สุสานคนเป็น ตอนที่ 1
รถของลั่นทมแล่นมาตามถนนสายนอกเมืองยามค่ำคืน มีรถวิ่งอยู่บนถนนเส้นนี้น้อยคัน บางช่วงแทบจะเห็นรถของลั่นทมวิ่งอยู่คันเดียว ได้ยินเสียงคุยกันมาจากในรถคันนี้
“ทม...ผมขับเองดีกว่า...คุณยิ่งไม่ค่อยสบายอยู่ด้วย” ชีพพูด
“ไม่ค่ะ ทมหายดีแล้ว...อยู่บ้านก็อุดอู้ ออกมาโรงงานดีกว่า” ลั่นทมบอก
ลั่นทมขับรถ โดยมีชีพผู้เป็นสามีนั่งอยู่ข้างๆ และคอยมองด้วยความเป็นห่วง ลั่นทมมีสีหน้าแจ่มใสแต่แล้วก็หน้าเครียด เพราะลั่นทมเริ่มเห็นภาพพร่ามัว รถเริ่มเฉออกนอกทาง
ชีพตกใจ “ทม..ไหวมั้ย...”
สิ้นคำของชีพ หน้าของลั่นทมก็ฟุบไปที่พวงมาลัย รถไถลตกลงไปข้างทาง
“เฮ้ย!” ชีพร้องเสียงหลง
รถไถลเข้าไปในพงหญ้า พอชีพได้สติก็เขย่าตัวลั่นทม
“ทม...ทม...ทม...ได้ยินผมมั้ยทม...”
ชีพออกมาจากรถแล้วอ้อมมาเปิดประตูฝั่งลั่นทม ลมเย็นพัดเข้ามาจนผมของลั่นทมปลิวสยาย ชีพเขย่าเธออีกสองสามทีก่อนจะจับศีรษะของลั่นทมเอนพิงกับเบาะ สักครู่หนึ่งรถของธารินทร์แล่นมาจอดต่อท้าย ธารินทร์กับอุษาวิ่งลงมาด้วยความตกใจ
“คุณน้า...คุณน้าเป็นยังไงบ้างคะ...น้าชีพไม่น่าให้คุณน้าลั่นทมขับรถเองเลย” อุษาตำหนิ
“น้าบอกแล้ว แต่น้าลั่นทมไม่ยอม” ชีพว่า
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลยครับ...พาคุณลั่นทมไปโรงพยาบาลดีกว่า” ธารินทร์บอก
ชีพช้อนร่างของลั่นทมขึ้นแล้ววิ่งไปที่รถของธารินทร์ ลั่นทมหลับสนิทอยู่ในอ้อมแขนของชีพ
เสียงลั่นทมร้องขอความช่วยเหลืออยู่ในความมืด
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
แสงสว่างค่อยๆ ปรากฏ ลั่นทมนอนคว่ำหน้าซบอยู่กับพื้นแล้วค่อยๆ พลิกมา แต่แล้วดวงตาของลั่นทมก็เบิกโพลงเมื่อเห็นผีสาวยืนคร่อมอยู่ในสภาพผมปิดใบหน้า ลั่นทมกรีดร้องแล้วกระเสือกกระสนคลานหนีทั้งๆ ที่ไม่มีแรงแล้วผีสาวก็วูบหายไป
ลั่นทมคลานไปครางไปด้วยความหวาดกลัวเต็มที่ จนชนเข้ากับผนัง เสียงหัวเราะของผีสาวดังรอบห้อง ลั่นทมหันมาด้วยความตกใจ เธอมองไปที่ปลายขาก็เห็นมืออันแข็งแกร่งจับข้อเท้าของเธอเอาไว้แน่น ลั่นทมสะบัดอย่างแรงแต่ก็ไม่หลุด ลั่นทมสะบัดขาอย่างแรงจนเนื้อตัวสะบัด เธอพยายามให้หลุดจากการเกาะกุม ก่อนจะกรีดร้องสุดเสียง
ลั่นทมสะบัดขา ส่ายตัว แล้วส่งเสียงกรีดร้องลอดออกมาจากปากเบาๆ
“คุณน้ารู้สึกตัวแล้วค่ะน้าชีพ...” อุษาบอก
อุษาจับปลายขาให้ลั่นทมสงบ ชีพเรียก “ทม...ทม...”
ชีพจับมือลั่นทมด้วยความดีใจ อุษาเรียก “คุณน้าลืมตาสิคะ...คุณน้าขา...คุณน้า”
“ทม...ทม...” ชีพเรียก
ลั่นทมลืมตาขึ้นมาเห็นชีพแบบเบลอๆ ก่อนจะชัดเจน ชีพยิ้มให้
ลั่นทมยิ้มดีใจแล้วส่งเสียงแหบโหย “ชี...พ...”
“ทมไม่ตายแล้ว...ตามหมอสิอุษา” ชีพบอก
“ค่ะๆๆ”
อุษาวิ่งออกไป ชีพช้อนร่างลั่นทมขึ้นมากอด
“ทมกลัวค่ะ ชีพ ทมกลัว”
ลั่นทมตื่นตระหนก ริมฝีปากของเธอสั่นระริกเพราะกลัวอย่างเต็มที่ก่อนจะมีน้ำตาเอ่อไหล
ลั่นทมพูดเสียงสั่นเครือ “อย่าทิ้งทมนะชีพ”
คฤหาสน์ของลั่นทมตั้งตระหง่านสวยงาม ลั่นทมนั่งอยู่ที่โซฟา ชีพนั่งจับมือเธออยู่ข้างๆ ในขณะที่อุษานั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง หวานเอาเครื่องดื่มมาเสิร์ฟ
“ผีผู้หญิงจะเอาตัวทมไปอยู่ด้วย ติดตาเลยค่ะ น่ากลัวจริงๆ” ลั่นทมเล่า
“ไม่มีอะไรหรอก...มันก็เป็นแค่ความฝัน...ถ้าเขาจะเอาทมไปจริงคงไม่ปล่อยให้ทมกลับมาหาผมหรอก...” ชีพบอก
“แต่ทุกอย่างมันชัดเจนเหมือนไม่ใช่ความฝันนะคะชีพ”
“น่า...เชื่อผมสิมันไม่จริง”
ลั่นทมอึ้งไปก่อนจะระบายลมหายใจออกมาเบาๆ อุษาปลอบใจ
“คุณน้าอย่าคิดถึงมันสิคะ...เดี๋ยวเครียด แล้วนอนไม่หลับอีก”
“ใช่..หมอบอกให้ทมพักผ่อนมากๆ จำไม่ได้เหรอจ๊ะ หวานก็ต้องดูแลคุณผู้หญิงให้มากขึ้นนะ”
“เจ้าค่ะ..” หวานรับคำ
หวานมองลั่นทมด้วยสายตาเป็นห่วง
“แต่ทมห่วงโรงงาน...อยากไปช่วยชีพ” ลั่นทมบอก
“ให้แข็งแรงกว่านี้อีกหน่อยดีกว่า....นะจ๊ะ”
ชีพยกมือลั่นทมขึ้นมาจูบโดยแสดงออกว่าเป็นห่วงมาก
อุษากับธารินทร์นั่งรับประทานอาหารกันอยู่ในร้านที่มีบรรยากาศชานเมือง โต๊ะที่ทั้งสองนั่งอยู่ในธรรมชาติร่มรื่น
“คงเป็นภาวะจิตใต้สำนึกที่คุณน้าลั่นทมกลัวน่ะ เลยเห็นอะไรไปเรื่อย...” ธารินทร์ว่า
“ษาก็คิดอย่างนั้นค่ะรินทร์ ทุกทีคุณน้าจะรู้สึกตัว...แล้วก็รู้ทุกอย่างค่ะใครพูด ใครทำอะไร คุณน้ารู้ทั้งหมด แต่ไม่มีแรงตอบโต้ อาการเหมือนคนตาย...หัวใจอ่อนแรงไปเฉยๆ มีครั้งนี้แหละค่ะที่หมดสติไปจริงๆ เหมือนคนสลบ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบสนอง”
“แต่ก็โชคดีที่กลับมารู้สึกตัว”
“ษาจะไม่ยอมให้คุณน้าลั่นทมเป็นอะไร คุณน้าจะต้องหายจากไอ้โรคประหลาดนี้”
รสสุคนธ์ที่แต่งตัวเป็นพนักงานเสิร์ฟยกถาดอาหารมาวางที่โต๊ะ
รสสุคนธ์เห็นธารินทร์ก็นึกชอบจึงระบายยิ้มให้แต่ธารินทร์ไม่สนใจ
รสสุคนธ์เดินไปแล้วก็ยังอดหันมามองไม่ได้ เธอหันมาอีกทีก็เห็นว่าบรรจงยืนมองเธออยู่ รสสุคนธ์เดินกลับเข้าไปข้างใน แต่บรรจงคว้าแขนเธอไว้แน่น
“ปล่อย...”
“มองเหมือนอยากเป็นแฟนมัน...พี่หึงนะ”
“วันไหนพี่จง รวยแล้วก็หล่อเท่าเขา ฉันจะเลิกมองคนอื่นมีปัญญามั้ยล่ะ”
พ่อกับแม่ของรสสุคนธ์ทะเลาะกันอย่างรุนแรง แม่เท้าเอวท้าพ่อ
“ไม่มีปัญญาก็อย่าสร้างหนี้เพิ่ม รู้มั้ยว่าทุกวันนี้เหนื่อยสายตัวแทบขาด”
“ใครจะรู้ล่ะวะว่ามันจะขาดทุน...”
“จะทำอะไรเคยปรึกษามั้ย นี่คงไปกู้เงินเขามาอีกล่ะสิ...”
พ่อสะบัดหน้าไม่ตอบแต่มีสีหน้าและดวงตาร้าวราน
แม่ร้องไห้้แล้วพูดเสียงเครือด้วยความคับแค้นใจ
“ฉันกับนังรสหาเงินได้เท่าไหร่ก็เป็นเงินใช้หนี้หมดสักวันเขาคงมายึดบ้านเราหรอก...ระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน”
รสสุคนธ์ที่นั่งอยู่ในห้องมีสีหน้าเจ็บปวดและคับแค้นในโชคชะตาของตนเอง เธอกำหมัดแน่น
รสสุคนธ์พูดเสียงดัง “โอ๊ย...ทะเลาะกันอยู่ได้ รำคาญ...”
พ่อกับแม่หันมามองหน้ากันแล้วอึ้งไป รสสุคนธ์นั่งกอดเข่าน้ำตาคลอด้วยความคับแค้นใจ
รถของธารินทร์แล่นมาจอดที่หน้าบ้านลั่นทมยามค่ำคืน ชีพที่แอบมองอยู่มุมหนึ่งในบ้านมองออกมา ชีพเห็นธารินทร์กับอุษาล่ำลากัน ธารินทร์ขับรถออกไป ส่วนอุษาเดินเข้าบ้าน พออุษาก้าวเข้ามาก็ตกใจ เมื่อเห็นชีพยืนขวางอยู่
“ไปไหนมา กลับซะดึกเลย” ชีพถาม
“วันนี้ที่โรงพักของรินทร์มีงานเลี้ยงค่ะ ก็เลย..” อุษาบอก
ชีพสวนคำทันที“กลับดึก ไปร่วมงานฉลอง ไม่คิดบ้างเลยเหรอว่าน้าป่วยอยู่บ้าน รอคอยหลานสาวกลับมาจนแทบขาดใจตาย...”
อุษาตกใจเพราะเป็นห่วงลั่นทม
“คุณน้าเป็นอะไรหรือคะน้าชีพ...”
อุษาจะก้าวไป แต่ชีพรวบเอวอุษาไว้ อุษาตกใจ
“น้าชีพ...”
“ษา น้าไม่อยากเห็นเราไปไหนมาไหนกับนายธารินทร์ น้าไม่ชอบ น้ารักษา...รักจริงๆ นะ” ชีพพยายามจะจูบ
อุษาตกใจจึงผลักชีพออกห่าง “น้าชีพ...”
หวานกับสวาทเดินออกมาจากมุมหนึ่งพอดี
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณษา...” หวานถาม
อุษายิ้มเจื่อนๆ เพื่อกลบเกลื่อน “ค่ะน้าหวาน...”
อุษาวิ่งขึ้นบันไดไป สวาทมองชีพด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไรทำก็ไปนอน...ฉันจะออกไปเดินเล่นนอกบ้าน”
ชีพเดินไป หวานกับสวาทมองหน้ากันแว่บหนึ่งแล้วต่างคนก็ต่างเดินไป
อุษานั่งที่เตียงด้วยสีหน้าที่ยังตื่นตระหนกอยู่ เธอนึกถึงตอนที่ชีพพยายามจะจูบและพร่ำบอกว่ารักเธอ อุษาน้ำตาไหลพราก
“คุณน้าลั่นทมขา คุณน้าจะรู้หรือเปล่าว่าน้าชีพ...ไม่ได้ซื่อสัตย์กับคุณน้าเลย”
สามเดือนต่อมา ลั่นทมแต่งตัวอยู่ที่หน้ากระจก ชีพเข้ามากอดทางด้านหลังแล้วจูบที่ไหล่
“ผมอยากให้ทมพักผ่อนอยู่บ้านมากกว่า” ชีพบอก
“ทมแข็งแรงดีแล้วค่ะชีพ”
ลั่นทมหันมา ชีพหอมแก้มแล้วกระซิบเบาๆ ด้วยความรัก
“คราวนี้ผมขับรถเองนะ...ผมไม่อยากให้ทมเป็นอะไรไปอีก”
ลั่นทมยิ้มพอใจในความรักที่ชีพมีให้เธอ
คนงานในโรงงานของลั่นทมตัดเย็บเสื้อผ้าทำงานกันอยู่ ลั่นทมกับสายสมรกำลังตรวจดูคนงานทำงานพลางทักทายคนงานอย่างเป็นกันเอง ลั่นทมทักทายคนงานตามประสานายจ้าง ชีพกำลังโทรศัพท์สั่งการด้วยท่าทางเคร่งเครียด
ลั่นทมก้าวเดินแล้วหน้ามืด เธอกุมขมับก่อนจะเห็นว่าภาพพร่าเลือน สายสมรเห็นท่าไม่ดีก็ตกใจ“ท่านคะ เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
ลั่นทมยกมือจะปฏิเสธแต่ก็เซไปอีก สายสมรรีบประคองไว้แล้วหันไปเรียกชีพ
“หัวหน้าคะ...หัวหน้า...”
