สาปสาง ตอนที่ 4
ไทวิ่งหน้าตาตื่นตระหนกออกมาหาแพรวที่รออยู่ด้านนอก
“แพรว”
“อะไร มีอะไร ทำไหมหน้าซีดอย่างนั้นล่ะ” แพรวถาม
“ช่อ....ช่อ” ไทพูดไม่ออก
“นังช่อมันทำไม นี่ อย่าบอกนะว่าแกทำไม่สำเร็จ”
“ช่อตายแล้ว!”
“อะไรนะ!”
แพรวรีบเดินนำหน้าไทมา เธอเห็นร่างของช่อเอื้องนอนอยู่ที่พื้น ที่คอของเธอมีผ้ารัดไว้ ดวงตาช่อเอื้องเบิกโพลง แพรวถึงกับชะงักไป
“!!!...มันเกิดขึ้นได้ยังไง แกทำอะไรลงไป!”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะแพรว ฉันไม่ได้อยากให้ช่อตาย ฉันไม่ได้ฆ่าช่อนะ”
แพรวพยายามตั้งสติในขณะที่ไทตั้งสติไม่อยู่
“ใจเย็นๆ ก่อน จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจยังไงช่อก็ตายแล้วคิดว่าจะทำยังไงต่อไปดีกว่า”
ไททรุดตัวลงนั่งที่พื้นก่อนจะมองไปยังร่างของช่อเอื้อง สีหน้าแววตาของเขาทั้งตกใจทั้งเสียใจ
“ช่อ...เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจ..”
“หยุดฟูมฟายซะที่ได้ไหม ขอโทษแล้วมันจะฟื้นขึ้นมารึไง” แพรวว่า
“แล้วจะให้ทำยังไง” ไทถาม
“มีทางเดียว”
“อะไร?”
“ถ้าไม่อยากติดคุกก็ต้องซ่อนศพ!”
ไทอึ้ง
พ่อปู่ที่นั่งทางในอยู่มีความพึงพอใจในสีหน้า
“จิตมืดครอบงำมึงจนหมดสิ้นแล้ว สมแล้วที่กูจะเลือกมึงให้เป็นทายาทแห่งกู!”
ไทอุ้มร่างไร้วิญญาณของช่อเอื้องขึ้นแล้วเดินตามแพรวออกไป
แพรวเดินนำหน้าไทมาหยุดมองไปรอบๆ ป่าด้านหลังโรงละคร
ไทลงมือขุดดินไปเรื่อยๆ ไทอุ้มร่างช่อวางลงในหลุม ไทกับแพรวช่วยกันกลบดิน
แพรวกับไทเครียด
“ฉันไว้ใจแกได้ไหม” ไทถาม
“ทำไม? กลัวฉันบอกคนอื่นเหรอว่าแกฆ่าช่อ” แพรวถาม
“ใช่ ฉันฆ่าช่อ แต่แกอย่าลืมนะว่าแกก็เป็นคนช่วยฉันซ่อนศพ ยังไงแกก็สมรู้ร่วมคิด”
“อย่ามาขู่ฉันนะ”
“ก็แกมันไว้ใจไม่ได้ กับช่อต่อหน้าก็ทำเป็นดี ลับหลังแกก็เกลียดช่อยังกับอะไรดี”
“งั้นมาสาบานกัน เรื่องนี้รู้แค่เราสองคน หากวันไหนคนใดคนหนึ่งเปิดเผยความลับนี้ ขอให้มันมีอันเป็นไป! พอใจรึยัง”
กรณ์ขับรถมาจอดแล้วลงจากรถก่อนจะเดินมาหยุดนั่งลงที่บันไดด้านหน้า
“ช่อ ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ผมไม่อยากจะเชื่อเลย นี่มันไม่ใช่เรื่องจริงใช่ไหม”
กรณ์กุมศรีษะก้มหน้าร้องไห้
หลุมศพช่อมีใบไม้ปลิวเบาๆ วิญญาณของช่อเอื้องค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหนือหลุมศพก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้นทำให้เห็นว่าน้ำตาของเธอไหลเป็นสายเลือด
กรณ์เงยหน้าขึ้น
“ผมรักคุณนะช่อ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะรักคุณไปตลอด ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
วิญญาณของช่อเอื้องยืนมองกรณ์ด้วยความรักและอาลัย เธอยื่นมือจะไปสัมผัสแต่ก็ทะลุผ่าน วิญญาณช่อเอื้องยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก
“ผมจะกลับมารอคุณที่นี่ทุกวัน จนกว่าคุณจะกลับมา”
กรณ์ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่รถ วิญญาณช่อเอื้องสวมกอดกรณ์จากด้านหลัง ก่อนจะซบหน้าลงบนหลังของกรณ์ แต่กรณ์ก็ขับรถออกไป วิญญาณช่อเอื้องเริ่มเปลี่ยนเป็นวิญญาณแค้น
“ทำไมต้องทำแบบนี้ ทำไมต้องพรากเราจากกัน ทำไม!!”
