สุสานคนเป็น ตอนที่ 2
หวานเข้าห้องมาแล้วนึกขึ้นมาได้ก็รีบล็อกประตู หวานเปิดตู้เสื้อผ้าที่ซ่อนสร้อยข้อมือไว้แล้วหยิบออกมา
“เราต้องเอาไปคืนคุณผู้หญิง เป็นไงเป็นกัน คนอย่างนังหวานไม่ยอมเสียคนตอนแก่หรอก...”
หวานเก็บสร้อยข้อมือใส่ในถุงอีกครั้งแล้วกำไว้แน่นด้วยสีหน้ามุ่งมั่น
สมพรเปิดประตูให้รถของธารินทร์เข้ามาข้างใน วิเวกทำสวนแต่งกิ่งไม้อยู่หน้าบ้าน ส่วนสวาทยืนเตรียมต้อนรับอยู่ รถของธารินทร์จอดอยู่หน้าบ้าน ลั่นทม อุษาและธารินทร์ลงมาจากรถ
“มีของอะไรมั้ยคะ...” สวาทถาม
“ไม่มีหรอก แต่ว่าคุณน้าเหนื่อยมาก ให้แม่หวานขึ้นไปดูแลท่านด้วย ฉันจะไปทำงานต่อ...”
“ค่ะ อุ๊ย แม่หวานมาพอดี”
หวานรีบประคองลั่นทมขึ้นไป
“หวาน...ให้คุณน้าพักผ่อนนะ อย่าเพิ่งชวนคุยอะไร...” อุษาบอก
“อุษา น้าไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย...ยังไม่ขึ้นห้องหรอกอยากนั่งเล่นข้างล่างนี่ก่อน” ลั่นทมบอก
“ค่ะ คุณผู้หญิง” หวานรับคำ
หวานพาลั่นทมเข้าไปในบ้าน สักพักยาใจกับจิ้มลิ้มก็เดินออกมาจากมุมหนึ่งแล้วมามองดูธารินทร์ที่เปิดประตูให้อุษานั่ง ทั้งสองทำตาวิบวับจนรถออกไป
“ถ้าเราได้แฟนแบบนี้สักคนก็ดีนะ” จิ้มลิ้มว่า
“ใช่...ในฝันเลยล่ะ..”
สวาทหันมาค้อน “รีบไปหาน้ำให้คุณผู้หญิงดื่มสิ...ชักช้าอยู่นั่นแหละ”
ฉ่ำเดินเข้ามา “แม่หวาดจ๊ะ คุณผู้หญิงกลับมาแล้วเหรอ”
“เออ มัวไปแอบนอนอยู่หลังบ้านสิ เลยไม่รู้” สวาทบอก
“ก็นิดหน่อย...ว่าไปก็ดีใจนะที่คุณผู้หญิงออกจากบ้านได้แบบนี้แสดงว่าต่อไปคุณผู้หญิงก็หายแล้ว”
“ใช่ ขืนไม่หายสิ อีนังหน้ายางมะตอยจะได้มาเสวยสุขแทน”
“นังหวาด...ระวังปากแกบ้าง”
“ข้าพูดตามที่ข้าเห็น ข้าเชื่อตามที่ข้าคิดโว้ยไอ้ฉ่ำ”
หวานยืนนิ่ง มือของเธอล้วงไปในกระเป๋าเสื้อแล้วกำถุงสร้อยข้อมือแน่นก่อนจะเดินไปทางหนึ่ง ฉ่ำกับสวาทมองหน้ากัน
“คงไม่ได้ยินที่เราพูดเนาะ” สวาทว่า
หวานเดินเข้ามาในครัวที่มีน้ำส้มคั้นสดๆ กับน้ำเปล่าสะอาดใส่แก้ววางไว้เรียบร้อย หวานทำท่าจะยกไป
“ลิ้มยกให้ดีกว่าค่ะ...” จิ้มลิ้มบอก
“วันนี้ดูแม่หวานไม่ค่อยสบาย เหมือนคนอดนอนมาทั้งคืน...ห้องใหม่มีแอร์เย็นฉ่ำ ทำไมถึงนอนไม่หลับ” ยาใจบอก
“เรื่องของข้า...”
ยาใจหน้าเสียไป จิ้มลิ้มยกถาดเครื่องดื่มออกไปแล้ว หวานเดินตามไป
ยาใจวางเครื่องดื่มให้ลั่นทม หวานเดินตามเข้ามา
“คุณผู้หญิงไปไหว้พระมาหรือเจ้าคะ” หวานถาม
“ใช่...ไปไหว้พระแล้วสบายใจจนไม่อยากรับรู้เรื่องอะไรที่ทำให้เป็นทุกข์” ลั่นทมบอก
หวานก้มหน้าเพราะไม่กล้าบอกเรื่องสร้อยข้อมือ
“ดีแล้วล่ะค่ะ...ถ้าคุณผู้หญิงจะขึ้นไปพักผ่อนข้างบนก็บอกอิฉันนะคะ”
“ขอนั่งเล่นตรงนี้ก่อน ถ้าจะขึ้นข้างบนจะบอก แม่หวานมีอะไรก็ไปทำเถอะ ทั้งสองคนนั่นแหละ” ลั่นทมบอก
หวานรับคำ “เจ้าค่ะ...”
หวานกับยาใจเดินออกมา ลั่นทมหยิบนิตยสารที่วางอยู่ใกล้ๆ มาพลิกดู
วิเวกยืนแต่งกิ่งไม้อยู่มุมหนึ่ง หวานที่ยืนอยู่มุมหน้าบ้านมีสีหน้ากังวล เธอหยิบถุงใส่สร้อยข้อมือมาดู
“จะทำให้คุณผู้หญิงไม่สบายใจ...เฮ้อ...”
หวานเก็บเข้าในกระเป๋าวิเวกเห็นเข้าก็ถาม “ห่ออะไรน่ะแม่หวาน...สีแดงๆ”
“จะรู้ไปทำไมวะไอ้เวก...”
สวาทกับฉ่ำเดินเข้ามา
“ถ้าตาฉันไม่บอด...ฉันว่าถุงใส่ทอง...นี่แม่หวานมีเงินซื้อทองใส่กับเขาเหรอ” ฉ่ำถาม
“ไหน ขอดูหน่อยสิแม่หวาน” สวาทว่า
“นั่นสิ ขอฉันดูด้วย...” ยาใจเสริม
หวานปัดป้อง“นังพวกนี้...ยุ่งอะไรกับข้าวะ...”
ยาใจจะล้วงกระเป๋าเสื้อ หวานตีมือจนยาใจสะดุ้ง
“แหม ขอดูแค่นี้ก็ไม่ได้” ยาใจตัดพ้อ
“หลานสาวซื้อให้เหรอ...เงินเดือนเดือนแรกก็ได้ทองใส่เดือนต่อไปแม่หวานจะได้อะไรอีกเนี่ย...คงไม่ได้บ้านใหญ่โตแบบหลังนี้หรอกนะ...” สวาทว่า
สวาทปิดปากหัวเราะ หวานอึ้งไปก่อนจะเงื้อมือขู่
“ปากเสียนังหวาด...ข้าทำงานมาทั้งชีวิต ข้าก็ต้องมีสมบัติติดตัวบ้างสิวะ...ไม่ใช่อย่างพวกเอ็ง มีเงินเท่าไหร่ก็ใช้หมด”
หวานเดินไปด้วยท่าทางหงุดหงิด ทุกคนจ๋อย
หวานกุมถุงใส่สร้อยข้อมือด้วยสีหน้ากลุ้มใจมาก เธอมองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ
“ไม่เป็นไร ไว้ถ้าคุณผู้หญิงสบายใจขึ้นแล้ว เราก็จะคืนให้ท่าน แล้วก็จะเฉดหัวนังหลานเนรคุณออกไปจากชีวิต”
รสสุคนธ์กับชีพนั่งรับประทานอาหารด้วยกัน
“เป็นไง ย้ายงานขึ้นมาข้างบนแล้ว ดีขึ้นมั้ย” ชีพถาม
“ก็ดีค่ะ ไม่ต้องอุดอู้อยู่กับพวกคนงานข้างล่าง...คุณชีพมาทานข้าวกับรสยังงี้ ไม่กลัวคนมาเห็นเหรอ”
“ถึงเห็นแล้วใครจะกล้า...” ชีพบอก
รสสุคนธ์ยิ้มอย่างผู้มีชัย ก้มหน้ากินอาหารต่อแต่ก็อดซ่อนยิ้มไว้ไม่ได้
ชีพขับรถออกไปจากร้านอาหารโดยมีรสสุคนธ์นั่งอยู่ข้างๆ อุษากับธารินทร์ยืนมองตาม
“ษาสงสารคุณน้าลั่นทม...”
ธารินทร์จับมืออุษาแล้วบีบเบาๆ ปลอบใจ
“อย่าเพิ่งคิดมากสิ...อาจไม่เลวร้ายอย่างที่เราคิดก็ได้”
“ท้าทายกันยังงี้ ออกมากินข้าวด้วยกัน ไม่กลัวคนนินทายังจะไม่น่ากลัวอีกเหรอคะรินทร์”
ธารินทร์พูดยิ้มๆ“ยังไงก็ดีกว่าเขามาตื๊อษาให้ออกมากับเขาไม่ใช่เหรอ”
“โธ่ รินทร์ ษาเป็นห่วงคุณน้าลั่นทมมากกว่าค่ะ”
“อย่าเพิ่งบอกให้ท่านทราบสิครับ...วันที่ท่านแข็งแรงแล้วผมว่าท่านไม่ปล่อยให้ผู้หญิงที่ชื่อรสสุคนธ์ลอยนวลอยู่ได้หรอก”
ธารินทร์เดินนำเข้าไปในร้านอาหาร อุษาเดินตามเข้าไป
รสสุคนธ์เดินตามชีพเข้ามาในที่ทำงาน ชีพเดินผ่านไป รสสุคนธ์นั่งลงที่โต๊ะทำงานของตนโดยไม่มีใครกล้าสบตาด้วย สายสมรถือแฟ้มมาที่โต๊ะของรสสุคนธ์
“ช่วยหาข้อมูลบริษัทนี้ให้หน่อย เขาจะมาเจรจาซื้อสินค้าเรา” สายสมรสั่งงาน
“หน้าที่ของฉันด้วยเหรอคะคุณสายสมร” รสสุคนธ์ย้อน
“หน้าที่ของคนที่ต้องทำงานในตำแหน่งคุณค่ะ ถ้าคุณอยู่ในตำแหน่งนี้ คุณก็ต้องทำ”
รสสุคนธ์มองหน้าแล้วลุกขึ้นยืน “กล้าสั่งฉันเหรอ...”
“ดิฉันเป็นหัวหน้างานคุณนี่คะ...”
รสสุคนธ์กระชากแฟ้มมาจากมือของสายสมรแล้วทำท่าจะเดินไปที่ห้องของชีพ
อุษาเดินเข้ามา“มีหน้าที่อะไรก็ต้องทำตามหน้าที่สิรสสุคนธ์”
“แต่...”
“ไม่มีแต่...อย่าลืมนะว่าเธอยังไม่ผ่านประเมินงาน...ถ้าไม่ผ่านก็หมายความว่าต้องออกจากที่นี่ไป เพราะฉะนั้นทำตามที่คุณสายสมรสั่งดีกว่า”
รสสุคนธ์กระแทกตัวลงนั่งแล้ววางแฟ้มลงอย่างแรง พนักงานพากันเงยหน้ามอง
“มองอะไร ไม่เคยเห็นคนเหรอไง” รสสุคนธ์ว่า
รสสุคนธ์จับสร้อยข้อมือของตนใส่ข้อมือของหวาน
“มีปัญหามากนักใช่มั้ย...ใส่ไว้...อย่าถอดให้ฉันเห็นนะ”
“นังรส เอ็งก็รู้ว่าข้ารับใช้คุณผู้หญิง ถ้าท่านถาม เอ็งจะให้ข้าตอบว่ายังไง”
“ก็ตอบไปสิว่าผัวมันซื้อให้ฉัน...”
“สารเลว...แย่งผัวเขาแล้วยังจะกล้าทำร้ายจิตใจเขาอีก”
รสสุคนธ์หัวเราะสะใจ
“ช่วยสงเคราะห์ทีเถอะ เอาให้มันตายวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย...ช็อคตายคาเตียงคืนนี้เลยยิ่งดี...น้าจะได้สบายไงล่ะ ร่วมมือกับฉันมั้ย”
รสสุคนธ์ถามอย่างท้าทาย หวานถอยหลังกรูดเพราะไม่คิดว่าหลานสาวตัวเองจะโหดร้ายขนาดนี้
“ข้าทำไม่ได้หรอก...เอ็งไม่รู้จักคำว่าบาปบุญคุณโทษหรือไงหานังรส”
“อุ๊ย ทำไมฉันจะไม่รู้จัก นี่ไง” รสสุคนธ์ชี้ที่สร้อยข้อมือ “หน้าตามันเป็นยังงี้แหละ...ทำงานงกๆ จนแก่จะเข้าโลง ทองเท่าหนวดกุ้งยังไม่มีใส่กับเขาสักเส้น...นึกว่าเป็นผลของความดีที่น้าหวานทำมาทั้งชีวิตก็แล้วกัน”
“ข้าหมายถึงว่าเอ็งไม่รู้จักบุญคุณของคุณผู้หญิงบ้างเลยเหรอ...บ้านที่ซุกหัวนอน...ข้าวที่กินเข้าไปทุกมื้อ เอ็งคิดถึงบุญคุณของท่านบ้างสิ”
“บุญคุณ” รสสุคนธ์หัวเราะหยัน “ถามหน่อยเถอะ ถ้าฉันไม่ขอห้องให้น้าได้มาอยู่ห้องกว้างๆ ยังงี้ น้าจะมีวาสนาได้อยู่เหรอ...คงตายอยู่ในรูหนูนั้นแหละ...นังคุณผู้หญิงมันไม่เคยเห็นความสำคัญของน้าน่ะสิ ตาสว่างได้แล้วน้าหวาน อย่าโง่”
“ตาข้าไม่สว่าง แต่ใจข้าสว่างโว้ยนังรส...สักวันกรรมมันจะตามสนองเอ็ง”
หวานเดินออกไป รสสุคนธ์ยักไหล่
หวานทำครัวโดยมีทองอร่ามอยู่ที่ข้อมือ สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มต่างมองไปที่ข้อมือของหวานเป็นตาเดียว
“ตกลงทองในถุงที่พี่ฉ่ำถามถึงน่ะ คือสร้อยข้อมือเส้นนี้ใช่มะ สวยจัง” สวาทว่า
ยาใจกับจิ้มลิ้มพยักพเยิดกัน
“ไม่ใช่ของข้าหรอก” หวานรีบบอก “ของแม่นังรสน่ะ แม่มันตาย มันก็เลยเอามาให้ข้า”
“ยังใหม่อยู่เลยนะ..” ยาใจบอก
“ลายสวยด้วย...” จิ้มลิ้มว่า
“สงสัยซื้อได้ไม่นานก็ตาย...โธ่เอ๊ย วาสนาหนอวาสนา ซื้อแล้วไม่ได้ใส่ แม่หวานก็เลยได้รับมรดกแทน”
จิ้มลิ้มกับยาใจรู้ว่าสวาทกัดหวานก็แอบอมยิ้ม หวานนิ่งอึ้งและไม่ตอบ เธอถอดสร้อยใส่ถุง ทุกคนมองดูเงียบๆ
ชีพกับลั่นทมรับประทานอาหารกันอยู่ สวาทคอยรับใช้ หวานยืนเมียงมองอยู่มุมหนึ่งโดยทำท่าจะเข้าไปหา ชีพมองไปที่หวานแล้วก็สะดุดตากับถุงใส่สร้อยข้อมือ
“อ้าว หวาน...” ลั่นทมหันมาเห็น
หวานทำท่าจะเข้ามา ชีพมองด้วยดวงตาดุๆ เป็นเชิงปราม
“สวาทรินน้ำให้ที...” ชีพสั่ง
“เจ้าค่ะ...”
