ปีกมงกุฎ ตอนที่ 5
คืนเดียวกันนั้น เจ๊หนึ่งเดินเข้ามาในห้องพักวรัญญา ทรุดตัวลงนั่งตรงโซฟามุมรับแขกหน้าเครียด
“กระแสยัยอรสินีกับตรีอัปสร มาแรงกว่าที่คิด”
“แล้วยัยภารดีล่ะ อุตส่าห์สร้างเรื่องว่าสะดุดขายัยตรีอัปสรจนหัวทิ่มชาวบ้านเค้าไม่สงสารโหวตให้มั่งเหรอ”
“โอ๊ย...คนสมัยนี้ไม่โง่ ให้ใครจูงจมูกได้ง่ายๆหรอก ยกเว้นจะมีเงินมาล่อ”
วรัญญาทำหน้าเซ็งๆ “รัญ ไม่หวังหรอกค่ะ เจ๊ ว่าจะได้คะแนนโหวตสูงสุด”
เจ๊หนึ่งพูดต่อ “ยกเว้นเราจะซื้อซิมโทรศัพท์แจก”
วรัญญาตาโต “ห๊ะ ขนาดนั้นเลยเหรอ เจ๊”
เจ๊หนึ่งหมั่นไส้ ถอนใจเซ็ง “หล่อนจะตาโต ตกใจอะไรขนาดนั้นห๊ะ ทำยังกับไม่เคยได้ยินไอ้รายการที่โหวตๆ กันชั้นว่าเค้าก็ทำแบบนี้ทั้งนั้นล่ะ”
“ถ้าเราทำแบบนั้น แล้วนักข่าวรู้ เอามาเม้าท์ที่หลังจะทำไงล่ะเจ๊”
“โอ๊ย ให้มันได้ก่อนเหอะ นาทีนั้นไม่มีใครเค้ามาสนใจหรอก ข่าวแบบนี้เม้าท์วันเดียวก็มีข่าวใหม่ๆมากลบเรื่องของเราแล้ว ที่เจ๊พูดเนี่ย ก็แค่จะบอกให้รู้ว่า เจ๊จะจ่ายให้ก่อน พอได้รางวัลค่อยมาจ่ายคืน”
วรัญญาพยักหน้า “มาถึงขั้นนี้แล้ว เอาไงก็เอากันเถอะเจ๊”
“ไม่ต้องห่วง เจ๊ดันอย่างเจ๊หนึ่ง ไม่คิดอะไรสั้นๆ หรอกน่ะ...ยังไง เจ๊ก็ต้องทำทุกอย่างให้รัญ มีรายได้เข้ามา คอยดูแล้วกัน”
พี่เลี้ยงนางงามเขี้ยวลาก มีสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
เช้าวันถัดมา เห็นรถบัสจอดอยู่หน้าช่องไทยเท็น ทีมพี่เลี้ยงยืนอยู่หน้าทางขึ้นรถบัส 2-3 คน พี่เลี้ยง 1 เดินมาหากลุ่มพี่เลี้ยง 2 พี่เลี้ยง 3
พี่เลี้ยง 2 ร้องถาม “มากันครบรึยัง”
พี่เลี้ยง 1 บอก “ยัง ขาดอีกคนนึง”
พี่เลี้ยง 2 ถาม “ใครล่ะ”
ภายในห้องพักสถานีโทรทัศน์ไทยเท็น รูปตรีอัปสรจากปกและแฟชั่นในหนังสือบีลิฟ ได้ระบความสนใจอย่างมาก วรัญญา ภารดี เปิดหนังสือดู มีสาวๆ คนอื่นมายืนมุงดูด้วย เสียงฮือฮาประมาณว่า สวยเนอะ สวยเชียว
ภารดีหน้าหงิก อารมณ์เสีย หมดความอดทน ลุกขึ้นพรวด เหวี่ยงเต็มสูบ
“โอ๊ย จะชม ชะเลีย อะไรกันนักหนาเนี่ย”
บรรดาสาวงามที่ชมตรีอัปสร ถึงกับชะงักอ้าปากค้าง หน้าจ๋อย เมื่อเห็นท่าทางเอาจริงของภารดี
ภารดีพูดใส่หน้า “น่ารำคาญ”
ดาราวรรณกับกัลยาณี ซึ่งนั่งอยู่ไม่ห่างนัก มองภารดี แล้วหันมาสบตากัน ก่อนจะหันกลับไปมองภารดีอีกครั้ง ภารดีมองไปที่อรสินีซึ่งนั่งถัดไป และกำลังดูรูปตรีอัปสรจากหนังสือบีลิฟในมือ ภารดีหมั่นไส้เดินไปหาอรสินี
“อรสินี เพื่อนเธอยังไม่มาอีกเหรอ”
อรสินีเงยหน้าขึ้นมองภารดีอย่างงงๆ ในคำถาม วรัญญาเดินตามภารดีมา
“รถอาจจะติดน่ะค่ะ ประเดี๋ยวก็คงมา” อรสินีตอบ
ภารดีแขวะ “คนเป็นสิบๆ คนต้องมารอคนๆ เดียว”
วรัญญาแย้ง “แล้วเธอจะมาบ่นอะไรกับอรสินี เค้าเป็นแค่เพื่อนไม่ใช่แม่ยัยตรีอัปสรซะหน่อย”
ภารดีตาขวาง “แล้วเธอล่ะ เป็นอะไรกับอรสินี ถึงได้เอาตัวเข้ามากันซะขนาดนี้”
วรัญญาพูดใส่หน้า “ก็เป็นเพื่อนไง รู้จักไม๊”
ภารดีมองวรัญญาอย่างหมั่นไส้ แล้วสะบัดหน้าไปนั่งที่ เอื้อมมือผลักหนังสือบีลิฟที่เปิดอยู่ไปอย่างหงุดหงิดถึงขีดสุด
อีกมุมหนึ่งในห้องพัก ดาราวรรณกับกัลยาณีนั่งเม้าท์มอยกันอยู่
ดาราวรรณว่า “นังภารดีนี่มันแสบจริงๆ”
กัลยาณีบอก “นั่นซิ น่าจะไปประกวดนางงามมาเฟีย มากกว่านะ”
ดาราวรรณหัวเราะเบาๆ “บ้า ระวังจะเข้าหูมันนะ มันตามมายิงหล่อนจริงๆ ด้วย”
กัลยาณีหัวเราะ “น่ากลัวจริง แล้วนี่เมื่อไหร่ ยัยตรีอัปสรจะมาเนี่ย โดนใครจับตัวไปอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ดาราวรรณกัด “พวกเรียกร้องความสนใจน่ะซิ”
เสียงพี่เลี้ยง 1 ดังขึ้น “เอ้า พวกเราสาวๆ เตรียมตัวขึ้นรถได้แล้วค่ะ....เชิญค่ะ”
ทุกคนหันไปมอง ภารดี ลุกขึ้นเดินฉับๆนำไป
ที่ด้านหน้าสถานีโทรทัศน์ไทยเท็นตอนนี้ ตรีอัปสรยืนอยู่ข้างรถของดารินทร์ มีนักข่าวกำลังถ่ายภาพ ดารินทร์กอดลูก ตรีอัปสรยกมือไหว้แม่ ล่ำลากัน
“ตรีไปนะคะแม่”
“โชคดีนะลูก”
“ค่ะ”
ตรีอัปสรเดินลากกระเป๋าแยกไป ดารินทร์หันไปทางนักข่าว
“รีบเขียนข่าวแล้วลงเลยนะคะ”
“จัดให้ค่ะ เย็นนี้ตามดูในเว็บก่อนได้เลย”
ดารินทร์ยิ้มอย่างพอใจ
บรรดาสาวงามทยอยเดินขึ้นรถบัส ภารดีเดินมากับดาราวรรณและกัลยาณี โดยมีอรสินีกับวรัญญาเดินตามมาข้างหลัง ภารดีมองไปทางตรีอัปสรที่กำลังเดินมาพร้อมกับดารินทร์และนักข่าว
“นังนี่มันดราม่าจริงๆ” ภารดีหมั่นไส้
ดาราวรรณบอก “มีแม่เขียนบทแถมยังเป็นเจ๊ดันให้อีก”
“พวกไฮโซก็เงี้ย...มีเงินซะอย่าง จะจ้างใครก็ได้” กัลยาณีบอก
ภารดีหงุดหงิด “ไฮซง ไฮโซ อะไร พวกเมียน้อยเกาะไฮโซน่ะซิ...ทำเป็นตื่นเต้นกันไปได้”
พูดจบภารดีก็เดินแซงกัลยาณีกับดาราวรรณ ขึ้นรถไป ทั้ง 2 คนมองหน้ากัน
กัลยาณีทำท่าสยอง “แรงนะยะ”
ดาราวรรณพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเดินขึ้นรถไป วรัญญากับอรสินีเดินมาจนถึงรถพร้อมๆ กับตรีอัปสร พี่เลี้ยง 2-3 คนยังยืนอยู่ตรงทางขึ้นรถด้วย ตรีอัปสรเดินแกมวิ่งลากกระเป๋าเข้ามายกมือไหว้พี่เลี้ยง
“ตรีขอโทษนะคะ ที่มาช้า ตรีออกมาแล้วแต่ลืมกระเป๋าเงิน ก็เลยต้องกลับไปเอาน่ะค่ะ”
พี่เลี้ยง 2 พยักหน้า “เอาเถอะ มาถึงก็โอเคแล้ว รีบขึ้นรถเลยค่ะ เดี๋ยวจะไม่ทันขึ้นเครื่องบิน คราวเนี้ยเรื่องใหญ่แน่”
ตรีอัปสรยิ้ม “ขอบคุณค่ะ” ตรีอัปสรหันไปทางอรสินี “ไปค่ะ คุณอร...เรานั่งด้วยกันนะคะ”
อรสินียิ้มแล้วพยักหน้า เดินขึ้นรถไปด้วยกัน วรัญญามองตามพยายามเก็บอาการหมั่นไส้ไว้
หมู่มวลสาวงามนั่งอยู่ในรถบัสที่แล่นอยู่บนท้องถนน พี่เลี้ยง 1 ยืนถือไมโครโฟนชี้แจงอยู่ด้านหน้า มีพี่เลี้ยงคนอื่นแจกเอกสารให้สาวงาม
“ขอทำความเข้าใจกันก่อนนะคะน้องๆ วันนี้เมื่อเราเดินทางถึงสนามบินเชียงรายแล้ว เราจะเข้าที่พัก เก็บเสื้อผ้า ข้าวของก่อน แล้วเราจะเริ่มทำกิจกรรมเลย รายละเอียดอยู่ในเอกสารที่พี่เลี้ยงแจกให้น้องๆแล้วนะคะ อ่านให้ละเอียด จำให้แม่น ใครมีคำถาม ก็ถามพี่เลี้ยงได้เลยนะคะ”
อรสินีกับตรีอัปสรที่นั่งคู่กัน มีหนังสือบีลิฟวางอยู่กับตัวอรสินี
“อุ๊ย...คุณอร...มีหนังสือบีลิฟด้วยเหรอคะ”
อรสินียิ้ม “มีซิ....พี่รุจซื้อมาตั้งหลายเล่ม...แจกคนในกองประกวดจนทั่วเลยล่ะ”
ตรีอัปสรเลิกคิ้ว ฉงน “แจกในกองประกวด”
“ใช่ เมื่อเช้าพี่รุจมาส่งอร แล้วก็เอาหนังสือมาแจก พี่นนท์ก็ซื้อนะ คงเอาไปแจกทีมงานที่เชียงราย”
“เหรอคะ”
“รูปตรีสวยมากเลยนะ”
ตรีอัปสรยิ้มเขินๆ มีเสียงความคิดของตรีอัปสรดังขึ้นในหัว เป็นน้ำเสียงของความหมั่นไส้
“อิจฉาชั้นล่ะซิ....เชอะ...ทำเป็นยิ้มหน้าใส ใจคด”
แต่ตรีอัปสรพูดกับอรสินีออกมาว่า “ถ้าคุณอรได้ถ่ายแบบตรี คุณอรต้องสวยกว่าตรีแน่ๆค่ะ”
“ไม่หรอก ตรีสวยจริงๆ นะ....แล้วที่แน่ๆ พอบีลิฟวางแผง ตรีก็เป็นที่รู้จักเป็นคนดังไปแล้ว ตอนนี้”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“คอยดูตอนไปถึงเชียงรายแล้วกัน อรว่า ต้องมีแฟนคลับตรีมากันเยอะแน่ๆ”
ตรีอัปสรยิ้มปลื้มๆ
เครื่องบินสายการบินสปอนเซอร์การประกวดลอยบนท้องฟ้า เหนือสัญลักษณ์ของจังหวัดเชียงรายอนุสาวรีย์พระยาเม็งราย
สักครู่หนึ่งรถบัสแล่นมาจอดด้านหน้าโรงแรมที่เก็บตัว สาวงามทยอยเดินลงจากรถ โดยมีพี่เลี้ยงพาเดินนำ อาจารย์ดรีมริกา ยืนต้อนรับอยู่ มีชาวบ้านเข้ามาขอถ่ายรูป โดยชาวบ้านจะถ่ายรูปตรีอัปสรกับอรสินีเยอะสุด วรัญญาพยายามประกบอรสินี ทำเป็นพูดคุยเพื่อจะได้ถ่ายรูปติดกับอรสินีไปด้วย
ภารดีมองอย่างหมั่นไส้แต่ก็พยายามยิ้มให้กับผู้คนที่มาถ่ายรูป
ถัดจากนั้นประตูห้องพักโรงแรมที่เก็บตัวสาวงามเปิดออก ตรีอัปสรเดินนำอรสินีเข้ามาในห้อง สีหน้าอรสินีสบายใจ
“ดีใจจังเลย ได้อยู่ห้องเดียวกับตรี”
ตรีอัปสรยิ้มขำๆ “ตรีนอนกรนนะคะ คุณอรจะรำคาญรึเปล่า”
อรสินีหัวเราะ “อรก็จะกรนแข่งกับตรี คราวเนี้ย ห้องข้างๆ เราจะรำคาญเรามากกว่า”
ตรีอัปสรหัวเราะขำไปด้วย “คุณอรจะนอนเตียงไหนคะ...ตรีให้คุณอรเลือกก่อน”
“เตียงไหนก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ตรีอัปสรมองแล้วชี้เตียงที่อยู่ติดกับห้องน้ำ
“คุณอรนอนเตียงนี้แล้วกันค่ะ ตรีนอนเตียงนี้เอง”
ตรีอัปสรเดินไปวางกระเป๋าที่เตียงด้านนอกติดระเบียง อรสินีมอง
“ได้เลย...ไม่มีปัญหา”
“ค่ะ งั้นตรีขอเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ มีเวลาอีก 10 นาที จะได้รีบลงไปข้างล่าง ตรีไม่อยากสายอีก เกรงใจพี่ๆเค้า”
อรสินียิ้มให้ ตรีอัปสรเดินผ่านแล้วเปลี่ยนสีหน้าเป็นเอือมปนเซ็ง ขณะเดินเข้าห้องน้ำไป
ส่วนภารดีเปิดประตูห้องเข้ามา สีหน้าหงุดหงิด อารมณ์เสีย มีวรัญญาเดินตามเข้ามา
“โอ๊ย นางงามเป็นสิบ ไม่มีปัญหา เกิดจะมามีปัญหาที่เรา กว่าจะได้ห้องช้ากว่าคนอื่นเป็น 10 นาที”
วรัญญารำคาญ “จะบ่นให้มันได้อะไรขึ้นมาเนี่ย”
ภารดีสะบัดเสียงใส่ “ก็มันจริงไม๊ล่ะ แล้วดูเราซิ เลขก็ไม่ติดกัน แต่โดนจับคู่มาอยู่ห้องเดียวกัน แต่นังตรีกับยัยหนูอรนั่น กลับได้อยู่ด้วยกัน”
วรัญญาถอนหายใจ รำคาญมากขึ้น “ถ้าเธออยากเปลี่ยนห้อง ไม่อยากนอนกับชั้น เธอก็ลงไปบอกพี่เลี้ยงเอาเองแล้วกัน สร้างปัญหาเยอะๆเข้าไป จะได้เด่นๆ”
วรัญญาพูดจบก็เดินเข้าห้องน้ำไป ภารดีมองตามอย่างแค้นใจ
“นังบ้า ซวยจริงๆ ต้องมาอยู่กับนังนี่”
ภารดีหน้าหงิก เซ็งสุดๆ
ประตูห้องพักเปิดออก ดาราวรรณเดินออกมากับกัลยาณี หน้าตาสดใส สวยงาม เพราะแต่งมาเรียบร้อยแล้ว
“โชคดีนะเนี่ย ที่ได้อยู่ด้วยกัน”
กัลยาณีพูดขำๆ “เค้าคงไม่อยากให้นางงามตบกันเองมั้ง ถ้าอยู่กับคนไม่คุ้นเคย”
“แต่ถึงยังไง เราต้องจับมือกันนะ ทำอะไรก็ได้ ให้สื่อสนใจ ให้เป็นข่าว ให้ดังเข้าไว้”
