกไปชั้นไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงแพศยาอย่างแก”
“จะรีบไปไหนล่ะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน...” ดารินทร์ทำท่าคิด “น่าจะคุยรื้อฟื้นความหลังกันหน่อย”
“ชั้นไม่มีความหลังกับคนอย่างแก...นังเมียน้อย”
ดารินทร์ไม่สะท้าน เลิกคิ้ว พูดยั่วโทสะ “เมียน้อยเหรอ...แหม...เรียกแบบนี้ทำเอาชั้นคิดถึงผัวหล่อนขึ้นมาตะหงิดๆ เลย”
ได้ผล สลิลทิพย์ยิ่งแค้นใจ “อีหน้าด้าน”
“ถึงชั้นจะหน้าด้าน แต่ชั้นก็ไม่เคยคิดทำร้ายใคร...ไม่เหมือนอีผู้หญิงที่ฉาบหน้าเป็นผู้ดี...แต่เบื้องหลังจิตใจต่ำทราม ชั่วร้าย อำมหิตเกินคน”
สลิลทิพย์ตวาด “หยุดนะ...นังดารินทร์”
“ชั้นไม่มีวันลืมเรื่องที่แกทำกับชั้นหรอกนะ..นังสลิลทิพย์” ดารินทร์เค้นคำ
“ชั้นก็อยากให้แกจำใส่กะโหลกไว้ จำไว้ให้แม่น...ว่าอย่ามายุ่งกับคนของชั้น เพราะเมื่อไหร่ที่แกมาฉกผัวชั้นอีก...เมื่อนั้นแกไม่รอดแน่”
ดารินทร์ทำลอยหน้ากวนใส่ “เหรอ...ชั้นกลัวนะเนี่ยะ...กลัวมากด้วย...” แล้วสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแค้นใจ “ที่ผ่านมาชั้นอาจจะไม่ทันความร้ายกาจของแก แต่คราวนี้” ดารินทร์จ้องตาสลิลทิพย์ “ชั้นเอาคืนแน่”
สายตาดารินทร์มองเลยไปเหมือนเห็นใครบางคน จึงเดินเฉียดไหล่สลิลทิพย์ไป ไหว้ทักใครคนนั้นเสียงอ่อนเสียงหวาน
“คุณอาชัญ....สวัสดีค่ะ”
สลิลทิพย์เหลียวขวับมาทันที เห็นอาชัญ ผู้เป็นสามี เดินมา ในขณะที่ดารินทร์เดินเข้าไปเกาะแขนอาชัญอย่างสนิทสนม ส่วนอาชัญงงๆ เพราะไม่คิดว่าจะเจอดารินทร์
“ดา...”
ดารินทร์ยิ้มหวานทัก “ดีใจจังเลยค่ะ...ที่ได้เจอคุณ...คิดถึงคุณนะคะ”
สลิลทิพย์ก้าวเดินฉับๆ เข้ามาหา ดารินทร์ไม่สะทกสะท้าน ยังคงมองอัญชัญตาหวานฉ่ำ
“เสียดายจังเลย...วันนี้ไม่สะดวก...ไม่งั้นจะชวนคุณไปรำลึกความหลังซะหน่อย” พูดพลางปรายตามองสลิลทิพย์ “เอาไว้โอกาสหน้าแล้วกัน...ดาไปก่อนนะคะ...บ๊าย”
ดารินทร์เดินแยกไป อาชัญมองตามดารินทร์ไปยังงงๆ สลิลทิพย์กระชากแขนอาชัญอย่างโกรธๆ
“จะมองมันทำไม...ไป...ไปได้แล้ว”
สลิลทิพย์ลากแขนอาชัญไปอีกทาง ส่วนดารินทร์เดินไปต่อด้วยสีหน้าสะใจ
ไม่นานต่อมา รถของอาชัญแล่นมาจอดหน้าคฤหาสน์หลังใหญ่ สลิลทิพย์เปิดประตูเดินเข้าไปในตัวบ้านก่อน อาชัญเปิดประตูเดินตามเข้าไปในบ้าน
สลิลทิพย์เดินเข้ามาในห้องโถงรับแขก น้อย สาวใช้ซึ่งได้ยินเสียงรถ เดินออกมาจากด้านในบ้าน คุกเข่ารับใช้ สลิลทิพย์พูดเสียงเข้มหน้าบึ้ง
“น้อย...แกออกไปก่อน”
“ค่ะ”
น้อยขยับเดินออกไป อาชัญเดินเข้ามาพอดี สลิลทิพย์หันขวับไปหา
“รู้ไม๊ว่านังดารินทร์มันทำอะไรกับชั้น มันแกล้งเอากาแฟเย็นมาราดหัวชั้นนี่ เจ็บใจจริงๆ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ มันคงกล้าทำแบบนี้กับชั้นหรอกนะ”
อาชัญถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ผมเห็นคุณนั่งเงียบมาตลอดทาง นึกว่าจะสงบอก สงบใจได้”
“ชั้นไม่อยากอาละวาดในรถ เดี๋ยวจะพากันไปตายซะเปล่าๆ ตอบชั้นมา คุณยังติดต่อกับนังดารินทร์อยู่รึเปล่า”
อาชัญถอนใจยาว “ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับดารินทร์มานานแล้ว คุณก็รู้ จะถามให้มันได้อะไรขึ้นมา”
“ให้มันได้ความสบายใจไง ว่าคุณไม่ได้วกกลับไปกินของเก่าเน่าบูดนั่น”
อาชัญชักเอือมพูดตัดบท “ผมว่าคุณไปแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยวจะไปงานคืนนี้ไม่ทัน ผมไม่อยากไปสาย”
สลิลทิพย์คาดโทษ “อย่าให้ชั้นรู้น่ะว่าคุณยังแอบติดต่อกับมันอยู่”
“ก็รู้ๆ กันอยู่ว่าตอนนี้ดารินทร์ไปอยู่กับใคร คุณจะมาบี้ผมให้เสียอารมณ์ไปทำไม”
อาชัญย้อน พร้อมกับส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วเดินแยกไปอีกทาง สลิลทิพย์ค้อนตาคว่ำตามหลังไปแล้วเดินแยกไปอีกทาง
ค่ำคืนนั้น บรรยากาศในงานเลี้ยงขอบคุณสปอนเซอร์และคณะกรรมการตัดสินนางงาม ณ สยาม ของ ช่อง ไทย เท็น คึกคัก คุณดิษฐ์ยืนคุยกับแขกอยู่ มี มุกตาภา ลูกสาวคนสวย ยืนอยู่ใกล้ๆ มีช่างภาพมาถ่ายบรรยากาศในงาน ดิษฐ์มองไปเห็นนายพลอัศวิน เดินคู่มากับดารินทร์
“ท่านนายพลอัศวินมาแล้ว ให้เด็กตามไปเก็บภาพด้วยนะ” คุณดิษฐ์พูดล้อเล่นบุตรี “อย่าให้เสียชื่อคู่หมั้นลูกชายท่านล่ะ”
มุกตาภาหันไปมอง แอบเบ้ปากนิดๆ ก่อนจะหันมายิ้มกับดิษฐ์
“ค่ะ แต่ขอถ่ายเฉพาะคุณพ่อกับคุณลุงอัศวินนะคะ”
ดิษฐ์ส่ายหน้านิดๆ ปราม “ไม่เอาน่า ใจกว้างหน่อย ความสุขของว่าที่พ่อสามีน่ะ”
พูดจบดิษฐ์ก็เดินผ่านมุกตาภาไป มุกตาภามองตามไปสายตาจ้องจับที่ดารินทร์อย่างเหยียดหยัน
ขณะที่นายพลอัศวินกำลังรับไหว้แขกในงาน โดยมีดารินทร์ยืนอยู่ข้างๆ คุณดิษฐ์เดินเข้ามาทัก
“สวัสดีครับ...ท่าน”
“สวัสดีคุณดิษฐ์” ท่านนายพลทักตอบ
“ขอบคุณนะครับ ที่ให้เกียรติมา ผมทราบว่าช่วงนี้ท่านงานเยอะมาก”
“เฮ้ย...เยอะแค่ไหนก็ต้องมา ใช่ไม๊ คุณดา”
ดารินทร์ยิ้มหวาน “ใช่ค่ะ ดิชั้นได้ยินท่านสั่งเลขาฯ ว่าให้เคลียร์งานอื่น เลื่อนให้หมดเพราะต้องมางานของคุณดิษฐ์”
คุณดิษฐ์หัวเราะชอบใจ “ขอบคุณมากครับ”
“ไม่ว่าจะเหตุผลเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องหน้าที่ ยังไงผมก็ต้องมา” นายพลอัศวินว่า
มุกตาภาเดินเข้ามา ยกมือไหว้อัศวิน ช่างภาพเห็นก็เข้ามาบันทึกภาพ
“สวัสดีค่ะ คุณลุง”
“สวัสดีจ้ะ นี่ไง...ส่วนตัว งานของคู่หมั้นลูกชายผม ยังไงผมก็ต้องมา ใช่ไม๊ หนูมุก” ท่านนายพลสัพยอก
มุกตาภายิ้มนิดๆ “ค่ะ ขอบพระคุณคุณลุงมากค่ะ”
“ตามหน้าที่ ก็ในฐานะกรรมการตัดสินนางงามไง...ใช่ไม๊ คุณดิษฐ์”
“ครับผม”
มุกตาภาเหลียวไปทางหนึ่ง หันมาพูดเบาๆ กับบิดา “คุณพ่อคะ...คุณน้าอาชัญมาค่ะ”
คุณดิษฐ์หันไปมองตามแล้วหันมาทางนายพลอัศวิน และดารินทร์
“ผมขอตัวก่อนนะครับ เชิญท่านกับคุณดารินทร์ตามสบายนะครับ”
“ไม่ต้องห่วง...คุณไปรับแขกเถอะ”
มีแขกชาย 1 เดินเข้ามาทักทายคุยกับนายพลอัศวิน ขณะคุณดิษฐ์เดินไปกับมุกตาภา ดารินทร์ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ อัศวิน หันไปมองพบว่าเป็นใคร แววตาก็วาววับ เอาเรื่องขึ้นมาทัน
อาชัญเดินเข้ามาจับมือทักทายคุณดิษฐ์ มุกตาภา ก็เข้ามายกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณดิษฐ์”
“สวัสดีครับ”
มุกตาภายิ้มหวาน “สวัสดีค่ะ คุณน้า”
“สวัสดีจ้ะ” อาชัญรับไหว้ แล้วหันมาหาคุณดิษฐ์ “ยินดีด้วยนะครับ คุณดิษฐ์ ผมว่าครั้งนี้ ต้องเป็นการประกวดนางงามที่ยิ่งใหญ่แล้วก็สมบูรณ์แบบที่สุดแน่ๆ”
“ผมก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ”
มุกตาภาแทรกขึ้น “คุณน้าสลิลกับอรล่ะคะ”
“น้าเดินเข้ามาก่อน เดี๋ยวก็ตามมา”
“ค่ะ งั้นมุกไปบอกพี่นนท์ก่อนนะคะ ว่าอรมา”
อาชัญยิ้มให้แล้วหันมาคุยกับคุณดิษฐ์ต่อ
บริเวณด้านหน้าทางเข้างาน แลเห็นสลิลทิพย์เดินเข้ามา พร้อมกับอรสินี ซึ่งสวยงามเฉิดฉายในชุดราตรี เดินสง่างามเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อ่อนหวาน คนในงานเหลียวมองอรสินีอย่างชื่นชม สลิลทิพย์และอรสินีหยุดทักทายผู้คน
แขกหญิง 1 ว่า “คุณแม่ คุณลูก เดินมาด้วยกัน เหมือนพี่น้องกันเลยค่ะ”
สลิลทิพย์หัวเราะเบาๆ “อุ๊ย ขอบพระคุณค่ะ”
“หนูอร สวยขนาดนี้ คุณสลิลน่าจะส่งประกวดนะคะ” แขกหญิง 1 หันมาพูดกับอรสินี “น้าว่าหนูต้องได้ตำแหน่งนางสาว ณ สยาม แน่นอน”
อรสินียิ้มเขินๆ “คงไม่หรอกค่ะ...อรยังสวยไม่พอค่ะ”
แขกหญิง 1 หัวเราะ “แหม เข้าใจพูดนะ สวยไม่พอ”
สลิลทิพย์ขอตัว “ขอตัวไปหาคุณดิษฐ์ก่อนนะคะ”
“ค่ะ เชิญค่ะ”
อรสินียกมือไหว้แขกหญิง 1 อีกครั้งก่อนจะเดินตามสลิลทิพย์ไป แขกหญิง 1 มองตามไปก่อนจะหันมาเม้าท์มอยกับก๊วนไฮโซ
แขกหญิง 2 ว่า “เห็นวงในเค้าซุบซิบกันว่า ลูกชายคุณดิษฐ์ เทียวไล้เทียวขื่อหนูอรสินีอยู่น่ะ จริงหรือเปล่า”
แขกหญิง 1 พยักพเยิด “ก็คงจะจริงละมั้ง ลูกเศรษฐีพวกนี้ เค้าเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เรือล่มในหนอง ทองจะไปไหน”
“นั่นซิ ไม่ให้เงินกระเด็นกันเลยทีเดียว” แขกหญิง 2 ว่า
เสียงพิธีกรบนเวทีในงานดังขึ้น “สวัสดีครับ”
สองไฮโซขาเม้าท์ หยุดคุยหันไปมองทางเวทีด้านหน้า
พิธีกรยืนพูดอยู่บนเวที
“ขอต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน บุคคลสำคัญผู้ให้การสนับสนุนการประกวดนางสาว ณ สยามครับ...งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ ถือเป็นงานเลี้ยงภายในที่ผู้อำนวยการกองประกวด นางสาว ณ สยามและสถานีโทรทัศน์ไทย 10 จัดขึ้น เพื่อเป็นการพบปะท่านผู้มีเกียรติที่ร่วมมือร่วมใจ ก้าวเดินไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้การจัดประกวดนางสาว ณ สยาม เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด และในโอกาสนี้ ผมขอเรียนเชิญคุณชญานนท์ เบญจาบูรณี ทายาทของคุณดิษฐ์ เบญจาบูรณี ผู้อำนวยการกองประกวดนางสาว ณ สยาม และ กรรมการผู้จัดการ สถานีโทรทัศน์ไทย 10 ขึ้นกล่าวอะไรซักเล็กน้อยนะครับ เรียนเชิญครับ”
ชญานนท์ เบญจาบูรณี หนุ่มรูปงาม ซึ่งกำลังยืนคุยกับแขกอยู่ หันไปมองทางเวที แล้วขอตัวเดินขึ้นไป คุณดิษฐ์ ยืนอยู่กับ อาชัญ สลิลทิพย์ และอรสินี ชญานนท์ส่งสายตามองมา อรสินียิ้มให้กำลังใจ
“ก่อนอื่น ผมต้องขอขอบพระคุณท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน พันธมิตรที่ดีของสถานีโทรทัศน์ ไทย 10 มาโดยตลอด ไม่ว่าไทย 10 จะมีโปรเจ็คท์อะไร...ทุกท่านก็พร้อมจะร่วมเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุน และครั้งนี้ก็เช่นกันนะครับผมเชื่อว่าการประกวดนางสาว ณ สยาม ในครั้งนี้ จะก้าวขึ้นไปยืนเทียมหน้าเทียมตากับนานาชาติแน่นอนครับ...ผมหวังว่างานเลี้ยงคืนนี้ จะทำให้ทุกท่านมีความสุขนะครับ ขอบคุณครับ”
แขกในงานปรบมือให้ชญานนท์เกรียว ชญานนท์เดินลงมาจากเวที มุกตาภาเข้ามากระซิบ ชญานนท์พยักหน้ารับรู้
อรสินีเดินมาด้านนอกของงานเลี้ยง สักครู่หนึ่ง ชญานนท์จึงเดินออกมาหา
“น้องอร”
อรสินีหันไปมองแล้วยิ้มให้ ชญานนท์เดินเข้ามาใกล้
“ตอนที่อยู่บนเวทียังเห็นยิ้มหวานๆ ให้กำลังใจอยู่เลย เผลอแป๊บเดียวกำลังใจของพี่หายมาอยู่ตรงนี้แล้ว ดีว่ามุกมาบอกนะ ไม่งั้นพี่คงหาน้องอรไม่เจอ”
“คนเก่งอย่างพี่นนท์ ไม่ต้องให้กำลังใจตลอดเวลาก็ได้ค่ะ”
ชญานนท์ยิ้ม เย้าอย่างเอ็นดู “เบื่องานเลี้ยง เบื่อคนเยอะ ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เคยเปลี่ยนเลยนะเรา”
“ค่ะ ให้อรทำงานมากแค่ไหน อรก็ไหว นะคะ แต่ถ้าให้ออกงาน ไม่ไหวจริงๆ”
อรสินีส่ายหน้า ทำตาละห้อย ชญานนท์หัวเราะเบาๆ ขำท่าทางนั้น
