หางเครื่อง ตอนที่ 4
ทางด้านศิริพรสลึมสลืออยู่ในอ้อมแขนของใครคนหนึ่งซึ่งกำลังประคองเธออยู่หน้าโรงพยาบาล
“โอ๊ย รวิ ชั้นมึนหัวไปหมดเลย นี่ ถึงไหนแล้วนี่”
“อ๋อ นี่เราอยู่หน้าโรงหมอแล้วจ้า เป็นอะไรมาล่ะ เดี๋ยวให้หมอเค้าดูให้เน้อ”
ศิริพรขมวดคิ้วรู้สึกแปลกๆ กับเสียงพูด ลืมตาขึ้นมามองแล้วร้องโวยวายกระเด้งตัวออกมายืนชี้หน้า
“ว๊าย! นี่ นี่ลุงเป็นใครเนี่ย แล้วรวิล่ะ รวิไปไหน” ศิริพรพยายามชะเง้อมองหารวิ
“อ๋อ พ่อพระเอกลิเกนั่นน่ะเหรอ มันฝากให้พาเอ็งเข้าโรงหมอ แล้วมันก็เปิดไปไหนแล้วไม่รู้น่ะข้าเห็นเอ็งหลับ
อยู่ไม่ได้สติ ก็กะว่าให้ถึงมือหมอก่อนค่อยปลุก”
ศิริพรทำหน้าตกใจ กระฟัดกระเฟียด
“อะไรนะ! บ้าจริง รวินะรวิ ทำแบบนี้ได้ไง”
“อ้าว แล้วเอ็งไม่เป็นไรแล้วเหรอมาๆ เดี๋ยวข้าพาเข้าไปหาหมอเอง”
ลุงพยายามจะเดินมาประคองศิริพร
“เว๊ย! ไม่หงไม่หาอะไรมันทั้งนั้นล่ะ อย่ามาโดนตัวชั้น หลีกไป”
ศิริพรเดินสะบัดออกมา เดินมาชะเง้อชะแง้อยู่ริมถนน ก่อนจะกำมือแน่นด้วยความโมโห
“รวิ เดือน คอยดูนะ”
บนถนนริมทางสายเปลี่ยว พิมุกเดินย่างเข้ามาหาเดือน เดือนถอยหลังหนีสีหน้าหวาดกลัว
“พะ...พี่จะทำอะน่ะ”
“แล้วคิดว่าพี่จะทำอะไรล่ะจ๊ะ ฟ้ามืดๆ อากาศเย็นๆ แถมปลอดคนแบบนี้” พิมุกบอกด้วยหน้าตาเจ้าเล่ห์
“อย่านะ ชั้นร้องจริงๆ นะ”
“เอาสิ ร้องไปสิ ตรงนี้ใครมันจะมาได้ยิน และอย่าหวังนะว่าไอ้รวิมันจะมาช่วย ป่านนี้มันคงนั่งเฝ้าแม่นางเอกงิ้วนั่นแล้ว เดือนไม่เห็นเหรอ เมื่อกี้นี้ถ้ามันห่วงเธอจริง มันต้องตามมาแล้ว”
เดือนชะงักไป หน้างอน้อยใจรวิขึ้นมาทันที พิมุกถือโอกาสนี้เข้ากอดเดือน เดือนสะดุ้งรู้สึกตัวพยายามปัดป้องดันพิมุกออก
“ว๊าย ปล่อยชั้นนะ อย่าทำแบบนี้นะ”
เดือนพยายามผลักพิมุก แต่พิมุกไม่ฟังพยายามลวนลามเดือนต่อ เดือนจึงตบหน้าพิมุกดังฉาด
“โอ๊ย! หนอย พูดดีๆ ไม่ฟังใช่มั๊ย เดือน” พิมุกจะเข้าหาเดือนอีก เดือนถอยหนี
“อย่านะ ชั้นขอล่ะ อย่าทำแบบนี้เลย ชั้นไม่ได้รักพี่นะ ปล่อยชั้นไปเถอะ”
“เธอไม่อยากเป็นนักร้องแล้วใช่มั๊ย” เดือนชะงักมองหน้าพิมุก “บอกแล้วไง ถ้าเธอยอมชั้น ชั้นจะทำให้ฝันของเธอเป็นจริง ชั้นจะทำให้เธอเป็นนักร้องชื่อดัง มีแต่คนมาล้อมหน้าล้อมหลัง แม่เธอก็จะสบายไปด้วย”
เดือนนิ่งคิด แม้จะไม่คล้อยตามไปด้วย
“ยังมีคนใช้ กับดักเชยๆ แบบนี้ จับหนูอยู่อีกเหรอ”
พิมุกกับเดือนหันไปมองตามเสียง เห็นนภากาศเอาเท้าเขี่ยกับดักหนูเก่าๆ สนิมขึ้นที่หล่นทิ้งอยู่ข้างทางเเถวๆ นั้น
“นภา”
“พี่นภา”
“เราไม่เคยมีเรื่องอะไรกัน อย่ายุ่งดีกว่าน่า”
“ยุ่งอะไร นี่ พูดเรื่องกับดักหนูนี่” นภากาศส่ายหน้าเอือมระอา “หนูก็ยังโง่ติดเหยื่อเขาอยู่ได้”
“หนู...?”
“นี่ อย่าบอกนะว่า บังเอิญผ่านมาทางเปลี่ยวๆ แบบนี้ แอบตามมาสิท่า”
“ธุระอะไร ไม่ใช่เรื่อง ใครจะหลงกลใครมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย” นภากาศจะเดินจากไป
“พี่นภา หนูกลับด้วย”
“ไม่เกี่ยว”
“ใช่” พิมุกดึงเดือนไว้ “ถ้าเธออยากรุ่งเหมือนรุ่นป้าเขาก็ควรเอาอย่างไว้” นภากาศชะงัก เมื่อพิมุกหมายถึงตน
“นภาเขาก็เริ่มต้นเเบบเนี๊ยะมาก่อนเหมือนกัน” นภากาศหันกลับมามองหน้าพิมุก “อะไร ส่งเสริมเด็กมันหน่อยสิ”
นภากาศไม่พูดอะไรแต่กดโทรศัพท์มือถือตัวเอง สามตัวเลข ดังตื๊ดๆๆ
“โทรไปไหน” พิมุกรีบถาม
“ให้ทาย” นภากาศเอาโทรศัพท์แนบหูรอ “ไม่ติด สงสัยจะมีเหตุด่วน เหตุร้ายเยอะ ขอโทรอีกทีนะ”
“ขอบคุณนะพี่” เดือนบอกอย่างขอบคุณ
“ขอบคุณเรื่องอะไร” นภากาศย้อนถาม
“จะมาช่วยมันทำไมเนี่ย เกิดจะรักใคร่กันขึ้นมาซะงั้น”
“เปล่า ชั้นกลัวนังเด็กนี่ มันจะดังเหมือนฉันน่ะสิ ถึงไม่อยากให้มันมาใช้วิธีเดียวกัน พูดเองนี่”
พิมุกหงุดหงิด
“อีนี่”
“อ๊ะ ติดแล้ว ฮัลโหล ตำรวจเหรอคะ”
พิมุกปล่อยเดือนทันที
“จะไปไหนก็ไปไป๊”
เดือนวิ่งมาทางนภากาศ นภากาศกดโทรศัพท์ปิด
“ขอบคุณนะพี่”
นภากาศมองเดือนเหินห่าง เดินจากไป เดือนเดินตาม หวั่นๆ พิมุกที่มองตามหลังอย่างเคืองๆ
เดือนเดินตามมาขึ้นรถนภากาศที่จอดอยู่ไม่ไกลนัก
“ใครเชิญ”
“พี่อยากช่วยหนู หนูรู้”
“ประเมินตัวเองสูงไปเปล่า เชื่อคนง่ายอย่างงี้สิ ถึงเกือบได้มีผัวนักเลง” นภากาศตั้งใจด่า ประชดประชัน
“เอาเหอะ เอาเหอะ ด่าได้ด่าไป คิดซะว่าหายกัน กะค่าอาศัยติดรถไปลงบ้านก็แล้วกัน”
“อีนังเด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ติดว่าจะมาเทียบชั้น บอกให้เลยว่าอีกนาน” นภากาศด่าไปด้วย สตาร์ทรถไปด้วย แล้วขับออกไปโดยมีเดือนนั่งไปด้วย “หนอย คิดจะหาทางลัด หวังจะมีคนดัน มันคงดันอย่างเดียว อย่าหวังว่าจะดังเลยโง่เกิ๊น ตอนเด็กๆ กินกระเพาะแพะมากไปมั้ง”
“กระเพาะเเพะเป็นไงเหรอพี่”
“ไม่รู้ ไม่เคยกิน ทำมาเป็นหน้าหวาน สันดานกาฝาก อยากจะเกาะคนดัง...”
นภากาศยังคงบ่นบ้าด่าไปเรื่อยๆ
รถของนภากาศแล่นมาจอดหน้าบ้านเดือน นภากาศด่าไม่หยุด
“เจอกันคราวหน้า อย่าหวังว่าชั้นจะญาติดีด้วย บอกเลยอีกนานกว่าที่หล่อนจะฉลาดทันคน ลงไปได้แล้ว”
เดือนยกมือไหว้
“ขอบคุณค่ะ”
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ”
รวิยืนรออยู่ เดินเข้ามาหา
“เดือน”
เดือนหันกลับไปมอง
“พี่รวิ”
“เยอะดีนะ วัยสาวน่ะ ใช้ให้คุ้มนะ มันอยู่กับเธอไม่นานหรอก”
“เหมือนที่มันไม่อยู่กะพี่แล้วรึเปล่า” เดือนถามซื่อๆ แต่ทำให้นภากาศตาโต เคือง แล้วก็ขับรถออกไป
“ทำไมนภามาส่ง” รวิถามอย่างแปลกใจ เดือนเดินไปนั่งที่แคร่หน้าบ้าน
“พี่มาทำไมเนี่ย”
“พี่เป็นห่วง กลัวว่าพิมุกมัน...จะ”
“โอ่ย ถ้าเขาจะ...น่ะ คงเรียบร้อยไปแล้วล่ะ ไปอยู่ดูแลศิริพรเหอะ”
“คิดมากน่า วันหลังเดือนก็อย่าไปกับไอ้พิมุกอีกสิ” รวิจับมือเดือน แต่เดือนดึงมือออกแล้วสะบัดหน้าหนีรวิอย่างงอนๆ
“ก็ชั้นเห็นพี่มีภาระจำเป็นต้องดูแลคนป่วยนี่ เป็นไงล่ะ ศิริพรเค้าเป็นไงมั่ง แต่คงไม่เป็นอะไรมากหรอกมั้ง เห็นพี่ทั้งประคองทั้งกอดแบบนั้น คงมีแรงขึ้นเยอะ”
“เฮ้อ เมื่อไหร่เดือนจะเชื่อชั้นซะทีนะว่าชั้นไม่ได้คิดอะไรกับศิริพรเลย แล้วก็ไม่มีวันจะคิดด้วย”
“ทำไมล่ะ ทำไมไม่คิด ศิริพรเค้าก็ออกจะสวย เก่งก็เก่ง แถมฐานะยังดีอีก”
รวิดึงมือเดือนมากุมไว้แล้วจ้องตาเดือน
“เดือนก็น่าจะรู้นี่ คนที่ชั้นคิดถึงอยู่ตลอดเวลาคือใคร”
เดือนทำท่าเขินแกล้วมองไปทางอื่น
“เดือนจะไปรู้ได้ไงว่าพี่คิดถึงใคร”
“เอาเถอะๆ ยังไงวันนี้ปลอดภัยก็ดีแล้ว เดือนสัญญากับชั้นก่อนสิว่าต่อไปนี้จะอยู่ให้ห่างไอ้พิมุก”
“เดือนเองก็ไม่อยากจะยุ่งกับมันนักหรอก ถ้าไม่จำเป็นแต่คุณโรจน์น่ะสิ ชอบใช้เดือนให้ไปหาไอ้พิมุกอยู่ได้ คนอื่นมีตั้งเยอะตั้งแยะก็ไม่รู้จักใช้ เฮ้อ พูดถึงคุณโรจน์แล้วก็โมโห ไม่ยอมให้เดือนร้องเพลงซักที”
“เดือน ชั้นว่ามันไม่ค่อยน่าไว้ใจนะ เดือนลาออกจากที่นั่นเหอะ” เดือนส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ ชั้นไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอก ตราบใดที่ยังไม่ได้เป็นนักร้อง”
“ทำไมเดือนถึงอยากเป็นนักร้องมากขนาดนั้นล่ะ เดือนอยากเด่นอยากดังมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
เดือนโมโหลุกขึ้นยืน
“แล้วมันผิดตรงไหนหรือรวิ การที่ชั้นอยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากมีเงินทอง อยากมีอะไรเท่าๆ กับคนอื่นมันผิดมากนักเหรอ”
“แต่มันก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงขนาดนั้นนี่เดือน บอกตรงๆ นะไอ้วงดนตรีของเดือนเนี่ย มีแต่เสือสิงห์กระทิงแรด”
เดือนยังคงทำหน้างอ
“ชั้นดูแลตัวเองได้”
รวิจ้องหน้าเดือนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
วันต่อมาที่ค่ายมวยพิมุก บ่างกับเตี้ยถือกระจกบานใหญ่ให้พิมุกที่ส่องดูความหล่อของตัวเองอยู่
“ถือให้มันดีๆ สิวะ ส่ายไปส่ายมาอยู่นั่นล่ะ”
“เออ นั่นดิ ไอ้บ่างเอ็งอ่ะ ถือให้มันดีๆ สิวะ พี่พิมุกเค้ามองไม่ถนัดเห็นไม่เนี่ย”
“เอ็งอ่ะแหล่ะ ข้าก็ถือของข้าดีๆ อยู่แล้ว”
“เอ็งอ่ะแหล่ะ ดูๆ จับให้มันมั่นๆ หน่อยดิ๊” เตี้ยเอื้อมมือไปเขกหัวบ่าง
“เขกหัวข้าหรอ หนอย เอาคืนไป”
ทั้งคู่ผลัดกันตีกันไปมา พิมุกโมโหถีบทั้งคู่หงายหลังลงไป
“โว้ยย!! ไอ้พวกบ้า อะไรกันนักกันหนาวะ”
“อารมณ์เสียแต่เช้าเลยนะ เมื่อคืนไม่ได้เหรอ”
พิมุกหันไปมอง ศิริพรเดินเข้ามา
“ได้อะไรกันล่ะ”
“อารั๊ยย แค่ผู้หญิงคนเดียวไม่มีปัญญาจัดการ ถึงกับต้องหัวแตกกลับมาเนี่ย ไม่สมกับเป็นเจ้าของค่ายมวยเลยนะ”
“นังนภาน่ะสิ เข้ามาแทรก”
ศิริพรหันมาจ้องหน้าพิมุกด้วยความโกรธแต่ก็พยายามกลั้นไว้ก่อนจะถอนหายใจและสะบัดหน้า
“นภา นังนักร้องปลาร้าค้างปี มันปกป้องเดือนงั้นเหรอ”
“ไม่รู้ ด่าๆ ช่วยๆ ยังไงก็ไม่รู้ เดาทางไม่ออก” พิมุกบอกอย่างหงุดหงิด
“นภา” ศิริพรนึกอาฆาตนภากาศ
“ที่มานี่มีแผนชั่วอะไรมาอีกล่ะ”
ศิริพรมองพิมุกด้วยสายตาดุดันก่อนจะพูดขึ้น
“ก็ถ้ามันรักกันนักก็ทำให้มันแตกกันซะสิ”
พิมุกขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“หมายความว่าไง”
ศิริพรล้วงมือลงไปในกระเป๋าหยิบกระดาษใบหนึ่งส่งให้พิมุก
“อีกสองอาทิตย์จะมีรายการทีวีสัญจรจากกรุงทพฯมาที่นี่ เค้าให้คนในพื้นที่ส่งโชว์เข้าร่วมด้วยได้”
“แล้วไง”
“ก็นังเดือน เอ๊ย น้องเดือนเค้าอยากเป็นนักร้องไม่ใช่หรอ เราก็จัดให้เค้าซักหน่อยสิ”
“เรื่องอะไร ชั้นไม่ปล่อยให้เดือนไปหรอก เกิดดังขึ้นมาก็ทิ้งชั้นไปน่ะสิ”
ศิริพรหัวเราะเยาะแล้วเดินเข้ามานั่งไขว้ห้างข้างๆ พิมุก พิมุกเหลือบมองต้นขาของศิริพร
“แหม ฉลาดหน่อยสิคะพ่อนักมวย ไม่อยากให้ดังก็ไม่ต้องให้ดังสิ ก็แค่ทำให้มันพังก็พอ เราก็แค่ยืมมือของรวิก็เท่านั้น” ศิริพรยักไหล่และจ้องหน้าพิมุก แต่พิมุกยังไม่เข้าใจนัก
“เธอนี่มันไม่ธรรมดาอย่างที่ชั้นคิดจริงๆ ด้วย” ศิริพรหันมายิ้มอย่างเหย่อหยิ่ง “แล้วถ้า นภา แส่เข้ามาอีก”
“ชั้นเอง ตบคนแก่ มันนักล่ะ”
นภากาศทรุดตัวลงนั่งในห้องทำงานโรจน์ สีหน้านภากาศนิ่งๆ แบบไม่พอใจนัก แล้วนภากาศก็พยักหน้ากับลิ้นจี่ คล้ายกับแบบสั่งให้พูดแทนที ตนไม่อยากพูด ลิ้นจี่ลุกพรวดขึ้นยืนโวยวายใส่โรจน์
“นี่แกจะให้นังเดือนมันขึ้นร้องเพลงในงานทีวีสัญจรงั้นหรอ ทำไมฮะ ทำไม อ๋อ นี่มันยอมนอนกับแกแล้วใช่มั๊ย ถึงได้ยอมให้มันร้องนะ หา”
“เลิกโวยวายบ้าบอซักทีได้มั๊ย แกจะบ้าไปถึงไหน”
โรจน์หันมองนภากาศแบบเกรงใจ นภากาศทำเป็นเมินไม่ใส่ใจ ลิ้นจี่ยังโวยวายหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“แกน่ะสิบ้า! ทุกทีเห็นกันท่าไม่ยอมให้มันได้ร้อง แล้วนี่อะไร นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมันยอมนอนกับแก แกจะยอมมันเหรอ”
โรจน์ตบโต๊ะเสียงดัง
“โว้ย น่ารำคาญจังโว้ย! อะไรกันนักกันหนา ยิ่งแก่ยิ่งบ้า ไป ไปเรียกเดือนเข้ามาหาชั้น แล้วแกจะไปไหนก็ไป ไม่ต้องมาเสนอหน้า” ลิ้นจี่ชี้หน้าโรจน์