“หายหน้าไปเลย ไม่สบายหรือเปล่า ถ้าไม่สบายก็ไปนอนพักเถอะ ทางนี้ให้สวาทดูแลได้...” ลั่นทมบอก
หวานพยักหน้าซึมๆ “เจ้าค่ะ คุณผู้หญิง”
หวานกำถุงใส่ทองแน่นขณะเดินออกไป
หวานเดินเข้ามาในห้องโดยยังกำถุงทองแน่น รสสุคนธ์ตรงมากระชากออกไปจากมือ
“ถ้ามากเรื่องนักก็เอามานี้...เก็บมันไว้ในห้องนี้แหละ”
รสสุคนธ์ขว้างไปที่เตียงแล้วมองหวานอย่างชิงชังก่อนจะวางอำนาจ
“อย่าให้ฉันรู้นะว่าน้าหวานคิดจะเอาไปคืนนังลั่นทม...เพราะนี่ไม่ใช่ของของมัน เป็นของฉัน”
“แต่ผัวเขาซื้อให้เอ็ง...อย่าลืม เงินผัวก็เงินเขา”
“เหรอ...งั้นก็รู้ไว้ว่าต่อไปมันจะเป็นของฉันทั้งหมด”
“นังรส...นี่เอ็งคิดอะไรอยู่...”
“ถึงขนาดนี้แล้ว น้ายังจะสงสัยอีกเหรอ...ร่วมมือกับฉันดีกว่า”
หวานแทบจะกรีดร้องออกมา รสสุคนธ์หัวเราะหยัน หวานตบหน้ารสสุคนธ์หนึ่งฉาดจนรสสุคนธ์หน้าหัน
“พอจะทำให้เอ็งมีสติรู้คิดขึ้นมาบ้างมั้ยนังรส...”
“น้าหวานตบหน้าฉันหลายทีแล้วนะ..เชื่อฉันเถอะ...ไม่ว่าน้าจะร่วมมือกับฉันหรือไม่ ทุกคนในบ้านนี้ก็ต้องคิดว่าเป็นแผนของน้าหวานทั้งนั้น”
“ข้าไม่เกี่ยวข้องกับความชั่วช้าระยำอัปรีย์ของเอ็ง”
“แต่น้าเป็นคนเอาฉันมาอยู่ในบ้านหลังนี้...น้าจะห้ามไม่ให้พวกเขาคิดอย่างที่ฉันพูดได้เหรอ”
หวานยืนนิ่ง น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“กรรมเวรแต่ปางไหนวะ ถึงได้ส่งผีนรกจกเปรตอย่างเอ็งมาให้ข้า...”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาเห็นขนมปังปิ้งที่ทาเนยไว้เรียบร้อยก็จะยกขึ้นกัด สวาทรีบห้าม
“อย่านะ..” สวาทห้าม รสสุคนธ์ชะงัก “นั่น ของคุณผู้หญิงกับคุณผู้ชาย”
“ฉันจะรีบไปทำงาน แผ่นเดียวเอง”
“ถ้าอยากกินก็ปิ้งเองสิ ให้รู้ซะบ้างว่านั่นของเจ้านาย ไม่ใช่ของขี้ข้า...” สวาทว่า
รสสุคนธ์ทิ้งขนมปังอย่างไม่ใส่ใจแล้วจ้องหน้าสวาท ก่อนจะจ้องหน้ายาใจกับจิ้มลิ้ม รสสุคนธ์มองไปที่ใบหน้าของแต่ละคน แล้วรสสุคนธ์ก็เดินออกไป
“ชัดเจน...” จิ้มลิ้มบอก
“อะไรวะนังลิ้ม” ยาใจงง
“จะอะไรซะอีกล่ะนังยา...ก็เขาจ้องหน้าพวกเราทุกคน เหมือนจะบอกว่าอย่าให้ข้าได้เป็นใหญ่ในบ้านนี้นะ...แม่จะเล่นงานเรียงตัวเลย”
สวาทกับยาใจพยักหน้าเห็นด้วย
หวานแต่งชุดทำงานเดินออกมา ขณะเดินผ่านหน้าบ้านเธอมองไปที่ในห้องโถงก็เห็นชีพกำลังกอดลั่นทมและหอมแก้ม
“อย่าค่ะ อึดอัด...” ลั่นทมบอก
“โอเค...”
ชีพปล่อยลั่นทมออก
“อย่าโกรธนะชีพ...ทมอยากแข็งแรงมากกว่านี้ก่อน”
“ไม่เป็นไรจ้ะ...”
หวานเดินเข้ามา “อาหารเช้าพร้อมแล้วค่ะ”
ชีพรีบดื่มกาแฟแล้วคว้าเสื้อนอกกับกระเป๋าจะเดินออกไป
“อิ่มแล้วเหรอคะ...ดื่มกาแฟถ้วยเดียวเอง” ลั่นทมถาม
“ผมต้องไปประชุมที่กรุงเทพฯ กลัวรถติด” ชีพบอก
ชีพเดินมาหอมแก้มลั่นทมแล้วเดินออกไป หวานมองที่ลั่นทมด้วยความสงสาร ลั่นทมรวบอุปกรณ์ แล้วยกน้ำส้มขึ้นดื่ม
ชีพจอดรถรับรสสุคนธ์ที่ยืนคอยอยู่ข้างทาง รสสุคนธ์เดินเข้าไปนั่งแล้วพูดด้วยความน้อยใจ
“นึกว่าจะไม่มารับแล้ว”
“มาสิ...ยังไงก็ต้องไปทำงาน” ชีพบอก
รสสุคนธ์หน้าบึ้ง “เห็นจูบลาเมียทุกเช้า เลยนึกว่าผู้หญิงอย่างรสคงไม่มีความหมายแล้ว...รสบอกไว้ก่อนนะ..คนอย่างรสไม่มีต้นทุนอะไรจะต้องเสีย ถ้าคุณทิ้งรส...รสจะไม่ยอมให้คุณลอยนวลอยู่ได้หรอก”
ชีพหัวเราะลั่น รสสุคนธ์หันมา
“ไม่เชื่อเหรอ...”
“เปล่า แต่อยากให้เธอรู้ไว้ ฉันจูบลั่นทมทุกเช้าก็แค่จูบไม่ได้ทำอะไรมากกว่านั้นหรอก...เขากลัวตาย...กลัวอึดอัดจะขาดใจตายไปซะก่อน”
“มีอย่างนี้ด้วยเหรอ”
“อ้าว...หวานไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอ”
รสสุคนธ์อึ้งไป เธอมองชีพแล้วก็มองออกไปนอกรถ
ลั่นทมนั่งรับลมเย็น โดยมีหวานนั่งอยู่ข้างๆ
“คุณผู้หญิงไม่คิดจะทำบุญบ้านสักครั้งเหรอคะ เผื่อว่าอะไรๆ จะดีขึ้นบ้าง”
ลั่นทมนิ่งคิดครู่หนึ่ง
“แม่หวานคิดยังงั้นเหรอจ๊ะ”
“อิฉันเป็นคนโบราณ บางทีโรคบางอย่างที่เรารักษาไม่หายก็อาจเกิดจากเจ้าที่ ผีบ้านผีเรือน”
ลั่นทมพยักหน้าเห็นด้วยโดยมีแววตาคล้อยตาม
รสสุคนธ์นั่งลง สายสมรเดินมา
“งานที่ให้ทำเสร็จหรือยัง” สายสมรถาม
“นี่จะไม่ให้พักกันบ้างเหรอไง คนเพิ่งมาเหนื่อยๆ” รสสุคนธ์ว่า
เสียงของอุษาดังขึ้น
“นั่งรถแอร์เย็นๆ ยังเหนื่อยอีกเหรอ ถ้าโหนรถสองแถวมาก็ว่าไปอย่าง...”
รสสุคนธ์ตะลึงที่อุษารู้ความลับของตน
“ก็แค่บางวัน...ถ้าท่านผู้จัดการไม่ผ่านมาพอดี ฉันก็ต้องโหนรถสองแถว”
อุษาอมยิ้ม พนักงานพากันซุบซิบเบาๆ สายสมรจ้องหน้ารสสุคนธ์
“บ่ายคงส่งงานที่ฉันสั่งไว้ได้ทันนะ...”
สายสมรเดินไป รสสุคนธ์นั่งหน้าเครียดอยู่ที่โต๊ะ อุษามองมาจากมุมโต๊ะของเธอ
รสสุคนธ์ล้างมืออยู่ที่หน้ากระจกด้วยสีหน้าเครียด
“เป็นเพราะคุณชีพไม่อยู่ใช่มั้ย พวกแกถึงได้กล้ารุมฉัน”
อุษาเดินเข้ามาพอดี รสสุคนธ์เชิดหน้า อุษาล้างมืออย่างไม่ใส่ใจ รสสุคนธ์แกล้งสะบัดน้ำใส่ อุษาหันมา
“มีมารยาทหน่อยสิ รสสุคนธ์” อุษาว่า
“อุ๊ย รู้ว่าจะสะบัดทำไมไม่หลบล่ะคะ” รสสุคนธ์ย้อน
“เธอคิดอะไร ทำอะไร อย่าคิดว่าไม่มีคนรู้ทันนะ..เพียงแต่เธอน่ะโชคดีที่ได้อยู่ท่ามกลางคนมีมารยาท พวกเขาก็เลยไม่อยากใส่ใจกับพฤติกรรมของเธอ”
“พูดเหมือนนั่งอยู่บนหัวฉันเลยนะ...ว่างมากนักเหรอ”
“หยาบคาย...ถ้าคุณน้าลั่นทมรู้เรื่องของเธอกับน้าชีพ เธอก็ต้องออกไปอยู่ที่อื่น”
“อุ๊ย...กลัวจัง...ก็บอกไปเลยสิ นังลั่นทมจะได้ขาดใจตายเร็วๆ หรือว่าจริงๆ แล้วไม่ออกไปอยู่ที่ไหนก็คิดจะฮุบสมบัติน้าสะใภ้...ก่อนจะดูถูกคนอื่นน่ะ ก็ก้มดูตัวเองซะบ้าง”
“ฉันไม่เคยคิดอะไรต่ำๆ อย่างนั้นหรอกรสสุคนธ์ อย่าเอาคนอื่นไปเปรียบกับตัวเองสิ”
รสสุคนธ์หัวเราะ “อยู่วิมานบนสวรรค์ชั้นไหนล่ะ ถึงเปรียบไม่ได้”
รสสุคนธ์กระแทกเสียงใส่อุษาแล้วเดินออกไป
อุษาดูตัวเองในกระจกแล้วก็น้ำตาไหลพราก
“โธ่ คุณน้า...ษาสงสารคุณน้าเหลือเกินค่ะ...ผู้หญิงคนนี้ร้ายเหลือเกิน...ษากลัวว่าเขาจะทำให้คุณน้าเป็นอะไรไป”
รสสุคนธ์เดินกลับออกมาจากห้องน้ำแล้วกระแทกตัวลงนั่งอย่างไม่สบอารมณ์
รสสุคนธ์พูดเบาๆ ด้วยความแค้นเคือง “คิดเปิดศึกกับฉันรึ..นังอุษา”
สายสมรเดินเข้ามาจากข้างนอก “งานที่สั่งให้ทำไปถึงไหนแล้ว มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
รสสุคนธ์มองหน้า พนักงานในห้องพากันเงยหน้าขึ้นมองไปที่ทั้งสองคน
“ไว้ให้คุณชีพทวงงานฉันเองก็แล้วกัน” รสสุคนธ์บอก
“แต่ฉันเป็นหัวหน้างานของเธอนะรสสุคนธ์” สายสมรว่า
“เหรอ...”
รสสุคนธ์หัวเราะเบาๆ แล้วคว้ากระเป๋าเดินออกไป
“จะไปไหนน่ะ นี่ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานนะ”
รสสุคนธ์ไม่ตอบ เธอเดินออกไปอย่างไม่แคร์ อุษาเดินมาพอดี ทุกคนมองไปที่อุษา สายสมรทำท่าจะฟ้อง
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะคุณสายสมร...” อุษาบอก
“อ้าว...แล้วงาน...”
“คุณสายสมรทำเองดีกว่า...”