แพรวกลับมาถึงบ้านก็เจออนงค์นั่งรออยู่
“ทำไมถึงกลับดึกนัก” อนงค์ถาม
แพรวไม่ตอบ เธอจะเดินขึ้นบันไดแต่ทันใดนั้นอนงค์ก็ได้กลิ่น
“นี่ไปตกโคลนที่ไหนมาเนี่ย ทำไมถึงทำตัวแบบนี้”
“หยุดบ่นซะทีได้ไหมแม่”
“ฉันจะหยุดบ่นก็ต่อเมื่อแกจะเลิกทำอะไรผิดๆ แกไปทำอะไรมา”
“ไม่ต้องถาม ฉันบอกใครไม่ได้ทั้งนั้น แม้แต่แม่!”
แพรวจะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน
อนงค์เรียกไว้ “แพรว เดี๋ยวก่อน”
“อะไรอีกล่ะ”
อนงค์หยิบสร้อยพระที่วางไว้ในกล่องบนโต๊ะออกมา
“ในเมื่อแม่ไม่รู้ว่าแกจะทำผิดทำชอบอะไร ก็ใส่พระไว้ซะ พระจะได้คุ้มครอง”
อนงค์พูดแล้วก็สวมสร้อยพระให้แพรว
“อย่าถอดล่ะ มันเป็นทางเดียวที่แม่จะวางใจได้”
แพรวถอนใจด้วยความรำคาญและเบื่อๆ ก่อนจะเดินขึ้นบ้านไป อนงค์มองตามด้วยความเป็นห่วง
แพรวที่อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วทิ้งตัวลงนอนบนเตียง เธอถอนใจออกมาอย่างเครียดๆ เพราะในหัวนึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น เธอนึกถึงตอนที่ร่างช่อเอื้องจ้องหน้าเธอก่อนที่ไทจะเอาดินกลบหน้า แพรวรู้สึกถึงแรงอาฆาต
ภาพในอดีตย้อนกลับมา ร่างของช่อเอื้องถูกวางลงในหลุมในสภาพดวงตาเบิกโพลง
“แล้วถ้ามีคนมาเจอล่ะ” ไทถาม
“ใครจะมาเจอ ตรงนี้ลับตาคนที่สุดแล้ว” แพรวบอก
“แต่ถ้า....”
“หยุด! ถ้าแกไม่เชื่อฉัน ก็ตามใจ จะไม่ฝังก็ได้ ทิ้งศพเอาไว้เลย พรุ่งนี้คนเขาจะได้มาเห็นหมด ตำรวจจะได้สืบมาถึงตัวแก”
ทั้งคู่เงียบกันไป
“ตกลงจะเอายังไง” แพรวถาม
ไทไม่ตอบแต่เอามือลูบหน้าช่อเอื้องเพื่อปิดตาเธอแต่ตาช่อเอื้องไม่ยอมปิดกลับลืมขึ้นมาอีกครั้ง
ไทตกใจ “เฮ้ย!!”
“จะกลัวมันหรือกลัวติดคุก” แพรวถาม
ไทกลั้นใจเอาดินกลบหน้าช่อเอื้องทันที
ไทหันมาพูด
“ใช่ ฉันฆ่าช่อ แต่แกอย่าลืมนะว่าแกก็เป็นคนช่วยฉันซ่อนศพ ยังไงแกก็สมรู้ร่วมคิด”
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน แพรวแสดงสีหน้าอำมหิต
“ฉันไม่บอกใครให้โง่หรอก ตายไปซะได้ก็ดี คุณกรณ์จะได้เป็นของฉัน ไม่ใช่ผีอย่างแก!”