“นี่แกไล่ชั้นเหรอ”
“เออสิวะ และถ้าขืนยังบ้าไม่เลิก ชั้นจะไล่แกออกจากวงไปเลยด้วย ไปสิ ไป”
“ถ้าจะมีใครไป เป็นชั้นดีมั้ย” นภากาศถามขึ้นมา ทำให้โรจน์อ่อนลง
“ไม่ใช่อย่างงั้น อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ไม่เคยเลยจะให้ใครขึ้นมาเทียบ หรือคิดปั้น”
“นี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะเนี่ย ร้อนตัวไปเปล่า”
“ไม่มีนภา แล้วจะเป็นฟ้างาม ครามฝันได้ไง”
“เดือน งามพร้อมก็ไม่เลวนะ” นภากาศลุกเดินออกไป โรจน์มองตามนภากาศแบบหวั่นๆ แล้วเขาก็หันมาลงกับลิ้นจี่
“ไปเรียกเดือนเข้ามาหาชั้นเดี๋ยวนี้! ไป”
ลิ้นจี่มองโรจน์ด้วยความโกรธ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปพร้อมกับกระแทกประตูเสียงดัง ประทีปหันมามองหน้าโรจน์ที่ส่ายหน้ากุมขมับอยู่
“นี่มันอะไรกัน ไหงอยู่ๆ แกถึงจะให้เดือนมันขึ้นร้องเพลงล่ะ คราวที่แล้วแกยังเถียงกับชั้นแทบตายว่ากลัวไอ้พิมุกมันจะว่า”
โรจน์ถอนหายใจมองหน้าประทีป
“แกอยากรู้แกก็ไปถามไอ้พิมุกมันเองสิวะ ชั้นเองก็ยังงงอยู่เนี่ย อยู่ๆ มันก็สั่งมาว่าให้จัดให้เดือนมันขึ้นร้องงานนี้”
“ชั้นว่ามันต้องมีอะไรแหงๆ เลย ไม่งั้นไอ้พิมุกมันคงไม่ทำอะไรแบบนี้หรอก”
“ไม่รู้เหมือนกัน ตอนนี้มันสั่งอะไรมาก็ยอมๆ มันไปก่อน ให้มีเงินไปใช้หนี้มันเมื่อไหร่ก่อนเหอะ พ่อจะเอาคืนให้หนักเลย”
“แล้วเรื่องนภา”
“ทีละเรื่อง เอาทีละเรื่อง”
โรจน์ยังคิดไม่ออกว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้
เดือนนั่งมองนามบัตรของชูเกียรติในมือ ป้อมเดินมานั่งข้างๆ
“คิดไม่ตกเหรอวะเดือน”
เดือนเงยหน้าขึ้นมองป้อมพร้อมกับพยักหน้ารับ
“จ้ะ พี่ป้อม ก็คุณโรจน์เค้าไม่ยอมให้ชั้นร้องเพลงซักทีนี่ ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปชั้นก็คงต้องเป็นหางเครื่องไปจนแก่”
“แล้วก็เหี่ยวแบบพี่ป้อมใช่ป่ะล่า...5555”
ขำเดินเข้ามานั่งลงเก๊กอยู่ข้างๆ
“โถ ไอ้ขำ ไอ้ปากไม่สร้างสรรค์ แก่แล้วไปทำบ้านเอ็งไฟไหม้เหรอไงวะ ไอ้นี่ เดี๋ยวแม่ตบฟันร่วง” ป้อมง้างมือขึ้นทำท่าจะตบขำ
“อ่ะจึ๋ย ใจเย็นๆ จ้า ชั้นล้อเล่น ว่าแต่เดือนเหอะ คิดให้ดีนา เดี๋ยวไปเจอไอ้พวกบ้ากามแบบไอ้พิมุกนั่น นึกแล้วยังเจ็บใจเรื่องเมื่อคืนไม่หาย”
“นั่นน่ะสิ ถ้ารวิมันตามไปไม่ทัน แกจะเป็นยังไงมั่งก็ไม่รู้ แต่ชั้นว่านะ อีนังงิ้วนั่นมันต้องร่วมมือกับไอ้พิมุกแหงๆ”
“ศิริพรน่ะเหรอ แล้วเค้าจะทำทำไมละจ๊ะ ชั้นกับเค้าไม่ได้มีอะไรผิดใจกันซักหน่อย”
ป้อมและขำถอนหายใจพร้อมกันกำลังจะอ้าปากพูดต่อแต่เสียงลิ้นจี่ดังขึ้นซะก่อน
“นังเดือน”
ลิ้นจี่เดินเข้ามาและยืนจ้องเดือนด้วยสายตาดุดัน แก้วที่เพิ่งเดินเข้ามารีบวิ่งตามมาอยู่ด้านหลังลิ้นจี่
ทำลอยหน้าลอยตา เดือนหันกลับมามอง ป้อมกับขำส่ายหน้าทำสีหน้าเบื่อหน่าย
“จ๊ะ พี่ลิ้นจี่มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“คุณโรจน์เค้าเรียกแกไปหาที่ห้องแน่ะ”
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
“แกก็ไปถามเค้าเอาเองสิ! หึ...แต่ชั้นว่าแกรู้อยู่แล้วล่ะมั้ง ได้สมใจแล้วนี่ แค่ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวหน่อยก็เท่านั้น” เดือนหันไปมองหน้าป้อมกับขำทำหน้างงๆ
“เอ้าเร็วเข้าสิ มัวแต่พิรี้พิไรอยู่นั่นล่ะ”
ป้อมกับขำทำหน้าเบื่อหน่ายก่อนจะพยักหน้าสะกิดให้เดือนไป
“เอ้าไปเร็วๆ เดือน เดี๋ยวมีคนลมขึ้นตาย”
“โอ๊ย ไม่หรอกพี่ป้อม เค้าว่ายิ่งแก่ยิ่งหนังเหนียวนะ”
“ไอ้ขำ นังป้อม”
“เดือนไปเดี๋ยวนี้ล่ะจ้ะ”
เดือนรีบลุกขึ้นเดินออกไป ขำกับป้อมนั่งลอยหน้าลอยตาอยู่ ลิ้นจี่มองขำกับป้อมตาเขียว เดือนเดินผ่านแล้วหยุดชะงัก ลิ้นจี่จ้องหน้าเดือนอย่างเคียดแค้น เดือนรีบก้มหน้าก้มตาเดินออกไป
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะพี่ลิ้นจี่” แก้วทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
“แกไม่ต้องรู้ซักเรื่องจะได้มั๊ย”
ลิ้นจี่เดินสะบัดหน้าออกไปแก้วรีบเดินตามหลังออกไป
“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะพี่ลิ้นจี่”
“ดู๊ดู แกดูสิวะไอ้ขำ เหมือนเห็บตามเกาะหมายังไงก็ไม่รู้”
ป้อมกับขำมองตามทั้งคู่ออกไปแล้วส่ายหน้า
ที่วิกลิเก รวิกำลังตกแต่งซ่อมแซมฉากอยู่
“พี่รวิ พี่รวิ พี่อยู่ไหนเนี่ย”
เดือนใบหน้ายิ้มแย้มดีใจกึ่งเดินกึงวิ่งเข้ามาหารวิ รวิหันไปเห็นจึงยิ้มให้
“อยู่นี่จ้า มีอะไรหรือเปล่าเนี่ยเดือน ยิ้มร่ามาเลย”
เดือนมาหยุดยืนตรงหน้ารวิแล้วอมยิ้ม ก่อนจะกระโดดกอดรวิอย่างดีใจ รวิหน้าแดงเขินอย่างไม่ตั้งตัวค่อยๆ จับไหล่ของเดือนออกแล้วมองหน้าทั้งเขินทั้งสงสัย
“เอ่อ เดือน เดือนดีใจอะไรมาเหรอ”
เดือนรู้สึกตัวปล่อยมือที่กอดรวิอยู่พร้อมกับเขินอาย
“อุ๊ย...ขอโทษที พอดีเดือนดีใจมากไปหน่อยน่ะ อ๋อ ใช่สิ รู้มั๊ยคุณโรจน์เค้ายอมให้เดือนร้องเพลงแล้วรู้มั๊ย เค้ายอมให้เดือนร้องเพลงแล้ว” รวิทำหน้าสงสัย “ที่สำคัญนะ เค้าจะให้เดือนร้องในงานสัญจรของรายการทีวีที่กรุงเทพมาน่ะ ดีใจจังเลยพี่รวิ โอ๊ย นี่เดือนตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูกแล้วนะพี่รวิ”
“หืม คุณโรจน์เนี่ยนะ แล้วทำไมอยู่ๆ เค้าถึงยอมให้เดือนร้องล่ะ แถมเป็นงานใหญ่ซะด้วยสิ” รวิสงสัย
“เห็นเค้าบอกว่าพี่พิมุกมาช่วยขอให้น่ะ”
รวิขมวดคิ้วหน้าบึ้งทันที
“ไอ้พิมุก มันอีกแล้วเหรอ พี่ว่ามันแปลกๆ นะเดือน งานนี้”
“ไม่หรอกมั้ง เค้าอาจจะอยากช่วยชั้นจริงๆ ก็ได้มั้ง”
“พี่ว่าไม่น่าไว้ใจน่ะ เดือนอย่าไปร้องเลยนะงานนี้”
เดือนหุบยิ้มหน้าบึ้งทันที
“ทำไมล่ะพี่รวิ นี่ชั้นอุตส่าห์รอที่จะได้เป็นนักร้องทั้งที”
“แต่พี่ไม่ไว้ใจมันนี่ พี่ว่ามันต้องมีแผนชั่วอยู่แน่ เดือนเชื่อพี่เถอะนะ”
“ชั้นว่าพี่คิดมากไปแล้วนะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงๆ งานนี้ชั้นก็ต้องขึ้นร้องเพลงให้ได้ ชั้นไม่ถอนตัวอย่างเด็ดขาด”
“แต่...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นล่ะ นี่ชั้นอุตส่าห์มาบอก นึกว่าพี่จะดีใจกับชั้นซะอีกนะเนี่ย งั้นชั้นกลับละ”
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิเดือน ฟังพี่ก่อน เดือน!”
เดือนสะบัดหน้าเดินกลับออกไปสวนกับศิริพรที่เดินข้ามาพอดี เดือนหยุดมองหน้าศิริพรก่อนจะหันไปมองหน้ารวิแล้วจึงสะบัดหน้างอนกลับไป
“งอนอะไรกันเหรอจ๊ะ รวิ”
“อ่อ เปล่าไม่มีอะไรหรอก”
รวิหันไปตอกตะปูแขวนฉากต่อแล้วก็พลาดโดนนิ้ว รวิทิ้งค้อนร่วง ศิริพรเข้ามาจับมือดู
“ไหนเป็นไงมั่งดูซิ”
เดือนเดินหน้าง้ำมาสวนกับแก้ว
“เอ้า เดือน”
“อะไร”
“หน้าง้ำเชียวเป็นไร”
“เบื่อคน”
“ลักษณะนี้ งอนแฟนมาล่ะสิ”
เดือนตาขวางใส่แก้ว
“ยุ่งไม่เข้าเรื่องน่า”
“อ่ะๆๆๆ อย่าหลงประเด็น ชั้นไม่ได้อะไรกะพี่รวิเขาซะหน่อยนะ” เดือนคิดตาม “ถ้าเป็นนางเอกงิ้วก็ไม่แน่” เดือนฉุนขึ้นมาอีก “ทำไม เขาอยู่ด้วยกันเหรอ”
“อือ แต่คงไม่มีอะไรหรอก ที่แจ้งซะขนาดนั้น”
“โอ๊ยๆๆ ไว้ใจได้เหรอ ทิ้งปลาย่างไว้กะเเมวได้ไง” เดือนคิดตามแล้วก็เดินย้อนกลับไปทางวิกลิเกที่เพิ่งเดินจากมา แก้วแอบยิ้ม “รอด้วยสิ รอด้วย”
แก้ววิ่งตามเดือนไป
อ่านต่อหน้า 2
หางเครื่อง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ส่วนศิริพรกำลังประคองมือรวิอยู่ ทายานวดคลึงให้
“เอาน่านวดๆ หน่อย ไม่ให้เลือดมันคั่ง ดีนะไม่โดนเล็บ เล็บถอดล่ะเจ็บ”
“ขอบใจนะ”
ศิริพรสบตารวิใกล้ๆ แล้วก็พยักหน้านวดมือกันไป ภาพจากระยะไกลจะเห็นเหมือนว่ารวิจับมือศิริพรโอบพูดคุย แก้วกับเดือนเดินมาแต่ไกล
“อุ๊ย นั่นไง ว่าแล้ว” ลอกแก้ว เดือนเคือง น้อยใจจะเข้าไปหา แก้วรีบดึงไว้ “จะไปไหน”
“จะเข้าไปคุยให้มันรู้เรื่อง จะเอายังไง”
“อุ๊ย มันจะไม่ดีนะ เขาจะว่าเรา ร้ายสิ” เดือนคิดตาม ขุ่นเคือง “อย่าเพิ่งไปเคลียร์อะไรให้มันรู้เรื่องตอนนี้เลย เรากะลังแรงเขาก็แรง ดูสิ แรงรักซะด้วยนะนั่นน่ะ”
แก้วชวนเดือนมอง เห็นรวิกับศิริพรยิ่งใกล้กัน
“ชั้นควรจะทำยังไง”
“นี่ถ้าไม่รักไม่เตือนนะ อย่าเพิ่งพูดจาอะไรให้มันรู้เรื่องตอนนี้ น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือไปขวาง” เดือนมองรวิกับศิริพรตาขวาง แล้วเดือนก็สะบัดหน้าเดินจากไป แก้วยิ้ม “ขืนให้เคลียร์อะไรกันรู้เรื่อง มันจะไปสนุกได้ยังไง”
แล้วแก้วก็ย่องๆ เข้าไปแอบฟังว่าทั้งศิริพรกับรวิคุยอะไรกันใกล้ๆ
“เดือนเขามาบอกว่าเขาจะได้ร้องเพลงน่ะ”
แก้วแอบฟังอยู่ แววตาอิจฉาร้อนรน
“ตายจริง นี่เดือนจะได้ร้องเพลงแล้วเหรอ แหม อย่างนี้เดี๋ยวอีกหน่อยก็ดังละ ยิ่งสวยๆ อย่าเดือนด้วย” ศิริพร ปรายตามองรวิอย่างมีเลศนัย
“อืม”
“เอ...งั้นเรื่องที่ได้ยินมาก็เรื่องจริงน่ะสิ ที่เค้าว่างานนี้พิมุกช่วยดันให้เดือนได้เป็นนักร้อง แหม...พิมุกนี่ก็นะ ดูท่าจะหลงเดือนเอามากๆ เลย” รวิดึงมือกลับมาหลังจากค่อยยังชั่ว แต่ที่เดือดปุดๆ คงเป็นแก้วที่แอบฟังอยู่อย่างตั้งใจ “เดือนเองเค้าก็คงจะรู้สึกดีกับพิมุกขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ แหม ก็ทุ่มเทให้ซะขนาดนี้ ยังไงก็ภาวนาให้พิมุกเค้าอย่าเล่นอะไรตุกติกเลยละกัน”
รวิหันมามองหน้าศิริพร
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
“ไม่รู้สิ ชั้นก็แค่พูดไปงั้นน่ะ”
รวิทำหน้าครุ่นคิดมองไปตามทางที่เดือนเดินออกไป แก้วแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันจะเอาไงดี
วันต่อมา รวิเดินเข้ามาในค่ายมวยพิมุก พิมุกหันมาเห็นจึงเดินกร่างเข้ามา เตี้ยกับบ่างเดินเข้ามาประกบข้าง
“ว่าไงครับคุณพระเอกลิเก จะมาซ้อมรำที่นี่เหรอไงวันนี้ กล้ามากนะ”
“ชั้นมีเรื่องอยากจะคุยกับนายหน่อย”
“เฮ้ย สงสัยคณะลิเกจะเจ๊งว่ะ วันนี้เลยจะมาขอกู้พี่พิมุกแหงเลย 555”
“จริงเหรอวะ โถๆๆ น่าสงสาร เอ้า มาอ้อนวอนพี่เค้าสิ เผื่อพี่เค้าจะใจดีให้กู้ซักร้อยสองร้อย 555”
รวิมองบ่างกับเตี้ยอย่างอ่อนอกอ่อนใจพร้อมกับส่ายหน้า
“ชั้นว่านายเอาหมาไปล่ามไว้ก่อนดีกว่า เห่าหนวกหูเหลือเกิน”
บ่างกับเตี้ยสะดุ้งหยุดหัวเราะ
“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ มันต้องโดนซักหน่อยแล้”ว
บ่างกับเตี้ยทำท่าจะวิ่งเข้าใส่รวิ พิมุกยื่นมือมากันไว้
“เฮ้ย พวกเอ็งอย่าแส่ วันนี้ท่าทางคุณพระเอกลิเกเค้ามีธุระจะพูดกับข้า ว่าไง มีอะไรก็พูดมา”
“ชั้นมาพูดเรื่องของเดือน”
พิมุกยิ้มอย่างรู้ทัน
“เดือน ทำไมเหรอ มีอะไร” พิมุกแกล้งทำไม่รู้เรื่อง
“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย เรื่องที่แกให้เดือนร้องเพลงในงานสัญจรอะไรนั่นน่ะ แกต้องการอะไรกันแน่”
“โถๆๆๆ นึกว่าเรื่องอะไร ทำไมล่ะ ก็ชั้นหวังดีอยากให้น้องเดือนได้เป็นนักร้องสมใจก็แค่นั้น”
“หึ แน่ใจเหรอว่าแค่นั้น ชั้นว่าไม่มั้ง นายมีแผนอะไรกันแน่”