อุษาก้มหน้าทำงานต่อไป สายสมรถอนหายใจยาว
รสสุคนธ์เดินเกร่อยู่ที่หน้าบ้าน ธารินทร์จอดรถส่งอุษา อุษาเดินลงมาแล้วเดินเข้าบ้าน ก่อนจะหันมาทางรสสุคนธ์ แต่รสสุคนธ์ไม่หลบตา รสสุคนธ์ยิ้มมุมปากมองอุษาท้าทาย อุษาเข้าไปในบ้าน ธารินทร์ขับรถออกไป รสสุคนธ์มองตามด้วยสายตาฝังแค้น หวานเดินมาพอดี
“น้าหวานจะไปไหนน่ะ...” รสสุคนธ์ถาม
“ไอ้เวกกับไอ้สมพรดันกินเหล้ากันหลังบ้าน ข้าจะไปดูว่าประตูเรียบร้อยหรือยัง”
“ก็มีลุงฉ่ำอยู่ทั้งคนไม่ใช่เหรอ...” รสสุคนธ์บอก
“ไอ้นี่แหละตัวดีเลย ขี้ลืม ถ้าเกิดมันไม่ปิดประตู ขโมยขโจรเข้าบ้านจะแย่...” หวานบอก
“ทำไมน้าต้องห่วงสมบัติคนอื่นด้วย...สมบัติของตัวเองก็ว่าไปอย่าง...”
หวานไม่ตอบแต่เดินไป รสสุคนธ์มองตาม เธอนึกถึงตอนที่ชีพบอกว่ารสสุคนธ์กลัวขาดใจตายขึ้นมา
รสสุคนธ์ก้าวเท้าตามไปเป็นจังหวะเดียวกับที่หวานเดินกลับมา รสสุคนธ์ถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่แข็งกร้าวเหมือนเดิม
“น้าหวาน...ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ ได้ข่าวว่าคุณผู้หญิงท่านมีโรคประจำตัวเหรอ”
หวานมองรสสุคนธ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เทพเจ้าแห่งความเมตตาองค์ใดเข้าสิงเอ็งล่ะ ถึงมีแก่ใจถาม”
“อ้าว น้าหวานก็ เพราะฉันไม่รู้น่ะสิ ฉันก็เลย...เอ้อ...”
“เออ อยากรู้ข้าจะบอกเอ็งไว้ เผื่อว่าเอ็งจะเมตตาคุณผู้หญิงบ้าง”
ทั้งสองเดินคุยกันมาตามทาง
“ท่านมีอาการประหลาด” หวานเล่า “บทจะเป็นขึ้นมาก็หยุดหายใจไปดื้อๆ แล้วหัวใจก็ไม่เต้น ชีพจรก็ไม่เต้น...เหมือนคนตายไปแล้ว”
อ่านต่อหน้าที่ 2
สุสานคนเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
ชีพนั่งจิบเครื่องดื่มร้อนๆ อยู่ ลั่นทมนั่งอ่านบัญชีที่อุษาทำที่เตียงแล้วแฟ้มก็ตกไปข้างเตียง ชีพตกใจวางถ้วยเครื่องดื่มจนกระฉอกออกมา
“ทม...ทม...”
ชีพพยายามเขย่าตัวเรียก
หวานยังเล่าให้รสสุคนธ์ฟังต่อเนื่อง
“หมอหาสาเหตุของโรคไม่พบ...แต่ว่าท่านรู้ตัวทุกอย่างนะไม่ว่าใครจะพูด จะทำอะไร ท่านรู้หมด ท่านต้องรวบรวมพลังให้รู้สึกตัวขึ้นมาให้ได้”
ชีพเรียกลั่นทมเสียงดังแล้วจับชีพจรดู
“ทม...ลั่นทม...ได้ยินผมใช่มั้ย...ทม”
ลั่นทมตาปรือเหมือนพยายามจะลืมตาขึ้น
“ชีพ...ช่วยทมด้วย...ช่วยด้วย...ทมยังไม่อยากตาย” ลั่นทมพูดในใจ
อุษาทุบประตูแล้วเข้ามา
“คุณน้า...น้าชีพตามหมอเถอะค่ะ...ษาจะนวดคุณน้าเอง”
ชีพละล้าละลังแล้ววิ่งออกไปจากห้อง
“คุณน้า...รู้สึกตัวสิคะ...คุณน้าขา...คุณน้าขา...รู้สึกตัวสิคะ”
“ช่วยน้าด้วยอุษา...ช่วยน้าด้วย...” ลั่นทมพูดในใจ
หวานกับรสสุคนธ์มองไปที่คฤหาสน์ของลั่นทมแล้วก็ตกใจที่เห็นไฟเปิดสว่างทั้งบ้าน เพราะก่อนหน้านี้เปิดสลัวเพียงบางดวงเท่านั้น
“คุณผู้หญิง...คุณผู้หญิงต้องเป็นอะไรแน่ๆ” หวานบอก
หวานรีบวิ่งไป รสสุคนธ์ตะลึงแล้วอมยิ้มมุมปากพร้อมทั้งมีดวงตาสะใจขึ้นมา
“ขอให้พญามัจจุราชมาลากคอแกไปเร็วๆ อยู่ก็ทรมานคนอื่นเปล่าๆ บาปแกจะได้ไม่หนักจนเกินไป”
รสสุคนธ์เดินฉับๆ ไปที่คฤหาสน์ วิเวกกับสมพรเมาแอ๋จนยืนแอ่น
“เกิดอะไรขึ้นหรือจ๊ะน้องสาว” วิเวกถาม
“มีใครเป็นอะไรหรือจ๊ะบอกพี่หน่อยสิจ๊ะ” สมพรว่า
“มีคนกำลังจะตายมั้ง...เตรียมสวดศพกันได้แล้วละ...” รสสุคนธ์บอก
วิเวกกับสมพรแทบหายเมา “คุณผู้หญิง”
ชีพกดโทรศัพท์ผิดๆถูกๆ ก่อนจะกระแทกโทรศัพท์ลงบนเครื่อง หวานกับฉ่ำเดินเข้ามาพอดี
“เบอร์หมอ...เร็ว ลั่นทมเป็นอีกแล้ว...” ชีพบอก
หวานคว้าโทรศัพท์มากดแทน รสสุคนธ์เข้ามาพอดีก็เห็นชีพหัวเสียอยู่
“ค่ะๆๆ รีบมาเลยนะคะคุณหมอ...” หวานวางโทรศัพท์แล้ววิ่งขึ้นไปบนตึก
“น้าหวาน...ให้ฉันช่วยนะ...” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์รีบวิ่งตามขึ้นไป โดยมีชีพตามไปติดๆ สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มเดินออกมาจากมุมหนึ่ง
“คุณผู้หญิงอีกแล้วเหรอ”
“ใช่...คุณชีพตกใจมากเลยคราวนี้”
“เราขึ้นไปช่วยนวดกันเถอะน้าหวาด...” ยาใจบอก
“ใช่ๆๆ” จิ้มลิ้มเห็นด้วย
“อย่าเลย” ฉ่ำเบรค “หนูรสสุคนธ์ขึ้นไปแล้ว คนเยอะ เดี๋ยวคุณผู้หญิงหายใจไม่ออก”
“นังรสเหรอ...”
จิ้มลิ้มกับยาใจสบตากันทันที
อุษาที่ประคองลั่นทมอยู่ร้องไห้
“ถ้าคุณน้าเป็นอะไรไป บ้านนี้ใครจะดูแล ไหนจะโรงงานอีกล่ะคะ..คุณน้าสร้างมันมากับมือ...จะทิ้งมันไปได้ยังไง ษาก็คงต้องตายตามคุณน้าไปด้วย”
ลั่นทมมีน้ำตาคลอที่หางตาก่อนจะไหลย้อยมาทางขมับ
“น้ายังไม่อยากตาย ช่วยน้าด้วย...” ลั่นทมพูดในใจ
ชีพ หวาน และรสสุคนธ์เข้ามา ชีพถลาไปหาลั่นทม
“เป็นยังไงบ้างอุษา” ชีพถาม
“คุณน้ายังไม่รู้สึกตัวเลยค่ะ” อุษาตอบ
หวานเข้ามาบีบนวดที่แขนและชีพจรของลั่นทม รสสุคนธ์ยืนมองอยู่ที่มุมหนึ่งโดยมีแววยิ้มเยาะอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็พยายามสะกดไว้ไม่ให้ใครเห็น ลั่นทมมองไปทางรสสุคนธ์ก็เห็นรอยยิ้มของรสสุคนธ์
“ทม...คุณอย่าเป็นอะไรนะ...ถ้าไม่มีคุณ ผมก็คงอยู่ไม่ได้...”
“ชีพคะ ทมดีใจที่ได้ยินคำนี้จากปากคุณ...ทมรักคุณค่ะทมยังไม่อยากตาย...ช่วยทมด้วยนะคะ”
อุษาน้ำตานองหน้า “คุณน้าเข้มแข็งสิคะ...อย่าให้เขาเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณน้ารักไปได้ คุณน้ารับปากษาแล้วไงว่าจะต่อสู้จนถึงที่สุด”
รสสุคนธ์เบ้ปาก ลั่นทมคิด “ใช่...น้าต้องสู้ น้าจะตายไม่ได้ อึ๊บ...อึ๊บ”
ลั่นทมลืมตาขึ้นมือที่ไร้แรงเริ่มบีบมือของหวาน
“ว้าย...คุณผู้หญิงรู้สึกตัวแล้วค่ะ...” หวานบอก
ชีพผวาเข้าไปหาด้วยความดีใจ “ทม คุณรู้สึกตัวแล้ว...ผมดีใจ”
ชีพคว้ามือของลั่นทมมาจูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รสสุคนธ์ทนดูไม่ได้จึงเดินเลี่ยงออกมา หวานเห็นด้านหลังของรสสุคนธ์เดินออกไป
“เดี๋ยวหมอก็มาแล้ว...ให้คุณหมอตรวจดูอาการสักหน่อยนะคะคุณผู้หญิง...” หวานบอก
ลั่นทมพยักหน้าช้าๆ โดยดวงตามีแววเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“ต่อไปคุณต้องระวังไว้ให้มาก อย่าเครียดกับอะไรทั่งนั้น เนี่ยเป็นเพราะบัญชีต้นทุนของอุษาใช่มั้ยที่ทำให้คุณเป็นอย่างนี้” ชีพว่า
อุษาไม่ค่อยพอใจจึงรีบพูด
“โรงงานของเรายังมีกำไรมากอยู่ ษาทำบัญชีทุกอย่างตามความจริงค่ะน้าชีพ”
“น้าก็ไม่ได้ว่าอะไรซะหน่อย...” ชีพบอก
สวาทเดินเข้ามา “คุณหมอพินิจมาแล้วค่ะ”
หมอพินิจเดินเข้ามา “ผมขอตรวจคนไข้ก่อนนะครับ ขอเชิญคนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปข้างนอกก่อน”
หวานจะเดินออกไป ลั่นทมพูดขึ้น “หวานอยู่กับฉัน...อุษาด้วย...คนอื่นออกไป”
ชีพมองหน้าลั่นทม “คนอื่น...”
ลั่นทมพยักหน้า ชีพเดินออกไปด้วยสีหน้าไม่ดี หมอพินิจเข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนจะหยิบหูฟังออกมา
ชีพกระแทกตัวลงนั่งที่โซฟา “ฮึ...คนอื่น...”
รสสุคนธ์ยืนกอดอกอยู่มุมหนึ่ง เธอเดินมานั่งใกล้ๆ ชีพกระเถิบออก
“เดี๋ยวใครก็มาเห็นเข้าหรอก” ชีพว่า
“ก็ช่างมันสิ...รสบอกตรงๆ นะว่าเมียคุณไม่ได้เป็นอะไรหรอก...นอกจากโรคสำออยผัว”
“รส ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ”
“ก็ไม่เห็นเหรอ พอคุณบอกว่าคุณจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้ามัน...เอ๊ย...เขาต้องตายไป...คนอื่นๆ ก็พากันคร่ำครวญถึงคุณงามความดีที่สั่งสมไว้จนท่วมหัว..เลยรู้สึกตัวขึ้นมาทันที...ทุเรศแบบนี้ไม่เรียกว่าโรคสำออยแล้วจะให้เรียกว่าอะไร”
ชีพส่ายหน้า “ถึงยังไง ฉันก็ไม่อยากให้เธอพูดแบบนี้ ถ้าใครมาได้ยินเข้ามันไม่ดี”
“รสพูดความจริง ถ้าจะเข้าใจอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้...เขาตั้งใจทรมานคุณ...ไม่ใช่สิ ทรมานเราต่างหาก...ทำเป็นป่วย แต่ความจริงตรวจสอบคุณทุกอย่าง เงินทองก็ยังควบคุม นี่คงสำออยอยากให้คุณทำกำไรมากกว่านี้สิ ถึงแกล้งตาย...รสบอกตรงๆนะคะ เห็นคุณทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด...แล้วสงสาร”
ชีพนิ่งอึ้งแล้วมองไปข้างนอก รสสุคนธ์ชำเลืองมอง
“ไปนอนดีกว่า...รสพูดมากไปแล้ว นี่มันเรื่องครอบครัวคนอื่นชัดๆ ถ้าเป็นครอบครัวของเรา รสจะไม่มีวันทำร้ายคุณอย่างนี้เลย”
รสสุคนธ์เดินไป ชีพนิ่งอึ้งเพราะอดคิดคล้อยตามไม่ได้
หมอพินิจเก็บอุปกรณ์แล้วบอกลั่นทม
“กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรง คุณลั่นทมไม่ค่อยทานยาตามที่ให้ไปหรือครับ”
“ต่อไปฉันจะพยายามไม่ให้ขาด....หมอคะ ฉันจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้มั้ย...ยังไงก็ขอให้ฉันทำพินัยกรรมให้เสร็จก่อน”
“ถ้าดูแลตัวเองดีๆ ก็ไม่น่ามีปัญหา แต่หมออยากเตือนว่าอย่าเครียดและอย่าอยู่ในที่ที่ไม่มีอากาศ อึดอัดหรือสถานการณ์ที่ตื่นเต้นจนเกินไป”
“ค่ะคุณหมอ...ขอบคุณคุณหมอมาก...อุษาไปส่งคุณหมอด้วยนะ...หวานห่มผ้าให้ฉันที”
อุษาเดินตามพินิจออกไป ลั่นทมเอนกายลงนอน หวานห่มผ้าให้
“พรุ่งนี้ตามคุณทนายมาพบฉันด้วย...” ลั่นทมสั่ง
หวานนิ่งอึ้งแล้วรับคำ “ค่ะคุณผู้หญิง...”