“พี่นนท์ กลับเข้าไปในงานก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวน้องอรตามเข้าไปค่ะ”
“เข้าไปด้วยกันเถอะ นะ”
อรสินีมองชญานนท์ ก่อนจะพยักหน้าอย่างยอมจำนน
งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างชื่นมื่น นายพลอัศวินคุยหัวเราะหัวใคร่อยู่กับแขกชาย 1และแขก ชาย 2 มีดารินทร์ยิ้มแย้มสวยงามประดับเกียรติอยู่ข้างๆ
อาชัญซึ่งแยกมาจากแขกอีกกลุ่ม มาเจอกับสลิลทิพย์ซึ่งเดินหน้าบึ้งเข้ามาหากัดฟันพูดเบาๆ
“วันนี้เป็นวันซวยอะไรของชั้นนี่”
อาชัญ ถอนหายใจเซ็ง “ผมว่าคุณน่าจะสบายใจน่ะ”
“สบายใจเรื่องอะไรคะ เรื่องที่เห็นนังนั่นมากับท่านอัศวินน่ะเรอะ” สีหน้าสลิลทิพย์ดูถูกเต็มที่ “ผู้หญิงสีทองทั้งตัวแบบนั้น มันพร้อมจะเป็นเมียน้อยให้ผู้ชายพร้อมๆกันหลายคนอยู่แล้ว”
อาชัญมองสลิลทิพย์อย่างเอือมระอา ก่อนจะหันไปหยิบแก้วเหล้าจากบ๋อยมาดื่มแก้เซ็ง สลิลทิพย์ค้อนควักสามี
“คุณอยู่แถวๆ นี้นะ อย่าไปไหน เดี๋ยวชั้นมา”
อาชัญพยักหน้า สลิลทิพย์เดินแยกไปทางหนึ่ง
ดารินทร์ซึ่งหันมามองอยู่ตลอดเวลา มองตามสลิลทิพย์ไปอย่างมีเลศนัย
แขกในงานเลี้ยงเดินออกจากห้องน้ำ สวนกับสลิลทิพย์ซึ่งเดินเข้าไปยืนหน้ากระจก หน้าบึ้ง ท่าทางหงุดหงิดมากๆ สลิลทิพย์ถอนหายใจเฮือก เหมือนพยายามจะสงบสติอารมณ์ ซักครู่ ประตูห้องน้ำเปิด เป็นดารินทร์เดินเข้ามา มองสลิลทิพย์อย่างเยาะๆ
“นี่ถึงกับเข้ามาซุกหลบชั้นในห้องน้ำเลยเรอะ น่าสงสารจัง”
“ชั้นไม่ได้หลบ แต่ชั้นไม่อยากเห็นหน้าแก ให้เป็นเสนียดตาชั้น”
ดารินทร์หัวเราะ “คิดคำด่าได้แค่นี้นะเหรอ” หล่อนถอนหายใจก่อนจะหาเรื่องต่อ “ถ้าคิดได้แค่นี้ ชั้นว่ากลับไปยืนเฝ้าผัวดีกว่าไม๊”
ดารินทร์ขยับเดินเข้าไปใกล้ๆ สลิลทิพย์ พูดเสียงเบาลง เมื่อเห็นมีผู้หญิงเดินมาเข้าห้องน้ำ
“แล้วชั้นจะบอกให้น่ะ เสนียดในตัวชั้น มันเทียบกับความเลวทรามต่ำช้าของผู้หญิงที่ฉาบหน้าว่าเป็นไฮโซ ผู้ดี แต่การกระทำโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างแกไม่ได้เลย ถ้าวันนั้นชั้นตายไป แกมันก็คือฆาตกร”
สลิลทิพย์โต้เสียงเบาแต่เข้ม “แกพูดเรื่องอะไร อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีชั้นนะ”
“ชั้นจะใส่ร้ายแกทำไม วันนี้แกมีอะไรมั่ง ผู้ชายข้างตัวก็เทียบกันไม่ติด ธุรกิจก็เทียบกันไม่ได้ รูปร่างหน้าตาก็...” พลางดารินทำหน้าเยาะหยัน “หมดสภาพ...ไหนลองคิดซิว่าแกมีอะไรที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้มั่งอ่ะห๊ะ”
สลิลทิพย์โกรธจนปากคอสั่น ขยับจะพูด แต่อรสินีเดินเข้ามาในห้องน้ำก่อน
“คุณแม่ อยู่นี่เอง” หญิงสาวหันไปมองดารินทร์แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตร ดารินทร์ยิ้มให้ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป สลิลทิพย์หน้าบึ้งแค้นใจแทบกระอึก ก่อนจะหันมามองอรสินีอย่างครุ่นคิดตริตรอง
เช้านี้ สลิลทิพย์นั่งเครียดอยู่ที่โต๊ะอาหาร คิดถึงเหตุการณ์ที่เจอดารินทร์วันก่อนมนร้านทำผมจนตามมารระรานต่อในลานจอดรถ
“ชั้นไม่มีวันลืมเรื่องที่แกทำกับชั้นหรอกนะ..นังสลิลทิพย์” ดารินทร์เค้นคำ
“ชั้นก็อยากให้แกจำใส่กะโหลกไว้ จำไว้ให้แม่น...ว่าอย่ามายุ่งกับคนของชั้น เพราะเมื่อไหร่ที่แกมาฉกผัวชั้นอีก...เมื่อนั้นแกไม่รอดแน่”
ดารินทร์ทำลอยหน้ากวนใส่ “เหรอ...ชั้นกลัวนะเนี่ยะ...กลัวมากด้วย...” แล้วสีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแค้นใจ “ที่ผ่านมาชั้นอาจจะไม่ทันความร้ายกาจของแก แต่คราวนี้” ดารินทร์จ้องตาสลิลทิพย์ “ชั้นเอาคืนแน่”
ดารินทร์เดินเบียดไหล่สลิลทิพย์ไปเกาะแขนอาชัญทักเสียงหวานอย่างสนิทสนม
คิดขึ้นมาแล้วสลิลทิพย์มีสีหน้าแค้นใจ คำพูดเยาะเย้ยของดารินทร์เมื่อคืนนี้ ผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีกระลอก
“ชั้นจะใส่ร้ายแกทำไม วันนี้แกมีอะไรมั่ง ผู้ชายข้างตัวก็เทียบกันไม่ติด ธุรกิจก็เทียบกันไม่ได้ รูปร่างหน้าตาก็...หมดสภาพ...ไหนลองคิดซิว่าแกมีอะไรที่พอจะเชิดหน้าชูตาได้มั่งอ่ะห๊ะ”
สลิลทิพย์จมอยู่ในห้วงคิดตัวเองอยู่อย่างนั้น
“คุณแม่คะ คุณแม่”
อรสินี ยืนเรียกแม่อยู่กับ อติรุจ ผู้เป็นพี่ชาย
“คุณแม่ครับ”
สลิลทิพย์ก็ยังเหมือนไม่ได้ยินที่ลูกเรียก อติรุจก้มลงเอาปากจ่อไปที่หูของสลิลทิพย์
“คุณแม่ครับ”
สลิลทิพย์สะดุ้ง “ตารุจ จะตะโกนทำไมเนี่ย แม่ตกใจหมด นี่ถ้าแม่หัวใจวายตายไปจะว่ายังไงหะ”
“ก็คุณแม่ใจลอยไปไหนล่ะครับ ผมกับอรเรียกอยู่ตั้งนาน”
อติรุจพูด พลางเดินไปนั่งประจำที่พร้อมกับอรสินี น้อยเดินเข้ามาพร้อมเสิร์ฟอาหารเช้าให้ อติรุจกับอรสินี
อรสินีแปลกใจไม่หาย “คุณแม่คิดอะไรอยู่ค่ะ หน้าเครียดเชียว”
“คิดถึงเรื่องอร อยู่นั่นล่ะ”
อติรุจฉงน “เรื่องยายอร มีอะไรเหรอครับ ผมไม่อยู่วันเดียวตกข่าวอะไรไปรึเปล่าครับ”
“อรก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ พี่รุจ เรื่องอะไรเหรอคะ คุณแม่”
สลิลทิพย์ไม่ตอบ มองจ้องอรสินีอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
หลังมือเช้า อติรุจทรุดตัวลงนั่งข้างแม่และน้อง สีหน้าท่าทีคัดค้านไม่เห็นด้วย
“ประกวดนางงามเหรอครับ”
สลิลทิพย์ มองอติรุจอย่างตำหนิ
“ก็ใช่น่ะซิ ทำไมต้องทำเสียงตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย ยายอรยังไม่เห็นตื่นเต้นเลย”
อติรุจที่หันไปมองน้องสาว อรสินียิ้มแห้งๆ ไม่พูดอะไร
“ผมไม่ได้ตื่นเต้นครับ คุณแม่...แต่ผมไม่เห็นด้วย”
สลิลทิพย์หงุดหงิดมากขึ้น “แม่ไม่ได้ให้รุจไปประกวดซะหน่อย คนที่จะปฏิเสธหรือเห็นด้วยกับแม่ คือยายอรคนเดียว”
อติรุจหันมาทางผู้เป็นน้องสาว “อร”
สลิลทิพย์รีบชิงพูดขึ้นก่อน “แม่ไม่เคยขอให้อรทำอะไรที่ฝืนใจอรเลยใช่ไม๊ลูก ทุกอย่างที่แม่ให้อรทำ ก็เพราะว่าแม่หวังดีกับลูก...”
สลิลทิพย์พูดไม่ทันจบถูกอติรุจดักคอ “คุณแม่พูดซะขนาดนี้ ยายอร คงปฏิเสธลงหรอกครับ”
สลิลทิพย์เสียงเข้ม “ตารุจ”
“อรจะประกวดนางสาว ณ สยามค่ะ คุณแม่” อรสินีบอก
อติรุจถอนใจเฮือก “นั่นไง”
สลิลทิพย์ดึงอรสินีเข้ามากอดด้วยความดีใจ
“ดีมาก ลูกรักของแม่” สลิลทิพย์ดึงอรสินีออกจากตัว เอามือลูบหน้าที่สวยหวานของลูกสาว “อรของแม่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่าง แม่ไม่ได้หวังแค่อรจะเข้าประกวดเท่านั้นนะ แต่แม่มั่นใจว่าอรต้องได้เป็นนางสาว ณ สยามแน่นอน”
อติรุจถอนหายใจอีก “ทำไมอยู่ดีๆ คุณแม่ถึงอยากจะเป็นคุณแม่นางงามขึ้นมาล่ะครับ”
สลิลทิพย์บอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น “เพราะแม่ต้องการให้ทุกคนรู้ว่า ชีวิตแม่สมบูรณ์แบบแค่ไหนไง มีครอบครัวที่ดี มีลูกชายเป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ แล้วก็มีลูกสาวที่มีคุณสมบัติครบถ้วน”
อรสินีท้วง “แล้วถ้าอรไม่ได้เป็นนางสาว ณ สยามล่ะคะ”
“ได้ซิ แม่เชื่อมั่นว่าลูกต้องได้ ผู้หญิงสมัยเนี่ย ฉีด ผ่า ดึง ขึง จนหน้าเหมือนกันไปหมด อรไม่ได้สวยผสมโบท็อกซ์ ซิลิโคนแบบนั้นนะลูก อีกอย่าง งานเนี้ย ช่อง Thai 10 เป็นคนจัด ยังไงตานนท์ก็ต้องช่วย”
สลิลทิพย์มีท่าทางมุ่งมั่นและแววตาที่มาดหมายเป็นที่สุด
ภายในห้องประชุมสถานี Thai 10ตอนกลางวัน คุณดิษฐ์ ชญานนท์ มุกตาภา และทีมงานหัวหน้าฝ่ายผู้รับผิดชอบการประกวด ราว 4 - 5 คน ประชุมกันอยู่ ชญานนท์เอ่ยขึ้น
“หลังจากงานแถลงข่าวแล้ว ผมเชื่อว่าวันแรกของการรับสมัครนางสาว ณ สยาม น่าจะมีสาวๆ มากันเยอะ”
“ใช่ เพราะปีนี้เป็นปีที่พิเศษจริงๆ ผมต้องการให้ทุกฝ่ายเตรียมงานในส่วนที่รับผิดชอบให้สมบูรณ์ที่สุด” คุณดิษฐ์เสริม
ทุกคนที่เข้าร่วมประชุมรับคำพยักหน้า ชญานนท์ดูเอกสารในมือ
“ส่วนเรื่องแผนประชาสัมพันธ์ ผมอยากให้คุณรัตน์ช่วยดูด้วย”
มุกตาภาชักสีหน้า “อ่าว แล้วมุกล่ะคะ พี่นนท์”
“มุกก็ยังดูเหมือนเดิม” ชายหนุ่มรูปงามหันไปทางรัตน์ “แต่ผมต้องการให้คุณรัตน์มาเสริมทัพให้แข็งแรงยิ่งขึ้น” แล้วหันมาทางน้องสาว “เข้าใจกันแล้วนะ”
มุกตาภารับเสียงอ่อยๆ “ค่ะ พี่นนท์”
“ถ้างั้นก็ปิดประชุม แยกย้ายกันไปทำงาน” คุณดิษฐ์ปิดประชุม
ทีมงานทุกคนรับคำ “ครับ” / “ค่ะ”
จากนั้นทุกคนลุกขึ้นทยอยเดินออกไป ยกเว้น คุณดิษฐ์ ชญานนท์ และมุกตาภา
มุกตาภามองตามคนที่เดินออกไปจากห้องจนหมดแล้วจึงหันมาทางชญานนท์ กับบิดา ทำหน้างอไม่พอใจทันที
“คุณพ่อ ดูพี่นนท์ซิคะ อยู่ดีๆ ก็เอางานของมุกไปให้คนอื่นทำ”
ชญานนท์เอือมนิดๆ “พี่ว่า พี่พูดเคลียร์แล้วนะ มุก ให้คุณรัตน์มาช่วย มุกเองก็จะได้ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป จะได้มีเวลาให้คู่หมั้น”
“พ่อเห็นด้วยกับนนท์นะ”
มุกตาภาถอนหายใจแรงๆ “เจอ 2 รุม 1 แบบนี้ มุกก็ต้องยอมอ่ะค่ะ มุกไปก่อนนะคะ มีนัดสำคัญค่ะ”
มุกตาภาพูดจบก็รีบลุกเดินแยกไป คุณดิษฐ์และชญานนท์มองตามไปยิ้มอย่างรู้กัน
ในเวลานั้น ณเดชย์เดินเข้ามาในร้าน สอดสายตามองกวาดไป จนเห็นมุกตาภานั่งอยู่มุมหนึ่ง มุกตาภายกมือโบกแล้วส่งยิ้มหวานให้ ณเดชย์เดินไปหา
“คอยนานไม๊”
มุกตาภายิ้ม “ไม่นานหรอกค่ะ คุณมาตรงเวลา แต่มุกมาก่อนเอง”
ณเดชย์ลงนั่ง “สั่งอะไรรึยัง ผมหิวจังเลย”
“ยังค่ะ มุกรอคุณ”
ณเดชย์หยิบเมนูมาเปิดดู ก้มหน้าอ่านเมนูอย่างสนใจ
“ช่วงนี้มุกอาจจะยุ่งๆ หน่อยนะคะ”
ณเดชย์รับคำส่งๆ อย่างไม่สนใจ “ครับ”
มุกตาภาเริ่มงอนออกอาการเอาแต่ใจตัวเอง “จะไม่ถามมุกซักนิดเหรอคะ ว่ามุกยุ่งเรื่องอะไร”
ณเดชย์เงยหน้าขึ้นมอง “ผมรู้อยู่แล้ว ว่ามุกยุ่งเรื่องงาน” ชายหนุ่มหันไปทางบ๋อยโดยไม่สนใจปฏิกิริยามุกตาภา “ขอซุปบร๊อคคอลี่...แล้วก็ฟิเลมิยอง” แล้วหันมาถามมุกตาภา “มุกจะทานอะไร”
มุกตาภาค้อนอีกวง “นึกว่าจะไม่ถามซะแล้ว” แล้วหยิบเมนูตรงหน้ามาอ่าน
ณเดชย์ปรายตามองเบื่อๆ แล้วหันมาทางบ๋อย “ขอของผมก่อนแล้วกันแล้วเดี๋ยวค่อยมารับออเดอร์ใหม่”
“ครับ”
บ๋อยแยกไป ณเดชย์ไม่สนใจมุกตาภา หยิบโทรศัพท์ออกมา
ค่ำนั้น ภายในห้องรับแขก อาชัญ มองสลิลทิพย์อย่างแปลกใจ
“นึกยังไงถึงให้ลูกประกวดนางงาม”
“คุณอย่าได้คิดจะขัดชั้นเลยน่ะ ที่ชั้นตัดสินใจส่งลูกเข้าประกวด คุณเองก็มีส่วนด้วย”
อาชัญขมวดคิ้ว “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม”
“ชั้นไม่อยากจะรื้อฟื้นเรื่องให้ของขึ้น หงุดหงิด” สลิลทิพย์หันไปทางชญานนท์ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ อรสินี “นนท์ น้าฝากน้องด้วยน่ะ ไม่ต้องใช้เส้นสาย ขอแค่ฝากดูน้องก็พอจ้ะ”
อติรุจดักคอมารดา “แค่ฝากดูยายอร ก็ถือว่าใช้เส้นสายแล้วครับคุณแม่...
