รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 14
อิทธิพลมองรูปเก่าของตัวเองที่ถ่ายกับเที่ยงธรรมและชูชัยอยู่
ถนอมเดินมาวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะแล้วมองรูปในมือของอิทธิพล
“คุณท่านคะ คืนนี้คุณธรรม์ไม่กลับบ้านนะคะ สงสัยคงต้องอยู่เคลียร์งานที่โรงพักทั้งคืน นี่คุณธรรม์เพิ่งไปบุกแก๊งมาเฟียขาโหดมาไม่ใช่เหรอคะ เห็นว่าแทบจะเอาชีวิตไม่รอดกลับมา แต่นี่กลับไปทำงานต่อหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นงั้นแหละ”
“นายธรรม์มันเหมือนเที่ยงธรรม แต่หนูชนนี่ ดูยังไงก็ไม่เหมือนไอ้ชาติชาย”
“แต่ยังไงคุณชาติชายก็เลี้ยงลูกมาดี อิชั้นเชื่อนะคะว่า ไม่มีใครที่จะเลวไปหมดหรือดีไปหมดหรอกค่ะ คุณชาติชายแค่เคยเดินทางผิด ถึงคุณท่านจะกลับไปเป็นเพื่อนกันไม่ได้ แต่ก็อย่ากลับไปเป็นศัตรูกันเหมือนเก่าเลยนะคะ”
อิทธิพลนิ่งคิดนาน อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาหยุดมองพ่อ
“ไม่ต้องคิดนานเลย พ่อ” อิทธิฤทธิ์ว่า
“คุณอิท.. คุณอิทของป้า..มีเรื่องให้ป้าต้องใจหายใจคว่ำได้ทุกวัน”
ถนอมกอดอิทธิฤทธิ์อย่างดีใจแล้วหอมแก้มอีกหลายฟอด
“เดี๋ยวๆครับ ป้าหนอม ขอผมคุยกับพ่อก่อน” อิทธิฤทธิ์พูดกับอิทธิพล “พ่อ..พ่อต้องไปเคลียร์กับ
คุณลุงให้รู้เรื่องนะ ไม่งั้นมีปัญหาแน่”
“ปัญหาอะไรของแก เรื่องของชั้นกับไอ้ชาติชายมันเกี่ยวอะไรกับแกด้วย”
“ผมชอบชน..ถ้าพ่อกับคุณลุงยังเกลียดขี้หน้ากันอยู่ ผมจะคบกับชนได้ไง ผมทำตามทุกอย่างที่พ่อต้องการแล้ว พ่อก็น่าจะทำตามที่ผมต้องการมั่ง” อิทธิฤทธิ์อ่อนลง “...นะครับ พ่อ”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไป ถนอมหันไปมองอิทธิพลอย่างเห็นด้วยกับอิทธิฤทธิ์เป็นอย่างยิ่ง
เช้าวันใหม่ ที่บ้านชนมน
ชนมนแผดเสียง “ไอ้ชิน ! แกทำอะไรกับโน้ตบุ๊คชั้น”
ชนมนถือโน้ตบุ๊ควิ่งเข้ามามองหาชินพัฒน์ ชินพัฒน์ที่นั่งกินข้าวเหนียวหมูปิ้งอยู่ต้องสะดุ้งโหยง
“ไอ้ชิน!”
“ผมป่าวทำ”
ชินพัฒน์ลุกขึ้นวิ่งไปหลบหลังชูชัยที่กำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ในร้านอยู่ ชนมนวางโน้ตบุ๊คแล้ววิ่งไล่ตาม
“ไม่ได้ทำ แล้ววิ่งหนีทำไม ไอ้ชิน เมื่อคืนชั้นเห็นนะว่า แกแอบเอาโน้ตบุ๊คชั้นไปใช้! แก-ตาย!!”
ชนมนพยามยามที่จะฟาดใส่ชินที่หลบไปหลบมาหลังชูชัย
“เฮ้ย! เดี๋ยว! ไอ้ชินมันทำอะไร” ชูชัยถาม
“มันทำโน้ตบุ๊คหนูเจ๊ง”
“ผมก็แค่โหลดเกมมาเล่นเท่านั้น”
“นั่นแหละ! แกทำโน้ตบุ๊คชั้นติดไวรัส งานที่ทำไว้หายเกลี้ยงหมดเลย พ่อต้องฆ่ามันให้หนูนะ หนูต้องส่งโครงงาน วันนี้วันสุดท้ายแล้วด้วย”
“หายก็ทำใหม่ดิ ง่ายนิดเดียว”
ชนมนยิ่งแค้น “ไอ้ชิน”
ชินพัฒน์พูดขึ้น “พี่ชน แฟนมา!”
ชนมนชะงักมองชูชัยอย่างเกรงๆ ชินพัฒน์ได้จังหวะที่อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาดึงดูดความสนใจรีบกระโจนหายไปทันที
“ไอ้หมอนี่จะช่วยอะไรได้มั้ย” ชูชัยถาม
อิทธิฤทธิ์งง “ช่วยอะไรหรือครับ”
ชนมนหันไปมองอิทธิฤทธิ์อย่างหมดอาลัยตายอยากและอยากตายจริงๆ ณ นาทีนี้
อิทธิฤทธิ์เปิดเครื่องโน้ตบุ๊คของตัวเองแล้วยื่นมือไปด้านหลัง ชนมนส่งแฟลชไดรฟ์ใส่มืออิทธิฤทธิ์อย่างเซ็งสุดๆ อิทธิฤทธิ์เสียบแฟลชไดรฟ์เข้าที่โน้ตบุ๊ค
“ไม่มีประโยชน์หรอก ชั้นเซฟงานไว้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ยังไงวันนี้ก็เขียนใหม่ไม่ทันแน่ๆ” ชนมนบอก
“มีชั้นช่วย ต้องทันดิ ไหนๆ ไฟล์ชื่อไร” อิทธิฤทธิ์ถาม
ชนมนชี้ไปที่ไฟล์บนหน้าจอโน้คบุ๊คอย่างไม่มีแรงจะทำอะไรแล้ว อิทธิฤทธิ์คลิกเปิดไฟล์แล้วจับตัวชนมนมานั่งแทนที่ตรงหน้าโน้ตบุ๊คแล้วหยิบปึกกระดาษโน้ตของชนมนกับหนังสือกฎหมายมาตั้งกองไว้ อิทธิฤทธิ์ชะโงกหน้าดูโน้ตบุ๊คแล้วคลิกเลื่อนอ่านอย่างรวดเร็ว
“ในไฟล์นี้เขียนไปถึงไหน “ปัญหากฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับความรับผิดของปัจเจกชนผู้ก่ออาชญากรรม..” นี่ไงๆ เธอพิมพ์นี่ต่อได้เลย”
อิทธิฤทธิ์ส่งกระดาษโน้ตที่ยาวเต็มหน้าส่งให้ชนมนที่ส่ายหน้ายิกๆ
อิทธิฤทธิ์ให้กำลังใจ “เธอต้องทำได้”
“ได้แน่เหรอ?” ชนมนไม่มั่นใจ
“ต้องได้ดิ! เชื่อชั้น!”
ชนมนตั้งสติใหม่แล้วสูดลมหายใจลึกๆ เธอรับกระดาษโน้ตจากอิทธิฤทธิ์มาอ่านแล้วเริ่มพิมพ์ใหม่
อิทธิฤทธิ์ถาม “แล้วต้องหาคดีตัวอย่างประกอบด้วยใช่มั้ย เดี๋ยวชั้นหาให้..”
อิทธิฤทธิ์หยิบค้นหนังสือกฎหมายมาเปิดค้นให้ ถนอมถือถาดขนม คุ๊กกี้และแก้วน้ำหวานเข้ามา
“กำลังเสริมมาแล้วค่า”
ชนมนพิมพ์งานโดยไม่เงยหน้า “ขอบคุณค่ะ ป้าหนอม”
ถนอมวางถาดลงพลางมองอิทธิฤทธิ์กับชนมนที่ช่วยทำงานอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ป้าต้องขอบคุณหนูชนต่างหาก...” ถนอมบอก
อิทธิฤทธิ์เปิดหน้าหนังสือแล้วส่งให้ชนมนดู
“คดีนี้เก่าไปแล้ว” ชนมนบอก
“คดีนี้แหละใช้ได้ ชั้นเคยได้ยินอาจารย์ตุลาพูดถึงอยู่บ่อยๆ”
“งั้นก็ยิ่งใช้ไม่ได้ ชั้นอยากเขียนโครงงานที่ไม่เหมือนใคร”
“ก็ได้..”
ชนมนหันมาค้นหาคดีกับอิทธิฤทธิ์ ทั้งสองแทบเอาหัวชนกันเพราะกำลังช่วยกันอย่างจริงจัง
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์ที่ดูรู้เรื่องกฎหมายการเรียนไม่แพ้ชนมนอย่างปลาบปลื้มใจ
อรุณวตีนั่งนิ่งมองไปที่นุกนิกที่กำลังซ้อมบทโรสลิน
นุกนิกนั่งอยู่ที่เก้าอี้ด้วยความรู้สึกเศร้ารันทด สักพักแม็กซ์ก็เดินมานั่งข้างๆนุกนิก
“โรสลิน..” แม๊กซ์พูดขึ้น
“หยุดเถอะค่ะ” นุกนิกบอก
แม็กซ์ดึงตัวนุกนิก “ผมจะพาคุณไปหาคุณนีรชา เป็นตายยังไงก็ให้มันรู้ไป ผมทนอยู่อย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว”
“อย่าค่ะ อย่าทำอย่างนี้ นี่คุณจะฆ่าโรส ฆ่าพี่นีรชา และฆ่าตัวเองอย่างนั้นหรือ”
“ผมยินดีจะเผชิญหน้ากับความพินาศทุกอย่าง”
นุกนิกพูดบทอย่างเต็มที่มาก “คุณยังหุนหันพลันแล่นไม่ทิ้งนิสัยเดิม โรสขอร้องล่ะค่ะ คุณราเชนทร์
ปล่อยโรสไปเถอะค่ะ ลืมทุกอย่างที่เราทำผิดในคืนนี้ ถ้าคุณยังไม่ยอมกลับไปแต่งงานกับพี่นีรชา โรสจะไปจากพระนคร และเราจะไม่เห็นหน้ากันอีกตราบจนวันตาย”
นุกนิกมองแม็กซ์อย่างเจ็บแสนสาหัสแต่ก็เห็นว่าใช้ความพยายามมาก
มณีมันตรายืนอยู่ด้านหลังอรุณวตีพร้อมกับมองนุกนิกที่ได้ซ้อมบทของโรสลิน เมนี่ที่นั่งอยู่ข้างอรุณวตีรีบลุกขึ้นนำตบมืออย่างออกหน้าออกตา
“สุดยอด! ฝีมือการแสดงสุดยอดจริงๆค่ะ น้องนุกนิก คุณวตีนี่ตาแหลมจริงๆที่เลือกน้องนุกนิกมารับบทโรสลิน เออ..น้องแม็กซ์ก็เยี่ยมมากนะคะ”
อรุณวตีเรียก “คุณแม้น..”