หวานทำอะไรเสร็จแล้วแต่ก็ยังยืนนิ่ง เหมือนจะพูดดีหรือไม่ดี
“มีอะไรเหรอแม่หวาน...” ลั่นทมถาม
“เรื่องทำบุญบ้านน่ะค่ะ...”
ลั่นทมยิ้มบางๆ “ฉันเห็นด้วย ดำเนินการได้เลย บอกหมอผันมาเป็นแม่งานนิมนต์พระให้ด้วย”
หวานยิ้มกว้างด้วยความดีใจ “ค่ะ”
หวานเดินเข้ามาเห็นรสสุคนธ์นอนตะแคงหันหลังให้ หวานขึ้นเตียง รสสุคนธ์ก็พูดโดยไม่หันมา
“อยู่พยาบาลกันจนป่านนี้ น้าหวานเป็นหมอกับเขาด้วยรึไง”
“เอ๊ะนังนี่ เจ้านายเจ็บป่วย จะให้ข้าดูดายได้ไงล่ะวะ ข้าไม่ใช่เอ็งนี่...” หวานว่า
รสสุคนธ์ผุดลุกขึ้นนั่ง
“ฉันก็แค่สงสารน้าที่จะต้องอดหลับอดนอนไปดูแลเขาก็เท่านั้น...นี่น้าไม่เห็นความดีของฉันบ้างเลยเหรอ”
“เขาเป็นเจ้าเป็นนายเรา...แค่นี่จะเป็นไรไป คุณผู้หญิงเธอน่าสงสาร ท่านเป็นอะไร ข้าก็เล่าให้เอ็งฟังหมดแล้วนี่...เอ็งก็น่าจะสงสารท่านบ้าง...มีอะไรพอช่วยได้ ก็ช่วยกันไป”
รสสุคนธ์หัวเราะ “ฉันช่วยอยู่แล้ว น้าไม่ต้องห่วงหรอก...ถึงไม่ได้ช่วยคุณผู้หญิงโดยตรง ฉันก็ช่วยคนข้างตัวของท่าน”
“ผีเจาะปากให้เอ็งพูดหรือไงวะนังรส”
รสสุคนธ์หัวเราะแล้วล้มตัวลงนอนหันหลังให้หวาน หวานถอนใจมองรสสุคนธ์แล้วส่ายหน้าด้วยความเอือมระอา
ทุกคนกำลังสาละวนกับการเตรียมของถวายพระ รสสุคนธ์เดินเข้ามาเห็นอาหารที่จัดแต่งไว้แล้วดูน่ากินก็หยิบใส่ปากทันที
“หยุดนะ” สวาทว่า “นั่นนะของถวายพระ หยิบกินก่อนระวังตายไปจะกลายเป็นเปรต”
“น้าเคยเห็นเหรอ หน้าตามันเป็นยังไง คล้ายน้าหวาดรึเปล่า”
สวาทโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
“นังรส...ตายแน่วันนี้”
สวาทยกของจะทุ่มใส่ ยาใจกับจิ้มลิ้มถอยกรูด หวานรีบห้าม
“ขอเถอะแม่หวาด วันนี้วันมงคล อย่าทำให้คุณผู้หญิงเสียใจเลย...รสสุคนธ์ ถ้าอยากกินก็ทำเอง ของพวกนี้เขาเตรียมไว้ถวายพระ”
รสสุคนธ์ยักไหล่แล้วเดินออกไป จิ้มลิ้มกับยาใจซุบซิบกัน
“ฉันกลัวจังเลยยาใจ” จิ้มลิ้มบอก
“กลัวไร จิ้มลิ้ม” ยาใจถาม
“เกิดตบกันขึ้นมาในงานจะว่ายังไง”
“ใครตบใคร...”
หวานกระแอมเสียงดัง ยาใจกับจิ้มลิ้มสะดุ้งหันมาก็เห็นหวานยืนจ้องหน้าอยู่ สวาทมองมาที่ทั้งสองเช่นกัน
“ฉันก็คิดเหมือนนังยาใจกับนังจิ้มลิ้มแหละ...อยากรู้เหมือนกันว่าแม่หวานจะเข้าข้างใคร” สวาทว่า
“เห็นฉันเป็นคนยังไงเหรอสวาท...” หวานย้อน
“เปล่า ฉันก็แค่ถามดู...”
หวานนิ่งอึ้งแล้วหันหลังทำงานต่อ ทั้งสามคนเก้อไป
รถของธารินทร์แล่นเข้ามาในบ้าน อุษายืนต้อนรับ รสสุคนธ์ยืนแอบมองอยู่ ธารินทร์ลงจากรถมาพร้อมกับหมอผันและต้อยติ่ง อุษายกมือไหว้ ต้อยติ่งไหว้อุษาแล้วกอดอุษาไว้
“บ้านพี่อุษาใหญ่จัง...” ต้อยติ่งบอก
“ขนมก็เยอะด้วย...” อุษาเสริม
หมอผันมองดูรอบๆ เหมือนกำหนดจิตถึงเจ้าที่เจ้าทาง
“พระยังไม่มาใช่มั้ย...” ธารินทร์ถาม
“ให้น้าฉ่ำไปรับพระค่ะรินทร์...เข้าบ้านก่อนสิ...” อุษาชวน
ชีพเดินออกมา ธารินทร์ไหว้ชีพ ชีพรับไหว้อย่างงงๆ แล้วมองดูหมอผันกับต้อยติ่งด้วยความสงสัยว่ามาทำไม
อุษาแนะนำ “หมอผัน คุณพ่อของรินทร์ค่ะน้าชีพ ส่วนนี่ก็หนูต้อยติ่งค่ะ”
ต้อยติ่งไหว้ชีพแต่ชีพไม่สนใจ
“คุณลั่นทมให้คุณพ่อมาช่วยเรื่องพิธีการวันนี้น่ะครับ...” ธารินทร์อธิบาย
“กะอีแค่เลี้ยงพระ ทำให้ยุ่งยากวุ่นวายกันไปได้” ชีพว่า
ทุกคนอึ้งไป อุษารีบแก้สถานการณ์
“เข้าบ้านดีกว่าค่ะ หมอผันจะได้ช่วยดูด้วยว่าจัดที่จัดทางถูกหรือเปล่า”
“จริงด้วย...ไป พ่อ...”
หมอผันเดินไปแล้วก็อดชำเลืองมาทางชีพไม่ได้ แล้วทั้งหมดก็เข้าไปในบ้าน รสสุคนธ์เดินมาหาชีพ เธอเหลียวมองพอไม่เห็นใครก็กอดเอว
“ไม่เอาน่ารสสุคนธ์...เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า...วันนี้คนยิ่งเยอะอยู่”
รสสุคนธ์คลายมือแล้วเดินออกห่าง
“นี่ขนาดเพิ่งเป็นแฟนกันก็ขนญาติมาเต็มบ้านแล้ว ต่อไปคงย้ายมาอยู่กันหมด...กลายเป็นสถานสงเคราะห์...คุณชีพอย่าไปยอมนะคะ...ถ้ายอมก็เท่ากับยกบ้านนี้ให้คุณอุษา”
ชีพมองหน้ารสสุคนธ์ “ไม่มีทางหรอก...”
ชีพเดินกลับเข้าไปข้างใน รสสุคนธ์อมยิ้มอย่างสะใจเล็กๆ
พระทั้ง 9 รูปสวดมนต์เสร็จ ทุกคนนั่งพนมมืออยู่
“อาหารถวายพระลำเลียงเข้ามาเลย...” หมอผันพูดกับพระ “นิมนต์เลยครับสองวง...ทางนี้ครับ”
ยาใจ จิ้มลิ้ม และสวาทลุกขึ้น
“วิเวก สมพรมาช่วยกันยกอาหาร...” สวาทบอก หวานทำท่าจะลุก “แม่หวานอยู่ดูแลทางนี้แหละจ้ะ ไม่ต้องไป”
ทั้งหมดเดินออกไป หวานกระซิบบอกรสสุคนธ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“ไปช่วยเค้าในครัวสิ...”
รสสุคนธ์เบ้ปากมองไปที่ชีพที่นั่งเคียงข้างลั่นทมซึ่งแต่งตัวสวยอยู่
พระนั่งเป็นสองวง โดยมีอาหารวางอยู่ตรงหน้า ลั่นทมกับชีพช่วยกันประเคนของถวายพระ รสสุคนธ์มองภาพความหวานชื่นนั้นอย่างไม่สบอารมณ์แล้วก็ลุกออกไป สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มพากันมองตาม หวานก้มหน้าอย่างละอายใจ
“อาหารหวานก็เตรียมให้พร้อมเลยนะ...” หมอผันบอก
“ดอกไม้ถวายพระจัดเตรียมแล้วใช่มั้ยแม่หวาน”
“เรียบร้อยแล้วค่ะคุณอุษา...”
“ขอบใจจ้ะแม่หวาน”
รสสุคนธ์ออกมายืนรับลม ภาพความหวานชื่นของชีพกับลั่นทมแวบเข้ามาในห้วงคิด
“เชอะ...ทำยังกะจะรักกันไปจนวันตายแน่ะ...ทุเรศ”
หวานเดินตามออกมา “นึกว่าไปช่วยเขาในครัวซะอีก”
“งานแบบนั้น...ไม่ใช่งานของฉันนี่น้าหวาน” รสสุคนธ์บอก
“ต้องงานแย่งผัวชาวบ้านเขาใช่มั้ยถึงใช่งานของแกนังรส..” หวานว่า
“ก็แล้วแต่น้าจะคิด...”
บรรจงเดินเข้ามาด้วยท่าทางไม่มั่นใจ รสสุคนธ์เห็นก็ถอยหลังกรูดเพราะตกใจ
“พี่จง...มาได้ยังไงกันเนี่ย...” รสสุคนธ์งง
“ข้าโทรไปตามมันที่บ้านเองแหละ...”
รสสุคนธ์ไม่ชอบใจขึ้นมาทันที
“มันกงการอะไรของน้า...ยุ่งวุ่นวายอะไรกับฉันนักหนา”
บรรจงเดินมาถึงพอดี
“รส...ไม่คิดเลยว่ารสจะอยู่บ้านใหญ่โตยังงี้”
“กลับไปซะพี่จง...ก่อนที่ฉันจะให้คนมาลากคอพี่ไปส่งตำรวจข้อหาบุกรุกบ้านฉัน”
“บ้านฉัน...ข้าฟังไม่ผิดใช่มั้ยนังรส...”
รสสุคนธ์มองหวาน “ไม่ผิดหรอกน้า...น้าก็รู้ว่าฉันเป็นเมียของเจ้าของบ้านนี้ฉันมีแฟนใหม่แล้วพี่จง...กลับไปซะ...ไปสิ”
“ไม่จริง รสโกหกพี่ใช่มั้ย...รส ให้โอกาสพี่บ้างนะ...พี่ยอมทุกอย่างเลย รสต้องการอะไรก็บอกพี่มาเถอะ”
บรรจงเดินเข้ามาใกล้ รสถอยห่างพร้อมกับดึงหวานให้ตามมาด้วย
“อย่าเข้ามานะ...ไม่งั้นพี่เจ็บตัวแน่ กลับไป”
“ไม่...”
ชีพเดินออกมาจากข้างใน รสสุคนธ์หันไปเห็นพอดีก็ผลักหวานล้มไป โดยตัวเองก็ล้มไปด้วย บรรจงผงะ
“กรี๊ด ช่วยด้วย...ๆๆๆ ขโมย...ๆๆ”
บรรจงตะลึง ชีพวิ่งมาพอดีก็ชี้หน้าไปที่บรรจง
“ไอ้เวก ไอ้พร จับมัน”
วิเวกกับสมพรวิ่งออกมาจากในบ้าน บรรจงวิ่งหนีไปอย่างเร็ว รสสุคนธ์ร้องไห้โฮและกุมแก้มไปด้วย หวานตะลึง ชีพเดินเข้ามาหา
“รส เป็นอะไร มันทำอะไรเธอหรือเปล่า” ชีพถาม
“มันตบรส...มันจะปล้นบ้านนี้ มันคิดว่าไม่มีคนอยู่ ฮือๆ”
รสสุคนธ์กอดชีพแน่นร้องไห้ หวานตะลึงนิ่งไปเพราะไม่คิดว่ารสสุคนธ์จะเหลี่ยมจัดแบบนี้
หวานพูดเบาๆ “นังนี่...ร้ายนัก...”