สลิลทิพย์ทำหน้าเอือมลูกชาย “รุจจะขัดคอแม่ไปถึงไหนนะ ยายอรเป็นคนต้องไปประกวด ยังไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย”
ชญานนท์มองมาที่อรสินี “จะประกวดแน่เหรอครับ”
สลิลทิพย์แปลกใจ “อ่าว ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ นนท์”
“อรจะลงประกวดค่ะ พี่นนท์”
“คือปกติผมเห็นว่าอรไม่ชอบออกงาน ไม่ชอบแข่งขัน”
อรสินียิ้มนิดๆ เหมือนไม่เป็นไร กับชญานนท์
“นั่นซิ ตานนท์ยังรู้เลย”
“โลกทุกวันนี้ มันเป็นโลกของการแข่งขันน่ะ นนท์เองก็เป็นนักธุรกิจ ก็น่าจะรู้ถึงเราไม่คิดจะแข่งกับใคร...แต่ก็มีคนมาแข่งกับเราอยู่ดี เข้าใจใช่ไม๊ อร”
อรสินีพยักหน้า “เข้าใจค่ะ คุณแม่”
สลิลทิพย์ยิ้มอย่างพอใจแล้วหันไปทางอาชัญ “คุณเตรียมตัวเป็นคุณพ่อ นางสาว ณ สยามได้เลยชั้นมั่นใจว่า ไม่มีใครสวยกว่าลูกสาวเราแน่นอน”
สลิลทิพย์มั่นใจเต็มที่ในขณะที่สีหน้าอรสินีกลับไม่แน่ใจ
วันหนึ่ง ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เห็นรถเข็นกระเป๋าเข็นมาตามทางเดินอาคารผู้โดยสารขาออก เป็น ตรีอัปสร เดินมา ความสวยโดดเด่น ทำให้ผู้คนในสนามบินหันมามองเป็นตาเดียว ตรีอัปสรมองตรงไม่วอกแวก ใบหน้าเรียบ ไม่ยิ้ม แต่ก็ไม่บึ้ง ตรีอัปสรเดินมาเรื่อยๆ
เสียงอติรุจดังขึ้นจากทางหนึ่ง “ตรี...ตรี...ตรีครับ”
ตรีอัปสรซึ่งก้าวฉับๆอยู่หันไปมอง แล้วชะงัก เพ่งมองไป เห็นอติรุจยืนยิ้มอยู่ ตรีอัปสรยิ้มกว้างอย่างดีใจ
“คุณรุจ คุณรุจจริงๆ ด้วย”
ตรีอัปสรเข็นรถเข้าไปหา
“ดีใจจังเลยค่ะ ไม่คิดว่าจะเจอคุณรุจที่นี่ คุณรุจมารับใครคะ”
“มารับคุณพ่อครับ”
“คุณรุจมาคนเดียวเหรอคะ”
“มากับน้องอร แล้วก็นนท์ ตรีจำนนท์ได้ไม๊”
ตรีอัปสรมองอติรุจ นึกถึงเหตุการณ์สมัยเด็ก ตอนนั้นเด็กหญิง ตรีอัปสรอุ้มตุ๊กตาอยู่ มือของเด็กชายชญานนท์เข้ามาผลักจนตรีอัปสรล้มลงไป
ตรีอัปสรดึงตัวเองออกมา “จำได้ค่ะ”
อติรุจยิ้มแล้วหันไปอีกทาง “นั่นไง มากันแล้ว”
ตรีอัปสรหันไปมองตามอติรุจ เห็น ชญานนท์เดินคู่มากับอรสินี ตรีอัปสรยิ้มทักอรสินีคนเดียว
อรสินีมองมา เมื่อเห็นตรีอัปสร ก็ส่งยิ้มหวานให้
“อร...นนท์...จำตรีได้ไม๊”
อรสินีขยับเข้าไปจับมือตรีอัปสรอย่างดีใจ “จำได้ซิคะ ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ”
“สวัสดีค่ะ คุณอร” ตรีอัปสรหันไปทางชญานนท์ “คุณนนท์”
ชญานนท์ยิ้มทักทายนิดๆ ด้วยท่าทางไว้ตัว ห่างเหินเย็นชา ตรีอัปสรหันมาทางอรสินี
“คุณอร สวยจังเลยค่ะ”
อรสินียิ้มหวาน “สวยยังไงก็สู้ตรีไม่ได้หรอก กี่ปีแล้วนะ ที่เราไม่ได้เจอกัน”
“ก็ตั้งแต่ที่ตรีไปเรียนเมืองนอกนั่นละ” อติรุจตอบแทน
ตรีอัปสรยิ้ม “ใช่ค่ะ”
“มีใครมารับตรีรึเปล่า...ให้ผมไปส่งนะ” อติรุจพูดอย่างสุภาพ ตรีอัปสรยิ้มให้เขา
“ขอบคุณค่ะ ตรีไม่รบกวนคุณหรอกค่ะ แม่มารับตรีค่ะ”
อติรุจโอด “อ๋อ...นึกว่าจะได้คุยกับตรีนานๆ”
ชญานนท์บอก “นายอยู่คุยกันก่อนก็ได้ ชั้นกับน้องอรจะไปรอคุณน้าเอง”
ตรีอัปสรมองชญานนท์ ซึ่งพูดโดยไม่ได้มองมาทางหล่อนเลย ชญานนท์เอาแต่มองอรสินีด้วยแววตาอ่อนโยน แต่ยังไม่ทันที่ใครจะพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ของตรีอัปสรก็ดังขึ้น ตรีอัปสรมองโทรศัพท์แต่ไม่รับ ก่อนจะหันมาพูดกับอติรุจ
“แม่โทร.มาแล้ว ตรีขอตัวก่อนนะคะ”
อติรุจหยิบนามบัตร ส่งให้ตรีอัปสรพลางกำชับ “โทร.หาผมนะ ตรี”
ตรีอัปสรยิ้มแล้วรับนามบัตรมา “ค่ะ” หล่อนหันไปทางอรสินี “ตรีไปนะคะ คุณอร”
“ไปหาพวกเราที่บ้านบ้างนะ ตรี” อรสินียิ้มให้
ตรีอัปสรยิ้มตอบ “ค่ะ แล้วตรีจะไป” พลางหันไปทางอติรุจ “ไปนะคะ คุณรุจ คุณอร...คุณนนท์”
สองพี่น้องยิ้มให้ตรีอัปสร ส่วนชญานนท์ทำหน้าเฉยเมย
ด้านดารินทร์เดินอยู่ในสนามบิน มองซ้ายมองขวา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.อีกครั้ง ดารินทร์หันไปอีกทาง
เสียงเรียกของตรีอัปสรดังขึ้น “แม่”
ดารินทร์หันมามองเห็นตรีอัปสร ยืนอยู่ด้านหลังห่างออกไป ยกโทรศัพท์ขึ้นมาชูให้ดู ดารินทร์กดสายแล้วยิ้มอย่างดีใจ
“ตรี”
ตรีอัปสรเดินเข้ามาหายกมือไหว้แม่ด้วยสีหน้าเฉยๆ ไม่ดีใจ ดารินทร์มองท่าทางของตรีอัปสร
“ทำไมทำหน้าหยั่งนั้นล่ะ นี่ไม่ดีใจที่เจอชั้นเรอะ” ดารินทร์ยิ้มหวานดึงตรีอัปสรเข้ามาหาพลางบอก “ช่วยทำหน้าดีใจออกสื่อหน่อยได้ไม๊”
ตรีอัปสรอดหัวเราะไม่ได้ “สื่อที่ไหนกันแม่ ทำยังกะเป็นเซเลบ ไปเหอะ ตรีเหนื่อยจะแย่แล้ว”
ตรีอัปสรเข็นรถออกไป ดารินทร์มองตามเซ็งๆ ก่อนจะรีบเดินตามลูกไป
ฝ่ายอรสินีมองอติรุจและยิ้มอย่างมีเลศนัย อติรุจหันมาเห็นพอดีก็เลิกคิ้ว
“ยิ้มอะไร อร”
“แน่ะ ยิ้มก็ไม่ได้เหรอคะ”
“ยิ้มได้ แต่ยิ้มเราน่ะ มันมีเลศนัย”
“จะมีเลศนัยอะไรคะ อรก็ยิ้มดีใจที่พี่ชายอรมีความสุข ได้เจอคนที่คุ้นเคย”
อติรุจอมยิ้มเมื่อได้ยินที่น้องพูด อรสินีหันไปมองชญานนท์ที่ทำหน้านิ่งๆ
“จะมีก็แต่พี่นนท์นี่ล่ะคะ เมื่อไหร่จะคุยกับตรีแบบดีๆ ซะทีคะ”
“พี่ก็คุยเป็นปกติน่ะ ไม่ดีตรงไหนคะ”
“ก็ไม่ถึงกับไม่ดีหรอกค่ะ เพียงแต่หน้าพี่นนท์เฉยเมยไร้ความรู้สึกไปนิดอ่ะค่ะจริงไม๊คะ พี่รุจ”
อติรุจหันไปทางชญานนท์แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร มองเลยชญานนท์ไปเห็นผู้เป็นบิดาก่อน
“คุณพ่อมาโน่นแล้ว ไปเร็ว”
อรสินีและชญานนท์เดินตามอติรุจไป
คนขับรถของดารินทร์ ขับรถแล่นมาตามถนน ภายในรถ ดารินทร์นั่งคู่กับตรีอัปสรเบาะหลัง ดารินทร์หันมามองตรีอัปสรซึ่งนั่งพิงเบาะหลับตา
“นี่แกเหนื่อยจริงๆ หรือว่ามีอะไรรึเปล่า”
ตรีอัปสรยังนอนหลับตานิ่ง แต่ถอนหายใจเบาๆ ดารินทร์มองลูกสาวอย่างพิจารณา
“หรือแกเจอใครที่สนามบิน”
คราวนี้ตรีอัปสรลืมตาขึ้น หันมามองดารินทร์
“นั่นไง ชั้นว่าแล้ว...แกไปเจอใครมาล่ะ”
“เพื่อนเก่า เพื่อนที่รู้จักกันตั้งแต่ตอนที่ตรียังอยู่สลัม”
ดารินทร์หน้าตึงไม่พอใจ “จะพูดถึงสลัมให้มันได้อะไรขึ้นมาห๊ะ”
ดารินทร์พูดเสียงเข้มแต่ไม่ดังนัก เพราะไม่อยากให้คนขับรถได้ยิน
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ เหมือนจะยั่วโมโห “เอาไว้เตือนความทรงจำไงคะ จะได้ไม่ลืม”
ดารินทร์ส่ายหน้าอย่างเอือมๆ รู้ทันว่าตรีอัปสรพยายามจะยั่วโมโห
“แกจะมายั่วโมโห กวนประสาทชั้นทำไมห๊ะ..ยายตรี”
ตรีอัปสรถอนหายใจ “ตรีก็แค่พูดเรื่องจริง ไม่ได้กวนประสาทซะหน่อย”
“นานๆแม่ลูกจะได้เจอกันที แทนที่จะพูดจาให้มันรื่นหู”
ตรีอัปสรทำหน้าเซ็ง โดยไม่ปิดบัง “ช่างมันเถอะแม่ ว่าแต่แม่เถอะ ให้ตรีดร็อปเรียนแล้วเรียกกลับมาด่วนขนาดเนี่ยะ...แม่จะให้ตรีทำอะไร”
ดารินทร์ยังไม่ยอมตอบ มองพิศตรีอัปสรนิ่งอยู่อย่างนั้น
ต่อจากตอนที่แล้ว
ไม่นานต่อมา ตรีอัปสรย้อนถามด้วยสีหน้างุนงงสุดขีด
“ประกวดนางงาม”
แม่ลูกอยู่ในห้องรับแขกคฤหาสน์หลังใหญ่ของดารินทร์ที่นายพลอัศวินซื้อให้
ดารินทร์เดินมานั่งวางมาด บอกย้ำ “นางสาว ณ สยาม”
“นั่นล่ะค่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ แม่ถึงอยากให้ตรีประกวดนางงามขนาดให้ตรีดร็อปเรียน”
“ชั้นก็ต้องเล็งเห็นแล้วน่ะซิ ว่าการที่แกกลับมาประกวดนางสาว ณ สยาม เป็นโอกาสที่ดีที่สุดในตอนนี้เรื่องเรียนน่ะ จะกลับไปเรียนเมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีใครแก่เกินเรียนอยู่แล้ว” ดารินทร์หว่านล้อม
“แล้วตรีต้องทำยังไงมั่ง”
“ทำตามที่ชั้นบอกแล้วกัน”
ตรีอัปสรพยักหน้าเข้าใจ ปิ๋ม สาวใช้ประจำบ้าน เดินเข้ามาทรุดตัวนั่ง
“หนูเอากระเป๋าขึ้นไปไว้ที่ห้องแล้วนะคะ คุณตรีจะให้หนูจัดเสื้อผ้าเข้าตู้เลยไม๊คะ”
“ให้ชั้นรื้อออกมาก่อนแล้วกัน แล้วแกค่อยขึ้นไปจัด” ตรีอัปสรบอก
“ค่ะ” ปิ๋มออกไปเลย
อีกสักครู่หนึ่ง ตรีอัปสรขยับจะเดินไป พร้อมกับพูด “ตรีไปอาบน้ำก่อนนะแม่”
“แล้วลงมากินข้าวด้วยกันนะ วันนี้คุณอัศวินมา”
ตรีอัปสรหันมามองแม่ด้วยแววตาเมินเฉย สีหน้าออกอาการเซ็งโดยไม่เก็บอาการ ดารินทร์เห็น
ท่าทางของตรีอัปสรก็ขยับเดินเข้าไปหา ปิ๋มค่อยๆ ถอยออก แต่ตายังมองไปที่แม่ลูกอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นี่แกอย่ามาทำหน้าแบบนี้กับชั้นนะ ถ้าไม่ได้คุณอัศวิน ป่านนี้ชั้นกับแกไปซุกอยู่รูไหนก็ไม่รู้ ไม่ได้มาเชิดหน้าเป็นไฮโซ เซเลบแบบนี้หรอก”
ตรีอัปสรมองมารดาแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “ใครบอกแม่ว่า เราเป็นไฮโซ เซเลบ แม่คิดไปเองหรือเปล่า”
ตรีอัปสรส่ายหน้าแล้วเดินหนีไป ดารินทร์ขัดใจ มองตามอย่างหงุดหงิด ก่อนจะกระแทกตัวลงกับเก้าอี้
“นี่มันลูกหรือมันศัตรูชั้นกันแน่เนี่ย”
ดารินทร์มีสีหน้าหนักใจ
ปิ๋มกำลังจัดเสื้อผ้าที่วางอยู่บนเตียงนำเข้าไปเก็บในตู้ ตรีอัปสรเดินออกมาจากห้องน้ำ มองปิ๋มที่กำลังแขวนเสื้ออยู่
“ชั้นมีของฝากให้แกกับแม่แกด้วยนะ แต่อยู่ในกระเป๋าอีกใบ เอาไว้ว่างๆ ชั้นจะรื้อให้”
“ค่ะ” ปิ๋มเอาเสื้อตัวสุดท้ายแขวนแล้วหันมาทางตรีอัปสร “หนูไปช่วยแม่ทำกับข้าวก่อนนะคะ”
ตรีอัปสรพยักหน้ารับรู้ “อือม์ ไปเถอะ”
ปิ๋มเดินออกไป ตรีอัปสรลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง แล้วก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ หล่อนลุกขึ้นเดินไปนั่งบนเตียง เปิดกระเป๋าสะพายส่วนตัวออก หยิบตุ๊กตาหมีค่อนข้างเก่าออกมา
“ขอโทษนะ เป็นหนึ่ง ที่เอาออกมาช้า อึดอัดไม๊ หายใจออกรึเปล่า”
ตรีอัปสรกอดตุ๊กตาหมีไว้ รำลึกจดจำ เรื่องราวในอดีต ใบหน้าอันเฉยเมย ท่าทีห่างเหิน ของชญานนท์ ซ้อนกลับมาในห้วงคิดอีกครั้ง
ตรีอัปสรพูดเบาๆ กับตุ๊กตาหมี “นายนั่นเกลียดตรี” พร้อมกันนั้นตรีอัปสรพลิกตัวเป็นนอนคว่ำ โดยมี
ตุ๊กตาหมีนั่งอยู่ตรงหน้า “ตรีก็เกลียดเค้าน่ะ เป็นหนึ่ง ตรีเกลียดเค้าเหมือนที่เค้าเกลียดตรีตรีไม่ชอบหน้าเค้า เหมือนที่เค้าไม่ชอบหน้าตรีนั่นละ”
ตรีอัปสรพูดเหมือนพยายามจะบอกเตือนตัวเองด้วย