กัลยาณีแหย่ “กระโปรงขาดถึงเอว เสื้อเกาะอกหลุด เป็นลม กลัวมะเขือเทศ”
ดาราวรรณหัวเราะเต็มที่ กับวิธีสุดท้ายของกัลยาณี
“กลัวมะเขือเทศเนี่ยนะ คิดได้ไงเนี่ย”
“อ้าว...ก็คนสมัยนี้ต้องกลัวอะไรที่มันแปลกประหลาด จะได้ดูเด่นไง”
“มะเขือเทศเนี่ยนะ”
“อือม์” กัลยาณีเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือจะกลัวสตรอว์เบอรี่ดี ไหนๆก็มาเชียงรายแล้ว...จะได้โดดเด่น”
“เอาเหอะ เลือกเอาแล้วกัน ไหนๆ เราก็คงไม่ได้ตำแหน่งอะไรแล้ว สร้างข่าว สร้างกระแสให้ดัง เอาไว้เพิ่มมูลค่าให้ตัวเองดีที่สุด”
ดาราวรรณกับกัลยาณีเข้าไปในลิฟท์ แล้วกดปิดลิฟท์ลงไปร่วมกิจกรรม
กลุ่มนางงามยืนรวมกันอยู่บริเวณทางออก โดยมีดรีมริกายืนอยู่ มีพี่เลี้ยงทั้ง 5 คน ประกบนางงาม อรสินีกับตรีอัปสรยืนอยู่หน้าๆ มีนักข่าว ถ่ายรูป
ภารดีกับวรัญญา ดาราวรรณ และกัลยาณี พยายามยืนอยู่ใกล้ๆอรสินีและตรีอัปสร เพื่อให้ภาพที่นักข่าวถ่ายติดตัวเองไปด้วย ภารดีแรงถึงขั้นพยายามทำเป็นยกมือไปมาแต่มือจงใจไปบังหน้าตรีอัปสรและอรสินี แต่เน้นยังตรีอัปสร แต่ตรีอัปสรขยับเดินหนีไปทางอื่น มีนักข่าวตามไปถ่าย
เห็นได้ชัดว่า ตรีอัปสรเป็นจุดสนใจที่สุดของนักข่าว ภารดียิ้มเฝื่อนๆ พยายามเก็บอาการแค้น
อาจารย์ดรีมริกาเอ่ยขึ้น “อีกซักครู่ เราจะไปเก็บภาพของน้องๆ สาวงามทุกคนในสวนของโรงแรมนะคะ ซึ่งจะมีทีมงานของสถานีเป็นผู้ดูแล หลังจากนั้น เราก็จะไปสักการะ พ่อขุนเม็งรายที่อนุสาวรีย์ของท่าน ขอให้สาวๆ ฟังพี่เลี้ยงของตัวเองนะคะ เพื่อจะได้สะดวกในการทำงาน เอาล่ะค่ะ เชิญไปที่สวนได้แล้วค่ะ เดินตามดิชั้นมาได้เลยค่ะ”
ดรีมริกาเดินนำบรรดาสาวงามไป
ชญานนท์กับอติรุจยืนอยู่ด้วยกัน โดยมีมุกตาภา รัตน์ และทีมช่างภาพ มอลลี่ ข้าวตู ข้าวตัง อยู่ด้วย สวนถูกตกแต่งให้สวยงาม เพื่อใช้เป็นฉากในการถ่ายทำ มุกตาภาเดินไปหาชญานนท์กับอติรุจ
“มากันแล้วค่ะ พี่นนท์ พี่รุจ”
สองหนุ่มหันไปมอง เห็นอรสินีกับตรีอัปสรเดินมาคู่กันมา ตรีอัปสรมองไปยังชญานนท์กับอติรุจเหมือนจะเปรียบเทียบกัน มองชญานนท์อย่างเผลอไผล ชญานนท์เองก็สบตากับตรีอัปสรและได้เห็นแววตาปลื้มของหล่อน จึงเมินหน้าไปทางอื่น
อรสินีสะกิดเรียก “ตรี....ตรี...ตรี”
ตรีอัปสรรู้สึกตัว หันมาทางอรสินี
“เซอร์ไพร้ส์ใช่ไม๊ตรีที่เจอพี่รุจที่นี่”
ตรีอัปสรรีบยิ้มกลบเกลื่อน “ค่ะ คุณรุจมาได้ยังไงคะ ตรีไม่ทราบเลย”
“พี่รุจมาช่วยเรื่องกิจกรรมของนางงาม แล้วก็บอกอรว่าห้ามบอกตรี”
ตรีอัปสรยิ้ม “ตรีเซอร์ไพรส์ จริงๆด้วยค่ะ”
ตรีอัปสรมองไปที่อติรุจสายตาไปหยุดที่ชญานนท์
มอลลี่มองนางงามที่รวมกลุ่มอยู่
“วันนี้เราจะจับคู่ถ่ายรูปแบบดาวกระจายนะฮะ คือสลับกันไปมาไม่เรียงตามเลขที่ ไม่เรียงตามที่สนิทกัน” มอลลี่เดินไปดูสาวๆ “ตรีอัปสร กำลังฮ็อตเลยเพิ่งลงปกบีลิฟมา เชิญค่ะ”
ตรีอัปสรยิ้มหวานลุกขึ้นเดินออกมาอย่างสง่างาม มีกลุ่มชาวบ้านยืนมุงดูอยู่ไกลๆ ส่งเสียงกรี๊ดอย่างชอบใจ ตรีอัปสรหันไปมองแล้วโบกมือให้ เรียกเสียงฮือฮามากขึ้น
“ภารดี เชิญค่ะ คู่กับตรีอัปสร”
ภารดีไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออก ลุกขึ้นเดินยิ้มหวานไปยืนข้างๆ ภารดีกับตรีอัปสรมองหน้ากันปากยิ้มแต่สายตาที่ประสานกัน จ้องแบบเอาเรื่อง ไม่มีใครยอมกัน
ดาราวรรณที่ยืนอยู่กับกัลยาณี และวรัญญา มองสองคน
“สมน้ำสมเนื้อกันจริงๆคู่นี้” ดาราวรรณบอก
กัลยาณีสยอง “จะมีตบกันไม๊เนี่ย”
“ตอนนี้คงไม่หรอกเพราะออก สื่อแต่ถ้าเจอกันตัวๆ ลับหลังล่ะก้อ” วรัญญาบอกแล้วหัวเราะคิก เหมือนนึกภาพออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนี้
“หัวเราะแบบนี้ เหมือนมีแผนการเลยนะ รัญ” ดาราวรรณสงสัย
“ชั้นก็แค่คิดว่าถ้าปั่นให้ สองคนนี่มีเรื่องกัน อะไรจะเกิดขึ้น”
กัลยาณีทำท่าสยองอีก “แค่คิดก็น่ากลัวแล้ว...แต่อยากเห็นน่ะ”
ดาราวรรณกับวรัญญา อดหัวเราะขำไม่ได้
ในสวยมุมสวยๆ มอลลี่ยืนอธิบายให้ภารดีและตรีอัปสรฟังว่าต้องเดินมาคู่กันแล้วหยุดโพสท่า
“หนูตรีกับหนูดี เดินคู่กันมานะฮ่ะ แล้วก็หยุดโพสท่าตรงนี้ ก่อนจะพูด คำขวัญของจังหวัดเชียงราย แบ่งคนละ 2ประโยค ลองทบทวนนะคะ”
“เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน”
ตรีอัปสรหยุดพูดแล้วหันไปทางภารดี ยิ้มหวานให้เหมือนให้ภารดีพูดต่อ แต่ภารดียังไม่ทันตั้งหลักนึกคำพูดไม่ออก ภารดีพึมพำทวนประโยคที่ ตรีอัปสรพูดแล้วจะต่อประโยคของตัวเองแต่ตรีอัปสรพูดขึ้นมาเสียงนุ่มนวล
“นึกไม่ออกเหรอค่ะ ภารดี ต้องพูดว่า “ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง” ค่ะ”
“ใช่จ๊ะ ไปท่องก่อนไม๊ หนูดี” มอลลี่หันไปทางข้าวตู “ข้าวตู เอาคำขวัญมาให้น้องหนูดี ดูหน่อยจ้ะ”
“ค่ะ”
ภารดีพยายามเก็บอาการ “หนูดีจำได้แล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ”
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเริ่มเลย”
ตรีอัปสรกับภารดีหมุนตัวกลับไปเพื่อไปจุดเริ่มเดิน ภารดีพูดเสียงเข้มใส่ตรีอัปสรโดยลืมไปว่าตัวเองใส่ไวร์เลสอยู่
“นังตรีอัปสร ชั้นเอาคืนแน่ นังตัวแสบ”
ตรีอัปสรยิ้มหวานแต่เยาะเย้ย สะใจ ทั้งปากทั้งตา
“ภารดี ตรีขอโทษ ตรีคิดว่าหนูดีจำไม่ได้ก็เลยจะช่วย”
เสียงที่ทั้ง 2 คนพูด ดังออกทางมอนิเตอร์ ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นได้ยินกันหมด รวมทั้งนักข่าวด้วย ตรีอัปสรกับภารดีหมุนตัวหันหน้ามาหากล้อง เมื่อถึงจุดพบว่าสายตาทุกคนมองภารดีเป็นตาเดียว มีซุบซิบเม้าท์มอยไปมา ภารดีแปลกใจ ตรีอัปสรยิ้มเยาะภารดีก่อนจะพูดเทสต์เสียงขึ้นว่า
“ฮัลโหล 1 2 3 ได้ยินเสียงตรี ชัดไม๊ค่ะ”
ภารดีเข้าใจกระจ่างในทันที เหตุผลที่ตรีอัปสรยิ้มเยาะเมื่อครู่ ถึงกับหน้าซีดพูดอะไรไม่ออก
อ่านต่อหน้า 2
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 5 (ต่อ)
รัตน์เดินแกมวิ่งกระหืดกระหอบมาในล้อบบี้ ตรงไปหาชญานนท์ มุกตาภา อติรุจ ที่นั่งอยู่ด้วยกันในมุมส่วนตัว สีหน้าทุกคนเคร่งเครียดนิดๆ รู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว
“เป็นยังไงบ้างครับ คุณรัตน์ นักข่าวรู้เรื่องไม๊” ชญานนท์ถามอย่างร้อนใจ
รัตน์พยักหน้า “น่าจะรู้ค่ะ มีนักข่าวอยู่ 2-3 คน ที่ยืนแถวมอนิเตอร์ น่าจะได้ยินนะคะ”
มุตตาภาพูดด้วยน้ำเสียงประชดนิดๆ “คราวนี้ดังสมใจ เรตติ้งพุ่งกระฉูดแน่ค่ะ”
อติรุจติง “แต่พี่ว่ามันเป็นข่าวลบของเวทีนางสาว ณ สยามนะ มุก”
“ใช่ ตอนที่ภารดีสะดุดล้มก็ถือเป็นอุบัติเหตุ ที่คนรับข่าวจะเอาไปจินตนาการกันต่อว่าจริงๆ แล้วเกิดจากอะไร แต่ครั้งนี้มันชัดเลย” ชญานนท์ว่า
“แต่ถ้านักข่าวรู้แบบนี้ แล้วจะทำยังไงคะ ปิดข่าวก็คงไม่ได้”
อติรุจเห็นด้วย “ก็จริงของมุกนะ นนท์”
“ก็ถ้านักข่าวไม่ได้สัมภาษณ์ภารดีกับตรีอัปสร เรื่องนี้ก็น่าจะจบเร็วขึ้น”
รัตน์ออกความเห็น “เราเรียก 2 คน มาคุยไว้ก่อนดีไม๊คะ”
ชญานนท์พยักหน้า “แต่คงต้องแยกคุย”
“มุกคุยกับภารดีให้เองค่ะ ส่วนอีกคน...พี่นนท์กับพี่รุจคุยเองแล้วกัน”
ชญานนท์หันมามองเป็นเชิงถาม อติรุจพยักหน้ารับ ชญานนท์หันไปทางรัตน์
“หาทางกันนักข่าวให้ด้วยนะครับ..คุณรัตน์”
“ค่ะ”
กลุ่มนักข่าว 3 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ จับกลุ่มคุยกันอยู่ในสวน ห่างจากกองถ่ายออกมาอีกหน่อย
นักข่าว 1 บอก “ชั้นทวิตเรื่องนี้ไปแล้วนะ”
นักข่าว 2 ว่า “ชั้นก็เขียนข่าวส่งไปแล้ว ฉบับพรุ่งนี้พาดหัวหน้า 1 เลย”
“เดี๋ยวรอดักสัมภาษณ์ตรีอัปสรดีกว่า” นักข่าว 1 ยิ้มเหมือนรู้ทันพวกนางงาม พวกดารา “งานนี้รับรองว่าดราม่ายิ่งกว่าละครหลังข่าวแน่”
นักข่าว 2 บอก “ถ้าได้คุยกับภารดีด้วยจะเด็ดมาก”
นักข่าว 3 ว่า “รอให้ถ่ายเสร็จก่อน แล้วพุ่งเข้าไปเลย”
นักข่าว 2 คนเอาด้วย “โอเค”
นักข่าวทั้ง 3 ยื่นมือมาซ้อนกันราวกับจะแข่งกีฬา แล้วพูดพร้อมๆ กันว่า “สู้ๆ”
การถ่ายทำวีทีอาร์ดำเนินไป ดาราวรรณถ่ายคู่กับกัลยาณี สองสาวเดินมาด้วยกัน ยกมือไหว้ โพสท่าสวยงามตามสคริปต์
อรสินีนั่งอยู่ ตรีอัปสรเดินมานั่งด้วย อรสินีหันมาทางตรีอัปสรอย่างเป็นห่วง
“เป็นยังไงมั่ง...ตรี”
“เรื่องอะไรล่ะคะ...ถ้าเรื่องถ่าย VTR...ก็โอเค”
อรสินีมองอย่างชื่นชม “ตรีไม่โกรธภารดีใช่ไม๊”
ตรีอัปสรหัวเราะเบาๆ พูดขำๆ “ถ้าไม่โกรธ ตรีคงเป็นแม่ชีไปแล้วล่ะค่ะคุณอร ตรีโกรธ...แต่ก็หายโกรธแล้วค่ะ...คุณอรไม่ต้องห่วงนะคะ ตรีมันประเภทโกรธไม่ง่ายแต่หายเร็ว”
อรสินียิ้ม “ได้ยินแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย”
อรสินียิ้มให้ ข้าวตังวิ่งเข้ามาหา “น้องอร เชิญค่ะ”
“ค่ะ”
อรสินีหันมายิ้มให้ตรีอัปสร แล้วเดินไปกับข้าวตัง ตรีอัปสรมองตามไปอย่างหมั่นไส้พูดกับตัวเอง“เหนื่อยไม๊เนี่ย ดัดจริตทำเป็นแสนดีตลอดเวลา นึกว่าชั้นจะโง่เชื่อเหรอ”
ตรีอัปสรทำหน้าเอือมๆ มองตามอรสินีที่เดินไปกับข้าวตัง
อรสินีเดินคู่มากับวรัญญา อย่างสวยงาม สองสาวเดินบนสนามหญ้าในสวนสวย มอลลี่นั่งมองภาพผ่านมอนิเตอร์อย่างพอใจ
อรสินียกมือไหว้สวยงาม วรัญญายกมือไหว้สวยงามเช่นกัน แต่หลุดเฟรมภาพ ไม่ได้เงยขึ้นพร้อมกับเสียงร้อง “อุ๊ย...ว้าย”
วรัญญาเซจะล้มเพราะรองเท้าส้นสูง ส้นฝังลงไปในดินสนามหญ้าที่อ่อนยวบ ทำให้เดินไม่ได้ วรัญญาจะล้มอรสินีซึ่งกำลังโพสท่าอยู่ หันมาคว้าตัวไว้ทัน วรัญญาจับมืออรสินีไว้ ตั้งหลักได้
“คัท....คัท....ข้าวตู...ข้าวตัง...ไปดูน้องรัญ ซิ” มอลลี่ตะโกน
ข้าวตูกะข้าวตังประสานเสียง “ค่า...”