ชีพหันมาเห็นลั่นทมหอบหายใจแรงหยุดอยู่กับที่เหมือนจะเป็นลม แล้วเขาก็รีบวิ่งเข้ามาหา
“ทม..อีกแล้วเหรอ”
ชีพประคองลั่นทม สายสมรยืนตะลึงอยู่ข้างๆ ชีพช้อนร่างของลั่นทมเดินออกไป สายสมรเดินตามติดๆ คนงานพากันละสายตาจากงานตรงหน้ามองดู แต่ก็ไม่มีใครกล้าถาม
ชีพอุ้มลั่นทมเดินมาถึงรถ สายสมรเปิดประตูรถแล้วปรับเบาะให้ ชีพวางลั่นทมที่เบาะหน้า
สายสมรปิดประตูรถ ชีพขับออกไป
ชีพหันมามองดู “ทม คุณอย่าเป็นอะไรนะ ถ้าคุณเป็นอะไรไป ผมจะอยู่ยังไง”
ลั่นทมอยู่ในสภาพเหมือนรู้สึกตัวทุกอย่าง ตาของเธอปรือคล้ายจะลืมแต่ก็ลืมไม่ได้
“ทมยังไม่อยากตาย...ทมไม่ได้เป็นอะไร แต่มันไม่หายใจ ชีพ...ช่วยทมด้วย...ช่วยด้วย..” ลั่นทมคิด
รถแล่นไปตามถนน
ลั่นทมพยายามหายใจและพยายามให้รู้สึกตัว
“ฉันยังตายไม่ได้...ฉันยังตายไม่ได้ อึ๊บ...”
ชีพรู้สึกว่ามือของลั่นทมกระดิกจึงหันมา
“ทม...รู้สึกตัวแล้วใช่มั้ย...”
ลั่นทมค่อยลืมตาขึ้นมาหายใจเบาๆ แต่ก็หอบเหนื่อย
ชีพยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ให้หมอตรวจดูอาการหน่อยนะ”
ลั่นทมส่ายหน้า “ไม่ค่ะ ไปทีไร หมอให้แต่ยาบำรุงหัวใจมา ทมบอกตรงๆ ว่าทมอายหมอ เมื่อไหร่นะ ทมจะหายจากโรคประหลาดนี้ซะที”
“ตามใจ...ถ้ายังงั้นผมจะพาคุณไปส่งบ้าน...ผมจะได้กลับไปทำงาน คุณอยู่ได้นะ...”
“ไม่ต้องห่วงทมหรอกค่ะ ทมห่วงบัญชีต้นทุนที่ให้ยัยษาทำเร่งให้หน่อยนะชีพ...”
ลั่นทมนอนอยู่บนเตียง โดยมีหวานคอยดูแลอยู่
“แม่หวาน โทรหาคุณทนายให้ฉันที...ให้มาพบวันนี้เลยนะ” ลั่นทมบอก
ชีพที่อยู่มุมหนึ่งของห้องได้ยินพอดี สีหน้าของชีพไม่ค่อยดีนักแต่ก็แอบฟังอยู่
หวานพูด “แต่คุณผู้หญิงยังไม่แข็งแรงนะคะ...โรคนี้หายไปนานเลยทำไมถึงกลับมาเป็นอีก”
“ฉันคงมีกรรมมาก” ลั่นทมบอก
ชีพรีบเข้ามาสกัด
“ได้ยินว่าจะให้ตามทนาย...มันจะเป็นลางไม่ดีนะจ๊ะทม...”
“ถ้าทมจะตาย ทมจะได้นอนตายตาหลับไงคะ” ลั่นทมบอก
“ไม่เอาน่า พูดยังงี้มันจะเป็นลาง ผมใจคอไม่ดี ผมรักคุณนะทม”
ชีพก้มลงจูบหน้าผาก ลั่นทมผลักออก ส่วนหวานนั่งก้มหน้า
“อย่าค่ะ ฉันอึดอัด...”
ชีพชะงักแล้วมองหน้าลั่นทม ก่อนจะรีบเปลี่ยนท่าที
“งั้นผมไปทำงานก่อนนะ...พักผ่อนให้มากๆ ล่ะ”
“ค่ะ...”
“หวาน...ไปหาน้ำอุ่นๆ มาให้คุณผู้หญิงทีสิ...” ชีพสั่ง
“ค่ะ...” หวานเดินออกไป
“งั้นผมไปก่อนนะ..” ชีพบอก
ลั่นทมส่งยิ้มให้ ชีพเดินออกไป
หวานลงบันไดมา ชีพเดินตามมาติดๆ
“เดี๋ยว...” ชีพเรียกไว้ หวานหันมา ชีพก้าวลงมาทัน “ไม่ต้องตามทนาย...เห็นหรือเปล่าว่าคุณผู้หญิงไม่สบายอยู่”
“แต่เป็นคำสั่งของคุณผู้หญิงนะคะ” หวานบอก
“คำพูดของฉันไม่มีความหมายเลยใช่มั้ย...”
หวานอึ้งไป เธอมองหน้าชีพอย่างตกตะลึง ชีพจ้องหน้าดุดันเหมือนไม่ใช่ชีพคนเดิม
ชีพหันไปเห็นจิ้มลิ้มกับยาใจกำลังทำงานเงียบๆ อยู่มุมหนึ่งจึงลดเสียงลง
“ไม่ว่าทนายคุยอะไรกับคุณผู้หญิง แกต้องบอกฉันทุกเรื่อง”
หวานไม่ตอบได้แต่นิ่งตะลึง ชีพเดินลงบันไดไป หวานระบายลมหายใจโล่งอกเหมือนได้รอดพ้นจากความตาย
จิ้มลิ้มกับยาใจปรี่เข้ามา
“มีอะไรเหรอน้าหวาน” ยาใจถาม
“ฉันสองคนอยู่ไกลๆ ได้ยินไม่ถนัด...” จิ้มลิ้มบอก
หวานมองหน้าทั้งสองคน “ไม่มีอะไร ไปทำงานของหล่อนต่อเถอะย่ะ”
ยาใจกับจิ้มลิ้มเดินไปด้วยความผิดหวัง หวานเดินตรงไปที่โทรศัพท์แล้วกดโทรศัพท์ก่อนจะนิ่งฟัง
รสสุคนธ์หงุดหงิดจึงผลักบรรจงด้วยความโมโห
“หลีกไปเลยพี่จง...ปากก็บอกว่ารักฉัน โธ่เอ๊ย กะอีทองเส้นเดียว ยังให้ฉันไม่ได้”
“ให้พี่เก็บเงินได้ก่อนสิรส...รู้มั้ยว่าเส้นละเท่าไหร่”
“เห็นพูดยังงี้ทุกที...ไปเลย ไม่ต้องมาให้ฉันเห็นหน้า รำคาญ”
บรรจงจะจับมือรสสุคนธ์แต่รสสุคนธ์สะบัดก่อนจะผลักบรรจงจนเซไป
“รส ฟังพี่ก่อน”
“ไม่ฟัง...”
รสสุคนธ์ถอยหลัง บรรจงขยับเข้ามา รสสุคนธ์วิ่งข้ามถนน ทันใดนั้นก็มีเสียงรถเบรกดังลั่น บรรจงยืนตะลึง รสสุคนธ์หันไปมองรถที่เกือบชนตัวเองก็ตกใจจนหน้าซีด พอเห็นชีพเดินออกมาจากรถ รสสุคนธ์ก็ทรุดตัวลงไป
“คุณ...”
บรรจงก็หน้าซีดก่อนจะเดินหลบไปทางหนึ่งเพราะกลัวมีความผิด
ชีพประคองรสสุคนธ์ขึ้นมา
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ...”
รสสุคนธ์ส่ายหน้าพูดตะกุกตะกัก
“ปละ...เปล่า ไม่เป็นอะไรค่ะ...แค่ตกใจนิดหน่อย...”
ชีพยิ้ม เขามองดูรสสุคนธ์ที่แต่งตัวค่อนข้างโป๊ด้วยเสื้อผ้าราคาถูกแต่มีรสนิยม ชีพควักเงินออกมาปึกหนึ่งแล้วส่งให้
“รับไปสิ...ค่าที่ฉันทำคนสวยตกใจ....”
“เอ้อ...แต่...”
ชีพสบตาแล้วจับมือรสสุคนธ์แบออกก่อนจะเอาเงินยัดใส่มือของเธอ รสสุคนธ์มองมือของชีพ ชีพได้สติก็ปล่อยมือ
“โทษที...ฉันไปก่อนนะ ต่อไปข้ามถนนก็มองรถด้วย...”
รสสุคนธ์ออกมายืนที่ฟุตบาธแล้วมองดูรถของชีพที่แล่นออกไป
ชีพยังมองมาที่รสสุคนธ์ทางกระจกมองหลังก็เห็นรสสุคนธ์มองตามเขามา
ชีพเดินเข้ามาในออฟฟิศด้วยสีหน้าไม่เบิกบาน สายสมรที่กำลังยืนดูแฟ้มอยู่ พนักงานนั่งทำงานตามปกติ ชีพชะงักเมื่่อมองไปที่โต๊ะทำงานของอุษาแต่ไม่เห็นอุษาอยู่ที่โต๊ะ
“อุษาไปไหน...”
“เห็นออกไปกับหมวดธารินทร์ค่ะ”
ชีพหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง
ธารินทร์กับอุษาเดินเข้าไปในบริเวณบ้านของหมอผันซึ่งมีป้ายเขียนไว้ว่า “หมอผันเทวดา รักษาทุกโรคด้วยสมุนไพร”
ธารินทร์หันมาบอกอุษา “บ้านผม...”
อุษายิ้มแล้วก็นึกขึ้นได้
“จริงสิ รินทร์เคยบอกว่ามีพ่อเป็นหมอสมุนไพร...ษาลืมไปได้ยังไงนะ”
หมอผันนั่งอยู่ในห้องที่มีตู้ยาสมุนไพรที่จัดวางไว้ในตู้อย่างเป็นระเบียบ มีขวดที่บรรจุยาสมุนไพรเรียบร้อยแล้วตั้งเรียงรายกันอยู่ ธารินทร์กับอุษานั่งตรงหน้า
“โรคบางอย่างก็รักษาไม่ได้หรอกนะหนูอุษา” หมอผันบอก
“ทำไมล่ะคะ” อุษาถาม
“เป็นโรคกรรมไงล่ะ ทำให้ป่วยเป็นโรคบางอย่าง รักษาไม่หายขาด”
“ตั้งแต่ษาเกิดมา ษายังไม่เคยเห็นคุณน้าลั่นทมทำร้ายใคร” อุษาบอก
“อาจจะเป็นกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อนก็ได้” หมอผันว่า
“ษาอาจไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ แต่คุณพ่อผมท่านปฏิบัติธรรมมานาน ท่านอาจจะช่วยคุณน้าลั่นทมได้”ธารินทร์บอก
“ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะ ษาห่วงคุณน้ามากกว่าห่วงชีวิตตัวเองอีก...”
หมอผันหยิบยาให้ขวดหนึ่ง
“ยาบำรุงหัวใจ เผื่อจะดีขึ้นบ้าง...ละลายน้ำทานแบบยาหอม”
“ขอบคุณค่ะ...คงพอจะช่วยคุณน้าลั่นทมได้บ้าง”
ลั่นทมกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียง ไกรซึ่งเป็นทนายนั่งที่เก้าอี้ตรงหน้า โดยมีหวานคอยรับใช้อยู่มุมหนึ่ง
“ผมร่างเสร็จแล้วจะนำมาให้คุณลั่นทมพิจารณาอีกทีนะครับ”
“ขอบคุณมากค่ะคุณไกร หวานไปส่งคุณไกรด้วยนะ”
“ค่ะ...” หวานรับคำ
ไกรไหว้ ลั่นทมไหว้ตอบ หวานเดินไปส่งไกรแต่ก่อนจะออกไป ลั่นทมก็เรียกไว้
“เดี๋ยวหวาน..”
หวานหันกลับมา “คะ คุณผู้หญิง”
“ไม่ต้องบอกใครเรื่องพินัยกรรมนะ”
หวานตอบด้วยความหนักแน่น “ค่ะ”
ไกรขับรถออกไป หวานยังยืนส่งแต่ก่อนจะเข้าบ้านรถของชีพก็แล่นเข้ามาจอดพอดี ชีพรีบลงมา พูดเสียงเครียด
“หวังว่าลั่นทม คงไม่ได้เคร่งเครียดกับพินัยกรรมจนโรคประหลาดกลับมาเล่นงานอีกนะ”
หวานก้มหน้านิ่ง ชีพเดินไป หวานหน้าซีดขึ้นมา
ณ บ้านรสสุคนธ์เวลากลางคืนมีแสงไฟสว่างออกมาจากในบ้านที่เป็นครึ่งตึกครึ่งไม้ สองชั้น รสสุคนธ์หวีผมอยู่แล้วหันมาหาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ
“อะไรนะแม่...พ่อน่ะเหรอมีหนี้เป็นล้าน อะไรจะมากมายยังงั้น...”
“เบาๆ อายชาวบ้านเขา พ่อเอ็งยิ่งเสียใจอยู่นังรส”
“พ่อยอมเขาได้ยังไง...เงินต้นนิดเดียว พวกมันไปเพิ่มตัวเลขจนเป็นล้าน ไอ้พวกหน้าเลือด พ่ออย่าไปยอมมันนะ...”
“วันมะรืนนี้เขาจะมายึดบ้านเรานะลูก”
รสสุคนธ์ตะลึง “ยึดบ้าน...แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนล่ะแม่ หา...”
แม่น้ำตาไหลพรากส่ายหน้า พ่อเดินออกมาพอดี
“พ่อจะไม่ยอมให้ใครเอาบ้านหลังนี้ไปได้หรอก...ให้มันมาเลย ไอ้พวกหน้าเลือด ฮึ่ม...”
“พี่สงบสติอารมณ์ซะ พูดจากับเขาดีๆ เขาอาจเมตตาเราบ้าง”
“ไอ้พวกหากินกับความเดือดร้อนของคนยากคนจน...มันไม่รู้จักคำว่าเมตตาหรอก...”