วิญญาณช่อเอื้องปรากฏขึ้น
พ่อปู่ซึ่งนอนหลับอยู่ลืมตาขึ้นทันที
ช่อเอื้องจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นลมยันต์ที่เขียนไว้เต็มบานประตูก็เรืองแสงและแผลงฤทธิ์ขึ้น วิญญาณช่อเอื้องโดนพลังของยันต์ทำร้ายจึงกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
พ่อปู่ที่นอนอยู่ท่องมนต์งึมงำๆ
วิญญาณช่อเจ็บปวดทรมานก่อนจะสลายร่างไป
อ่านต่อหน้า 2
สาปสาง ตอนที่ 4 (ต่อ)
พ่อปู่ลืมตาขึ้นแล้วแสยะยิ้มชั่วร้าย
“อีวิญญาณชั้นต่ำ อย่าได้กล้าลองดีกับกู!!”
วิญญาณช่อเอื้องปรากฏขึ้นบนหลุมศพด้วยสภาพบาดเจ็บทุกข์ทรมาน
“เจ็บปวดเหลือเกิน....ทรมานเหลือเกิน.....ทำไมทรมานอย่างนี้”
ไทเข้ามาที่โรงละครพร้อมถังน้ำมันใบใหญ่โดยมีท่าทางลับๆ ล่อๆ
ไทเข้ามาหยุดอยู่ที่หน้าหลุมศพช่อเอื้องก่อนจะคุกเข่าลง
“ยกโทษให้ฉันด้วยนะช่อ ฉันไม่ได้ตั้งใจฆ่าเธอ ยกโทษให้ฉันด้วย”
ไทร้องไห้ วิญญาณช่อเอื้องมองไทด้วยความโกรธผสมน้อยใจ
“อย่าบอกว่าไม่ตั้งใจ ทำไมต้องทำกับฉันแบบนี้! ฆ่าฉันทำไม”
ช่อเอื้องจะผลักไทแต่ร่างของเธอก็ทะลุไทไป
“แล้วฉันจะทำบุญไปให้นะ”
ไทก้มหน้านิ่งร้องไห้ก่อนจะลุกขึ้น แล้วเขาก็สาดน้ำมันไปทั่วโรงละคร
ไทจุดไม้ขีดไฟ
“ขอโทษนะครับครู ผมไม่อยากให้ใครเจอศพช่อ ผมจำเป็นต้องทำแบบนี้จริงๆ”
พูดจบไทก็โยนไม้ขีดเข้าไปทำให้ไฟลุกพรึ่บขึ้นทันที วิญญาณช่อเอื้องปรากฏขึ้นด้วยความโกรธแค้น
“ทำไมทำแบบนี้ ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย! ทำไม”
ไทเดินออกไป วิญญาณช่อเอื้องกรีดร้องด้วยความโกรธท่ามกลางไฟที่ลุกโชน
เสียงโทรศัพท์บ้านดัง อาภาภิรมย์ที่นอนหลับอยู่สะดุ้งเฮือก
อาภาภิรมย์รับสาย เธอฟังแล้วตกใจ “อะไรนะคะ!!”
โทรศัพท์หลุดมือร่วงหล่นลงพื้น
เสียงเคาะประตูดังรัว กรณ์ที่ยังนอนไม่หลับรีบลุกขึ้นเดินไปเปิด อาภาภิรมย์มีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ
“เกิดเรื่องใหญ่แล้วลูก!!”