แม็กซ์ยิ้มขำที่ถูกเปลี่ยนชื่อแต่ชินแล้ว “ครับ? คุณวตี”
“คุณยังรักโรสลินไม่มากพอ คุณจะต้องชนะใจเธอให้ได้ ดื้อดึงได้มากกว่านี้ แล้วเธอ นิดหน่อย..ขอให้พูดตามบทที่ชั้นเขียนด้วย..ชั้นเขียนว่า โรสจะไปจากกรุงเทพฯ ไม่ใช่พระนคร”
“แต่หนูว่าใช้คำว่า “พระนคร” จะดีกว่านะคะ ฟังดูเป็นละครพีเรียดดีออก” นุกนิกว่า
“ชั้นต้องการใช้คำว่า”กรุงเทพฯ” คุณหญิงย่าของชั้นเกิดทันยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านยังไม่เคยใช้คำว่า”พระนคร”เลย จะเรียกก็ไม่ผิดหรอกนะ แต่ชั้นไม่ขอใช้คำนี้ เธอควรจะใส่ใจการแสดงมากกว่าที่จะมาปรับเปลี่ยนบทของชั้น”
เมนี่รีบแทรก “ค่ะๆ ต่อไปน้องนุกนิกจะพูดตามบทของคุณวตีเป๊ะๆ ไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว แล้วนี่การแสดงของน้องนุกนิกเป็นไงบ้างคะ ใช่โรสลินเลย ใช่มั้ยล่ะคะ คุณวตี”
“ก็พอใช้ได้ แต่ไม่ต้องเค้นอารมณ์มากขนาดนี้ โรสลินเป็นผู้หญิงแกร่ง ไม่ฟูมฟายฉากนี้ชั้นก็ตีความให้แล้วว่า โรสลินตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวที่จะไปจากราเชนทร์เธอจบการแสดงมาจากนิวยอร์ค ไหนลองบอกมาซิว่า การแสดงแบบOveracting ต่างกับการแสดงแบบ Exaggerate ยังไง”
นุกนิกอ้าปากหวอเพราะตอบคำถามอรุณวตีไม่ได้ เมนี่หันซ้ายหันขวาจะช่วยแล้วหันไปเจอมณีมันตราพอดี
“มาทำไมที่นีอีกล่ะ มาย่า เธอไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับละครเรื่องนี้แล้ว” เมนี่ว่า
ทุกคนหันไปมองจนมณีมันตรารู้สึกหน้าชา มณีมันตรารวบรวมความกล้าก้าวเข้ามาหาอรุณวตี
“หนูมาขอโอกาสอีกครั้งค่ะ คุณวตี”
อรุณวตีถาม “แล้วเธอคิดว่า เธอสมควรที่จะได้รับโอกาสครั้งที่สองอย่างนั้นเหรอ”
มณีมันตราพูดอย่างเด็ดเดี่ยว “ค่ะ! หนูสมควรที่จะได้ หนูเชื่อว่า หนูมีความสามารถพอ”
มณีมันตรานิ่งรอคำตอบจากอรุณวตีที่ยังนิ่งคิดด้วยสีหน้าที่ดูไม่ออกว่าจะเอายังไง
ชนมนนั่งพิมพ์งานอย่างเร่งรีบ หนังสือกฎหมายเปิดค้างกองอยู่หลายเล่มและมีกระดาษโน้ตกระจุยกระจายอยู่เต็มโต๊ะ อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาหยุดอยู่ด้านหลังชนมนแล้วนวดไหล่เธออย่างให้กำลังใจ
“จวนเสร็จยัง?”
“ยัง!” ชนมนปัดมือของอิทธิฤทธิ์ออก “ไม่ต้องเลย นายยิ่งทำให้ชั้นช้าไปอีก”
“ชั้นอุตส่าห์จะช่วยให้เธอผ่อนคลาย อย่าเครียดดิ”
ชนมนมองนาฬิกาและลนลาน “จะเที่ยงแล้ว ชั้นต้องส่งก่อนเที่ยง ไม่ทันแน่ๆเลย นี่ยัง
ต้องพิมพ์อีกเป็นสิบหน้า ไปไกลๆชั้นก่อน ไป ชั้นต้องทำให้เสร็จ ชั้นน่าจะเพิ่มคดีตัวอย่างอีกสองสามคดี..หรือชั้นควรจะเปลี่ยนหัวข้อที่สามใหม่?”
“ชน!”
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนไว้ให้หยุดพิมพ์
อิทธิฤทธิ์บอกชนมน “ทำได้แค่ไหนแค่นั้น!”
“แค่ไหนแค่นั้น มันไม่ได้น่ะสิ”
“แต่เธอทำดีที่สุดแล้วไม่ใช่เหรอ เธอรู้ป่าวว่า การแข่งดริฟท์รถ แพ้ชนะไม่ได้ดูที่ความเร็วของรถ แต่อยู่ที่สไตล์การดริฟท์ว่าใครจะแน่กว่าใคร โครงงานของเธอก็เหมือนกัน อยู่ที่แนวความคิดไม่ได้อยู่ที่ว่าเธอเขียนได้ยาวกี่ร้อยหน้า”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างทึ่งๆ
อิทธิฤทธิ์ภูมิใจตัวเอง “ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ได้แหะ วันที่ชั้นได้สอนเธอบ้าง เอ้า เขียนสรุปจบ
อีกหน้าเดียวพอ แล้วก็ส่งไปได้แล้ว”
ชนมนหันกลับไปพิมพ์ต่ออย่างใจเย็นขึ้น
เวลาผ่านไป ชนมนง่วนกับการพิมพ์บทสรุปสุดท้ายจนถึงคำสุดท้ายแล้วกดเซฟ ชนมนหันมามองอิทธิฤทธิ์ที่ยกนิ้วโป้งให้ ชนมนหันกลับไปเปิดอีเมล์เตรียมส่งโครงงาน ชนมนเขียนอีเมล์แอดเดรสและข้อความข้อมูลส่วนตัวสั้นๆ แล้วแนบไฟล์ไป
ชนมนเคาะโต๊ะอย่างลังเลเพราะยังไม่กล้ากด Send อิทธิฤทธิ์เอื้อมมือมาจับมือชนมนไปที่คีย์บอร์ด ชนมนยอมกดปุ่ม Send ในที่สุดแล้วก็พิงพนักเก้าอี้อย่างหมดแรง
ชนมนหันไปมองอิทธิฤทธิ์อย่างขอบคุณ อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างภูมิใจมาก
มณีมันตราเดินไปเดินมารอคำตอบจากอรุณวตีอย่างวุ่นวายใจ
เธอเดินมาหยุดที่หน้าโปสเตอร์ประกาศคัดเลือกนักแสดงของละคร”รักนิรันดร์” ธรรม์เดินเข้ามาหยุดยืนเคียงข้าง มณีมันตราหันไปมองอย่างแปลกใจ
“พี่แวะมาให้กำลังใจ ไม่ต้องห่วง พี่ดูจนแน่ใจว่า ไม่มีนักข่าวไม่มีแฟนคลับพี่ถึงได้เข้ามา”
“ตอนนี้ย่าไม่สนใจเรื่องข่าวแล้วล่ะค่ะ” มณีมันตรามองที่โปสเตอร์ “ย่าอยากเล่นละครเรื่องนี้มาก ย่าดูมาตั้งแต่เด็ก ดูมาทุกเวอร์ชั่น ย่าไม่อยากปล่อยให้โอกาสครั้งนี้หลุดไปเลย”
“ย่ายังมีโอกาสนะ เค้ายังได้นักแสดงไม่ครบไม่ใช่เหรอ”
แม็กซ์เดินเข้ามาหาแล้วตอบคำถามแทนมณีมันตรา
“ครับ คุณวตียังได้นักแสดงไม่ครบ ยังมีบทดีๆเหลือให้ย่านะ แต่ผมอยากให้ย่าได้บทโรสลินมากกว่า ผมอยากเล่นละครคู่กับย่ามานานแล้ว”
มณีมันตราแนะนำ “นี่แม็กซ์ พระเอกเรื่องนี้ค่ะ แล้วนี่..”
แม็กซ์พูดเล่นโดยไม่ได้คิดอะไร “หมวดธรรม์..ตอนนี้ไม่มีใครไม่รู้จักหมวดธรรม์หรอก ถ้าจะ
คิดเข้าวงการล่ะก็ ตอนนี้เป็นโอกาสดีเลยนะครับ หมวด”
ธรรม์ไม่ชอบใจ “ผมไม่เคยคิดเข้าวงการ และไม่คิดเกาะย่าดังด้วยครับ”
แม็กซ์ชะงักมองธรรม์แบบไม่คิดว่าจะเป็นคนจริงจังอะไรขนาดนี้
เมนี่กับนุกนิกเดินออกมาจากห้องแคสติ้ง
“ใครจะไปจำได้หมดคะ พี่เมนี่ แต่ละฉากยาวตั้งสามสี่หน้า พูดผิดนิดผิดหน่อยก็ไม่ได้ แล้วไดอะล็อกก็โบราณซะ น่าจะปรับให้เข้าปากนักแสดง นี่เพราะนุกนิกมัวแต่ห่วงเรื่องบทพูด ก็เลยแสดงออกมาไม่ดี พี่เมนี่ต้องบอกคุณสุวิชอย่างนี้นะคะ ไม่ใช่ว่านุกนิกทำไม่ได้”
“พี่เมนี่เข้าใจค่ะ ไม่ใช่ความผิดของน้องนุกนิกเลย แต่อย่าได้พูดอย่างนี้ให้คุณวตีได้ยินเชียวนะ เรายังไม่ได้เซ็นสัญญากันเลย เดี๋ยวได้เป็นเรื่อง”
“นี่หมายความว่า ถ้านุกนิกยังไม่ได้เซ็นสัญญา คุณวตีมีสิทธิ์เปลี่ยนนางเอกได้ทุกเมื่องั้นเหรอคะ”
นุกนิกเริ่มไม่สบายใจแต่แล้วก็หันไปเห็นมณีมันตรายืนอยู่กับธรรม์และแม็กซ์ นุกนิกรีบดึงเมนี่ให้หลบมุมเพื่อไม่ให้มณีมันตราเห็น
“ถ่ายรูปไว้เลยค่ะ พี่เมนี่”
เมนี่หันไปมองมณีมันตรา “โอ๊ย ตอนนี้ไม่มีใครเล่นข่าวมาย่ากับหมวดธรรม์แล้วล่ะค่ะ”
“ข่าวพี่มาย่ากับหมวดธรรม์เป็นข่าวเก่าไปแล้ว แต่ข่าวพี่มาย่ากับรักสามเส้าเราสามคนเป็นข่าวใหม่ไม่ใช่เหรอคะ” นุกนิกบอก
เมนี่หันไปมองอีกครั้งแล้วเห็นแม็กซ์ยืนอยู่กับมณีมันตราด้วยแล้วต้องหันมายกนิ้วโป้งให้นุกนิกที่หัวไวมาก
ธรรม์จะเดินออกไป มณีมันตราดึงแขนธรรม์ไว้เพื่อคุยต่อ แม็กซ์ยืนรอมณีมันตราอยู่
มณีมันตรา ธรรม์และแม็กซ์ถูกถ่ายภาพเป็นช็อทๆ
นุกนิกควบคุมให้เมนี่ถ่ายรูปตามที่เธอต้องการ ทั้งภาพมณีมันตรากำลังดึงแขนธรรม์ แล้วแม็กซ์ก็เดินเข้ามาใกล้เหมือนจะยื้อมณีมันตราให้ไปด้วย ภาพธรรม์เดินออกไป มณีมันตรายืนมองโดยมีแม็กซ์ยืนอยู่ใกล้ๆ ภาพมณีมันตราเดินออกไปกับแม็กซ์โดยมีธรรม์หันกลับมามอง ภาพทุกภาพตีความว่าเป็นรักสามเส้าได้ทั้งๆ ที่ธรรม์แค่เดินออกไปรอมณีมันตราเท่านั้น