เย็นแล้ว ที่ห้องครัว แป๋ว แม่ของปิ๋ม กำลังเตรียมอาหารอยู่ สักครู่ ปิ๋มเดินเข้ามา แป๋วหันไปมอง
“จัดของให้คุณตรีเสร็จแล้วเหรอ”
“เสร็จแล้ว แต่ยังไม่ได้ของฝากนะแม่”
แป๋วหัวเราะขำ ด้วยรู้ทันลูก “นังปิ๋ม นี่แกเสนอหน้าขึ้นไปจัดเสื้อผ้าให้คุณตรี เพราะหวังจะได้ของฝากล่ะซิ นังงกเอ๊ย”
“แหมๆๆๆๆๆ แม่ก้อ...ชั้นไม่ได้งก แค่อยากได้ของจากเมืองนอกบ้างอะไรบ้าง วันนี้ทำอะไรมั่งอ่ะแม่ เยอะแยะยังกะมีแขกซัก 10 คน”
“คุณดาสั่งทั้งของโปรดท่านอัศวิน ทั้งของโปรดของคุณตรี”
“ถึงว่าซิ แล้วก็กินกันคนละคำสองคำ”
แป๋วเหน็บดักคอ “ที่เหลือก็เสร็จนังปิ๋มไง”
ปิ๋มหัวเราะถูกใจ เสียงรถดังเข้ามา แป๋วชะเง้อมองไปทางประตู
“หยุดร่วนก่อน ปิ๋ม ออกไปดูซิ เสียงเหมือนรถเข้ามา ท่านอัศวินมาแล้วมั้ง”
ปิ๋มยังหัวเราะอยู่ “จ้ะ แม่”
นายพลอัศวินเดินเข้าทรุดตัวลงนั่ง ก็ถามหาตรีอัปสรเลยทันที
“หนูตรีล่ะ อยู่ไหน”
“อยู่ข้างบนค่ะ สงสัยจะยังวุ่นวายเรื่องเสื้อผ้าข้าวของ” ดารินทร์หันไปทางปิ๋ม “ปิ๋ม ขึ้นไปตามคุณตรีมาบอกว่า ท่านอัศวินมา”
“ค่ะ”
ปิ๋มเดินออกไป ดารินทร์หันมายิ้มหวานกับนายพลอัศวิน
ฝ่ายตรีอัปสรยืนอยู่หน้ากระจก กำลังสำรวจความเรียบร้อย เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ประตูห้องเปิด เห็นปิ๋มเดินเข้ามาคุกเข่ามองตรีอัปสรอย่างชื่นชม ไม่พูดอะไร ตรีอัปสรซึ่งกำลังแต่งหน้าอยู่ ชะงักหันมามอง
“มีอะไรรึเปล่า ปิ๋ม อย่าบอกนะว่าจะเข้ามาดูชั้นแต่งหน้า”
ปิ๋มยิ้มแป้น “เปล่าค่ะ หนูจะมาบอกว่า คุณผู้หญิงให้คุณตรีลงไปหาค่ะ ท่านอัศวินมาแล้วค่ะ”
ตรีอัปสรรับรู้ด้วยสีหน้านิ่งเฉย หันไปเติมหน้าต่อ ปิ๋มเห็นท่าทางของตรีอัปสรก็อึดอัด จะเร่งก็ไม่กล้า
ตรีอัปสรมองปิ๋มทางกระจก
“แกลงไปก่อนเถอะ เดี๋ยวชั้นจะตามไป”
ขาดคำโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ตรีอัปสรมองไปที่โทรศัพท์ หน้าจอขึ้นชื่อณเดชย์ หล่อนหยิบขึ้นมากดรับ
“ฮัลโหล”
ณเดชย์พูดโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานที่บริษัท สีหน้าดีใจ มีความสุข น้ำเสียงกระตือรือร้นมาก
“ตรี”
เสียงตรีอัปสรเองก็กระตือรือร้นไม่ต่างกัน “คุณนะ”
“คิดถึงตรีใจจะขาด”
ตรีอัปสรหัวเราะเบาๆ “ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
“ผมนับเวลาทุกวินาทีเลยน่ะ ตั้งแต่ตรีลงจากเครื่อง กะเวลาให้ตรีถึงบ้านอาบน้ำก่อน...นี่ถ้ามีเหตุให้ผมต้องโทร.หาตรีช้ากว่านี้อีกซัก 10 นาที ผมใจขาดจริงๆด้วย”
ตรีอัปสรอยู่ในห้องนอน ฟังที่ณเดชย์พูดมาสีหน้าเยาะนิดๆ ที่มีผู้ชายมาสยบ ตรีอัปสรหันมาโบกมือให้ปิ๋มออกไป ปิ๋มซึ่งยืนฟังอยู่แป๊บหนึ่ง จึงรู้สึกตัวรีบพยักหน้าแล้วเดินออกไป
ตรีอัปสรหัวเราะร่วน “คุณนะ อย่าพูดให้ตรีรู้สึกว่าตรีเป็นคนสำคัญเลยค่ะ ยังไง ตรีก็ไม่สำคัญเท่าคุณมุกหรอก”
“ตรี อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นซิครับ”
“คนอื่นที่ไหนคะ นั่นน่ะ คู่หมั้นคุณนะ นะคะ ตรีต่างหากที่เป็นคนอื่น”
ณเดชย์อ้อนใหญ่ “ตรี ผมอยากเจอตรี ทานข้าวกับผมนะ”
ตรีอัปสรนิ่งคิด แววตาเจ้าเล่ห์ มีเลศนัย ไปกินข้าวกับณเดชย์ยังดีกว่ากินกับนายพลอัศวิน
ดารินทร์และนายพลอัศวินนั่งที่โต๊ะอาหารแล้ว ปิ๋มเดินเข้ามา ดารินทร์มองไป
“คุณตรีล่ะ”
“คุณตรีให้หนูลงมาก่อนค่ะ”
“อ้าว แล้วคุณตรีทำอะไรอยู่”
“พูดโทรศัพท์อยู่ค่ะ ไม่ทราบใครโทร.มา”
ดารินทร์พยักหน้า ก่อนจะหันมาทางนายพลอัศวิน เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวาน
“เราทานกันไปพลางๆก่อนนะคะ” ดารินทร์หันไปทางแป๋ว “แป๋ว”
แป๋วขยับเข้ามาตักข้าวเสิร์ฟทันที อัศวินยกมือให้หยุด
“เดี๋ยวก่อน” ท่านนายพลหันมาทางดารินทร์ “ไหนๆ ก็รอแล้ว รออีกซักนิดแล้วกัน”
เสียงตรีอัปสรดังขึ้น “รอใครคะ”
อัศวินหันไปมอง เห็นตรีอัปสรเดินเข้ามา ตรีอัปสรยกมือไหว้อัศวินอย่างอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะ คุณลุง”
อัศวินยิ้มอย่างพอใจ “สวัสดีจ้ะ ไม่ได้เจอกันนาน หนูตรีสวยขึ้นมากเลยนะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “ขอบพระคุณมากค่ะ คุณลุงยังแข็งแรงกระชุ่มกระชวยอยู่เลยนะคะ”
อัศวินหัวเราะขำอย่างถูกใจ แป๋วตักข้าวใส่จานอัศวิน ดารินทร์และกำลังจะตักใส่จานตรีอัปสร
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ให้คุณลุงรอทานข้าวตั้งนาน”
“ขอโทษนะคะคุณลุง พอดีเพื่อนโทร.มาค่ะ มีเรื่องด่วน ตรีคงอยู่ทานข้าวด้วยไม่ได้”
ดารินทร์ฉงน “เพิ่งกลับมา จะมีเรื่องด่วนอะไร ยายตรี”
“เอาไว้ตรีค่อยกลับมาเล่าให้ฟัง ขอยืมรถหน่อยนะคะแม่”
“ให้นายพงษ์ขับรถไปส่งซิ” ท่านนายพลว่า
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “ไม่เป็นไรค่ะคุณลุง ตรีอยากขับรถในกรุงเทพฯ บ้าง คิดถึงรถติดจะแย่แล้วค่ะ”
ตรีอัปสรพูดขำๆ อัศวินหัวเราะตามอย่างเอ็นดู ในขณะที่ดารินทร์ส่ายหน้ากับมุกของลูกสาว
“หนูตรีนี่ มีอารมณ์ขันนะ ดีแล้วจะได้ไม่เครียด”
“ตรีขอตัวก่อนนะคะ”
ปิ๋มถือกุญแจรถมาส่งให้ ตรีอัปสรรับมาถือไว้
ตรีอัปสรเดินออกไป นายพลอัศวินมองตามไปอย่างพึงพอใจ สีหน้านายพลชราหมายมาด
ค่ำนั้น ณเดชย์นั่งรออยู่ในร้านอาหารหรู สักครู่หนึ่งเห็นตรีอัปสรเดินเข้ามา บรรดาลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านเหลียวมองหล่อนอย่างชื่นชมในความสวย ตรีอัปสรเดินมาถึงที่โต๊ะ ณเดชย์เห็นก็ลุกขึ้นเดินไปรับ ทำท่าจะกอดด้วยความคิดถึง
“ตรี”
ตรีอัปสรกันณเดชย์ไว้ไม่ให้กอด “อย่าค่ะ คนมอง”
ตรีอัปสรนั่งตรงข้ามกับณเดชย์ ณเดชย์ต้องยอมไปนั่งเก้าอี้เดิม
“ที่นี่กรุงเทพฯ นะคะ คุณนะ ไม่ใช่ลอนดอน”
ณเดชย์มองตรีอัปสรอย่างรักใคร่ “จะที่ไหนก็เหมือนกัน จะกรุงเทพฯหรือที่ไหน ผมก็รักตรีไม่เคยเปลี่ยน”
ตรีอัปสรฝืนยิ้มให้ “คุณยิ่งพูด ตรีก็ยิ่งเจ็บ”
“ผมพูดจริงๆ นะ จากใจ”
“ถึงคุณนะจะพูดจริงแค่ไหน ตรีก็ไม่ใช่ตัวจริงของคุณนะอยู่ดี”
“ตรีพูดแบบนี้ ผมอยากจะกลับไปถอนหมั้นซะเดี๋ยวนี้เลย” ชายหนุ่มว่า ท่าทีจริงจัง
ตรีอัปสรยิ้มบางๆ “ก่อนที่คุณนะจะกลับไปถอนหมั้น เราสั่งอาหารก่อนดีไม๊คะ ตรีหิวจะแย่แล้วค่ะ”
ณเดชย์ยิ้มกริ่ม “โอเค ครับ”
ตรีอัปสรก้มหน้าเลือกเมนู ณเดชย์มองหล่อนอย่างรักใคร่หลงใหล
ที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำในคฤหาสน์ ชญานนท์นั่งทานข้าวอยู่ มุกตาภาซึ่งกำลังจะตักข้าวเข้าปาก มองไปยังโทรศัพท์ตัวเองที่วางอยู่ ก่อนจะวางช้อนแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ชญานนท์มองแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
อีกฟาก ในร้านอาหารหรู แก้วไวน์ชนกัน ก่อนจะเห็นตรีอัปสรกับณเดชย์ยกดื่ม และทานอาหารด้วยกันไป
ณเดชย์มองตรีอัปสรนัยน์ตาหวานฉ่ำ “ผมอยากพาตรีไปเที่ยวทะเลจัง พรุ่งนี้ตรีว่างไม๊”
ตรีอัปสรยิ้ม “อย่าเพิ่งดีกว่าค่ะ”
“แต่ผมอยากอยู่กับตรีตามลำพัง”
“ตอนนี้เราก็อยู่ตามลำพังแล้วนะคะ”
ณเดชย์แววตากรุ้มกริ่มมีเลศนัย “ตามลำพังจริงๆ แบบที่เราเคยอยู่ด้วยกัน”
ตรีอัปสรยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม ก่อนจะพูด “คงไม่ได้แล้วล่ะค่ะ คุณนะ ก็ทราบแล้วนิค่ะ ว่าเพราะอะไร”
ณเดชย์เซ็ง “พูดอะไรไป ตรีก็วกกลับมาเรื่องเดิมตลอด”
ตรีอัปสรอดหัวเราะขำไม่ได้ ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ของณเดชย์ก็ดังขึ้น ณเดชย์
หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นชื่อมุกตาภา เขาคว่ำด้านหน้าโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ไม่รับสาย
“รับโทรศัพท์ก่อนเถอะค่ะ”
มุกตาภาขมวดคิ้ว “ทำไมคุณนะไม่รับสาย”
“กำลังคุยงานอยู่มั้ง”
“ขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
ชญานนท์บอก “เดี๋ยวก็โทร.กลับมาเองล่ะ”
“ขอมุกโทร.อีกครั้งเถอะค่ะ” มุกตาภาโทร.หาณเดชย์อีกครั้ง
ณเดชย์เอื้อมมือมาจับมือตรีอัปสรที่วางอยู่บนโต๊ะ ลูบไล้ไปมาอย่างรักใคร่
“คุณนะ ไม่อยากรู้เหรอค่ะ ว่าตรีกลับมาเมืองไทยทำไม”
“ผมรู้อยู่แล้ว ว่าตรีกลับมาเพราะทนคิดถึงผมไม่ไหว”
ตรีอัปสรหัวเราะเบาๆ แต่ยังไม่ทันพูดอะไร เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีก
“ตรีว่า ถ้าเป็นคนเดิมโทร.มา เค้าคงมีเรื่องด่วนอ่ะค่ะ..คุณนะรับสายก่อนดีกว่า”
“ไม่มีอะไรด่วนหรอกครับ”
“อาจจะเป็นเรื่องสำคัญนะคะ”
“จะมีอะไรสำคัญไปกว่าตรีอีกล่ะครับ”
ตรีอัปสรยิ้มขำความหวานพร่ำเพรื่อของณเดชย์
มุกตาภาวางโทรศัพท์ลง สีหน้ากังวลปนหงุดหงิด “ทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“กินข้าวก่อนเถอะ อีกซักพักค่อยโทร.ใหม่”
“ปกติคุณนะไม่เคยไม่รับสายมุกเลยนะคะ”
“แสดงว่าวันนี้ไม่ปกติ”
มุกตาภาหันขวับมาทางชญานนท์ “ใช่ค่ะ ต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ”
“พี่พูดเล่น มุกก็คิดเป็นจริงเป็นจังไปได้ เชื่อพี่ซิ ไม่มีอะไรหรอก คุณนะน่าจะติดพันเรื่องงานอยู่มากกว่า”
“ติดพันเรื่องงานก็แล้วไปค่ะ แต่ถ้าติดพันเรื่องผู้หญิงล่ะก็ มีเรื่องแน่”
มุกตาภาสีหน้าเอาจริง ซีเรียส
ตรีอัปสรบอกเหตุผลออกไป “ตรีกลับมาประกวดนางงงามค่ะ....นางสาว ณ สยาม”
ณเดชย์คาดไม่ถึง “ประกวดนางงามเหรอ เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ดีๆ ตรีถึงอยากประกวดนางงาม”
ตรีอัปสรยิ้มบางๆ “ใบสั่งจากแม่ค่ะ คุณนะไม่อยากให้ตรีประกวดเหรอคะ”
“ผมจะอยากหรือไม่อยากก็ไม่มีผลกับการตัดสินใจของตรีอยู่แล้ว”
ตรีอัปสรใส่จริตนิดๆ “แหม ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ ถ้าคุณนะไม่สำคัญ ตรีคงไม่ออกมาหาตั้งแต่วันแรกที่กลับมาหรอกค่ะ”
ณเดชย์ยิ้มอย่างพอใจกับคำพูดของตรีอัปสร
เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น “คุณณเดชย์คร๊าบ...”