ลั่นทม อุษา ธารินทร์ และหมอผันเดินออกมาจากข้างใน
“เกิดอะไรขึ้นครับ...” ธารินทร์ถาม
“คุณตำรวจขา...ขโมยมันบุกเข้ามาในบ้าน มันทำร้ายร่างกายรสค่ะ”
ธารินทร์มองหา รสสุคนธ์ชี้มือไปที่ประตู
“มันวิ่งหนีไปแล้วค่ะ ฮือๆๆ”
รสสุคนธ์กอดชีพร้องไห้โฮๆ ชีพกอดรสสุคนธ์เพื่อปลอบใจ
หมอผัน ต้อยติ่ง อุษามอง ธารินทร์จะออกไปตาม อุษาส่ายหน้า
“ตามมันไม่ทันหรอกค่ะ...ปล่อยไปเถอะ” อุษาบอก
“ผมจะจับตัวให้ได้ คนร้ายต้องรู้จักใครในที่นี้ ไม่งั้นคงไม่กล้าอุกอาจเข้ามาแบบนี้หรอก อาจมีเรื่องเข้าใจผิดกันก็ได้” ธารินทร์บอก
“เข้าใจผิดยังไง...” รสสุคนธ์ถาม
“ก็แบบมีความขัดแย้งส่วนตัวกับใครบางคนน่ะสิครับ...ผมจะวิทยุให้สะกัดจับ แม่หวาน คนร้ายรูปร่างยังไง แต่งตัวยังไง”
“อุ๊ย อิฉันก็ไม่ทันมองหรอกค่ะ ปล่อยมันไปเถอะ นึกว่าเป็นคราวซวยของอิฉันกับนังรสมันเถอะค่ะ”หวานว่า
เสียงลั่นทมดังขึ้น “อย่าให้ความซวยมันมาตกแก่บ้านนี้เลย”
ทุกคนหันไปเห็นลั่นทมยืนอยู่ รสสุคนธ์นิ่งโดยลืมความเศร้าโศกที่แสร้งทำจนหมด เธอมองหน้าลั่นทมเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ
“เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ พระฉันท์เสร็จแล้ว เดี๋ยวจะได้กรวดน้ำ จะได้หายซวยกันซะที” ลั่นทมบอก
ลั่นทมเดินเข้าไป ชีพเดินตามไปติดๆ อุษา หมอผัน และต้อยติ่งเดินตามไป
“ตกลงคุณรสสุคนธ์กับแม่หวานไม่เอาเรื่องใช่มั้ยครับ” ธารินทร์ถาม
“เอ้อ ไม่ๆๆ เจ้าค่ะ...ปล่อยมันไปเถอะค่ะ” หวานบอก
ธารินทร์เดินเข้าไปในบ้าน
“นังรส...เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ ทำไมถึงทำยังงี้” หวานว่า
“ถ้าฉันไม่ทำยังงี้ คุณชีพก็ต้องรู้สิว่าฉันเคยมีแฟนมาก่อน” รสสุคนธ์บอก
“อ้อ กลัวคุณค่าตัวเองจะหาย...หรือว่ากลัวราคาตกกันล่ะ”
หวานเดินเข้าไปในบ้าน รสสุคนธ์มองตามอย่างไม่พอใจ
ลั่นทมกับชีพจับดอกไม้ช่อเดียวกันถวายพระ รสสุคนธ์เข้ามาเห็นพอดีก็มีสายตาริษยาอย่างเห็นได้ชัด ลั่นทมกับชีพช่วยกันถวายพระองค์ต่อไป ส่วนองค์ท้ายๆ นั้นหมอผัน ธารินทร์ อุษา ช่วยกันถวายจนครบ ชีพกับลั่นทมช่วยกันกรวดน้ำโดยจับที่กรวดน้ำร่วมกัน
ธารินทร์ อุษา หมอผัน และต้อยติ่งจับที่กรวดน้ำร่วมกันอยู่มุมหนึ่ง หวานนั่งพนมมืออยู่อีกมุม รสสุคนธ์มองแล้วสะบัดหน้าไป
รสสุคนธ์เดินมาที่ครัว ได้ยินเสียงจากในครัวดังมาก่อนรสสุคนธ์จึงแอบฟัง
“แหม...ข้าเสียดาย มัวช่วยงานอยู่ข้างใน เลยไม่ได้เห็นอะไรเด็ดๆ ไหนเอ็งเล่าสิวะไอ้เวกไอ้พร เอ็งจับมันได้หรือเปล่า”
รสสุคนธ์เห็นวิเวกกับสมพรช่วยกันเล่า โดยมีสวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มนิ่งฟังอย่างตั้งใจ
“เกือบจับไม่ได้แน่ะ มันจะปีนรั้วหนี” วิเวกบอก
“ใช่ๆ ฉันก็เลยรวบขามันดึงลงมาเลย มันร้องขอชีวิตยังกะควายกลัวถูกเชือด” สมพรเล่า
เหตุการณ์ในอดีต บรรจงถูกดึงลงมาจากรั้วจนล้มกันไปทั้งสมพรและบรรจง วิเวกกระชากคอเสื้อของบรรจงมาถาม
“คิดจะมาขโมยอะไรวะ ไอ้หน้าอ่อน ไม่รู้เหรอว่าบ้านนี้น่ะบ้านใคร”
บรรจงส่ายหน้าจะร้องไห้ “ผมไม่ได้เป็นขโมย ผมจะมาหาเมียผม”
“เมีย...ใครวะ”
“นังยาใจหรือนังจิ้มลิ้ม...นังสองตัวนี่มีผัวซ่อนไว้ก็ไม่ยอมบอก”
“เปล่าจ้ะ เมียผมชื่อรสสุคนธ์...” บรรจงบอก
สมพรกับวิเวกอ้าปากค้าง
“เอ็งพูดจริงเหรอวะ...” สมพรถาม
“จริงจ้ะน้า...ปล่อยฉันไปเถอะนะ ฉันรับปากว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้ว...”
รสสุคนธ์เห็นสวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มหัวเราะลั่น
“มันน่าให้คุณรินทร์จับได้ จะได้กระชากหน้ากากหลานแม่หวานออกมาให้สะเทือนซางไปเลย...คนบ้านนี้จะได้ตาสว่างเสียทีว่านังนี่มาจากนรกขุมไหน...” สวาทว่า
รสสุคนธ์หน้าเครียดจัด รสสุคนธ์ตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน ทุกคนอ้าปากตะลึงเพราะไม่คิดว่าคนที่พวกตนนินทาอยู่จะเข้ามา
“คุณผู้หญิงให้ฉันมาตามพวกแกไปเก็บของ...” รสสุคนธ์บอก
รสสุคนธ์เดินกลับไป ทุกคนนิ่งเงียบ
“คงไม่ได้ยินหรอก...” ยาใจว่า
“ไม่ได้ยินค่อยๆ น่ะสิ...นังยา...” จิ้มลิ้มว่า
หวานถือขันที่กรวดน้ำเสร็จแล้วจะมาเทหน้าบ้าน รสสุคนธ์หันมาเห็น
“น้าหวาน ฉันไปเทให้เอง”
“เอ็งรู้เรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ โบราณเขาว่าให้บอกแม่พระธรณีให้ท่านรับรู้ด้วยนะ”
“ตอนอยู่บ้าน ฉันทำให้แม่ประจำ...แม่จะกรวดน้ำหลังใส่บาตรทุกเช้า”
“เออ งั้นก็เอาไป”
หวานส่งขันน้ำเล็กๆ ซึ่งเป็นน้ำจากการกรวดน้ำให้รสสุคนธ์
อ่านต่อหน้าที่ 3
สุสานคนเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
สวาทก้มๆ เงยๆ อยู่ที่ก๊อกน้ำ รสสุคนธ์เดินเข้ามาแล้วเทน้ำราดศีรษะของสวาท
“ว้าย..นังรส...น้ำอะไรเนี่ย...”
รสสุคนธ์หัวเราะ “กรวดน้ำให้แล้วก็ไปที่ชอบๆ นะ...มาจากนรกขุมไหนก็กลับไปอยู่ขุมนั้น”
“หมายความว่ายังไง...” สวาทงง
“ก็หมายความอย่างที่พูดแหละ...”
สวาทเท้าเอวจะเอาเรื่อง แต่รสสุคนธ์เชิดหน้าท้าทาย สวาทเลยหันไปทางอื่น รสสุคนธ์ยิ้มมุมปากด้วยความสะใจแล้วเดินจากไป
ลั่นทมยืนส่งหมอผันกับต้อยติ่งให้ขึ้นรถไป ธารินทร์ยกมือไหว้ลั่นทม ซึ่งยืนอยู่กับอุษา
“ขอบใจนะจ๊ะธารินทร์ นี่ถ้าไม่ได้หมอผันมาช่วยก็คงทำอะไรไม่ค่อยถูกหรอก” ลั่นทมหันไปเห็นชีพ “จริงมั้ยคะชีพ...”
“ก็ไม่น่ายากนะ...ทำโรงงานยังยากกว่าเป็นพันเป็นหมื่นเท่า”
ธารินทร์รู้ว่าถูกเหน็บเลยขอลากลับ ธารินทร์ยกมือไหว้ลั่นทมกับชีพ
“จ้ะ ขอบใจนะคุณรินทร์”
ธารินทร์เดินไปที่ตำแหน่งคนขับแล้วขึ้นรถขับออกไป อุษายืนส่งคนรักอยู่เงียบๆ
ชีพตรงมาหาลั่นทม “คุณเหนื่อยมากหรือเปล่าทม”
“นิดหน่อยค่ะ แต่ก็มีความสุขนะคะ”
“ถ้าคุณสบายใจ ผมก็พลอยมีความสุขไปด้วย...เข้าบ้านเถอะจ้ะ ลมแรง เดี๋ยวจะไม่สบายไป ษาพาคุณน้าเข้าไปพักผ่อนในบ้าน แล้วบอกแม่หวานให้หาน้ำส้มหวานๆ ชื่นใจมาให้คุณน้าลั่นทมด้วย”
“ค่ะ คุณน้าเข้าไปในบ้านกันเถอะค่ะ...”
อุษาคอยดูแลลั่นทมจนก้าวเข้าไปในบ้าน รสสุคนธ์ออกมาจากมุมที่ซ่อน
“รสน้อยใจจังค่ะคุณชีพ” รสสุคนธ์บอก
ชีพเหลียวมองไปรอบๆ “เรื่องอะไร...”
“ก็ตอนที่คุณกับเมียคุณถวายดอกไม้ร่วมกันน่ะ มันบาดใจรสจังเลย...สะเทือนใจ รสอยากทำบุญกับคุณบ้าง...วันหลังเราไปทำบุญกันสองคนนะคะ”
“ได้สิจ๊ะ...”
รสสุคนธ์ยิ้มดีใจก่อนจะสบตาชีพ
“รสจะรอวันนั้นค่ะ”
สวาทกับหวานเผชิญหน้ากัน
“แม่หวานน่ะจะรู้ดีว่าหลานแม่หวานกำลังทำอะไรอยู่ถ้าแม่หวานไม่จัดการให้เรียบร้อย พวกฉันนี่แหละจะบอกคุณผู้หญิงเอง”
หวานตกใจและส่ายหน้า
“อย่านะแม่หวาด...ฉันขอร้อง...อย่าทำให้คุณผู้หญิงไม่สบายใจเลย เดี๋ยวจะ...”
สวาทพูดสวนมาทันที
“ตอนนี้ยังไม่ได้ทำอีกเหรอ...แม่หวานน่ะแหละที่ทำให้คุณผู้หญิงไม่สบายใจ...บอกไว้ก่อนนะ ฉันจะไม่ยอมให้หลานสาวแม่หวานมาวางอำนาจเป็นเจ้าเป็นนายของพวกฉันได้หรอก...รีบจัดการด้วย”
รสสุคนธ์แหวใส่หวาน
“ก็เพราะน้าหวานน่ะสิ ยุ่งไม่เข้าเรื่อง พาไอ้บรรจงมาทำไมคนในบ้านนี้มันก็เลยดูถูกฉันได้”
“ก็ถ้าแกทำตัวดีๆ มีเหรอที่คนจะดูถูกได้” หวานว่า
“ฉันไม่ดีตรงไหน...ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อน้าหวานนะ” รสสุคนธ์บอก
“อย่าเอาข้าไปเกี่ยวข้องด้วย...” หวานว่า
รสสุคนธ์จ้องหน้าหวานแล้วหัวเราะออกมา หวานตกใจ
“สายไปแล้วน้าหวาน...ตอนนี้ใครๆ เขาก็ว่าน้าหวานร่วมมือกันฉัน...ทางที่ดี น้าหวานก็ร่วมมือกับฉันจริงๆ ซะไม่ดีกว่ารึ”
“ข้าไม่ยอมทำบาปร่วมกับเอ็งหรอกนังรส...” หวานบอก
“ก็ตามใจ...เอาเป็นว่าเรื่องไหนน้าหวานไม่อยากยุ่ง น้าหวานอยู่เฉยๆ ก็แล้วกัน”
ดวงจันทร์ส่องสว่างอยู่กลางฟ้า ชีพดึงตัวลั่นทมมากอดแล้วจูบ ลั่นทมปัดป้องไว้
“อย่าค่ะชีพ...ทมกลัวว่าโรคเก่ามันจะกลับมาอีก”
ชีพปล่อยลั่นทมอย่างหงุดหงิด
“เบื่อ...เมื่อไหร่นะไอ้โรคบ้าๆ ของคุณนี่มันจะหายซะที...”
ชีพเดินออกไปด้วยความหงุดหงิด
“คุณจะไปไหนคะชีพ...” ลั่นทมถาม
“เดินเล่นที่สนาม ไม่ต้องตามมาหรอก เดี๋ยวโรคบ้าๆ ของคุณมันจะกำเริบ”
ชีพเดินออกไป ลั่นทมทรุดตัวลงนั่งที่ขอบเตียงแล้วน้ำตาก็ไหลพรากออกมาทันที
ชีพยืนรับลมอยู่มีสีหน้าเครียด แล้วเขาก็ตกใจเมื่อมีใครมากอดทางด้านหลัง
“คิดถึงจัง...ทำไมคะ เมียไม่ให้อยู่ในห้องเหรอ...” รสสุคนธ์ถาม
ชีพหันมาเห็นรสสุคนธ์ก็จูบ รสสุคนธ์บ่ายเบี่ยงแล้วผลักออก
“อย่าค่ะ...”
“จะทรมานฉันไปถึงไหนรสสุคนธ์...”
“เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าค่ะ...อีกอย่างรสกำลังกลุ้ม”
“อะไร...”
“ก็อีพวกในบ้านนี้สิคะ มันจับตาดูเราสองคน...มันพยายามกีดกันรส...รสกลัวว่าจะไม่ได้อยู่กับคุณ รสรักคุณค่ะ”
ชีพรวบตัวรสสุคนธ์มากอดแล้วกระซิบเบาๆ
“ไม่ต้องห่วง...ผมจะไม่ยอมให้พวกเขามาทำอะไรรสได้...”