ภาพมณีมันตรา ธรรม์และแม็กซ์อยู่ที่จอไอแพดของเมนี่ อรุณวตีจ้องมองภาพข่าวมณีมันตราบนไอแพดอย่างพิจารณา มณีมันตรากับแม็กซ์มองหน้ากันอย่างไม่คาดฝัน เมนี่แอบหันไปยิ้มกับนุกนิกอย่างชอบใจ
“ชั้นล่ะเหนื่อยกับเธอจริงๆ เธอทำตัวให้เป็นข่าวได้ทุกวันเลยนะ มาย่า” เมนี่ว่า
“พี่มาย่าคงอยากช่วยโปรโมทละครน่ะค่ะ พี่เมนี่ แต่ตอนนี้วิธีปล่อยภาพหลุดไม่ได้ผลแล้วนะคะ พี่มาย่า แหม รักโปรโมทของพี่มาย่ากับพี่โอเจยังช่วยหนังบอดี้การ์ดไม่ได้เลย ไม่งั้นหนังคงกำไรเป็นร้อยล้าน ไม่ใช่เจ๊งไม่เป็นท่าอย่างนั้น” นุกนิกว่า
“ข่าวยุคนี้มันไปเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ยุคที่ทุกอย่างไปเร็วมาเร็วจนผู้คนไม่มีเวลาที่จะหยุดเพื่อที่จะคิดตริตรองให้ดี..ทั้งผู้ให้ข่าวและผู้เสพข่าว” อรุณวตีบอก
“หนูไม่ได้เป็นโพสรูปนี้นะคะ คุณวตี” มณีมันตราบอก
“ผมก็ยืนยันได้ว่า ย่าไม่ได้เป็นคนโพสรูปนี้ ข่าวแบบนี้มีแต่ผลเสีย ย่าจะทำไปทำไมล่ะครับ แต่คนโพสรูปนี้ต้องเป็นฝีมือคนในแน่ๆ” แม๊กซ์บอก
“คุณมณี..ชั้นไม่ต้องการให้ละครดังเพราะกระแสข่าวฉาวของนักแสดง” อรุณวตีบอก
“เมนี่เห็นด้วยค่ะ คุณวตี ก่อนที่ข่าวคาวของมาย่าจะกระฉ่อนออกไปมากกว่านี้เราตัดไฟซะตั้งแต่ต้นลม ตัดมาย่าออกไปเลยดีกว่านะคะ”
อรุณวตีพูดอีกเรื่อง “ชั้นขอออกกฎใหม่..ต่อไปนี้ระหว่างการทำงาน ทุกคนต้องปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่และเครื่องมือสื่อสารทุกชนิด และห้ามทุกคนเผยแพร่ข้อมูลใดๆที่เกี่ยวกับละครเรื่องนี้”
เมนี่พูดมั่วกับมณีมันตรา “ได้ยินแล้วใช่มั้ย มาย่า เธอออกไปได้แล้ว ไป”
อรุณวตีพูดกับมณีมันตรา “เธอเคยบอกว่า ไม่ว่าบทอะไร เธอก็จะเล่นงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ คุณวตี ขอเพียงหนูได้มีส่วนในละครเรื่องนี้ก็พอ”
เมนี่พูดแทรก “บทแม่บ้านอุษาดีมั้ยคะ หรือว่าบทแม่สุนีย์ บทนี้ร้ายสุดๆมีตั้งสองฉาก”
อรุณวตีหยิบรูปมณีมันตราจากแฟ้มส่งให้เมนี่ เมนี่รับรูปมณีมันตราแล้วมองอรุณวตีเป็นเชิงถาม
อรุณวตีนิ่งคิดต่ออีกนิด มณีมันตรามองอรุณวตีอย่างลุ้นตัวโก่งเพราะลึกๆก็อยากเล่นบทดีๆ เหมือนกัน
ธรรม์ยืนรอฟังข่าวอยู่มุมหนึ่งที่ไกลตาผู้คน มณีมันตราเดินหน้าเศร้ามาหาธรรม์
“ไม่ได้บทอะไรเลยเหรอ”
“ได้ค่ะ”
“ได้บทที่ไม่อยากเล่นงั้นสิ ตอนนี้ได้รับบทอะไร ก็เล่นไปก่อน พี่เชื่อว่า ถ้าผู้กำกับได้เห็นความสามารถของย่า เค้าจะต้องเปลี่ยนใจแน่ๆ”
มณีมันตรายังนิ่งเงียบพูดไม่ออก ธรรม์โอบไหล่มณีมันตราเพื่อปลอบใจ
“ย่า..เป็นอะไรหรือเปล่า”
“ย่าไม่เป็นไรค่ะ ไม่เป็นไรจริงๆ เพราะตอนนี้ย่ามีความสุขมาก” มณีมันตรายิ้มกว้าง “ก็ย่าได้
เล่นบทที่อยากเล่น! รองจากบทโรสลิน ก็บทนีรชานี่แหละที่ย่าชอบมากๆๆ”
“ย่า! หลอกกันซะสนิท”
“ก็ย่าเก่ง! ไม่งั้นคุณวตีไม่ให้บทนีรชากับย่าหรอก”
ธรรม์แกล้งจับหัวมณีมันตราโยกเบาๆ “นี่เรียกว่าใช้ความสามารถไปในทางที่ผิด มันน่ามั้ย
เนี่ย..พี่ดีใจด้วยนะที่ความฝันของย่าได้เป็นความจริงซะที ย่าโชคดีนะที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ มีไม่กี่คนหรอกที่จะมีโอกาสได้อย่างย่า”
“แล้วพี่ธรรม์ล่ะคะ ได้เป็นตำรวจแล้ว มีอะไรที่อยากทำอีกหรือเปล่า”
“นอกจากคดีของพ่อแล้ว พี่ก็อยากจะ..ไม่พูดดีกว่า..พูดไปจะเหมือนพระเอกในละครของย่ามากไป”
“พูดมาเถอะค่ะ บอกมาเร็วๆว่า พี่ธรรม์อยากทำอะไร บอกมาๆๆ”
“พี่อยากทำงานรับใช้ประเทศอย่างเต็มความสามารถ ถ้าคุณพ่ออนุญาต พี่อยากขอย้ายไป..เออ..ช่างเถอะ คงอีกซักพักใหญ่ๆแหละ ตอนนี้พี่ต้องอยู่รอดูความสำเร็จของย่าก่อน แล้วพี่ค่อยทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ”
“ย่ารักพี่ธรรม์จัง”
มณีมันตรากอดเอวธรรม์อย่างประจบเพราะกำลังมีความสุขสุดๆ ที่ได้รับบทนีรชาจนไม่ได้ฟังดีๆว่า
ธรรม์อยากย้ายไปทำงานที่ไหน ธรรม์โอบมณีมันตราเข้ามาใกล้ๆ โดยปล่อยให้เธอมีความสุขไป
เมนี่เดินเอารูปของมณีมันตราจะไปติดที่บอร์ดแผนผังตัวละครตรงชื่อ”นีรชา” ที่อยู่เคียงข้างชื่อ “โรสลิน” เมนี่หันมามองอรุณวตีอีกครั้งแล้วเรียก
“คุณวตีคะ..”
“มายาเหมาะที่สุดแล้วสำหรับบทนี้ หรือจะให้ชั้นเปลี่ยนก็ได้ ชั้นจะได้ให้มายาสลับบทกับนิดหน่อย”
“ไม่ค่ะ ไม่เปลี่ยนๆ ค่ะๆ มาย่าเหมาะกับบทนีรชาที่สุด..สุดๆเลยค่ะ ไม่เปลี่ยนไม่สลับบทนะคะ”
เมนี่รีบแปะรูปมณีมันตราลงตรงชื่อ”นีรชา”โดยไว อรุณวตีเดินออกไป นุกนิกยืนมองรูปตัวเองที่อยู่ข้างรูปของมณีมันตราอย่างร้อนๆหนาวๆ
“มันกลายเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไงคะ พี่เมนี่”
“พี่เมนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ พี่เมนี่พยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดมาย่าออกไปแล้วแต่กลับมาได้บทนีรชาไปง่ายๆซะงั้น แต่ว่าไปแอคติ้งของมาย่าก็กินขาดจริงๆนะคะ น้องนุกนิก”
“พี่เมนี่คะ! ยังไงพี่เมนี่ก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ถ้ามีนุกนิก จะต้องไม่มีพี่มาย่า”
แม็กซ์เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังนุกนิก
“ผมว่า น้องนุกนิกตั้งใจทำงานดีกว่านะครับ”
เมนี่กับนุกนิกสะดุ้งเพราะไม่รู้ว่าแม็กซ์ยังไม่ได้ออกไป
“ตอนนี้ยังไม่มีอะไรแน่นอนหรอกครับ ถ้าหากน้องนุกนิกไม่พัฒนาฝีมือการแสดงล่ะก็ อาจจะมีการเปลี่ยนตัวนางเอกได้ มาย่าได้เล่นบทนีรชาแล้ว บทโรสลีนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม อย่างที่พี่เมนี่บอกแหละ แอคติ้งมาย่ากินขาดจริงๆ” แม๊กซ์ว่า
แม็กซ์เดินออกไป เมนี่กับนุกนิกมองตากันอย่างเป็นกังวลใจมาก
อิทธิฤทธิ์เดินมาส่งชนมน ชนมนยังคงคิดเรื่องโครงงานที่ส่งไปอยู่
อิทธิฤทธิ์บอก “ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว ตอนนี้เรารอฟังผลอย่างเดียว ถ้าไม่ได้ ก็หาที่เรียนใหม่”
“นั่นสิ คิดไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ทุนนี้เค้าให้แค่สองทุนเอง คนสมัครเป็นพัน ไม่น่าจะได้ง่ายๆ ชั้นคงจะทำใจไว้ก่อน” ชนมนว่า
“เธอสอบชิงทุนอะไร ทำไมให้แค่สองทุน”
“ชั้นสอบชิงทุนไปเรียนต่อป.โทที่..นายไม่ต้องรู้หรอก พูดไปก็ไม่รู้จัก แต่ยังไงก็ขอบคุณนะที่ช่วย ถ้าวันนี้ไม่ได้นาย ชั้นคงหมดหวังไปแล้ว แต่นี่ยังพอมีความหวังต่อไปอีกหน่อย ขอบคุณนะ อิท”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอก ขอกอดทีนึงก็พอ”
อิทธิฤทธิ์แกล้งกางมือจะกอดชนมนแต่ชนมนหลบไปได้
“นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์รีบคว้าตัวชนมนมาได้ก่อนที่จะหนีไปแล้วรีบดึงตัวชนมนเข้ามากอดไว้
“นายอิท! เดี๋ยวเถอะ!”
“เดี๋ยวไรเหรอ ตัวเอง”
ชนมนยิ่งดิ้น อิทธิฤทธิ์ก็ยิ่งแกล้งกอดชนมนแน่นขึ้น ชูชัยเดินเข้ามาหยุดมองเงียบๆ อิทธิฤทธิ์กับชนมนหันไปเห็นสายตาเหี้ยมๆของชูชัย ทั้งสองรีบผละออกกันเหมือนโดนไฟดูด
“เฮ้ย!”
ชูชัยถามนิ่งๆ “เป็นไง”
“ดีครับ..สบายดีครับ”
“ชั้นถามถึงงานของชน ทำเสร็จทันเวลาหรือเปล่า”
“ทัน พ่อ ทันอย่างเฉียดฉิวมากๆ อิทเค้าช่วยได้เยอะเลย ไม่งั้นหนูไม่มีงานส่งแน่ๆ เรื่องสอบชิงทุนก็ลืมไปได้เลย อิทเค้า..”
“เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เข้าบ้านไป” ชูชัยบอก
ชนมนลาอิทธิฤทธิ์ “ชั้นไปนะ” ชนมนกระซิบ “อย่ามีเรื่องล่ะ”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์เป็นการเตือนแล้วเดินเข้าบ้านไป ชูชัยหันกลับมามองอิทธิฤทธิ์
“ที่ชั้นให้นายช่วยงานชน ไม่ได้หมายความ ชั้นยอมให้นายคบกับชน”
“เรื่องของพ่อกับคุณลุงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผมนะครับ”
“ถึงนายจะไม่ใช่ลูกของไอ้ผู้การ ชั้นก็ต้องขอคิดดูก่อน นายยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะ นายอิทธิฤทธิ์”
ชูชัยเดินกลับเข้าไปข้างใน อิทธิฤทธิ์มองตามอย่างเหนื่อยใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ชูชัยเปิดประตูรั้วบ้านตอนเช้าแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นอิทธิพลยืนรออยู่
“ร้านยังไม่เปิด” ชูชัยบอก
ชูชัยถือถุงขยะไปทิ้งใส่ถังขยะหน้าบ้านแล้วเดินกลับเข้าบ้าน อิทธิพลเดินตามเข้าไป ชูชัยหันกลับไปมองอิทธิพล
“บอกว่า ร้านยังไม่เปิด”
“ชั้นรอได้!” อิทธิพลพูดขึ้น
ชูชัยกับอิทธิพลยืนประจันหน้ากัน ชนมนกับชินพัฒน์เดินมาหยุดมองทั้งสองคน
“เสือพบสิงห์เว้ยเฮ้ย” ชินพัฒน์เปรย
อิทธิพลมองหาที่นั่งแล้วนั่งลงที่โต๊ะเตรียมที่จะรอ
“ลุก!” ชูชัยสั่ง
ชนมนกับชินมองพ่ออย่างลุ้นๆ เพราะกลัวมีเรื่อง
“ทำไงดี ไอ้ชิน ไปโทรตามอิทให้ที ไป”
“ได้ๆ เรียกมาเป็นกรรมการใช่มั้ย บอกลุงๆว่าอย่าเพิ่งเริ่มชกล่ะ รอกรรมการก่อน”
ชินพัฒน์รีบกลับเข้าไปในตัวบ้าน
“ชั้นบอกให้ลุก!” ชูชัยสั่ง
อิทธิพลจ้องชูชัยโดยยังไม่ยอมลุกขึ้น ชนมนรีบเข้าไปแทรกกลาง
“พ่อ..อย่ามีเรื่องเลยนะ” ชนมนขอ
“ชั้นบอกให้ลุก! โต๊ะนี้ยังไม่ได้เช็ด ไปนั่งโน่นไป” ชูชัยบอก
ชนมนค่อยโล่งใจ อิทธิพลลุกขึ้นขยับจะไปนั่งอีกโต๊ะ แล้วก็เปลี่ยนใจเดินกลับมาหาชูชัย
“มีอะไรก็พูดมา” ชูชัยบอก
“ไอ้ชาติ..”
“ชั้นไม่ใช่ชาติชายแล้ว รู้ไว้ด้วย!”
“ชั้นรู้..แต่แกยังเป็นเพื่อนชั้นที่ชื่อชาติชาย..ไอ้ชาติ...ชั้นขอโทษ..”
ชูชัยจ้องมองอิทธิพลด้วยสายตานิ่งๆ ชนมนมองอย่างลุ้นๆ ว่าพ่อจะทำยังไงต่อ
อิทธิฤทธิ์รีบร้อนกระหืดกระหอบเข้ามา ตรงเข้ามาหาชนมนที่ยังยืนงงอยู่
“ชน...พ่อชั้นล่ะ”
ชนมนพยักหน้าเข้าไปในบ้าน อิทธิฤทธิ์เห็นพ่อนั่งดื่มน้ำเปล่ารออยู่
“พ่อเธอล่ะ”
ชนมนพยักหน้าไปที่ชูชัยที่เพิ่งผัดข้าวผัดเสร็จและตักใส่จาน
“ไหนชินบอกว่า พ่อกับคุณลุงชกกัน”
ชินเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังอิทธิฤทธิ์
“รอไปก่อน เดี๋ยวมีชกแน่”
ชูชัยถือจานข้าวผัดมาวางตรงหน้าอิทธิพล
“โหย..เซ็งเลย” ชินบอก
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเคาะกระโหลกชินพร้อมๆกัน อิทธิพลมองหน้าชูชัยอย่างรู้สึกผิดจริงๆ
“ไอ้ชาติ...ชั้นขอโทษว่ะ”
“ถ้าหากหาว่าใครผิด ชั้นต่างหากที่ทำให้เที่ยงธรรมต้องตาย ไอ้เก่งกาจฆ่าเที่ยงธรรมก็เพราะชั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะชั้นตั้งแต่ต้น”
“อ้าว! แล้วที่แกโทษชั้นมาตลอดว่า ส่งเที่ยงธรรมไปตาย”
“ชั้นเพิ่งคิดได้ ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ยังคิดได้ล่ะวะ เอาเถอะน่า ยังไงเรื่องมันก็จบไปแล้ว เอาเป็นว่าชั้นรับคำขอโทษจากแกแล้วกัน”
“แล้วนี่แกจะไม่คิดขอโทษชั้นซักคำเลยหรือไงวะ”
“แกได้กินข้าวผัดฟรีฝีมือลุงชู ถือว่าโชคดีมากแล้ว จะเอาอะไรอีก”
อิทธิพลไม่อยากตอแยกับชูชัยอีก เขาตักข้าวผัดใส่ปากแล้วต้องทึ่งในฝีมือเพื่อน
“ไม่อยากจะเชื่อ นักเลงอย่างแกจะมาเป็นพ่อค้าข้าวผัดได้!”
อิทธิฤทธิ์โอบไหล่ชนมนอย่างดีใจ ชินแกล้งชี้ไปที่มือของอิทธิฤทธิ์ที่โอบไหล่ชนมนอยู่ แล้วฟ้อง
“พ่อ!”
ชูชัยหันไปมองอิทธิฤทธิ์ที่หดมือแทบไม่ทัน
“ยังเหรอครับ”
“ยัง! ยังอีกนาน สอบให้ผ่านได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดเรื่องแฟน! … แกสอนลูกยังไงวะเนี่ย” ชูชัยบอก แล้วหันมาถามอิทธิพล
“ยังไงผมต้องสอบผ่านแน่ๆ ใช่มั้ย ชน ชั้นจะต้องสอบผ่านเรียนจบ แล้วเธอก็ต้องสอบชิงทุนได้ เราสองคนต้องทำได้แน่!”
อิทธิฤทธิ์จับมือชนมนชูขึ้นอย่างมั่นใจสุดๆ
ผ่านเวลามา กลางคืนของวันใหม่ อิทธิฤทธิ์เดินไปเดินมาดูนาฬิกาที่ผ่านไปอย่างช้าๆ แล้วล้มตัวลงนอนแผ่ที่เตียง นอนได้ชั่วอึดใจก็เด้งตัวลุกขึ้นนั่งอย่างกังวล เขาลุกไปเปิดโน้ตบุ๊กดูพลางเขย่าขา,เอานิ้วเคาะโต๊ะอย่างเครียดจัด
“ผลสอบออกกี่โมงวะเนี่ย”
อิทธิฤทธิ์คลิกเปิดดูเวปของมหาวิทยาลัยแล้วเปลี่ยนไปคลิกดูเวปของมอเตอร์ไซค์ฆ่าเวลา อิทธิฤทธิ์นึกขึ้นได้ หันไปมองแว่นตาหักๆของชนมนที่วางอยู่ที่หัวเตียง
“ชน...”
อิทธิฤทธิ์คิดจะหาของขวัญให้ชนมนที่ติวให้,ไม่ว่าจะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็ได้ เขาคลิกเลือกหมวกกันน็อกของผู้หญิงอย่างเพลิดเพลิน แล้วเปิดดูมือถือที่มีรูปชนมนถือป้ายกระดาษว่า A
“เราต้องทำได้ดิ! ต้องทำได้”
อิทธิฤทธิ์จ้องมองรูปชนมนในมือถืออย่างมุ่งมั่น
ในตอนเช้า อิทธิฤทธิ์ถือโน้ตบุ๊กด้วยความตื่นเต้นโวยวายลงมาจากชั้นบน
“ป้าหนอม! แบตหมด”
ถนอมเดินมาพร้อมกับสายไฟของโน้ตบุ๊ก
“ป้าหนอมนี่สุดยอด”
อิทธิฤทธิ์รีบเอาสายไฟมาต่อเข้ากับโน้ตบุ๊กแล้วเสียบปลั๊ก เสียบผิดเสียบถูกอย่างตื่นเต้น ธรรม์เข้ามาจัดการช่วยต่อสายไฟ เสียบปลั๊กเปิดโน้ตบุ๊กให้อย่างใจเย็น
อิทธิฤทธิ์ถูมือไปมาอย่างลุ้นๆก่อนที่จะคลิกเปิดเวปมหาวิทยาลัยจนไปถึงหน้าที่ตรวจสอบเกรด
“เลขประจำตัวนักศึกษา.”
ถนอมยื่นบัตรนักศึกษาให้อิทธิฤทธิ์ เพราะรู้อยู่ว่าอิทธิฤทธิ์ไม่เคยจำ เขากดเลขประจำตัวนักศึกษาไปเพื่อล็อคอิน
“พาสเวิร์ค”
อิทธิฤทธิ์หันมามองถนอมที่ส่ายหน้าไม่รู้ เขาหันไปมองธรรม์
“นายไม่รู้ แล้วชั้นจะไปรู้ได้ไง”
“ชั้นจำไม่ได้!! พาสเวิร์คอะไรวะ Maya2000 ไม่ใช่ MooWan ไม่ใช่อีก”
“ชีวิตนายมีแค่นี้เองเหรอ”
อิทธิฤทธิ์คิดๆอย่างรีบเร่ง แต่ยังคิดไม่ออก
“ลอง ป้าหนอม2013 ดูสิคะ เผื่อจะใช่”
“ไม่น่าใช่หรอก ป้าหนอม “
อิทธิฤทธิ์คิดไปพักแล้วคิดได้
“จำได้แล้ว! ชื่อแม่ไงล่ะ Narudee11”
อิทธิพลเดินเข้ามาทันได้ยินชื่อ”นฤดี”พอดี ถนอมหันไปสบตากับอิทธิพล อิทธิฤทธิ์จ้องไปที่หน้าจอโน้ตบุ๊กอย่างตกใจแทบหมดสติ
“คุณอิทได้เกรดอะไรคะ”
“D! ผมได้เกรดดี เป็นไปได้ไง!! ชนต้องฆ่าผมแน่”
ธรรม์เข้ามาใกล้ดูจอโน้ตบุ๊ก
“นี่มันเกรดเทอมที่แล้วไม่ใช่เหรอ ผลสอบล่าสุดอยู่นี่”
อิทธิฤทธิ์หลับตา
“ดูให้หน่อยดิ ชั้นได้เกรดไร”
“A!”
“พูดใหม่ดิ”
“นายสอบได้เอ!”
อิทธิฤทธิ์ลืมตาแล้วจ้องไปที่จอโน้ตบุ๊ก
“ผมสอบได้เอแล้ว พ่อ ผมสอบได้เอ ผมไม่โดนไทร์แล้ว ผมได้เรียนจบรับปริญญาพร้อมมาย่า!”
อิทธิฤทธิ์หันไปมองอิทธิพลอย่างดีใจที่สุด
“ผมจะได้เจอแม่แล้ว!”
อิทธิฤทธิ์กระโดดกอดธรรม์อย่างลืมตัวแล้วหันไปกอดถนอมแล้วหันไปจะไปกอดอิทธิพลต่อ แต่ชะงักไว้ได้ทัน อิทธิพลตบไหล่อิทธิฤทธิ์อย่างพอใจ
“ชั้นรู้ว่า แกต้องทำได้”
“ผมไปบอกชนก่อนนะ พ่อ แล้วเราจะไปเจอแม่เมื่อไหร่ ยังไง เราค่อยมาคุยกัน”
อิทธิฤทธิ์วิ่งปรู๊ดปร๊าดออกไป อิทธิพลเปลี่ยนสีหน้าเป็นรู้สึกหนักใจ
“มีอะไรหรือครับ คุณพ่อ”
“พ่อทำตามสัญญาไม่ได้! ไม่มีวันที่นายอิทจะได้เจอแม่”
ธรรม์มองอิทธิพลอย่างไม่เข้าใจและรู้ว่าอิทธิฤทธิ์ได้อาละวาดบ้านแตกแน่ ปัญหาและความยุ่งยากกำลังจะตามมาในอีกไม่ช้า...