ณเดชย์หันไปมองเห็นวุฒิและชาติ เพื่อนของเขาเดินเข้ามา
“เฮ้ย วุฒิ ชาติ มาทำอะไรแถวนี้วะ”
“เลี้ยงรุ่น กลุ่มย่อย โห ไม่น่าเชื่อว่าจะมาเจอนายที่นี่ พาคู่หมั้นมาทานข้าวเรอะ”
วุฒิกับชาติยิ้มเป็นเชิงทักตรีอัปสร ณเดชย์หันมาแนะนำ
“ตรีครับ นี่วุฒิกับชาติ เพื่อนผม”
ตรีอัปสรยิ้มหวาน “สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ชาติกับวุฒิยิ้มกว้าง ชื่นชมในความสวยของตรีอัปสรอย่างเปิดเผย
“ยินดีเช่นกันครับ”
วุฒิพูดกับตรีอัปสร “ขออนุญาตเสียมารยาทนิดนึงได้ไม๊ครับ”
ตรีอัปสรยิ้มแต่ไม่พูดอะไร วุฒิรีบพูดต่อ
“ขอยืมตัวนายนะไปเจอกับเพื่อนๆ แป๊บนะครับ”
ชาติบอก “เพื่อนสมัยเรียนมัธยมน่ะครับ”
ตรีอัปสรยิ้ม “ตามสบายค่ะ”
“ผมไปแป๊บเดียว” ณเดชย์บอก
ตรีอัปสรพยักหน้ารับ ณเดชย์เดินไปกับเพื่อนทั้ง 2 คน ที่กอดคอดึงเขาไป ตรีอัปสรหันมายกแก้วไวน์ขึ้นจะจิบ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตรีอัปสรมองโทรศัพท์ณเดชย์ที่คว่ำอยู่ แล้วเอื้อมมือไปหยิบพลิกขึ้นดู เห็นชื่อ มุกตาภา ตรีอัปสรยิ้มเยาะมุมปากนิดหนึ่ง ก่อนจะยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ
รอยลิปสติกสีแดงเข้มตัดที่ขอบแก้ว ตรีอัปสรเอาแก้วของตัวเองวางคู่แก้วของณเดชย์ สีหน้ามีเลศนัย
ประตูห้องนอนมุกตาภาเปิดเข้าไป มุกตาภาเดินเข้ามาในห้องพร้อมแนบโทรศัพท์กับหู จนสายขาดมุกตาภาหงุดหงิดถึงกับขว้างโทรศัพท์ลงบนเตียง
“ไปไหนของเค้านะ”
มุกตาภาเสียงเหวี่ยงมองโทรศัพท์อย่างโกรธจัด ก่อนจะเดินกระแทกเท้าปึงปังไปอาบน้ำ
อารมณ์ของมุกตาภารุนแรง เอาแต่ใจตัวเอง แต่เวลาอยู่ต่อหน้าชญานนท์จะพยายามเก็บอาการไม่ให้พี่ชายเห็น
ภาพจากในจอมือถือของณเดชย์ที่ตรีอัปสรถืออยู่ เป็นรูปแก้วไวน์ 2 ใบ และมีรอยลิปสติกติดอยู่ ตรีอัปสรกำลังอัพรูปนี้ขึ้น I.G ของณเดชย์ หล่อนทำท่าคิดก่อนจะพิมพ์ข้อความลงไปว่า “สองต่อสอง” ก่อนจะอัพขึ้นทันที ตรีอัปสรยิ้มอย่างรู้สึกสนุก
เวลาผ่านไป สองคนเดินมาที่ลานจอดรถ ตรีอัปสรหันไปทางณเดชย์
“ขอบคุณนะคะ สำหรับอาหารมื้ออร่อย”
“ด้วยความยินดีครับ แล้วจะยินดีมากถ้าพรุ่งนี้เราจะทานข้าวด้วยกันอีก”
ตรีอัปสรส่ายหน้า “ไม่ได้หรอกค่ะ แค่นี้ตรีก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว ตรีไม่อยากเป็นมือที่สามนะคะ”
“คุณไม่ใช่มือที่สามนะ ตรี”
ตรีอัปสรพูดจริงจัง “คุณนะ อย่าปลอบ อย่าหลอกให้ตรีสบายใจเลยค่ะ เรื่องระหว่างเราที่ลอนดอน” หล่อนส่ายหน้านิดๆเหมือนรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ครั้งนั้น “ถ้าตรีรู้ ว่าคุณนะมีคู่หมั้นแล้ว ตรีจะไม่มีวันยุ่งกับคุณนะเด็ดขาด ตรีไม่อยากเป็นนางมารร้าย สร้างความร้าวฉานให้กับความรักของคุณกับคู่หมั้นคุณ”
“ตรี ระหว่างผมกับมุก มันไม่ใช่ความรักนะ” เขามองตรีอัปสรแน่วนิ่ง “ผมรักตรีคนเดียว”
“ตรีก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีค่ะ”
“ตรีไม่ผิดหรอก ผมต่างหากที่เป็นคนผิด ผิดที่ไม่เด็ดขาด ผิดที่ยังเคลียร์เรื่องนี้ไม่ได้”
ตรีอัปสรถอนหายใจ “เรื่องบางเรื่องมันก็ไม่ได้เคลียร์กันได้ง่ายๆ หรอกค่ะ...กู๊ดไนท์ค่ะ คุณนะ”
ตรีอัปสรเปิดประตูรถแล้วขึ้นรถขับออกไป ณเดชย์มองตามไปตาละห้อย
ณเดชย์เข้ามานั่งที่คนขับ ถอนหายใจเซ็งๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เห็นที่หน้าจอ 5 สาย ไม่ได้รับ ณเดชย์ทำหน้าเอือมๆ แล้ววางโทรศัพท์ ไม่สนใจ ก่อนจะขับรถออกไป
ตรีอัปสรเดินลงจากรถมาอย่างช้าๆ ดูบ้านและต้นไม้ ดอกไม้ พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
มีเสียงดังขึ้นจากทางหนึ่ง “ดึกๆ แบบนี้ ก็อากาศดีนะ”
ตรีอัปสรหันไปมองทางเสียง เห็นนายพลอัศวินเดินมาจากมุมมืด
“คุณลุง”
“หนูตรีนี่ ดีนะ...ไม่ขวัญอ่อนเหมือนสาวๆทั่วไป”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ “ตรีทราบว่าคุณลุงอยู่แถวนี้ค่ะ”
นายพลอัศวินเลิกคิ้วแปลกใจ “รู้ได้ยังไง ลุงยืนอยู่เงียบๆ”
ตรีอัปสรเดินเข้ามาใกล้ๆ “กลิ่นโคโลญจน์ของคุณลุงไงคะ”
นายพลสูงวัยหัวเราะขำอย่างถูกใจ “ทั้งสวย ทั้งฉลาด ถูกใจลุงจริงๆ”
ตรีอัปสรเอียงคอฉอเลาะ “พอจะเป็นนางสาว ณ สยาม ได้ไม๊คะ”
นายพลอัศวินยังไม่ทันตอบ ดารินทร์ก็เดินมาหาในชุดนอน
“กลับมาแล้วเรอะ...ยายตรี”
“ค่ะ...เพิ่งกลับมาเดี๋ยวนี้ค่ะ”
ดารินทร์พยักหน้า “ไปอาบน้ำอาบท่าเถอะ พรุ่งนี้แม่จะพาไปขัดสีฉวีวรรณซะหน่อย”
“ค่ะ” หญิงสาวหันไปทางสามีแม่ “ตรีขอตัวก่อนนะคะ คุณลุง”
“จ้ะ ไปเถอะ เอาไว้ว่างๆ ค่อยคุยกัน”
“ค่ะ กู๊ดไนท์นะคะ”
ตรีอัปสรยิ้มให้ท่านนายพลและดารินทร์ ก่อนจะเดินแยกไปอีกทาง ดารินทร์เดินมากอดแขนนายพลอัศวิน
“ขึ้นนอนเถอะค่ะ”
นายพลอัศวินพยักหน้า สองคนเดินขึ้นห้องชั้นบนไป
ฟากณเดชย์เดินเข้ามาในบ้าน สีหน้ามีความสุข อารมณ์ดี ฮัมเพลงเบาๆ
เสียงคุณหญิงสุดสวาทดังขึ้น “มีความสุขเหลือเกินนะ ลูกชายชั้น”
ณเดชย์หันไปดูเห็นคุณหญิงผู้เป็นมารดาในชุดนอนกรุยกรายเดินเข้ามา ณเดชย์ยิ้มให้ แล้วถามอย่างแปลกใจ
“วันนี้คุณแม่อยู่บ้านเหรอครับ”
“ถามได้น่าเกลียดมากเลยนายนะ ใครมาได้ยินเข้าจะคิดว่าแม่ชอบไปนอนค้างอ้างแรมนอกบ้าน”
“ไม่มีใครได้ยินหรอกครับ คุณแม่ เอ๊ะ หรือกลัวคุณพ่อจะได้ยินครับ”
“โอย คงจะอยู่ให้ได้ยินหรอก รายนั้น ออกไปตั้งแต่ยังไม่มืด จะรีบไปต้อนรับยายลูกสาวของนังนั่น กลับมาจากเมืองนอก นึกว่าแม่จะรู้ไม่ทันเหรอว่าคิดอะไรอยู่”
ณเดชย์พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ไม่มีพิรุธ คุณหญิงพูดต่ออย่างเมามัน
“กะจะรวบทั้งแม่ทั้งลูก นังแม่มันก็คงเห็นดีเห็นงามด้วยนั่นล่ะ คนสมัยนี้มันไม่ถือสากันแล้ว แม่ลูกใช้ผู้ชายคนเดียวกัน ลูกเองก็เหมือนกัน”
ณเดชย์สะดุ้งมีพิรุธนิดๆ “เกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ”
“ระวังจะไปใช้ผู้หญิงคนเดียวกับพ่อโดยไม่เจตนา”
ณเดชย์อ้าปากหาว “ผมไปอาบน้ำก่อนนะครับ ง่วงนอนแล้ว”
พูดจบณเดชย์ก็เดินขึ้นบันไดไปเลย คุณหญิงมองตามณเดชย์ไปแล้วส่ายหน้า บ่นเบาๆ
“พอชั้นพูดก็ง่วงขึ้นมาเชียวล่ะ เฮ้อ...”