“เกิดอะไรขึ้นครับคุณแม่”
เช้าวันใหม่ โรงละครถูกสายแถบสีเหลืองกั้นไว้โดยรอบ โรงละครเต็มไปด้วยร่องรอยของไฟไหม้ ชาวบ้านมามุงดูกันเต็มไปหมด ตำรวจบอกกับอาภาภิรมย์และกรณ์
“ตรวจสอบหลักฐานแล้วคงระบุได้ว่าเป็นการวางเพลิงรึเปล่านะครับ”
“ไม่ต้องตรวจหรอกครับ เป็นการวางเพลิงแน่ๆ” กรณ์มั่นใจ
“ถึงคุณจะมั่นใจอย่างนั้น แต่ตามระเบียบแล้วก็ต้องตรวจก่อนสรุปคดีครับ”
ตำรวจพูดจบก็เดินไปอีกทาง อาภาภิรมย์ร้องไห้
“ทำไมต้องทำกันขนาดนี้ด้วย ทำไม”
“ทำใจดีๆ ไว้ครับคุณแม่ ยังไงมันก็เกิดขึ้นแล้ว เราเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกครับ” กรณ์บอก
“แต่นี่มันโรงละครของแม่นะกรณ์ แม่สร้างมากับมือ ไม่คิดเลยว่าจะทำกันขนาดนี้ได้จริงๆ คิดว่าคงจะแค่ขู่ให้เรากลัว ที่ไหนได้”
อาภาภิรมย์ทำท่าจะเป็นลม
“คุณแม่ คุณแม่ครับ”
อาภาภิรมย์หมดสติไป แพรวกับไทเข้ามาเห็นเข้าพอดี
“ครูครับ /ครูคะ!!”
ไทได้โอกาสก็รีบบอกกรณ์
“พาครูไปหาหมอก่อนเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง”
“ขอบคุณครับ ฝากด้วยนะครับ”
พูดจบกรณ์ก็ประคองอาภาภิรมย์ออกไป แพรวมองโรงละครด้วยความคาดไม่ถึง
“ไม่น่าเชื่อเลยนะว่ามันจะเกิดขึ้นจริงๆ”
“มันจำเป็นน่ะ” ไทบอก
แพรวไม่เข้าใจ “พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?”
แพรวถามด้วยสีหน้าตื่นตะหนก
“อะไรนะ!! แกเป็นคนเผางั้นเหรอ?”
“มันจำเป็น ฉันอยากให้ที่นี่มันปิดๆไปจะได้ไม่มีใครมาเจอศพช่อ ก็เลยอาศัยสถานการณ์เอาตัวรอดไปก่อน”
“ฉลาดนี่แก ถ้าฉลาดอย่างนี้ตั้งแต่แรก ช่อมันคงไม่ต้องตายหรอก” แพรวว่า
“ไหนบอกว่าจะไม่พูดเรื่องนี้อีกไง”
“ก็มันอดไม่ได้นี่ แล้วนี่ถ้าตำรวจเขาตรวจได้ว่าเป็นวางเพลิง แกจะทำยังไง”
“ก็โยนความผิดให้ไอ้พวกที่มันอยากเผาไล่ที่ไปสิ เขาคงสาวมาไม่ถึงฉันหรอก”
“สรุปว่าฉันต้องเก็บความลับให้แกเพิ่มอีกเรื่องหนึ่งแล้วใช่ไหม”
“แกสาบานแล้วนะ”
แพรวถอนใจด้วยความหนักใจปนเซ็ง ส่วนไทหน้าเครียด
อีกาบินมาเกาะที่รั้วหน้าบ้าน อนงค์มาเห็นเข้าก็ตกใจ
“ว้าย อีกาที่ไหนเนี่ย ไป๊ ไป”
อนงค์ออกไปไล่ อีกาบินไป จู่ๆ อนงค์ก็เจ็บแปล๊บขึ้นมากลางอกเหมือนโดนอะไรทุบ
“โอ๊ย”
อนงค์เจ็บจนทรุดลงไป แพรวกลับมาถึงบ้านพอดี
“แม่! เป็นอะไรน่ะ แม่!”
แพรวเข้าไปช่วยประคองอนงค์ขึ้นมา
“เป็นอะไรไปน่ะแม่” แพรวถาม
“อยู่ๆ มันก็เจ็บกลางหน้าอกเหมือนถูกอะไรทุบแรงๆ”
“แล้วแม่ไปทำอะไรมา อยู่ๆ ถึงเป็นขึ้นมาได้”
“ไม่ได้ทำอะไรเล้ยยย แค่เห็นอีกามันมาเกาะอยู่หน้าบ้านก็เลยออกมาไล่ พอไล่เท่านั้นแหละ เจ็บขึ้นมาเลย”
“อีกางั้นเหรอ”
แพรวครุ่นคิดเพราะสงสัยว่าจะเป็นสัญญาณบอกเหตุอะไรบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 3
สาปสาง ตอนที่ 4 (ต่อ)
อาภาภิรมย์นอนหมดสติอยู่บนเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล
สักพักเธอก็สลึมสะลือขึ้นมาเห็นทุกอย่างลางเลือนไปหมด ในความลางเลือนนั้นอาภาภิรมย์เห็นช่อเอื้องเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าเศร้าหมองน้ำตานองหน้า
“… เป็นอะไรไป ร้องให้ทำไม เกิดอะไรขึ้น”
ช่อเอื้องก้มหน้าร้องไห้ไม่พูดไม่จา
“เกิดอะไรขึ้น บอกครูสิลูก ร้องไห้ทำไม”
ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นทำให้เห็นว่าน้ำตาของเธอเป็นสายเลือด อาภาภิรมย์ตกใจ
“ช่อ!!”