รสสุคนธ์ยิ้มแล้วก็โผเข้ากอดชีพ
ลั่นทมมองลงมาจากหน้าต่าง ลั่นทมน้ำตาไหลพราก เธอปล่อยมือที่จับม่านให้ปิดเหมือนเดิม
“ชีพ...เธอทรยศฉัน...ฮือๆ”
ลั่นทมโผไปที่เตียงแล้วก็หายใจไม่คล่อง ลั่นทมคว้ายาดมมาสูดแรงๆ แล้วผ่อนลมหายใจยาวๆ ในสภาพตาปรือ
ลั่นทมพูดเบาๆ “อย่าเป็นอะไรนะ...อย่าเป็นอะไร...อย่าเป็นอะไร”
น้ำเสียงของลั่นทมแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
ชีพคลอเคลียอยู่กับรสสุคนธ์ อุษาเดินออกมาจากในบ้านเห็นเข้าพอดีก็ยืนตะลึง แล้วเธอก็รีบเข้าไปในบ้าน อุษายืนมือกุมหน้าอกด้วยความตกใจจนหน้าซีด หวานเดินมาพอดี
“คุณอุษาเป็นอะไรหรือเปล่าคะ” หวานถาม
“ปละ...เปล่า...แม่หวานมาตามหาหลานสาวเหรอ...อยู่...อยู่ที่สนามแน่ะ...”
อุษาเดินไปทันที หวานนิ่งคิดแล้วได้สติจึงก้าวไป
หวานตะลึงที่เห็นรสสุคนธ์อยู่ในอ้อมกอดของชีพ
“นังรส...นังรส...”
หวานแกล้งทำมองไม่เห็นแล้วตะโกนเรียกไป รสสุคนธ์ผละออกจากร่างของชีพอย่างหงุดหงิดหัวเสีย
“วุ่นวายจัง น้าหวานนี่...”
รสสุคนธ์เดินไปโดยทิ้งชีพให้ยืนอยู่คนเดียว รสสุคนธ์เดินตามหวานไป
หวานผลักรสสุคนธ์ไปจนล้มลงบนเตียง หวานเปิดตู้ดึงกระเป๋าเดินทางของรสสุคนธ์ออกมาโยนโครม ก่อนจะดึงเสื้อที่แขวนอยู่ที่ราวในตู้ออกมาแล้วเหวี่ยงไปที่รสสุคนธ์
“เอ็งออกไปจากบ้านหลังนี้ แล้วก็ออกไปจากชีวิตข้าซะนังรสนังแพศยา นังเนรคุณ สัตว์เดรัจฉานมันยังรู้จักเชื่องกับเจ้าของ แต่นี่เอ็งเป็นคนแท้ๆ ทำไมเอ็งทำร้ายคุณผู้หญิงได้ลงคอ”
รสสุคนธ์หัวเราะ
“น้าก็เห็นแล้วว่าฉันไม่ได้ตบมืออยู่ข้างเดียว คุณชีพก็ร่วมตบมือกับฉันด้วย...เสียงตบมือมันเลยดังลั่นบ้านไงน้า...”
“นี่ข้าด่าเอ็ง เอ็งไม่รู้สึกรู้สาเลยเหรอนังรส...”
“ฉันคิดว่าน้าอวยพรฉันต่างหาก...”
“นังรส...”
“หรือว่าไม่จริง...ลึกๆ แล้วน้าก็แอบให้กำลังใจฉันตลอด อย่าปิดฉันเลยน่า”
“ข้าไม่ได้ชั่วเหมือนเอ็งหรอกนังรส...”
รสสุคนธ์กลิ้งเกลือกไปบนที่นอนพร้อมทั้งหัวเราะอย่างมีความสุข
“ชั่ว” รสสุคนธ์หัวเราะแล้วลุกขึ้นนั่ง “ทำไมน้าไม่คิดบ้างว่าฉันช่วยเหลือคุณผู้หญิงต่างหาก...คุณผู้หญิงผู้น่าสงสาร มีโรคภัยไข้เจ็บตลอดชาติ ฉันช่วยไม่ให้คุณชีพไปมีเมียน้อยนอกบ้านดีเท่าไหร่แล้ว...น้ายังจะว่าฉันชั่วอีก...ความจริงน้าควรจะสรรเสริญฉันด้วยซ้ำ”
หวานแทบจะฆ่ารสสุคนธ์แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ รสสุคนธ์เลยหัวเราะยั่วอย่างสะใจ
ชีพผละจากกลุ่มสาวใช้และสมพรกับวิเวกไปที่รถ ฉ่ำวางกระเป๋าที่เบาะหลัง ชีพขับออกไป
ทุกคนหน้าซีด ฉ่ำตามมาสมทบ
“คุณชีพว่าไงนะ ข้าฟังไม่ถนัด” ฉ่ำถาม
“ไอ้ฉ่ำ เอ็งโง่หรือแกล้งโง่กันวะ...” สวาทว่า
“ได้ยินเต็มสองรูหู...” สมพรบอก
“ข้านึกว่าฟ้าผ่าแต่เช้าซะอีก...”วิเวกว่า
ยาใจกับจิ้มลิ้มหน้าเสียไป
“เราจะทำยังไงกันดี...ฉันไม่อยากทำเลยนะ”
“ลาออกไปทำงานโรงงานดีกว่ามั้ย...ไม่อยากมีนายเพิ่ม...”
“เอ็งสองคนยังสาวก็คิดได้สิ แต่ข้ากับไอ้พวกนี้ล่ะ แก่จนจะผมสองสีแล้ว สมัครงานที่ไหน ใครเขาจะรับ” สวาทว่า
หวานเดินเข้ามา “คุยอะไรกันเหรอ...”
“อุ๊ย แม่หวาน ไปถามหลานสาวผู้แสนดีของแม่หวานดีกว่ามั้ง อย่าให้พวกฉันพูดอะไรเลย”
ทุกคนแตกฮือกันไปคนละทางสองทาง หวานยืนตะลึง
ชีพขับรถ รสสุคนธ์ที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะชอบใจ
“พวกมันไม่ช็อกตายกันไปเลยเหรอ”
“ก็ไม่นี่...” ชีพจับมือรสสุคนธ์ “จะให้รางวัลอะไรผมล่ะ”
รสสุคนธ์ทำลอยหน้าลอยตายิ้มยั่ว
“แหม...แบบนี้ก็ต้องให้สิคะ...ให้พวกนังหวาดมันรับใช้รสไม่ต่างกับรสเป็นเจ้านายมันอีกคนหนึ่ง รสสะใจจัง”
“งั้นเราอย่าเพิ่งเข้าที่ทำงานเลยนะ...เลยไปคอนโดก่อน”
รสสุคนธ์แสร้งทำสะเทิ้นอายแต่ก็พึงพอใจ
ชีพกับรสสุคนธ์โผเข้าหากันทันทีที่ประตูปิด
“รู้มั้ยว่าผมหลงคุณจะแย่แล้วรสสุคนธ์...”
รสสุคนธ์อยู่ในอ้อมกอดของชีพ เธอไม่ใยดีที่ชีพจะกอดจะจูบ แต่ดวงตาของรสสุคนธ์กลอกไปตามมุมต่างๆ ทั้งเฟอร์นิเจอร์หรูหราและเครื่องประดับบ้าน
“ถ้าไม่ได้บ้านหลังใหญ่...คอนโดนี้ก็ไม่เลว...มันต้องเป็นของเรา...” รสสุคนธ์คิด
ชีพพารสสุคนธ์ไปที่เตียงนอน ทั้งสองล้มไปด้วยกัน รสสุคนธ์หัวเราะใส่จริต
ชีพเดินเข้ามาในโรงงาน อุษาถือแฟ้มผ่านมาก็รีบหลบ รสสุคนธ์เดินตามหลังมาห่างๆ พอเดินมาใกล้ อุษาก็ออกมาจากมุม
“รสสุคนธ์ ฉันขอร้อง...เลิกยุ่งกับคุณชีพซะ ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณน้าลั่นทมให้เขาเฉดหัวเธอออกจากบ้าน”
“อยากฟ้องก็เชิญ โธ่เอ๊ย ที่แท้ก็อยากให้คุณผู้หญิงช็อกตายใช่มั้ยล่ะ จะได้สมบัติของน้า...”
“ไม่มีใครคิดสกปรกได้เท่าเธออีกแล้ว...รสสุคนธ์”
“ก็ไม่มีใครล้ำลึกเท่าเธอเหมือนกัน...น้าชายตายตั้งนานแล้วก็ออกจากบ้านเขาไปซะทีสิ จะอยู่ทำไม ถ้าไม่หวังสมบัติ...”
รสสุคนธ์มองอย่างท้าทาย
“ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเลวถึงเพียงนี้...”
รสสุคนธ์หัวเราะหยัน “ฉันยังยืนยันคำเดิมนะคุณอุษา...อยากฟ้องให้คุณผู้หญิงช็อกตายก็เชิญเลย...เชิญไปบอกเลย...กล้ามั้ยล่ะ”
รสสุคนธ์เดินไปอย่างไม่แคร์ อุษามองตามด้วยความรู้สึกเศร้าใจ
อุษากับธารินทร์นั่งรับประทานอาหารด้วยกันอยู่
“ษาว่าจะบอกเรื่องนี้ให้คุณน้าลั่นทมทราบ...คุณน้าจะได้เฉดหัวรสสุคนธ์ออกจากบ้านไป”
“บางทีคุณน้าลั่นทมอาจรู้แล้วก็ได้”
“ทำไมรินทร์คิดอย่างนั้น”
“คนเป็นผัวเมียกัน มีหรือที่จะปิดบังอะไรกันได้...คุณน้าลั่นทมอาจรู้ว่าคุณชีพไม่ได้จริงจังอะไรกับรสสุคนธ์ ผู้ชายน่ะมีคนมาเสนอ ก็ต้องสนอง มันเป็นธรรมชาติ”
อุษาทำงอนๆ “รวมถึงผู้ชายคนนี้ด้วยหรือเปล่า”
ธารินทร์ยิ้ม “เว้นผู้ชายที่ชื่อธารินทร์หนึ่งคน...เพราะคนคนนี้รักใครรักจริงตลอดไป”
อุษาหลบตาอายๆ ธารินทร์ยิ้มแล้วเอื้อมมือไปกุมมือของอุษาไว้ จบภาพที่มือของคนทั้งสอง
รสสุคนธ์ยืนต่อว่ายาใจกับจิ้มลิ้ม
“คุณชีพสั่งพวกแกชัดเจน พวกแกยังไม่ทำความสะอาดห้องให้ฉันอีกเหรอ...”
หวานเดินเข้ามา “อะไรกัน...”
“แม่หวาน...ฉันไม่ได้เป็นคนใช้ของหลานแม่หวานนะ” ยาใจบอก
“ใช่ๆ ลำพังนายที่มีอยู่ก็รับใช้ไม่ได้หยุดอยู่แล้ว...”
“แต่นี่เป็นคำสั่งของคุณชีพ ถ้าไม่พอใจทำก็ลาออกไป...ไปเลย” รสสุคนธ์บอก
สวาทเดินเข้ามา “แกมีอำนาจอะไรถึงกล้าบอกนังยากับนังลิ้มยังงี้หาแม่รส”
“น้าหวาดไม่น่าถามนะ...หรือจะให้ฉันไปบอกให้คุณชีพมาสั่งด้วยตัวเอง...”
สวาทหันมาทางหวาน
“แม่หวาน ฉันถามจริงๆ เถอะสอนคางคกให้ชูคออยู่บนวอทองนี่เหนื่อยมากมั้ย...”
หวานอึ้งไป สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มหัวเราะกันเดินออกไปอย่างไม่แคร์รสสุคนธ์
“อย่าคิดว่าตัวเองมีอำนาจนังรส...ว่าง ๆก็ส่องกระจกดูเงาหัวตัวเองบ้าง”
“คอยดูฉันไปก็แล้วกัน” รสสุคนธ์ว่า
อุษาแต่งชุดอยู่บ้านอยู่ที่หน้าประตูโดยมีท่าทีลังเล แต่ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจเคาะประตู แล้วเปิดเข้าไป อุษาเห็นลั่นทมกับชีพคลอเคลียกันอยู่ก็ชะงัก
“ขอโทษค่ะ..” อุษาพูด
อุษาจะเดินออกไป
“มีอะไรหรือเปล่า...ไม่ต้องออกไปหรอก..จะคุยกับน้าลั่นทมก็มา แต่อย่าพูดอะไรให้น้าลั่นทมไม่สบายใจล่ะเพราะเดี๋ยวน้าจะเครียดไป” ชีพมองหน้าอุษา “เชิญตามสบาย...”
ชีพเดินออกไป
“ษามาก็ดีแล้ว น้ามีเรื่องจะให้ช่วยอยู่พอดี...” ลั่นทมบอก
อุษาเดินไปนั่งข้างๆ ลั่นทม “อะไรหรือคะคุณน้า...”
“น้ากำลังจะไประนองกับน้าชีพพรุ่งนี้...” ลั่นทมบอก
“ระนอง...ไปทำไมคะ...”
“น้าซื้อที่ดินไว้นานแล้ว ตอนนี้อยากทำรีสอร์ทแล้วก็สปาช่วยจัดกระเป๋าให้น้าที เตรียมเสื้อผ้าไปเยอะๆนะ อยากได้ชุดว่ายน้ำ เดินป่า ขี่ม้า น้าตั้งใจจะพักผ่อนให้เต็มที่”
อุษามีสีหน้าแปลกใจ “นั่นมันกิจกรรมของคนแข็งแรงทั้งนั้น...”
“น้าก็ไม่เป็นอะไรนี่จ๊ะ โรคประหลาดนั้นไม่ได้เกิดกับน้ามาตั่งนานแล้วนะ...อีกอย่างน้าอยากทำให้คุณชีพเขาเห็นว่าน้าแข็งแรง ไม่ได้ขี้โรคอย่างที่คนอื่นเข้าใจ”
“ษาเป็นห่วงคุณน้า...”
ลั่นทมยิ้มแล้วจับมืออุษา
“ห่วงทำไม...น้าชีพก็อยู่ทั้งคน เขาไม่ปล่อยให้น้าเป็นอะไรไปหรอก หลายเดือนมานี่...เขาช่วยเหลือน้าทุกอย่าง ดีกับน้าเสมอต้นเสมอปลาย ไม่เคยกอดน้าเลย เขากลัวน้าอึดอัดหายใจไม่ออก อาการประหลาดนั้นจะกลับมาเป็นอีก..”