พิมุกทำหน้าเหี้ยม เดินเข้ามาประจันหน้ากับรวิ
“แผนอะไรงั้นเหรอ ก็แผนที่จะให้น้องเดือนคนสวยมาเป็นเมียชั้นไง”
รวิกระชากคอเสื้อพิมุกจ้องหน้าเขม็ง เตี้ยกับบ่างพร้อมนักมวยอีกสองสามคนเดินเข้ามา พิมุกยกมือห้าม
รวิปล่อยคอเสื้อออกก่อนจะชี้หน้าพิมุก
“ขอเตือนแกไว้เลยนะ ถ้าแกทำอะไรเดือนแม้แต่นิดเดียว ชั้นไม่ปล่อยแกไว้แน่”
พิมุกยักไหล่ลอยหน้าลอยตา
“ถ้าแกรักเดือนจริง แกก็ต้องให้เค้าได้ทำสิ่งที่เค้ารักเค้าต้องการ ไม่ใช่ใช้แผนชั่วๆ แบบนี้”
รวิเดินออกไป พิมุกมองตามพร้อมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
เดือนเดินเข้ามาบริเวณหน้าค่ายมวยเหลือบไปเห็นรวิที่ขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป
“พี่รวิ พี่ อ้าวไปซะแล้ว มาทำไม่ที่นี่นะ”
เดือนทำหน้าสงสัยก่อนจะเดินไปหยุดที่หน้าค่ายมวย ถอนหายใจและลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไป
เดือนเดินเข้ามาในค่ายมวย พิมุกมองมาด้วยสายตาที่เจ้าเล่ห์ เดือนเดินมาหยุดที่หน้าพิมุกก่อนทำท่าลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยื่นซองให้พิมุก
“คุณโรจน์ฝากมาให้น่ะ เหมือนเดิม”
พิมุกรับไปโดยไม่ได้ว่าอะไร แกล้งทำหน้ายิ้มๆ
“ขอบใจ”
“เอ่อ เรื่อง ที่ชั้น” เดือนชะเง้อมองที่หัวพิมุกที่ตนเคยฟาด
“ช่างเหอะ ลูกผู้ชายเขาไม่โกรธผู้หญิงหรอก” เดือนยกมือไหว้
“เห็นคุณโรจน์เค้าบอกว่า เอ่อ พี่เป็นคนสนับสนุนให้ชั้นได้ขึ้นร้องเพลงในงานสัญจรเหรอ ยังไงก็ขอบคุณพี่ด้วยละกัน” พิมุกแอบยิ้มเจ้าเล่ห์
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พี่ก็อยากให้เดือนได้ทำในสิ่งที่รัก ได้เป็นนักร้องสมใจ” เดือนทำหน้าลังเลเหมือนจะเชื่อใจพิมุกดีหรือไม่ “ที่ผ่านมาที่พี่ทำไม่ดีกับเดือนเพราะพี่อาจจะชอบเดือนมากไปหน่อย แต่ตอนนี้พี่รู้แล้วว่าแค่ได้เห็นเดือนทำในสิ่งที่เดือนรัก พี่ก็มีความสุขแล้ว”
“อืม งั้นชั้นก็ขอบใจพี่มากนะ จริงๆ นะ” เดือนเหลือบมองแผลที่หัวพิมุก
“แผลแค่นี้เอง ลืมมันซะเถอะ ตอนนี้น่ะพี่อยากให้เดือนสนใจแต่เรื่องเตรียมตัวร้องเพลงก็พอ” เดือนยิ้มพยักหน้ารับเหมือนจะเริ่มเชื่อใจพิมุก พิมุกเหลือบมองแอบยิ้มหน้าตาเจ้าเล่ห์ “เดือนน่ะร้องเพลงเพราะออก พี่ชอบ น่าเสียดายนะที่จะมาหยุดอยู่ที่งานนี้เท่านั้น”
เดือนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย
“หมายความว่าไง หยุดอยู่ที่งานนี้”
“อ้าว ก็เห็นตะกี๊รวิมาบอกว่าเค้าไม่อยากให้เดือนเป็นนักร้องนี่ เห็นเค้ามาขอว่าอย่าให้พี่สนับสนุนเดือนอีก เฮ้อ น่าเสียดายจัง”
“อะไรนะ พี่รวิน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่เค้าคงรักเดือนมากล่ะมั้ง เลยไม่อยากเห็นเดือนดัง เค้าคงกลัวจะโดนเดือนทิ้งน่ะ”
“ไม่เกี่ยวกันเลยนะ ยังไงเดือนก็จะเป็นนักร้องให้ได้ พี่เคยบอกจะช่วยชั้นไม่ใช่เหรอ”
“แต่...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น เรื่องนี้เดือนเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่เกี่ยวกับพี่รวิ”
เดือนหันมาทำหน้างอพูดคนเดียว
“พี่นะพี่ คิดอะไรของเค้านะ”
พิมุกยืนยิ้มทำหน้าเจ้าเล่ห์ด้วยความสะใจ
ศิริพรเดินถือถุงกับข้าวพะรุงพะรังมาที่วิกลิเก ขณะนั้นรวิกำลังนั่งตอกตะปูซ่อมฉากอยู่อย่างอารมณ์ไม่ดี
“ระวังไม้มันจะหักซะก่อนนะรวิ” รวิหันมามองศิริพรก่อนจะหันไปตอกตะปูต่อ “พักก่อนดีกว่ารวิ อ่ะนี่น้ำจะได้ใจเย็นขึ้น” ศิริพรส่งถุงน้ำให้รวิ รวิวางมือหันมารับไปดื่มแล้วหันมาคุยกับศิริพร “ไปอารมณ์เสียที่ไหนมาเนี่ย รวิปกติเห็นใจเย็นจะตาย”
“ก็นิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้าไม่อยากเล่าก็ไม่เป็นไร” ศิริพรแกล้งทำไม่สนใจ
“เออ นี่ศิริพร พอจะรู้รายละเอียดไอ้งานสัญจรอะไรที่เค้าจะมาจากกรุงเทพฯ นั่นมั๊ย”
“อ๋อ ไอ้งานนั่นน่ะเหรอ ก็เห็นว่ามีวงดนตรีมาจากกรุงเทพมาโชว์น่ะ แล้วก็มีให้วงดนตรีเจ้าถิ่นร่วมแจมด้วย แต่เห็นเค้าว่ากันว่าใครมีแววพวกแมวมองจากกรุงเทพก็จะดึงไปร่วมสังกัดเชียวน้า”
“มิน่า”
“แต่งานนี้ชั้นว่าชั้นจะไม่ไปดูน่ะ”
รวิทำหน้าสงสัย
“อ้าว ทำไมล่ะ ไม่สนุกเหรอ”
“ไม่อยากเสี่ยงน่ะ”
“เสี่ยงเหรอ เสี่ยงอะไรน่ะ” รวิสงสัย ศิริพรแอบยิ้มเหลือบตามองรวิแกล้งทำหันซ้ายหันขวา
“ก็ รู้แล้วอย่าพูดไปนะรวิ ชั้นได้ยินมาว่างานนี้น่ะ ไอ้พิมุกกับพวกคู่อริมันน่ะ นัดกันจะมาตีกันในงานนี้ แบบที่เห็นในข่าวกันบ่อยๆ น่ะ น่ากลัวออก ทั้งปืนทั้งอะไร โอ๊ย ชั้นไม่ไปเสี่ยงหรอก”
“จริงเหรอเนี่ย อย่างนี้ก็ไม่ปลอดภัยน่ะสิ”
“ก็ใช่น่ะสิ ชั้นถึงไม่อยากไปไง เอ๊ะ ว่าแต่ได้ข่าวว่าเดือนเค้าได้ขึ้นร้องเพลงในงานนี้นี่ ยังไงก็ระวังตัวหน่อยละกัน อยู่บนเวทีด้วยโดนลูกหลงเอาง่ายๆ” ศิริพรแอบเหลือบตามองรวิอย่างเจ้าเล่ห์
“เดือนนะเดือน เตือนอะไรไม่ยอมฟังกันเลย” รวิพูดกับตัวเองแล้วลุกเดินจากไป ศิริพรยิ้มเยาะอย่างสะใจ
“ทีนี้ ก็เหลือนังนภา”
พขำยืนถือไมค์กลางห้องซ้อม
“ณ บัดนี้ขอเชิญพ่อแม่พี่น้องพบกับ สาวทรงเสน่ห์ทั้งเสียงร้องและลีลา เจ้าแม่แห่งวงการลูกทุ่ง อัณฑะมุกจากอันดามัน นภา ฟ้างาม ครามฝัน”
นภากาศเดินออกมาแต่งตัวเต็มอลังการ
“เชฟ บ๊ะ บ๊ะ บ๊ะ เอวยี่สิบหก อกสามสิบห้า หน้าผากโหนกนูนนนน”
นภากาศร้องจนจบเพลง หางเครื่องด้านหลังซ้อมเต้นเต็มที่ เดือนมองดูนภากาศอย่างปลาบปลื้ม
เมื่อนภากาศร้องจบเพลง มีอาการเหนื่อยหอบ เซ แต่พยายามเก็บอาการ เดือนเอายาดมยื่นส่งให้พร้อมรอยยิ้ม นภากาศไม่ยอมรับยาดมจากเดือน
“ดูเอาไว้ มืออาชีพ มันต้องมาเต็ม ถึงจะแค่ซ้อมก็เหอะ”
“มาล้ยเลยเหอะ หอบแฮ่กเนี่ย เห็นอยู่” เดือนพูดเล่น แต่นภากาศโกรธ พยายามสะกดลมหายใจ
“ที่หอบนี่ ไม่ใช่ว่าเหนื่อย ชั้นแค่ไม่อยากหายใจจังหวะเดียวกับมือใหม่”
“ขำ ให้เดือนซ้อมมั่ง” ประทีปบอก ขำจึงพูดใส่ไมค์
“ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่แห่งวงการ เดือน งามพร้อม”
ขำเดินเลี่ยงออกไปเสียงดนตรีดังขึ้น แดนเซอร์ที่ยืนหันหลังอยู่ หันกลับมาเต้นตามจังหวะ เดือนเดินแทรกออกมาตรงกลางอย่างโดดเด่น ร้องเพลงและเต้นอย่างกลมกลืน โรจน์กับประทีปนั่งมองอย่างพอใจ
“นี่ยังไงล่ะ เพชรน้ำเอกของวงเรา นี่ถ้าให้มาเป็นนักร้องตั้งแต่แรกนะป่านนี้ดังเป็นพลุแตกไปแล้ว”
“เฮ้อ ทำไงได้ ก็ไอ้พิมุกมันสั่งไว้นี่ นี่ก็ไม่รู้งานนี้จะเล่นอะไรตุกติกอีกหรือเปล่า”
ลิ้นจี่ที่ยืนมองอยู่ด้านข้าง มองเดือนสลับกับมองโรจน์สีหน้าโกรธและอิจฉาอย่างเต็มที่ แก้วที่เต้นอยู่ด้านหลังเดือนก็คอยมองค้อนเดือนอย่างอิจฉาจนเผลอเต้นผิด
“อ้าวๆ นังแก้ว เต้นให้มันดีๆ หน่อย เดี๋ยวก็ไล่ให้ยืนริมเหมือนเดิมหรอก” โรจน์หันมาทางลิ้นจี่ “เธอเองก็เหมือนกัน ไม่รู้จักสั่งสอนมันให้เต้นดีๆ หรือไง เออ ยิ่งแก่ยิ่งไม่ได้เรื่อง”
ลิ้นจี่ทำหน้าโมโหสะบัดสะบิ้ง หันไปมองแก้วที่หลบตาและพยายามเต้นตามต่อไป นภากาศเดินผ่านเข้ามา ยืนแอบมองอยู่นิ่งๆ ไม่มีใครรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เพลงจบเดือนยืนโพสต์ท่าพร้อมแดนเซอร์อย่างสวยงาม โรจน์กับประทีปตบมือพร้อมกัน
“เยี่ยมมาก เยี่ยมจริงๆ”
“เออ เดือน ทำได้ดีมากเลยนะ”
เดือนหันมายิ้มและยกมือไหว้ขอบคุณประทีปและโรจน์
“วันจริงให้มันได้อย่างนี้นะ ดีไม่ดี ดังเอาง่ายๆ เลยนะ”
“เดี๋ยววันนี้ไปพักก่อนละกัน แล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้มาซ้อมใหม่ ขยันๆ หน่อย อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันงานแล้ว”
เดือน ขำกับป้อมเดินเข้ามาจับมือยินดีหัวเราะร่ากับเดือน แก้วมองมาด้วยสายตาอิจฉาอย่างแรง โรจน์กับประทีป หันกลับมาเห็นนภากาศ นภากาศสบตาโรจน์แล้วเธอก็เดินจากไป โรจน์กับประทีปกลืนน้ำลายเอื๊อกหวั่นใจ
“ยังไงดีว้า”
ค่ำวันนั้นเดือนเดินเข้ามาในบ้านพร้อมถุงกับข้าวหลายอย่าง ช้อยนั่งปะผ้าอยู่หันมามอง
“เอ็งซื้ออะไรมาเยอะแยะวะนังเดือน”
“ก็พวกกับข้าวและขนมน่ะจ้ะแม่ นี่ไงของชอบของแม่ทั้งนั้นเลย”
ช้อยวางผ้าที่ปะอยู่ลง หันมามองหน้าเดือน
“เอ็งจะซื้อทำไมให้มันเปลืองสะตุ้งสะตังวะ ในบ้านมีอะไรก็กินกันไปอย่างนั้นล่ะ”
เดือนวางกับข้าวลงเดินมานั่งข้างช้อยพร้อมกับบีบมือ
“โธ่ แม่ นานๆ จะซื้อที และไอ้เรื่องเงินน่ะไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวชั้นก็ได้เป็นนักร้องดังละ คราวนี้ชั้นจะให้แม่ใช้อย่างเต็มที่เลย”
“นักร้องดังอะไรของเอ็งวะ ข้าเห็นเอ็งยังเป็นหางเครื่องเต้นด๊อกแด๊กอยู่เลย”
“ตอนนี้เค้าให้ชั้นร้องแล้วจ้ะแม่ แถมเป็นงานใหญ่ด้วยนะ คนที่กรุงเทพเข้ามากันเยอะแยะ ดีไม่ดีชั้นอาจได้เข้าวงการดังไปเลยนะแม่”
“หึ...เมื่อไหร่เอ็งจะเลิกฝันลมๆ แล้งๆ ซักทีวะ เฮ้อ...เอ่อ แล้วว่าแต่ทำไมอยู่ๆ เค้าให้เอ็งร้องล่ะ”
เดือนทำหน้าสงสัยเล็กน้อย
“ก็เห็นเค้าบอกว่าพี่พิมุกเค้าช่วยสนับสนุนชั้นน่ะ”
ชื่อของพิมุกทำให้ช้อยมีสีหน้ากังวล
“ไอ้พิมุกน่ะเหรอ ข้าว่ามันแปลกๆ นะ เอ็งอย่าไปร้องเลยว่ะงานนี้ ข้าสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”
เดือนทำหน้าไม่พอใจ กระฟัดกระเฟียด
“โธ่ แม่อ่ะ พูดเหมือนพี่รวิเลย ไม่รู้ล่ะยังไงๆ งานนี้ชั้นก็ต้องขึ้นร้องให้ได้”
เดือนไม่พอใจลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้อง ช้อยทำหน้าอ่อนใจ
“เฮ้อ จะพูดจะเตือนอะไรมันไม่เคยฟังเลยนังลูกคนนี้”
ช้อยมองตามเดือนที่เดินเข้าไป ด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ขณะที่ศิริพรเดินร้องงิ้วมาตามทาง แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นแก้วยืนดักรออยู่เงียบๆ
“เอ้า มาทำอะไรมืดๆ”
“ไปไหนมา”
“เดี๋ยวนะ ทำไมต้องบอกด้วย”
“ไม่รู้หรอกนะ ว่าคิดจะทำอะไรอยู่ เห็นไปเสี้ยมฝั่งโน้นที เสี้ยมฝั่งนี้ที อย่านึกว่าใครเขาจะไม่เห็นนะ”
“แล้วไง” ศิริพรมองแก้วอย่างไม่กลัว
“ไม่แล้วไง ก็แค่อยากจะบอกว่า ที่ตอนนี้ เรายังไม่ฟัดกันเองนะ ก็เพราะว่ามีศัตรูคนเดียวกันอยู่หรอกนะ ถ้าที่อะไรพอให้ช่วยได้ก็บอก”
“โห น้องเอ๋ย เด็กๆ ไปอยู่ส่วนเด็กไป เรามันคนละรุ่นกันแล้ว”
ศิริพรยิ้มจะเดินจากไป แก้วเข้าไปพูดใกล้ๆ
“เคยได้ยินคำว่าคลื่นลูกใหม่มั้ย ยังไง เด็กมันก็สดกว่า ระวัง อย่าเปิดศึกสองทาง” แก้วกับศิริพรมองไปเห็นนภากาศ “คุณนภา”
ศิริพรมองนภากาศแบบต้องการจะหาพวก
“ดูเหมือนเราจะมีเพื่อนร่วมทีมเพิ่มรึเปล่าคะ”
“อย่าเหมารวม เราไม่เหมือนกัน”
“เราไม่เหมือนกัน แล้วเธอเหมือนใครเหรอ” ศิริพรยิ้ม
“ชั้นเหมือน..” นภากาศนิ่งคล้ายไม่อยากพูดออกมา “เดือน”
“เรื่องมันคงนานมากแล้วล่ะสิ” แก้วทำเสียงยานคางแบบประชด
“ถ้าไม่อยู่ข้างเดียวกัน ก็ตรงกันข้ามกัน เท่านั้นเอง” ศิริพรขวางนภากาศจะเอาเรื่อง แต่นภากาศไม่กลัว
“ให้ทาย” ศิริพรจ้องหน้านภากาศ แก้วสองจิตสองใจเอาไงดี “หลีก เดี๋ยวเอานมตบหน้าหัน”