รสสุคนธ์นิ่งอึ้งขณะมองดูพ่อกับแม่
“ถ้าบ้านเราโดนยึด พวกเราคงอายชาวบ้านแย่...จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกันล่ะ”
พ่อมองรสสุคนธ์ด้วยความผิดหวังและเสียใจก่อนจะเดินหลุดไป
“นังรส พูดอะไรระวังบ้าง เห็นมั้ยว่าพ่อเขาเสียใจ...” แม่ว่า
รสสุคนธ์กระแทกเสียงถามประชด “แล้วแม่จะให้ฉันทำยังไงล่ะ...”
วันต่อมา ยาใจ จิ้มลิ้ม หวาน สมพร วิเวก ฉ่ำนั่งกินข้าวกันอยู่ ทุกคนหยอกล้อกัน
รสสุคนธ์เดินเข้ามา ทุกคนพากันตะลึงในความงามของหญิงสาวแถมยังโชว์ขาอ่อนซะอีก
“รส...”
รสสุคนธ์ไหว้หวาน “หวัดดีจ้ะน้าหวาน...”
“หลานสาวฉันเอง...มีอะไรหรือเปล่า ถึงมาหาน้าที่นี่...ไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”
หวานพารสสุคนธ์ออกไปคุยนอกห้อง
“ไม่ยักกะรู้ว่าแม่หวานมีหลานสาวสวยยังงี้” ฉ่ำบอก
“หัวใจของไอ้เวกตกลงไปที่ตาตุ่มเลย นึกว่านางฟ้าจำแลงแปลงกายมาซะอีก...”
“ไม่ต้องเล่นสำนวนยี่เกหรอก...ถึงยังไงนางฟ้าหลานน้าหวานก็ไม่มองน้าหรอก...ฉันว่าน้ากลับไปส่องกระจกดูตัวเองก่อนดีกว่ามั้ง...” สมพรว่า
“นึกว่าเอ็งหนุ่มนักนี่ มันก็แก่รุ่นเดียวกับข้าแหละวะ”
ทุกคนหัวเราะกัน
ฉ่ำพูดขึ้น “แต่ว่าไปหลานแม่หวานก็สวยจริงๆ นะ”
สวาทค้อนฉ่ำวงโต “จะกินมั้ยข้าว...หา ไอ้แก่”
ยาใจกับจิ้มลิ้มปิดปากหัวเราะ ฉ่ำซึมไปทันที
หวานกับรสสุคนธ์คุยกันอยู่
“ยังรับปากไม่ได้หรอก ต้องขออนุญาตคุณผู้หญิงก่อน”
“น้าหวานเป็นคนรับใช้เขา หรือเป็นทาสกันแน่ จะไปไหนมาไหนก็ต้องขออนุญาตด้วย” รสสุคนธ์ว่า
“ก็ต้องบอกต้องกล่าวสิ เผื่อท่านเรียกใช้”
“ยังงี้น้าก็ไม่มีเวลาเป็นส่วนตัวเลยสิ...เอาเปรียบกันมากเกิน”
“นังรส เบาๆ ที่มีเงินใช้จ่ายอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะความเมตตาของท่านหรอกรึ...เอ็งกลับไปก่อน พรุ่งนี้ข้าจะไปที่บ้าน แต่ไม่รู้จะช่วยอะไรได้หรอกนะ...”
“หวังว่านังคุณนายของน้าจะอนุญาตนะ...นี่ถ้าเผื่อมีใครตาย มิต้องแบกศพมายืนยันก่อนเหรอว่าตายจริง”
“นังรส...ทำไมปากจัดยังงี้...ไปได้แล้ว...” หวานไล่
รสสุคนธ์ยกมือไหว้ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นรถของธารินทร์แล่นเข้ามาในบ้าน อุษาลงมาจากรถ
ทั้งสองยืนดูอยู่ห่างๆ รสสุคนธ์มองเห็นธารินทร์ก็จำได้จึงพยายามส่งยิ้มให้ แต่ธารินทร์ไม่สนใจ ธารินทร์กับอุษาเดินลงมาจากรถแล้วบอกกับธารินทร์
“ลงมาก่อนสิคะรินทร์...ไปเยี่ยมคุณน้าด้วยกัน”
ธารินทร์ลงมาจากรถแล้วเดินเข้าไปด้วยกัน รสสุคนธ์มีท่าทีสนใจธารินทร์มาก
“ใครเหรอน้า...” รสสุคนธ์ถาม
“หลานสาวผัวเก่าคุณผู้หญิง ส่วนผู้ชายนั่นเป็นเพื่อนของเธอ”
รสสุคนธ์เบ้ปาก “คงยุ่งพิลึก หลานผัวเก่าอยู่ร่วมบ้านกับผัวใหม่”
“นังนี่...ไปได้แล้ว ข้าจะขึ้นไปขออนุญาตคุณผู้หญิงให้”
“หวังว่าคุณผู้หญิงของน้าจะใจดีอย่างที่น้าบอกนะ”
รสสุคนธ์บอก
ลั่นทมนั่งอยู่กับชีพ อุษาเดินเข้ามา ธารินทร์ยกมือไหว้ลั่นทมกับชีพ
“คุณธารินทร์”
ธารินทร์นั่งลงตรงหน้าชีพกับลั่นทม
“ผมจะขออนุญาตพาษาไปงานเลี้ยงส่งพี่ที่ทำงานน่ะครับ...เขาย้ายไปประจำที่อื่น”
“สำหรับคุณรินทร์ น้าอนุญาตอยู่แล้วจ้ะ” ลั่นทมบอก
ชีพไม่ค่อยพอใจ “หวังว่าคงกลับไม่ดึกนะ” ชีพมองไปที่อุษา “น้ากำลังป่วย...ต้องการคนดูแล...เธอน่าจะรู้ดีนะอุษา”
“ค่ะ...ษาทราบ”
อุษาตอบชีพ ธารินทร์เห็นท่าไม่ดีเลยกระแอมเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง อุษาเดินไป
“วันก่อน ผมฝากยาหอมมาให้คุณน้าลั่นทม...ได้ลองทานหรือยังครับ...คุณพ่อบอกว่าจะช่วยบำรุงหัวใจ บางทีโรคที่คุณน้าเป็นอยู่เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง”
ชีพแปลกใจเพราะไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนจึงนิ่งฟังด้วยความสนใจ
“เหรอจ๊ะ ดีจัง วันหลังเชิญที่บ้านหน่อย เผื่อน้าจะปรึกษาอาการของน้าบ้าง”
“ยินดีครับ...”
“อย่าเสี่ยงดีกว่า...กินยาสุ่มสี่สุ่มห้ามีหวังได้ตายไว...”
“ชีพ...”
“ผมเป็นห่วงคุณนะทม” ชีพพูดกับธารินทร์ “เพิ่งทราบว่าพ่อคุณทำอาชีพนี้...มีใบประกอบโรคที่ทางกระทรวงรับรองหรือเปล่า หรือว่าอุปโลกน์เป็นหมอเอง”
“ท่านได้รับการรับรองเรียบร้อยแล้ว ตัวยาบางตัวของท่านก็ผ่านการตรวจสอบแล้วด้วย...คุณน้าลั่นทมลองทานดูนะครับ เผื่ออาการที่เป็นจะดีขึ้น...”
“ฉันจะลองดู ขอบใจนะจ๊ะ..”
ชีพรู้สึกเสียหน้าเลยเดินออกไป หวานได้โอกาสเดินเข้ามา
“อิฉันจะมาขออนุญาตคุณผู้หญิง...คือว่าน้องสาวอิฉันมันกำลังเดือดร้อน...”
“เอาละ ไม่ต้องพูดหรอก จะไปกี่วันล่ะ” ลั่นทมถาม
“เย็น ๆก็คงกลับแล้วล่ะค่ะ”
“ไปเถอะ พูดคุยกับญาติให้สบายใจ เสร็จธุระแล้วค่อยกลับมา”ลั่นทมบอก
หวานยกมือไหว้ “ขอบพระคุณเจ้าค่ะคุณผู้หญิง”
ธารินทร์ขับรถโดยมีอุษานั่งอยู่ข้างๆ
“ท่าทางน้าชีพจะไม่ค่อยชอบผม...”
“อย่าถือสาเลยค่ะ”
“บอกตรงๆว่าผมเป็นห่วงษา...”
ทั้งสองสบตากัน อุษาพูดออกมา
“ห่วงคุณน้าลั่นทมดีกว่า...บอกตรงๆว่าษาไม่เคยไว้ใจน้าชีพ”
“ษาต้องระวังตัวนะจ๊ะ”
“ค่ะ...”
ลั่นทมกำลังจะยกยาหอมขึ้นทาน หวานนั่งอยู่ข้างๆ แต่ชีพมาคว้าแก้วไปจากมือลั่นทม
“ชีพ...” ลั่นทมตกใจ
“ผมบอกแล้วไงว่าอย่ากินยาสุ่มสี่สุ่มห้า ยาหมอมีตั้งเยอะคุณกลับไม่ยอมทาน แล้วมากินยาอะไรเนี่ย...”
“ยาหมอก็กินมาเยอะแล้ว จะลองกินยาไทยดูบ้าง”
“ผมไม่ยอมให้คุณกินหรอก...ที่ห้ามก็เพราะเป็นห่วงคุณรักคุณนะลั่นทม...หวาน เอาไปทิ้งให้หมด อย่าให้ฉันเห็นขวดยานี่อีกนะ”
“ชีพ...”
ลั่นทมกุมหัวใจหน้าซีด ชีพเดินไป หวานตกใจรีบบีบมือลั่นทม
“คุณผู้หญิง...คุณผู้หญิง..อย่าเป็นอะไรนะคะ...”
ลั่นทมหอบหายใจแล้วก็แน่นิ่งไป หวานตกใจรีบร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
อ่านต่อหน้า 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)
ชีพได้ยินเสียงของหวานก็รีบกลับไปในห้องทันที
ชีพเขย่าตัวลั่นทม
“ทม...ทมเป็นอะไร...อีกแล้วเหรอ”
ลั่นทมร้องอยู่ในใจ “ช่วยด้วย...ษาอยู่ไหน ช่วยน้าด้วย...ช่วยน้าด้วย”
หวานบีบนวดลั่นทม
“ทม..ทม..” ชีพเขย่าตัวลั่นทม
ลั่นทมร้องในใจ “ฉัน..ยังตายไม่ได้...ช่วยด้วย”
“อิฉันจะไปตามคุณษานะคะ...”
หวานผลุนผลันออกไปทันที ชีพมองลั่นทมอย่างตกตะลึง
“ชีพ ทำไมมองทมอย่างนั้นล่ะ ชีพ...อยากเห็นเมียตายหรือไง” ลั่นทมตกใจ
หวานเดินเข้ามาพร้อมกับอุษา ชีพได้สติก็บีบนวดลั่นทม
“ทม คุณต้องไม่เป็นอะไรนะ...”
อุษาบีบนวดลั่นทม หวานเอายาดมมาให้ลั่นทมดม
“คุณน้ารู้สึกตัวสิคะ ทุกครั้งคุณน้ายังทำได้ เข้มแข็งหน่อยสิคะ รวบรวมพลังสิคะ คุณน้าขา..คุณน้า...ถ้าคุณน้าไม่รู้สึกตัว คุณน้าจะต้องตายจริงๆ นะคะ”
“ทม...คุณได้ยินผมมั้ย...ทม...ผมรักคุณนะ”ชีพบอก
“ทมก็รักคุณค่ะชีพ...ษา น้าจะต้องทำได้...อึ๊บ...” ลั่นทมพูดในใจ
ดวงตาของลั่นทมลืมขึ้น และมือเริ่มขยับ
“คุณผู้หญิงรู้สึกตัวแล้วค่ะ...” หวานบอก
อุษายิ้มดีใจ “คุณน้า...ษาดีใจจังค่ะ...”
“ทม คุณต้องไม่เป็นอะไรอีกนะ สัญญากับผมสิ...” ชีพบอก
ลั่นทมมองหน้าทั้งสามคนแล้วน้ำคลอ
“พักผ่อนเถอะค่ะ คุณผู้หญิง” หวานบอก
สวาทเดินผ่านมาแล้วหยุดชะงัก เธอแอบมองไปก็เห็นชีพยืนเถียงกันกับอุษา
“อะไรที่เป็นความสุขของคุณน้าลั่นทม...ษาขอเถอะค่ะ อย่าขัดใจคุณน้า...” อุษาบอก
“เธอพูดเรื่องอะไรอุษา” ชีพงง
“ก็ยาหอมนั่นไง...ทำไมน้าชีพต้องรังเกียจ”
ชีพจับมืออุษาแล้วตะคอกเบาๆ
“ที่พูดนี่ สงสัยจะแก้ต่างให้นายธารินทร์อะไรนั่นซะมากกว่ากะอีแค่ยาหอมขวดเดียว ไม่น่าจะต้องเป็นเรื่องเป็นราวกันขึ้นมา...ฉันเอาทิ้งไปแล้วด้วย”
“คุณน้าลั่นทมอยากหายจากโรคที่เป็นอยู่ อะไรที่คุณน้าลั่นทมเชื่อว่าจะช่วยได้ คนอื่นก็ไม่ควรขัด”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันนะอุษา...ถ้ายาหอมขวดนั้นไม่ใช่ของพ่อนายธารินทร์ เธอจะน้ำตาร่วงเผาะๆ แบบนี้หรือเปล่า”
ชีพปล่อยมืออุษาในลักษณะผลักเบาๆ อุษาน้ำตาร่วงพรู ชีพเดินไป สวาทหลบวูบเพราะกลัวชีพเห็น สวาทเห็นอุษาป้ายน้ำตา
พ่อหน้าเครียด ส่วนแม่นั่งป้ายน้ำตา
“จะร้องไปทำไม ยังไม่ได้คุยกับเขาเลย บางทีเขาอาจจะช่วยเราก็ได้” หวานบอก
“หวังลมๆ แล้งๆ ถ้ามันดีจริงมันก็คงไม่เปลี่ยนตัวเลขในสัญญาเงินกู้หรอก” พ่อว่า
หวานนิ่งไป แม่ยิ่งร้องไห้
รสสุคนธ์มองออกไปนอกบ้านก็เห็นไพศาลกับทนายเดินมา ทนายถือกระเป๋าเอกสารมาด้วย
“พวกมันมากันแล้ว...” รสสุคนธ์บอก
ไพศาลขึ้นบันไดมา ทนายเดินตามมาติดๆ หวานรีบรับรองหวังให้ทั้งสองใจดีกับพวกตน ไพศาลกับทนายนั่งเก้าอี้ตรงหน้าพ่อ
“เชิญนั่งค่ะ...เชิญ...รส หาน้ำหาท่าให้แขกสิลูก”
“ไม่ต้อง...มีอะไรก็ว่ามา...” พ่อว่า
ไพศาลพยักหน้าให้ทนายเปิดกระเป๋า พ่อมองเห็นปืนที่วางอยู่บนกองเอกสารในกระเป๋า
“คุณเซ็นชื่อตรงนี้เป็นหลักฐานว่าบ้านหลังนี้ตกเป็นของคุณไพศาลแล้ว...” ทนายบอก
“แล้วก็เชิญย้ายออกไปภายในวันนี้เลย พรุ่งนี้จะให้คนอื่นมาอยู่แทนแล้ว...”