อุษานิ่งอึ้งไป
“โธ่...คุณน้าขา ดูคนผิดแล้วล่ะค่ะ น้าชีพไม่ได้เป็นอย่างที่คุณน้าเข้าใจเลย...” อุษาคิดในใจ
“แล้วเข้ามาหาน้านี่มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ้อ...ษาก็แค่อยากมาเยี่ยมคุณน้าเท่านั้นแหละค่ะ”
“ระหว่างที่น้าไม่อยู่ ฝากดูแลบ้านด้วยนะ”
“ค่ะ คุณน้า...”
อุษานิ่งอึ้งโดยไม่กล้าพูดอะไร
อุษาค่อย ๆวางเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่
“คุณน้าทำอย่างนี้เพียงต้องการให้น้าชีพคิดว่าตนเองแข็งแรงเท่านั้นเหรอ ถ้าเป็นอะไรไปก็ไม่คุ้มเลยค่ะ...โธ่ ษาสงสารคุณน้าจังเลย”
ฉ่ำ สมพรและวิเวกช่วยกันยกกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใส่รถ หวาน สวาท ยาใจ และจิ้มลิ้มยืนคอยส่งอยู่
“ช่วยกันดูแลบ้านด้วยนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องห่วงทางนี้หรอกค่ะ คุณผู้หญิงพักผ่อนให้มีความสุขเถอะค่ะ”
รสสุคนธ์แอบมองอยู่มีสายตาไม่พอใจที่ชีพไปกับลั่นทม ชีพมองเห็นรสสุคนธ์จึงบอกลั่นทม
“ผมลืมของ...เดี๋ยวมานะ...”
“ค่ะ...”
ชีพเดินไป ลั่นทมพูดคุยกับคนรับใช้
รสสุคนธ์งอน ชีพปลอบใจ
“ไม่เอาน่า...ยิ้มหน่อยสิจ๊ะรส”
“ใครจะยิ้มออก...ก็คุณไปกับเมียคุณ เดี๋ยวเข้าอกเข้าใจกันดีรสก็คงเป็นหมาหัวเน่า...หมดความหมาย”
“น่า...ก็แค่เอาใจเขาเท่านั้น ยังไม่พร้อมเปิดเผยเรื่องของเราเราก็ต้องอดทนไปก่อน...”
“แต่รสก็ไม่อยากหลบๆ ซ่อนๆ อย่างนี้...คุณต้องยุติธรรมกับรสด้วย...รสก็เป็นเมียคนหนึ่งของคุณ...อย่าลืม”
“ไม่เอาน่า...สองสามวันก็กลับแล้ว...นี่ก็ดูๆอยู่ว่าจะให้อะไรรสเป็นของขวัญชิ้นโตๆ”
“คุณไม่ผิดสัญญากับรสนะ”
“ว่าแต่อยากได้อะไรล่ะ สร้อยคอสักเส้นมั้ย...”
“เปลี่ยนเป็นทะเบียนสมรสดีกว่าค่ะ”
“อดทนหน่อยสิจ๊ะที่รัก...”
ชีพเหลียวซ้ายขวาไม่เห็นใครก็หอมแก้มรสสุคนธ์ เสร็จแล้วเขาก็หยิบเงินปึกใหญ่ให้รสสุคนธ์
“เบื่อๆ ก็ไปหาซื้อเสื้อผ้าสวยๆ ใส่...”
รสสุคนธ์รับเงินมา “รสไม่ใช่ผู้หญิงที่เห็นแก่เงินนะคะ”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
“รสรักคุณค่ะ รักไม่น้อยกว่าผู้หญิงทุกคนของคุณด้วย รสมั่นใจ”
“อย่างอนสิ...มีเหตุผลหน่อย ไปนะ...”
ชีพเดินออกไป รสสุคนธ์มองเงินในมือแล้วมองออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ
ชีพเดินออกมาจากข้างใน ลั่นทมแบมือไปตรงหน้า
“กุญแจรถค่ะ...ฉันอยากขับเอง...” ลั่นทมบอก
“ไม่เอา...ไม่เอา เป็นตายยังไง ผมก็ไม่ยอม คุณยังไม่ปกตินะทม”
“ทมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว” ลั่นทมบอก ชีพส่ายหน้า “งั้นขากลับ คุณต้องสัญญานะว่าจะให้รสขับ...”
ชีพยิ้มแล้วพยักหน้าก่อนจะเดินไปนั่งในตำแหน่งคนขับแล้วขับออกไป ทุกคนมองตามไปด้วยสายตาชื่นชม
หวานเดินเข้ามาเห็นรสสุคนธ์นั่งนิ่งปาดน้ำตาอยู่
“เห็นผัวเมียเขารักกันดีเลยทนไม่ไหวเหรอนังรส...ตาสว่างเสียที คุณชีพรักคุณผู้หญิงยิ่งกว่าอะไร...ผู้หญิงหน้าไหนก็แย่งคุณชีพไปไม่ได้หรอก”
รสสุคนธ์ยักไหล่
“หน้านี้แหละที่จะแย่งคุณชีพไป...น้าหวานดูหน้าฉันไว้ดีๆ อย่าลืมล่ะ”
“รอดูวันที่เขาสองคนกลับมาเถอะ ถ้ายังหวานชื่นกันอยู่เอ็งก็เตรียมระเห็จไปอยู่ที่อื่นได้แล้วย่ะ”
หวานมองรสสุคนธ์อย่างสะใจ รสสุคนธ์ยิ่งน้ำตาไหล
ณ อาคารคอนโดมิเนียมหรูหรา รสสุคนธ์ผลักประตูเข้ามา
“ประทานโทษครับ...ถ้าไม่มีเจ้าของห้องมาด้วย เราไม่อนุญาตให้ขึ้นไปข้างบนครับ” พนักงานบอก
“แต่ฉันเป็นเมียเขา...มาห้องของผัวทำไมต้องกีดกันด้วย” รสสุคนธ์ว่า
“แต่นี่เป็นกฎนะครับ...เราจำเป็นต้องทำเพื่อรักษาความปลอดภัยให้แขกที่เข้าพักทุกห้อง”
รสสุคนธ์ไม่สนใจ เธอก้าวเดินไปที่หน้าลิฟต์ พนักงานคนเดิมรีบเดินมาห้าม
“อย่านะครับ...ไม่อย่างนั้นผมจะเรียก รปภ.มาจัดการกับคุณ”
รสสุคนธ์รู้สึกว่าถูกกระทบใจอย่างแรง
“ไว้ให้คุณชีพกลับมาก่อน...พวกแกตกงานแน่...”
รสสุคนธ์ออกมาข้างนอกคอนโดด้วยท่าทางหงุดหงิด เธอมองขึ้นไปที่คอนโดอันหรูหรา
“ฉันจะไม่มีวาสนาได้เป็นเจ้าของมันจริงๆ หรือนี่”
โต๊ะของรสสุคนธ์ว่างเปล่า อุษาเดินเข้ามาถามสายสมร
“วันนี้รสสุคนธ์ไม่มาเหรอ...” อุษาถาม
“ยังไม่เห็นเลยค่ะ ใบลาก็ไม่มี...แล้วก็ไม่ได้โทรแจ้งด้วย...” สายสมรบอก
อุษาพยักหน้าแล้วนั่งลงมองไปที่โต๊ะของรสสุคนธ์
“คงไม่ได้ไปกับน้าชีพนะ”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาในห้องแล้วโยนกระเป๋าไปมุมหนึ่งก่อนจะล้มตัวลงนอนแล้วน้ำตาก็คลอแล้วไหลพราก หวานเดินเข้ามา
“ไม่ไปทำงานเหรอไง” หวานถาม รสสุคนธ์ไม่ตอบ “ข้าถาม ไม่ได้ยินเหรอนังรส...”
รสสุคนธ์ลุกขึ้นด้วยความฉุนเฉียว
“ปวดหัว...คนไม่สบายจะเคี่ยวเข็ญให้ไปทำงานอยู่ได้”
“อิจฉาที่เขากลับไปรักกันเหมือนเดิมล่ะสิ...กลับตัวกลับใจเสียใหม่เถอะนังรส...”
“เมื่อไหร่จะเลิกเรียกฉันว่านัง...ว่าอีซะทีนะ”
“จะให้ข้าเรียกว่าคุณผู้หญิงรึไง...แข่งอะไรก็แข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาน่ะไม่ได้หรอก...ทำตัวดีๆ คนเขาก็ยังให้โอกาส”
“โอกาสของคนแพ้ คนไม่มีทางสู้อย่างน้าหวานไง ชาตินี้ทั้งชาติถึงได้อยู่แต่ก้นครัว...”
“แต่ข้าก็มีศักดิ์ศรีโว้ย...เดินไปทางไหนก็ไม่มีคนมาชี้หน้าด่าได้...อีเนรคุณ แย่งผัวเจ้านาย”
รสสุคนธ์เหลืออดจึงกรีดร้องเสียงดัง
“กรี๊ด...หยุดซะทีได้มั้ย...ฉันเบื่อที่จะฟัง”
อ่านต่อหน้าที่ 4
สุสานคนเป็น ตอนที่ 2 (ต่อ)
สวาทกำลังกินข้าวอยู่ตกใจจนช้อนตกจากมือ
“เสียงอะไร”
“ดังมาจากห้องแม่หวาน...” จิ้มลิ้มบอก
“ปัญญาอ่อนนักหรือไง...แค่นี้ก็เดาไม่ได้ว่าเสียงอะไร....ฮึเห็นผัวเมียเขารักกันก็เลยทนไม่ได้ ผีแพศยาเลยเข้าสิงว่ะ” สวาทบอก
ทุกคนในครัวหัวเราะกันสะใจ
ธารินทร์กับอุษายืนคุยกันอยู่มุมนอกบ้านที่มีต้นไม้ร่มรื่น
“ผมอาจต้องย้ายไปประจำการที่อื่น...อยากให้ษาไปด้วย...” ธารินทร์บอก
“ไปยังไงล่ะคะ...” อุษาถาม
ธารินทร์จับมืออุษา “แต่งงานกับผมสิ...ผมจะให้พ่อไปสู่ขอจากคุณลั่นทม”
“ษายังไม่อยากคิดเรื่องนี้ ษาเป็นห่วงคุณน้าค่ะรินทร์”
ธารินทร์พยักหน้าอย่างจำยอม ต้อยติ่งเดินมาหา “พี่อุษา...ทานข้าวค่ะ”
บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวง่ายๆ อยู่สามสี่อย่าง
“กับข้าวคนจนนะหนูอุษา” หมอผันบอก
“อร่อยทุกอย่างเลยค่ะ...” อุษาบอก
“อร่อยก็ต้องทานเยอะๆ...เดี๋ยวผมจะไปส่งที่บ้าน”
ต้อยติ่งยิ้มให้ทั้งสองคน
“ตอนนี้ดวงชะตาของคุณนายลั่นทมน่าเป็นห่วง...ท่านให้ผมดูหมอให้วันที่ท่านทำบุญบ้าน ผมก็ดูไม่ละเอียดหรอก..แล้วก็ไม่ค่อยกล้าทำนายด้วย” หมอผันว่า
อุษาหน้าซีด “คุณน้าจะเป็นอะไรมากมั้ยคะ”
“ผมพยายามสวดมนต์ช่วยท่านอยู่”
อุษาก้มหน้ารับประทานต่อไปไม่ได้
“พ่อไม่น่าพูดเลย...” ธารินทร์ว่า
“โทษทีว่ะเจ้ารินทร์ แต่พ่อคิดว่าไม่พูดตอนนี้ก็คงไม่มีโอกาส”
อุษาเป็นกังวลมาก
ลั่นทมว่ายน้ำในสระน้ำของโรงแรม ชีพนั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ที่เก้าอี้ผ้าใบริมสระโดยมองดูลั่นทมว่ายน้ำ ลั่นทมว่ายมาเกาะขอบสระแล้วชวนอย่างร่าเริง
“ชีพคะ มาว่ายน้ำกันเถอะค่ะ”
“เดี๋ยวก่อนครับ ทม..”
“มาสิ...สนุกดีออกค่ะ นานๆ ทมจะได้ออกกำลังกายซะที”
“ระวังเหนื่อยนะ เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีก”
“ไม่มีทางหรอกค่ะ ทมแข็งแรงดีแล้ว...ทมไม่เป็นอะไรแล้วค่ะชีพ”
ลั่นทมโผไปที่กลางสระน้ำก่อนจะว่ายน้ำอย่างร่าเริง
รสสุคนธ์นอนอยู่บนเตียง ดวงตาจับจ้องที่เพดาน เธอนึกถึงตอนที่ชีพกับเธออยู่ด้วยกัน แล้วก็นึกถึงตอนที่พนักงานคอนโดไล่ไม่ให้รสสุคนธ์เข้าไปในคอนโดและภาพตอนที่ชีพจะไปเที่ยวระนองกับลั่นที่หน้าบ้านเข้ามาในห้วงคิดของเธอ หวานเดินเข้ามาพอดี
“น่าจะไปช่วยงานเขาในครัวบ้าง ตอนนี้เขาทำความสะอาดบ้านกันอยู่ คุณผู้หญิงกลับมาเห็นบ้านสะอาดๆ จะได้ชื่นใจ”
รสสุคนธ์ผุดลุกขึ้นนั่ง
“เหรอ ระวังเถอะ จะได้ทำความสะอาดบ้านไว้จัดงานศพนังลั่นทม”
“อีรส...”
รสสุคนธ์เชิดหน้า
“น้าหวานก็รู้ว่าฉันไม่ชอบ ทำไมถึงต้องตอกย้ำกันด้วย..ยังไงฉันก็ไม่มีวันก้มหัวให้คุณผู้หญิงของน้าหรอก”
“เกิดมาเป็นขี้ข้าเขา ยังจะทำปากดี เอ็งมีสิทธิ์อะไร” หวานว่า
“สิทธิ์ที่ฉันเป็นเมียคุณชีพเหมือนกันน่ะสิ...”