เช้าวันหนึ่ง ประตูลิฟท์คอนโดเปิดออก แลเห็นเจ๊หนึ่งยืนโพสท่าอยู่ในลิฟท์ ก่อนจะเดินออกมาด้วยมาดนางแบบ เจ๊หนึ่งเดินไปตามทางเดินจนถึงหน้าห้องหนึ่ง หยุดกดออดหน้าห้อง รอซักครู่ ก็ยังไม่มีใครมาเปิดประตู
เจ๊หนึ่งกระหน่ำกดออดอย่างไม่เกรงใจ
“โอย ได้ยินแล้ว ได้ยินแล้ว” เสียงโวยวายดังลอดออกมา
เจ๊หนึ่งยิ้มสมใจ ประตูเปิดออก เห็นวรัญญา หริอ รัญ หัวยุ่ง ใส่ชุดนอน หน้าตาไม่แต่ง ยืนหน้ายุ่งอยู่
“เจ๊ มาป่วนอะไรแต่เช้าเนี่ยะ”
เจ๊หนึ่งเดินผ่านวรัญญาเข้ามาในห้อง วรัญญาขมวดคิ้ว ปิดประตูแล้วเดินตามหลังมา
“ว่าไงเจ๊ มีอะไร มาทำไม” วัญญาถามแบบรำคาญสุดๆ
เจ๊หนึ่งเดินไปเปิดม่านให้ห้องสว่างขึ้น ก่อนจะหมุนตัวกลับมาด้วยมาดนางแบบตามสไตล์กะเทยเว่อร์
“นี่ หล่อนมัวแต่มุดหัวนอนปิดม่าน ไม่ได้ลืมตามองโลกภายนอกบ้างรึไงยะ”
วรัญญาหงุดหงิด “เข้าเรื่องเลยดีกว่าเจ๊ จะอ้อมค้อมหลอกด่าให้เสียเวลาทำไมเนียะ”
เจ๊หนึ่งมองวรัญญาหัวจรดเท้า “ก็ได้ ยืดเยื้ออ้อมค้อมไปก็เท่านั้น หล่อนจะได้เอาเวลา ไปฟื้นฟูสาระร่างและหน้าตาของหล่อนโดยไวเลย”
“ทำไม เจ๊จะพารัญไปประกวดนางงามที่ไหนอีก”
“นั่นไง พอชั้นพูดก็หาว่า ชั้นหลอกด่า นี่หล่อนไม่รู้เรื่องจริงๆเหรอยะ ยายรัญ ว่าพรุ่งนี้เค้าจะเปิดรับสมัครนางสาว ณ สยาม กันน่ะ”
วรัญญามองเจ๊หนึ่งแล้วเดินไปนั่งโดยไม่มีมาด เอาสบายเข้าว่า
“รู้....แต่รัญว่า เวทีมันใหญ่เกินไปสำหรับรัญ”
“โอย ไม่มีอะไรใหญ่เกินไปหรอกย่ะ พูดเป็นนางเอกเจียมเนื้อเจียมตัวไปได้ ชั้นให้หล่อนไปประกวดนางงาม ไม่ได้ให้ไปสมัครเล่นละครเป็นนางเอกเข้าใจไม๊”
วรัญญาอดขำไม่ได้ “จะพูดดีๆ แบบไม่กัดจิกนี่ไม่ได้เลยใช่ไม๊...เจ๊”
“Sorry....It’s not my character”
เจ๊หนึ่งทำท่าดัดจริตพูดด้วยสำเนียงฝรั่ง จนวรัญญาต้องอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“เอ้า มัวแต่ขำ ไปอาบน้ำอาบท่า แล้วออกไปนวดตัว นวดหน้า ทำผมกันหน่อย พรุ่งนี้เรามีงานใหญ่ต้องทำ”
“จ้า…”
วรัญญาขยับลุกขึ้นเดินเกาก้นไป เจ๊หนึ่งมองตามด้วยสายตาตำหนิ
“ต๊าย ผู้หญิงสมัยนี้...ช่างกล้าจริงๆ...น่าเกลียดที่สุด”
วรัญญาหัวเราะขำเดินไป ไม่สนใจ จบภาพที่เจ๊หนึ่งค้อนตามหลังไป
ภายในสถานเสริมความงาม ดารินร์ยืนอยู่กับนภาเจ้าของร้านและตรีอัปสร
“คุณนภาช่วยดูให้หน่อยนะคะ ว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“ได้เลยค่ะ”
“ชั้นจะกลับมารับตอนบ่าย”
“ได้ค่ะ”
เสียงเจ๊หนึ่งดังเข้ามา “สวัสดีค่ะ...คุณนภา”
นภามองเลยไป เห็นเจ๊หนึ่งเดินเข้ามากับวรัญญา ดารินทร์หันไปมอง เจ๊หนึ่งเห็นดารินทร์ก็ยิ้ม
กว้าง ถลาเข้ามายกมือไหว้
“คุณดา สวัสดีฮ่ะ แหม...ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณดาที่นี่...สบายดีนะฮะ”
“สบายดีจ้ะ...ขอบใจ”
เจ๊หนึ่งหันไปทางวรัญญา “รัญ...นี่คุณดารินทร์”
วรัญญายกมือไหว้ดารินทร์ แล้วมองเลยไปที่ตรีอัปสร ตรีอัปสรปรายตามองแล้วเมินอย่างไม่ใส่ใจ
เจ๊หนึ่งมองไปที่ตรีอัปสรแล้วยิ้มหวาน ทำท่าตีสนิททันที
“คุณน้อง มากับคุณดาเหรอคะ”
“ค่ะ” ตรีอัปสรหันไปทางนภา “เข้าไปได้เลยไม๊คะ”
“ได้ค่ะ เชิญเลยค่ะ”
พนักงานยืนอยู่แถวนั้น นภาพยักหน้าให้พนักงานนำตรีอัปสรเข้าไป วรัญญามองตามไปอย่าง
หมั่นไส้ ไม่ถูกชะตา
“สวยนะคะ คุณดา แหม...หน่วยก้านแบบนี้ น่าส่งประกวดนะคะ”
ดารินทร์หัวเราะขำ แต่ไม่พูดอะไร
วรัญญาหมั่นไส้พูดโพล่งออกมา “จะเปลี่ยนใจไม๊เจ๊ รัญจะได้กลับ”
วรัญญาพูดอย่างมีนัย รู้กันกับเจ๊หนึ่งว่าหมายถึงอะไร เจ๊หนึ่งหันมามองวรัญญา
“แหมๆๆๆๆๆๆ ใจเย็นๆ ค่ะ น้องรัญ” พลางหันมาทางนภา “ขอโปรแกรมนางงามนะฮะ คุณนภา”
“ค่ะ เชิญด้านในเลยค่ะ คุณน้องรัญ”
วรัญญาเดินเข้าไปด้านใน เจ๊หนึ่งหันมาทางดารินทร์
“จะส่งเข้าประกวดนางสาว ณ สยามค่ะ”
“อ๋อ...จ้ะ ขอให้โชคดีนะ”
“ถ้าหนึ่งได้มีโอกาสดูแล คุณน้องเมื่อกี้รับรอง มงกุฎเห็นๆ เลยค่ะ คุณดา”
ดารินทร์หัวเราะเบาๆ “ขอตัวก่อนนะ ชั้นมีธุระ”
เจ๊หนึ่งยกมือไหว้สวยงาม “สวัสดีค่ะ”
ดารินทร์รับไหว้แล้วเดินออกไป เจ๊หนึ่งมองตาม ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปด้านใน
ประตูห้องประชุมเปิดออก ก่อนจะเห็นชญานนท์ มุกตาภา คุณดิษฐ์ เดินออกมาพร้อมกับทีมงานคนอื่นๆ
“ไปกินข้าวกับพ่อไม๊”
มุกตาภารีบพูด “ไม่อ่ะค่ะ มุกมีนัด”
“ตั้งแต่มีคู่หมั้นนี่ กินข้าวกับพ่อนับครั้งได้เลยนะ” ผู้เป็นบิดาสัพยอก
“มุกไม่ได้นัดกับคุณนะค่ะ มุกนัดกับเพื่อน มุกไปนะคะ”
มุกตาภาหน้าค่อนข้างหงิกแล้วเดินไป ดิษฐ์หันมามองชญานนท์
“มีเรื่องอะไรกันอีกรึเปล่าเนี่ย” คุณดิษฐ์ฉงน
“ผมไปคุยกับมุกก่อนนะครับ พ่อ”
คุณดิษฐ์พยักหน้า “สรุป พ่อกินข้าวคนเดียว ตามเคย”
ชญานนท์รีบเดินไป คุณดิษฐ์มองตาม
มุกตาภาเดินหน้าบึ้งเข้ามา 2-3 ก้าว ก่อนจะหันมา หาชญานนท์ที่เดินมาด้วย
“คุณนะ ยังไม่โทร.มาหามุกเลยค่ะ ตั้งแต่เมื่อคืนที่มุกโทร.ไป มิสคอลของมุก มันไม่ทำให้คุณนะกระตือรือร้นที่จะโทร.กลับมาหามุกเลย”
“คุณนะ อาจจะยังยุ่ง”
มุกตาภาตัดบทเสียงห้วน “พอเถอะค่ะ พี่นนท์ เลิกปลอบใจมุกได้แล้วค่ะ ถ้าพี่นนท์อยากจะช่วยมุกจริงๆล่ะก้อ ช่วยไปบอกคุณนะให้มุกดีกว่าค่ะ ว่าช่วยทำตัวให้ดีๆ หน่อย อย่าทำให้มุกโกรธ”
มุกตาภาพูดจบก็เดินไป ชญานนท์มองตามอย่างเป็นห่วงน้องสาวเจ้าอารมณ์
มุกตาภาทรุดตัวลงนั่งเก้า เห็นแพรวนั่งอยู่ตรงข้าม สองสาวอยู่ในร้านอาหารมื้อกลางวัน
แพรวพูดแหย่เล่น “แพรวนึกว่ามุกจะมาไม่ไหวซะแล้วซิ”
มุกตาภาขมวดคิ้ว “ทำไมมุกจะมาไม่ไหว”
แพรวอมยิ้มมีเลศนัย “อ้าว ก็เมื่อคืนไปฉลองกับคุณนะ สองต่อสองมาไม่ใช่เรอะ”
มุกตาภาสงสัยมากขึ้น “ใครบอก แพรวรู้ได้ยังไง”
“แหม...ก็คุณนะอัพขึ้น I.G ซะขนาดนั้น ประกาศให้โลกรู้เลยนะ ว่าพาคู่หมั้นไปฉลองกันสองต่อสอง”
มุกตาภาหยิบโทรศัพท์ออกมากดเข้าไปใน I.G ทันที
ณเดชย์อยู่ในห้องทำงาน มองภาพใน I.G ของตัวเอง รูปแก้วไวน์ 2 ใบ มีคนมากดไลค์ และคอมเม้นท์จากเพื่อนๆ ที่เข้ามาเย้าแหย่ตรึม ณเดชย์ทำท่าคิดก่อนจะส่ายหน้า พึมพำเบาๆ
“แสบไม่ใช่เล่นนะ ตรี”
ณเดชย์ยิ้มขำๆ แล้วกดเบอร์โทร.หา ตรีอัปสร
ตรีอัปสรอยู่ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สถานเสริมความงาม พูดโทรศัพท์เสียงอ้อน
“แล้วคุณนะโกรธตรี รึเปล่าคะ”
“ผมจะโกรธคุณทำไมล่ะ”
“ก็ตรีละลาบละล้วงไปยุ่งกับโทรศัพท์มือถือของคุณ”
ณเดชย์หัวเราะขำอย่างอารมณ์ดี
“ตรีไม่รู้จริงๆ เหรอว่า ผมไม่มีวันโกรธตรี ตรีทำอะไรผมก็รับได้หมด”
“แต่สิ่งที่ตรีทำเพราะตรีรู้เท่าไม่ถึงการณ์ นี่ถ้าคุณมุกเธอเห็นแล้วเกิดเข้าใจผิดคุณนะจะลำบากใจนะคะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมจัดการได้ อือม์...แต่ถ้าตรีอยากให้ผมสบายใจก็มาเจอกันเย็นนี้อีกซักครั้งได้ไม๊ครับ”
ตรีอัปสรพูดโทรศัพท์ไปก็เปิดแมกกาซีนที่วางอยู่แถวนั้นไปด้วย หัวเราะแต่สีหน้าเฉยเมย
“เกรงว่าจะไม่ได้อ่ะค่ะ ขอเป็นโอกาสหน้านะคะ” พร้อมกับทำหน้าเบื่อๆ “แค่นี้ก่อนนะคะ นะ แม่เรียกตรีแล้วอะค่ะ บ๊ายบายค่ะ”
ตรีอัปสรกดโทรศัพท์แต่ตายังมองคอลัมน์ในแมกกาซีน เห็นรูปอรสินียืนโพสท่าสวยงาม ตรีอัปสรหยิบขึ้นมาอ่าน
“อรสินี วัณณุวรรธน์ ทายาทนักธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์เนม สวย รวย เก่ง” ตรีอัปสร เบ้ปากอย่างหมั่นไส้ “จะครบเครื่องไปหน่อยไม๊ยะเนี่ย”
ที่ร้านอาหาร แพรวมองอาการของมุกตาภาที่โมโหหึงอย่างรุนแรง แต่พยายามระงับไว้
“แพรวก็อยากจะปลอบมุกนะ แต่หลักฐานมันปลอบไม่ลงจริงๆ ขอพูดตรงๆเลยนะ แพรวว่า คุณนะ ต้องแอบคบใครแน่ๆ”
“เอารูปมาลง I.G ขนาดนี้...มันคงไม่แอบแล้วล่ะ แพรว”
“แบบเนี่ยะ เค้าเรียกแอบคน...แต่ไม่แอบการกระทำ เรายังไม่รู้นะว่า ลิปสติกแดงแจ๋เนี่ยะ มันของใคร”
“มุกจะไปพูดกับคุณนะ ให้รู้เรื่อง”
“ใจเย็นมุก ถ้ามุกเอะอะโวยวาย...คุณนะจะไหวตัวทัน แล้วคราวเนี่ย เราจะตามยาก สืบยากนะ”
“แต่ที่คุณนะทำแบบนี้ก็เหมือนไม่เกรงใจมุกเลยนะ ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงมุกก็ต้องเห็น”
“ผู้ชายก็เหมือนกันหมดแหละ ถ้าจับไม่ได้คาหนังคาเขา เค้าไม่มีทางยอมรับหรอก”
มุกตาภาฟังแล้ว ก็คล้อยตามเห็นด้วย
แพรวพูดต่อ “ลองทำเป็นเฉยๆ แล้วแอบสืบไปด้วยดีกว่า ว่านังตัวดีที่เข้ามาแทรกเป็นมือที่สาม มันเป็นใคร”
มุกตาภาสงบลง แต่แววตาวาววับ ร้ายกาจเป็นที่สุด
ฟากเจ๊หนึ่งเดินถือถุงเสื้อผ้าและขนมเดินมา เจ๊หนึ่งมองไป แทนสายตาเห็นตรีอัปสร เดินออกจากเสริมความงาม เจ๊หนึ่งตาโต รีบวิ่งตามไปทันที
“คุณน้องขา...คุณน้อง”
ตรีอัปสรเดินไปไม่สนใจ เจ๊หนึ่งเร่งฝีเท้าจนวิ่งไปดักหน้าตรีอัปสร
“คุณน้องขา...คุณน้องหยุดก่อนค่ะ”
ตรีอัปสรต้องหยุด เพราะเจ๊หนึ่งมายืนดักหน้า เจ๊หนึ่งรีบยิ้มกลบอาการหอบ
ตรีอัปสรวางมาด ไว้ตัว “มีอะไรเหรอคะ”
“คุณน้องทำทรีตเม้นต์ เสร็จแล้วเหรอคะ”
“ชื่อตรีอัปสรค่ะ ไม่ใช่คุณน้อง”
“ค่ะๆ คุณน้องตรีอัปสร...คุณน้องทำทรีตเม้นต์เสร็จแล้วเหรอคะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวานแบบเยาะๆ กวนๆ “ถ้าไม่เสร็จจะเดินออกมาได้ยังไงล่ะคะ”
เจ๊หนึ่งพยักหน้า “อือม์...นั่นซิคะ แหม...เจ๊ไม่น่าถามเนอะ”
“คุณมีธุระอะไรรึเปล่าคะ ถ้าไม่มีอะไร ชั้นรีบค่ะ..มีธุระ”
“เรียกเจ๊ว่า...เจ๊หนึ่งก็ได้ค่ะ...จะได้เป็นกันเอง”
ตรีอัปสรหน้านิ่ง “มีธุระอะไรคะ”
เจ๊หนึ่งหน้าเจื่อนไปนิด แต่ก็อาศัยหน้าด้าน ลูกตื๊อ
“ขอพูดตรงๆ เลยนะคะ คือ...เจ๊เห็นว่า รูปร่างหน้าตาของคุณน้องตรีอัปสร สวยงาม สะดุดตา เจ๊เหลือเกิน เจ๊อยากจะทาบทามคุณน้องตรีอัปสรประกวดนางสาว ณ สยาม น่ะค่ะ”
“แล้วผู้หญิงที่คุณพามานั่นล่ะคะจะทำไง ส่ง 2 คนเลยเหรอ” ตรีอัปสรถาม
“อุ๊ย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ เดี๋ยวเจ๊จัดการได้”
ตรีอัปสรยิ้มบางๆ “งั้นก็ไปจัดการก่อนไม๊ เดินมาโน่นแล้ว”
ตรีอัปสรพูดจบก็หมุนตัวเดินไป เจ๊หนึ่งมองตามขยับจะเรียกแต่ก็ไม่ทัน
เสียงวรัญญาขัดขึ้นก่อน “เจ๊...”