ศิริพรหลีกให้อย่างอาฆาต ทิ้งให้ศิริพรครุ่นคิดตามองนภา รู้สึกเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นที่ร้านกาแฟข้างทาง รวิ ป้อมและขำนั่งล้อมวงอยู่ที่โต๊ะ ขำนั่งกินปาท่องโก๋อย่างมูมมาม รวินั่งคนกาแฟในแก้วเหม่อลอย
“ไอ้ขำ แกจะกินให้มันเหมือนมนุษย์มนาได้มั๊ยเนี่ย ดู๊ดู ยัดเอายัดเอา”
“โธ่ พี่ป้อม เค้าบอกว่าอาหารเช้าน่ะสำคัญต้องกินให้มันเยอะๆ”
“ชั้นก็เห็นแกเยอะทุกมื้อละวะ อ้าว แล้วรวิล่ะ นี่ก็ไม่เห็นกินอะไรเลยเป็นอะไรหรือเปล่ารวิ”
รวิถอนหายใจมองหน้าป้อมกับขำ เดือนเดินหน้าง้ำเข้ามายืนหลังรวิ เขาไม่รู้ว่าเดือนมายืนอยู่
“เฮ้อ ก็ไอ้งานดนตรีสัญจรอะไรนั่นน่ะสิ ชั้นรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้”
ป้อมพยายามส่งสัญญาณเตือนรวิ
“อ๋อ ทำไมล่ะ ก็เดือนมันก็ได้ร้องเพลงแล้วนี่ ไม่ดีใจกับมันเหรอ”
“ก็นั่นล่ะที่ชั้นรู้สึกแปลกๆ เห็นว่าไอ้พิมุกเป็นคนสนับสนุนนี่”
ป้อมกับขำเห็นเดือนยืนอยู่ด้านหลังรวิจึงพยายามเตือนรวิ
“ไม่มั๊ง” ป้อมพยายามบุ๊ยปากอยากบอกรวิ แต่รวิก็ยังไม่รู้
“เดือนนะ ไม่เคยฟังกันเลย ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ จะจับถกกางเกงตีก้นซะให้เข็ด” รวิเริ่มเอะใจ เห็นสองคนนั่น นั่งนิ่งมองด้านหลังเขา “เดือนไม่ได้ยืนอยู่ข้างหลังใช่มั้ย” สองคนจำใจพยักหน้า ว่าเดือนยืนอยู่ รวิหันมายิ้มเบาๆ กับเดือน “มาเงียบๆ มีอะไรเปล่า”
เดือนงอน หันไปพูดกับขำ
“เห็นบัตรประชาชนเปล่า”
“ไปทำหล่น ทำลืมไว้ที่ไหนเปล่า”
“สงสัย” เดือนพยักหน้าเห็นด้วยกับขำ ชายตามองรวิ แล้วเดินจากไป
“ไม่เตือนกันเลย” รวิต่อว่าป้อมกับขำ
“เว้นช่องให้เตือนมั่งมั้ย”
“งานนั่น คงไม่มีอะไรหรอก คิดมากน่า”
“แต่ชั้นได้ยินมาจากศิริพรนะ ว่าพวกไอ้พิมุกน่ะ มันจะมามีเรื่องกันในงาน”
“จริงเหรอเนี่ย แต่จะเชื่อได้เหรอ ข่าวจากนังต้นงิ้วนั่นน่ะ”
“เค้าชื่อศิริพรไม่ใช่เหรอพี่ป้อม”
“ก็ชั้นจะเรียกนังต้นงิ้วนั่นน่ะ เหมาะแล้ว”
“จะยังไงก็เหอะ ชั้นว่าชั้นจะต้องทำอะไรซักอย่าง ชั้นไม่ยอมให้เดือนเป็นอะไรแน่”
รวิสีหน้าจริงจังสายตาแน่วแน่
แก้วเดินครุ่นคิดมานั่งที่โต๊ะ กิมนั่งจิบน้ำชาอยู่หันมามอง
“เป็นอะไรของแกวะ นังแก้ว ทำหน้ายังกับกินยาผิดอย่างนั้น”
“จะอะไรซะอีกล่ะ ก็นังเดือนน่ะสิ” กิมหูผึ่ง
“นังเดือน มันทำไม”
“ก็นังเดือนน่ะสิ มันได้เป็นนักร้องแล้ว แถมได้ร้องในงานใหญ่ด้วย งานนั้นนะมีแต่พวกแมวมองจากรุงเทพฯทั้งนั้นเลย โอ๊ย...หมั่นไส้”
“แล้วมันได้เป็นได้ยังไงวะ ก็เห็นยังเต้นเป็นหางเครื่องอยู่เลย”
“ก็คุณพิมุกน่ะสิ สนับสนุนให้มันเป็น หึ เจ็บใจนัก”
“หนอย นังเดือน อย่างงี้นังช้อยแม่มันก็หน้าบานเลยล่ะสิ แล้วแกล่ะนังแก้ว ทำไมไม่รู้จักไปหาคุณพิมุกเค้าบ้างทำไมไม่รู้จักไปอ่อย เอ้ย...ไปตีสนิทกับเค้า”
“โอ๊ย แม่นึกว่าชั้นไม่อยากไปเหรอไง นานๆ ทีถึงจะมีโอกาสได้ไป ก็ไอ้แก่โรจน์น่ะสิ ชอบส่งชั้นไปหาคนอื่นแทน” แก้วลืมตัวพูดออกมา กิมทำหน้าสงสัย
“คนอื่น คนอื่นที่ไหนวะ แล้วเค้าส่งแกไปทำไม”
“ก็ ก็ ไม่มีอะไรหรอก เค้าใช้ให้ชั้นเอาของไปให้เฉยๆ น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“ยังไงซะแกต้องอย่ายอมแพ้นังเดือนมันนะ ชั้นล่ะหมั่นไส้นังช้อยแม่มันจริงๆ”
“รู้แล้วล่ะน่า ชั้นไม่ยอมแพ้มันหรอกทั้งเรื่องความเด่นดัง แล้วก็เรื่องคุณพิมุกด้วย” กิมมองลูกแล้วก็ถอนหายใจ เดินจากไป แก้วหงุดหงิด ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นกด “ศิริพร ชั้นเอาด้วย”
แก้วกดปิดวางสายลง แววตาเอาแน่
ที่ลานจดรถหลังตลาด นภากาศเปิดหลังรถเอาผักที่ซื้อมาจากตลาดใส่หลังรถ โดยไม่ทันรู้ตัว เธอก็ถูกแก้วเอากระสอบข้าวคลุมหัวจากทางด้านหลัง แล้วดึงเชือกรูดปากกระสอบมัดกับพุงนภากาศ มือของนภากาศแนบติดกับเอวทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ดิ้นรนไปมา
“ใครน่ะ อะไรกัน ว๊าย โอ่ย นี่แน่ะ เอากะแม่เหรอ เอากะแม่เหรอ”
นภากาศถีบสู้มั่วไปมา แก้วผลักนภากาศเซไปพิงรถแล้วตบๆๆ ตรงส่วนที่เป็นใบหน้าที่อยู่ใต้กระสอบข้าว นภากาศถึงแม้จะถูกมัดมือ กระสอบคลุมไปครึ่งตัวยังถีบแก้วปลิวได้ ศิริพรเข้ามาช่วย ถีบนภากาศล้มลง นภากาศลุกไม่ขึ้นศิริพรขึ้นคร่อมตบๆๆๆ แล้วก็ลุกขึ้นเหยียบ แก้วเข้ามาช่วยกระหน่ำซ้ำ จนนภากาศแน่นิ่งไป ตลอดเวลาศิริพรกับแก้วไปได้พูดเลย นอกจากส่งเสียงฮึ่ดๆๆๆ เวลาตบ
“ได้มาเปล่า” ศิริพรถามทั้งที่หอบแฮ่ก แก้วส่งบัตรประชาชนเดือนให้ศิริพร ศิริพรรับมาดู แล้วก็เอาโยนไว้ข้างๆ ร่างนภากาศที่นอนนิ่งอยู่ “จะเอานมตบเหรอ”
ศิริพรกระทืบพุงนภากาศส่งท้ายแล้วก็เดินจากไปกับแก้ว
พิมุก เตี้ย บ่าง เดินเก็บดอกเบี้ยกับพวกพ่อค้าแม่ค้าเหมือนเดิม ศิริพรเดินซื้อของหยิบนู่นหยิบนี่มาดู พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพิมุก เลยแกล้งเดินเฉียดมาทำเป็นซื้อของใกล้ๆ
“หวังว่าคงเตรียมอะไรไว้เรียบร้อยนะ”
พิมุกได้ยินเสียงจึงหันมามองพอเห็นเป็นศิริพรจึงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แกล้งหยิบของดูนู่นดูนี่ พร้อมกับคุยกันโดยไม่มองหน้า
“ไม่ต้องห่วงหรอก ของเธอล่ะ ไปจัดการเป่าหูไอ้รวิมาหรือยังล่ะ”
“เป่าหูอะไรกัน ชั้นก็แค่พูดคุยกับเค้าตามปกตินั่นล่ะ”
“งั้นเหรอ เธอนี่มันนางมารตัวแม่เลยนะ”
“เฮ้อ เธอนี่ก็ช่างกล่าวหาชั้นจริงๆ นะ ชั้นก็บอกแล้วไงว่าแค่คุยกับเค้าธรรมดา เพียงแต่ว่าเรื่องของเธอน่ะ แค่ยุนิดยุหน่อย ใครๆ เค้าก็ต้องเชื่อ เพราะพื้นฐานเธอมันเลวอยู่แล้ว”
“เราสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอกมั้ง เรียกว่าสูสีเลยดีกว่า”
พิมุกยื่นหน้าเข้าไปกระซิบข้างหูของศิริพร ก่อนจะเดินไป ศิริพรเชิดหน้าขึ้นยิ้มที่มุมปากมองตามพวกพิมุกที่เดินไปด้วยหางตา
บนเวทีดนตรีสัญจร โรจน์ดูนาฬิกาเดินวนไปมา
“ทำไมนภา ไม่มาซ้อมคิวอีก”
“นางคงมั่นใจมากมั่ง”
“ไม่รู้เหมือนกันนะ หนูก็ไม่เห็นพี่เขาว่าอะไร”
“นึกว่าจะดีขึ้น เห็นมีซ้อมๆ มั่ง พอวันจริง เดี๋ยวก็เละจนได้”
“เดี๋ยวคงมามั๊ง ยังไง พี่นภาเขาก็ไม่เคยเหลวไหล”
ตำรวจเดินขึ้นเวทีมา
“อันนี้ วงดนตรีอะไรครับ”
“ฟ้างาม ครามฝัน”
“เดือน อยู่วงนี้ใช่มั้ยครับ” ตำรวจถามในมือถือบัตรประชาชน เดือนยกมืองงๆ
“หนูเองค่ะ”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ”
“ขอเชิญคุณไปโรงพัก หน่อยครับ”
“เดี๋ยวๆๆ นี่มันเรื่องอะไรกันครับเนี่ย”
ตำรวจถอนหายใจ หนักใจ
“นักร้องที่ชื่อ นภา...”
ทุกคนมองหน้ากันหวั่นใจ ไม่มีใครกล้าคาดเดาอะไร เห็นอาการตำรวจหนักใจมาก จนไม่อยากพูดต่อ
“พี่นภา เป็นอะไรคะ”
“คุณนภา” ตำรวจส่ายหน้า เศร้าใจ
นภากาศขอบตาเขียวปากเจ่อนั่งโอดโอยอยู่ที่โรงพักดูน่าขำมากกว่าน่าเป็นห่วง
“โหย คุณตำรวจแล้วก็พูดซะตกอกตกใจ” เดือนบอกเมื่อมาเห็นสภาพนภากาศ
“แค่นี้ยังไม่น่าจกใจอีกเหรอลองมาเป็นชั้นมั่งเอามั้ย”
“ประเด็นคือบัตรประชาชนคุณไปตกอยู่ในที่เกิดเหตุได้ยังไง”
“บัตรประชาชนหนู…” เดือนนิ่งทบทวน มองทุกคน “นี่คงไม่ได้คิดว่า...”
โรจน์ ประทีปมองหน้ากันแบบแอบคิดว่าเป็นเดือนอยู่เหมือนกัน ทุกคนนิ่งคิดตาม ขำกับป้อมมองหน้ากันรู้ว่าไม่ใช่เดือนแน่ๆ นภากาศเองก็นิ่งมองเดือน
“เดือนนี่เธอน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ” แก้วบอก
“บ้า ไปกันใหญ่แล้วบัตรหนูหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้หนูยังถามหากะเพื่อนอยู่เลย”
“ใช่ จริงครับเมื่อเช้าเดือนก็ถามหา”
“พวกกัน”
เดือนมองหาคนเชื่อ
“คุณตำรวจ พี่โรจน์ คุณประทีปไม่ใช่เดือนจริงๆ นะคะ พี่นภาไม่ใช่หนูจริงๆ นะ”
“ทำไมเลวอย่างเงี๊ยะอ่ะเดือนนี่ คิดว่าถ้าพี่นภาร้องเพลงไม่ได้คืนนี้เธอจะเด่นในเวทีดนตรีดนตรีสัญจรคนเดียวงั้นเหรอ”
“เอาอะไรคิดกันน่ะ” เดือนหวั่นไหวพยายามหาคนเชื่อ
“พยานที่ยืนยันได้ก็เป็นเพื่อนสนิทเรานี่”
ตำรวจไม่เชื่อเดือน นภากาศนิ่งเมินมองไปทางอื่นไม่อยากมองหน้าเดือน โรจน์ประทีปส่ายหน้าพูดอะไรไม่ออกแก้วแอบยิ้มสะใจ
“เอาเงี๊ยะพี่นภาเพื่อพี่หนูจะร้องเพลงเเทนพี่เอง เดือนเธอติดคุกไปก็แล้วกัน” แก้วบอก
“บ้า หนูถูกใส่ร้ายนะคะคุณตำรวจ”
ตำรวจถามนภากาศ
“จะแจ้งความมั้ยครับ”
นภากาศนิ่งมองหน้าเดือน เดือนสบตาหวั่นๆ เหมือนจะขอความเห็นใจ นภากาศเมินพูดในสิ่งที่ไม่อยากพูด
“คนทำร้ายดิชั้นไม่ใช่นังเด็กเมื่อวานซืนนี่หรอก”
เดือนตาโตแต่ก็รู้สึกดี
“อะไรคะพี่นภาทำไมเป็นแม่พระ”
“แน่ใจนะนภา”
นภากาศพยักหน้าเชิดแต่ก็มีแอบคอเคล็ดร้องโอย
“แต่คุณบอกว่าคุณถูกกระสอบคลุมหัวอยู่มองไม่เห็นคนร้าย”
“ชั้นมั่นใจว่าไม่ใช่เดือน เพราะชั้นไม่เคยคิดจะเอานมตบหน้านังเด็กนี่”
ตำรวจ ประทีป โรจน์มองหน้ากัน แก้วอึกอักก้มหน้า
“หมายความว่าไง”
“คนที่มีเรื่องกะชั้นเคยถูกชั้นบอกว่าจะเอานมตบหน้ามัน มันพูดย้อน”
“พี่ หูฝาดไปรึเปล่า” แก้วถามเสียงอ่อย
“แล้วเรื่องแจ้งความ” นภากาศส่ายหน้า
“ชั้นไม่รอกฎหมายหรอกค่ะ เดี๊ยนจัดเองดีกว่า”
“แล้วพี่คิดว่าเป็นใคร”
“อย่ายุ่งเรื่องส่วนตัวของชั้น” นภากาศสะบัดหน้า คอเคล็ด “อูย”
“แล้วคืนนี้จะร้องไหวมั้ยเนี่ย”
นภากาศมองเดือน
“ชั้นต่อให้ คืนนี้ยังไงชั้นก็ไม่ให้หล่อนฉายแสงคนเดียวหรอก”
เดือนมองหน้านภากาศแบบยังไงก็รู้สึกดีที่นภากาศไม่สงสัยว่าเธอเป็นคนทำร้าย
แก้วอึกอักแอบหงุดหงิดใจ
อ่านต่อหน้า 3
หางเครื่อง ตอนที่ 4 (ต่อ)
งานดนตรีสัญจรจัดขึ้นตามกำหนด หน้าเวทีผู้คนเดินขวักไขว่ วงดนตรีหลายวงสลับกันขึ้นเล่น รวิเดินเข้ามาในงานสีหน้าจริงจังมองไปที่เวที
ด้านหลังเวที นักแสดง แดนเซอร์แต่งตัวกันอยู่อย่างวุ่นวาย เดือนเดินมาข้างเวทีแอบมองมาด้านหน้าอย่างตื่นเต้น พิมุกเดินมาด้านหลังมองเดือนในชุดนักร้องอย่างหื่นกระหายเอื้อมมือจะไปจับเดือนแต่เดือนหันกลับมาพอดีเลยแกล้งดึงมือกลับ
“อุ๊ย อ้าว พี่พิมุก เข้า เข้ามาทำอะไรข้างหลังเวทีนี่” สีหน้าเดือนกลัวเล็กน้อย
“แหม พี่ก็มาช่วยดูความเรียบร้อยน่ะสิจ๊ะ งานนี้น้องเดือนเป็นนักร้องทั้งทีพี่ก็อยากให้ทุกอย่างมันเรียบร้อย”
“อ่อ ขอบใจมากนะ แต่ตรงนี้ไม่มีอะไรแล้ว พี่ออกไปดูข้างหน้าดีกว่ามั๊ย เดี๋ยวเดือนจะไปเตรียมตัวแล้วด้วย”
“เอางั้นก็ได้จ้ะ งั้นเดี๋ยวพี่อออกไปดูข้างนอกนะจ๊ะ”
เดือนเดินผ่านพิมุกไป พิมุกมองตามตาเป็นมัน
เดือนกับป้อมยืนคุยกัน เดือนเหลือบมามองระแวงด้านหลังเป็นระยะเพราะพิมุกยืนอยู่
“เอ้าๆ เตรียมตัวออกได้แล้ว โฆษกออกไปแล้ว เดือน พร้อมนะ”
เดือนยืนกุมมือกับป้อมอย่างตื่นเต้น ป้อมบีบมือให้กำลังใจเดือนก่อนจะเดินออกไปก่อน เสียงขำลอยดังมาจากหน้าเวที
“ณ บัดนี้ขอเชิญพ่อแม่พี่น้องพบกับ สาวน้อยทรงเสน่ห์ทั้งเสียงร้องและลีลา ดาวรุ่งพุ่งแรงดวงใหม่แห่งวงการ เดือน งามพร้อม ประชันเสียงเพลงกับ เจ้าหญิงแห่ง ฟ้างาม ครามฝัน นภากาศ”