อาภาภิรมย์สะดุ้งเฮือกเฮือกฟื้นขึ้นมา เสียงกราฟหัวใจทำงาน พยาบาลหันไปรายงานหมอ
“คนไข้ฟื้นแล้วค่ะ”
กรณ์นั่งรอหมออยู่ที่หน้าห้องตรวจ หมอเปิดประตูออกมา กรณ์รีบลุกขึ้นเข้าไปถาม
“คุณแม่ผมเป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“คนไข้มีอาการโรคหัวใจอยู่แล้วนะครับ ต้องระวังเรื่องอารมณ์ให้ดี อย่าให้ตกใจหรือว่าใช้อารมณ์มากเกินไป หัวใจจะทำงานหนักและอาจทำให้วายได้” หมอบอก
“ร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวเหรอครับคุณหมอ”
“ระยะหลังๆ มาคนไข้มีเรื่องอะไรที่เครียด กังวลเป็นพิเศษไหมครับ”
“เอ่อ มีครับ”
“นั่นอาจเป็นสาเหตุให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว ผลตรวจคราวที่แล้ว คนไข้ยังแข็งแรงกว่านี้มาก ยังไงก็ต้องระวังอย่าให้เครียดมากนะครับ เดี๋ยวจะส่งผลถึงหัวใจได้”
“ครับ”
“หมอขอตัวก่อนนะครับ”
หมอเดินออกไป กรณ์หันไปมองในห้องแล้วถอนหายใจด้วยความกังวล
ณ ตำหนักพ่อปู่ แพรวก้มลงกราบพ่อปู่
“มึงรับสื่อจากกูได้ มึงมันมีเลือดดำเหมือนกูจริงๆ”
“พ่อปู่เรียกหนูมาทำไมเหรอคะ” แพรวถาม
“มึงทำอะไรไว้ มึงก็รู้ตัวดี”
“!! …. พ่อปู่รู้?”
“มีอะไรบ้างที่กูไม่รู้ ยิ่งเรื่องชั่วช้ากูยิ่งรู้”
“แต่หนูไม่ได้เป็นคนลงมือฆ่ามันนะคะ”
“แต่มันก็ตายสมใจมึงไม่ใช่รึ”
แพรวนิ่งไปไม่ยอมตอบ
“มึงเข้าใจคิดที่ซ่อนศพมันไว้ แต่มึงทำไปอย่างไม่รู้การ”
“ยังไงเหรอคะ”
“มึงลืมสะกดวิญญาณมัน”
“มันถึงได้ออกมาตามล่ามึงได้ ดีนะที่ยันต์กูยันมันไว้ได้ทัน ไม่อย่างนั้นป่านนี้มึงเหลือแต่กระดูกแล้ว”
“….แต่ว่า...แม่ให้หนูใส่พระไว้นะคะ ผีมันจะทำอะไรหนูได้”
“พระท่านคุ้มครองคนดี ไม่ใช่คนชั่วเลือดดำอย่างมึง”
“แล้วหนูต้องทำยังไง”
“ถอดพระออกซะ แล้วเอาตะกรุดของกูไปใส่แทน”
พ่อปู่ยื่นห่อผ้าดำให้แพรวรับไป แพรวแกะออกดูก็เห็นตะกรุดสีดำ
“กูปลุกเสกด้วยเลือดผีเจ็ดป่าช้า แต่มันมีฤทธิ์คุ้มครองมึงแค่กลางคืน ส่วนกลางวันกูจะเป่ามนต์มารคุ้มครองให้”
พ่อปู่พูดจบก็หลับตาพึมพำคาถามนต์ดำแล้วเป่าพรวดใส่กระหม่อมแพรว จนแพรวร้อนวาบไปทั้งตัว
“เอาล่ะ กูลงมนต์ให้มึงแล้ว จะไม่มีผีตัวไหนกล้ายุ่งกับมึงอีกเป็นอันขาด”
“ขอบคุณค่ะพ่อปู่”
แพรวก้มลงกราบ เธอก้มลงมองตะกรุดแล้วยิ้มด้วยความสมใจก่อนจะเงยหน้าขึ้นถามพ่อปู่
“หนูขอไปฝากเพื่อนอีกอันได้ไหมคะ”