อรสินียังยืนจับวรัญญาไว้ ข้าวตูกะข้าวตัง เข้ามาช่วยจับพยุงวรัญญาไว้
อรสินีพูดกับข้าวตู “ขอรองเท้าแตะมาซักคู่ได้ไม๊คะ”
“ได้ค่ะ...ได้”
ข้าวตูขยับจะวิ่งออกไป แต่ทีมงานถือรองเท้าแตะวิ่งมาให้แล้ว วรัญญาถอดรองเท้าส้นสูงที่ยังฝังดินอยู่ออก ใส่รองเท้าแตะ วรัญญาหันมายิ้มกับอรสินีเป็นเชิงขอบคุณ
ทีมงานถ่ายทำอรสินีกับวรัญญาเดินกันมาใหม่ ท่าเดิม ภารดีนั่งคนละมุมกับตรีอัปสรหน้าตึงโมโหตัวเองที่ตกเป็นเครื่องมือตรีอัปสร ข้าวตูเดินไปหาภารดี
“ภารดี คุณมุกตาภาเชิญที่คอฟฟี่ชอปค่ะ”
“ตอนนี้น่ะเหรอ”
“ค่ะ ก็คุณถ่ายเสร็จแล้วนี่คะ”
“ชั้น...เอ้อ...หนูดีคนเดียวเหรอคะ”
ข้าวตูพยักหน้า “ค่ะ”
ข้าวตูหันกลับขยับจะเดินไป ภารดีจับแขนข้าวตูไว้ หน้าเสียเล็กน้อยเพราะกลัวว่าจะเป็นเรื่องจนโดนปลดจากการประกวด
“ทราบไม๊คะ ว่าเรื่องอะไร”
ข้าวตูบอก “ไม่ทราบค่ะ”
ภารดีมีสีหน้ากังวลเห็นถนัด แล้วขยับลุกขึ้น ตรีอัปสรซึ่งนั่งอยู่อีกมุม มองไปยังภารดีที่เดินออกไปกับข้าวตู สีหน้าตรีใคร่ครวญครุ่นคิด
กลุ่มนักข่าวพากันมองภารดีกับข้าวตูที่กำลังเดินตรงมา
นักข่าว 1 ถามเพื่อน “มาแล้ว....เข้าไปคุยเลยไม๊”
นักข่าว 2 ติง “จะถามทำไมเนี่ย”
นักข่าว 2 และ นักข่าว 3 เดินนำไปเลย นักข่าว1 ตามไปติดๆ
นักข่าว 2 ร้องเรียก “หนูดีคะ หนูดี”
ภารดีหันมาทางข้าวตู โดยไม่หันไปมองนักข่าว
“พี่คะ นักข่าว...ทำไงดีอ่ะ”
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวพี่ข้าวตูจัดเอง เธอรีบไปคอฟฟี่ชอปเลยไป๊”
ข้าวตูหันมาทาง 3 นักข่าว ที่วิ่งเข้ามา ยกมือกางออกเพื่อกั้นไว้ ภารดีเดินพ้นไปแล้ว
นักข่าว 2 ตะโกนเรียกใหญ่ “เดี๋ยวค่ะ...เดี๋ยว...เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป”
นักข่าว 3 บอกอย่างคุ้นเคยกัน “ขอคุยกับหนูดีหน่อยนะ ข้าวตู”
“คุยตอนนี้คงไม่ได้หรอก หนูดีกำลังทำงานอยู่ รอตอนเย็นนะ...ทางกองประกวดเค้าจะเปิดโอกาสให้ถ่ายรูป สัมภาษณ์ สาวงามทุกคนเลย”
นักข่าว 1 สงสัย “แล้วนั่นเค้าไปไหนล่ะ ผู้ใหญ่เรียกมาคุยเหรอ”
“ไปเข้าห้องน้ำ” ข้าวตู มอง 3 นักข่าว ออกตัว “แค่นี้ก่อนนะ จะรีบไปทำงานเหมือนกัน”
ข้าวตูพูดจบก็เดินแยกไป นักข่าว 3 คน มองข้าวตูแล้ว มองหน้ากันเอง
นักข่าว 2 เซ็งปนขำ “นังข้าวตูนี่มันรู้งานจริงๆ”
ตรงมุมมอนิเตอร์ มอลลี่กำลังดูสคริปต์อยู่ มีทีมงานของรัตน์เดินเข้ามากระซิบกับข้าวตังที่อยู่ห่างออกไป ข้าวตังพยักหน้าแล้วชะเง้อซ้ายขวา เหมือนจะหาใคร สุดท้ายเดินไปหาตรีอัปสร
“หนูตรี คุณชญานนท์ขอพบค่ะ”
ตรีอัปสรงงๆ “พบตรี...ตอนนี้เหรอคะ”
ข้าวตังบอก “ใช่ คุณนนท์รออยู่ที่ล้อบบี้ค่ะ”
ตรีอัปสรขยับลุกขึ้นจะเดินตามข้าวตังไป
เสียงมอลลี่ดังขึ้น “ข้าวตัง...ข้าวตัง ดูนี่หน่อยซิทำไมสคริปต์เป็นแบบนี้ล่ะ”
ตรีอัปสรและข้าวตัง หันไปมองเห็นมอลลี่กำลังดูสคริปต์อยู่ วุ่นวาย ข้าวตังลังเล
“ตรีไปเองก็ได้ค่ะ พี่ข้าวตังไปทำงานเถอะ”
ข้าวตังลังเล “จะดีเหหรอ”
มอลลี่เรียกซ้ำ “ข้าวตัง”
“ค่ะๆๆ ไปแล้วค่ะ”
“ตรีไปได้ค่ะ ไม่มีปัญหา”
“ก็ได้...ไปให้ถึงคุณนนท์นะ” ข้าวตังกำชับ
ตรีอัปสรยิ้ม “ค่ะ”
ข้าวตังวิ่งแยกไปหามอลลี่ ส่วนตรีอัปสรเดินแยกไปอีกทาง
ข้าวตูเดินสวนกับตรีอัปสร ข้าวตูยิ้มให้แล้วรีบเดินไป ตรีอัปสรเดินมาเจอนักข่าว 3 คนยืนดักอยู่ 3 นักข่าวมองตรีอัปสรแล้วยิ้มให้ ตรีอัปสรยิ้มตอบ
นักข่าว 1 บอก “ขอพวกพี่สัมภาษณ์ซัก 5 นาที ได้ไม๊คะ”
“ได้ค่ะ ถามได้เลยค่ะ”
นักข่าวหันมามองเพื่อนๆ ทำตาโต ก่อนจะหันไปทางตรีอัปสร นักข่าวทั้ง 3 คนยิ้มอย่างพอใจ
นักข่าว 2 ย้ำ “ได้ตอนนี้เลยเหรอ”
นักข่าว 3 หันมามองนักข่าว 2 ประมาณว่าถามอะไรแบบนั้น แล้วรีบหันมารวบตึงทันที
“ขอบใจน้องตรีมากนะคะ”
ตรีอัปสรยิ้ม “ตอนนี้เหลือเวลา 4 นาที 50วิ แล้วนะคะ”
นักข่าว 1 “อุ๊ยตายๆๆๆ รีบโดยไวเลยค่ะ คือพี่อยากทราบรายละเอียดเรื่องเมื่อเช้านี้น่ะค่ะ”
นักข่าวทั้ง 3 คนดี๊ด๊าขึ้นมาทันที
ขณะเดียวกันที่คอฟฟี่ชอปในโรงแรม มุกตาภามองภารดีซึ่งนั่งตรงกันข้าม ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะผ่อนลมหายใจ สีหน้าคลายลง
“ชั้นเข้าใจเธอนะ ว่าเวลาโมโหคนเราก็อาจจะหลุดได้ แต่ช่วยมีสติดูตาม้าตาเรือซักนิด บางเรื่องเป็นข่าวขึ้นมาก็ช่วยให้เราดัง แต่บางเรื่องก็อาจทำให้เราดับได้..เข้าใจไม๊”
ภารดีมองมุกตาภาอย่างพิจารณาโดยไม่ตอบ ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นมา
“คุณมุก พูดเหมือนไม่ชอบตรีอัปสรเหมือนกันเลยนะคะ”
มุกตาภามองภารดีอย่างเหนือชั้นกว่า พูดเสียงเย็นชา ไว้ตัว “อย่าลากชั้นไปเกี่ยวข้องกับเรื่องของเธอ” สีหน้าและเสียงมุกตาภาอ่อนลง “ดิชั้นเป็นคนของกองประกวดนะคะ คุณภารดี ภาพของดิชั้นต้องเป็นกลาง ไม่เอียงไม่อคติค่ะ...โปรดเข้าใจด้วย”
ภารดีมองมุกตาภาประมาณว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างสงบเสงี่ยม
“ค่ะ”
มุกตาภายิ้มนิดๆ แต่แววตาแอบร้ายอย่างพอใจ
ตรีอัปสรคุยกับนักข่าวทั้ง 3 คนอยู่มุมหนึ่งไม่ไกลนัก หล่อนมองหน้านักข่าวอย่างสงบเสงี่ยม เจียมตัว
“ตรีก็ไม่คิดว่า ความหวังดีของตรี...จะทำให้เพื่อนไม่พอใจค่ะ”
นักข่าว 2 ถาม “เป็นไปได้ไม๊ ว่าน้องดีอาจจะโกรธน้องตรี ตั้งแต่ตอนที่น้องตรีขัดขาเธอ”
ตรีอัปสรยังคงเก็บอาการอย่างใจเย็น “พวกพี่ๆ คิดว่าตรีจะทำร้ายภารดีเหรอคะ ตรีจะทำอะไรโง่ๆ แบบนั้นทำไม”
นักข่าว 2 บอก “แต่หนูดีให้สัมภาษณ์เหมือนว่าน้องตรีขัดขาเธอนะคะ”
นักข่าวทั้ง 3 คนนิ่งอึ้ง หันมามองหน้ากัน เพราะหน้าตรีอัปสรตอนนี้ดูใสซื่อ เรียบร้อยไร้พิษสง
“ท่าทางตรีร้ายกาจเหรอคะ ตรีไม่มีพิษสงขนาดนั้นหรอกค่ะ ตอนที่ภารดีสะดุดล้มเป็นตอนที่ตรีกำลังฝึกกรีดตาอยู่ ตรีจะไปขัดขาภารดีได้ยังไงคะ แล้วพี่ลองคิดกลับกันนะคะ ถ้าตอนนั้นตรีไม่เอี้ยวตัวไปทางอรสินี ภารดีก็จะล้มมาที่ตรีซึ่งกำลังกรีดตาอยู่ แล้วอะไรจะเกิดขึ้นคะ ป่านนี้ตรีคงอยู่โรงพยาบาล...เผลอๆ อาจจะตาบอดไปเลยด้วยซ้ำ”
นักข่าว 3 คน มองตรีอัปสรแล้วหันมามองหน้ากัน สีหน้าเห็นด้วย รัตน์เดินมาแล้วหยุดชะงักเมื่อเห็นตรีอัปสรคุยกับ 3 นักข่าว
“ไม่ทันแล้ว” รัตน์เป็นกังวล
ชญานนท์มีสีหน้าครุ่นคิด ก่อนจะหันไปทางอติรุจ ซึ่งนั่งอยู่ด้วยกันตรงมุมส่วนตัวของล้อบบี้ มีรัตน์อยู่ด้วย
“ถึงว่า...รออยู่ตั้งนาน....ตรีไม่มาซักที” อติรุจว่า
“แล้วจะเอายังไงดีคะ เราจะยังคุยกับตรีอัปสรอยู่ไม๊คะ” รัตน์ถาม
“คุย” อติรุจกับรัตน์มองหน้าชญานนท์ “ผมไม่คิดว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้...ไม่ว่าข่าวจะออกมาในทางบวกหรือลบ ตรีอัปสรก็ควรจะรู้ว่าต่อไปควรจะให้สัมภาษณ์กับนักข่าวยังไง”
“ชั้นคุยกับตรีให้ ดีกว่าไม๊”
ชญานนท์หันมาทางอติรุจ ยังไม่ทันตอบ เสียงตรีอัปสรดังขึ้น
“ขอโทษนะคะ”
ทั้งชญานนท์ อติรุจ คุณรัตน์ หันไปมองเห็นตรีอัปสรยืนวางท่าสงบเสงี่ยมอยู่
“พี่ข้าวตัง บอกให้ตรีมาหาคุณนนท์ค่ะ”
ตรีอัปสรทำหน้าแอ๊บใสซื่อสุดฤทธิ์
รัตน์แยกไปแล้ว สามคนอยู่ตรงมุมสงบส่วนตัวในล้อบบี้ อติรุจขยับเข้ามาใกล้ตรีอัปสรที่ลงนั่ง
“ผมไม่อยากให้ตรีมีปัญหากับภารดี”
ตรีอัปสรย้อนแย้งทันที “แต่ตรีพูดความจริง..เรื่องจริงนะคะ”
ชญานนท์แทรกขึ้นมา “แต่เรื่องจริง บางเรื่อง ถ้าเราไม่พูด มันก็ทำให้เราปลอดภัย”
ตรีอัปสรขมวดคิ้ว “แค่ตรีตอบคำถามสื่อตามความจริง มันจะมีอันตรายอะไรคะ ภารดีจะทำร้ายตรีเหรอคะ”
“ผมยังไม่ได้พูดถึงภารดีเลย” ชญานนท์ว่า
“ก็ภารดีมีเรื่องกับตรี...ถ้ามันจะเกิดอะไรขึ้น...มันก็ต้องเป็นภารดีซิคะ” พลางตรีอัปสรหันไปทางอติรุจ “ใช่ไม๊คะ คุณรุจ”
“ตรี ฟังผมนะ เราขอร้องภารดีไม่ให้สัมภาษณ์นักข่าว แล้วก็ตั้งใจจะบอกตรีเหมือนกัน...แต่ก็ไม่ทัน”
“ตรีไม่ทราบนี่คะ ถ้าตรีทราบ ตรีก็จะเลี่ยง แล้วคุณรุจจะให้ตรีทำยังไงคะ”
อติรุจมองตรีอัปสรที่มีท่าทีอ่อนลงแล้ว จึงหันไปทางชญานนท์เหมือนจะให้เขาตอบ
“ไม่ว่าข่าวจะออกมายังไง คุณช่วยหลีกเลี่ยงนักข่าว อย่าให้ใครสัมภาษณ์อีก”
ตรีอัปสรกังวลเล็กๆ “ค่ะ แล้วภารดีจะว่ายังไงคะ ถ้ารู้ว่านักข่าวคุยกับตรี เธอจะโกรธไม๊คะ”
ชญานนท์บอก “เรื่องนั้นเราจะจัดการให้เอง”
ตรีอัปสรคลายความกังวลลง “ขอบคุณค่ะ”
“ผมก็ต้องขอบคุณคุณเหมือนกัน ที่ให้ความร่วมมือ”
“ค่ะ”
ตรีอัปสรมองชญานนท์แล้วหันไปมองอติรุจที่ส่งยิ้มให้กำลังใจมา
ตรีอัปสรเดินหน้าเชิดระเหิดระหงมาอย่างสง่างาม ยิ้มในสีหน้าเหมือนสะใจ สมใจ ในสิ่งที่ทำไป ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวานให้กับผู้คนตามรายทาง
ขณะเดินตรงเข้ามาหาสองหนุ่ม มุกตาภาชะโงกหน้ามองตามหลัง ด้วยสีหน้ารังเกียจตรีอัปสรเป็นที่สุด ชนิดไม่เก็บอาการ
“ยัยนี่ มันแสบจริงๆ มุกว่ามันตั้งใจจะให้นักข่าวสัมภาษณ์ มันน่ะ อยากกระจายข่าวอยู่แล้ว ร้ายกาจ”
ชญานนท์ออกเสียงปราม “มุก”
มุกตาภาหยุดพูดหันมามองพี่ชาย ชญานนท์มองไปที่อติรุจซึ่งนั่งอยู่ด้วย มุกตาภาสงบลง แต่ก็อดพูดไม่ได้อีก
“มุกขอโทษนะคะ พี่รุจ ที่พูดเรื่องจริงไปหน่อย”
ชญานนท์ปรามอีกเข้มขึ้น “มุก”