เดือนมองนภากาศที่ยังคอเคล็ด อูยโอยอยู่ที่เดินขึ้นมาข้างเธอ นภากาศไม่มองเธอด้วยซ้ำ เดินนำออกไปก่อน เดือนสูดลมหายใจเข้าเต็มที่ก่อนจะตัดสินใจเดินออกไป
กลุ่มคนดูตบมือส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด แดนเซอร์หมุนตัวกลับมาวาดลีลาตามจังหวะ เดือนเดินแทรกออกมาจากตรงกลางร้องเพลงและวาดลีลาตามจังหวะ คนดูเห็นเดือนออกมายิ่งตบมือโห่ร้องดังกว่าเดิม นภากาศกับเดือนร้องเพลงคู่กัน อย่างไม่มีใครยอมใคร
รวิยืนดูอยู่ในกลุ่มคนดูสายตาคอยสอดส่องมองซ้ายมองขวาหาพิมุก พิมุกแกล้งทำเดินแทรกเข้ามาพร้อมด้วยลูกน้องอีกหลายคน แอบเหลือบตามองรวิ พอรู้ว่ารวิกำลังแอบมองอยู่ก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ส่งซิกให้พรรคพวกอีกกลุ่มเข้ามา
ลูกน้องของพิมุกอีกลุ่มหนึ่งพอเห็นพิมุกให้สัญญาณแล้วก็แกล้งเดินเข้ามาเป็นกลุ่มพยายามแทรกตัวไปข้างหน้า พิมุกกับลูกน้องแกล้งเดินตามไปข้างหน้า เอามือจับที่ด้านในเอวทำท่าเหมือนจะควักอะไรออกมาซักอย่าง
รวิสังเกตเห็นพิมุกกับอีกกลุ่มหนึ่งแล้วก็มีท่าทีลุกลี้ลุกลน หันไปพยักหน้าเรียกเด็กในคณะลิเกให้เดินตามกลุ่มพิมุกไป
พิมุกแอบคอยเหลือบตามองรวิเป็นระยะ พอเห็นรวิเดินตามเข้ามาก็รู้สึกดีใจเป็นไปตามแผน พยายามเดินแทรกขึ้นไปข้างหน้าอีก พอได้จังหวะก็ล้วงมือเปิดเสื้อคลุมให้รวิเห็นปืนที่พกอยู่ทำท่าจะควักออกมา รวิเห็นพิมุกทำท่าจะควักปืนออกมาคิดว่าต้องมีเรื่องกับอีกกลุ่มหนึ่งแน่ กลัวว่าจะโดนลูกหลงไปยังเดือนและคนอื่นๆ จึงตัดสินใจวิ่งเข้าไปใส่พิมุกตามด้วยเด็กในคณะลิเกจนเกิดการต่อสู้ชุลมุนขึ้น คนดูที่อยู่รอบๆ พากันตกใจแตกตื่นวิ่งหนีกันโกลาหล กลุ่มของพิมุกอีกกลุ่มหนึ่งก็แกล้งขว้างปาข้าวของชกต่อยกันให้โกลาหลกว่าเดิมจน ในที่สุดคนดูต่างพากันวิ่งหนีหายกระเจิงกันไปหมด กลุ่มตำรวจและเจ้าหน้าที่ต้องวิ่งเข้ามาจัดการ
เดือนกับนภากาศที่ทั้งร้องทั้งเต้นอยู่บนเวทีเหลือบไปเห็นจังหวะที่รวิวิ่งเข้าใส่กลุ่มของพิมุกก่อน จนเกิดโกลาหลขึ้น ข้าวของที่ถูกปาขึ้นบนเวที แดนเซอร์ นักดนตรีต่างพากันกรี๊ดกร๊าดวิ่งหนีเข้าด้านหลังเวที เดือนยืนตะลึงมองคนดูที่ต่างพากันวิ่งหนีแตกตื่น นภากาศเจนเวทีกว่า เดินหลบไปอย่างไม่ตื่นเต้นอะไร เดือนทำอะไรไม่ถูกจนป้อมต้องมาฉุดเธอเข้าไปด้านหลังเวที
หลังเวทีแดนเซอร์และนักดนตรีต่างนั่งเมาท์กันถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ลิ้นจี่เดินเข้ามากลางวงและโวยวายขึ้น
“หมดๆ พังกันหมด มันอะไรกันนักกันหนาวะ”
แก้วรีบสอพอเข้ามา
“นั่นน่ะสิ พังหมดเลย น่าสงสารจังน้า จริงๆ งานนี้ใครบางคนจะได้เกิดแล้วเชียว” แก้วชายตามามองเดือน “แล้วใครบางคนก็เกือบดับเเล้วด้วย” แก้วชายตามองนภากาศ
เดือนหน้าเสีย ป้อมกับขำรีบเดินเข้ามาบีบไหล่ให้กำลังใจ
“คนมันจะดังหรือจะเกิดน่ะ โอกาสมันก็มีมาเรื่อยๆ ล่ะ ไม่เหมือนอีพวกหวังลมๆแล้งๆ คอยแต่เห่ากัดเค้าไปเรื่อยหรอก”
ลิ้นจี่หันไปพูดประชดกับแก้ว
“นี่นังแก้ว แกจะไปว่าอะไรเค้า คนมันจะเกิดจะดังน่ะ นี่ดูซิขนาดเวทีแรกก็ดังแล้วเห็นไหม ดังจนคนแตกกระจายไปคนละทิศละทางเลย หึ”
“อุ๊ย นั่นสิจ๊ะพี่ลิ้นจี่” แก้วหันไปมองเดือน “เดือน ดีใจด้วยนะจ๊ะ”
“แหม อีนี่ปากดีจริงๆ ข้างหน้าเค้ามีเรื่องกันแล้ว เอาข้างหลังอีกซักคู่นึงดีมั๊ย”
ป้อมทำท่าจะวิ่งเข้ามาตบแก้วแต่เดือนห้ามไว้ แก้วทำลอยหน้าลอยตาเข้าไปหลบหลังลิ้นจี่ที่ยืนเท้าเอวอยู่ โรจน์กับประทีปเดินเข้ามาพอดี
“เฮ้ย! อะไรกันนักกันหนาวะ อยากจะกัดกันไปกัดที่อื่นโน่นไป น่ารำคาญจริงโว้ย ปัญหามันยิ่งเยอะๆ อยู่ ยังจะมากเรื่องเห่ากัดกันไม่เว้นอีก พอกันทั้งแก่ทั้งเด็ก” โรจน์ชายตามองลิ้นจี่
“หึ เป็นไงล่ะ งานแรกของนักร้องใหม่ สะใจดีมั๊ยล่ะ”
“ไม่ใช่เรื่องของเธอ มีหน้าที่ทำอะไรก็ทำไป อย่าปากดีให้มันมากนัก ประทีปเดี๋ยวเราไปคุยกันข้างนอกหน่อย นภาไม่เป็นอะไรนะ”
นภากาศยิ้มมุมปาก ไม่พูดอะไร ประทีปอ้อมแอ้มตัดบท
“อืม เอาสิ ชั้นก็มีอะไรจะคุยอยู่เหมือนกัน”
โรจน์และประทีปเดินออกไปข้างนอกปล่อยให้ลิ้นจี่ยืนมองอย่างโมโหอยู่
“พี่ป้อม เดือน เราก็ไปนั่งคุยกันทั้งโน้นดีกว่านะ ปล่อยให้ใครบางคนเค้ายืนบ้าไป เฮ้อ น่าสงสารนะ แก่แล้วก็เงี้ย ผัวเผอก็เมินหมด”
“ไอ้ขำ ไอ้ ไอ้”
ลิ้นจี่ยืนชี้หน้าขำ โกรธจนตัวสั่น แก้วหันมามองอย่างขำๆ ป้อม ขำและเดือนเดินเลี่ยงหลบออกไปข้างนอก
แก้วสบตานภากาศแบบไม่ค่อยอยากจะยอมหลบสายตาอยู่เหมือนกัน
เดือน ป้อม และขำออกมานั่งคุยกันที่โต๊ะว่างด้านนอก เดือนมีสีหน้าเศร้า ป้อมกับขำคอยปลอบ
“แกอย่าเศร้าไปนักเลยวะนังเดือน งานนี้มันพังเดี๋ยวก็มีงานอื่น”
“แต่งานนี้เป็นงานแรกเลยนะที่ชั้นได้ร้องเพลง แถมเป็นงานใหญ่อีกด้วย ทั้งๆ ที่ชั้นอาจจะได้เกิดในงานนี้ด้วยซ้ำ แต่ทำไมล่ะ ทำไม”
“เฮ้อ ก็คงไม่พ้นฝีมือไอ้พิมุกอีกนั่นล่ะ น่าเบื่อพวกมันจริงๆ สร้างแต่ปัญหาให้สังคม ทำไมคนแบบนี้มันไม่หมดไปจากโลกนี้ซะทีนะ”
เดือนหันมามองขำส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอกจ้ะ ไม่ใช่ฝีมือพี่พิมุกหรอก”
ป้อมกับขำหันมามองหน้าเดือน
“หมายความว่าไงของแก ก็ตะกี๊ เห็นไอ้พิมุกมันอยู่ข้างล่างนี่ ถ้าไม่ใช่ฝีมือมันและจะเป็นฝีมือใคร”
“พี่รวิ ฝีมือของพี่รวิ”
ป้อมกับขำหันมามองหน้ากัน
“อะไรนะ รวิ น่ะเหรอ แกจะบ้าหรอไงเดือน รวิเนี่ยนะ” เดือนพยักหน้ารับ
“แล้วรวิจะทำแบบนั้นทำไม หรือว่ารวิเห็นว่าไอ้พิมุกมันจะมาทำอะไร เลยเข้าไปขวางซะก่อน” เดือนส่ายหน้า
“ไม่ใช่หรอก ชั้นเห็น ชั้นเห็นพี่รวิเข้าไปหาเรื่องพี่พิมุกก่อน”
“แล้วมันจะทำแบบนั้นไปทำไมวะ”
“พี่รวิเค้าไม่อยากให้ชั้นเป็นนักร้อง เค้าไม่อยากให้ชั้นดัง เค้ากลัวว่าถ้าชั้นดังแล้วชั้นจะไม่เหมือนเดิม”
“เดือน แกจะบ้าเหรอ ทำไมแกคิดแบบนี้ รวิมันมีแต่คอยช่วยแกมาตลอดนะ”
“จริงๆ นะ พี่รวิเค้าคิดแบบนั้นจริงๆ”
เดือนทำหน้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์วันที่พิมุกบอกเรื่องรวิ
“เดือนน่ะร้องเพลงเพราะออก พี่ชอบ น่าเสียดายนะที่จะมาหยุดอยู่ที่งานนี้เท่านั้น”
เดือนขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย
“หมายความว่าไง หยุดอยู่ที่งานนี้”
“อ้าว ก็เห็นตะกี๊รวิมาบอกว่าเค้าไม่อยากให้เดือนเป็นนักร้องนี่ เห็นเค้ามาขอว่าอย่าให้พี่สนับสนุนเดือนอีก เฮ้อ น่าเสียดายจัง”
สีหน้าเดือนเปลี่ยนเป็นโมโห นึกน้อยใจรวิ
“ยังไงซะ ชั้นว่ารีบเก็บของดีกว่าแล้วเตรียมตามไปที่โรงพัก”
“โรงพัก แกจะไปทำไมวะโรงพัก”
“อ้าว ก็ไปช่วยรวิน่ะสิ พี่ไม่เห็นเหรอตะกี๊ตำรวจมาลากไปหมดแล้ว”
“เออๆ งั้นก็ไปกัน ไปเดือน”
ป้อมเดินมาดึงมือเดือนไปด้วยกัน เดือนทำท่าอิดออดไม่อยากไปเพราะยังโกรธรวิอยู่
โรจน์และประทีปแอบมองเดือนกับเพื่อนอยู่ด้านข้าง พอเดือนเดินไปแล้วจึงเดินออกมา โรจน์พยักหน้าเหมือนเข้าใจเรื่องราว
“ชั้นว่าชั้นรู้ละ ว่าอะไรเป็นอะไร”
“นายหมายถึง”
“ใช่ สาเหตุที่ไอ้พิมุกมันยอมให้เดือนร้องเพลงครั้งนี้ แสบนักไอ้พิมุกเพื่อผู้หญิงคนเดียวมันยอมลงทุนขนาดนี้ ทำให้พวกเราต้องเดือดร้อนไปด้วย”
โรจน์มีสีหน้าโกรธอย่างเห็นได้ชัด
พิมุกกับลูกน้องนั่งให้ปากคำกับตำรวจอยู่ที่โรงพัก เดือน ขำ ป้อมเดินเข้ามา ป้อมกับขำเบะปากทำหน้าหมั่นไส้เมื่อเห็นพิมุก
“พี่เป็นไงบ้าง”
เดือนถาม พิมุกแกล้งทำสำออย
“ก็เจ็บนิดหน่อยจ้ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก แค่เห็นหน้าเดือนก็หายแล้ว”
“มันน่าจะโดนให้สมองเสื่อมไปเลยเว้ย ไอ้คนแบบนี้”
พิมุกแอบเหลือบตามองมาที่ขำ แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่สนใจเพราะกลัวเสียแผน เดือนมองหารวิ ขำกับป้อมมองออกเลยถามตำรวจ
“นี่ๆ จ่า แล้วรวิกับพวกล่ะอยู่ไหน”
“อ๋อ อยู่ในห้องขังนั่นน่ะ เป็นญาติกันเหรอ จะประกันตัวมั๊ยล่ะ”
“อ้าว ผู้หมวดทำไมทำแบบนี้ล่ะคะ ทำไมจับแต่รวิกับพวกเข้าไปขัง แต่ทีไอ้คุณพิมุกนี่ออกมานั่งหน้าสลอนอยู่เนี่ย แบบนี้มันสองมาตรฐานนะคะสารวัตร”
ขำเดินมาสะกิดป้อม
“เจ๊ๆ เอายศเดียวพอ เดี๋ยวหมดโรงพัก”
“มีพยานหลายคนเห็นว่านายรวิเป็นคนเข้ามาทำร้ายคุณพิมุกก่อนนะครับ ทางเราจำเป็นต้องว่ากันไปตามกฎหมายนะครับ”
“โห อะไรวะ ลำเอียงเห็นๆ พยานที่ไหนกัน ก็พวกเดียวกับมันทั้งนั้นล่ะ”
เดือนเดินไปห้ามป้อม
“พอเถอะจ้ะพี่ป้อม ตำรวจเค้าก็ทำตามหน้าที่ ชั้นเองก็เห็นว่าพี่รวิเค้าเริ่มก่อนจริงๆ ด้วย”
“เดือน แกเป็นอะไรของแกวะ”
พิมุกหันไปมองขำกับป้อมยักคิ้วทำหน้ายียวนยั่วประสาท
“จริงๆ พี่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรหรอกนะ เฮ้อ แต่ก็ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณตำรวจเค้าจัดการไปน่ะ” เดือนพยักหน้ารับ ขำกับป้อมมองหน้ากันหันมาซุบซิบหมั่นไส้พิมุก “แต่ก็น่าเสียดายนะ งานนี้เดือนอุตส่าห์ได้เป็นนักร้องทั้งที นี่พี่เห็นนะตอนที่เดือนออกมาร้องทีแรก เอ่อ ก่อนจะเกิดเรื่องน่ะ พวกแมวมองจากกรุงเทพเค้ามองเดือนแล้วชอบใจกันใหญ่เลย แหม่...น่าเสียดายจริงๆ ดีไม่ดีเค้าอาจจะเอาเดือนไปปั้นจนดังก็ได้”
เดือนทำหน้าโกรธและเสียดาย พิมุกแอบเหลือบตามองและยิ้มที่มุมปาก
“ดิชั้นมาขอประกันตัวรวิกับพวกค่ะ” ศิริพรเดินเข้า ทุกคนหันไปมองตามเสียง พิมุกแอบยิ้มส่งสายตารู้กันกับศิริพร เดือน ขำ ป้อม หน้างอขึ้นมาทันที “ดิชั้นมาขอประกันตัวน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าสามารถทำได้ใช่มั๊ยคะคุณตำรวจ”
“ได้ครับ เดี๋ยวกรอกเอกสารและทำตามขั้นตอนนะครับ จ่าไปพาตัวนายรวิกับพวกออกมา”
ศิริพรชายตาหันมามองเดือน
“เสียใจด้วยนะเดือน อุตส่าห์ได้ร้องเพลงทั้งที แต่ก็น้ารวิเค้าคงเป็นห่วงเธอนะ”
เดือนสะบัดหน้าไม่พูดอะไร ตำรวจพารวิเดินออกมาพอดี
“รวิ เป็นไงบ้าง ชั้นมาประกันตัวเธอกับลูกน้องแล้ว”
ศิริพรรีบลุกขึ้นไปกุลีกุจอพารวิที่มีใบหน้าฟกช้ำมานั่งลง รวิเหลือบมองมาที่เดือนซึ่งมองมาอย่างโมโหก่อนจะสะบัดหน้าหนี เดือนหันไปพูดกับป้อมและขำ
“พี่ป้อม ขำ เรากลับกันเถอะ บางคนเค้ามีคนคอยดูแลแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก”
เดือนเดินนำขำกับป้อมลงจากโรงพักมา รวิวิ่งตาม
“เดือน เดี๋ยวก่อนสิ”
เดือนหยุดชะงักหันกลับมาเดินตรงไปที่รวิ
“สะใจพี่หรือยัง สะใจพอหรือยัง ตอนนี้ทุกอย่างมันพังแล้ว ชั้นไม่ได้เป็นนักร้องแล้วตอนนี้ พี่พอใจหรือยัง”
“เดือน เดี๋ยวก่อนสิ ฟังพี่ก่อน”
“โธ่เอ๊ย รวิ นายมีอะไรก็น่าจะคุยกันตรงๆ ไม่น่าใช้วิธีนี้เลย เนี่ยรู้มั๊ย เดือนเค้าอุตส่าห์รอคอยวันนี้มานานแค่ไหน นายไม่น่าเลย”
พิมุกแกล้งพูดสงสารเดือน รวิหันมามองพิมุกด้วยสายตาโกรธแค้น แล้วหันหน้าไปพูดกับเดือน
“เดือน มันไม่ใช่อย่างที่เดือนคิดนะ พี่...”