“ไม่ต้อง เพื่อนมึงคนนั้นมันดวงแข็ง ไม่มีผีหน้าไหนทำอะไรมันได้ง่ายๆ หรอก นอกจากหลอกๆ หลอนๆ ห่วงแต่ตัวมึงเองเถอะ”
แพรวรับคำ “ค่ะ”
แพรวก้มลงมองตะกรุดในมือ
แพรวเข้าบ้านมาเจออนงค์ที่รออยู่
“ไปไหนมา” อนงค์ถาม
“ไปหาพ่อปู่” แพรวบอก
“แล้วแกไปทำอะไรที่นั่น”
“ฉันไม่ได้อยากไปนะ แต่พ่อปู่ส่งอีกาตัวนั้นมาเรียกฉันไปหา”
“อีกา? อีกาที่แม่ไล่ไปนั่นน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เพราะแม่ไปไล่อีกานั่นไง แม่ถึงเจ็บตัว คราวหลังถ้าเห็นอีกามาอีก ไม่ต้องไปยุ่งเลยน่ะแม่ ถ้าไม่อยากเจอดี”
แพรวจะเดินเข้าไปด้านใน
อนงค์เรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน แล้วแกไปทำอะไรที่ตำหนักพ่อปู่ บอกแม่มาซิ ไปทำอะไรมา”
“ไม่ต้องกลัวหรอกแม่ พ่อปู่เรียกฉันไปให้ของคุ้มกันตัว ไม่ได้ไปทำอะไรไม่ดีซะหน่อย”
แพรวพูดแล้วก็เดินเข้าบ้านไป อนงค์มองตามไปอย่างกังวล
“นี่มันอะไรกัน มันชักจะไปกันใหญ่แล้ว ไปยุ่งกับเรื่องคุณไสยทำไม เฮ้อ...ลูกหนอลูก”
อนงค์ถอนใจด้วยความกังวล
กรณ์ช่วยพยุงอาภาภิรมย์มานั่งที่เก้าอี้นวมตัวโต
“ต่อไปนี้คุณแม่ห้ามเครียดห้ามคิดมากเชียวนะครับ เรื่องโรงละครให้ทางตำรวจเขาจัดการไป ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่ต้องคิด ผมอยากให้คุณแม่อยู่กับผมนานๆ นะครับ”
“ช่อเขาเป็นอะไรไป กรณ์รู้เรื่องช่อรึเปล่า”
“ทำไมเหรอครับ”
“แม่ฝันถึงเขา เขาร้องไห้ใหญ่เลย ไม่รู้เป็นอะไรรึเปล่า”
กรณ์อึ้งไป
“กรณ์ต้องไปหาหนูช่อนะลูก แม่ว่าเขาต้องมีปัญหาอะไรอยู่แน่ๆ”
กรณ์รับคำ “ครับ”
กรณ์รับปากเพื่อให้แม่สบายใจ
“แล้วบอกแกให้มาหาแม่ด้วยนะ แม่อยากให้หนูช่อสืบทอดละครของแม่แทนแม่ ไม่อยากให้มันจบลงไปพร้อมๆ กับแม่”
“ครับ แล้วผมจะบอกให้”
กรณ์มีสีหน้าเศร้า
ไทนัดเจอกับแพรวที่ร้านกาแฟ แพรวมาถึงก็เห็นไทนั่งรออยู่แล้ว
“ทำไมมาช้า”
“ฉันไปธุระมาน่ะ”
“ธุระอะไร”
“ฉันไม่ใช่ช่อนะ ไม่ต้องมาอยากรู้เรื่องของฉันให้มันมากนักหรอก”
“ฉันเพิ่งไปทำบุญถวายสังฆทานมา เผื่อบุญที่แผ่ให้จะทำให้ช่อไม่โกรธไม่แค้นฉัน”
“ฝันไปเถอะว่ามันจะไม่แค้น”
“พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง”
“มันโผล่มาหาฉันตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว แต่เข้าบ้านฉันไม่ได้”
“จริงเหรอ?”