“ไม่เป็นไรหรอก นนท์ เรากำลังทำงานกันอยู่นะ มุกก็มีสิทธิ์จะวิเคราะห์ผู้เข้าประกวดแต่ละคนได้”
มุกตาภาชอบใจ “ขอบคุณค่ะพี่รุจ ที่เข้าใจมุก...แล้วเราจะทำยังไงดีคะ”
เสียงรัตน์ดังขึ้น “ขอโทษนะคะ”
ทั้ง 3 คนหันไปมอง เห็นรัตน์เดินเข้ามานั่ง
“ด้านนอกถ่ายทำใกล้เสร็จแล้วค่ะ เราต้องให้นักข่าวถ่ายภาพและก็เปิดโอกาสให้สัมภาษณ์รวมค่ะ”
ชญานนท์ตัดสินใจ “ถ่ายรูปอย่างเดียวแล้วกันครับ เรื่องสัมภาษณ์ เรื่องรายงานข่าวขอเป็นทีมไทยเท็นทำดีกว่า แล้วช่วยตามนักข่าวที่ตรีอัปสรให้สัมภาษณ์มาหาผมด้วยนะครับ”
รัตน์บอก “ดิชั้นคุยให้เองดีกว่าค่ะ แล้วดิชั้นจะมาแจ้งให้ทราบนะคะ”
“ก็ดีครับ”
รัตน์ลุกเดินออกไป ชญานนท์ขยับลุกขึ้นแล้วหันมาทางอติรุจกับมุกตาภา
“ออกไปดูกันหน่อยไม๊”
อติรุจกับมุกตาภาขยับลุกขึ้น สามคนเดินไปด้วยกัน
ในสวนสวยของโรงแรม บริเวณถ่ายทำวีทีอาร์ มอลลี่กำลังอ่านสคริปต์โดยมีข้าวตูกับข้างตัง ช่วยดูอยู่ด้วย อาจารย์ดรีมริกาเดินเข้ามาหา
“เรียบร้อยแล้วใช่ไม๊”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ” มอลลี่บอก
“แตะมือส่งต่อกันเลยนะ”
มอลลี่ยื่นมือไปให้ดรีมริกาแตะมือเหมือนส่งต่อ ดรีมริกาหันมาทางเหล่าผู้เข้าประกวดที่นั่งกันกระจายอยู่แถวนั้น
“น้องๆ คะ มารวมกลุ่มให้พี่ๆ สื่อ ถ่ายรูปหน่อยค่ะ ทางนี้เลยค่ะ ทางนี้”
ดรีมริกาและพี่เลี้ยง ช่วยกันหามุมสวยงามเพื่อให้ผู้เข้าประกวดถ่ายรูป กลุ่มช่างภาพ นักข่าวเข้ามาเพื่อเตรียมถ่ายรูป
ดรีมริกาบอกต่อ “ยืนเป็นกลุ่มเลยนะคะ”
อรสินียืนอยู่กับตรีอัปสร นักข่าวถ่ายรูป 2 คน วรัญญารีบแทรกเข้าไปยืนด้วย ยิ้มหวาน วรัญญาจะยืนติดกับอรสินี ซึ่งอรสินีหันมายิ้มให้แล้วขยับให้วรัญญายืน ภารดีมองอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะคิดได้ ภารดีเดินไปประกบอีกข้างของตรีอัปสร ภารดียิ้มให้นักข่าว แล้วหันมายิ้มให้ตรีอัปสรทำเหมือนไม่เคยเคืองใจกันมาก่อน
ดรีมริกาบอกอีกว่า “มายืนด้วยกันเลยค่ะ...สาวๆ”
ดาราวรรณกับกัลยาณี มองหน้ากัน ในขณะที่คนอื่นๆ ทยอยไปยืนประกบ 2 ข้างจนคนเยอะขึ้น ดาราวรรณและกัลยาณีเดินไปนั่งแถวหน้าใกล้ๆ ตรีอัปสรและอรสินี
ดรีมริกาบอก “ยืนดีกว่าค่ะ 2 สาว จะได้เห็นทั้งรูปร่าง ทั้งหน้าตา ลุกขึ้นค่ะ”
ดาราวรรณและกัลยาณีขยับลุกขึ้น แต่กลายเป็นยืนบัง อรสินีขยับตัวให้ดาราวรรณกับกัลยาณี ตรีอัปสรก็ขยับขยายที่ให้ จนกลายเป็นว่า ดาราวรรณและกัลยาณีได้อยู่ตรงกลาง ทั้งคู่ยิ้มพอใจ
ช่างภาพกดถ่ายรูป สาวงามฉีกยิ้มมาดนางงาม
ชญานนท์ อติรุจ และมุกตาภายืนดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ
เย็นนั้น ภาพจากจอทีวีในห้องพักของโรงแรม เห็น ศรศรี มณีศิลป์ ยืนรายงานอยู่
“บรรยากาศการเก็บตัววันแรกที่จังหวัดเชียงราย เต็มไปด้วยความสนุกสนาน และอบอุ่นของสาวงามทั้ง 20 คน ที่สนิทสนมคุ้นเคยช่วยเหลือกันเต็มที่ค่ะ” ทีงานปล่อยภาพอรสินีช่วยวรัญญาจากรองเท้าติดหล่มดิน ตอนที่ถ่ายVTR ประกอบ
ทิปปี้มองภาพในจอทีวีอย่างสนใจ ก่อนจะหันไปทางเจ๊หนึ่ง ที่นั่งดูไอแพดอยู่
“นังเจ๊ หล่อนไม่มาดูเด็กหน่อยเหรอยะ ดูทุลักทุเล แต่ได้เป็นข่าวก็โอเคอ่ะ แล้วเด็กชั้นทำอะไรมั่งเนี่ย เห็นแต่ปลายผมแว่บไปแว่บมา ถ่ายยังไง....ไม่จะแจ้งเลย” กะเทยพี่เลี้ยงบ่น
เจ๊หนึ่งอ่านข่าวในไอแพดแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงตื่นเต้น
“นังทิป มาดูข่าวนี้เร้ว ข่าวลูกสาวหล่อน”
“ข่าวอะไร”
“มาอ่านเองเลย....เร็ว”
ทิปปี้เดินไปที่เจ๊หนึ่งแล้วอ่านข่าวจากไอแพด เป็นรูปตรีอัปสรกับภารดี พร้อมพาดหัวข่าวแซบ!
“ไม่ได้ขัดขาแต่หวังจะทิ่มตา แถมด่ากระจายกลางกองถ่าย”
อ่านต่อหน้า 3
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 5 (ต่อ)
วรัญญาเปิดประตู เดินนำภารดีเข้ามาในห้องพัก ภารดีเดินไปเปิดกระเป๋าในตู้เสื้อผ้าหยิบมือถือออกมา ส่วนวรัญญาเปิดลิ้นชักหยิบมือถือของตัวเองออกมา ทั้ง 2 คน มองหน้ากัน วรัญญาขยับปากจะพูด แต่ภารดีขัดขึ้นก่อน
“ถ้าจะพูดเรื่องเมื่อเช้าล่ะก้อ ไม่ต้องเลยนะ...ชั้นฟังมาเยอะแล้ว”
วรัญญาหมั่นไส้ “ก็ดี...ฟังมาเยอะ ก็ต้องซึมซับเข้าสมองด้วยจะได้มีสติ”
ภารดีเบ้ปาก “ยังไงชั้นก็ต้องเอาคืนแน่ ชั้นไม่ยอมหรอก”
“ยังแค้นไม่สร่างนะเนี่ย ถามจริงๆเถอะ เจ็บแค้นอะไรนังนั่นนักหนา ห๊ะ”
ภารดีมองวรัญญาอย่างหมั่นไส้สุดๆ “ชั้นเพิ่งรู้นะ ว่าโรคนางเอกมันถ่ายทอดกันได้จากการใกล้ชิด อยู่กับนังอรสินีมากไปเหรอ ถึงได้ดัดจริตทำเป็นคนดี”
“ชั้นไม่ได้ดัดจริต” วรัญญาเริ่มกวน ย้อนอย่างใจเย็น “แล้วชั้นก็ไม่ใช่คนดี ที่สำคัญชั้นไม่ใช่นังโง่ที่คิดจะจัดการใครอย่างไร้สติ”
ภารดีเสียงดัง “นังรัญ”
“พูดแค่นี้ก็ของขึ้นซะแล้วเหรอยะ...นังหนูดี”
ภารดีอ้าปากจะพูดต่อล้อต่อถึยง แต่เสียงโทรศัพท์ในมือดังขึ้นก่อน ภารดีมองโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะมองวรัญญาเหมือนฝากไว้ก่อนเถอะ แล้วเดินออกไปที่ระเบียงด้านนอก
เจ๊หนึ่งซึ่งอยู่ในห้องมองไปยังทิปปี้ซึ่งยืนโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียงห้องพัก บ่นบ้าอย่างหมั่นไส้
“กลัวชั้นจะได้ยินตอนด่าเด็กล่ะซิ...นังทิปปี้”
เจ๊หนึ่งค้อนควัก ทิปปี้พูดกับเด็กเสียงเข้ม
“ทำไมรับโทรศัพท์ช้าห๊ะ มัวแต่ทำอะไรอยู่”
ภารดีพูดเสียงห้วน “พี่ทิปปี้..อย่ามาทำเสียงเหวี่ยงใส่หนูดีนะ”
ทิปปี้ของขึ้นทันทีจิกเรียกชื่อเก่าดั้งเดิม “นังฮวง...นี่มันไม่ใช่เวลาประดิษฐ์ท่า สร้างภาพนะยะ รู้ไม๊ว่า ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ภารดีตวาดแว้ด “จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่าง แต่อย่ามาเรียกชั้นว่าฮวงนะ..ไอ้สมชัย”
ทิปปี้โกรธจัดแต่พยัยามควบคุมตัวเองไว้ “หุบปากเลย นังฮวง ตอนนี้เกือบทุกเว็บมีแต่ข่าวหล่อนทั้งนั้น ไปทำอะไรไว้ ทำไมถึงได้เป็นข่าวฉาวโฉ่อย่างนี้”
ภารดีตกใจหน้าเสีย “ข่าว ข่าวอะไร”
เจ๊หนึ่งยืนมองทิปปี้ เห็นทิปปี้พูดฉอดๆ ออกท่าทาง แต่ไม่ได้ยินเสียง เจ๊หนึ่งส่ายหน้าก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากด
มองผ่านกระจกออกไป เห็นภารดีหน้าเครียด มีพูดตอบโต้บ้างเหมือนตกใจคิดไม่ถึง แต่ไม่ได้ยินเสียง
วรัญญามองอยู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หล่อนกดรับ “ฮัลโหล เจ๊ ว่าไง...เจ๊อยู่ไหน”
“อยู่ในโรงแรม...ใกล้ๆนี่ละ เป็นไงมั่งวันนี้”
“ก็มีเรื่องนิดหน่อย แต่ไม่เกี่ยวกับรัญหรอก เป็นมวยคู่ใหม่”
เจ๊หนึ่งหัวเราะชอบใจ “ภารดีกับตรีอัปสรล่ะซิ ข่าวลงฉาวโฉ่เลย นี่นังทิปปี้ก็กำลังเทศนาเหวี่ยงวีนยัยภารดีอยู่”
“เห็นแล้วค่ะ ยัยนั่นนอนห้องเดียวกับรัญ”
“อุ๊ยตาย ระวังตัวหน่อยละกัน”
วรัญญาปรายตามองไปที่ภารดีที่ตัดสายแล้วพยายามข่มอารมณ์
“แค่นี้ก่อนนะ เจ๊ ยัยภารดีวางสายแล้ว”
เจ๊หนึ่งมองทิปปี้ที่ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ข้างนอกเหมือนกัน
“โอเค แล้วโทร.มารายงานกันทุกวันนะ ถ้าแอบเอาโทรศัพท์ไปได้ถ่ายรูปตอนทำกิจกรรมก็จะดีมาก...จะได้อัพขึ้นเฟสบุ๊ค IG อะไรก็ว่าไป”
“โอเคๆ” วรัญญาตัดสาย เมื่อเห็นภารดีเดินเข้ามาแล้วพุ่งผ่านไปที่ประตูอย่างรวดเร็ว สีหน้าแค้นใจเป็นที่สุด วรัญญามองผ่านไปอย่างงงๆ พึมพำอย่างอยากรู้
“ไปไหนอีกเนี่ย”
ประตูห้องเปิดออก เห็นภารดียืนหน้าเครียดอยู่หนาห้อง อรสินีเป็นคนเปิดประตู แต่ยังไม่ทันพูดอะไร ภารดีก็พูดขึ้นมาก่อน เสียงเข้ม ต่ำและเบา
“นังตรีอัปสรอยู่ไหน”
“ตรียังไม่ขึ้นมา”
ภารดีมองอรสินีอย่างจับตา ก่อนจะผลักอรสินีให้หลบไป แล้วเดินเข้ามาในห้องเดินไปดูจนทั่วห้อง
อรสินีมองภารดีนิ่งๆ
“ก็บอกแล้วไงว่าตรียังไม่ขึ้นมา”
ภารดีหันมามองอรสินีแล้วเดินไปชะโงกดูที่ระเบียง หันกลับมาทางหน้าห้องมองเลยออกไป เห็นตรีอัปสรยืนอยู่หน้าห้องก็ของขึ้นทันที
“นังตรี”
ภารดีพุ่งออกไปเหมือนจะทำร้ายตรีอัปสรเต็มที่ ตรีอัปสรเบี่ยงตัวหลบ แต่ภารดีจิกผมตรีอัปสรได้แล้วตบเปรี้ยงทันที ตรีอัปสรร้องกรี๊ด แล้วล้มลง
“โอ๊ย”
ภารดีขยับจะเข้าไปคร่อมแล้วตบซ้ำ
เสียงพี่เลี้ยง1 ดังขึ้น “หยุดนะ หยุด”
ภารดีหน้ามืด ไม่ได้ยินเสียงอะไรแล้ว พุ่งจะเข้าไปซ้ำตรีอัปสรอย่างเดียว พี่เลี้ยง 1 พี่เลี้ยง 2 และ พี่เลี้ยง 3 ที่เดินมาด้วยกัน เข้าไปดึงภารดีออกมาจากตรีอัปสร ภารดีดิ้นโวยลั่น
“ปล่อยชั้นนะ ปล่อย”
“ภารดี หยุด...หยุด...ชั้นบอกให้หยุด”
พี่เลี้ยง 1 ตวาดเสียงดัง และเอาจริง ภารดีหยุดชะงัก สติกลับมา หันไปมองซ้ายขวา ดูคนที่จับตัวเธอไว้คราวนี้ถึงกับเข่าอ่อน
“พี่ หนูดีไม่ได้เริ่มก่อนนะคะ หนูดีถูกนัง...ถูกตรีอัปสรรังแกค่ะ...เค้าแกล้งหนูดี”
อรสินีเข้าไปประคองตรีอัปสรให้ลุกขึ้น พี่เลี้ยง 2 เข้าไปจับหน้าตรีอัปสรพลิกไปมา พลางถาม
“เป็นยังไงบ้าง”
“ไม่เป็นไรค่ะ....ตรีไม่เป็นไร”
พี่เลี้ยง 1 หันมาทางภารดีที่ถูกพี่เลี้ยง 2 คนจับไว้ ภารดียังมองตรีอัปสรอย่างแค้นใจ พี่เลี้ยง 1 เห็นท่าทาง อาการของภารดี
“คงต้องให้ผู้ใหญ่เคลียร์แล้วล่ะ”
“หนูดีไม่ผิดนะคะ หนูดีไม่ได้เริ่มต้นก่อนนะคะ หนูดี...”