เจ๊หนึ่งทำหน้าเซ็งสุดๆ
วรัญญายื่นหน้าเข้ามามองเจ๊หนึ่ง อย่างพิจารณา สีหน้าไม่พอใจ
“เจ๊ไปคุยอะไรกับยายนั่น”
เจ๊หนึ่งทำท่ารำคาญ “เจ๊ก็คุยไปตามประสาเจ๊...เจอใครเจ๊ก็เจ๊าะแจ๊ะไปเรื่อย”
“อุตส่าห์ไปตามรัญมาประกวด ก็ช่วยดูแลรัญให้เต็มที่หน่อยนะเจ๊”
เจ๊หนึ่งฉุน “นี่หล่อน...ก่อนที่จะอ้าปากว่าเจ๊เนี่ยนะ ช่วยเบิ่งตาดูให้ทั่วหน่อย ระหว่างที่หล่อนนอนให้เค้าบำรุงบำเรอความงามอยู่ เจ๊เนี่ยนะ ก็ไปช้อปชุดสวยสีถูกโฉลกมาเตรียมไว้ให้ใส่ไปพรุ่งนี้”
วรัญญาตาโต “ไหนอ่ะ ขอรัญดูหน่อย
“ไม่ได้ ค่อยดูพรุ่งนี้ ใส่แล้วไปสมัครเลย รีบไปทำตัวให้เสร็จเร็วๆ เถอะ”
วรัญญา ยอมลุกขึ้นเดินเข้าไปส่วนใน เจ๊พี่เลี้ยงนางงามมองตามไปแล้วส่ายหน้าเซ็งๆ
“เยอะจริงๆ พวกชะนีเนี่ย”
ชญานนท์ถือกล่องขนมเค้กเดินมาตามทางเดิน ในขณะที่ตรีอัปสรเดินมาจากอีกทางแต่ก้มหน้าล้วงกระเป๋าเพื่อหาแว่นตากันแดด สองคนเดินชนกันตรงมุมตึกพอดี
ตรีอัปสรร้องอย่างตกใจ “อุ๊ย”
ตรีอัปสรเซไปในขณะที่กล่องขนมของชญานนท์หลุดมือตกกับพื้น ต่างฝ่ายต่างยังไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ชญานนท์คว้าตัวตรีอัปสรไว้ไม่ให้ล้ม ตรีอัปสรขยับตัวออกเหมือนพยายามตั้งหลักเอง
ตรีอัปสรมองชญานนท์ ทั้ง 2 ฝ่ายต่างคิดไม่ถึงว่าจะเจอกัน ชญานนท์ปล่อยตรีอัปสรทันที
“คุณนนท์”
ชญานนท์ไม่ได้เรียกชื่อ แต่หันไปมองกล่องขนมเค้กที่ตกอยู่ หยิบกล่องขึ้นมา ตรีอัปสรขยับเข้าไปมองกล่องขนม
“น่าจะเละหมดแล้วล่ะค่ะ...ลงไปแบบนั้น”
“ก็น่าจะ”
“ตรีขอโทษนะคะ”
ชญานนท์ตัดบท “มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่เป็นไรหรอก”
“ตรีไปซื้อให้ใหม่ดีกว่า ถ้าตรีไม่ชนคุณ ก็คงไม่เป็นแบบนี้”
ชญานนท์มองตรีอัปสร “เธอ...คุณไม่ได้ตั้งใจจะชนผมนี่ มันเป็นอุบัติเหตุ”
ชญานนท์สบตาตรีอัปสรอีกครั้ง ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปด้านในใหม่ ตรีอัปสรมองเหมือนคิดอะไรบางอย่าง
“เดี๋ยวค่ะ”
ชญานนท์หยุดเดินหันมามอง ตรีอัปสรเดินเข้าไปใกล้ๆ
ตรีอัปสร “คุณซื้อไปฝากคุณอรใช่ไม๊คะ”
ชญานนท์เลิกคิ้วเหมือนจะถามว่า จะถามไปทำไม ตรีอัปสรพูดต่อ
“ถ้าใช่ ตรีขอซื้อฝากไปให้คุณอรกับคุณรุจได้ไม๊คะ”
“ผมว่าคุณซื้อเอง แล้วเอาไปฝากเองจะดีกว่า”
ชญานนท์ก้มหัวให้นิดหนึ่ง แล้วหมุนตัวเดินไป ตรีอัปสรมองตามอย่างเจ็บใจ
กล่องขนมวางลงพร้อมกับ ชญานนท์ ทรุดตัวลงนั่ง น้อยเอาน้ำมาเสิร์ฟแล้วเดินออกไปอรสินีมองกล่องขนมก็ยิ้มหวาน
“ขอบคุณมากค่ะ พี่นนท์ กำลังอยากทานเลยค่ะ”
“ได้ค่ะ แต่ต้องหลังจากเราไปทานข้าวกันก่อน พี่จองโต๊ะไว้แล้ว”
“ไม่ปฏิเสธค่ะ”
เสียงสลิลทิพย์ดังเข้ามา “แต่แม่ว่า ทานกันที่บ้านดีกว่านะ”
สลิลทิพย์เดินเข้ามา ทั้งชญานนท์และอรสินีหันไปมอง
“ช่วงนี้น้าไม่อยากให้ใครรู้ว่าอรกับนนท์เป็นแฟนกัน”
อรสินีกับชญานนท์มองหน้ากัน แล้วหันไปมองสลิลทิพย์
“นนท์เองก็เป็นผู้บริหารของ Thai 10 ถ้าสื่อรู้ว่ามีคู่รักเป็นหนึ่งในผู้เข้าประกวดนางสาว ณ สยาม มันจะไม่ดีนะ เป็นที่ครหาเปล่าๆ ยิ่งถ้ายายอรได้ตำแหน่ง นางสาว ณ สยาม ยิ่งเป็น talk of the town แน่ มันจะเสียหายกันไปหมด”
“ครับ ผมเข้าใจ”
“พวกนักเลงคีย์บอร์ดอีกชอบแสดงความคิดเห็นแรงๆ เราต้องพยายามไม่ตกเป็นเหยื่อคนพวกนี้นะ” สลิลทิพย์เสริม
“ค่ะ”
“เพราะฉะนั้น ถ้านนท์จะมาหาอร น้าขอให้มาเจอกันที่นี่เท่านั้น หยุดออกไปไหนมาไหนด้วยกัน ซักพัก”
อรสินีพูดต่ออย่างติดตลก “จนกว่าอรจะตกรอบ”
สลิลทิพย์ไม่พอใจ พูดจริงจัง “ยายอร พูดจาอะไรเนี่ยะ อย่าให้แม่ได้ยินอีกนะ”
อรสินีหน้าเจื่อนไป เมื่อถูกสลิลทิพย์ดุอย่างจริงจัง
“อรพูดเล่นค่ะ”
สลิลทิพย์เสียงเข้ม “ไม่ใช่เรื่องพูดเล่นเลย” มองเลยไปที่ขนมเค้ก เหมือนของขึ้นแล้ว
“แล้วขนมเค้กก็อย่ากินเยอะล่ะ ตอนนี้ต้องระวังทั้งรูปร่าง ทั้งผิวพรรณ พรุ่งนี้เช้าเราจะไปสมัครกัน ฤกษ์ดีออกจากบ้าน 9 โมงเช้า เตรียมตัวให้พร้อม เข้าใจไม๊”
ด้านตรีอัปสรซึ่งยกแก้วน้ำส้มขึ้นจิบ แล้ววางแก้วลง ถามย้อนกลับ
“ไม่เข้าใจค่ะ”
ดารินทร์นั่งตรงข้ามกับตรีอัปสร กำลังทานอาหารกันอยู่
“แกหัดเข้าใจอะไรง่ายๆ หน่อยได้ไม๊...ตรี”
“ก็ตรีไม่เข้าใจว่าทำไมเราจะต้องตาลีตาเหลือกไปสมัครตั้งแต่วันแรก”
“ก็ชั้นได้ฤกษ์มา ฤกษ์ดีที่สุด”
“นี่ถ้าทุกคนไปดูฤกษ์ที่เดียวกับแม่ พรุ่งนี้คงแห่กันไปหมด”
“อุ๊ย อาจารย์ที่ชั้นไปดู ท่านไม่ดูให้ใครพร่ำเพรื่อหรอกย่ะ”
“แต่ถึงยังไงตรีก็ไม่ไปพรุ่งนี้เด็ดขาด ตรีอยากเห็นก่อนว่าจะมีใครเป็นคู่แข่งของตรีบ้าง”
ดารินทร์คร้านจะเถียง ถอนหายใจ “ตามใจแก เดี๋ยวชั้นไปดูฤกษ์ใหม่ก็ได้ ว่านอกจากพรุ่งนี้แล้ว ยังมีฤกษ์ดีวันไหนอีก”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ ดารินทร์หงุดหงิดเล็กน้อยหันไปทางบ๋อย
“บ๋อย เช็คบิล”
อรสินีถือถาดใส่กาแฟกับขนมเค้กมาวาง อรสินีจัดกาแฟส่งให้ชญานนท์ สองหนุ่มสาวอยู่ในมุมพักผ่อนบ้านสลิลทิพย์มุมหนึ่ง
“ดื่มกาแฟตอนนี้แล้วจะนอนกี่โมงคะ พี่นนท์”
“พี่มีงานต้องกลับไปทำต่อ”
“วันนี้มาอยู่กับอรทั้งวัน ก็เลยไม่ได้ทำงาน”
“ดีแล้วละ ที่พี่มา เพราะจากวันนี้ไปแล้ว พี่คงทำได้แค่ อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ”
อรสินีอดขำไม่ได้ “พี่นนท์ก้อ”
“ก็รึไม่จริงล่ะ โดนคำสั่งประกาศิตมาแล้ว”
“ถ้าพี่นนท์อยากคุยกับอร เราก็มาเจอกันที่บ้านไงคะ”
“ครับผม”
น้อยเข้ามา “คุณอรคะ คุณผู้หญิงให้มาบอกว่า คืนนี้ให้คุณอรนอนแต่หัวค่ำค่ะ พรุ่งนี้จะได้สวย สดชื่น”
อรสินีอดขำคำพูดของน้อยไม่ได้ “จ้ะ”
น้อยเดินกลับออกไป ชญานนท์หันมามองอรสินี “เริ่มกฎเหล็กแล้ว”
“ครั้งนี้คุณแม่จริงจังจนอรแปลกใจ”
“แล้วทำไมน้องอรไม่ถามคุณน้าล่ะค่ะ”
“ถามแล้วค่ะ แต่เหมือนคุณแม่จะตอบไม่หมดน่ะค่ะ อรว่าต้องมีอะไรมากกว่าที่คุณแม่บอก”
ชญานนท์พูดทีเล่นทีจริง “คุณน้าอาจจรอบอกวันที่อรได้เป็น นางสาว ณ สยามก่อนก็ได้มั้ง”
อรสินีขำๆ “ถ้างั้นสงสัยชาตินี้อรคงไม่ได้รู้ความจริงทั้งหมดแน่นอนค่ะ”
ชญานนท์หัวเราะขำ คำพูดของอรสินี ขยับเข้ามาใกล้ทำท่ากระซิบกระซาบ
“อย่าพูดแบบนี้ให้คุณน้าได้ยินเด็ดขาดนะ นอกจากน้องอรจะไม่รู้ความจริงแล้ว ยังโดนดุที่แช่งตัวเองล่วงหน้าอีก”
อรสินีหัวเราะขำกับชญานนท์อย่างมีความสุข
เช้านี้ ในห้องโถงสถานีโทรทัศน์ Thai 10 ถูกใช้เป็นสถานที่รับสมัครนางงาม แลเห็นป้าย “นางสาว ณ สยาม” มีสาวงามเดินขวักไขว่ ส่วนใหญ่มาพร้อมกับพี่เลี้ยง
โดยที่ทางเดินเข้า เห็นภารดีเดินมากับพี่ทิปปี้ ภารดีหันมาบอกทิปปี้
“พี่ทิปปี้ ไม่ต้องเข้าไปหรอก”
“อ้าว ทำไมล่ะ ชั้นมาจนจ่อทางเข้าแล้ว เกิดจะไม่ให้เข้า”
“ก็ดีบอกแล้วว่าดีมาเองได้ พี่ทิปปี้ก็ยังจะมาอีก”
“นี่ คุณภารดี ตกลงยังไงยะ เห็นว่าของรางวัลเยอะ ก็เลยคิดจะเฉดหัวชั้นออกจากตำแหน่งพี่เลี้ยงรึไง”
“ไม่ได้เฉดหัว แหม..พี่ทิปปี้ก็พูดเกินไป ก็แค่ เวทีนางสาว ณ สยามเนี่ย ไม่ต้องมีพี่เลี้ยงก็ได้ค่ะ เพราะเวทีนี้เค้าจัดพี่เลี้ยงมาให้อยู่แล้ว”
ทิปปี้ยังไม่ทันจะวี๊ดบึ้มโวยวาย เสียงเจ๊หนึ่งแหลมเข้ามา “ฮัลโหล”
ทั้งทิปปี้และภารดีหันไปมอง เห็นเจ๊หนึ่งเดินมากับวรัญญา ในชุดสีเขียวสดสว่าง
“ปรึกษาหารือเรื่องอะไรกันอยู่จ๊ะ ดูสมัครสมานสามัคคีกันเชียว”
“กะแล้วว่าต้องมาเจอเธอที่นี่” วรัญญาว่า
“ก็เหมือนกันล่ะ ชั้นก็คิดอยู่แล้วว่า ต้องมาเจอเธอที่นี่” ภารดีมองวรัญญาหัวจรดเท้า “ชุดสวยน่ะ สีสดุดตาขนาดนี้ น่าจะได้คะแนนรสนิยมมากกว่าคนอื่นแน่ๆ เลย”
วรัญญาขยับปากจะตอกกลับ แต่เจ๊หนึ่งดึงวรัญญาให้หันไปมองประตูทางเข้า
เวลานั้น รถยนต์หรูแล่นมาจอด คนขับรถวิ่งอ้อมมาเปิดประตู สลิลทิพย์ลงมาก่อน อรสินีเดินตามลงมาติดๆ จะนักข่าว 4-5 คน กรูกันเข้ามาถ่ายรูป และช่างภาพทีวีของ Thai 10 ก็เข้ามาถ่ายเหมือนกัน สลิลทิพย์ให้อรสินีหยุดยืนให้นักข่าวถ่ายรูปก่อน
นักข่าวเดินผ่านทิปปี้ ภารดี เจ๊หนึ่ง วรัญญา ออกไป 2-3 คน ทั้ง 4 คน หันไปมองอย่างสนใจ
“ใครอ่ะ” เจ๊หนึ่งแปลกใจ
ทิปปี้บอก “ตกข่าวรึไงยะ นั่นน่ะ...แม่ ลูก ไฮโซสลิลทิพย์กับอรสินีไง”
“อย่าบอกนะ ว่ามาประกวดด้วย”
“ก็ใช่น่ะซิ”
ทุกคนเห็นสลิลทิพย์และอรสินียังยืนให้ช่างภาพถ่ายรูปอยู่ อรสินียิ้มหวาน
วรัญญาอดชมไม่ได้ “สวยนะ....สวยมากเลย”