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาจอดแล้วรีบลงจากรถแล้วมองหาชนมนอย่างใจร้อน
“ยังไม่มาอีก!”
ชนมนเดินเข้ามาทางประตูทางเข้าอีกทางที่อยู่ไกลๆ แต่ใกล้กับอัฒจันทร์ที่นั่งคนดู อิทธิฤทธิ์รีบวิ่งไปหาชนมนอย่างตื่นเต้นดีใจสุดชีวิต
“ชน!”
อิทธิฤทธิ์วิ่งไปกอดชนมนแล้วยกชนมนลอยขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงเป็นวงกลม
“ดีใจด้วยนะ ชั้นดีใจกับนายจริงๆ! พอได้แล้ว พอๆๆ”
อิทธิฤทธิ์ยอมวางชนมนลงแล้วจับไหล่ชนมนก่อนจะแกล้งงอน
“รู้แล้วเหรอ ตกลงกันแล้วไงว่า ห้ามไปถามเกรดจากอาจารย์ตุลา”
“ดีใจขนาดนี้ ไม่รู้ก็แย่แล้ว”
“แต่ไงเธอก็ต้องรู้จากปากชั้น ชน..ชั้น-สอบ-ได้-เอ!!! เพราะเธอ..ชั้นถึงสอบผ่านขอบคุณมากนะ”
อิทธิฤทธิ์กำลังจะดึงชนมนเข้ามากอดอีกครั้งแต่ตี๋เล็ก บ๊วย และเจ๋งโผล่เข้ามาล้อมไว้
“ดีใจด้วยนะครับ พี่อิท”
“ผมดีใจกับพี่ด้วยจริงๆ”
“สวดยอดมากเลย พี่อิท!”
ทั้งสามยิงพลุกระดาษใส่อิทธิฤทธิ์อย่างพร้อมเพรียงกันแล้วเป่าปากวี๊ดๆ
“Congratulations !” ทั้งสามพูดเน้นเอสหนักๆ และลากยาวๆ
อิทธิฤทธิ์กับชนมนมองแก๊งสามซิ่งอย่างขำๆ
ตี๋เล็ก บ๊วย และเจ๋งโผล่ขึ้นมาทีละคน ณ อัฒจันทร์พร้อมพู่ปอมๆ แล้วทั้งสามเต้นหรีดร้องเพลงฉลองให้อิทธิฤทธิ์อย่างเมามันแล้วโยนพู่ปอมๆทิ้งไป จากนั้นแก๊งสามซิ่งก็ยกป้ายเชียร์ขึ้นมาทีละป้าย เริ่มด้วยตี๋เล็กชูป้ายเขียนว่า A บ๊วยชูป้าย A เจ๋งชูป้าย A เห็นป้าย “A-A-A” แล้วตี๋เล็กก็ชูป้าย “P’อิท” บ๊วยชูป้าย “ทำ” เจ๋งชูป้าย “ได้” , ตี๋เล็กให้บ๊วยถือสองป้ายไว้แล้ววิ่งไปต่อท้ายเจ๋งแล้วหยิบป้าย”แล้ว”มาชูขึ้น เป็นเป็น “P’อิท-ทำ-ได้-แล้ว” อิทธิฤทธิ์กับชนมนยืนอยู่ด้านหน้าอัฒจันทร์คนดูมองแก๊งสามซิ่งอยู่
“อะไรของพวกมัน! ไปกันเถอะ”
ชนมนดึงตัวไว้ “เดี๋ยวสิ”
แก๊งสามซิ่งยกพู่ปอมๆ ขึ้นมาชูอีกรอบ
“แต่ละคนท่าทางเหมือนเมายาบ้า”
“ทุกคนอยากแสดงความยินดีกับนายต่างหาก ไม่ดีหรือไง ตอนนี้ได้เพื่อนเพิ่มมาอีกตั้งสองคน” แก๊งสามซิ่งที่พากันชูป้ายอีกรอบเหมือนเดิม ตี๋เล็กชูป้าย “ดี” บ๊วยชูป้าย “ใจ” เจ๋งชูป้าย “ด้วย” ,ตี๋เล็กให้บ๊วยถือป้ายให้แล้วไปต่อท้ายเจ๋งเพื่อชูป้าย “นะ” เป็น ดี-ใจ-ด้วย-นะ
“เฮ้ย! แค่สามคำไม่ได้เหรอไงวะ มันเหนื่อย”
บ๊วยไม่ฟัง “เอ้า วี๊ด บูม!”
แก๊งสามซิ่งทิ้งป้ายเชียร์ลงแล้วคว้าพู่ปอมๆขึ้นมาเพื่อเต้นเชียร์ใหม่
“ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหว หนีดีกว่า” อิทธิฤทธิ์รีบลากชนมนออกไปทันที
แก๊งสามซิ่งเต้นอย่างเมามันแล้วหยุดพรึ่บก่อนจะหันไปมองที่ด้านล่างเห็นแต่ความว่างเปล่า
“หาย!”
“ไป!”
“ไหน!”
“แล้ว!”
ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
ธรรม์รอฟังคำอธิบายขยายความจากอิทธิพลอยู่
“คุณพ่อครับ..”
ถนอมเข้ามาแตะแขนธรรม์ไว้
“คุณธรรม์อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้เลยค่ะ”
“ผมไม่จำเป็นต้องรู้ใช่มั้ยครับ แต่อิทต้องการคำอธิบายเรื่องนี้แน่ อิทรอที่จะได้พบคุณน้าฤดีมาตลอดชีวิต ถ้าคุณพ่อพาอิทไปพบคุณน้าฤดีไม่ได้ ก็ไม่น่าจะไปให้ความหวังกับเค้า”
“พ่อรู้..พ่อคิดว่า พ่อจะทำได้ แต่พ่อทำไม่ได้จริงๆ”
“ถ้าคุณพ่อไม่อยากเจอหน้าคุณน้าฤดี ผมพาอิทไปเองก็ได้ครับ”
“เรื่องนี้มันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณธรรม์คิดหรอกค่ะ”
“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ล่ะครับ ผมไม่เห็นว่า การที่แม่ลูกจะพบกันเป็นเรื่องยากอะไรเลยนี่ครับ เรื่องนี้ขึ้นอยู่ที่กับการตัดสินใจของคุณพ่อคนเดียว”
“พ่อตัดสินใจแล้ว พ่อจะไม่ให้นายอิทไปพบกับแม่ แกไม่ต้องถามอะไรมาก ก็อย่างที่แกว่าแหละ เรื่องนี้แกไม่จำเป็นต้องรู้”
“ผมรู้ครับ นี่เป็นเรื่องภายในครอบครัว ผมไม่เกี่ยว..”
“คุณธรรม์ไม่เกี่ยวอะไรคะ เกี่ยวกันทุกคน ทั้งคุณท่าน คุณผู้หญิง คุณเที่ยงธรรม เกี่ยวพันกันนุงนังๆกันไปหมด”
อิทธิพลเตือน “ป้าหนอม..”
อิทธิพลมองถนอมให้หยุดพูดเสีย
“พ่อผมเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยครับ”
อิทธิพลไม่ยอมตอบ เขาเดินออกไปเงียบๆ ธรรม์มองตามอย่างไม่คลายความสงสัย
อิทธิพลเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ด้วยความเครียด อิทธิพลนิ่งคิดหาเพื่อทางที่จะจัดการกับอิทธิฤทธิ์แต่ก็ยังคิดไม่ออก เขาได้แต่คิดถึงนฤดีที่เป็นต้นเรื่อง
เหตุการณ์ก่อนหน้าที่นฤดีจะออกไปจากบ้าน นฤดียืนนิ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ อิทธิพลเดินเข้ามาหยุดตรงหน้านฤดี
“ฤดี..”
“คุณเปลี่ยนใจชั้นไม่ได้หรอกค่ะ เราอยู่ด้วยกันไป ก็มีแต่จะเจ็บปวดกันไปทั้งสองฝ่าย เราอย่าโกหกกันอีกต่อไปเลย เรารู้ตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานกันแล้วว่า เราจะต้องมีวันนี้..”
“ก็ได้ ถ้าคุณอยากจบ..เราก็จบกันแค่นี้ คุณพร้อมเมื่อไหร่ ก็บอกมาแล้วกัน”
“พรุ่งนี้ชั้นจะย้ายไปอยู่บ้านแม่ก่อน”
อิทธิพลไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ “พรุ่งนี้?! คุณคงคิดเรื่องนี้มานานแล้วซินะ”
“ทำอย่างกับว่าคุณไม่เคยคิด เราเพียงแต่รอว่า ใครจะเป็นคนเริ่มก่อนเท่านั้น”
“แล้วลูกล่ะ”
นฤดีนิ่งอึ้งไม่ตอบแต่มองสบตามองอิทธิพลอย่างตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าไม่เอาลูกไปด้วย
“แล้วนายอิทล่ะ ฤดี...”
อิทธิพลมองนฤดีอย่างปวดใจ
อิทธิพลนั่งจมคิดเรื่องนฤดีพลางลูบหน้าตัวเองด้วยความเหนื่อยล้าเต็มทน ถนอมเดินเข้ามาหยุดมองอิทธิพลด้วยความเข้าใจ
“คุณท่านจะลองโทรหาคุณผู้หญิงอีกซักครั้งมั้ยคะ คราวก่อนที่โทรไปยังคุยกันไม่รู้เรื่องเลยไม่ใช่เหรอคะ ถ้าคุณผู้หญิงทราบว่าคุณอิทใช้ความพยายามแค่ไหนเพื่อที่จะได้ไปหาเธอ เธออาจจะใจอ่อนก็ได้ค่ะ”
“ชั้นโทรไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว อะไรที่ชั้นควรพูด ชั้นก็พูดไปหมดแล้ว แต่ฤดีไม่ยอมฟังหลังๆโทรไป เค้าก็ไม่ยอมรับสายแล้ว”
“โธ่เอ๊ย..เรื่องก็ผ่านมาเป็นสิบปีแล้ว ทำไมคุณผู้หญิงถึงไม่ยอมลืมซักที ชีวิตคนเราสั้นนิดเดียว เรื่องอะไรที่อภัยกันได้ ก็น่าจะอภัยให้กันนะคะ”
“ฤดีไม่มีวันที่จะยกโทษให้ชั้นหรอก ทุกอย่างเป็นความผิดของชั้นเอง ชั้นไม่เคยทำให้ลูกเมียมีความสุขได้เลย”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของคุณท่านที่ไหน นี่คุณอิทก็โตแล้ว อิชั้นว่าถึงเวลาแล้วที่คุณอิทจะรู้เรื่องความจริง คุณอิทจะได้เข้าใจว่า ทำไมคุณท่านถึงได้ทำตามสัญญาไม่ได้”
“ไม่ล่ะ นายอิทไม่รู้เรื่องน่ะดีแล้ว มันคงไม่เกลียดชั้นไปมากกว่านี้หรอก”
ถนอมมองอิทธิพลอย่างขอร้อง อิทธิพลมองนาฬิกาเช็คเวลาแล้วตัดสินใจยกโทรศัพท์กดโทรหานฤดี
“ฮัลโหล..ฤดี..” อิทธิพลชะงักไปเมื่อเป็นแม่บ้านรับสาย “Yes, Miss นฤดี, Please.”