พี่เลี้ยง 1 สวนเสียงดังเกือบเป็นตวาด “เห็นคาตาแบบนี้ ยังกล้าพูดว่าไม่ได้เริ่มต้นก่อนอีกเหรอ” พลางหันไปมองทาง ตรีอัปสร “ดีนะที่ไม่มีแผล...ไม่งั้นล่ะก้อ...จะได้มงกุฎหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ คือได้ขึ้นหน้าหนึ่ง”
ภารดีหน้าสลดลง ตรีอัปสรซึ่งมีอรสินียืนประคองอยู่ใกล้ๆ ลอบยิ้มในสีหน้า โดยไม่มีใครเห็น
ภายในห้องอเนกประสงค์ ชญานนท์ทรุดตัวลงนั่งมองตรีอัปสรกับภารดีซึ่งนั่งตรงข้าม โดยมีพี่เลี้ยงทั้ง 3 อยู่ด้วย มุกตาภาและรัตน์ก็อยู่ด้วย ชญานนท์มองภารดีนัยน์ตาเข้ม ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“คุณรู้ตัวรึเปล่า ว่าทำอะไรลงไป ถ้าคุณตรีอัปสรแจ้งความว่าคุณทำร้ายร่างกาย คุณจะทำยังไง”
ภารดีมองหน้าชญานนท์แล้วหันไปมองมุกตาภาเป็นเชิงตัดพ้อ
“คุณห้ามไม่ให้หนูดีพูด แต่คุณปล่อยให้นังนี่คุยกับนักข่าว พวกคุณอ่านข่าวกันบ้างรึเปล่าหรือจริงๆแล้วสมรู้ร่วมคิดกับมัน”
มุกตาภาเสียงเข้ม “คุณภารดี”
ภารดีนิ่งไปนิด มุกตาภาหันไปทางพี่เลี้ยงทั้ง 3 คน
“คุณไปดูแลผู้เข้าประกวดเถอะ”
“ค่ะ”
พี่เลี้ยง 1 รับแล้วหันไปพยักหน้ากับพี่เลี้ยง 2 และ พี่เลี้ยง 3 ก่อนจะพากันเดินออกไป ภารดีมองตามไป พอพี่เลี้ยงทั้ง 3 คล้อยหลังไป ภารดีก็หันมาพูดทันที
“ถ้าใครอ่านข่าวในเน็ต ก็ต้องคิดว่าหนูดีเป็นนางมารร้าย จ้องจะจัดการนังนี่ ทั้งๆ ที่มันไม่จริงเลย”
ชญานนท์พูดเสียงจริงจัง อย่างใจเย็น “ผมว่าคุณใจเย็นๆ ก่อนดีกว่า”
“คนมาคอมเม้นท์ในเน็ต ด่าหนูดีซะยับเยิน ยังจะให้หนูดีใจเย็นอีกเหรอคะ” ภารดีไม่ยอม
“เรื่องข่าวตอนนี้มีแต่เฉพาะในเน็ต ทางเราจะจัดการเคลียร์ให้และก็รับรองว่าคุณจะไม่เห็นข่าวพวกนี้ในหนังสือพิมพ์แน่นอน”
“หนูดีจะเชื่อได้ยังไงคะ คุณห้ามหนูดี แต่ไม่ห้ามนังนี่”
ตรีอัปสรโพล่งขึ้นมา “คุณชญานนท์ห้ามชั้นแล้ว”
ชญานนท์ มุกตาภา ภารดีและรัตน์หันไปมองตรีอัปสรซึ่งนั่งนิ่งอยู่นานเป็นตาเดียว ตรีอัปสรมองภารดี
“แต่ชั้นเจอพี่นักข่าวก่อนที่จะมาเจอคุณชญานนท์ เอาเถอะ...ถ้าเรื่องจริงที่ชั้นพูด มันทำให้เธอโกรธ...ชั้นก็ขอโทษ”
ภารดีโกรธกับคำพูดของตรีอัปสร ในขณะที่ตรีอัปสรทำท่าสงบเสงี่ยมเหมือนยอมรับผิดจริงๆ
“แกไม่ต้องมาทำเป็นสงบเสงี่ยม...นังแม่มด นังสตรอว์...”
“ชั้นขอโทษแล้ว จะเอาอะไรอีก”
ชญานนท์ตัดบท “ผมอยากให้จบนะครับ อีกไม่กี่วันก็จะมีการตัดสินการประกวดแล้วมันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก ถ้าข่าวการตบตีของผู้เข้าประกวดหลุดออกไปโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่มีนักข่าว ไม่งั้นผมว่ามันจะกลายเป็นการตอกย้ำข่าวในเน็ต”
ภารดีนิ่งไปยอมจำนนในคำพูดของชญานนท์ ชญานนท์สบตากับมุกตาภาและรัตน์ ก่อนจะหันมาหยุดที่คู่กรณี
“ทางกองประกวดจะเคลียร์เรื่องข่าวให้ แต่ถ้าคุณมีปัญหาแบบนี้อีก ผมคงต้องตัดสิทธิ์คุณทั้งคู่ออกจากการประกวด หวังว่าคงเข้าใจนะครับ”
“ตรีเข้าใจค่ะ”
ภารดีเจ็บใจแต่ไม่รู้จะทำยังไง มุกตาภามองตรีอัปสรอย่างไม่เชื่อ
อรสินีทรุดตัวลงนั่งหน้าตรีอัปสร สีหน้าเป็นกังวล
“ตัดสิทธิ์เลยเหรอ...แล้วภารดีว่ายังไงบ้าง”
“คุณนนท์ก็พยายามพูดให้ภารดีเข้าใจอ่ะค่ะ แล้วก็ขอให้จบ เพราะถ้ามีเรื่องกันอีก ก็จะถูกตัดออก ปลดทั้งคู่”
“แต่ตรีไม่ได้ไปหาเรื่องก่อนนี่ ทำไมพี่นนท์จะปลดทั้งคู่”
ตรีอัปสรถอนหายใจเบาๆ ทำท่าเหมือนยอมรับสภาพแม้ว่าตัวเองจะไม่ผิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ตรีเข้าใจ ถ้าภารดีโดนปลดเพราะหาเรื่อง” ตรีอัปสรพูดขำๆ “ตรีก็คงโดนปลดเพราะทำตัวให้เพื่อนหมั่นไส้โดยไม่เจตนา”
อรสินีจับมือตรีอัปสรปลอบ “อรว่าคงไม่ถึงขั้นปลดหรอก พี่นนท์อาจจะพูดให้ภารดีกลัว”
ตรีอัปสรยิ้มนิดๆ “ตรีก็กลัวค่ะ...ตรีขอไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
อรสินีพยักหน้า เสียงโทรศัพท์ภายในดังขึ้น ตรีอัปสรเดินไปรับโทรศัพท์ให้
“ฮัลโหล” สีหน้าตรีอัปสรเปลี่ยนไปนิด “ซักครู่นะคะ”
ตรีอัปสรหันมาทางอรสินี
“คุณอรคะ คุณนนท์ค่ะ”
อรสินีเดินไปรับโทรศัพท์จากตรีอัปสร ยิ้มเป็นเชิงขอบใจ
“ฮัลโหล ค่ะ ก็ไม่ได้ทำอะไรค่ะ...ยังไม่ได้อาบค่ะ”
ตรีอัปสรซึ่งฟังอรสินีพูดโทรศัพท์ไปด้วย หยิบผ้าเช็ดตัว เสื้อคลุม แอบเบ้ปากอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป อรสินีคุยโทรศัพท์สีหน้าเบิกบาน
ตรีอัปสรปิดประตูห้องน้ำ ยืนนิ่งเหมือนพยายามระงับอารมณ์ แต่ที่สุดก็ขว้างผ้าเช็ดตัวไปอย่างแรงระบายอารมณ์ มองมือที่อรสินีจับเมื่อครู่แล้วเปิดน้ำล้างเหมือนรังเกียจ ขยะแขยงเต็มทน
ฝ่ายชญานนท์คุยโทรศัพท์กับอรสินีอยู่ในห้องพัก
“ดูแลตัวเองดีๆ นะ น้องอร...พี่เป็นห่วง”
“ค่ะ”
“พักผ่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้ต้องขึ้นดอยแต่เช้า”
“ค่ะ กู๊ดไนท์ค่ะ”
“กู๊ดไนท์ค่ะ”
ชญานนท์วางหูโทรศัพท์ลง สีหน้าเหมือนยังกังวลอยู่มาก
บรรยากาศยามเช้าบนดอยแสนสดชื่นสวยงาม บรรดาสาวงามอยู่ในชุดแนวสปอร์ตของสปอนเซอร์ แต่งตัวเหมือนกัน เดินทยอยลงมาจากรถบัส มีชาวบ้านมายืนดูกันเป็นจำนวนมาก พออรสินีเดินลงมาก็มีเสียงกรี๊ดอย่างชื่นชม ตรีอัปสรเดินตามมา เว้นระยะห่าง เสียงกรี๊ดดังมากกว่า ตรีอัปสรโบกมือส่งจูบ ใช้ภาษามือที่หมายถึงรัก เรียกเสียงกรี๊ดมากขึ้น ตรีอัปสรยิ้มอย่างสุขใจ ภารดี วรัญญา ดาราวรรณ และกัลยาณี มองมาที่ตรีอัปสรอย่างไม่พอใจ หมั่นไส้ตามจริตใครมัน
ต่อมา ตรีอัปสร อรสินี วรัญญา และสาวงามคนอื่นๆ ยืนรวมกันอยู่มุมหนึ่ง มีชาวบ้านทั้งสาว ทั้งแก่เดินกันอยู่ขอถ่ายรูปด้วย อรสินียิ้มแย้มแจ่มใสถ่ายรูปด้วย ส่วนตรีอัปสรเหมือนจะออกอาการเหนื่อย ร้อน เลี่ยงหลบไป ส่วนบรรดาผู้เข้าประกวดถ่ายรูปกับชาวบ้านที่มาขอ โดยมีทีมงานข่าวของช่องไทยเท็นตามเก็บภาพบรรยากาศด้วย ศรศรี เจ้าเก่ายืนรายงานอยู่
ภาพในจอทีวีที่ห้องรับแขกบ้านดารินทร์ เป็นเสียงศรศรีกำลังบรรยายอยู่
“วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันของสาวงามที่เข้าประกวด นางสาว ณ สยาม ที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากประชาชนเจ้าบ้านในจังหวัดเชียงรายค่ะ...และน่าจะเป็นครั้งแรกในวงการนางงาม ที่สาวงามมีแฟนคลับและป้ายไฟมาเชียร์ผู้เข้าประกวดในดวงใจ”
ปิ๋มกับแป๋ว ซึ่งนั่งดูอยู่
“แม่ๆ นั่นไง คุณตรี มีป้ายไฟด้วยอ่ะ” ปิ๋มปลื้ม
“เออ...เห็นแล้ว สวยจริงๆ ว่ะ ราศรีจับ..มีแฟนคลับตั้งกะตอนนี้เลย” แป๋วว่า
เสียงดารินทร์ดังขึ้น “แหม...เชียร์แบบนี้น่าพาไปเกาะขอบเวทีจริงๆ”
ทั้งปิ๋มและแป๋วหันไปมอง เห็นดารินทร์แต่งตัวรัดกุม เหมือนเตรียมตัวเดินทาง
“คุณตรีมีป้ายไฟมาเชียร์ด้วยค่ะ...คุณผู้หญิง” ปิ๋มว่า
ดารินทร์พอใจ ยิ้มปลื้ม “สงสัยจะกวาดทุกตำแหน่ง”
“ดา...คุณดา”
ดารินทร์หันไปมอง เห็นนายพลอัศวินเดินเข้ามาในบ้าน ดารินทร์ทำท่าแปลกใจ เดินเข้าไปหา
“คุณอัศ...มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ดาไม่ได้ยินเสียงรถเลย”
นายพลอัศวินยิ้มๆ “ก็มัวแต่ชื่นชมสาวงามอยู่น่ะซิ”
ดารินทร์หัวเราะขำ เข้าไปเกาะแขนท่านนายพล
“ดาต้องเตรียมตัวเป็นคุณแม่นางสาว ณ สยาม แล้วล่ะค่ะ”
“แน่นอน ยังไงผมก็ดันเต็มที่อยู่แล้ว”
นายพลอัศวินพูดเหมือนโอ้อวดนิดๆ ดารินทร์ยิ้มให้ แต่ไม่พูดอะไร
“ไปกันรึยัง”
“ค่ะ” ดารินทร์หันไปทางปิ๋มกับแป๋ว “ปิ๋ม เอากระเป๋าขึ้นรถด้วย”
“ค่ะ” ปิ๋มลุกขึ้นเดินไปเข็นกระเป๋าเสื้อผ้าของดารินทร์ออกไป แป๋วลุกขึ้นยืน
ดารินทร์ถามแป๋ว “จะฝากอะไรถึงคุณตรีไม๊ แป๋ว”
แป๋วยิ้มดีใจ “ฝากค่ะ ฝากบอกคุณตรีว่าแป๋วคิดถึงค่ะ”
“จ้ะ..แล้วจะบอกให้นะ”
ดารินทร์เดินกอดแขนนายพลอัศวินออกไปที่รถ
ด้านสาวงามต่างกำลังโพสท่าถ่ายรูป แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวของเชียงราย โดยมีช่างภาพถ่ายรูป ไปมา มอลลี่ ข้าวตู ข้าวตัง ช่วยกันทำงาน จัดท่าทาง ตรีอัปสรจับคู่กับอรสินี ภารดีจับคู่กับวรัญญา ดาราวรรณจับคู่กับกัลยาณี และสาวงามคนอื่นๆ ถ่ายรูปกันไป
สักครู่ต่อมา อาจารย์ดรีมริกายืนอยู่ มีบรรดาสาวงามนั่งฟังอยู่