หวานเอือมระอาเพราะไม่รู้จะจัดการกับรสสุคนธ์ยังไงเลยเดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ เธอบ่นพึมพำฟังไม่ได้ศัพท์ รสสุคนธ์ล้มตัวลงนอนน้ำตาเอ่อคลอ
ชีพยืนมองลั่นทมหัวเราะเริงร่าขณะขี่ม้ามาตามริมหาด
“ระวังหน่อยนะจ๊ะที่รัก...” ชีพตะโกนบอก
“ค่ะชีพ” ลั่นทมรับคำ
ลั่นทมจับสายบังเหียนด้วยมือข้างเดียวส่วนอีกมือโบกให้ชีพ
“ชีพ...สนุกจังค่ะ...”
ลั่นทมตกใจม้าเคลื่อนไปอย่างเร็ว ชีพตกใจจนหน้าซีดเผือด
“ทม...”
คนอื่นๆ ที่ชายหาดพากันเหลียวดู พนักงานดูแลม้าเข้ามาควบคุมได้ ลั่นทมฟุบไป ชีพวิ่งมาหา
“ทม...ทม...”
ชีพกับคนดูแลม้าช่วยกันประคองลั่นทมลงมา ร่างของลั่นทมอ่อนปวกเปียกขณะอยู่ในอ้อมกอดของชีพ
“ทม...ทม...” ชีพเขย่าตัวลั่นทม
ลั่นทมลืมตาแล้วหัวเราะลั่นลั่นทมพูดเสียงดัง
“คะชีพ...เห็นมั้ย ทมไม่เป็นอะไรแล้ว ทมหายแล้ว...”
ชีพหายใจด้วยความโล่งอก “ผมเป็นห่วงคุณแทบแย่ ทีหลังอย่าเล่นแบบนี้อีกนะครับ”
รสสุคนธ์เดินเข้ามาในครัวที่เปิดไฟสว่าง เธอเดินไปที่กับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะมีฝาชีครอบไว้อย่างดี
พอเปิดฝาชีออกก็เห็นผัดผักเซ็งๆ เพราะทิ้งไว้นานแล้วกับไข่เจียวอีกหนึ่งจาน สวาทเข้ามายืนยิ้มมุมปากอย่างสะใจเล็กๆ
“กับข้าวมีแค่นี้เหรอ” รสสุคนธ์ถาม
“อุ๊ย เจ้านายไม่อยู่ ไม่ต้องทำอะไรมาก ตำน้ำพริกครกเดียวก็อิ่มไปทั้งบ้านแล้ว นี่แม่หวานยังเป็นห่วงหล่อนเลยผัดผักกับทอดไข่ไว้ให้”
รสสุคนธ์ปิดฝาชี “ไม่กินดีกว่า...”
“ทำไม...”
รสสุคนธ์มองหน้า “มันเรื่องของฉัน...”
รสสุคนธ์จะเดินออกไปสวาทแกล้งขวางประตูไว้
“อยากมีเรื่องเหรอไง” รสสุคนธ์ถาม
“ถ้าอยากล่ะ...จำไว้นะ หล่อนน่ะเตรียมเก็บข้าวของออกไปจากบ้านหลังนี้ได้แล้ว ตะกี้นี้คุณผู้หญิงเพิ่งโทรมาบอกว่ามีความสุขมาก อากาศสดชื่นยิ่งทำให้คุณผู้หญิงแข็งแรงดีคราวนี้แหละ คุณผู้หญิงคงไม่ปล่อยแกไว้แน่นังรส...”
รสสุคนธ์โกรธจึงผลักสวาทอย่างแรงจนสวาทเซไปโดนโต๊ะ
สวาทเจ็บจนหน้าเบ้ “นังนี่...อูย...”
“จำไว้...ถ้าขืนระรานฉันอีกละก็...จะเจ็บมากกว่านี้...”
รสสุคนธ์เดินไป สวาทมองตามอย่างแค้นๆ
ชีพกับลั่นทมนั่งรับประทานอาหารกันอยู่ในบรรยากาศที่โรแมนติกมาก ในขณะที่คนอื่นๆ นั่งรับประทานอาหารเงียบๆ
“ทมมีความสุขจังค่ะ..อาการป่วยก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง...สงสัยว่าที่ผ่านมา ทมอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”
“ผมดีใจที่ทมหาย...ต่อไปเราจะได้มาเที่ยวแบบนี้กันบ่อยๆ”
“ค่ะ แล้วทมก็จะกลับไปช่วยงานชีพที่โรงงาน”
ชีพหน้าเจื่อนไปเล็กน้อยก่อนจะตักกับข้าวให้ลั่นทม พลางพูดเอาใจ
“ผมยังไม่อยากให้ทมเหนื่อย...”
“ไม่เหนื่อยหรอกค่ะ บอกแล้วไงไม่อยากอุดอู้อยู่แต่ในบ้าน”
“ถ้าหายดีแล้ว ผมไม่อยากให้คุณคิดเรื่อง...เอ้อ...”
“เรื่องอะไรคะ”
“พินัยกรรม ผมบอกแล้วไงว่ามันจะเป็นลางไม่ดี”
ลั่นทมหัวเราะ“โธ่ ชีพ...นึกว่าเรื่องอะไร คงไม่ได้แล้วละค่ะ คุณทนายร่างพินัยกรรมเสร็จแล้ว...ทมก็เห็นชอบกับพินัยกรรมฉบับใหม่...ยุติธรรมกับทุกฝ่าย”
“แม้แต่ผมเหรอ..”
ลั่นทมพยักหน้าหนักแน่น
“ทมรักคุณค่ะชีพ...รักมากที่สุด...พินัยกรรมนั่นเป็นเรื่องของชีพล้วนๆ เลยนะคะ”
ชีพระงับความตื่นเต้นไว้แทบไม่ได้จึงยิ้มด้วยความดีใจ แต่แล้วก็รีบสงวนท่าที
“โธ่ ที่รัก...ผมไม่เคยคิดจะยุ่งเกี่ยวอะไรกับสมบัติของคุณเลย...สักนิดผมก็ไม่สน”
“ไม่รู้ละ ทมตายเมื่อไหร่ เปิดพินัยกรรมออกมา ชีพก็รู้เองแหละค่ะ”
ชีพกับลั่นทมเต้นรำด้วยกันที่ลานของรีสอร์ทหรูเป็นส่วนตัว เสียงเพลงจากเครื่องเล่นภายในห้องส่งเสียงหวานดังกังวาน ลั่นทมอยู่ในอ้อมกอดของชีพ
“ผมมีความสุขที่สุด อยากกอดคุณ อยากอยู่ใกล้คุณอย่างนี้ตลอดไป”
“สัญญาได้มั้ยว่าจะรักทมตลอดไป...”
ลั่นทมเงยหน้าช้อนตาสบตาชีพ
“โธ่ ทมจ๊ะ...ผมอาจจะเหลวไหลไปบ้าง นอกลู่นอกทางบ้างแต่ขอให้ทมรู้ไว้ ไม่มีใครแทนคุณได้แน่”
ลั่นทมซบหน้ากับอกกว้างๆ ของชีพ ทั้งสองเต้นรำกันช้า ๆตามจังหวะ
รสสุคนธ์นั่งหน้าเศร้าอยู่ หวานเดินมาพูด
“พรุ่งนี้เขาก็กลับกันแล้ว...”
รสสุคนธ์หันมาด้วยดวงตาดีใจ
“เหรอน้าหวาน...น้าหวานรู้ได้ไง”
“คุณผู้หญิงเพิ่งโทรศัพท์มาบอก...”
รสสุคนธ์เบ้ปาก
“นึกว่าสำลักความสุขตายไปแล้วซะอีก”
“เอ็งนี่ เกิดมาเคยพูดจาอะไรให้เป็นมงคลปากบ้างหรือเปล่าวะนังรส...หา”
รสสุคนธ์ไม่ตอบแล้วจะเดินกลับเข้าห้อง
“พรุ่งนี้ฉันไม่อยากไปทำงานเลย อยากอยู่เจอหน้าคุณชีพ”
หวานนิ่งอึ้งก่อนจะส่ายหน้า รสสุคนธ์เดินไป
ลั่นทมขับรถโดยมีชีพนั่งข้างๆ มองดูลั่นทม
“ผมขับเองดีกว่า...คุณขับมาไกลแล้ว จะเหนื่อย”
“ไม่ค่ะ จะขับให้ถึงบ้านเลย...อ้อ เดี๋ยวแวะดูผลไม้ในสวนหน่อย...ไม่ได้แวะไปตั้งนานแล้ว”
“นี่จะไปสวนอีกเหรอ”
“ก็อยู่ติดกับบ้านเรา...นิดเดียวเองค่ะชีพ”
ฉ่ำ วิเวก สมพร แอบกินเหล้าในสวน ทั้งหมดคุยกันเสียงอ้อแอ้แบบคนเมา
“น้าฉ่ำ เจ้านายไม่อยู่ แบบนี้บ่อย ๆ ก็ดีเหมือนกันนะไม่ต้องแอบกินเหล้า” สมพรว่า
“ใช่ กินมันเปิดเผยเลย...เอ้า กินๆๆๆ ชนแก้วหน่อย” วิเวกว่า
ทุกคนหัวเราะครืน
“อย่าให้เมานะโว้ย...ได้ข่าวว่ากลับมาวันนี้...” ฉ่ำเตือน
ทั้งสามคนชนแก้วและกินเหล้ากันต่อ
ลั่นทมขับรถ โดยมีชีพนั่งอยู่ข้างๆ มาตามถนนเข้าสวน รถเฉไปมาจนเกือบเฉี่ยวชนต้นไม้ ชีพหน้าเสีย ลั่นทมตาปรือเพราะเห็นเป็นภาพพร่ามัว
“ลั่นทม...ลั่นทม...ไหวหรือเปล่า”
ลั่นทมฟุบลงกับพวงมาลัย รถไถลไปชนต้นไม้เสียงดังโครม กลุ่มวิเวกหันขวับไปทางเสียงด้วยความตกใจ ฉ่ำยืนขึ้นมาเซๆ แล้วตัวตรง
ฉ่ำขยี้ตา “รถคุณชีพ...”
ทั้งหมดวิ่งไปที่รถ แล้วเปิดประตูก็เห็นชีพที่ใบหน้ามีเลือดไหล ส่วนลั่นทมฟุบแน่นิ่งไป
“ไอ้พร ไอ้เวก ไปบอกคนที่บ้านเร็ว...”
สมพรกับวิเวกวิ่งไปทันที “ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
ฉ่ำเปิดประตูรถแล้วเขย่าตัวชีพ “คุณชีพครับ คุณชีพ...คุณชีพ”
ชีพรู้สึกตัว เลือดไหลอาบมาตามแก้มเขาหันไปเห็นลั่นทมแน่นิ่ง
“ทม...ทม...” ชีพเขย่าตัว ก็เห็นลั่นทมแน่นิ่ง เขาจึงเสียงดังขึ้น “ทม...ลั่นทม”
ชีพหน้าเสียไป เขาวิ่งออกจากรถอ้อมไปทางฝั่งคนขับ ฉ่ำที่ยืนนิ่งอยู่ตกใจจนหน้าซีด
ชีพเขย่าตัวแล้วจับชีพจร “ทม...ทม...”
หลังจากรู้เรื่อง หวานก็เป็นลมลงไปทันที สวาทมองหน้าวิเวกกับสมพรที่ยืนหอบอยู่ ยาใจกับจิ้มลิ้มรีบพยาบาลหวาน
“แม่หวาน...แม่หวาน นังยาใจ เอายาดมมาทีสิ เป็นลมไปแล้ว” จิ้มลิ้มสั่ง
“คุณผู้ชายอยู่ที่ไหน” สวาทถาม
“ใน...ในสวน...” วิเวกบอก
“ไอ้พรไปตามหมอสิ พาคุณผู้หญิงส่งโรงพยาบาล ข้าอยู่ทางนี้จะโทรไปบอกคุณอุษา...ไป...”
สวาทตรงไปที่โทรศัพท์ หวานรู้สึกตัวขึ้นก็ร้องไห้
“โธ่เอ๊ย คุณผู้หญิง ฮือๆๆ”
อุษารับโทรศัพท์แล้วก็ตกใจ รสสุคนธ์กับสายสมรและทุกคนหันมามองทันที
“คุณน้า...ตอนนี้อยู่ที่ไหนจ๊ะแม่หวาด...ค่ะๆๆ ษาจะรีบไปที่โรงบาลเดี๋ยวนี้”
อุษาคว้ากระเป๋าและพวงกุญแจออกไป รสสุคนธ์คว้ากระเป๋า
“ฉันไปด้วย...”
รสสุคนธ์วิ่งตามไปทันที
อุษาตรงมาที่รถ รสสุคนธ์เดินตามมาเปิดประตูหลังเข้าไปนั่ง อุษาขับออกไปทันที
อุษาขับรถ พลางพูดโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงร้อนรน
“รินทร์คะ คุณน้าเป็นอีกแล้วค่ะ...ตอนนี้อยู่โรงพยาบาล”
ธารินทร์อยู่ที่โรงพัก
“ใจเย็นๆ ษา คุณน้าลั่นทมคงไม่เป็นอะไรหรอก”
“แต่ครั้งนี้ คุณน้าลั่นทมขับรถ รถชนต้นไม้ด้วย ษาว่าคุณน้าต้องกระเทือนมากด้วย...ษากลัวจังค่ะ”
รสสุคนธ์แอบอมยิ้มอย่างสะใจ
“ผมจะโทรบอกหมอวัฒนาเพื่อนผมให้ดูแลคุณน้าลั่นทมเป็นพิเศษ เดี๋ยวผมจะตามไปที่นั่นด้วย”
“ค่ะ แล้วเจอกัน...”
รสสุคนธ์ที่แอบฟังอยู่รีบถามขึ้น
“แล้วคุณชีพล่ะเป็นอะไรมากมั้ย...”
อุษาเม้มปากขณะขับรถ รสสุคนธ์ถามเสียงแข็งขึ้น
“ฉันถามว่าคุณชีพเป็นอะไรมากมั้ย...ไม่ได้ยินเหรอไง”
“ได้ยิน แต่เธอไม่มีสิทธิ์ใช้เสียงยังงี้กับฉัน”
รสสุคนธ์เชิดหน้าแล้วพิงพนักเบาะอย่างไม่พอใจ
อ่านต่อตอนที่ 3