“แกไม่ต้องกลัว พ่อปู่บอกว่าแกเป็นคนดวงแข็ง ผีนังช่อมันคงทำอะไรไม่ได้หรอก”
“.......ขอให้เป็นอย่างนั้นเถอะ”
“แล้วนี่แกจะเอายังไงต่อ โรงละครก็เจ๊งหมดแล้ว ครูก็ป่วย ละครคงไม่ได้ทำแล้วล่ะ”
“ฉันคิดว่าจะกลับบ้านที่ชุมพรน่ะ คงต้องกลับไปช่วยที่บ้านออกเรือ แล้วแกล่ะ”
“ยังไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้น ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าต้องคิด”
“เรื่องอะไร”
แพรวยิ้มร้าย
อ่านต่อหน้า 4
สาปสาง ตอนที่ 4 (ต่อ)
กรณ์รับช่อดอกไม้จากแพรว
“ขอบคุณมากครับที่อุตส่าห์มาเยี่ยม”
“จะไม่ให้มาได้ยังไงล่ะคะ แพรวนับถือครูเหมือนแม่อีกคนหนึ่งเลยนะคะ แล้วนี่ครูเป็นยังไงบ้างคะ”
“หมอให้พักมากๆ แล้วก็ห้ามเครียดน่ะครับ เอ่อ มีอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ทราบว่าช่อเขาติดต่อมาบ้างรึเปล่าครับ”
“เขาทิ้งคุณไปขนาดนั้นแล้ว ยังจะถามถึงเขาอีกเหรอคะ”
“คือว่าผมถามแทนคุณแม่น่ะครับ ท่านอยากให้ช่อมาสืบทอดงานต่อจากท่าน”
“อะไรๆ ก็ช่อ รู้สึกว่าช่อนี่จะเป็นคนโปรดของทุกคนเลยนะคะ ใครๆ ก็รัก ใครๆ ก็หลง”
“แล้วคุณไม่รักเธอเหรอครับ”
แพรวสะดุ้ง “เอ่อ...รักสิคะ ก็เราเป็นเพื่อนกันนี่นา”
“ถ้าอย่างนั้น ผมฝากเรื่องไว้ที่คุณแล้วกัน ถ้าเขาติดต่อมาก็ช่วยบอกให้เขาเข้ามาพบคุณแม่ผมด้วย”
“ได้ค่ะ แพรวจะบอกให้นะคะ” แพรวเน้น “ถ้าเขากล้าติดต่อมา”
หลุมศพของช่อมีใบไม้ปลิวเหนือหลุมศพ
เสียงช่อเอื้องดังแว่วมา “ทำไมต้องทำกันแบบนี้.....ทำไมต้องทำกับฉันแบบนี้”
ไทกำลังเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าเตรียมตัวกลับชุมพร ทันใดนั้นไฟก็ดับพรึ่บ!
“อ้าว ไฟดับอีก ... แล้วจะทำไงเนี่ย”
ไทเปิดประตูออกไปดูเห็นทางเดินหน้าห้องไฟติด ในขณะที่ห้องอื่นๆ ก็มีแสงไฟลอดมาจากใต้ประตู
“ทำไมดับแต่ห้องเราวะ”
ไทกลับเข้าไปในห้องแล้วคลำทางไปหาโทรศัพท์
“ฮัลโหล โอเปอร์เตอร์ใช่ไหมครับ ห้องผมไฟดับอยู่ห้องเดียว ช่วยส่งคนขึ้นมาดูด้วยนะครับ ขอบคุณครับ”
ไทวางโทรศัพท์ก่อนจะคลำเพื่อเปิดลิ้นชักหาไฟฉายจนเจอ เขากดสวิทช์ฉายไฟออกไปเห็นช่อเอื้องยืนก้มหน้าอยู่กลางห้อง ช่อเอื้องเงยหน้าขึ้นทันทีทำให้เห็นว่ามีเลือดออกทั้งทางตา จมูก ปาก เลือดอาบหน้าไปหมด
“แกฆ่าฉันทำไม!”