“พอเถอะพี่ ชั้นไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ชั้นเห็นกับตาตัวชั้นเองแล้วว่าอะไรเป็นอะไร”
“แต่ เดือน พี่”
เดือนเดินตรงไปที่พิมุก แกล้งทำประชดรวิ
“พี่พิมุกเจ็บมากมั๊ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นไปเยี่ยมพี่ที่บ้านนะ” เดือนแกล้งประชดรวิด้วยการเอามือจับหน้าพิมุก
“เจ็บสิจ๊ะ แต่แค่เห็นหน้าเดือนพี่ก็หายเจ็บแล้ว”
“โถ...งั้นเดี๋ยวเดือนไปเยี่ยมที่บ้านนะ วันนี้ขอตัวก่อนจ้ะ”
เดือนหันไปมองรวิและสะบัดหน้าใส่รวิอีกครั้งก่อนจะลากมือป้อมและขำเดินออกไป รวิมองกลับมาด้วยความหึงหวงทำท่าจะลุกขึ้นตาม แต่ศิริพรดึงไว้ก่อน
“เดี๋ยวสิรวิ ยังทำเรื่องไม่เสร็จเลยนะ”
รวิทำท่าลังเล ก่อนจะตัดสินใจนั่งลง แต่สายตาก็ยังมองตามเดือนที่เดินออกไป พิมุกและศิริพรหันมามองหน้ากันและยิ้มอย่างสะใจ
ช้อยนั่งคอยเดือนอยู่ที่แคร่นอกบ้าน คอยชะเง้อชะแง้มองดูว่าเดือนกลับมาหรือยัง เดือนเดินเข้ามาในบ้าน หน้าตาบึ้งตึง
“เดือน เดี๋ยวก่อน นังเดือน เป็นยังไงบ้างวะ”
เดือนหยุดชะงัก แต่ไม่หันกลับมามองช้อย
“ข้าได้ข่าวว่าในงานมีเรื่องกันเหรอวะ แล้วเป็นไงบ้าง เอ็งเป็นอะไรหรือเปล่า”
เดือนสูดลมหายใจเข้า พยายามทำใจให้เย็นลง
“ไม่มีอะไรจ้ะแม่ ก็คนตีกันนิดหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
“เฮ้อ มีงานทีไรจะต้องมีไอ้พวกบ้า มาคอยหาเรื่องทุกที เอ่อ. แล้วว่าแต่เอ็งได้ร้องเพลงมั๊ยวะ”
เดือนรู้สึกเหมือนโดนจี้ใจดำ หันมามองหน้าช้อย
“ร้องเหรอแม่ จะร้องได้ยังไงล่ะ ทุกอย่างมันพังหมด มันพังหมดแล้วแม่ ได้ยินมั๊ย”
เดือนร้องไห้วิ่งเข้าบ้านไป ช้อยมองตามด้วยความเป็นห่วง
“อ้าว เดี๋ยวก่อนสิวะนังเดือน เดือน”
ช้อยมีสีหน้าอ่อนใจ มองตามเดือนไปด้วยความสงสาร
พิมุกนั่งไขว้ห้างอยู่บนเก้าอี้ในค่ายมวย เตี้ยกับบ่างนั่งอยู่กับพื้นนวดแขนให้คนละข้าง
“5555 สะใจจริงๆ โว้ยยยยย” พิมุกหัวเราะอย่างสะใจ
“ใช่ๆๆ สะใจจริงๆ โว้ยยยยย 5555”
“สะใจด้วย...555...สะใจอะไรวะ”
พิมุกหยุดหัวเราะหันมามองหน้าบ่างก่อนจะหันไปสั่งเตี้ย
“ไอ้โง่เอ๊ย ไอ้เตี้ย เอ็งบอกมันดิ๊”
“โธ่ไอ้โง่เอ๊ย พี่พิมุกเค้าเค้าก็สะใจเรื่อง เรื่อง...เอ่อ เรื่องอะไรนะจ๊ะพี่ แหะๆ”
พิมุกตบหัวบ่างกับเตี้ยไปคนละที
“โธ่ ไอ้พวกโง่เอ๊ย เลี้ยงเสียน้ำข้าวจริงๆ ก็เมื่อคืนเราไปทำอะไรกันมาล่ะ”
เตี้ยกับบ่างหันมามองหน้ากัน
“อ๋ออออ”
“หมดกันก็คราวนี้แหละ รวิเอ๋ย หึๆๆๆ”
เช้าวันรุ่งขึ้น เดือนทำหน้างอช่วยช้อยจัดของขายอยู่ที่แผง ช้อยหันมามองแล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ กิมนั่งพัดโบกให้ตัวเองตาก็ชายตามามองช้อยก่อนจะพูดลอยๆ ขึ้น
“เอ่อ เว๊ย ใครรู้เรื่องเมื่อคืนบ้างวะ เห็นเค้าบอกว่าที่งานมันมีเรื่องกันนี่หว่า เอ๊ะอะไรนะ เห็นเค้าว่าพอนักร้องดาวรุ่งคนใหม่ขึ้นปุ๊บ มันก็มีเรื่องปั๊บเลยนี่หว่า ฮ่าๆๆ สงสัยจะพุ่งแรงจริงๆ ว่ะ” กิมชายตามองที่ช้อยกับเดือน ช้อยหันมามองอย่างโมโห แต่พยายามไม่โต้ตอบ เดือนมีสีหน้าหงุดหงิดกว่าเดิม “เฮ้อ น่าสงสารจริง จริ๊ง อุตส่าห์จะได้เป็นนักร้องกับเค้าซักทีหมดหวังซะละ”
ศิริพรเดินเข้ามา ชายตามองที่กิมก่อนจะหันมาแกล้งทำยิ้มให้กับช้อย
“ไงจ๊ะแม่ช้อย”
ช้อยหันมายิ้มเมื่อเห็นหน้าศิริพร
“อ้าว คุณศิริพร ไปไงมาไงละจ๊ะเนี่ย เอาผลไม้ไปทานซะหน่อยมั้ยจ๊ะ”
“เอาสิจ๊ะ แต่เดี๋ยวชั้นให้ลูกน้องมาเอาไปทีหลังละกัน เอ่อ เหมาตรงนี้ไปเลยละกัน” ช้อยทำท่าดีใจ
“โอ๊ยตายจริง ใจดีจริงๆ เลยจ้ะ ทั้งสวยทั้งใจดี เอ...ว่าแต่จะเอาไปทานเองหมดเลยเหรอจ๊ะ เยอะแยะขนาดนี้”
ศิริพรยิ้มอย่างมีเลศนัย ชายตามามองเดือน
“อ๋อ พอดีว่าจะเอาไปฝากรวิกับลูกน้องเค้าน่ะจ้ะ รวิน่ะเค้าชอบกิน”
“แหม คุณศิริพรนี่ช่างเอาอกเอาใจกันจังเลยนะจ๊ะ”
ศิริพรเดินเข้ามาในวิกลิเก ลูกน้องถือถุงกับข้าวและผลไม้ที่เหมามาจากร้านของช้อย รวินั่งอยู่ที่ขอบเวที รออยู่เพราะรู้ว่าศิริพรต้องมาแน่นอน ศิริพรหันไปสั่งลูกน้อง
“เอ้า เอาไปวางไว้ตรงนู้นและก็กลับไปได้ เดี๋ยวชั้นจัดการเอง” ลูกน้องศิริพรวางของเสร็จก็เดินกลับไป ศิริพรหันมายิ้มกับรวิ “รวิ วันนี้ชั้นซื้อผลไม้มาฝากเธอเยอะแยะเลยนะ”
รวิหันมาเหลือบตามองอย่างไม่สนใจก่อนจะหันกลับมาจ้องหน้าศิริพร
“ศิริพร ชั้นมีเรื่องจะคุยกับเธอหน่อย”
ศิริพรมองรวิอย่างสงสัยปนระแวง
“มีอะไรเหรอรวิ หน้าเครียดเชียว เป็นอะไรหรือเปล่า”
รวิโดดลงจากขอบเวทีที่นั่งอยู่หันมาจ้องหน้าศิริพรตรงๆ
“เรื่องเมื่อคืน เธอรู้ใช่มั้ย ว่าไอ้พิมุกมันวางแผนแกล้งชั้น”
ศิริพรหน้าเสีย แกล้งทำกลบเกลื่อนไม่รู้เรื่อง
“อะ...อะไรนะ เรื่องอะไร รวิหมายถึงอะไรเนี่ย ชั้นไม่รู้เรื่อง”
“เธอเป็นคนมาบอกชั้นเอง ว่าไอ้พิมุกมันจะมีเรื่องไม่ใช่เหรอ” ศิริพรเลิ่กลั่ก
“ก็ ก็ ชั้นได้ยินมาอย่างนั้นนี่ ก็ ก็มันก็มีเรื่องจริงๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ มีเรื่องจริงๆ แต่กลายเป็นชั้นที่ไปมีเรื่องกับไอ้พิมุก แถมยังเป็นคนหาเรื่องมันก่อนด้วย”
ศิริพรทำหน้าเลิ่กลั่กมากกว่าเดิม
“เอาน่า ถือซะว่า เอาคืนไอ้พิมุกที่มันชอบมาหาเรื่องเธอไง มากินข้าวดีกว่า อย่าไปสนใจเรื่องเมื่อวานเลย อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ให้แล้วกันไป”
รวินั่งกินข้าวกับศิริพรอย่างเศร้าๆ
ศิริพรเดินยิ้มมาคนเดียวอย่างมีความสุข นภากาศเดินสวนมา ศิริพรยิ้มมุมปาก
“พี่นภา เป็นไงมั่ง ว่าจะไปเยี่ยมอยู่พอดี เห็นได้ข่าวว่าถูกทำร้าย” นภากาศพยักหน้า
“หายกันแล้วล่ะ”
“หายกันยังไงเหรอ” ศิริพรงง
“นี่ไง”
นภากาศตบฉาดเข้าให้อย่างไม่พูดไม่จา ศิริพรเสียหลักล้มลง นภากาศเข้าไปจิกผมตบๆๆๆ ศิริพรตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่านภากาศจะลุยเลย
“อะไร นี่มันเรื่องอะไรกันหยุดนะ”
ชาวบ้านเริ่มเข้ามามุง
“ทำตามสัญญาไง”
“ชั้นไปสัญญาอะไรด้วย โอ๊ย โอ๊ย”
“ชั้นสัญญา ว่าจะเอานมตบหน้าแก นี่...ไง...ล่ะ...เป็น...ยัง...ไง” นภากาศสะบัดหน้าอกตบหน้าศิริพร หกทีรวดทีละครั้ง ตามคำแต่ละพยางค์ที่ออกเสียง ศิริพรเซไปชนกับถังขยะล้มลง ชาวบ้านมองอึ้ง แต่ก็แอบยิ้มกับอาการนภากาศ “จำเอาไว้นะ หึ อย่า อย่ามาลอบกัดกันอีก ว่าจะไม่แล้วเชียว”
นภากาศกระฟัดกระเฟียดดึงเสื้อให้เข้าที่ แล้วเดินจากไป ศิริพรโงนโงน
“เล่นทีเผลอนี่หว่า” ศิริพรมึนเพราะโดนนมตบ “อูย”
ศิริพรเดินกลับเข้ามาในบ้านอย่างกระฟัดกระเฟียดนั่งลงที่เก้าอี้กระแทกโต๊ะปึงปัง ก่อนจะหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบและกระแทกแก้วลงกับโต๊ะ
“เจ็บใจนัก หนอย!นังนภาฝากไว้ก่อนเหอะ” ศิริพรทำหน้าโมโห ก่อนจะทำหน้าเหมือนคิดอะไรออก “เรื่องจัดการนังเดือนต้องมาก่อน นี่ 2 คนน่ะ เข้ามาหาหน่อยสิ” ลูกน้องของศิริพรเดินเข้ามาหา “เดี๋ยวมีอะไรให้พวกลื้อทำหน่อยนะ ช่วยไปปล่อยข่าวนังเดือนเสียๆ หายๆ ในตลาดให้หน่อย เอาให้หนัก”
“เรื่องอะไรดี”
“เรื่องเสียๆ หายๆ ของผู้หญิง มีกี่เรื่องกันเชียว ไม่รู้เหรอ จะได้ไล่ออกให้หมด เลี้ยงเสียข้าวสุก”
ลูกน้องพยักหน้า ครุ่นคิดอึกอัก ศิริพรพูดคุยวางแผนกับลูกน้องแล้วเชิ่ดหน้าขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ อย่างมีแผน
ป้อมกับขำยืนเลือกของอยู่ตรงแผงเครื่องสำอางในตลาด
“โอ๊ย พี่ป้อม เร็วๆ หน่อยเหอะ ชั้นหิวแล้ว มัวแต่ช้าเดี๋ยวก๋วยเตี๋ยวเจ้านั้นก็หมดพอดี”
“ก็เดี๋ยวก่อนสิวะ แกนี่ก็ตะกละจริงๆ เดี๋ยวขอข้าซื้อของก่อนดิ”
“ซื้ออะไรกันนักกันหนาไอ้พวกแป้งเปิ้งอะไรเนี่ย ทาไปก็ไม่เห็นพี่จะหายแก่เลย”
ป้อมยื่นมือไปเขกหัวขำ
“หนอย ไอ้ขำ ไอ้ปากเสีย”
“โอ๊ย พี่ป้อมเจ็บนะชั้นพูดความจริงแค่เนี้ยทำรับไม่ได้”
“เอ๊ะไอ้นี่ เอาอีกซักทีมั้ย ล่ะ”
ป้อมยกมือขึ้นจะเขกหัวขำ ขำยกมือขึ้นมาป้องแต่สายตาเหลือบไปเห็นลูกน้องของศิริพรยืนคุยและหัวเราะอยู่กับแม่ค้าใกล้ๆ กัน เลยสะกิดให้ป้อมดู
“พี่ป้อมๆ นั่นมันลูกน้องยัยงิ้วไม่ใช่เหรอ”
ป้อมหันไปมอง
“เออว่ะ”
ป้อมพยักหน้ากับขำแกล้งเขยิบเข้าไปใกล้ ทำเป็นดูของไปด้วยแต่แอบเงี่ยหูฟัง
“จริงเหรอเนี่ย ตายๆๆๆ ผู้หญิงสมัยนี้”
“เรื่องจริงทุกอย่างเลย อั๊วน่ะเห็นมากับตา หายเข้าไปในบ้านกัน 2ต่อ2”
“อุ้ยตายแล้ว อกอีแป้นจะแตก โถๆๆ อยากดังจนเอาตัวเข้าแลก น่าไม่อายจริงจริ๊ง”
ป้อมกับขำหันมามองหน้ากัน
“น่าไม่อายจริงๆ” ป้อมกับขำหันไปตามเสียง เห็นกิมคุยกับลูกน้องของศิริพรอีกคนหนึ่ง กิมพูดสียงดังชายตาไปมองช้อยที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “นี่ล่ะหนา พ่อแม่มันคงไม่สั่งไม่สอน ลูกมันถึงไม่มียางอาย ยอมเปลืองเนื้อเปลืองตัวเพื่อความดัง”
ช้อยหันมามองอย่างสงสัย แต่ไม่พูดอะไร ป้อมกับขำหันมามองหน้ากันอย่างสงสัย แต่ก็ตัดสินใจเดินเลี่ยงไป
“ไปๆ พี่ป้อม ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันดีกว่า”
ป้อมพยักหน้ารับก่อนจะเดินไปอย่างสงสัยทั้งคู่
ร้านก๋วยเตี๋ยวในตลาด ขำกับป้อมนั่งรอก๋วยเตี๋ยวอยู่
“พี่ป้อม ตะกี๊พี่ว่ามันเรื่องอะไรกัน ที่พวกนั้นมันเมาท์กันน่ะ”
“แกถามชั้นและชั้นจะถามใครวะ ก็อยู่ด้วยกันนี่”
“ชั้นสังหรณ์ใจไม่ดีเลย ยิ่งให้ลูกน้องยัยงิ้วผีนั่นด้วยแล้ว ชั้นว่ามันต้องมีแผนชั่วอะไรแน่ๆ”
“ชั้นก็กลัวอยู่เหมือนกัน เฮ้อ อ้าวนั่น รวินี่นา รวิ”
รวิเดินผ่านมาทางหน้าร้าน ได้ยินเสียงป้อมเรียกจึงหันกลับมามอง เมื่อเห็นว่าเป็นป้อมกับขำจึงเดินเข้ามานั่งด้วย
“เป็นอะไรรวิ หน้าบูดเป็นตูดลิงมาเลย”
“นิดหน่อยน่ะ”
“เรื่องเมื่อคืนใช่มั้ย ”
รวิพยักหน้าอย่างเหนื่อยๆ
“เดือนเค้าเข้าใจว่าชั้นจงใจทำงานเค้าพัง เพราะไม่อยากให้เค้าเป็นนักร้อง” ป้อมถอนหายใจ
“เฮ้อ ก็แกนึกอย่างไงของแกน่ะรวิ ถึงได้ไปใส่ไอ้พิมุกมันก่อนแบบนั้น”
“หรือหมั่นไส้มันจนทนไม่ไหว แต่น่าจะรอชั้นก่อนนะ ไม่งั้นคงได้มันกว่านี้”
รวิส่ายหน้าอย่างโมโหตัวเอง
“ชั้นโง่เองล่ะ ไอ้พิมุกมันยังแกล้งโชว์ปืนให้ชั้นเห็น ชั้นกลัวเดือนกับคนอื่นจะโดนลูกหลงน่ะ เลยซัดมันซะก่อน”
“อะไรทำให้ไปสงสัยพิมุกจะก่อเรื่อง”
รวิครุ่นคิด อ้อมแอ้มบอก
“ศิริพรเขาบอก” ป้อมตบโต๊ะดังฉาด
“นั่นไง ชั้นว่าแล้ว มันมีอะไรทะแม่งๆ ไม่งั้นแกคงไม่ไปใส่มันก่อนหรอก ไอ้พิมุกกับนังงิ้วผีนี่มันเลวจริงๆ อยากจะตบมันให้ฟันร่วงจริงๆ”
“และเรื่องเมื่อตะกี๊อีก หวังว่ามันคงไม่ทำอะไรชั่วๆ อีกนะ”
รวิทำหน้าสงสัย
“เมื่อกี๊ ทำไม มีอะไรเหรอ”
อาแปะเดินเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟพร้อมกับพูดแซว
“เอ้านี่ก๋วยเตี๋ยว ให้เป็นพิเศษ ฉลองให้กับพวกลื้อที่จะมีเพื่อนเป็นนักร้อง”
“อะไรของแปะเนี่ย นักร้ง นักร้องที่ไหน”