“โธ่ คุณคะ ให้เวลาแค่นี้ฉันจะไปหาที่อยู่ที่ไหนล่ะคะ...” แม่ถาม
“นั่นมันเรื่องของพวกคุณ ผมไม่เกี่ยว...” ไพศาลบอก
“ไม่ต้องไปพูดดีกับมัน...นังรส ไปที่อื่นไปสิ...ไป...”
พ่อพูดเสียงดัง ระหว่างนั้นเองทุกคนเผลอ พ่อจึงคว้าปืนมาถือขู่ไพศาลกับทนาย แม่หวีดร้องก่อนจะปล่อยโฮ
“พ่ออย่า...พ่อ...ใจเย็นๆ นะ...อย่านะ อย่าทำอะไรเขา..”
ไพศาลกับทนายถอยหลังกรูดท่าทางกลัวจัด พ่อหันมาตวาดหวานกับรสสุคนธ์
“นังหวานพานังรสไปที่อื่น ไปสิ...”
“พ่อ...อย่านะพ่อ...” รสุคนธ์ค้อน
“เอ็งอย่ายุ่งนังรส ไปสิ..ไป..”
หวานรุนหลังรสสุคนธ์ให้เดินไป
“นังรสมาทางนี้...มากับน้า...เร็ว”
หวานกับรสสุคนธ์เดินเข้าไปในห้อง แล้วทั้งสองก็ยืนอกสั่นขวัญแขวนก่อนจะตกใจสุดขีดเมื่อเสียงปืนดังขึ้น และมีเสียงแม่ร้องไห้โฮตามมา
ทั้งสองรีบออกจากห้อง ทุกคนเห็นพ่อล้มไปและมีเลือดสาดกระจาย โดยที่ในมือยังมีปืนอยู่
“พ่อ...พ่อ...ทำไมแกทำยังงี้ แกทิ้งฉันกับลูกไปได้ยังไง ฮือๆ”
รสสุคนธ์วิ่งมาที่ร่างพ่อก่อนจะกอดพ่อร้องไห้ หวานยืนตะลึง ไพศาลกับทนายรีบคว้ากระเป๋าเอกสารวิ่งลงบันไดไป
“ฮือๆๆ แกทิ้งฉันไปทำไม...”
หวานร้องไห้โฮ แม่สะอื้นและหอบหนักแล้วก็ขาดใจล้มลงข้างพ่อ
หวานตกใจ “ว้าย...อะไรกันเนี่ย”
หวานเขย่าตัวแม่ก่อนจะใช้มืออังที่จมูก เธอตกใจจนผวา
“นังรส...แม่เอ็งไม่หายใจแล้ว ฮือๆๆ”
รสสุคนธ์ร้องไห้แทบขาดใจแล้วสะอื้นอยู่กับศพของพ่อแม่
วันต่อมา ลั่นทมนั่งอยู่บนโซฟา หวานกับรสสุคนธ์นั่งอยู่ตรงหน้า
“ไหว้ท่านสินังรส...” หวานบอก
รสสุคนธ์ไหว้อย่างไม่เต็มใจนัก
“หลานเหรอ” ลั่นทมถาม
“เจ้าค่ะ...พ่อแม่มันตายหมดแล้ว ญาติข้างไหนก็ไม่มีนอกจากอิฉันคนเดียว ก็เลยอยากจะมาขอพึ่งพาคุณผู้หญิงฝากมันทำงานที่โรงงานสักคนนะเจ้าคะ มันจะได้มีเงินทองประทังชีวิตได้บ้าง” หวานบอก
“น่าสงสาร เคราะห์ร้ายจังเลย...จบอะไรมาล่ะจ๊ะ”
รสสุคนธ์นิ่ง หวานหันไปดุเบาๆ
“ท่านถามทำไมไม่ตอบ”
“ปวช.”
“ก็เท่ากับจบมัธยม...” ลั่นทมบอก
รสสุคนธ์เชิดหน้าไม่พอใจก่อนจะหันไปมองทางอื่น
“เรื่องนี้ต้องถามคุณชีพว่าแผนกไหนมีคนงานขาดบ้าง” ลั่นทมว่า “อุ๊ย...มาพอดีเลย”
ชีพเดินเข้ามาพอดี ลั่นทมเดินไปหา ชีพหันหลังให้หวานกับรสสุคนธ์
ลั่นทมถามเบาๆ
“หลานแม่หวาน...มาขอทำงานที่โรงงาน พ่อแม่ตายหมดพอช่วยได้มั้ยชีพ ฉันอยากตอบแทนแกที่ดูแลฉันมานาน”
“ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งว่างเลยนะ” ชีพบอก
“ไหนคุณว่าฝ่ายตรวจสอบภายในขาดคนนี่คะ” ลั่นทมถาม
“นั่นต้องใช้คนมีความรู้สูงแล้วก็ต้องมีประสบการณ์นี่จ๊ะ”
“แต่แกน่าสงสารจริงๆ นะคะ”
ชีพมองไปในจังหวะเดียวกับที่รสสุคนธ์หันมา ชีพตะลึง เขานึกถึงตอนที่เขาจะขับรถชนรสสุคนธ์ขึ้นมา รสสุคนธ์ยิ้มบางๆ ที่มุมปาก
“ก็ได้...งั้นพรุ่งนี้ก็ไปทำงานเลย ฝึกงานแผนกอื่นไปก่อน”
“ขอบใจมากค่ะชีพ”
ลั่นทมเดินเกาะแขนชีพเข้ามา
“ไหว้คุณผู้ชายซะสินังรส...” หวานบอก
รสสุคนธ์ไหว้โดยจงใจสบตาให้ชีพเห็น ชีพรับไหว้แล้วมองหน้ารสสุคนธ์
“พรุ่งนี้ก็ไปโรงงานพร้อมกับฉันเลยนะ”
ชีพเดินขึ้นบันไดไปแต่ก็อดหันมาชำเลืองมองไม่ได้ รสสุคนธ์มองไปแว่บหนึ่งแล้วก็ก้มหน้า
“อุษาน่าจะมีชุดพนักงานอยู่บ้าง เดี๋ยวฉันจะไปขอมาให้ให้เขากลับมาก่อนนะ...”
“ขอบพระคุณเจ้าค่ะ คุณผู้หญิง” หวานไหว้ “อ้าว นังรส ทำไมไม่ไหว้ท่านล่ะ”
รสสุคนธ์ไหว้แบบไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
หวานเดินนำรสสุคนธ์เข้ามาในห้องแล้ววางกระเป๋าแล้วมองไปรอบๆ
“คับแคบหน่อยนะ...คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” หวานบอก
“จะคับอะไรก็แล้วแต่ น้าหวานก็ไม่น่าจะต้องลำบากยังงี้บ้านช่องใหญ่โต ทำไมให้น้าอยู่ยังกะรูหนู..”
“นังรส...ไม่ได้แคบถึงขนาดนั้นหรอก แค่นี้ข้าก็ไม่มีปัญญาจะถูจะทำแล้ว...จัดข้าวของซะ แล้วก็ไปช่วยกันในครัว..”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์เบ้หน้าก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างไม่ค่อยพอใจนัก
ชีพลืมตามองลั่นทมที่หลับสนิทก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้ ชีพเผยอหน้าขึ้นหอมแก้ม ลั่นทมลืมตาขึ้น ชีพกอดลั่นทมไว้แต่ลั่นทมผลักออก
“อย่าค่ะชีพ...ทมอึดอัด เดี๋ยวหายใจไม่ออก”
ชีพผละออกแล้วถอนใจ เขาพยักหน้าอย่างจำยอมแล้วล้มตัวลงนอนก่ายหน้าผาก
“ทมขอโทษ แต่ขอเวลาทมอีกสักนิดนะคะชีพ”
ชีพไม่ตอบแต่นอนหันหลังให้ ลั่นทมระบายลมหายใจในความมืดสลัว
เช้าวันใหม่ รสสุคนธ์ตื่นขึ้นแล้วก็สะบัดผ้าห่มออกจากตัว เธอมองไปข้างนอกก็เห็นว่าเช้าแล้วจึงลุกขึ้น หวานเดินเข้ามาพอดีพร้อมชุดพนักงานใส่ไม้แขวนมาพร้อมสรรพ
“ลองใส่สิ คุณอุษาเธอให้มา แล้วเธอก็บอกว่าจะหาให้อีกหลายๆ ชุด...ใจดีจริงๆ”
รสสุคนธ์เบ้หน้าก่อนจะลุกขึ้น หวานส่งชุดให้ รสสุคนธ์ถือเสื้อชุดโรงงานไว้แล้วมองดู
“น้าคิดว่าคนอย่างฉันจะใส่ชุดแบบนี้ไปตลอดชีวิตเหรอ...”
“เอ็งจะใส่นานแค่ไหนก็เรื่องของเอ็ง ว่าแต่รีบอาบน้ำอาบท่าเถอะ..ข้าเอาข้าวใส่กล่องให้เอ็งไปกินที่โรงงานแล้ว..”
“น้าหวาน...ฉันไม่ใช่เด็กนักเรียนนะ...จะได้เอาข้าวจากบ้านไปกิน”
“เคยได้ยินมั้ยคำว่าประหยัดน่ะ....”
“ขืนทำทุกอย่างอย่างที่น้าพูดนะ ฉันคงกลั้นใจตายสักวัน”
“เออ...ให้มันตายไปเลย...ตายไปให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
หวานไม่พอใจ รสสุคนธ์คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วก็เดินหนีไป
ชีพยืนอยู่หน้าบ้าน ฉ่ำขับรถมาเทียบที่หน้าบ้าน อุษาแต่งชุดทำงานออกมาจากบ้านพอดี
“ไปกับน้ามั้ยอุษา” ชีพถาม
“ขอบคุณค่ะน้าชีพ...” อุษาบอก
อุษาไม่ยอมหันไปมองชีพ สมพรเปิดประตูรั้วให้ธารินทร์ขับรถเข้ามา อุษาขึ้นรถทันทีที่ธารินทร์จอด ธารินทร์ขับออกไป ชีพมองด้วยสายตาไม่พอใจ ฉ่ำรับกระเป๋าของชีพไปใส่รถ ส่วนหวานเดินนำรสสุคนธ์มาพอดี ลั่นทมก็เดินออกมาจากข้างใน
“วันนี้ก็ไปกับคุณชีพก่อนนะ คุณชีพจะได้แนะนำงานให้เธอได้...” ลั่นทมบอก
“ค่ะ...”
“งั้นก็ไปเลย...เดี๋ยวสาย...”
ชีพขึ้นตำแหน่งคนขับรถ รสสุคนธ์เปิดประตูเบาะหลังเข้าไปนั่งโดยถือถุงที่ใส่กล่องข้าวไปด้วย หวานมองดูด้วยสายตาไม่ไว้ใจ ลั่นทมส่งยิ้มให้ชีพ ชีพขับออกไป
“ได้เวลาอาหารเช้าแล้วค่ะคุณผู้หญิง เดี๋ยวจะได้ทานยา...สวาทคงจัดโต๊ะอาหารเสร็จแล้วล่ะค่ะ” หวานบอก
ลั่นทมพยักหน้าแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้าน หวานได้แต่มองตามไปด้วยความรู้สึกสงสาร
ชีพขับรถไปด้วยสีหน้าไม่พอใจ เขานึกถึงตอนที่เขาไม่ยอมให้ลั่นทมกินยาหอม และตอนที่เขาเถียงกับอุษา รสสุคนธ์พยายามมองมาที่กระจกมองหลัง ชีพมองทางกระจกมองหลังพอดีก็เห็นรสสุคนธ์ส่งยิ้มให้ แบบทั้งปากทั้งตา
“ท่าทางเธอมีความสุขจัง...ชื่ออะไรเนี่ย” ชีพถาม
“รสสุคนธ์ค่ะ...”
“ชื่อเพราะจัง”
“แม่บอกว่าเป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่ง”
“คงทั้งหอมทั้งสวย...”
“ค่ะดอกรสสุคนธ์ทั้งหอมทั้งสวยอย่างที่คุณชีพพูด”
รสสุคนธ์จงใจส่งยิ้มให้ ทั้งสองสบตากันผ่านกระจก
“ชักอยากรู้แล้วว่าดอกรสสุคนธ์นี่หอมจริงหรือเปล่า”
ชีพบอกกับสายสมร
“คุณสายสมรช่วยแนะนำพนักงานใหม่ด้วยนะ ให้ฝึกงานไปสักพักหนึ่งแล้วบรรจุเข้าที่ฝ่ายตรวจสอบภายใน”
“ที่ประกาศรับตำแหน่งนี้ต้องจบอย่างน้อยปริญญาตรีแล้วก็ต้องมีประสบการณ์นะคะหัวหน้า” สายสมรบอก”
ชีพมองหน้าสายสมร “บอกให้ทำอะไรก็ทำตามที่บอก...”
ชีพเดินไป รสสุคนธ์ยิ้มอย่างผู้ชนะ สายสมรบอก “เชิญทางนี้ค่ะ...”
ทั้งสองเดินผ่านพนักงานตัดเย็บที่ก้มหน้าก้มตาทำงาน
“ชื่ออะไร” สายสมรถาม
“รสสุคนธ์...”