ไทตกใจ “เฮ้ย!”
ไทผงะหงายหลังล้มลงไป พอเงยหน้ามองอีกทีช่อเอื้องก็หายไปแล้ว
“สงสัยจะตาฝาด”
ไทสะบัดหัวไล่ความมึน เขาสาดไฟไปอีกทางก็เห็นช่อเอื้องอีกครั้ง
ช่อเอื้องร้องลั่น “กรี๊ดด”
ไทตกใจ “เฮ้ยย!!”
ไทตกใจ ไฟฉายดับลง
“เฮ้ย อย่าดับสิ ติดๆๆ”
ไทกระแทกไฟฉายทำให้ไฟดับๆ ติดๆ เขาจึงเห็นช่อเอื้องผลุบๆ โผล่ๆ
“เฮ้ย อย่านะ เราไม่ได้ตั้งใจช่อ เราขอโทษ อย่าทำอะไรเรานะ เราขอโทษ”
ไทหนีหัวซุกหัวซุนอยู่ในห้อง ไฟฉายก็ดับๆ ติดๆ ทำให้ไม่รู้ว่าช่อเอื้องอยู่ตรงไหน
“อย่าเข้ามานะช่อ เราขอโทษ ยกโทษให้เราเถอะนะ”
พูดจบช่อเอื้องก็โผล่มาตรงหน้าใกล้ๆ
ไทร้องลั่น “อ๊า!!”
ไทหลับตาร้องออกมาสุดเสียงด้วยความตกใจกลัว เขาลืมตาขึ้นดูอีกครั้งพบว่าช่อเอื้องหายไปแล้ว ไทหอบหายใจด้วยความกลัว ในความเงียบเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไทสะดุ้งเฮือกอีกครั้ง ไทรีบไปไปเปิดประตูจึงเห็นช่างไฟยืนอยู่หน้าประตู
“มาซ่อมไฟครับ” ช่างไฟบอก
“เข้ามา”
ไทหลบทางให้ช่างซ่อมเข้าไปก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความกลัวแต่ก็ไม่เห็นอะไร
ไทมากดออดหน้ารั้วบ้านแพรว แพรวเปิดประตูออกมาเห็นไทก็แปลกใจ
“ไท มาทำไมป่านนี้นะ”
แพรวรีบตรงไปที่รั้ว
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“เปิดประตูก่อน” ไทบอก
แพรวเปิดประตูให้ด้วยความสงสัย ยิ่งเห็นสีหน้าตื่นตกใจของไทเขาก็ยิ่งสงสัย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“เดี๋ยวค่อยเล่าให้ฟัง คืนนี้ขอฉันนอนที่นี่นะ”
ไทนั่งคุยกับแพรวที่ห้องรับแขก
“อะไรนะ ช่อมาหาแกงั้นเหรอ??.... ตาฝาดรึเปล่า”
“ไม่ได้ตาฝาด ฉันไม่ได้เห็นแค่ครั้งเดียว แต่เห็นตลอด จนอยู่ไม่ติดต้องเผ่นมานี่ไง”
“ก็ไม่แปลกหรอก แกเป็นคนลงมือ ช่อมันต้องตายก็เพราะแก มันก็ต้องมาแก้แค้นแกอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวหรอก แกมันดวงแข็ง ช่อมาทำได้ก็แค่มาให้เห็น แต่มันทำอะไรแกไม่ได้หรอก เชื่อฉัน”
“นี่แกไม่กลัวบ้างเลยเหรอ”
“คนอย่างฉันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะคนหรือผี แล้วที่สำคัญ ไม่มีผีหน้าไหนทำอะไรฉันได้หรอก ถ้ามันกล้าเข้ามา มันได้ตายอีกรอบแน่”
แพรวกำตะกรุดดำที่คล้องคอไว้อย่างมั่นใจ
วิญญาณช่อเอื้องปรากฏตัวขึ้นที่หน้ารั้วบ้านแพรว
“พวกแกฆ่าฉัน อย่าคิดว่าจะหนีความผิดพ้น! ไอ้ฆาตกร ไอ้เพื่อนทรยศ”
อ่านต่อตอนที่ 5