“อ้าว ก็อาเดืองไง ได้ข่าวว่าเดี๋ยวอีจะได้เป็นนักร้องดังแล้วนี่ แหม่ แต่อีก็ใจกล้าจริงๆ น้อยอมทั้งอาพิมุก ยอมทั้งเมวมอง”
รวิตบโต๊ะลุกพรวดยืนขึ้น
“อะไรนะ อาแปะ ลื้อพูดอะไรของลื้อ เดือนยอมใครที่ไหน”
“อ้าว ก็เค้าลือกันให้ทั่วตลาก ว่าอาเดืองอียอมไปนองกับอาพิมุกกับเมวมอง เพราะอีอยากเปงนักร้องอ่า”
ป้อมกับขำลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห
“อาแปะ ลื้อซี้ซั้วต่านะ อาเดือนอีไม่ทำแบบนั้นหรอก ลื้อมันเฉาฉุ่ยปากเหม็นพูดซี้ซั้ว”
“ใช่ๆ ลื้อมันปากเสีย”
“ไอ่หยา เค๊าแป๋อ่า ก็คนเค้าลือกังจริงๆ นี่หว่า”
“ข่าวลือก็คือข่าวลือ ลื้ออย่าซี้ซั้วพูด พี่ป้อม ขำ เราไปกันเถอะ”
ป้อมควักเงินวางไว้บนโต๊ะ
“เอ้า เอาไป ค่าก๋วยเตี๋ยว ไม่กงไม่กินมันแล้ว ไปไอ้ขำ”
ทั้ง 3 คนเดินออกจากร้านไป
ขำเดินเลี้ยวกลับเข้ามาถือชามก๋วยเตี๋ยวกับตะเกียบไปด้วย พร้อมกับชี้หน้าคาดโทษอาแปะแล้วเดินออกไป
อ่านต่อหน้า 4
หางเครื่อง ตอนที่ 4 (ต่อ)
แก้วเดินอยู่คนเดียวในสำนักงาน เธอรู้สึกแปลกๆ บรรยากาศวังเวงน่ากลัว
“ไปไหนกันหมด วันนี้” แก้วเดินไปเปิดตู้เย็น พอปิดตู้ ก็ปรากฏว่านภากาศยืนอยู่คนเดียวเงียบๆ “อุ่ย พี่นภา ตกใจหมดเลย” นภากาศมองแก้ว แก้วมองหาทางออก “เงียบเน๊อะวันนี้ ไม่รู้ออกไปไหนกันหมด”
“ชั้นออกตังค์ให้พวกน้องๆ มันไปดูหนังกัน”
“เหรอ”
นภากาศเดินแอ่นอกเข้ามา แก้วถอยกลัวๆ
“พี่ อกใหญ่ดีเน๊อะ จะว่าไปแล้ว” นภากาศพยักหน้า “เป็นไงมั่งอ่ะ ที่โดนเดือนมันทำร้ายวันนั้น อีนั่นมันร้ายนะ หน้าหวานสันดานโจรจริงๆ”
“พี่ไม่ค่อยสงสัยเดือน”
“เหรอ”
“นั่งก่อนสิ”
นภากาศดันแก้วนั่งลงแล้วเดินไปหยิบขนมปังทีทาบางอย่างเละๆ เอาไว้บนขนมปัง พร้อมแก้วน้ำที่ใส่น้ำสีเหลืองๆ มาวางตรงหน้าแก้ว
“บางทีนะ พี่ก็ไม่ค่อยอยากใช้ความรุนแรง แก้แค้นความรุนแรงหรอก มันไม่ดี อภัยได้ก็อภัยให้กันไป”
“ดีจังเลย เดือนมันคงดีใจนะ”
“กินสิ”
แก้วมองขนมปังที่ทาหน้าด้วยบางอย่างเละๆ สีเหลืองๆ ข้นๆ
“หนูไม่หิว”
“กินเหอะ พี่มีน้ำใจ เวลาพี่มีน้ำใจ แล้วใครปฏิเสธนี่จะหงุดหงิดมากตบคว่ำเลยนะ”
“คือ เอ่อ”
“ทำไม คิดว่าพี่จะเอาขี้ทาขนมปัง เอาปัสสาวะ รินใส่แก้วมาให้หนูกินงั้นเหรอ”
“ไม่ ไม่ หรอกพี่ พี่จะทำงั้นทำไม”
“นั่นสิ มีแต่คนเกลียดกันเท่านั้น ที่จะทำแบบนั้น เราไม่ได้เกลียดกันใช่มั้ย”
“ไม่ๆ”
“งั้นก็กินซะ” นภาพูดดุๆ แก้วจำใจหยิบขนมปังที่ทาหน้าด้วยของเละข้น แก้วบีบจมูกแล้วเคียวกลืนอย่างจำใจ นภากาศส่งแก้วสีเหลืองให้ “ดื่มซะ” แก้วเคี้ยวกระเดือก แล้วก็รับน้ำมาดื่มแบบหน้าตาเหยเก “เป็นไง รสชาติเป็นไงมั่ง”
นภากาศเอาขนมปังใส่ปากป้อนแก้วอีกที แก้วเคี้ยวๆ ค่อยๆ พิจารณารสชาติในปาก
“เนยถั่ว” แก้วรู้สึกดีขึ้น
“แล้วน้ำนี่ล่ะ”
“น้ำแอ๊ปเปิ้ล”
นภากาศพยักหน้า
“จำความรู้สึกนั้นไว้นะ คราวหน้ามันจะไม่ใช่เนยถั่วกับน้ำแอ๊ปเปิ้ล”
“แล้วมันจะเป็นอะไรพี่”
“เป็นอะไรอย่างที่แกคิดนั่นแหละ”
นภากาศเดินจากไป แก้วรู้สึกพะอืดพะอม แต่ก็กลัวนภากาศจะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
ช้อยนั่งพัดไล่แมลงที่มาตอมผลไม้และปลาที่แผง คนที่มาจับจ่ายซื้อของ พอเดินผ่านช้อยก็ทำท่ากระซิบกระซาบกันอย่างน่าสงสัย ช้อยทำหน้าสงสัยที่เห็นหลายคนต่างมองมาที่ตัวเองและทำท่าซุบซิบนินทา ลูกค้าคู่หนึ่งเดินมาทำดูของที่แผงของช้อย
“อ้าว เลือกเลยจ้ะ วันนี้จะรับเป็นอะไรดีจ๊ะ สดๆ เลย หวานทุกลูกจ้ะ”
ลูกค้ามองช้อยด้วยสายตาดูถูก
“แหม...แม่ช้อย จะมามัวนั่งหลังขดหลังแข็งขายของอยู่ทำไมล่ะจ๊ะ เดี๋ยวก็สบายแล้วนี่”
“นั่นสิ ดีเนอะ มีลูกสาวสวย แถม กล้ามากกกก” ลูกค้าหันไปทำท่าพยักพเยิดกับเพื่อน ช้อยทำหน้างง
“เอ๊ะ หมายถึงอะไรกันเหรอจ๊ะ ลูกสาวชั้น นังเดือนมันทำไมเหรอ”
ลูกค้าทั้งสองคนหันมาหัวเราะซุบซิบกันแล้วเดินหนีไป กิมนั่งถือพัดโบกให้ตัวเอง ชายตามามองช้อยพร้อมกับพูดกระแนะกระแหน
“เอ่อเว๊ย พ่อแม่สมัยนี้มันสอนลูกกันยังไงว้า เป็นสาวเป็นนางไม่รักนวลสงวนตัวกันซะมั่งเล๊ย เฮ้อ เนี่ยละน้าพวกเห็นแก่เงิน” ช้อยหันมามอง แต่พยายามทำไม่สนใจ กิมพยายามพูดกระแนะกระแหนต่อแกล้งหันไปพูดกับเพื่อนแผงข้างๆ “อย่างนี้ล่ะว้า เค้าว่ามีลูกสาว ถ้าเลี้ยงดีก็ดี ถ้าไม่ดีก็เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้านล่ะวะ ไม่เหมือนนังแก้วของข้า ขนาดมีผู้ชายรวยๆ มาจีบมันเยอะแยะ มันยังไม่สนใจเลย ไม่เหมือนอีพวกอยากเป็นนักร้องจนตัวสั่น ยอมกระทั่งเอาตัวเข้าแลก ทุเรศ” กิมหันมาพูดใส่ช้อย
“นังกิม เอ็งหมายถึงใคร ฮะ หนอย อีนี่ ว่าจะไม่พูดไม่พูดแล้วนะ ถ้าปากว่างมากหาอะไรอมไว้ซักหน่อยมั้ย ล่ะ เอ้า นี่” ช้อยโยนส้มไปให้กิมลูกหนึ่ง “เอาไปอมเล่นไว้ ปากจะได้ไม่ว่าง”
กิมโมโหลุกขึ้นทันที
“หนอย อีนี่ แกเก็บไว้อมเองเถอะ” กิมหยิบส้มที่ช้อยโยนมาปาลงพื้น “ชั้นจะหมายถึงใครได้ ก็หมายถึงนังเดือนลูกสาวแกน่ะสิ โถ...งามหน้ามั้ย ล่ะ”
“ทำไม นังเดือนลูกชั้นมันทำไม วันๆ มันก็ไปทำงานเอาตังมาให้แม่มัน แล้วมันไปทำบ้านแกไฟไหม้หรือไง ถึงได้มาเดือดร้อน”
“โถ ช่างไม่รู้อะไรเลย เค้าลือกันให้ทั่วแล้ว ลูกสาวแกน่ะยอมไปนอนกับไอ้พิมุกแล้วก็พวกแมวมองจากกรุงเทพเพื่อแลกกับการได้เป็นนักร้อง เป็นไง งามหน้ามั้ย ล่ะ”
“อีกิม อีปากสกปรก แกเอาอะไรมาพูด หา! ปากอย่างนี้ต้องเอาเลือดออกซะบ้างละมั้ง”
ช้อยทำท่าจะเดินไปตบกิม แม่ค้าคนอื่นๆ พูดแซงขึ้น
“โอ๊ย ยัยช้อย เค้าก็ลือกันทั้งบางจริงๆ น่ะแหล่ะ เรื่องลูกสาวแกน่ะ”
“ใช่ๆ แกเลี้ยงลูกยังไงของแกวะปล่อยให้มันทำแบบนั้น”
ช้อยหันมามองทุกคนอย่างโกรธๆ ปนตกใจ
“ไม่จริง! พวกแกเอาอะไรมาพูด ชั้นไม่เชื่อหรอก นังเดือนลูกชั้นมันไม่ใช่คนแบบนั้น”
“โถๆๆ เชื่อไม่เชื่อ เดี๋ยวเอ็งก็ลองไปถามมันดูเองสิ”
ช้อยสีหน้าโกรธปนสงสัย
“นังเดือน”
อีกด้านหนึ่งที่ร้านขายยา เทพกำลังคุยอยู่กับคนขายยาอย่างคุ้นเคย
“เอาแบบยากินก็ได้นะไม่ไหวผมมันร่วงเหลือเกินตื่นเช้ามามองไปบนที่นอนนึกว่าใครทำวิกหล่นเอาไว้” เทพ ส่องกระจกดูหัวเถิกตัวเอง
“อะไรมันจะร่วงขนาดนั้นก็เป็นไปตามวัยมั๊ง”
“ไม่ได้ ไม่ได้อยู่วงการบันเทิงมันต้องดูดีหน่อยไปติดต่องานรับงานจะได้เรียกราคาได้”
“เป็นผู้จัดการวงไม่ต้องหล่อมากก็ได้ เอายาทาดีกว่ามั้ย ยากินไม่แนะนำ” คนขายเอาตลับยาใส่ถุง
“ทำไมล่ะเอามาเหอะทั้งกินทั้งทาเลย”
“ยากินมันมีผลข้างเคียงนะมันไปลดโฮโมนเดี๋ยวไม่ปึ๋งปั๋งขึ้นมาจะมาว่ากันทีหลัง”
เทพเปลี่ยนใจทันที
“งั้นไม่กินเอาแค่ทาก็พอ ถ้าไม่ปึ๋งปั๋งก็ไม่รู้จะหล่อไปทำไมเน๊อะ”
“อันนี้ ยาผีบอก ไม่มีอย.แต่รับรองว่า ทาคืนเดียว เช้ามาพรึ่บ”
“ไฟไหม้”
“ผมขึ้นสิ บ้า”
เทพจ่ายสตางค์ ยังไม่หยิบยาไป ยังอยู่ในซองบนเคาน์เตอร์
“ขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ”
“ด้านหลัง เชิญ” เทพเดินไปด้านหลัง นภากาศเดินเข้ามาร้านขายยา “เอ้า นภา โอ่ย วันนี้ ร้านมีแต่คนดังประจำจังหวัดเข้าแฮะ”
“มียาทาแก้เคล็ด แก้ช้ำหน่อยมั้ย” นภากาศจับๆ คางตัวเอง อ้าปากดัดไปมา
“ร้องเพลงเยอะเหรอ”
“โดนหมามันรุมกัดมา”
“เอาเป็นยากินหรือยาทาดี”
“แค่ทาก็พอ”
คนขายหันไปหยิบตลับยา จัดใส่ซอง
“อันนี้ยาผีบอก ไม่มีอย. ทาปั๊บ เช้ามาเส้นคลายชัวร์”
เทพเดินออกมาจากด้านหลัง เห็นนภากาศโอดโอย ดัดเนื้อตัว ดัดคางตัวเอง
“นภา”
“พี่เทพ”
“เป็นอะไร ทำไมโอดๆ โอยๆ”
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”
“มีปัญหาอะไรที่วงรึเปล่า”
นภากาศส่ายหน้า
“ชั้นจัดการเองได้”
“ใครทำอะไรรึเปล่า บอกพี่”
“พี่จะไปจัดการ”
“พี่จะลงบันทึกประจำวันเอาไว้”
“ถุย”
ทั้งคู่ยิ้มให้กัน แล้วก็เก้อๆ เก้ๆ กังๆ
“นานแล้วนะ ที่เราไม่ได้ยิ้มให้กัน”
นภากาศอึกๆ อักๆ พยายามวางตัวเหินห่าง กลับมาเป็นคนเดิม คนขายถือซองยาไว้ในมือสองซอง
“ฮั่นแน่ ถ่านไฟเก่าจะคุเปล่าเนี่ย”
“บ้า เราไม่ได้มีอะไรกัน”
“ไม่มี แค่เคยร่วมงานกันเฉยๆ” ต่างคนต่างปฏิเสธ
“เอาเหอะ เอาเหอะ อ่ะนี่ ยา”
คนขายยื่นซองยาให้ มือของเทพกับนภากาศรับยามือโดนกัน ต่างชักมือหลบ ซองยาหล่นคู่กัน เทพรีบหยิบซองยายื่นให้
“อ่ะนี่”
นภากาศแอบเขินๆ เลยไม่ได้ตรวจตราอะไร
“ขอบใจ”
“ไปเหอะ เดี๋ยวพี่จ่ายตังค์ให้”
นภากาศอึกอัก แล้วก็พยักหน้าเดินจากไป เทพมองตาม คนขายมองแล้วก็ถอนใจ
“มีอะไร ก็พูดๆ ไป”
“ไม่มี๊ ไม่มีอะไรหรอก”
นภากาศเดินออกมาจากร้านขายยา พยายามควบคุมลมหายใจ ไม่คิดอะไร แล้วเธอก็เดินจากไป
ภายในห้องซ้อมเต้น แดนเซอร์และนักร้องกำลังซ้อมกันอยู่
“นี่นังเดือนกับนังป้อมมันหายหัวไปไหนของมันนะ ถึงเวลาซ้อมแล้วไม่มาซ้อม หน็อย ถือว่าเป็นคนโปรดหรือไง นังพวกนี้นี่มันจริงๆ เลยนะ”
“แหม พี่ลิ้นจี่ เดือนเค้าคงคิดว่าใครๆ ก็ต้องง้อเค้ามั้งคะ ไม่ว่าจะเป็นคุณประทีป หรือจะเป็น...” แก้วชายตามองลิ้นจี่ “คุณ...โรจน์”
ลิ้นจี่โมโหทันที
“ชะ นังนี่! มันจะเกินไปละ เดี๋ยวกลับมาเมื่อไหร่นะแม่จะไล่มันไปอยู่มุมสุด ไปต้องด่งต้องเด่นอะไรมันละ นังป้อมก็อีกคน”
“ชั้นทำไมเหรอ ลิ้นจี่”
ป้อมเดินเข้ามาในห้องซ้อม เดินเข้าประจำตำแหน่ง ยืนเท้าเอวจ้องหน้าลิ้นจี่
“อ้อ มาได้แล้วเหรอแก ไม่รู้จักเวล่ำเวลากันเลยนะ ทั้งแก่ทั้งเด็ก แล้วนี่ลูกน้องแกมันไปไหนแล้วล่ะ”
“เดือนมันไม่สบาย วันนี้มันลา”
“เชอะ ไม่สบาย สำออยล่ะสิไม่ว่า ดี งั้นเดี๋ยวชั้นจะเปลี่ยนให้นังแก้วมันมายืนแทนที่นังเดือนไปเลย”
“อุ๊ย จริงเหรอจ๊ะ พี่ลิ้นจี่ ตายแล้ว ดีใจจัง เดี๋ยวแก้วจะเต้นให้กระจายสะโพกกระเด็นไปคนละข้างเลยจ้ะ”
ป้อมมองมาที่แก้วด้วยสายตาดูถูก
“เฮอะ เสียใจด้วยนังแก้วพลาสติก คุณโรจน์เค้าอนุญาตให้เดือนลาแล้ว ฉะนั้นทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม เชิญแกกลับไปอยู่ในซอกหลืบของแกต่อไปเหอะ” ลิ้นจี่ทำหน้าโมโหอ้าปากจะกรี๊ดแต่ป้อมหันมาชี้หน้า “หยุด หุบปาก”
ลิ้นจี่เผลอหุบปากตาม “หัวหน้าวงเค้าอนุญาตแล้วมีปัญหาเหรอ ก็ลองดูสิว่าเค้าจะเลือกใครระหว่างดาวเด่นของคณะกับเมียแก่หนังยาน”
“นังป้อม นัง...นัง”
ป้อมหัวเราะแล้วเดินหนีไป ลิ้นจี่ชี้มือตามโมโหจนพูดไม่ออก แก้วทำหน้าทำตาโมโหสะบัดสะบิ้ง
ที่ประตูด้านนอก ช้อยมายืนแอบมองหาเดือนอยู่ ช้อยมีสีหน้าวิตกกังวล
เทพเดินอยู่ริมถนน หยิบโทรศัพท์มือถือ มาถ่ายหัวตัวเองแล้วก็เปิดดู
“โอ้โฮ บางเกิ๊น”
เทพแกะซองยา เอาตลับยาป้ายติดนิ้วแล้วก็ทาๆ ตรงบริเวณกลางหัว
“โอม จงขึ้น จงขึ้น” ทาเสร็จแล้วก็จับๆ คิ้วตัวเอง “เอาซะหน่อยดีกว่า คิ้วจะได้ดกดำ นี่ ยาผีบอก”
เทพเอายาชะโลมปลายนิ้ว แล้วก็ยืนป้ายคิ้วตัวเองอยู่ที่ริมถนนนั่นเอง
เดือนนั่งกินโอเลี้ยงท่าทางเนือยๆ เบื่อๆ เปิดดูหนังสือราชาลูกทุ่งเสียงทองอยู่ มีภาพนักร้องเต็มไปหมด รวินั่งลงข้างๆ
“ไม่ไปซ้อมเต้นเหรอ วันเนี๊ยะ”
เดือนยังงอน ทำเหินห่าง