“จบอะไรมา...เคยทำงานมาก่อนหรือเปล่า”
รสสุคนธ์หยุดเดินแล้วมองหน้าสายสมร
“จะถามทำไม...ไม่เห็นเหรอว่าใครฝากฉันเข้ามาทำงานที่นี่”
“ขอโทษค่ะ ฉันเป็นฝ่ายบุคคล จำเป็นต้องทราบ...เชิญทางนี้ค่ะ”
สายสมรเดินไป รสสุคนธ์เดินตามไปด้วยความหงุดหงิด
อุษานั่งทำงานอยู่ ชีพเดินมาแล้วหันไปมองพนักงานคนอื่นเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน
“น้าชีพมีอะไรหรือคะ”
“น้าจะมาขอโทษเรื่องที่...เอ้อ...เมื่อคืน น้าพูดจารุนแรงไปหน่อยน่ะ”
“ช่างเถอะค่ะ...คุณน้าลั่นทมปลอดภัย ษาก็ดีใจแล้ว...”
“ไม่โกรธน้าแน่นะ...”
อุษาสบตาชีพ“ษาไม่มีสิทธิ์โกรธน้าชีพหรอกค่ะ”
“งั้นกลางวันไปทานข้าวกันสักมื้อ...ถ้าเงียบ น้าถือว่าษาตกลง”
ชีพเดินไป อุษานิ่งอึ้ง
สายสมรนั่งลงเย็บผ้าที่จักรให้รสสุคนธ์ดู
“ไม่เห็นยากเลย...เธอก็ทำได้ ทำไปก่อนนะ มีตำแหน่งว่างเมื่อไหร่ค่อยย้ายไป” สายสมรบอก
“แล้วเมื่อไหร่ล่ะ” รสสุคนธ์ถาม
“ฉันก็ยังตอบไม่ได้ จะไล่คนเก่าออก ก็คงไม่ใช่เรื่องมังคะ”
“ก็ไหนว่าแผนกนี้คนขาด...”
“ไว้ฉันจะปรึกษาผู้ใหญ่ดูอีกที...เชิญค่ะคุณรสสุคนธ์”
รสสุคนธ์มองจักรแล้วก็มองคนงานที่คร่ำเคร่งเย็บจักรอยู่รอบๆ ด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจนัก รสสุคนธ์เห็นชีพเดินไปกับอุษา
“ฉันไม่ทำได้มั้ย...”
“ใบสมัครยังไม่ได้เขียน จะเขียนใบลาออกเลยหรือคะ”
รสสุคนธ์ถอนใจแล้วก็นั่งทำงาน สายสมรยืนดูก็เห็นรสสุคนธ์ทำได้
“คุณทำได้ดีเชียวค่ะ”
สายสมรเดินไป รสสุคนธ์หงุดหงิด
อุษากับชีพนั่งอยู่ในร้าน
“ษามีเวลาไม่มากค่ะน้าชีพ ษาอยากกลับไปทำบัญชีต้นทุนให้เสร็จ คุณน้าลั่นทมเร่งมาก”
“ทำไมต้องเร่ง...”
“ษาก็ไม่ทราบค่ะ...”
“ความจริงน้าอยากพาษาไปทานอะไรดีๆ แพง ๆ และก็อร่อย”
“ไว้น้าชีพพาคุณน้าลั่นทมไปสิคะ...คุณน้าลั่นทมคงชอบ”
ชีพอึ้งไป
คนงานนั่งกินอาหารกันเรียงรายเต็มโรงอาหาร บ้างก็เอาอาหารมากินกันเป็นกลุ่ม รสสุคนธ์เปิดกล่องข้าวออกดูก็เห็นว่าเป็นข้าวที่มีกับข้าวง่ายๆ ราดอยู่ข้างบน
“เย็นชืดยังงี้ใครจะกินเข้าไปลง...น้าหวานนะ...บ้าจริงๆ”
รสสุคนธ์จำใจกินข้าวแต่กินไปไม่กี่คำก็วางช้อน
อุษาวางช้อนลง ชีพถาม“อิ่มแล้วเหรอ”
“ค่ะ...ถ้าน้าชีพยังไม่อิ่ม เชิญตามสบายค่ะ”
อุษาดื่มน้ำ
ชีพถาม “บัญชีนี่สำคัญยังไงนะ...”
“น้าชีพอยากทราบก็ต้องถามคุณน้าลั่นทมค่ะ...ษาทราบแต่ว่าคุณน้าลั่นทมอยากเห็นมาก...คุณน้าเป็นห่วงงานทุกอย่างถึงไม่ได้มาทำงานที่นี่ เพราะปัญหาสุขภาพ แต่ก็อ่านรายงานการประชุมทุกฉบับ...ถ้าใครคิดไม่ซื่อต่อท่านหรือโรงงานไม่มีวันรอดสายตาท่านไปได้หรอกค่ะ...”
ชีพนิ่งมองหน้าอุษาแล้วยักไหล่
“เคร่งเครียดยังงี้สิถึงป่วย ษาต้องร่วมมือกับน้า ต้องพูดให้น้าลั่นทมเข้าใจว่าต้องรู้จักปล่อยวางซะบ้าง...”
“น้าชีพน่าจะทำได้ดีกว่าษานะคะ...”
ชีพนิ่งไป อุษามองออกไปข้างนอกด้วยความรู้สึกอึดอัด
อ่านต่อหน้า 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)
ชีพขับรถ โดยมีรสสุคนธ์นั่งที่เบาะหลังเหมือนเคย
“ทำงานเป็นยังไงมั่งวันนี้” ชีพถาม
“ก็ไม่มีอะไรยากนี่คะ รสทำได้ค่ะ...”
“แน่เหรอ...อืม ฉันดีใจที่เธอชอบ”
“รสไม่ได้บอกว่าชอบหรือมีความสุข บอกแค่ว่าทำได้”
“งั้นก็แสดงว่าไม่ชอบ...แล้วก็ไม่มีความสุข...”
รสสุคนธ์ยิ้มบางๆ
“ดอกไม้สวยแล้วก็หอมอย่างรสฯ ควรทำงานแบบนั้นหรือเปล่าล่ะคะ”
รสสุคนธ์เล่นตากับชีพในกระจกมองหลัง ชีพยิ้มมุมปากด้วยดวงตาวิบวับแบบคนเจ้าชู้
วิเวกเปิดประตูบ้านลั่นทม รถของชีพแล่นเข้ามาผ่านหน้าวิเวก รสสุคนธ์นั่งหน้าเชิดอยู่ที่เบาะหลัง
“แม่เจ้าโว้ย...”
รถจอดที่หน้าบ้าน สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มแอบดูอยู่
“ยาใจ แกรู้สึกอะไรมั้ย...” จิ้มลิ้มถาม
“ถ้าเป็นคางคกแล้วได้นั่งวอคันเป็นล้านก็น่าเป็นว่ะนังจิ้มลิ้ม” ยาใจบอก
“ข้าชักไม่ค่อยไว้ใจหลานแม่หวานแล้วละสิ...ดูหน้ามันสิ”
ฉ่ำรีบวิ่งมารับกระเป๋าเอกสารจากชีพ รสสุคนธ์ยกมือไหว้
“ขอบคุณคุณชีพมากค่ะ”
“ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้เธอก็ติดรถฉันไปเหมือนวันนี้”
รสสุคนธ์ยิ้มอายๆ ฉ่ำมองแล้วก็กลืนน้ำลายก่อนจะอึ้งไป ชีพเดินเข้าไปในบ้าน โดยมีฉ่ำเดินตามไปติดๆ ส่วนรสสุคนธ์ยังยืนมองตามเข้าไปข้างใน หวานบิดหูเบาๆ
“ยืนอยู่ทำไม ไปช่วยงานในครัว...”
รสสุคนธ์เบี่ยงตัวหันมา
“ฉันเพิ่งมาถึง เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังจะให้ฉันไปทำงานในครัวอีกเหรอ”
กลุ่มของสวาทแตกฮือแล้วรีบหลบเข้าไปในครัว
“เออ มีอะไรก็ต้องช่วยกัน ไม่เคยได้ยินเหรอ โบราณเขาว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดาย ปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเล่น...”
“ท่านมีลูกซะทีไหนล่ะ แบบนี้ต้องหาลูกให้ท่านแล้วละน้าหวานจะได้ปั้นวัวปั้นควายสมใจ”
รสสุคนธ์เดินไป หวานยืนอึ้งไปทันที
สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มยืนคุยกันในครัว
“นี่แค่วันแรกนะโว้ย...วันต่อๆ ไปจะเป็นยังไงมั่ง”
“ฉันทายนะว่า...หลานแม่หวานจะต้อง...” ยาใจพูดแต่หวานเดินเข้ามา ยาใจอ้าปากค้างแล้วรีบกลบเกลื่อน “เข้ามาช่วยงานเราในครัว...จริงมั้ยพวกเรา”
สวาทกับจิ้มลิ้มขานรับพร้อมกัน
“อยู่แล้ว...หลานแม่หวานก็ต้องขยันเหมือนแม่หวานสิ”
“อุ๊ย อบรมกันมาดีหลายชั่วอายุคน”
แต่หวานไม่สนุกด้วยจึงพูดออกมา “วันนี้ทำอะไรให้คุณผู้หญิง”
“สลัดปลาทูน่าสำหรับคุณผู้หญิง ส่วนคุณผู้ชายก็กับแกล้มถั่วทอดกรอบๆ แล้วก็สเต็กเนื้อลูกวัว...รสชาติหวานหอมคุณผู้ชายคงอยากหั่นพอคำแล้วก็เอาเข้าปาก...เคี้ยวๆๆ”
หวานมองหน้าสวาทเหมือนรู้ทัน
“คุณผู้หญิงไม่ทานเนื้อวัว แล้วก็สั่งไม่ให้ซื้อมาตั้งนานแล้วไม่รู้จักจำ...เมื่อเช้าก็เอาสมองหมูใส่บาตรแล้วทำไมแกไม่ฉลาดขึ้นเลย...”
หวานเดินออกไป สวาท ยาใจและจิ้มลิ้มปิดปากหัวเราะ
รสสุคนธ์อาบน้ำแล้ว แต่งตัวใส่กางเกงขาสั้นโดยกำลังนั่งทาโลชั่นอย่างสบายอารมณ์ที่โต๊ะเครื่องแป้ง หวานเดินเข้ามา
“ไหนว่าจะออกไปช่วยงานในครัวไง”
“ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จนี่น้าหวาน”
รสสุคนธ์ยังคงทาโลชั่นต่อ หวานว่า
“จะสวยไปถึงไหนกัน ยังไงก็เป็นขี้ข้าเขาหรือไม่ก็สาวโรงงาน สวยไปก็ไม่มีประโยชน์”
“เหรอ...” รสสุคนธ์ลากเสียงยาว “นั่นมันน้าหวาน ไม่ใช่ฉัน...”
“หมายความว่ายังไง...หานังรส...แกคิดอะไรอยู่”
รสสุคนธ์ลอยหน้าตอบอย่างไม่แคร์ “เปล่า...น้ากำลังจะบอกอะไรฉันเนี่ย”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป แกไม่ต้องติดรถคุณผู้ชายไปทำงานสองแถวหน้าบ้านไปถึงโรงงานทุกคัน....เสร็จแล้วก็ออกไปช่วยงานในครัว หรือไม่ก็ไปรดน้ำต้นไม้”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์พูด “รดน้ำต้นไม้...ช่วยงานในครัว...ฮึ”
รสสุคนธ์หัวเราะในลำคอ ก่อนจะยักไหล่ แล้วทาโลชั่นต่อไป
หวานเดินเข้ามาในครัว ยาใจกับจิ้มลิ้มช่วยกันตกแต่งจานยำจนสวยงาม
“เสร็จแล้ว แกก็ยกไปเสิร์ฟ นังยาใจ..” สวาทว่า
“น้าหวาดไปเถอะ มือฉันเลอะ ตัวก็เหม็น” ยาใจบอก
รสสุคนธ์เดินเข้ามาด้วยกางเกงขาสั้นทำให้ทุกคนยืนอึ้ง
“ฉันเอาไปให้เองก็ได้...”
“นังรส...ไม่ต้อง...”
“น้าหวานบอกว่าให้ฉันมาช่วยงาน พอฉันจะช่วยน้าหวานก็ไม่ให้ทำ แปลกจัง...”
รสสุคนธ์ไม่ใส่ใจ เธอยกจานออกไป ทุกคนนิ่งอึ่ง สวาท ยาใจ จิ้มลิ้มได้แต่สบตากัน แต่ไม่มีใครกล้าพูด หวานหันหลังไปล้างจาน
ชีพกับลั่นทมอยู่ที่โต๊ะอาหาร รสสุคนธ์ถือจานยำเดินเข้ามา
“ขอโทษค่ะ..” รสสุคนธ์วางจานลง “น้าหวานให้เอามาให้คุณผู้ชายค่ะ”
“ขอบใจ...” ชีพบอก
ชีพทำเป็นไม่ใส่ใจรสสุคนธ์ เขาก้มหน้ารับประทานอาหารอย่างเงียบๆ
“งานเป็นยังไงบ้าง...หนักมั้ย”
“ไม่ค่ะ รสทำได้...ขอบคุณค่ะ...”
รสสุคนธ์เดินไป ลั่นทมพูด
“ดูซิ ทำงานมาเหนื่อย ๆยังต้องมาช่วยงานในครัวอีก”
“ทมชอบเด็กขยันไม่ใช่เหรอ...”
ลั่นทมยิ้ม
“แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนหรอกค่ะชีพ”
ชีพเดินมากอดลั่นทมซึ่งนั่งอยู่ที่หน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งแล้วหอมแก้ม
“อย่าค่ะชีพ...”
ชีพถอนใจเบาๆ“ผมไม่กวนหรอก ผมตามใจคุณเสมอ...”
ลั่นทมหันมา “อย่าโกรธทมนะคะ...ถ้าทมอึดอัด ทมจะหายใจไม่ออก ทมกลัวค่ะชีพ...”
ชีพลูบผมลั่นทมเพื่อปลอบใจ
“ว่างๆ เราน่าจะได้ไปเที่ยวพักผ่อนกันบ้างนะ”
ลั่นทมยิ้ม “ให้ทมแข็งแรงกว่านี้นะคะ”
“จ้ะ...”
ชีพจุมพิตที่เรือนผมของลั่นทม
หมอผันถอนใจ ขณะที่อุษากับธารินทร์นั่งอยู่ตรงหน้า
“ผมรู้สึกว่าคุณนายลั่นทมกำลังมีเคราะห์”
อุษาตกใจ “จริงหรือคะ...”