“พรุ่งนี้เราจะซ้อมการแสดง สำหรับงานเลี้ยงที่ทางกองประกวดจัดร่วมกับการท่องเที่ยวของจังหวัดเชียงรายนะคะ...ซึ่งหลังจากงานเลี้ยง..วันรุ่งขึ้นเราก็จะเดินทางกลับกรุงเทพฯ เพื่อเตรียมตัวสำหรับการตัดสินการประกวดนางสาว ณ สยาม 2 วันที่กรุงเทพฯ เราจะซ้อมการแสดงกัน เพื่อให้โชว์ออกมาดีที่สุด ซึ่งผู้เข้าประกวดทุกคนอาจจะทราบตารางงานของพวกเราคร่าวๆ แล้วนะคะ”
บรรดาสาวๆ พึมพำและส่งเสียงรับทราบ ดรีมริกาพูดต่อ
“และขอย้ำนะคะว่า น้องๆทุกคนจะต้องอยู่กับพี่เลี้ยงของทางกองประกวดเท่านั้น จนกว่าการประกวดจะเสร็จสิ้น และสำหรับวันนี้หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เราจะไปเยี่ยมเด็กๆและเลี้ยงอาหารเย็นเด็กๆ ที่หมู่บ้านโสสะ”
พี่เลี้ยง 1 เดินเข้ามาหาดรีมริกา “อาหารพร้อมแล้วค่ะ”
“ไปทานข้าวกันได้แล้วค่ะ”
พี่เลี้ยงทั้งหมดเดินเข้าไปประกบกลุ่มสาวงามที่ตัวเองดูแลอยู่ แล้วเดินนำไป
อีกฟากหนึ่ง รถของโรงแรมแล่นเข้ามาจอด คนขับรถลงมาอ้อมเปิดประตูให้ แลเห็นสลิลทิพย์ลงจากรถมา พนักงานโรงแรมเข้ามารับกระเป๋า สลิลทิพย์เดินนวยนาดเข้าไปในโรงแรม ตรงไปที่เคาน์เตอร์เพื่อเช็คอิน
จังหวะนี้ ดารินทร์กับนายพลอัศวินซึ่งยืนคุยกับเจ้าหน้าที่และรับกุญแจห้องมาหมุนตัวมาเจอสลิลทิพย์ที่เดินมาพอดี สลิลทิพย์เห็นดารินทร์ก็ชะงัก ชักสีหน้าใส่ทันที ดารินทร์มองสลิลทิพย์แล้วยิ้มให้แต่มองอย่างเยาะเย้ย มือเกาะแขนนายพลอัศวินตลอดเวลา
สลิลทิพย์ยกมือไหว้ท่านนายพล “สวัสดีค่ะท่าน” เอามือลงแล้วจำใจหันไปทักทายดารินทร์ตามมารยาท “สวัสดี”
ดารินทร์ยิ้มหวานตอบ “สวัสดีค่ะ คุณสลิลทิพย์...มาคนเดียวเหรอคะ”
สลิลทิพย์ยิ้มหวานไม่แพ้กัน แล้วพูดทีเล่นทีจริง แบบคนคุ้นเคย เนียนๆ
“ถ้ามาด้วยก็ต้องเห็นซิคะ”
“ก็คิดเหมือนกันค่ะ เพราะเท่าที่ทราบเวลาสลิลทิพย์ออกงานก็ต้องเห็นคุณอาชัญทุกครั้ง” ดารินทร์ยิ้มเยาะนิดๆ “คุณอาชัญคง ติด ธุระ ใช่ไม๊คะ” ดารินทร์พูดเว้นช่วงห่างและเน้นคำว่าคำว่า ติด...เหมือนจะหมายถึง ติดผู้หญิงคนอื่นอยู่เหรอ
สลิลทิพย์คอแข็งทันที “คุณอาชัญติดงาน”
“อ๋อ.....” ดารินทร์ลากเสียงยาว “ถ้าเหงา ไปทานข้าวด้วยกันก็ได้นะคะ”
สลิลทิพย์มองดารินทร์แล้วยิ้มให้อย่างไว้ตัว ก่อนจะหันมาทางนายพลนักรัก จงใจฉีกหน้าคู่ปรับ
“ท่านสบายดีนะคะ เมื่อวันก่อน ดิชั้นเจอคุณหญิงที่ร้านเพชร เห็นว่าท่านให้ไปเลือกเพชรเป็นของขวัญ”
นายพลอัศวินหัวเราะ “เหรอ...คุณหญิงบอกอย่างนั้นเหรอ”
สลิลทิพย์ว่า “ค่ะ”
ดารินทร์เกาะแขนนายพลอัศวิน “ขึ้นไปพักผ่อนก่อนดีไม๊คะ” แล้วหันมาทางสลิลทิพย์ “ขอตัวก่อนนะคะ...ไปเถอะค่ะ”
นายพลอัศวินหันมาทางสลิลทิพย์ “ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ”
“ค่ะ”
ดารินทร์คล้องแขนนายพลอัศวิน เดินแยกไป สลิลทิพย์มองตามไปอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะเดินไปเคาน์เตอร์เช็คอิน
ฟากคุณหญิงสุดสวาทพูดโทรศัพท์อยู่ที่คฤหาสน์ น้ำเสียงหงุดหงิดแต่แกมออดอ้อนเหมือนสาวรุ่น
“แต่พี่อยากเจอแมน วันนี้นิ อะไรนะ อยู่เชียงราย แมนไปทำอะไรที่นั่น ทำงานเหรอ ทำ ทำไม พี่เลี้ยงแมนได้ แมนก็รู้ กลับมาเถอะ พี่คิดถึง” คุณหญิงทำท่างอนๆ “ถ้าแมนไม่กลับมา พี่มีคนใหม่ แมนตกกระป๋อง พี่ไม่รู้นะ” ท่าทางเหมือนแมนจะพูดอ้อน สีหน้าคุณหญิงคลายลง “ก็ได้ กลับมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ต้องมาหาพี่คนแรกเลยนะ โอเคจ้ะ บาย จุ๊บๆๆ”
เด็กรับใช้ถือกระเป๋าเสื้อผ้าใบย่อมลงมาจากชั้นบน คุณหญิงสุดสวาทหันไปมองตามเด็กรับใช้ แล้วมองมาทางบันได เห็นณเดชย์เดินลงบันไดมา
“จะไปไหนจ๊ะ....พ่อลูกชาย”
“เชียงรายครับ”
คุณหญิงสุดสวาทเลิกคิ้ว “เชียงรายอีกแล้ว มีแต่คนไปเชียงราย”
ณเดชย์ยิ้มเย้า “ใครครับ ก็เห็นมีแต่คุณพ่อ หรือว่าหนุ่มๆ ของคุณแม่”
คุณหญิงค้อนควัก “อย่ามาพูดให้แม่เสียหายได้ไม๊” รีบเปลี่ยนเรื่องพูด “จะไปเชียงรายแล้วทำไมไม่ไปพร้อมคุณพ่อล่ะ”
คราวนี้ณเดชย์ยิ้มขำกับคำถามของผู้เป็นมารดาบ้าง
“คุณแม่ก็ทราบอยู่แล้วนี่ครับ ว่าทำไม อย่าให้ผมตอบเลยนะครับ”
คุณหญิงสุดสวาทค้อนลูกชายอีกวง “ถึงตอบมา แม่ก็ไม่รู้สึกอะไรอยู่แล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกที่พ่อแกทำแบบนี้” คุณหญิงขยับลุกขึ้น เดินเข้าไปหาณเดชย์ “จะไปหาหนูมุกหรือไปหาใคร”
ณเดชย์ถอนหายใจ ไม่ตอบ ก่อนจะยิ้มพูดตัดบท “ผมไปนะครับ..เดี๋ยวจะตกเครื่อง”
คุณหญิงสุดสวาทอบรมลูกชาย “ตานะ ถ้าแกจะหาเศษหาเลย เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาไปบ้าง แม่ไม่ว่าหรอกนะ แต่ต้องจำไว้ว่า หนูมุกคือตัวจริงของแก คนระดับเราเรื่องความรักมาทีหลัง เรื่องผลประโยชน์ เรื่องความเหมาะสมต้องมาก่อน เข้าใจใช่ไม๊”
“ครับ” ณเดชย์รับคำมารดา เครียดนิดๆ แต่พยายามเก็บอาการ
อ่านต่อหน้า 4
ปีกมงกุฎ ตอนที่ 5 (ต่อ)
รถบัสกองประกวดนางสาว ณ สยาม แล่นเข้ามาจอดหน้าโรงแรม พี่เลี้ยงนางงามเดินนำลงมาก่อนพร้อมกับอาจารย์ดรีมริกา นางงามทยอยตามลงมา ตรีอัปสร อรสินีเดินตามกันมาติดๆ
วรัญญากับภารดี ทิ้งห่างเล็กน้อย ดาราวรรณ กัลยาณีตามมา พี่เลี้ยงประกบกลุ่มผู้เข้าประกวดของตน ทุกคนเดินเข้าไปด้านใน
พอเข้าไปในโรงแรม ตรีอัปสรเดินมากับอรสินี ถูกช่างภาพของสถานีโทรทัศน์ไทยเท็นตามเก็บภาพตลอด ตรีอัปสรเดินผ่านล็อบบี้แลเห็นสลิลทิพย์นั่งอยู่ จึงหันมาทางอรสินี
“คุณแม่ของคุณอรมาค่ะ”
อรสินีหันไปมองตาม เห็นสลิลทิพย์โบกมือให้ อรสินียิ้ม ยกมือไหว้สลิลทิพย์ เป็นจังหวะที่ช่างภาพถ่ายรูปไว้พอดี
ประตูลิฟท์เปิดออกเห็นดารินทร์กับนายพลอัศวินอยู่ในลิฟท์เดินเคียงกันออกมา ทั้งคู่เดินไปทางล็อบบี้ สวนทางกับวรัญญาและภารดีรวมทั้งบรรดาสาวงามที่เดินมา สาวงามจำนายพลอัศวินได้ ยกมือไหว้
กันอย่างอ่อนน้อม ตรีอัปสรเดินตามหลังมา เห็นดารินทร์และนายพลอัศวินก็ยิ้มได้ใจ เดินเข้าไปหา
“แม่” ตรีอัปสรยกมือไหว้สองคน “สวัสดีค่ะ...คุณลุง”
ดารินทร์บอก “เจอกันตอนทานมื้อเย็นนะ”
“ค่ะ”
ดารินทร์พูดจบก็เดินควงแขนนายพลอัศวินไป สวนกับอรสินีที่เดินตามมา ดารินทร์ทำเป็นไม่เห็นเดินเลยไป อรสินีจะไหว้แต่ก็ต้องชะงัก
ดาราวรรณเดินเข้ามาในห้องพัก มีกัลยาณีตามมาติดๆ พอเข้ามาในห้องก็ตรงไปหยิบโทรศัพท์ซึ่งแอบซ่อนกันไว้คนละมุม ต่างคนต่างมองกันเองแล้วมองมือถือในมือ
“เธอจะโทร.ไปหาใครยะ....มาถึงก็รีบคว้าโทรศัพท์เชียว”
กัลยาณีมองอย่างรู้ทัน “แล้วเธอล่ะ จะโทร.หาใคร”
“ชั้นไม่ได้โทร.หาใคร แต่จะเอามาดูว่ามีใครโทร.หาชั้นบ้าง”
ดาราวรรณทำเป็นเปิดเช็คโทรศัพท์ดู กัลยาณีมองครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปนั่งบนเตียง ท่าทางเซ็งๆ ดาราวรรณ ซึ่งทำเป็นเช็คโทรศัพท์หันมามองกัลยาณี
“เป็นอะไร”
“นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตการประกวดนางงามของชั้นเลยนะ ที่รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเศษขยะ ยังไงก็ไม่รู้” กัลยาณีบอกความในใจ
ดาราวรรณตกใจคิดไม่ถึง “อะไรนะ”
กัลยาณีผ่อนลมหายใจเบาๆ “ชั้นรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เหมือนมาเป็นตัวประกอบปลายแถว”
“ชั้นว่าหล่อนดราม่าไปไม๊”
กัลยาณีมองดาราวรรณอย่างจริงจัง “ถ้าเธอไม่หลอกตัวเองนะ วรรณ ชั้นว่าเธอก็รู้สึกไม่ต่างกับชั้นหรอก”
ดาราวรรณพยายามร่าเริง พูดเสียงขำๆ “อะไรกัน เมื่อ 2 วันก่อนยังชวนชั้น ทำอะไรก็ได้ให้สื่อสนใจอยู่เลย วันนี้มาถอดใจซะแล้ว ชั้นยังไม่ได้กลัวมะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี่โชว์แขกเลยนะ”
กัลยาณียิ้มเยาะนิดๆ “ณ จุดนี้ ชั้นว่าคงไม่ถึงจุดนั้นแล้วละ คืนพรุ่งนี้จะประกาศขวัญใจคนเชียงราย เราก็ไม่ได้อยู่แล้ว”
“รางวัลเล็กๆ จะไปสนใจทำไม” ดาราวรรณว่า
“รางวัลเล็ก รางวัลใหญ่ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ชั้นว่ายัยไฮโซ 2 คนนั่น แบ่งกันกวาดรางวัลแหง”
ดาราวรรณชักหงุดหงิด ตัดบท “พอเหอะ มาจนถึงขนาดนี้แล้ว อย่างน้อยเราก็ติด 20 คน เธอจะมาท้อแท้หมดกำลังใจอะไรตอนนี้หะ รีบอาบน้ำอาบท่าแล้วลงไปเสนอหน้าข้างล่างดีกว่า”
ดาราวรรณเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาโยนให้กัลยาณี ก่อนจะดึงกัลยาณีให้ลุกขึ้น
“ไป๊ อาบเร็วๆ เข้า”
กัลยาณีลุกขึ้นแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ดาราวรรณมองตามไปส่ายหน้าอย่างท้อแท้ ทำใจ
ขณะเดียวกัน ที่กรุงเทพฯ วุฒิเพื่อนณเดชย์กับแจนนั่งอยู่ในร้านอาหารของห้าง แจนเพื่อนมุกตาภาเห็นแพรวเดินมาก็ทัก
“แพรว”
แพรวลุกเดินเข้าหา
“ทานข้าวเหรอ นั่งด้วยกันไม๊ นัดใครไว้รึเปล่า”
แพรวส่ายหน้า “ไม่ได้นัด....วันนี้ฉายเดี่ยว”
แจนหันไปทางวุฒิแนะนำ “วุฒิคะ นี่ แพรว เพื่อนแจนค่ะ”
“สวัสดีครับ”
“สวัสดีค่ะ” แพรวยิ้มทัก
“เพื่อนซี้ไปไหนล่ะ ทำไมไม่มาด้วย”
“อยู่เชียงราย พาสาวๆไปเก็บตัว” แพรวหันมาทางวุฒิ “ประกวดนางสาว ณ สยามน่ะค่ะ”
“อ๋อ...ครับ”
แจนเหมือนนึกอะไรได้ “อืม...วุฒิ เป็นเพื่อนเก่าของคุณณเดชย์ด้วยนะ”
แพรวบอก “แพรวเป็นเพื่อนสนิทกับคู่หมั้นเพื่อนคุณน่ะค่ะ”
“ผมเคยเจอแล้วครับ เจอกันโดยบังเอิญที่ร้านอาหาร วันนั้นมีงานเลี้ยงรุ่นพอดี ผมก็เลยฉกตัวนายนะไป เพื่อนคุณสวยมากเลยนะครับ นายนะ บอกว่า รู้จักกันกันตั้งแต่ตอนที่อยู่อังกฤษ”
แพรวเลิกคิ้ว “อังกฤษเหรอคะ”
“ครับ มีอะไรรึเปล่าครับ...อย่าบอกนะครับว่าคนละคน”
วุฒิพูดขำๆ แพรวรีบส่ายหน้าปฏิเสธ
“เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
แพรวยิ้มให้แล้วเส ก้มลงอ่านเมนูเหมือนเลือกอาหาร แต่สีหน้าครุ่นคิด
แพรวเดินเข้าไปในห้องน้ำ กดโทรศัพท์หามุกตาภาทันที รออยู่นานมีแต่เสียงเรียกแต่ไม่มีคนรับ แพรวหงุดหงิด
“ทำไมไม่รับนะ”
แพรวกดโทร.อีกครั้ง แต่มุกตาภาก็ไม่รับอยู่ดี
ค่ำแล้ว บรรยากาศในห้องอาหารโรงแรมที่เก็บตัวสาวงาม จัดอาหารบุฟเฟ่ต์ บรรดาสาวงามทยอยเดินเข้ามา โดยมีพี่เลี้ยงดูแล
อีกมุมด้านหนึ่งเป็นโต๊ะกรรมการ มีนายพลอัศวินและกรรมการคนอื่นนั่งกันอยู่ในนั้นแล้ว
ถัดไปเป็นโต๊ะนักข่าว บรรดาสาวงามเดินไปนั่งที่โต๊ะ อรสินีเดินมา วรัญญาเดินเข้าไปใกล้ๆ
“ตรีอัปสรหายไปไหน มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่มีอะไร เดี๋ยวคงลงมา”
วรัญญาพยักหน้า อรสินีมองแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน วรัญญาเห็นท่าทางของอรสินีก็ชะงัก มองอรสินีขวางๆ
“อย่ามองแบบนั้น อร รัญไม่ได้เป็นคนดี ไม่ได้เป็นห่วงยัยนั่นหรอกรัญแค่อยากรู้”
อรสินียิ้มกว้างมากขึ้น รู้สึกขำๆ กับท่าทีวรัญญา
ตรีอัปสรเดินมาตามทางเดินตรงไปยังห้องอาหาร เดินมาได้ซักครู่ก็ชะงัก เมื่อมองตรงไปเห็นชญานนท์เดินมาจากอีกทาง
“ทำไมลงมาช้าล่ะ คนอื่นเข้าไปทานอาหารกันแล้วนะ”
“ขอโทษค่ะ ตรีแต่งหน้านานไปนิด คือ...ตรีต้องรองพื้นหนาหน่อย...ปิดรอยช้ำที่แก้มค่ะ”
ชญานนท์ชะงักไปกับคำพูดของตรีอัปสร ก่อนจะเดินเข้าไปใกล้ๆ มองดูที่แก้ม ตรีอัปสรมองสบตาชญานนท์
“ยังเจ็บอยู่รึเปล่า”
ตรีอัปสรยกมือขึ้นจับแก้มข้างที่ถูกตบ “ก็นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณนนท์ไม่ต้องกังวล...ตรีไม่ใช่คุณหนู ลูกเศรษฐีผู้ดีเก่า เด็กที่มาจากสลัมความอดทนสูงอยู่แล้วค่ะ” หล่อนสบตาชญานนท์ก่อนจะพูดต่อ “นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตรีโดนรังแก ทั้งๆ ที่ตรีไม่ผิด”
ชญานนท์รู้สึกละอายใจเล็กๆ “ตรีอัปสร”
ตรีอัปสรยิ้มบางๆ “ตรีขอตัวก่อนนะคะ ไม่อยากโดนพี่เลี้ยงดุ”
จากนั้นตรีอัปสรก็เดินผ่านไป ชญานนท์มองตามไป พร้อมกับถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ในอดีตตอนเป็นเด็ก
ภาพเหตุการณ์ที่เด็กชายชญานนท์ผลักเด็กหญิงตรีอัปสร และด่าว่าเสียๆ หายๆ ผุดซ้อนขึ้นมา
คิดเรื่องนี้ขึ้นมาทีไร ชญานนท์รู้สึกผิดเต็มๆ
อรสินีนั่งทานอาหารอยู่ เก้าอี้ข้างๆว่าง ตรีอัปสรถือจานอาหารมาวาง อรสินีหันไปมอง
“ตรีไปไหนมา...พี่เลี้ยงถามหาเมื่อกี้...อรตอบไม่ถูก”
“พอดีตรีเจอคุณนนท์ค่ะ คุณนนท์ถามเรื่องที่ภารดีตบหน้าตรี”
“อ๋อ...”
อรสินีเหมือนไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ยิ้มให้ตรีอัปสร
“ทานข้าวเถอะ”
อรสินีหันมากินข้าว ตรีอัปสรยิ้มเยาะนิดๆ ให้กับจานข้าวตัวเอง เหมือนเป็นใบหน้าอรสินี
ภารดีค้อนขวับจากที่มองตรีอัปสรตาขวาง วรัญญาซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ หันมามองตาม
“เธอนี่ แค้นฝังหุ่นจริงๆนะ ขนาดกินข้าวยังขว้างค้อนขวับๆ”
“ชั้นเกลียดมัน”
“อารมณ์ไม่ดีตอนกินข้าว ระวังจะท้องอืด”
วรัญญาพูดจบก็ตักข้าวเข้าปาก ดาราวรรณซึ่งนั่งใกล้ๆ กัลยาณี หันไปมองกัลยาณีซึ่งเขี่ยสลัดในงานไปมาเหมือนไม่อยากกิน ดาราวรรณถามเบาๆ
“กินไม่ลงหรือกำลังคิดว่าจะกลัวผักอะไรดีเหรอ”
กัลยาณีงงๆ “อะไร”
ดาราวรรณหัวเราะเบาๆ “ก็ชั้นคิดว่าเธอเขี่ยผัก เตรียมสร้างกระแสว่ากลัวผัก กลัวมะเขือเทศน่ะซิ....นักข่าวอยู่ในห้องพอดี”
“อืม...ใช่ ลืมไปเลย...เอาซะหน่อยนะ”
กัลยาณีนึกสนุก มีสีหน้าสดชื่นขึ้นเหมือนมีความหวังจะโดดเด่นเป็นที่น่าสนใจ กัลยาณีทำหน้าเหมือนตกใจ แต่ยังไม่ทันกรี๊ด ก็มีเสียงกรี๊ดดังตัดหน้าขึ้นมาก่อน
“ว้าย....”
ทุกคนหันไปมองทางภารดีเจ้าของเสียงร้อง รวมทั้งนักข่าว พี่เลี้ยงและกรรมการลุกขึ้นดู
ภารดีผลักจานข้างๆตัว “เอาออกไป...เอาออกไป...เอาสตรอว์เบอร์รี่ออกไป”
ไม่เท่านั้นภารดียังทำท่ากลัวสุดฤทธิ์ พูดไปพร้อมกับผลักจานสตรอร์เบอรี่ไปไกลๆ วรัญญามองอย่างงงๆ นักข่าวเข้ามาถ่ายรูป ตรีอัปสรมองอย่างหมั่นไส้ด้วยรู้ทัน แต่ไม่พูดอะไร
ดาราววรรณกับกัลยาณี มองหน้ากันเซ็งๆ ที่โดนภารดีขโมยซีนไป
สุดท้ายบริกรเอาจานสตรอว์เบอรี่ออกไปแล้ว ภารดีกอดวรัญญาแน่นเหมือนหาที่พึ่ง
รัตน์เดินนำดารินทร์และสลิลทิพย์เข้ามาในส่วนของคอฟฟี่ชอป มุกตาภาหันมาทางดารินทร์กับสลิลทิพย์ พูดท่าทีสุภาพ
“ต้องขอโทษนะคะ ที่ต้องให้คุณสลิลทิพย์กับคุณดารินทร์มาทานอาหารที่นี่ และก็ขอบคุณมากค่ะ...ที่ให้ความร่วมมือ คือเราขออนุญาตเฉพาะเจ้าหน้าที่ของกองประกวดเท่านั้นค่ะ ที่เข้าไปทานอาหารในห้องใหญ่ได้”
ดารินทร์บอก “ดิชั้นเข้าใจค่ะ”
“แล้วในวันงานพรุ่งนี้ เราจะจัดโต๊ะให้สำหรับแขกก VIP ที่มาร่วมงานนะคะ แยกกับคณะกรรมการ” รัตน์เสริม
สลิลทิพย์แดกดัน “ดีค่ะ จะได้ไม่เป็นที่ครหาว่าแม่ของผู้เข้าประกวดมีอะไรกับกรรมการ”
ดารินทร์มองสลิลทิพย์อย่างหมั่นไส้
“ใช่ค่ะ ต้องระวังเรื่องลูกชายเจ้าของสถานีที่จัดงานประกวดกับผู้เข้าประกวดด้วยเหมือนกัน”
“ค่ะ เชิญทางนี้เลยค่ะ” รัตน์เดินนำสลิลทิพย์กับดารินทร์มาที่โต๊ะแล้วบอก “นั่งด้วยกันนะคะ”
“ไม่ค่ะ” ดารินทร์กะสลิลทิพย์พูดพร้อมกัน รัตน์ยิ้มแห้งๆ
“นั่งแยกก็ดีค่ะ ถ้าอย่างนั้นตามสบายนะคะ...ดิชั้นขอตัว”
รัตน์ยิ้มแหยๆ แล้วหมุนตัวเดินออกไป สลิลทิพย์กับดารินทร์มองหน้ากัน แล้วสะบัดหน้าเมินไปคนละทาง
รถโรงแรมแล่นเข้ามาจอดด้านหน้าทางเข้า ณเดชย์เปิดประตูลงมาจากรถ พนักงานขับรถลงมาหยิบกระเป๋าส่งให้พนักงานยกกระเป๋าหิ้วไป มุกตาภาเดินออกมา สีหน้ามีความสุข
“ยินดีต้อนรับสู่เชียงรายค่ะ”
ณเดชย์ยิ้มตอบ “พูดเป็นพนักงานต้อนรับเลยนะ”
มุกตาภาหัวเราะอารมณ์ดี “นึกยังไงคะ ถึงได้ทิ้งงานตามมาถึงเชียงราย อย่าบอกนะคะว่าคิดถึงมุก”
“ถ้าผมบอกว่าคิดถึงล่ะ”
มุกตาภายิ้มชื่น “มุกจะลองเชื่อแล้วกันค่ะ คุณนะจะขึ้นห้องก่อนหรือจะแวะไปห้องอาหารก่อนคะ คุณลุงก็อยู่ค่ะ”
“ไปที่ห้องอาหารก่อนก็ได้”
“ค่ะ”
มุกตาภาเดินนำณเดชย์ไปทางห้องอาหาร สีหน้าณเดชย์คลี่ยิ้มนิดๆ ที่จะได้เจอตรีอัปสรแล้ว
ที่โต๊ะอาหารของอรสินีซึ่งมีตรีอัปสร วรัญญา ภารดี ดาราวรรณและกัลยาณีนั่งอยู่ มีผู้เข้าประกวดคนอื่นนั่งอยู่ด้วย นั่งทานอาหารอยู่ บางคนอิ่มแล้ว กำลังทานผลไม้ วรัญญามองไปทางเข้าห้องอาหาร เห็นมุกตาภาเดินมากับณเดชย์และเดินไปทางโต๊ะกรรมการ ซึ่งมีชญานนท์กับอติรุจนั่งอยู่ด้วย
“อร...นั่นคู่หมั้นคุณมุกตาภา...ใช่ไม๊”
อรสินีเหลียวไปมองตาม ตรีอัปสรซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินที่วรัญญาพูด ก็เงยหน้าขึ้นมองด้วย เห็นณเดชย์ยกมือไหว้กรรมการที่นั่งร่วมโต๊ะ และพูดคุยกับบิดา
“ใช่ คุณณเดชย์เป็นลูกชายของท่านอัศวิน” อรสินีบอก
“อ๋อ...”