“เบื่อ ไม่ได้อยากเป็นหางเครื่อง”
“เราไม่ได้โกรธกันอยู่ใช่มั้ย”
“เกลียด” เดือนจะยกน้ำขึ้นดื่ม ระวิเอือมมือมาจับแก้ว เดือนดึงมือออก งอนๆ รวิมองอย่างเอ็นดู “จะจ้องอะไรนักหนาเล่า ไปจ้องนางเอกงิ้วโน่นไป๊”
“เดือน พี่ไม่ได้อะไรกะเขาจริงๆ นะ”
เดือนนิ่งมอง สองจิตสองใจ
“ก็เห็นเคยจับมือจับไม้กัน” เดือนมองนิ้วโป้งรวิเห็นมีพลาสเตอร์พัน รวินิ่งคิดทบทวน
“หรือว่า วันที่พี่ตอกค้อนโดนมือตัวเอง”
เดือนตาโตเสียฟอร์ม เอามือเธอจับนิ้วโป้งเขา
“อ้าว หรอกเหรอ”
“หึงเหรอ ตาลายเลยดิ” รวิล้อ เดือนอาย
“บ้า”
เดือนรีบเอามืออก รวินิ่งไปสักครู่ก่อนจะหันไปแกล้งเดือน แกล้งเอาผ้าไปเช็ดหน้าเดือนอีก เดือนก็แกล้งตีมือกลับ หยอกกันไปมา ศิริพรยืนถือของเดินมาหน้าร้านพะรุงพะรัง จ้องมองด้วยสายตานิ่งเงียบ
ศิริพรนั่งอยู่ที่โต๊ะภายบ้าน ก่อนจะปัดข้าวของ กาน้ำชาบนโต๊ะตกแตกกระจาย
“เดือน ข่าวลือ ข่าวเสียๆ หายๆ จะทำอะไรแกไม่ได้เลยเหรอเนี่ย” สีหน้าศิริพรเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ “พิมุก”
ศิริพรลุกไปเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรหาพิมุก
“ว่าไง มีอะไร”
“นี่ทำบ้าอะไร ไหนว่าจะจัดการนังเดือนไง”
“ก็มันยังไม่มีโอกาส”
“เรื่องแค่นี้ยังไม่มีปัญญาจัดการ”
“พูดยังกะตัวเอง มีปัญญาจัดการไอ้ลิเกนั่นได้แล้วนี่”
ศิริพรโกรธเกรี้ยว กดมือถือปิดทันที
“เดือน สงสัยชั้นต้องลงมือเองซะแล้ว”
ช้อยนั่งรอเดือนอยู่หน้าบ้าน รวิขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีเดือนซ้อนท้ายอยู่เข้ามาในบริเวณบ้าน เดือนลงมาจากรถ รวิจอดรถและลงมายกมือไหว้ช้อย ช้อยรับไหว้และมองสีหน้าเคร่งเครียด
“งั้นชั้นกลับก่อนนะเดือน”
“อืม ขอบใจมากนะพี่”
รวิและเดือนโบกมือล่ำลากัน รวิหันไปสวัสดีช้อยอีกครั้งหนึ่งก่อนจะขี่มอเตอร์ไซค์กลับไป เดือนกำลังจะเดินขึ้นบ้าน แต่ช้อยเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนนังเดือน เอ็งไปไหนของเอ็งมาวะ”
“อ๋อ ก็...ก็วันนี้ชั้นไปซ้อมที่วงมาไง พอดีขากลับ เจอพี่รวิ เขาเลยอาสามาส่งนะ”
ช้อยจ้องหน้าเดือน เดือนหลบตา
“ไปซ้อมงั้นเหรอ แต่ข้าไม่เห็นเอ็งเลยนะเดือน”
เดือนหันมามองหน้าช้อยอย่างตกใจ
“อะไรนะ นี่ นี่แม่”
“วันนี้ข้าไปที่วงเอ็งมา กะว่าจะไปแอบดูซักหน่อย แต่ก็ไม่เห็นเอ็งเลย”
“อ๋อ คือ คือ ตอนนั้นชั้นคงไปเข้าห้องน้ำมั้งแม่ ท้องมันไม่ค่อยดีน่ะ นี่ไง วันนี้ชั้นเลยขอเค้ากลับมาก่อน”
ช้อยจ้องหน้าเดือนที่พยายามหลบตา
“เอ็งแน่ใจนะ”
“น่ะ แน่ แน่สิจ๊ะ ชั้นจะโกหกแม่ไปทำไมล่ะ โอ๊ย เนี่ยปวดท้องอีกแล้ว เดี๋ยวชั้นไปเข้าห้องน้ำก่อนนะแม่”
เดือนทำท่าจะวิ่งขึ้นบ้าน แต่ช้อยเรียกไว้ก่อน
“เดี๋ยว อีกเรื่องหนึ่ง”
เดือนหันมามองช้อยอย่างกลัวๆ
“อะ อะไรเหรอจ๊ะ แม่มีอะไรอีกเหรอ”
“เรื่องพ่อพระเอกลิเกนั่น”
“พี่รวิ พี่รวิทำไมเหรอจ๊ะแม่”
“เค้าชอบพออยู่กับคุณศิริพรไม่ใช่เหรอ เอ็งอย่าไปยุ่งกะเค้าเลยดีกว่านะ”
เดือนหน้าง้ำขึ้นมาทันที
ด้านรวิขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดที่วิกลิเก พอลงจากรถหันกลับมาเจอศิริพรยืนจ้องหน้ารวิจังๆ ยิ้มอย่างเย็นชา
“ไปไหนมาเหรอรวิ” รวิไม่ตอบและเดินเลี่ยงจะเข้าบ้านแต่ศิริพรก็ขยับมาขวางหน้า “ไปส่งเดือนมาเหรอ” รวิจ้องหน้าศิริพร ก่อนจะทำไม่สนใจและเดินเลี่ยงมาอีก ศิริพรพูดตามหลัง “เกิดเป็นเดือนนี่โชคดีเนอะ กลางวันคน เย็นคน เฮ้อ น่าอิจฉาจริงๆ”
รวิหยุดชะงัก หันกลับมาเดินเข้ามาจ้องหน้าศิริพร
“เธอฟังให้ดีนะศิริพร เดือนเค้าไม่ใช่คนแบบนั้น เค้าเป็นผู้หญิงที่ดีมาก”
“หมายความว่าไง ที่บอกว่าเดือนดี แล้วใครไม่ดีตรงไหน เดือนมีอะไรดีกว่าชั้น เธอบอกชั้นมาซิรวิ”
“เดือนเค้าอาจจะฐานนะด้อยกว่าเธอ แล้วเค้าก็ไม่ได้มีเงินเท่าเธอนะ แต่อย่างน้อย...” รวิเดินเข้าไปจ้องหน้าศิริพรใกล้ๆ “เดือนเค้าไม่เคยคิดร้ายกับใคร”
รวิพูดจบเดินหันหลังกลับเข้าบ้าน ศิริพรมองตามด้วยความโกรธ
ที่บ้านเดือน เดือนตักข้าวใส่จานให้แม่ ที่นั่งอยู่ตรงสำรับกับข้าว
“ครบอกแม่ว่าพี่รวิเค้าชอบอยู่กับศิริพร”
ช้อยทำหน้าสงสัย
“อ้าว แล้วไม่ใช่เหรอ ก็ข้าเห็นคุณศิริพรเค้าเทียวไล้เทียวขื่อ ซื้อของไปให้อยู่แทบทุกวัน”
“นั่นเค้าทำของเค้าเอง รวิเค้าไม่ได้อะไรกับศิริพรเลย”
“อ้าว แล้วมันยังไงกันล่ะเนี่ย หรือว่าเค้ามาชอบเอ็งล่ะหา” เดือนหน้าแดง
“เรื่องนี้ ชะ ชั้นก็ไม่รู้”
“เฮ้อ ข้าว่าอย่าไปยุ่งเลยว่ะ เดี๋ยวจะผิดใจกับคุณศิริพรซะเปล่าๆ”
เดือนหน้างอขึ้นมาทันที
“ช่างเขาสิแม่ เดือนบอกแล้วไง ว่ารวิกับศิริพรเค้าไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เออๆๆ เอาเหอะวะ ข้าเตือนอะไรเอ็งไม่คอยจะฟังข้าเลย ระวังไว้เหอะ ทั้งไอ้เรื่องงานของเอ็งด้วย เค้าลือกันให้ทั่วตลาดแล้ว”
เดือนหยุดชะงักมองหน้าช้อย
“ลือเรื่องชั้นเนี่ยนะ ชั้นจะไปมีอะไรให้เค้าลือ”
“ก็ไอ้ที่เอ็งอยากจะเป็นนักร้องจนตัวสั่นเนี่ย” ช้อยทำหน้าโมโห “พูดแล้วเจ็บใจ เค้าลือว่าเอ็งน่ะยอมเอาตัวเข้าแลก เพื่อจะได้เป็นนักร้อง”
“อะไรนะ นี่พูดกันถึงขนาดนี้เลยเหรอ”
“ก็ใช่นะสิ ข้าล่ะอยากจะไปตบปากอีคนพูดจริงๆ หึ แต่ยังไงเอ็งจะทำอะไรก็คิดให้มันดีซะก่อนนะ ถึงเราจะเป็นคนจน แต่เราจะต้องไม่เอาศักดิ์ศรีไปแลกกับสิ่งจอมปลอมพวกนี้”
เดือนพยักหน้ารับแต่หลบสายตาของช้อยไม่กล้าสบตา
อีกด้านหนึ่งที่บ้านนภากาศ นภากาศเดินบิดตัวบิดหน้าโอดโอยมานั่งตรงหน้ากระจก เธอนั่งมองหน้าตัวเอง จับคางโยกไปมา
“ช้ำเหมือนกันนะเนี่ย” นภาเปิดตลับยา หยิบขึ้นมาดู ไม่มีป้ายฉลาดยาอะไรเลย “ยาผีบอกเหรอ เอาให้หายเคล็ดละกันนะ” นภากาศเอายาป้ายๆ ทาบริเวณคางตัวเอง บริเวณรอบปาก ใต้จมูก บริเวณกราม “ซ้ำเบอะๆ จะได้หายไว ไว”
นภากาศป้ายยาเข้าที่กรามแล้วก็ถูกๆ อ้าปาก เวิร์คช๊อป ส่งเสียงร้องเพลงไปมา
เช้าวันรุ่งขึ้น เทพนอนค่ำหน้าอยู่ เขารู้สึกตัวขึ้น ลุกนั่งบนเตียง เขาเอามือจับๆ กระหม่อมตัวเอา เอามือดึงผมออกมาดู ในมือมีผมหลุดมาเป็นกระจุก เทพตกใจลุกขึ้นไปส่องกระจกในห้องนอนจึงพบว่าคิ้วของเทพไม่มีเหลือเลย
“หา ยาผีบอก เหย เหย เหย”
เทพเอามือลูบหน้าตัวเองที่ไม่มีคิ้วเหลือเลยทั้งสองข้าง
นภากาศนอนค่ำหน้าอยู่บนเตียง เธอลุกขึ้นนั่งบนเตียง บิดเนื้อบิดตัว
“ยาผีบอก ไม่เห็นจะหายเมื่อยเลย”
นภากาศเอามือจับคางตัวเอง แล้วเธอก็รู้สึกประหลาดประหลาด เธอเอามือลูบไปทั่ว แล้วก็รีบลุกไปส่องกระจกทันที นภากาศถึงกับตกใจเมื่อเห็นบริเวณคาง บริเวณกราม บริเวณใต้จมูก มีหนวดเป็นตอขึ้นเขียวครึ้มเต็มไปหมด
“ยาผีบอก ยาผีบอก เหย เหย เหย”
ที่ตลาดสด เดือนช่วยช้อยจัดแผงเหมือนทุกวัน ผู้คนที่เดินผ่านไปมา ต่างทำท่าซุบซิบและมองมาที่เดือนอย่างรังเกียจ เดือนมองอย่างสงสัย ช้อยหันมามองเดือนแล้วส่ายหน้า กิมมองมาที่เดือนและตะโกนลอยๆ ขึ้น
“เอ๊ย ขายของสมัยนี้มันขายยากขายเย็นกันจริงๆ นะ คนเรามันเลยต้องไปขายอย่างอื่นกันแทน รวยเร็วดี”
“แล้วต้องขายอะไรของแกวะนังกิม ถึงจะรวยเร็วน่ะ”
“เอ๊ะ แกมาถามชั้นได้ยังไงวะ ชั้นแก่ปูนนี้แล้ว ถ้าจะถาม โน่น” กิมชายตามาที่เดือน “ต้องไปถามใครบางคนแถวนี้ว่ะ”
ช้อยมองมาอย่างพยายามสะกดอารมณ์ไม่สนใจ จัดแผงต่อไป
“เอ๊ยยย คนเราสมัยนี้นะแก่จวนจะผุอยู่แล้วยังไม่รู้จักปลง คอยหาเรื่องกัดคนอื่นเค้าไปทั่ว”
ขำบ่นขณะเดินมากับป้อม ทั้งคู่หยุดอยู่ที่หน้าแผงของกิมทำเป็นหยิบนู่นหยิบนี่ขึ้นมาดู
“เออ นั่นน่ะสิวะไอ้ขำ เอ๊ะแต่ข้าไปเจออยู่คนนึงนะ อันนี้ยังไม่แก่ แต่นิสัยเหมือนกันเปี๊ยบเลยว่ะ”
“อ๋อ ชั้นก็เจอนะ ไม่รู้ว่าคนเดียวกันหรือเปล่า ขาวๆ หน้าตาพอดูได้ แต่นิสัยไม่ไหวว่ะพี่”
“เออ สงสัยจะคนเดียวกันว่ะ เนี่ยที่เค้าบอกว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว มันเป็นอย่างนี้นี่เอง”
กิมกระแทกของลงที่แผง
“จะเอาอะไร มาเลือกๆ อยู่นั่นน่ะ จะซื้อก็รีบซื้อซักที”
ขำทำเป็นหยิบผักขึ้นมามองก่อนจะโยนคืนอย่างไม่แยแส
“อ๋อ ไม่ล่ะยาย มีแต่เหี่ยวๆ ซื้อไม่ลง”
“ไอ้ขำ เอ็งไปว่าของของยายเค้าเหี่ยวได้ไง นี่ๆๆ ดูๆ ซะ” ป้อมหยิบมะเขือขึ้นมาลูกหนึ่ง “อันนี้อ่ะ ข้างนอกใสกิ๊งเลยนะแก แต่ข้างในอ่ะ”
“อย่างเน่า” ป้อมกับขำพูดพร้อมกันแล้วหัวเราะ กิมโกรธจนพูดไม่ออกได้แต่ชี้นิ้ว
“ไอ้ ไอ้”
ป้อมและขำเดินหัวเราะตรงมาหาเดือน ยกมือไหว้ช้อยและพูดคุยกับเดือน
“เดือน ไปกินกาแฟตรงโน้นกันเหอะ เดี๋ยวพี่ป้อมเลี้ยง”
“อ้าว ไอ้นี่ เออๆ ก็ได้วะ ไปนะเดือน”
ป้อมขยิบตาส่งซิกให้เดือนเหมือนกับมีอะไรจะพูดด้วย เดือนหันไปมองช้อยก่อนจะขอไป
“แม่ เดี๋ยวเดือนไปกับพี่ป้อมกับขำแป๊บนึงนะ เดี๋ยวกลับมาช่วย”
ช้อยมองหน้าเดือนสลับกับมองขำกับป้อมที่พอช้อยหันมามองก็หัวเราะแก้เก้อ ก่อนจะหันมาพยักหน้ากับเดือน
“เออๆ รีบไปและก็รีบมาล่ะ เผื่อคนเยอะ ข้าขายคนเดียวไม่ทัน”
“จ้ะแม่”
เดือนเดินตามขำกับป้อมไป ช้อยมองตามอย่างสงสัยและเป็นห่วง
เดือน ขำ ป้อมนั่งอยู่ที่โต๊ะในร้านกาแฟ ขำยัดปาท่องโก๋เต็มปาก คนที่อยู่ในร้านต่างซุบซิบและหันมามองเดือน
“พี่ป้อม”
“ชั้นรู้ว่าแกจะถามอะไร เฮ้อ เพราะนังงิ้วผีนั่นแท้ๆ เชียว”
เดือนทำหน้าสงสัย
“ศิริพร ทำไมเหรอ”
“ก็นังงิ้วผีนั่นมันเที่ยวให้ลูกน้องมันปล่อยข่าวลือว่าแกยอมไปนอนกับไอ้พิมุก เพื่อที่จะได้เป็นนักร้อง”
เดือนทำหน้าตกใจ
“อะไรนะ นี่ นี่ ศิริพรเค้าเอาอะไรมาพูดน่ะ”
“ไอ่แอ่นั้นนะ อันอังอูดอีกอ่า เอือนอ่ะ ออมไอออน แอ่ก...อุ๊บ” ขำพูดไม่ชัดเพราะเคี้ยวอยู่ ป้อมทุบหลังขำดังแอ่ก
“จะกินหรือจะพูดเอาซักอย่าง ไอ้ขำ”
ขำรีบหยิบกาแฟขึ้นมาซดและกลืนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดต่อ
“เอิ๊ก ไม่แค่นั้นนะ มันยังพูดอีกว่า เดือนน่ะยอมไปนอนกระทั่งกับแมวมองจากกรุงเทพด้วย...เอิ๊กกก”
“ทำไมเค้าต้องทำกับชั้นถึงขนาดนี้ด้วย ชั้นไปทำอะไรให้เค้า”
“หึ แกก็ไร้เดียงสาไปได้ เดือน จะอะไรซะอีก รวิไง นังงิ้วผีนั่นมันอิจฉาแกที่รวิมาชอบแก มันเลยคอยหาเรื่องแกล้งแก”
“ถ้างั้นเรื่องที่เค้าบอกชั้นว่าพี่พิมุกจะช่วยให้ชั้นเป็นนักร้อง นั่นก็...”
“ตอแหลไง”
“เดือน แกต้องระวังตัวให้มากกว่านี้นะ แกคิดดูนะ ถ้าคราวนี้รวิกับพวกชั้นไปช่วยไม่ทัน แกจะเป็นยังไง”
เดือนหน้าเสียพูดไม่ออก
“ทั้งไอ้นักมวยบ้ากับนังงิ้วผีนั่น มันร่วมมือกัน ตั้งแต่ที่มีเรื่องกันในงานที่เดือนจะได้ร้องเพลงนั่นแล้ว”
“งานนั้น อย่าบอกนะว่าเป็นแผนของ 2 คนนั้นน่ะ”
“ถูก”
“โธ่ แล้วชั้นก็มัวแต่ไปโทษพี่รวิเค้า”
“เฮ้อ รวิมันห่วงแกมากนะเดือน”
“ใช่ๆ รวิน่ะห่วงเดือนมาก อาแปะๆ ปาท่องโก๋อีก 5 ตัว”
“โอ๊ย ไอ้นี่แกจะกินให้หมดกระทะเลยมั้ย ไอ้นี่”
เดือนทำท่าครุ่นคิดสีหน้ากังวล มองขำกับป้อมสลับไปมา
อ่านต่อตอนที่ 5