“กรรมเก่าแต่อดีตชาติกำลังตามติดมา ไม่ยอมให้อภัย”
“ษาไม่เชื่อ ตั้งแต่ษาจำความได้ คุณน้าไม่เคยทำร้ายใครแม้แต่ยุงสักตัวก็ยังไม่เคยตบ คุณน้าทำแต่ความดี”
“เรื่องแบบนี้มันตอบกันยาก...เราไม่รู้หรอกว่าคุณนายทำกรรมไว้แต่ชาติไหน...บอกให้คุณนายสวดมนต์ไหว้พระมากๆ นะครับ”
ธารินทร์ไม่อยากให้พ่อพูดต่อ
“พ่อ พูดไป ษาจะยิ่งไม่สบายใจ...”
“พ่อก็แค่เตือน ให้หนูอุษาไปบอกคุณนายเท่านั้นแหละ..ถ้าหากว่าคุณนายอยากให้ฉันไปพบอย่างที่เคยพูดไว้ก็บอกได้นะ ยินดีไป”
อุษายกมือไหว้ “ขอบคุณค่ะคุณหมอ”
ต้อยติ่งกลับมาจากโรงเรียนแล้วยกมือไหว้ทั้งสองคน ก่อนจะไปนั่งตักธารินทร์
“พี่รินทร์ว่าต้อยติ่งไปอาบน้ำก่อนดีมั้ย กลับมาเหนื่อยๆ” ธารินทร์บอก
“กว่าต้อยติ่งจะอาบน้ำเสร็จ พี่อุษากับพี่รินทร์ก็กลับไปแล้ว” ต้อยติ่งบอก
“ไว้คุณหมอไปที่บ้านวันไหน พาต้อยติ่งไปด้วยนะคะคุณน้าไม่มีลูก คุณน้ารักเด็กค่ะ...บ้านพี่อุษามีขนมเยอะด้วยนะ...”
“ค่ะ ถ้าไปต้องบอกต้อยติ่งนะ ถ้าไม่บอกล่ะก็ โป้งเลย..”
“จ้า...”
อุษานั่งในรถ ธารินทร์เดินเข้ามาเห็นหน้าอุษาก็รู้ว่าเธอกังวล
“พ่อผมอาจจะพูดเรื่อยเปื่อยไปนะษา อย่าคิดมากไปเลยคุณน้าลั่นทมคงไม่ได้เป็นอย่างที่พ่อผมพูดหรอก...” ธารินทร์บอก
“ษาเชื่อค่ะ อาการโรคประหลาดของคุณน้าหายไปตั่งนานแล้ว ทำไมถึงกลับมาเป็นอีก”
ธารินทร์แตะมืออุษาเพื่อปลอบใจแล้วก็สตาร์ทรถขับออกไป
รสสุคนธ์แต่งชุดโรงงานออกมาที่หน้าบ้าน โดยมีหวานเดินกำกับอยู่
“ฉันรู้แล้วน่าน้าหวาน...ไม่ต้องตามไปหรอก”
“ให้มันจริงเถอะ ข้าบอกตรงๆ นะว่าไม่ไว้ใจเอ็งเลย”
“ไม่ไว้ใจฉันเรื่องอะไร”
“ก็...”
“ก็อะไรน้า...”
“เออ ไม่มีอะไรหรอก อย่าเป็นอย่างที่ข้ากลัวก็แล้วกัน”
“ถ้าน้ากลัวนัก ฉันจะทำจริงๆ”
“นังรส...รีบไปได้แล้ว”
ชีพเดินออกมาพอดี
“อ้าว รสสุคนธ์ จะรีบไปไหนล่ะ...”
“เอ้อ...อิฉันว่าจะให้มันไปเองเจ้าค่ะ”
ลั่นทมเดินตามออกมา
“จะไปเองให้เสียเวลาทำไมกัน...ติดรถคุณชีพไปน่ะแหละ”
รสสุคนธ์ยกมือไหว้ลั่นทม
“ขอบพระคุณค่ะ”
หวานถมึงตาใส่รสสุคนธ์ ฉ่ำรับกระเป๋าจากชีพไปใส่ในรถ รสสุคนธ์หันมาเห็นเนคไทของชีพเบี้ยว
“อุ๊ย ขอโทษค่ะท่าน...”
รสสุคนธ์ขยับเนคไทให้เข้าที่ ลั่นทมที่ยืนมองอยู่ฝืนยิ้ม หวานหน้าเสียไป กลุ่มของสวาทพากันปิดปากด้วยความตกใจ
“ขอบใจนะรสสุคนธ์” ชีพบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ...”
“ไปกันได้แล้ว...”
ชีพเข้าไปในรถแล้วขับออกไป รสสุคนธ์นั่งหน้าเชิดอยู่เบาะหลัง หวานอยากจะด่าออกไปแต่ไม่กล้า พอหันมาเธอก็เห็นลั่นทมยืนอยู่
หวานยกมือไหว้ลั่นทม
“อิฉันขอโทษแทนนังรสด้วยเจ้าค่ะ ที่มันทำอะไรไม่เหมาะไม่ควรลงไป”
“อย่าคิดมากสิ ฉันเป็นเมียคุณชีพ ฉันยังไม่รู้สึกอะไรเลย ทำไมแม่หวานต้องเดือดร้อนด้วย” ลั่นทมบอก
“เอ้อ...ความจริงอิฉันให้มันไปสองแถวแล้วล่ะค่ะ แต่ว่าคุณชีพออกมาเสียก่อน”
ลั่นทมยิ้มบางๆ“คงไม่มีอะไรหรอกจ้ะแม่หวาน มีอะไรก็ไปทำเถอะ”
จู่ๆ ชีพก็จอดรถข้างทาง
“รถเสียเหรอคะ” รสสุคนธ์ถาม
“ฉันยังไม่อยากเป็นคนขับรถให้เธอ...” ชีพบอก
รสสุคนธ์ยิ้มแล้วเปิดประตูออกมาก่อนจะอ้อมมานั่งเบาะหน้าคู่กับชีพ แล้วชีพก็ขับรถออกไป“วันพรุ่งนี้ น้าหวานให้รสนั่งสองแถวไปทำงานเอง”
“แล้วเธอว่าไง”
“ก็คงต้องทำตามที่น้าหวานบอก”
“เด็กดี...”
“ก็รสยังเด็กนี่คะ...เด็กก็ต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่”
รสสุคนธ์ยิ้มสบตาแบบจงใจยั่วชีพ ชีพเปรย “จะเชื่อได้มั้ยเนี่ย”
ชีพชำเลืองมอง รสสุคนธ์ยิ้มแบบรู้ทันทีว่าความฝันใกล้จะเป็นจริงแล้ว
สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มพูดคุยกันอยู่ในครัว
“ข้าบอกตรงๆ นะ ว่ามีนายสามคนนี่ก็ปวดหัวจะแย่แล้วไหนจะคุณอุษา คุณผู้หญิงแล้วก็คุณชีพ ข้ายังไม่อยากมีนายคนใหม่”
“ใครล่ะน้าหวาดที่จะมาเป็นนายคนใหม่”
“หรือน้าหวาด...เอ้อ..”
สวาทพยักหน้า“ท่าทางหลานแม่หวานเหรอ ยังกะแม่เสือสาวจะตะครุบเหยื่อชิ้นโต คิดจะงาบคุณชีพ ถ้าสำเร็จมิต้องมาเป็นนายใหม่เรารึ”
“อุ๊ย แค่คิดก็สยอง”
“รับรองว่าข้าจะไม่มีวันก้มหัวให้นังเด็กเมื่อวานซืนหรอก”
หวานยืนนิ่งในสภาพน้ำตาเอ่อคลอ เธอรีบป้ายน้ำตาแล้วเดินไปทางหนึ่ง
อุษาส่งแฟ้มบัญชีต้นทุนให้ลั่นทม
“บัญชีต้นทุนที่คุณน้าอยากเห็น”
“ขอบใจนะ...น้าก็แค่เป็นห่วงโรงงานเท่านั้นแหละ ถึงจะวางมือให้น้าชีพดูแล แต่ก็อดห่วงไม่ได้”
“คุณน้าคะ ถ้าคุณพ่อของรินทร์เขาอยากมาเยี่ยมแล้วก็ดูอาการของคุณน้า...คุณน้าจะอนุญาตมั้ยคะ”
ลั่นทมยิ้ม “ดีสิ...เผื่อหมอจะช่วยอะไรน้าได้บ้าง”
“งั้นษาจะนัดหมอผันมาพบคุณน้านะคะ ให้หนูต้อยติ่งหลานหมอผันมาด้วย แกน่ารักช่างพูดช่างคุย คุณน้าจะได้ไม่เหงา”
ชีพเดินเข้ามาพอดี “ใครจะมาเหรอจ๊ะ...”
“คุณพ่อของรินทร์น่ะค่ะชีพ”
“อ้อ..หมอผี...เอ๊ย หมอยาสมุนไพรน่ะเหรอ...จะมาทำไม”
อุษาหน้าตึงขึ้นมาโดยไม่โต้ตอบ แต่เธอก็ทำหน้านิ่งเพราะไม่พอใจ
“ไหนคุณบอกว่าจะตามใจฉันทุกเรื่องไง เรื่องนี้ฉันขอก็แล้วกัน ถึงหมอผันจะรักษาฉันไม่ได้ แต่ฉันก็ยังอยากพบเขา...”
“งั้นก็ตามใจ...”
อุษาลุกขึ้น “ษาขอตัวก่อนค่ะคุณน้า..”
อุษาเดินออกไป ชีพหันมาเห็นบัญชีก็เปิดดูแล้วมองหน้าลั่นทม
“ทำไมต้องดูบัญชีต้นทุน...ผมไม่อยากให้ทมเครียด เดี๋ยวจะเป็นอะไรไปอีก”
“ถ้าไม่ดูก็ไม่รู้ว่าทรัพย์สินมีทั้งหมดเท่าไหร่ มันเกี่ยวกับพินัยกรรมด้วยค่ะชีพ”
“จะรีบทำไปทำไมไอ้พินัยกรรมน่ะ มันจะเป็นลางไม่ดี”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าเป็นอะไรไป ทมจะได้นอนตายตาหลับอย่างน้อยก็ต้องให้ยัยษาอย่างยุติธรรมด้วย...”
ชีพชะงักเล็กๆ แล้วถามเสียงขุ่นแต่ก็พยายามระงับอารมณ์
“ดูคุณจะห่วงอุษาเหลือเกินนะ”
“ค่ะ แกเป็นหลาน...”
“ก็แค่หลานสามีเก่า...ที่ผมพูดนี่ ผมไม่ได้อิจฉายัยษาหรืออะไรนะ แต่ผมน้อยใจ”
“น้อยใจ” ลั่นทมทวนคำ
“ใช่...ถ้าคุณแคร์หลานผัวเก่า ก็แสดงว่าคุณยังไม่ลืมผัวเก่าของคุณ...ถ้าคุณเป็นผม คุณจะรู้สึกยังไง”
“ชีพคะ...ทมไม่...”
ชีพเดินออกไป ลั่นทมรีบผวาลุกเดินตามไปทันที
ชีพวิ่งออกมาเห็นรสสุคนธ์เดินเกร่อยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ชีพตรงไปที่รถแล้วขับไปจอดตรงที่รสสุคนธ์ยืนอยู่พอดี รสสุคนธ์แกล้งยืนชมดอกไม้ ชีพกดแตร รสสุคนธ์มาหา
“ขึ้นมา...เร็วสิ...ขึ้นมา”
รสสุคนธ์ขึ้นนั่งเบาะหน้าคู่กับชีพ หวานออกมาเห็นก็ยืนตะลึง
“อี...”
หวานยังไม่ทันด่า ลั่นทมก็วิ่งอย่างเร็วลงบันไดมา
“ชีพ...ชีพ...” ลั่นทมเรียก
หวานปราดไปประคอง “คุณผู้หญิง...”
สมพรเปิดประตูรั้วให้ชีพแล้วมองรสสุคนธ์ที่นั่งวางท่าคู่ไปด้วย สายตาของสมพรตะลึงก่อนจะกลืนน้ำลายเพราะทำอะไรไม่ถูก วิเวกที่ยืนตัดแต่งต้นไม้อยู่ตรงนั้นหันมามองแล้วเลี่ยงไป ลั่นทมยืนมองดูรถของชีพที่แล่นออกไป ประตูปิด หวานยืนซึมริมฝีปากสั่นคล้ายต้องการระงับอารมณ์ ลั่นทมตัวสั่นกุมหน้าอก แล้วค่อยๆ เซ หวานเข้าไปประคองไว้ด้วยความตกใจ
“คุณผู้หญิง...นั่งตรงนี้ก่อนค่ะ”
หวานประคองลั่นทมนั่งที่โซฟาตัวหนึ่งแล้วบีบนวดก่อนจะควานหายาดมที่มีพกติดตัวไว้ตลอด
“คุณผู้หญิงต้องไม่เป็นอะไรนะคะ...”
อุษาเดินออกมาก็ตกใจ “คุณน้า...อีกแล้วเหรอ...ไปหาหมอมั้ยคะ...”
“ไม่...ไม่ต้อง...น้าไม่เป็นอะไร...เดี๋ยวก็ดี...” ลั่นทมบอก
ลั่นทมสูดดมยาดมยาวแล้วรับลมเย็นนอกบ้านจนรู้สึกดีขึ้น
“น้าไม่เป็นอะไรแล้ว...”
“วันนี้คุณน้าต้องพักผ่อนมากๆ แล้วยังไม่ต้องดูบัญชีต้นทุนนะคะ ตัวเลขเยอะ เดี๋ยวจะเครียดไป...น้าหวานดูแลคุณน้าตลอดเลยนะ งานในครัวเดี๋ยวจะให้รสสุคนธ์ทำแทน..”
อุษาพูดจบก็เดินไป หวานอึ้งเพราะพูดอะไรไม่ออก
อุษาเดินมาเคาะห้องหวาน
“รสสุคนธ์...รสสุคนธ์...”