ภารดีซึ่งตอนแรกไม่ได้สนใจโต๊ะอื่น เพราะมัวแต่หมั่นไส้ตรีอัปสรอยู่ หันไปมองตาม เห็นนายพลอัศวินก็ตาวาวขึ้นมาทันที หันมาถามวรัญญา
“ภรรยาของท่านอัศวิน คนที่เป็นแม่ของคุณณเดชย์ ชื่อคุณหญิงสุดสวาทใช่ไม๊”
วรัญญาบอก “ใช่ แต่ไม่ได้มาด้วย”
“เมียเอกไม่ได้มา ก็เพราะว่าเอาเมียน้อยมาล่ะซิ”
อรสินีหน้าเสียเมื่อได้ยินภารดีพูด ตรีอัปสรชะงักไปนิด มือที่ถือช้อนอยู่ กำเกร็ง เหมือนพยายามจะเก็บอารมณ์ความรู้สึกอย่างยิ่ง
“ชั้นไม่รู้” วรัญญาว่า
ภารดีหัวเราะ “รู้อยู่เต็มอก ยังบอกว่าไม่รู้อีกเหรอ ยัยรัญ นี่เค้าคงกันให้ออกไป ไม่ให้เสนอหน้าเข้ามา”
มือตรีอัปสรกำช้อนแน่นอย่างระงับอารมณ์ แต่ภารดียังพูดต่ออย่างมันปาก
“ชื่ออะไรนะ ยัยป้าหน้าเด้งนั่นน่ะ”
ตรีอัปสรตอบเสียงเย็น ใบหน้าเรียบเฉย แต่แววตาเอาเรื่องเต็มที่
“ชื่อดารินทร์”
ภารดีหันมามองตรีอัปสรอย่างกวนโทสะเต็มที่ ยิ้มเยาะสะใจ
ตรีอัปสรพูดต่อ “ดารินทร์ พัชรกานต์กุล...เจ้าของห้องเสื้อ Enchant คงเคยได้ยินนะแต่ถ้าอยากรู้ว่าเป็นเมียน้อยท่านอัศวินหรือเปล่า...เธอคงต้องไปถามท่านอัศวินเอง แต่ถ้าไม่กล้าถาม...ชั้นจะถามให้”
ภารดีหน้าซีดลง แต่ก็ยังพยายามทำหน้าเชิด ตรีอัปสรมองภารดีอย่างเยาะหยัน และรังเกียจ
“ท่านอัศวินจะได้จำเธอได้แม่นๆ เวลาที่ท่านให้คะแนนในฐานะประธานกรรมการตัดสินการประกวด นางสาว ณ สยาม”
ภารดีเสียงเข้ม “อย่ามาขู่ชั้นนะ”
ดาราวรรณสะกิดกัลยาณีให้ดู ภารดีกับตรีอัปสร ในขณะที่วรัญญา อมยิ้มนิดๆ กับจานตรงหน้า
ตรีอัปสรมองภารดียิ้มหวานแต่ตาดุ “เธอมันไม่มีค่าควรแก่การขู่หรอก ภารดี อย่าสำคัญตัวเองผิด”
ภารดีจ้องสู้ตาตรีอัปสร เมื่อเห็นแววเอาจริงของตรีอัปสรก็รู้ว่าควรสงบดีกว่า ภารดีสะบัดหน้าแล้วก้มลงทานอาหารต่อ
ตรีอัปสรมองอย่างเอาเรื่อง ยังแค้นไม่หาย แล้วมองเลยไปทางวรัญญา ดาราวรรณ และกัลยาณี แต่ละคนแสดงอาการต่างกัน
ซึ่งทุกนางล้วนแล้วแต่จบด้วยการเมินไปทางอื่น ไม่กล้าสบตาตรีอัปสรกันทั้งนั้น
ที่โต๊ะอาหารกรรมการ ชญานนท์ยิ้มทักทายณเดชย์ พร้อมกับเชื้อชวน
“ทานข้าวด้วยกันก่อนซิคุณนะ”
“ผมยังไม่หิวเลยครับ ขอไปล้างหน้าล้างตาก่อนดีกว่า ขอตัวก่อนนะครับ”
ณเดชย์หันไปทางนายพลอัศวิน ดารินทร์ สลิลทิพย์ แล้วขยับลุกขึ้นไป มุกตาภาขยับจะลุกขึ้นเดินตาม แต่ณเดชย์หันมาทางมุกตาภา
“คุณทานข้าวเถอะ...ผมไปเองได้”
“มุกไปส่งดีกว่าค่ะ”
ณเดชย์หัวเราะเบาๆ “ผมไม่ใช่เด็กๆนะ ผมไปเองได้”
ณเดชย์พูดจบก็เดินไป เหลียวไปทางผู้เข้าประกวด แล้วมองเลยไปที่ตรีอัปสร และตรีอัปสรมองมาพอดี สองคนสบตากันจังๆ แวบหนึ่ง ตรีอัปสรหันไปจิบน้ำ ท่าทางสงบนิ่ง
ผู้เข้าประกวดทยอยเดินออกมาจากห้องอาหาร คุยกันไป บ้างหัวเราะหัวใคร่ เดินไปที่ลิฟท์ อรสินีเดินออกมากับตรีอัปสร รวมถึงวรัญญา ภารดี ดาราวรรณ กัลยาณีและคนอื่นๆ
บรรดาสาวงามเดินมาถึงหน้าลิฟท์ ประตูลิฟท์เปิดออก สาวงามรวมทั้งอรสินี วรัญญา ภารดี ดาราวรรณ กัลยาณีและคนอื่นๆ เข้าไปจนเต็มลิฟท์ ตรีอัปสรยืนอยู่ข้างนอกคนเดียว เหมือนเข้าไม่ทัน ลิฟท์เต็มซะก่อน ภารดีเอื้อมมือไปกดปิดประตูทันที ทุกคนอยู่ในลิฟท์ที่ปิดแล้ว
“ตรีอัปสร....ยังไม่ได้เข้ามาเลย” อรสินีบอก
“ก็ลิฟท์เต็มขนาดนี้...จะให้เข้ามาขี่คอใครคะ..อรสินี”
ภารดีทำเสียงอ่อนเสียงหวานแต่ติดประชดประชันเล็กๆ อรสินีมองภารดีอย่างมีไมตรีมากกว่าจะอารมณ์เสีย ก่อนจะพูดอย่างใจเย็น
“ถ้าขยับกันเข้ามาอีกนิด...ก็เข้ามาได้”
“เหรอ...จะให้ลงไปรับใหม่ไม๊ล่ะ”
วรัญญาหน่าย “หาเพื่อนมั่งเหอะ ภารดี ชั้นว่าเธอมีศัตรูมากพอแล้ว”
ภารดีหันขวับมามองวรัญญาตาขวาง วรัญญามองตอบอย่างไม่กลัว ประตูลิฟท์เปิดออกพอดี วรัญญาดึงแขนอรสินีเดินออกมา เหมือนกันอรสินีไว้ ภารดีมองตามเคืองๆ ดาราวรรณ กัลยาณี เบี่ยงตัวหลบภารดี แล้วเลี่ยงเดินแยกไป เหมือนไม่อยากเข้าใกล้ภารดี รวมทั้งผู้ประกวดคนอื่นๆ ด้วย
ภารดีมองตามตาขวาง
ตรีอัปสรเดินมา เหมือนเดินชมสวน ซักครู่ มีมือใครคนหนึ่งมาดึงแขนตรีอัปสรไป
“อุ๊ย”
มือณเดชย์ปิดปากตรีอัปสรเพราะกลัวว่าจะร้องเสียงดัง แล้วดึงเข้ามาแนบตัว พร้อมกับพลิกตัว
ให้หันมามอง ตรีอัปสรเห็นเป็นใครก็หยุดดิ้น ณเดชย์เอามือออก
“คุณนะ”
ณเดชย์ดึงตรีอัปสรเข้ามากอดเต็มรัก “คิดถึงที่สุดเลย”
ตรีอัปสรเบี่ยงตัวออกจากอ้อมกอดณเดชย์ “เดี๋ยวใครมาเห็น ปล่อยตรีค่ะ คุณนะ”
ณเดชย์ปล่อยตรีอัปสรอย่างเสียดาย
“ตรีไม่คิดถึงผมเหรอ...นี่ผมบินมาหาตรีโดยเฉพาะเลยน่ะ”
“บอกคุณมุกเหมือนที่บอกตรีรึเปล่าคะ”
ณเดชย์อ้อน “ตรีก้อ”
“ตรีแค่อยากเตือนสติคุณนะ ว่าตอนนี้ สถานะของเราเป็นยังไง”
“ผมไม่ลืมหรอกว่าผมมีคู่หมั้นแล้ว ส่วนตรีก็กำลังประกวดนางงาม”
ตรีอัปสรอดหัวเราะขำท่าทางของณเดชย์ที่เหมือนเด็กเอาแต่ใจตัวเองไม่ได้
“รู้แล้ว...แต่ก็ยังทำนะคะ”
“ตรีก็ทำเหมือนกัน ไม่งั้นตรีจะแอบมาหาผมเหรอ”
“ใครบอกคะ ตรีแค่ออกกมาเดินเล่น สูดอากาศดีๆบ้าง แล้วตรีก็กำลังจะกลับห้องแล้วค่ะ ก่อนที่พี่เลี้ยงจะรู้ว่าตรีหายไป”
ตรีอัปสรทำท่าจะหมุนตัวเดินไป ณเดชย์คว้ามือตรีอัปสรให้หันมา
“ผมรักตรีนะ”
ชญานนท์เดินมากับมุกตาภา ที่หน้าตาสดชื่น ทั้งคู่เดินมาจนถึงทางแยก
“มุกแยกตรงนี้นะคะ ขอไปดูคุณนะนิดนึง ไม่รู้ว่าหิวรึเปล่า”
ชญานนนท์พยักหน้า “ถ้าหิวก็ไปทานที่คอฟฟี่ชอปดีกว่า...อย่าสั่งไปทานที่ห้อง”
มุกตาภาอดขำไม่ได้ “พี่นนท์ มุกโตแล้วนะ..ที่สำคัญมุกกับคุณนะเป็นคู่หมั้นกันแล้วนะคะ เกิดจะมาหวงน้องสาวอะไรกันตอนนี้คะ”
มุกตาภาพูดจบก็เดินแยกไป ชญานนท์มองตาม แล้วเดินแยกไปอีกทาง ชญานนท์เดินไปจน
ถึงมุมที่เห็นสวนด้านนอก มองออกไป แล้วต้องชะงัก ชญานนท์เขม้นมองอย่างพิจารณา เห็นณเดชย์ยืนคุยกับผู้หญิงซึ่งหันหลังให้ ชญานนท์ยืนดูนิ่ง เป็นจังหวะที่ผู้หญิงหมุนตัวมาพอดี ชญานนท์จึงเห็นชัดว่าเป็นตรีอัปสร ชญานนท์หลบวูบเพราะไม่อยากให้ตรีอัปสรเห็น
สักครู่หนึ่งตรีอัปสรเดินเข้ามาในล็อบบี้ เดินผ่านไปโดยไม่เห็นชญานนท์
ชญานนท์มองตามสีหน้าครุ่นคิด
ด้านมุกตาภาเดินมาหน้าห้องพัก เคาะประตูเรียก แต่เงียบไม่มีเสียงตอบ มุกตาภาแปลกใจ มุกตาภาเคาะประตูอีกครั้ง ก็เงียบอีก
“ไปไหน”
มุกตาภาพึมพำขยับเดินออก เสียงมือถือดังขึ้น มุกตาภาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูแล้วรับสาย
“ฮัลโหล ว่าไงจ๊ะ แพรว”
“ยุ่งเหรอ โทร.หาตั้งหลายครั้งไม่รับสาย” แพรวโทร.มาจากกรุงเทพฯ
“ใช่ วันนี้ยุ่งมาก ตอนค่ำคุณนะก็มาหา มุกก็เลยต้องแยกร่าง ไหนจะงานไหนจะดูแลคู่หมั้น”
แพรวแปลกใจ “คุณนะไปหามุกเหรอ”
“ใช่” มุกตาภาเสียงใส มีความสุข “อยู่ดีๆก็มา บอกว่าคิดถึง แพรวมีอะไรด่วนรึเปล่า”
แพรวตัดใจไม่พูด “ก็...นิดหน่อย แต่รอมุกกลับมาก่อนดีกว่า”
“โอเค งั้นมุกไปหาคุณนะก่อน...แล้วเจอกันที่กรุงเทพฯจ้ะ”
“จ้ะ”
มุกตาภาตัดสาย ส่วนแพรวมีสีหน้าครุ่นคิด
ณเดชย์เดินเข้ามาจากด้านหนึ่ง สีหน้ายิ้มแย้ม อารมณ์ดี ชญานนท์เดินมาจากอีกด้านใบหน้าเรียบเฉย ณเดชย์ชะงักเมื่อเห็นชญานนท์
“นนท์”
ชญานนท์ถามทันที “เจอมุกรึยัง...เห็นมุกขึ้นไปหาคุณที่ห้อง”
“หาผมเหรอ”
“คงเป็นห่วงว่าคู่หมั้นจะหิวมั้ง”
ณเดชย์ร้อง “อ๋อ...”
“แล้ว กิน อะไรรึยังล่ะ”
ชญานนท์เน้นเสียงคำว่า “กิน” เล็กน้อย ณเดชย์มองชญานนท์อย่างไม่แคร์หรือเกรงกลัว
“กินแล้ว อิ่มแล้ว...ขอตัวนะครับ”
ณเดชย์เดินผ่านชญานนท์ไปตรงบริเวณใกล้ๆ ลิฟท์ ประตูลิฟท์เปิดออก มุกตาภาเดินออกมา พอเห็นณเดชย์ ก็หน้าตาสดชื่นทันที
“คุณนะ มุกขึ้นไปหาที่ห้องไม่เจอ มาอยู่นี่เอง..หิวไม๊คะ”
“ไม่หิวครับ...ง่วงนอนมากกว่า...กู้ดไนท์ครับ”
ณเดชย์เดินไปกดลิฟท์ ประตูเปิดพอดี มุกตาภาขยับตามไปทันที
“มุกไปด้วยค่ะ”
มุกตาภาวิ่งเข้าลิฟท์ ประตูปิดลง ชญานนท์มองตามแล้วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเดินไปอีกทาง
อติรุจนั่งคุยงานกับ แมน กิ๊กคุณหญิงสุดสวาทอยู่ ชญานนท์เดินเข้ามาในคอฟฟี่ชอป มองหาจนเห็นอติรุจจึงเดินตรงมาหา แมนมองชญานนท์ อติรุจหันมามอง
“อ้าว นนท์....มีอะไรกับชั้นรึเปล่า”
“ก็นิดหน่อย”
อติรุจหันมาทางแมน “พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมตามนายแบบล่ะ”
“ครับ ผมขอตัวก่อนนะครับ”
แมนบอกอติรุจแล้วหันไปก้มหัวนิดๆ ให้ชญานนท์ ก่อนจะเดินไป อติรุจหันมาทางชญานนท์
“ทีมงานนายเหรอ”
อติรุจพยักหน้า “ใช่”
ชญานนท์สงสัย “ทำไมชั้นไม่เคยเห็นหน้าเลย”
อติรุจรีบเปลี่ยนเรื่องพูด “นายมีเรื่องอะไร ว่ามาเลย”
“นายรู้เรื่องแฟนนายบ้างรึเปล่า นายรุจ”
อติรุจเลิกคิ้วฉงน “แฟนชั้น ใคร”
“ตรีอัปสรไง”
อติรุจมองชญานนท์ขำๆ “ใครบอกนายว่า ตรีเป็นแฟนชั้น”
“เอาเถอะ จะเป็นแฟน เป็นเพื่อน เป็นคนรู้ใจ ก็แล้วแต่นายจะคิด ชั้นเห็นนายสนิทสนมกับเค้ามากกว่าใคร ก็อยากให้นายดูๆ เค้าหน่อย”
อติรุจแปลกใจคำพูดนั้น “ทำไม มีอะไรเหรอ”
ชญานนท์ถอนหายใจ พูดอ้อมๆ “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร แต่ต่อไปชั้นไม่รู้ ผู้หญิงหน้าตาดี ก็มักจะมีผู้ชายมาห้อมล้อม นายก็ดูๆ ไว้หน่อยแล้วกัน”
อติรุจหัวเราะขำ “นายพูดยังกับชั้นเป็นผู้ปกครองตรีงั้นล่ะ เอาเป็นว่านายพร้อมจะพูดตรงๆ กับชั้นเมื่อไหร่ ก็บอกแล้วกัน” อติรุจง่วงอ้าปากหาว “ไปนอนเถอะ...ง่วงแล้ว”
อติรุจขยับลุกขึ้นก่อน ชญานนท์ลุกตาม แล้วเดินไปด้วยกัน
สีหน้าชญานนท์เครียดไม่คลายกับภาพ ตรีอัปสรและณเดชย์ ที่เห็นคาตา
อ่านต่อตอนที่ 6