เจ๊หนึ่งแขวะ “อย่าเพิ่งถอดใจซิ ของแบบนี้ สวยอย่างเดียวไม่พอหรอก”
“ขอบใจน่ะ เจ๊ ที่พยายามปลอบ บางทีรัญอาจจะชนะเลิศคว้ามงกุฎเพราะชุดเขียวนี่ก็ได้ ใช่ไม๊”
“ถูกต้อง ไป๊ เข้าไปกรอกใบสมัครเถอะ”
เจ๊หนึ่งควงแขนวรัญญาเดินเข้าไป ทิปปี้กับภารดีมองหน้ากัน
“เจอคู่ต่อสู้ ขนาดเนี้ยะ ถ้าคิดว่าตัวคนเดียวจะเอาอยู่ ก็ตามใจนะ ชั้นจะได้กลับ”
ภารดีมองทิปปี้แล้วมองไปอีกทางเห็นอรสินีเดินมากับสลิลทิพย์ ยังมีช่างภาพตามถ่ายรูป อรสินีและ
สลิลทิพย์เดินผ่านไป สุดท้ายภารดีหันมาทางทิปปี้
“ไป พี่ทิปปี้ เข้าไปข้างในเหอะ”
ทิปปี้ยิ้ม “คิดถูกมาก ภารดี คนเดียวหัวหาย สองคนน่ะ คนอื่นตาย ไป๊ ลุย”
ภารดีเดินเข้าไปกับทิปปี้
ตรงโต๊ะรับใบสมัครในห้องโถง เจ้าหน้าที่ยื่นใบสมัครมาให้ อรสินีรับใบสมัครมาจากเจ้าหน้าที่ของกองประกวด
“ขอบคุณค่ะ”
อรสินีเดินไปที่เก้าอี้ เพื่อกรอกรายละเอียด โดยมีสลิลทิพย์หน้าตายิ้มแย้ม ตามมาติดๆ
“อร เขียนใบสมัครไปก่อนนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปตามนักข่าวมาสัมภาษณ์”
อรสินีเงยหน้าขึ้น ยังไม่ทันพูดอะไร สลิลทิพย์ก็ลุกขึ้นเดินไป สวนกับวรัญญาและเจ๊หนึ่งที่เดินมาหาที่นั่งเขียนใบสมัครเหมือนกัน อรสินีส่งยิ้มให้ วรัญญายิ้มตอบ แต่ยังไว้เชิงอยู่ ในขณะที่อรสินียิ้มอย่างจริงใจ แล้วก้มหน้าเขียนใบสมัครก่อน วรัญญาเห็นความจริงใจของอรสินีก็ทรุดตัวลงนั่ง เจ๊หนึ่งขยับนั่งอีกด้านของวรัญญา
“เดี๋ยวเจ๊มานะ”
วรัญญาพยักหน้า แล้วหันมาเขียนใบสมัครไป
อีกมุมหนึ่งในห้องโถงรับสมัครสถานี ไทยเท็น ภารดีซึ่งนั่งอยู่อีกโต๊ะ นั่งมองใบสมัครแล้วเลื่อนไปให้ทิปปี้
“เริ่มทำหน้าที่พี่เลี้ยงเลย พี่ทิปปี้”
ทิปปี้มองแล้วก้มลงดูใบสมัคร ภารดีหยิบปากกาไปวางตรงหน้า ทิปปี้พยายามเก็บอาการก้มหน้าก้มตาเขียนใบสมัครให้ภารดี
กลุ่มนักข่าว ช่างภาพ ยืนรอดูว่าจะมีใครมาสมัครอีก สลิลทิพย์เดินเข้ามาหา หน้าตายิ้มแย้ม
“น้องๆ สื่อที่เมื่อสักครู่ถ่ายรูปน้องอรไปแล้ว ถ้าจะสัมภาษณ์ก็ได้เลยนะคะ น้องเขียนใบสมัครใกล้เสร็จแล้วค่ะ”
ขณะที่สลิลทิพย์คุยกับสื่ออยู่ เจ๊หนึ่งซึ่งเดินตามมามอง สลิลทิพย์เจ๊าะแจ๊ะกับสื่ออยู่อย่างคาดไม่ถึง
“ไฮโซ....มาแรงนะยะ”
เจ๊หนึ่งพึมพำรีบปรับสีหน้าเป็นยิ้มกว้างแล้วเดินเข้าไปหาสื่อ
“คิดถึงจังเลย”
บรรดาสื่อเห็นเจ๊หนึ่งก็ทักทายอย่างมักคุ้นกันมาก่อน สลิลทิพย์มองเจ๊หนึ่งกับสื่อก็พยายามยิ้มให้เพราะเชื่อมั่นว่าอรสินีสวยกว่า
“วันนี้พาน้องรัญมาจ้ะ ถ้ายังไงอย่าลืมไปถ่ายรูปเก็บไว้หน่อยนะ” เจ๊หนึ่งว่า
สลิลทิพย์พูดต่อกับสื่อ “ไปกันเลยไม๊”
เจ๊หนึ่งยิ้มหวานให้สลิลทิพย์ก่อนจะยกมือไหว้นอบน้อม
“สวัสดีค่ะ” พลางหันไปทางสื่อ “เชิญค่ะ เจ๊ขอนำไปนะ”
เจ๊หนึ่งเดินนำไป สื่อเดินตาม สลิลทิพย์รีบตามไปติดๆ
ในห้องโถงรับสมัคร สถานีโทรทัศน์ไทยเท็น ตอนสาย
ภารดีซึ่งนั่งอยู่กับทิปปี้ที่กำลังก้มหน้าก้มตาเขียนใบสมัครอยู่ ภารดีมองไปที่กลุ่มสื่อมวลชน ที่กำลังสนใจสลิลทิพย์กับเจ๊หนึ่งอยู่ ภารดีครุ่นคิดเจ้าเล่ห์ แล้วหันไปมองวรัญญา ที่เขียนใบสมัครเสร็จ กำลังลุกขึ้นถือใบสมัครไปส่งเจ้าหน้าที่ด้านหน้า
ภารคิดปราดเดียวแล้วรีบลุกขึ้นก่อนจะถลาเหมือนจะสะดุดล้ม ตัดหน้าวรัญญาซึ่งกำลังก้าวเดินมา วรัญญาโดนภารดีแต่เหมือนผลักโดยไม่เจตนา ภารดีล้มลงไปเหมือนโดนผลัก ส่วนวรัญญาแค่เซเสียหลัก
ภารดีร้อง “ว้าย...โอย...”
วรัญญาตกใจร้อง “ว้าย”
เสียงของ 2 สาว ทำให้เหล่านักข่าว สื่อมวลชนหันมามองแล้วพุ่งเข้ามาถ่ายภาพไว้ ทิปปี้รีบถลาเข้ามากลางวงสื่อมวลชนอย่างรวดเร็ว สีหน้าตกใจเกินเหตุ
“ภารดี น้องดี ต๊าย ตายๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เจ็บไม๊ฮะ แข้งขาเป็นยังไงบ้าง มีแผลที่ไหนบ้างไม๊”
ช่วงที่ทิปปี้เข้าไปประคองภารดี เจ๊หนึ่งก็แทรกเข้าไปหาวรัญญา ที่ยังงงๆอยู่
“น้องรัญ เกิดอะไรขึ้นคะ ใครทำใครคะ”
วรัญญารีบส่ายหน้า “เปล่าค่ะ ไม่มีใครทำใคร คือ รัญว่า...”
ภารดีรีบชิงพูดดักก่อนที่วรัญญาจะพูดอะไรให้ภารดีเสียเปรียบ
“ดีเองค่ะ ดีผิดเอง ดีจะรีบไปขอใบสมัครใหม่น่ะค่ะ ก็เลยสะดุดเก้าอี้ ถลาไปโดนรัญพอดี”
ภารดีหันไปมองวรัญญา ด้วยท่าทางและแววตาที่อ่อนโยน รู้สึกผิด
“ดีขอโทษนะคะ รัญ เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่าคะ”
วรัญญามองภารดีอย่างรู้ทันกัน จึงเล่นต่อทันที
“ไม่เป็นไรหรอก รัญไม่เจ็บ แค่ตกใจน่ะ ไม่คิดว่าจะเจออะไรแบบนี้”
เจ๊หนึ่งหันมาพูดกับสื่อทีเล่นทีจริง “หวังว่าเรื่องสาวงามจับกบคงไม่เป็นประเด็น ไม่เป็นข่าวนะคะ”
สลิลทิพย์เสริมทันที “ใช่ค่ะ เชิญทางนี้ดีกว่าค่ะ มาสัมภาษณ์เรื่องความรู้ ความสามารถดีกว่าสร้างสรรค์กว่าเยอะ”
สื่อและนักข่าวตามสลิลทิพย์ไปที่อรสินี วรัญญาหันไปมองภารดี ยิ้มเยาะเล็กๆ ภารดีแอบเจ็บใจนิดๆ
ภายในในห้องโถงสถานี ไทยเท็น นักข่าวสาวสายนางงามเจ้าเก่า ศรศรี มณีศิลป์ กำลังยืนรายงานข่าวอยู่
“คุณผู้ชมคะ วันนี้เป็นวันแรกของการรับสมัครประกวดนางสาว ณ สยามนะคะ มีสาวงามตบเท้า เข้ามาสมัครอย่างหนาตาตั้งแต่วันแรกเลยค่ะ และภาพที่คุณผู้ชมเห็นก็คือบรรยากาศในอาคารของสถานีโทรทัศน์ ไทยเท็น ซึงเป็นสถานที่รับสมัครสาวงามผู้เข้าประกวด นางสาว ณ สยาม”
บรรยากาศพลุกพล่าน บรรดาสาวงาม ต่างก็พยายามจะนำเสนอตัวเองให้กล้องจับภาพ ทั้งยิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือ ส่งจูบ สารพัด นักข่าวสาวยังคงรายงานต่อไป
“สาวงามที่เข้าร่วมประชันความงามในครั้งนี้นะคะ ก็มาจากหลากหลายสาขาอาชีพ หลายคนมีตำแหน่งติดตัวมา แต่ ที่โดดเด่นที่สุด เห็นจะเป็นสาวสวย ลูกสาวนักธุรกิจชื่อดัง ผู้นำเข้าเสื้อผ้าแบรนด์เนมหลายยี่ห้อ คุณอาชัญ และคุณสลิลทิพย์ วัณณุวรรธน์ เราไปสอบถามเธอถึงความรู้สึกในวันนี้กันค่ะ”
อรสินี ยืนอยู่กับสลิลทิพย์
นักข่าวสาวรายงาน “คุณ อรสินี วัณณุวรรธน์ค่ะ”
กล้องจับภาพ อรสินี ยกมือไหว้อย่างสวยงามและยิ้มหวาน “สวัสดีค่ะ”
“ขอถามคำถามแรกเลยนะคะ คุณอรสินีเคยประกวดที่เวทีไหนมาก่อนไม๊ค่ะ”
อรสินีส่ายหน้านิดๆ “ไม่เคยค่ะ เวที นางสาว ณ สยามเป็นเวทีแรกของ อร ค่ะ”
“ถือว่าเป็นน้องใหม่ในวงการ นางงามเลยนะคะ แล้วทำไมคุณอรสินีตัดสินใจเลือกที่จะมาประกวดนางสาว ณ สยาม คะ”
“เวที นางสาว ณ สยาม เป็นเวที ที่ทรงเกียรติ บริสุทธิ์ ยุติธรรมค่ะ และที่สำคัญ ผู้ที่ได้รับเลือกเป็น นางสาว ณ สยาม จะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติ และรูปสมบัติครบถ้วนเพียบพร้อม ซึ่งถ้าใครได้ตำแหน่งนี้ก็จะเป็นความภาคภูมิใจเป็นที่สุดค่ะ”
สลิลทิพย์ ยิ้มปลื้มปริ่มกับคำตอบของ อรสินี นักข่าวสาวพากล้องไปอีกทาง
“เราจะไปคุยกับสาวงามคนอื่นกันบ้างนะคะ”
นักข่าวสัมภาษณ์ วรัญญา เจ๊หนึ่งอยู่ใกล้ๆ รวมไปถึง ภารดี และ ทิปปี้
ภาพในจอทีวีห้องโถงบ้านดารินทร์ เป็นรายงานข่าว และบรรยากาศการรับสมัครนางงาม ตรีอัปสรนั่งดูอยู่บนโซฟา เห็นอรสินีประกวดด้วย
“คุณอร ลงประกวดด้วยเหรอเนี่ย”
ตรีอัปสรนั่งดูอย่างสนใจ โดยไม่ทันเห็นว่าดารินทร์มายืนดูอยู่ข้างหลัง
“นังสลิลทิพย์ มันส่งลูกสาวลงประกวดจริงๆ ด้วย ฮึ นึกแล้วไม่มีผิด”
ตรีอัปสรหันไปมองดารินทร์อย่างแปลกใจ
“แม่รู้จักคุณสลิลทิพย์นี่ด้วยเหรอ”
“ไปเรียกมัน คง คุณ ทำไม”
ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของดารินทร์ใส่อารมณ์โกรธเกลียด อย่างไม่ปิดบัง ตรีอัปสรยิ่งแปลกใจมากขึ้น ดารินทร์เดินมานั่งคู่กับอรสินี ก่อนจะพูดต่อ
“ชั้นรู้จักมันดีเลยล่ะ รู้เช่นเห็นชาติเลยว่ามันเป็นคนยังไง ตรี การประกวดคราวเนี่ย แกต้องได้เป็นนางสาว ณ สยามเท่านั้น”
ตรีอัปสรแย้ง “แต่คุณอร เธอก็สวยนะแม่ แถมยังเป็นไฮโซ มีการศึกษา”
“แล้วแกด้อยกว่าลูกสาวนังสลิลตรงไหน แกก็เป็นไฮโซ นักเรียนนอก สวย รวย เป็นลูกสาวดีไซเนอร์ชื่อดัง ชั้นว่าแกมีคุณสมบัติมากกว่ายายนั่นตั้งเยอะ”
“แล้วที่เคยอยู่ในสลัมนี่ ถือเป็นคุณสมบัติด้วยรึเปล่า”
ดารินทร์ทำท่าคิด “ชั้นจะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส แกคอยดูแล้วกัน คราวเนี่ยนังสลิลทิพย์จะต้องเจ็บมากกว่าที่มันเคยทำชั้นไว้”
ตรีอัปสรมองดารินทร์อย่างสงสัยมากขึ้น ว่าแม่กับสลิลทิพย์ เคยมีอะไรกัน
ใบหน้าสวยของตรีอัปสรเต็มไปด้วยความสงสัย
อานต่อตอนที่ 2