อิทธิพลนิ่งฟังทางแม่บ้านของนฤดีแล้วบอกว่านฤดีไม่อยู่และบอกสั้นว่านฤดีกลับมาเมืองไทยแล้ว
อิทธิพลงงไม่อยากจะเชื่อ “Could you speak again?” อิทธิพลฟังอีกครั้ง
อิทธิพลค่อยๆวางโทรศัพท์ลงด้วยความงงงันจนลืมพูดอะไรต่ออีก ถนอมมองอย่างแปลกใจ
“คุณผู้หญิงไม่อยู่บ้านหรือคะ งั้นเดี๋ยวโทรไปใหม่ก็ได้ค่ะ”
“ไม่มีประโยชน์หรอก...ตอนนี้ฤดี..ไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“แล้วคุณผู้หญิงอยู่ที่ไหนเหรอคะ”
อิทธิพลได้รู้ว่านฤดีกลับมาเมืองไทยชั่วคราว เขายิ่งเจ็บที่นฤดีไม่บอกเขาเลย
ชนมนมีผ้าปิดตาอยู่ อิทธิฤทธิ์จับไหล่ชนมนทางด้านหลังแล้วดันตัวชนมนให้เดินตรงมาที่มุมหนึ่งของสนามแข่ง
“เปิดตาได้ยัง” ชนมนถาม
“ยังๆ อย่าโกงๆ ห้ามแอบดูนะ”
“เล่นอะไรของนาย”
“เอาล่ะ ถึงแล้ว”
อิทธิฤทธิ์แกะผ้าผูกตาให้ชนมน อิทธิฤทธิ์ยิ้มอย่างแน่ใจว่าชนมนจะต้องชอบ ชนมนมองไปตรงหน้าก็เห็นกล่องใบใหญ่ที่วางไว้บนอัฒจันทร์ในสนามแข่งรถ
“ของขวัญสำหรับเธอ”
ชนมนปลื้ม “ไม่ต้องก็ได้ แต่ขอเปิดดูเลยนะ”
ชนมนเปิดกล่องดูอย่างตื่นเต้นดีใจแล้วเธอก็พบว่าเป็นหมวกกันน็อคสีชมพูสดใส
ชนมนรู็สึกผิดคาด “หมวกกันน็อค..สีชมพูด้วย”
อิทธิฤทธิ์ใจเสีย “ไม่ชอบเหรอ..”
“เออ..คือ..ก็ชั้นไม่ได้ขี่มอเตอร์ไซค์”
“ชั้นให้เธอไว้ใส่ตอนซ้อนท้ายชั้นไงล่ะ เข้าใจความหมายหรือยัง ชั้นจะไม่มีใครอีก นอกจากเธอ..ชน..เธอจะเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่จะได้ซ้อนท้ายมอไซด์ชั้น”
ชนมนเขิน “แล้วทำไมต้องสีชมพูด้วย สีเท่ๆสีอื่นไม่มีหรือไง” ชนมนแกล้งล้อ “ที่แท้นายก็เป็นคนชอบสีชมพู แมนจริงป่าวเนี่ย”
อิทธิฤทธิ์เหนี่ยวคอชนมนมาใกล้ๆ
“อยากพิสูจน์ป่ะล่ะ”
“ไม่ต้อง!” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์หอมที่แก้มชนมนเบาๆ ด้วยความรวดเร็ว
“นายอิท!”
ชนมนผลักอิทธิฤทธิ์ออกไปแต่ไม่ทำให้อิทธิฤทธิ์สะเทือนใดๆ
“อีกข้างนะ”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าจะไปหอมแก้มชนมนอีกข้างแต่ชนมนกางมือออกแปะไปที่หน้าอิทธิฤทธิ์เต็มๆ
“หยุดๆๆ เชื่อแล้วๆๆ”
อิทธิฤทธิ์หยุดแกล้งชนมนแต่ยังกอดชนมนไว้
“รู้มั้ย ทำไมต้องสีชมพู ก็ตอนนี้ทุกอย่างสำหรับชั้นเป็นสีชมพูไปหมด ชั้นไม่เคยมีความสุขอย่างนี้มาก่อน มีความสุขที่สุดในชีวิต!”
อิทธิฤทธิ์กอดชนมนแน่นอย่างมีความสุขล้นใจที่ทุกอย่างสมหวังไปหมด
อิทธิฤทธิ์กับชนมนเดินมาถึงที่มอเตอร์ไซค์ อิทธิฤทธิ์เอาหมวกกันน็อคสีชมพูใส่ให้ชนมนอย่างมีความสุข แล้วค่อยใส่หมวกกันน็อคสีดำให้กับตัวเอง อิทธิฤทธิ์ขี้นขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีชนมนขึ้นซ้อนท้าย
“พร้อมนะ?”
ชนมนสนุก “พร้อม! ไปกันเลย ลูกพี่”
อิทธิฤทธิ์สตาร์ทรถ ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งหอบพู่ปอมๆและป้ายเชียร์พะรุงพะรังวิ่งเข้ามา
“พี่อิทๆๆ!”
แก๊งสามซิ่งวิ่งมาถึงมอเตอร์ไซค์ ทันใดอิทธิฤทธิ์ก็ซิ่งรถออกไปทันที
“โห รีบไปไหนเนี่ย ยังไม่ได้ดูการแสดงชุดใหญ่ของเราเลย”
“เสียแรงซ้อมมาทั้งคืน” บ๊วยบอก
“ไว้วันหลังก็ได้ พี่อิทสอบผ่านทั้งที อย่างนี้ต้องฉลองเจ็ดวันเจ็ดคืน”
ตี๋เล็กกอดคอบ๊วยกับเจ๋งทั้งซ้ายและขวา
“ไหนๆตอนนี้เราก็เป็นพวกเดียวกันแล้ว เรามาตั้งชื่อแก๊งกันดีกว่า”
“แก๊งไรดี พี่”
“ถามพี่อิทก่อนดีมั้ย”
“แก๊งพี่อิท..อิทธิฤทธิ์..เราก็ต้องเป็นแก๊งสุดฤทธิ์!”
“แก๊งสุดฤทธิ์!”
แก๊งสามซิ่งชูพู่ปอมๆ เฮกันยกใหญ่
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถโดยมีชนมนซ้อนท้าย มอเตอร์ไซค์แล่นรอบสนามแข่งแล้ววิ่งออกไป
อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์เท่ๆ แล้วชูมือขวาอย่างมีชัยชนะ
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ชูชัยกับชินพัฒน์มองหน้ากันแล้วหันไปมองชนมนที่นั่งมองหมวกกันน็อคอย่างมีความสุขจนยิ้มไม่หุบ
ชนมนแตะแก้มตัวเองแล้วนึกถึงอิทธิฤทธิ์โดยยิ่งคิดก็ยิ่งเขินเอง
“เป็นอะไร พี่ชน ยิ้มจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว ผมว่า ยังไงๆอยู่นะ พ่อ” ชินพัฒน์จ้องชนมน “พี่ชนไปทำอะไรมา”
ชนมนยังอดยิ้มไม่ได้ “เปล่า ไม่ได้ทำอะไร แค่ดีใจที่อิทสอบผ่าน...”
“นายอิทสอบผ่านแล้ว แกก็หมดหน้าที่ เออ..ดี จะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันอีก” ชูชัยว่า
ชนมนหุบยิ้มทันที “พ่อ..พ่อจะไม่ให้เราเจอกันจริงๆเหรอ”
“แล้วทำไมต้องไปเจอกันอีก”
ชินพัฒน์ตอบแทน “แหม..ก็คนเป็นแฟน..”
ชนมนพูดทับคำพูดของชินพัฒน์ “เพื่อน! คนเป็นเพื่อนกัน ก็ต้องเจอกันบ้างไรบ้าง จริงๆแล้วอิทเป็นคนดีนะ พ่อ ตอนที่เราถูกไอ้เก่งกาจจับตัวไป เค้าไม่ห่วงชีวิตของตัวเองเลย..เค้ายอมเสี่ยงตายเพื่อหนู”
ชินพัฒน์เสริม “พระเอกสุดๆ!”
“อิทเค้าชอบขี่มอเตอร์ไซค์ แต่เค้าไม่ได้เป็นเด็กแว้นกวนเมือง เค้าแข่งรถอย่างถูกกฎหมาย แล้วนี่เค้าก็เลิกทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาแล้ว เห็นมั้ยเค้าตั้งใจจนสอบผ่าน คนเคยได้เอฟแต่มาได้เอนี่ ไม่ใช่ง่ายๆนะ พ่อ” ชนมนว่า
ชินพัฒน์เสริมอีก “อัจฉริยะชัดๆ”
“พ่ออาจจะเห็นอิทเป็นเด็กรวยมีแต่คนตามใจ แต่จริงๆ แล้วอิทเค้าไม่ค่อยมีความสุข อิทน่ะมีปัญหากับท่านผู้การตลอด พ่อลูกคู่นี้ไม่เคยเข้าใจกันเลย อิทเค้ามีแง่มุมที่พ่อยังไม่รู้จัก ถ้าหากพ่อให้โอกาสเค้า”
ชูชัยเบรก “เฮ้ย..พอ...”
ชนมนหยุดพูดแล้วได้แต่มองพ่ออย่างเว้าวอน ชินพัฒน์ก็รอว่าพ่อจะพูดอะไรต่อ แต่ชูชัยยังเงียบ
ชินพัฒน์โพล่งออกมา “พ่อ! ตกลงเอาไงเนี่ย พ่อจะยอมให้พี่อิทกับพี่ชนคบ..เอ๊ยเจอกันต่อไปหรือเปล่า”
“ให้เจอกันก็ได้ เป็นเพื่อนกันไปก่อนล่ะ เราไม่รู้หรอกว่า ไอ้นี่มันจะดีแตกเมื่อไหร่”
ชูชัยเดินออกไปอย่างไม่ยอมเสียฟอร์ม ชนมนยิ้มออกมาได้
“โล่งใจ! ได้พี่เขยกับเค้าซะที” ชินพัฒน์ว่า
“ไอ้บ้าชิน!!”
ชนมนเตะหลังเข่าจนชินทรุดตัวลงเพื่อแก้เขิน
มณีมันตรา แม็กซ์กับกลุ่มนักแสดง 3-4 คนยืนล้อมเป็นวงกลมแล้วทำเอ็กเซอร์ไซส์ วอร์มเสียงก่อนจะซ้อมบท นุกนิกนั่งอ่านบทอยู่กับเมนี่ห่างจากกลุ่มมณีมันตราออกไป
“ซ้อมๆๆ ซ้อมทุกวันจนไม่มีเวลาหายใจ กว่าละครจะเล่นก็อีกตั้งสามเดือน ไม่รู้จะซ้อมอะไรนักหนา” นุกนิกบ่น
“ละครเวทีก็ต้องซ้อมหนักอย่างนี้แหละค่ะ ละครเล่นสดบนเวที ทุกอย่างต้องเป๊ะพลาดแล้วเทคไม่ได้นะคะ แล้วหนังสือแอคติ้งที่พี่เมนี่ให้อ่าน อ่านจบหรือยังคะ ถ้าเผื่อคุณวตีถามอะไรอีก จะได้ตอบได้” เมนี่กระซิบ “เดี๋ยวคนจะสงสัยเอา..”