อุษาตัดสินใจเปิดประตูเข้าไปก็เห็นห้องว่างเปล่า อุษากวาดตาไปรอบๆ แล้วตัดสินใจเดินออกมา
อุษาเดินกลับมา หวานก้มหน้าบีบมือลั่นทมด้วยความละอายใจ
“หลานสาวแม่หวานไม่อยู่...หาตัวไม่เจอ” อุษาบอก
“คงไปรดน้ำต้นไม้หลังบ้านแหละค่ะ...ไม่ต้องห่วงมันหรอกมันก็เข้าไปช่วยงานในครัวบ่อยๆ เดี๋ยวก็คงไปช่วยแม่หวาน”
ลั่นทมดมยาดมแล้วมองหน้าหวาน หวานก้มหน้า
“งั้นแม่หวานพาคุณน้าขึ้นไปพักผ่อนข้างบนเถอะ” อุษาบอก
ชีพนั่งกอดรสสุคนธ์อยู่ในผับ
“สักแก้วมั้ยเด็กดี”
“ไม่ค่ะ...รสว่าเรากลับกันเถอะ...เดี๋ยวคุณผู้หญิงจะเป็นห่วง”
ชีพมองหน้ารสสุคนธ์แล้วระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“เธอนี่เป็นเด็กดีจริงๆ ด้วย”
ชีพหัวเราะชอบใจ
ชีพจอดรถ รสสุคนธ์เดินออกมาจากฝั่งหนึ่ง ชีพเดินออกมาจากรถแล้วก็เดินเซพร้อมกับทำท่าจะอ้วก ชีพรีบประคองจนรสสุคนธ์อยู่ในอ้อมกอดของชีพ หวานเห็นก็ตกใจรีบมาดึงตัวรสสุคนธ์ออก
“นังรส...”
“อะไรน้าหวาน...ไม่เห็นเหรอคุณเมามาก...”
“ให้ไอ้ฉ่ำประคองไป ขืนเอ็งประคองเป็นได้ตกบันไดกันทั้งสองคน”
ฉ่ำมาพอดีก็ปราดเข้าประคองชีพซึ่งเมามายไม่ได้สติ ฉ่ำกับชีพเดินเข้าไปในบ้าน หวานตบหน้ารสสุคนธ์ทันที
รสสุคนธ์กุมแก้ม “น้าหวาน...ตบหน้าฉันทำไม”
“แล้วที่ทำลงไปเนี่ย ดีแล้วรึ...เนรคุณ...เกรงใจคุณผู้หญิงบ้างสิ ที่เอ็งกับข้ามีที่คุ้มหัวอยู่ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เพราะคุณผู้หญิงรึ...กลับตัวกลับใจซะใหม่นะ...แล้วนี่ไปไหนมา”
“ฉันไม่ได้เสียหายอะไรเลย แล้วฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปด้วยคุณชีพเรียกฉันขึ้นรถเอง ถ้าไม่ไปก็เท่ากับขัดคำสั่ง...”
หวานมองดูรสสุคนธ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“คนอย่างเอ็ง ชาตินี้ก็หาความเจริญไม่ได้ เนรคุณคิดแย่งผัวเจ้านาย...”
“ฉันยังไม่ได้คิดทำอย่างที่น้าพูดเลย สงสัยว่าจะต้องทำจริงๆ แล้วมั้ง”
รสสุคนธ์เดินไป หวานยืนตะลึงแล้วก็เดินตามไป
ชีพปิดประตูดังปัง ลั่นทมผวาตื่นขึ้นแล้วก็เปิดไฟหัวเตียง
“ตายจริง...เมามากขนาดนี้เลยเหรอ...” ลั่นทมว่า
ลั่นทมประคอง ชีพกอดรัดลั่นทมแน่นแล้วก้มลงไปจูบ
“ผมรักคุณนะลั่นทม...ผมรักคุณ”
“ทมรู้ค่ะ ทมก็รักชีพ แต่ปล่อยทมก่อน...เดี๋ยวหายใจไม่ออก”
ชีพผงะออกจนแทบหายเมา แล้วก็ตวาดเสียงดัง
“เมื่อไหร่นะ ไอ้โรคบ้าๆ นี่จะหายซะที รู้มั้ยว่าผมอึดอัดจะแย่แล้ว...โว้ย”
ชีพล้มลงนอนแล้วหลับไปทั้งชุดนั้น ลั่นทมนั่งที่ขอบเตียงมองดูชีพน้ำตาไหลพราก
“กรรมเวรอะไรของฉันเนี่ย ทำไมฉันต้องเป็นโรคบ้าๆนี่”
เช้าวันใหม่ สมพรยืนตะลึง เธอเปิดประตูให้รสสุคนธ์เดินออกไปโดยมีหวานตามมาส่ง
“นี่จะตามไปจนเห็นฉันขึ้นรถสองแถวเลยหรือไง ฉันไม่ได้เด็กๆ นะน้าหวาน”
“ร่างกายเอ็งน่ะไม่เด็ก แต่ความรู้คิดต่ำกว่าเด็กหลายเท่า” หวานว่า
รสสุคนธ์สะบัดหน้าเดินออกไป หวานหันมามองสมพร
“รู้เห็นอะไรก็เงียบไว้นะ...ข้าสงสารคุณผู้หญิง” หวานบอก
สมพรพยักหน้า ทั้งสองเข้าใจกัน
รสสุคนธ์ยืนอยู่ที่ริมถนน สองแถวจอดรับ รสสุคนธ์ก้าวขึ้นไป
ชีพกอดลั่นทมไว้หลวมๆ แล้วจุมพิตที่เรือนผมและแก้ม
“ผมขอโทษนะทม...เมื่อคืนผมเมามาก ไม่รู้ว่าทำอะไรให้เสียใจบ้างหรือเปล่า ต่อไปผมจะไม่ทำอีก”
ลั่นทมหันมาเผชิญหน้า
“ฉันเป็นห่วง กลัวเมาแล้วขับรถกลับไม่ได้”
ชีพชะงักไปนิดหนึ่ง “ต่อไปผมจะระวังไม่ให้เมาหนักอย่างนี้ผมไปทำงานก่อนนะ”
“ค่ะ ฉันจะไปส่ง...”
ทั้งสองเดินออกไปด้วยกัน
ฉ่ำปราดมารับกระเป๋าจากชีพไปใส่รถ ชีพมองหารสสุคนธ์แต่ก็เห็นหวานยืนเก้ๆ กังๆ อยู่
“หลานสาวล่ะ” ชีพถาม
“ไปแล้วค่ะ...อิฉันให้มันไปรถสองแถว”
ชีพอึ้งไป ลั่นทมแสร้งมองออกไปข้างนอก ชีพหงุดหงิดแต่ก็เปิดประตูรถเข้าไปแล้วขับออกไปทันที ลั่นทมมองตามรถแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้เทอเรสตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด
“ต่อไปนี้นังรสคงไปกลับเองแล้วค่ะ มันคุ้นกับเส้นทางไปโรงงานแล้ว”
ลั่นทมพยักหน้า“กลัวเสียว่าจะทำงานไม่เท่าไหร่ก็เบื่อ แล้วก็ต้องหางานใหม่”
“เอ้อ...คงไม่หรอกมั้งคะ”
หวานก้มหน้าเพราะไม่แน่ใจว่าลั่นทมรู้เรื่องหรือเปล่า
อ่านต่อหน้า 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 1 (ต่อ)
รสสุคนธ์ยืนอยู่ริมถนน รถของชีพชะลอแล้วจอดรับ รสสุคนธ์นั่งหน้าคู่มากับชีพ
“ว่าไงเด็กดี...แม่หวานว่านั่งสองแถวไปทำงาน”
“รสนึกถึงคำพูดของคุณได้..”
“ฉันพูดอะไร”
“ก็บอกว่าอยากให้รสนั่งรถคู่กับคุณอย่างนี้ทุกวัน...รสเป็นเด็กดี มีหรือจะกล้าขัดคำสั่ง”
ชีพหัวเราะอย่างมีความสุข
“งั้นไปทานข้าวหรูกันสักมื้อมั้ย...กลางวันนี้เลย”
รสสุคนธ์ก้มดูตัวเอง “รสเป็นสาวโรงงานนะคะ ไม่มีเสื้อผ้าหรูๆ หรอก เดินไปไหนจะทำให้คุณชีพอายเขาแย่”
“ไม่มีก็ซื้อสิ...เดี๋ยวพาไป...เสร็จแล้วค่อยเข้าที่ทำงานก็ได้”
รสสุคนธ์ซ่อนยิ้มไว้ไม่ได้ เธอมองออกไปข้างนอก ชีพเอื้อมมือมากุมมือของรสสุคนธ์เอาไว้
ณ ร้านอาหารบรรยากาศดีเงียบสงบ อาหารฝรั่งสองสามอย่าง ทั้ง สเต็ก สลัด ฯลฯ วางอยู่ตรงหน้า
ชีพทานอาหารด้วยมีดกับส้อมอย่างคล่องแคล่ว ส่วนรสสุคนธ์มองดูท่าทางการจับใช้ส้อมใช้มีดจากชีพ แต่ก็กลบเกลื่อนได้ดี ทั้งสองสบตากันอย่างมีความสุข
สายสมรกับอุษายืนคุยกันอยู่โดยมีคนงานทำงานกันอยู่
“ยังไม่มาเลยนะคะ...” สายสมรบอก
“เมื่อเช้ามาทำงานเอง เห็นได้ยินว่าขึ้นสองแถวมานี่...” อุษาถาม
“ไม่ทราบสิคะ คุณชีพก็ให้ทำเรื่องบรรจุแล้วนะคะ”
“ยังไม่ถึงกำหนดทดลองงานเลยนี่..”
สายสมรตอบอย่างอึดอัด “ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่ก็คงต้องทำตามคำสั่งท่าน”
อุษาพยักหน้าแล้วมองเลยไปยังกลุ่มคนงานที่ทำงานกันอยู่
ชีพขับรถแล้วชะลอจอดที่ด้านหน้าของโรงงาน รสสุคนธ์แต่งตัวชุดโรงงานเหมือนเดิมโดยมีถุงใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ถืออยู่ในมือ รสสุคนธ์จะเปิดประตูลงไปแต่ชีพจับมือรสสุคนธ์ รสสุคนธ์หันมาทิ้งสายตาให้
รสสุคนธ์เดินไปแต่ก็ยังหันมามอง
สายสมรยืนรอคอยรสสุคนธ์อยู่
“จะมาทำงานเอาป่านนี้ทำไมไม่โทรมาบอกก่อน” สายสมรว่า
“คนเราก็ต้องมีธุระกันบ้างสิ...” รสสุคนธ์บอก
อุษาเดินมาพอดี
“แต่เธอรู้มั้ยว่าการทำงานทุกที่ต้องมีระบบ ถ้าขาดใครสักคนระบบก็ต้องเสีย...เครื่องมือเครื่องจักรจะเดินตามปกติ ขาดคนทำงานมันก็รวนไปหมด”
“อุ๊ย ฉันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ...เพิ่งรู้นะเนี่ย”
รสสุคนธ์นั่งประจำที่จักรตัวเดิม เธอวางถุงกระดาษใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ไว้ที่ข้างตัว อุษากับสายสมรเดินไป รสสุคนธ์เบ้ปากอย่างรู้สึกถึงความเหนือกว่าของตน
รสสุคนธ์เอาเสื้อตัวใหม่แขวนไว้ที่ตู้ หวานมองด้วยความสงสัย
“เงินเดือนยังไม่ออกเลย มีเงินซื้อเสื้อใหม่แล้ว”
“ฉันก็มีติดตัวของฉันมาบ้างน่าน้าหวาน...”
“ไม่ใช่ไปอ้อนใครซื้อให้นะ” หวานจ้องหน้าเหมือนรู้ทัน
รสสุคนธ์ทำไม่รู้ไม่ชี้ “กะอีแค่เสื้อตัวเดียว น้าหวานอย่าทำให้เสียอารมณ์ดีกว่า”
“นังรส..วันนี้แกกับข้าจะต้องพูดกันให้รู้เรื่อง อีเนรคุณข้าวคุณผู้หญิงไม่มียางหรือไง ถึงไม่ทำให้สำนึกในบุญคุณบ้างเลย...”
“มีหรือไม่มี ฉันไม่รู้หรอกน้าหวาน รวยแล้ววิเศษมาจากสวรรค์ชั้นไหนเหรอ...ก็ไม่ใช่เพราะไอ้พวกคนรวยเหรอที่มันโกงคนจนๆ อย่างพ่อแม่ฉัน...ทำให้พ่อแม่ฉันต้องตายน้าหวานนับถือคนรวยมากนัก ก็เดินไปกราบแทบเท้าเขาเลยสิ กราบเช้ากราบเย็น กราบให้สำนึกความเป็นทาสของน้าหวานมันซึมเข้าไปในหัว”
“นังรส...”
หวานตบหน้ารสสุคนธ์อย่างแรง รสสุคนธ์หันมาน้ำตาร่วงพรู
“ถ้าน้าหวานพูดมากอย่างนี้อีก ฉันจะทำให้บ้านนี้ป่วนที่สุดวุ่นวายที่สุดเลย...คอยดู...แล้วอย่ามายุ่งกับฉันอีก”
“ระวังจะไม่มีที่ซุกหัวนอน...คิดบ้าง”
“น้าหวานแหละต้องคิด ถ้าคุณผู้หญิงเขาเฉดหัวฉันออกไปฉันยังสาว คงไม่ยาก แต่น้าหวานจะไปตายที่ไหนก็คิดเอา”
รสสุคนธ์ล้มตัวลงนอน หวานแทบบ้าแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
หมอผันพยักหน้า
“แสดงว่ายาหอมนั่น คุณนายลั่นทมยังไม่ได้กินเลยสิ...”