“อ่านยังไม่จบค่ะ ยากจะตายไป แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ นุกนิกเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว พี่เมนี่อย่าหลุดเองก็แล้วกัน”
“คุณสุวิชก็นะ ทำไมต้องปั้นประวัติน้องนุกนิกซะเลิศหรู อยู่อเมริกาตั้งแต่ห้าขวบงี้ จบการแสดงที่นิวยอร์คงี้ แล้วยังเคยทำงานที่ฮอลลีวู๊ดอีก ล้ำเลิศไปหน่อยมั้ยคะ”
“แค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ อย่าลืมสิคะ คุณสุวิชปั้นนุกนิกเพื่อมาแทนที่พี่มาย่านุกนิกก็ต้องเหนือกว่าพี่มาย่าเค้าทุกทาง”
“แต่สมัยนี้เค้าเช็คประวัติกันง่ายๆนะ”
นุกนิกยิ้มหวาน “ใครจะไปขุดรูปเก่าๆหรือจะแฉประวัตินุกนิก ก็ปล่อยเค้าไปเถอะค่ะ นั่นแสดงว่านุกนิกดังแล้ว ดีซะอีกนะคะ นุกนิกจะได้เป็นข่าวไม่หยุด”
อรุณวตีเพิ่งเดินเข้ามา นุกนิกรีบลุกขึ้นไปร่วมวงกับกลุ่มมณีมันตราทันทีแล้วทำตีเนียนว่าร่วมเอ็กเซอร์ไซส์ตั้งแต่แรกแล้ว
นุกนิกหัวเราะสนุก “นุกนิกไม่เคยคิดเลยนะคะ ว่าเล่นละครเวทีจะสนุกอย่างนี้ เราทำเอ็กเซอร์ไซส์อะไรต่อดีคะ เอิ่ม..Mirror Exercise กันดีกว่า เอ็กซ์เซอร์ไซส์กระจกน่ะค่ะ เอ้า ทุกคนจับคู่กันค่ะ”
แม็กซ์และคนอื่นๆ รีบจับคู่กันโดยไม่มีใครยอมจับคู่กับนุกนิก มณีมันตรายืนอยู่คนเดียวเลยจำยอมต้องหันมาจับคู่กับนุกนิก นุกนิกส่งยิ้มใสๆ ให้มณีมันตรา
มณีมันตราเริ่มขยับมือเคลื่อนไหวไปมาช้าๆ นุกนิกขยับมือตามมณีมันตราได้ทุกจังหวะ นุกนิกกลับมาเป็นฝ่ายนำ เธอขยับกำมือขยับมือไป มณีมันตราทำตามได้ทันและแนบเนียนกว่านุกนิก
นุกนิกกับมณีมันตราจ้องตากันแล้วต่างมองกันอย่างเป็นคู่แข่ง นุกนิกยิ้มหวานแต่มณีมันตราไม่ยิ้มด้วยเพราะรู้ทัน เมนี่เขยิบไปใกล้ๆ อรุณวตีจับตามองมณีมันตรากับนุกนิก
“ดูไปดูมา มาย่าก็เหมาะที่จะเป็นนางร้ายนะคะ อย่างนี้คงกลับมาเป็นนางเอกไม่ได้แน่ๆ”
“แต่ชั้นว่า..มายาเป็นนักแสดงที่เล่นบทอะไรก็ได้”
อรุณวตียังคงมองมณีมันตราด้วยความสนใจ มณีมันตรากับนุกนิกยังจ้องหน้ากันอยู่
นุกนิกเดินหนีมาด้วยความโกรธ แม็กซ์เดินตามมาอย่างเว้าวอน
“พาชั้นกลับไปเดี๋ยวนี้นะคะ คุณราเชนทร์!”
แม็กซ์ฉวยมือนุกนิกมากุมไว้ “ผมขอโทษที่ทำอะไรบุ่มบ่ามไป แต่ผมจะไม่ร้องขออภัยในสิ่งที่ผมทำลงไป ถ้าหากเราพลาดพลั้งไปเพราะความรัก โลกย่อมอภัยให้เสมอ”
แม็กซ์ดึงมือนุกนิกขึ้นมาจูบ
อรุณวตีนั่งดูการซ้อมอยู่กับเมนี่
“อู๊ย..ฟิน..คู่นี้เคมี ชีวะ ฟิสิกซ์เข้ากันจริงๆนะคะ คุณขา” เมนี่ว่า
แม็กซ์ยังคงกุมมือนุกนิกไว้ด้วยสองมือ
“ที่ผมจูบคุณ..ก็เป็นจูบด้วยความรัก”
มณีมันตราถลันเข้ามาดึงแม็กซ์ออกมาจากนุกนิก
“คุณราเชนทร์! คุณทำอย่างนี้ได้ยังไง คุณกำลังจะแต่งงานกับชั้น..เพราะแกแกยั่วยวนปั่นหัวคุณราเชนทร์ของชั้น แกเกิดมาเพื่อแย่งทุกสิ่งทุกแย่งไปจากชั้น ชั้นเกลียดแก นังโรสลิน!”
มณีมันตราเงื้อมมือแล้วตบหน้านุกนิก นุกนิกใช้เทคนิคหลบทันทำให้ไม่โดนตบจริง
นุกนิกบีบน้ำตา “พี่นีรชา!!”
มณีมันตรามองนุกนิกอย่างแค้นใจจนน้ำตาคลออย่างน่าสงสารจนแม็กซ์กลับมามองมณีมันตราอย่างอินกับบทไปด้วย
มณีมันตราเงยหน้ามองแม็กซ์อย่างตัดพ้อ
ในขณะที่อรุณวตีสังเกตการส่งบทให้กันอย่างลึกซึ้ง
“พี่นีรชา..น้องไม่ได้เคยคิดจะ..” นุกนิกนึกบทไม่ออก
นุกนิกนิ่งอึ้งยืนตัวแข็งไปเพราะอยู่ๆสมองก็ว่างเปล่าขึ้นมาฉับพลัน
มณีมันตราช่วยต่อบทให้ “น้องไม่เคยคิดจะแย่งคุณราเชนทร์มาจากพี่..น้องกำลังจะไปจากที่ ไปจากทุกคน..จำไว้นะคะ ความสุขของพี่นีรชาต้องมาก่อนเสมอ”
นุกนิกมองมณีมันตราด้วยความโกรธที่เสียหน้าแต่ก็ข่มใจยิ้มให้
“ขอบคุณค่ะ แต่นุกนิกจำบทได้ นุกนิกกำลังอินกับบทอยู่..เลยเว้นจังหวะนานไปหน่อย”
อรุณวตีเดินเข้ามาถึงตัวมณีมันตราและนุกนิก เมนี่เดินตามอรุณวตีมาด้วย
“การยอมรับความผิดพลาดแล้วแก้ไข จะทำให้เราเป็นมนุษย์ที่ดีขึ้น” อรุณวตีพูด “เอาล่ะ ทุกคนพักสิบห้านาที แล้วมาซ้อมกันต่อ ชั้นขอย้ำอีกครั้งนะ กรุณาปิดโทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์สื่อสารทุกชนิด นับตั้งแต่วันนี้เราจะต้องซ้อมกันอย่างเข้มข้นและจริงจัง” อรุณวตีพูดกับนุกนิก “โลกนี้เรามีสัจธรรมอยู่ว่า ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ” อรุณวตีหันไปมองมณีมันตรา “ชั้นเชื่อแล้วว่า เธอรักนวนิยายของคุณแม่ชั้นจริงๆ”
อรุณวตีมองมณีมันตราอย่างพอใจมากแล้วเดินออกไป แม็กซ์ดึงมณีมันตราให้เดินออกไปด้วยกัน
“ไปพักกันเถอะครับ โรสลินของผม”
“..ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ..นี่หมายความว่า?” เมนี่งง
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ คุณวตีแค่ช่วยเตือนสติให้นุกนิกตั้งใจทำงานดีๆ อย่าให้บทหลุดมือไปเป็นอันขาด!” นุกนิกบอก
นุกนิกยังคงยิ้มแต่ในใจพลุ่งพล่านหาทางที่จะเอาคืนมณีมันตราให้ได้
นุกนิกเดินเข้ามาแล้วมองซ้ายมองขวาดูจนแน่ใจว่าปลอดคนแล้วจึงตรงดิ่งไปที่กระเป๋าของมณีมันตราที่วางรวมกับกระเป๋าของคนอื่นๆ อย่างหมายตาไว้นานแล้ว
นุกนิกหยิบมือถือของมณีมันตราขึ้นมาเปิดเครื่องแล้วกดหาชื่อธรรม์แล้วกดส่งข้อความไปอย่างรวดเร็ว เธอยิ้มอย่างพอใจ
ธรรม์หยิบมือถือขึ้นมากดเปิดอ่านข้อความของมณีมันตราที่นุกนิกส่งมา อิทธิฤทธิ์เดินเริงร่าอย่างมีความสุขเข้ามาตบไหล่ธรรม์อย่างอารมณ์ดีแล้วถาม
“วันนี้ไม่ไปไหนเหรอ”
ธรรม์ยังงงๆกับข้อความทางมือถืออยู่ ถนอมเดินเข้ามาพลางพูด Walkie Talkie กับยาม
“คุณอิทกลับมาหรือยัง กลับมาแล้วบอกด้วย เปลี่ยน”
เสียงตอบจากยามดังครืดคราดฟังไม่รู้เรื่อง ถนอมจึงพูดวอใหม่อีกครั้ง
“อะไรนะ ว่าไง คุณอิทกลับมาหรือยัง”
อิทธิฤทธิ์พุ่งปู๊ดไปกอดถนอมอย่างมีความสุข
“กลับมาแล้วครับผม!!”
“ว้าย! คุณอิท!!”
“พ่อล่ะ ป้าหนอม” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ออกไปข้างนอกแล้วล่ะค่ะ”
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์อย่างสงสารแล้วตัดสินใจจะเตือนล่วงหน้า
“คุณอิทคะ..ฟังป้าหนอมก่อนนะคะ คือเรื่องที่คุณอิทจะไปเจอคุณแม่น่ะค่ะ”
“ป้าหนอมครับ ให้คุณพ่อเป็นคนพูดกับอิทเองดีกว่า” ธรรม์บอก
“ป้าหนอมไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ” อิทธิฤทธิ์บอก “ผมกับพ่อตกลงกันได้อยู่แล้ว ผมไม่เร่งพ่อหรอก พ่อว่างเมื่อไรก็เมื่อนั้น แต่เร็วๆหน่อยก็ดี ผมอยากเจอแม่จะแย่อยู่แล้ว นี่ผมต้องเตรียมอะไรมั่งเนี่ย” อิทธิฤทธิ์นึกได้ “พาสปอร์ต! ต้องหาพาสปอร์ตก่อนเลย พ่อกลับมาเมื่อไหร่ บอกด้วยนะ ป้าหนอม”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปแล้วเดินถอยหลังมาหาธรรม์
“นายจะไปด้วยกันก็ได้นะ ไปเคยไปเที่ยวเมืองนอกไม่ใช่เหรอ เรา”
อิทธิฤทธิ์ตบไหล่ธรรม์ด้วยสีหน้ายิ้มๆแล้วเดินออกไป
“ทำยังไงดีคะ คุณธรรม์” ถนอมถาม
เสียงสัญญาณส่งข้อความของมือถือธรรม์ดังขึ้นอีก ธรรม์กดมือถืออ่านข้อความ
“เราคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้หรอกครับ ป้าหนอม”
เสียงสัญญาส่งข้อความของมือถือธรรม์ดังขึ้นอีกครั้ง
“ผมมีธุระต้องรีบไปก่อน” ธรรม์พึมพำ “อะไรของย่าเนี่ย..”
ธรรม์รีบเดินออกไปเพราะเริ่มร้อนใจที่ได้ข้อความที่ส่งมาถี่ๆ จากมณีมันตรา ส่วนถนอมยังคงหนักใจ
อิทธิฤทธิ์รื้อห้องหาพาสปอร์ตกระจุยกระจายจนกระทั่งหาเจอ
“เจอแล้ว!!”