“ค่ะ เอ้อ น้าชีพเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย” อุษาบอก
“พ่อครับ ถ้าเขาไม่เชื่อเรา เราก็อย่า...” ธารินทร์จะพูดแต่อุษารีบสวน
“ไม่ได้นะ คุณน้าลั่นทมบอกแล้วว่าท่านอยากพบหมอผันยังให้พาต้อยติ่งไปด้วยเลย”
ต้อยติ่งดีใจ“ดีสิ...หนูจะได้ไปเที่ยวบ้านพี่อุษาด้วย”
หมอผันนิ่งคิด
สวาทนำน้ำแดงมาให้ต้อยติ่งและเครื่องดื่มสำหรับหมอผัน
“รอคุณผู้หญิงสักครู่นะคะ” สวาทบอก
“จ้ะ ไม่เป็นไร ฉันรอได้” หมอผันบอก
ต้อยติ่งเดินดูข้าวของในบ้านด้วยความสนใจ
“ต้อยติ่งไม่เอาลูก เดี๋ยวทำของเขาแตกไป มานั่งนี่...มาสิ”
“หนูดูก่อน”
ต้อยติ่งสนใจตุ๊กตาในตู้ ลั่นทมกับหวานเดินลงบันไดมาพอดี
“อยากได้ตุ๊กตาเหรอจ๊ะ เอาสิ เดี๋ยวฉันให้...” ลั่นทมบอก
ต้อยติ่งย่อตัวไหว้ลั่นทมอย่างน่ารัก สีหน้าของลั่นทมแช่มชื่นขึ้น
ลั่นทมมองไปที่หมอผัน“หมอผัน คุณพ่อของธารินทร์ใช่มั้ยคะ”
“ครับๆๆ”
อุษากับธารินทร์กลับเข้ามาในบ้าน
“เห็นคุณน้าบอกว่าอยากปรึกษาอาการที่เป็นอยู่ ษาก็เลย”
“ขอบใจ...แล้วนี่ษาไม่ไปทำงานเหรอจ๊ะ” ลั่นทมถาม
“กำลังจะให้รินทร์ไปส่งค่ะ บ่ายมีลูกค้ามาพบ...งั้นษาไปก่อนนะคะ”
“จ้ะ ไม่ต้องห่วงทางนี้” ลั่นทมบอก
สายสมรถือกาแฟมาที่หน้าห้องของชีพ แต่โทรศัพท์ดังขึ้น
“อะไรจะมาดังเอาตอนนี้...เฮ้อ...”
สายสมรวางกาแฟไว้ แล้วก็หันไปรับโทรศัพท์ รสสุคนธ์เดินเข้ามาแล้วหยิบถ้วยกาแฟเปิดประตูเข้าห้องทำงานของชีพไป
ชีพอยู่ในห้องทำงานซึ่งมิดชิดพอสมควร รสสุคนธ์วางแก้วกาแฟลง
“เห็นพี่สายสมรไม่ว่าง รสก็เลยเอาเข้ามาให้แทนค่ะ”
สายสมรวางโทรศัพท์แล้วหันมา
“อ้าว...ใครเอาไปแล้วล่ะ...”
สายสมรงง
ชีพรวบตัวรสสุคนธ์มากอดแล้วจูบ รสสุคนธ์ปัดป้องพองาม
“อย่าค่ะ...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
“งั้นก็ต้องไปที่ที่ไม่มีคนเห็นเราสองคนสิ”
รสสุคนธ์หลบตาและไม่ตอบ ชีพเลยสรุปเบาๆ
“รอฉันที่หน้าโรงงานนะ”
รสสุคนธ์ออกมาจากห้อง สายสมรทำท่าจะด่า
“ชงกาแฟเสร็จแล้วมัวรับโทรศัพท์ เย็นชืดหมด...ฉันเลยช่วยเอาไปให้หัวหน้า..พี่สายสมรจะได้ไม่โดนด่าไง...” รสสุคนธ์บอก
“แล้วนี่ขึ้นมาบนนี้ทำไม” สายสมรถาม
“คนอยู่บ้านเดียวกันก็ต้องมีธุระกันบ้างสิ พี่สายสมรเป็นคนอื่น จะอยากรู้ไปทำไม”
สายสมรอึ้ง รสสุคนธ์เดินไป
รสสุคนธ์เปิดประตูรถของชีพเข้าไปนั่ง รถของธารินทร์แล่นมาพอดี
“รสสุคนธ์นี่...” อุษาเห็น
ทั้งสองมองหน้ากัน ธารินทร์นิ่งเงียบไม่พูด
“เป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง...” อุษาสงสัย
“อย่าให้คุณน้าลั่นทมรู้เรื่องนี้นะครับ ท่านจะป่วยไปอีก”
“ค่ะรินทร์...ษาผิดหวังน้าชีพจริงๆ”
รถของธารินทร์จอดอยู่ อุษายังนั่งหน้าซีด
หวานบอกยาใจกับจิ้มลิ้ม
“ยาใจ...จิ้มลิ้ม พาหนูต้อยติ่งไปทานขนมไป ผู้ใหญ่จะคุยกัน”
ยาใจกับจิ้มลิ้มจูงต้อยติ่งไปทางหนึ่ง
หวานนั่งข้างลั่นทม หมอผันพูดออกมา
“อาการที่เป็นอยู่นี่ อาจเกิดจากกรรมเก่าที่เคยทำมาแล้วก็เกิดจากกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงด้วยครับ ต้องกินยาบำรุงแล้วก็ต้องสวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญมากๆ อุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เขาจะได้อโหสิกรรมให้เรา”
“ค่ะ หมอ...เรื่องยา ช่วยจัดให้ด้วย ฝากยัยอุษามาก็ได้...หวานคงดูแลฉันเรื่องนี้ได้ ส่วนเรื่องสวดมนต์ไหว้พระ ฉันจะทำให้มากขึ้นกว่าเก่า”
ลั่นทมบอก
รสสุคนธ์มองไปรอบๆ ห้องในคอนโดมีเนียมอย่างปิดความดีใจไว้ไม่มิด เธอถลาออกไปที่ระเบียง จนเห็นวิวทิวทัศน์และบ้านเรือนกว้างไกล
“โอ๊ย..ทำไมมันสวยยังงี้...”
ชีพนุ่งผ้าเช็ดตัวออกมาจากห้องน้ำ รสสุคนธ์กลับเข้ามา ชีพรวบตัวไปกอดแล้วจูบทันที
“อย่าค่ะ...”
ชีพหงุดหงิดเล็กๆ “อะไรอีกล่ะ”
“อย่าเพิ่งหงุดหงิดสิคะ...รสยังไม่ได้อาบน้ำ คุณคงไม่ทราบหรอกว่าในโรงงานน่ะร้อนแค่ไหน รสไม่ได้อยู่ห้องแอร์เย็นฉ่ำแบบคนอื่นนี่คะ”
“ต่อไปก็ได้อยู่แล้วล่ะ...”
หวานกลับเข้ามาในห้องก็เห็นรสสุคนธ์นั่งหวีผมอยู่
“จะสวยไปถึงไหน สวยแล้วก็ต้องไปเป็นจับกังในโรงงาน”
“นั่นมันคนไม่มีความฝันอย่างน้าหวาน...สำหรับฉันไม่ใช่”
“นังนี่พูดแปลกๆ...”
รสสุคนธ์ส่งถุงใส่สร้อยข้อมือให้
“ไอ้นี่พอจะทำให้น้าหวานเลิกพูดได้มั้ย”
หวานยืนงง รสสุคนธ์ลุกมาจับยัดใส่มือ
“เอ็งเอามาจากไหนนังรส...เงินเดือนนิดเดียว จะมีเงินซื้อทองซื้อหยองได้เหรอ...หา...หรือว่า...”
“ไม่ต้องถามได้มั้ย...ขี้เกียจฟัง...”
รสสุคนธ์เดินออกไป หวานอึ้ง พอเปิดถุงดูก็เห็นเป็นสร้อยข้อมือเล็ก น้ำตาของเธอแทบจะคลอ
“นังรส..เอ็งเอาอะไรมาทำหัวใจวะเนี่ย คิดแย่งผัวชาวบ้านเขา”
อุษาใส่ชุดนอนมีเสื้อคลุมเดินเข้ามาส่งแฟ้มให้ลั่นทม
“คุณน้าช่วยเซ็นอนุมัติด้วยค่ะ”
ลั่นทมเปิดดูก็เห็นว่าเป็นประกาศบรรจุพนักงาน ลั่นทมไล่ชื่อไปจนถึงคำว่า “รสสุคนธ์ แก้วเดชดี” แล้วก็ชะงักที่ชื่อนี้
“นี่อะไร เพิ่งทำไม่ใช่เหรอ บรรจุแล้ว”
“ถามน้าชีพดูแล้วกันค่ะ”
ชีพเดินเข้ามาพอดี อุษาเดินเลี่ยงออกไป
“อะไรหรือจ๊ะทม” ชีพถาม
ลั่นทมชี้ให้ดูชื่อของรสสุคนธ์ ชีพแก้ตัว
“ก็สายสมรเขาบอกว่าเรียนรู้งานได้ไว ดีกว่าต้องมาสอนงานคนใหม่นะทม...” ชีพหอมแก้ม ลั่นทมมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น “แล้วแต่คุณนะ ผมเคารพการตัดสินใจของคุณเสมอ”
“ถ้าเป็นอย่างที่ชีพบอกก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
ลั่นทมเซ็นชื่อ ชีพที่ยืนมองอมยิ้มแล้วก็หอมแก้มอีกที
“มีอีกเรื่องที่อยากขอ...” ชีพว่า
“ใช้คำว่าปรึกษาดีกว่าค่ะ” ลั่นทมบอก
“ห้องแม่หวานน่ะคับแคบมาก...ผมเห็นแกดีกับคุณมาตลอดถ้าไม่มีแก เราคงแย่ เลยอยากให้แกย้ายห้องใหม่ที่ใหญ่แล้วก็สะดวกกว่าเก่า”
“ตามใจชีพเถอะค่ะ”
ชีพหอมแก้มลั่นทมเป็นครั้งที่สาม ลั่นทมเอียงอายตามประสาผู้หญิง
หวานกับรสสุคนธ์มองดูห้องอันกว้างขวางและมีเตียงพร้อมสรรพ มีตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้งครบครัน
“ว้าย มีแอร์ด้วย”
รสสุคนธ์ยิ้มภาคภูมิใจ
“ทุกอย่างเป็นความหวังดีของคุณชีพเค้า” ลั่นทมบอก “แม่หวานต้องขอบคุณคุณชีพ...เขาอยากตอบแทนที่แม่หวานดีกับฉันมาตลอดน่ะ”
หวานยกมือไหว้
“ขอบพระคุณมากเลยค่ะคุณผู้หญิง ไม่คิดว่าขี้ข้าอย่างนังหวานจะได้มีวาสนามีห้องหับส่วนตัวใหญ่ๆ อย่างนี้ไหว้ท่านซะสินังรส”
รสสุคนธ์ยกมือไหว้
“ขอบคุณมากค่ะคุณผู้หญิง ต่อไปน้าหวานกับรสจะได้ไม่ต้องนอนเบียดกันแล้ว”
“คุณชีพคงเห็นเธอสองคนลำบาก เขาก็เลยมีน้ำใจ..”
ลั่นทมเดินออกไป รสสุคนธ์หัวเราะเบาๆ หวานหันมาทันที
“เพราะแกใช่มั้ยนังรส...” หวานถาม
“อุ๊ย คุณผู้หญิงผู้แสนดีของน้าเพิ่งพูดหยกๆ ว่าเป็นน้ำใจของคุณชีพ น้าจะมาเหมาว่าเป็นฝีมือฉันได้ยังไง”
“ก็ถ้าแกไม่เสนอ มีหรือที่เขาจะสนอง”
รสสุคนธ์ตอบยั่ว
“บางเรื่องรสไม่เคยเสนอ แต่คุณชีพก็อยากสนองก็มี...”
“นังรส...นังนี่มันน่าบีบคอให้ตายนัก...”
หวานไล่ตีรสสุคนธ์ แต่รสสุคนธ์วิ่งหนีพร้อมกับหัวเราะร่วน
“อยู่เฉยๆ เถอะ ฉันทำให้น้าหวานสบายได้ก็แล้วกัน”
สวาท ยาใจ จิ้มลิ้ม ฉ่ำ สมพร และวิเวกนั่งกินข้าวกันอยู่ โดยหวานยังไม่เข้ามา
“แม่หวานล่ะ” สมพรถาม
“จัดห้อง...” สวาทบอก
“มีหลานสาวสวยก็โชคดีอย่างนี้แหละ”
“แต่ถ้าให้ฉันต้องลงทุนเอาตัวเข้าแลกนะ ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก”
“โห พูดยังกะสวยตายละ ไปส่องกระจกซะไป...”
“น้าเวก เดี๋ยวอดกินข้าวหรอก...”
“ต่อไปบ้านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ นี่ถ้าแม่หวานเห็นดีเห็นงามไปกับหลานสาวด้วยละก็ พวกเราคงแย่...” สวาทบอก
“นั่นสิ ถ้าเกิดผนึกกำลังกันทำตัวเป็นเจ้าเป็นนาย โอยใครอยู่ก็อยู่เถอะ นังยาใจไปขายฝรั่งดองดีกว่า” ยาใจกลุ้ม
หวานเดินเข้ามา ทุกคนเงียบกริบ
“คุยอะไรกันอยู่เหรอ” หวานถาม
สวาทแทบสำลักข้าว
“ก็เรื่องทั่วๆ ไป ไม่..ไม่มีอะไรหรอกแม่หวาน ทานข้าวสิ”
พระประธานงดงามอยู่เบื้องหน้าทุกคนในโบสถ์
เสียงอธิษฐานของลั่นทมดังขึ้นในใจ “คุณพระคุณเจ้าเจ้าขา...เวรกรรมอะไรของลูกที่ต้องเกิดมามีโรคประหลาด เหมือนคนตายทั้งเป็น ลูกขอให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ลูกด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ลั่นทมน้ำตาคลอ ธารินทร์กับอุษาหันมาเห็น
“คุณน้าคะ...” อุษาส่งผ้าเช็ดหน้าให้ซับน้ำตา “คุณน้าต้องสู้นะคะสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ สู้กับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้คุณน้าเป็นทุกข์...ษากับคุณรินทร์สัญญาว่าจะอยู่ข้างคุณน้าตลอดไปค่ะ แต่คุณน้าต้องเข้มแข็งนะคะ อย่ายอมแพ้”
“แต่บางทีน้าก็อดปลงไม่ได้หรอกอุษา...บางทีก็นึกอยากตายขึ้นมาจริงๆ”
“อย่าพูดอย่างนั้นสิครับ...”
ลั่นทมมองหน้าพระประธานแน่วนิ่ง
ลั่นทมมองดูโลงศพที่ทางวัดตั้งไว้ เพื่อให้ทำบุญสร้างโลงศพแก่ศพผู้ยากไร้ ไม่มีญาติ สีหน้าเศร้าๆ
“ถ้าทำให้คุณน้าไม่สบายใจก็ไปที่อื่นเถอะค่ะ” อุษาบอก
“ทำบุญให้น้าหน่อย...เห็นแล้วก็ยิ่งทำให้น้าปลง...คนเราแก่งแย่งชิงดีกันแค่ไหน สุดท้ายก็ไม่มีใครใหญ่เกินโลง”
ลั่นทมว่า คล้ายๆ ปล่อยปลง
อ่านต่อตอนที่ 2