อิทธิฤทธิ์ลากกระเป๋าเดินทาง 2-3 ใบมาตั้งไว้เพื่อเลือกว่าจะใช้ใบไหนดี เขากอบเสื้อผ้าเต็มอ้อมแขนมาโยนลงบนเตียงแล้วเลือกชุดที่จะเอาไปด้วย อิทธิฤทธิ์คุ้ยเสื้อผ้าอย่างสนุก เขาเลือกตัวไหนได้ก็โยนใส่กระเป๋าเดินทางที่เปิดอยู่บนพื้นทันที ถนอมเดินเข้ามาเก็บเสื้อผ้าที่เรี่ยราดตามพื้นขึ้นมาแล้วช่วยพับให้
“ป้าหนอมจัดกระเป๋าให้หน่อย เออ..แม่อยู่เมืองไรอ่ะ ป้าหนอมรู้ป่าว”
ถนอมมองอิทธิฤทธิ์ที่มีความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้เจอแม่ ถนอมยิ่งมองก็ยิ่งสงสาร
“คุณอิทคะ..”
“อย่าบอกนะว่า ไม่รู้ ไม่มีเรื่องไหนในโลกนี้ที่ป้าถนอมจะไม่รู้หรอก บอกมาๆ แม่อยู่เมืองไหน”
“ถ้าป้าฟังไม่ผิด น่าจะเป็นซานฟรานซิสโกค่ะ”
“สุดยอด! เมืองนี้มีสวนสนุกใหญ่เบิ้มเลยนี่ มีรถไฟเหาะสูงเท่าตึกสิบชั้น คอยดูนะ ผมจะไปเล่นมันทุกอย่างเลย ! ป้าหนอมไปด้วยดิ เราไปกันหมดบ้านเลย ไปเที่ยวกัน ไปนะ ป้าหนอม”
“คุณอิทคะ อย่าเพิ่งคิดเรื่องเที่ยวเลย ยังไงก็ทำใจเผื่อไว้บ้างนะคะ”
“นั่นดิ ไม่รู้พ่อจะให้ไปกี่วัน ไม่เป็นไร ไม่ได้เที่ยว ได้เจอแม่ก็พอแล้ว เออ..ป้าหนอมผมควรซื้ออะไรไปให้แม่มั้ย ป้าหนอมจำได้มั้ยว่า แม่ชอบอะไร”
ถนอมอ้ำๆ อึ้งๆ อิทธิฤทธิ์คิดเอาเองแล้วพุ่งไปคุ้ยหาข้าวของอีกก่อนจะค้นได้อัลบั้มรูปมา 4 อัลบั้ม
อิทธิฤทธิ์วางอัลบั้มรูปทั้งหมดลงบนเตียง
“ผมรู้แล้วว่า ผมให้ของขวัญอะไรแม่ดี”
อิทธิฤทธิ์กระโดดไปนั่งอยู่บนเตียงที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าและข้าวของที่จะแพคกระเป๋า เขาดึงรูปถ่ายของตัวเองในช่วงวัยต่างๆออกมา ถนอมได้แต่มองและพูดไม่ออก
อิทธิฤทธิ์ง่วนเลือกรูปของตัวเองไปพลางฮัมเพลงเสียงดังอย่างมีความสุขไปด้วย
นุกนิกเดินหนีด้วยความเสียใจ มณีมันตราเดินมากระชากแขนนุกนิกให้หันกลับมา
“จะไปไหน! ทำผิดแล้วคิดจะหนีอย่างนั้นเหรอ โรสลิน”
“พี่นีรชา...ยกโทษให้น้องด้วยเถอะค่ะ”
“แกไม่ใช่น้องชั้นอีกต่อไปแล้ว ! แกแย่งคุณราเชนทร์ไปจากชั้น แกย่ำยีหัวใจชั้นอย่างไม่มีความปราณี นับตั้งแต่วันนี้ไป แกกับชั้น..เราตัดขาดจากความเป็นพี่น้องกัน!”
“พี่นีรชา!”
มณีมันตราผลักนุกนิกออกไป นุกนิกร้องไห้โฮแล้วโผเข้ากอดมณีมันตรา แม็กซ์ถลันเข้ามาทันทีพร้อมๆกับธรรม์
“โรสลิน!!”
แม็กซ์ชะงักแล้วหันไปมองธรรม์ มณีมันตราและทุกคนหันไปมองธรรม์ที่เข้ามายืนงงอยู่ ทุกคนเบนสายตาไปที่อรุณวตีอย่างเกรงกลัว อรุณวตีนิ่งขรึมอย่างไม่พอใจ เมนี่นั่งข้างอรุณวตีผุดลุกขึ้นหาเรื่องทันทีโดยไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของนุกนิก
“มาย่า! ยังไงล่ะเนี่ย ปล่อยให้แฟนเธอเข้ามาได้ไง” เมนี่ว่า
มณีมันตราอ้ำอึ้ง “หนู..หนู..”
มณีมันตรามองธรรม์อย่างไม่เข้าใจ ธรรม์เองก็งงไม่คิดว่าจะมาเจอแบบนี้จึงได้แต่ยืนหน้าชา
อรุณวตีพูโขึ้น “ไปจัดการเรื่องส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วถ้ามีปัญหาชีวิตมากนัก ไม่สามารถให้เวลากับงานได้เต็มที่ ก็ลองพิจารณาตัวเองนะ มายา”
มณีมันตราใจเสียและกลัวงานจะหลุดลอยไปอีก
ธรรม์ยื่นมือถือให้มณีมันตราดูข้อความที่ส่งมา มณีมันตราเลื่อนดูข้อความอย่างเร็ว “พี่ธรรม์คะ ย่ามีเรื่องปรึกษา มาเจอย่าด่วน” “มาเร็วๆนะคะ พี่ธรรม์ ย่าแย่แล้ว” “ย่ารอที่โรงละครนะคะ ไม่มา..ย่าก็จะรอ”
มณีมันตราเงยหน้าขึ้นและส่ายหน้าด้วยความงงมาก
“ย่าไม่ได้เป็นคนส่ง วันนี้ย่ายังไม่ได้เปิดมือถือด้วยซ้ำ”
“งั้นเราไปบอกคุณวตีกันว่า มีคนแกล้งย่า”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ พี่ธรรม์ เราไม่มีหลักฐานอะไรเลย ดีไม่ดีเดี๋ยวย่าจะโดนหาว่าสร้างเรื่องเพื่อให้เป็นข่าวอีก”
“ย่ารู้ใช่มั้ยว่าเป็นฝีมือใคร”
มณีมันตรานิ่งเพราะไม่ตอบไม่อยากให้เรื่องยาวไปอีก แม็กซ์เดินเข้ามาทันได้ยินที่ธรรม์ถาม
แม็กซ์พูโขึ้น “คู่แข่งของย่ายังไงล่ะครับ”
ธรรม์มองแม็กซ์อย่างไม่ค่อยชอบหน้าเพราะเขาพูดจาไม่เข้าหูตั้งแต่แรกที่เจอกัน
“ขอโทษนะ ผมขอคุยกับย่าสองคน” ธรรม์บอก
“เรื่องนี้หมวดช่วยอะไรย่าไม่ได้หรอกครับ แค่หมวดอย่าทำให้ย่าต้องมีปัญหาอีกก็พอแล้ว” แม๊กซ์ว่า
ธรรม์ไม่พอใจ “นี่คุณ!”
“ผมขอโทษที่ต้องพูดตรงๆ ย่าต้องถูกพักงานก็เพราะมีข่าวกับหมวด เกือบดับไปแล้วครั้งนึง ผมกับย่าผ่านอะไรๆมาเหมือนกัน กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายการได้เล่นละครของคุณวตีเป็นโอกาสครั้งสำคัญของเราทุกคน ถ้าพลาดก็ไม่มีโอกาสแก้ตัวอีก ผมว่า ถ้าไม่จำเป็นหมวดธรรม์อย่ามาที่นี่อีกดีกว่าครับ”
“แม็กซ์ ไม่ใช่เรื่อง..” มณีมันตราโพล่งออกมา
ธรรม์ขัดขึ้น “เค้าพูดถูก..พี่ไม่ควรมาที่นี่..”
ธรรม์เดินออกไปเพื่อตัดปัญหาและความรู้สึกว่าตัวเองเป็นตัวถ่วงอนาคตของมณีมันตราเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
“ผมหวังดีนะ ย่า ไปซ้อมบทต่อเถอะ”
แม็กซ์ดึงมณีมันตราออกไป มณีมันตราหันไปมองธรรม์ก็เห็นธรรม์เดินออกไปโดยไม่หันกลับมา มณีมันตราเดินออกไปกับแม็กซ์ ธรรม์หยุดเดินหันกลับมาและยืนมองมณีมันตราจนเธอเดินลับตาไป
ประตูห้องนอนของอิทธิฤทธิ์แง้มเปิดอยู่ อิทธิพลค่อยๆผลักประตูเข้ามาแล้วเดินไปจนถึงเตียง อิทธิฤทธิ์ในชุดเดิมนอนจมอยู่กับเศษกระดาษ อุปกรณ์เครื่องเขียนและรูปถ่ายที่เกลื่อนเตียงโดยที่เสื้อผ้าและข้าวของอื่นๆถนอมเก็บเรียบร้อยไปแล้ว อิทธิพลเหลือบไปเห็นกองกระเป๋าเดินทางที่ตั้งอยู่พร้อมกองเสื้อผ้าที่พับเรียบร้อยกองอยู่ข้างๆ
อิทธิฤทธิ์พึมพำ “แม่...”
อิทธิพลหยิบการ์ดใบใหญ่ขนาด A4 ที่อิทธิฤทธิ์ทำจนเสร็จขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นการ์ดตัดแปะรูปอิทธิฤทธิ์ตั้งแต่วัยแบเบาะที่นฤดีอุ้ม รูปอิทธิฤทธิ์วัย 7 ขวบ รูปอิทธิฤทธิ์ในวัยต่างๆในชุดนักเรียน ชุดนักศึกษา ชุดนักแข่งพร้อมมีเส้นยึกๆยือๆที่ดูเป็นภาพฝีมือเด็กและมีคำบรรยายประกอบ “นี่อิท” “นี่ก็อิท” “อิท..อิท..อิท” “อิทของแม่” “เราได้เจอกันแล้วนะ แม่” “อิทรักแม่ จาก อิทธิฤทธิ์....ฤทธิ์...ฤทธิ์เยอะ 555”
อิทธิพลวางการ์ดลงที่เดิมอย่างปวดใจมากยิ่งขึ้น อิทธิพลเดินออกไปเงียบๆแล้วปิดประตู ห้องทั้งห้องมืดสนิท
เช้าวันใหม่ถนอมจัดโต๊ะอาหารเช้าอยู่ ธรรม์เดินมานั่งที่โต๊ะอาหาร
ถนอมรินกาแฟให้ “คุณธรรม์คะ คุณธรรม์ คุณมาย่าได้รับบทนีรชานี่ ชัวร์แล้วใช่มั้ยคะ”
ธรรม์จิบกาแฟไม่อยากจะตอบเรื่องมณีมันตรา
ถนอมพูดต่อ “ป้าล่ะเสียดายแทนจริงๆ ถ้าละครเรื่องนี้สร้างเร็วกว่านี้ซักหน่อย คุณมาย่าต้องได้เป็นนางเอกแน่ๆ ดาราใหม่ที่ชื่อดุ๊กดิ๊กอะไรนั่น สวยไม่ได้เสี้ยวของคุณมาย่าเลย สงสัยเป็นเรื่องของดวงแหละค่ะ ดาราคนอื่นเป็นข่าวโครมๆยังเป็นนางเอกต่อได้ คุณมาย่าเป็นข่าวกับคุณธรรม์แค่ครั้งเดียว”
ถนอมชะงักกึกยิ้มแหยๆ มองธรรม์ด้วยความเกรงใจ ธรรม์ยิ่งนิ่งเงียบขรึมไปอีก อิทธิพลเดินผ่านโต๊ะอาหารไป ถนอมรีบเดินไปหาอิทธิพล
“คุณท่านจะไม่รับกาแฟซักหน่อยก่อนหรือคะ” ถนอมถาม
“ไม่ล่ะ มีประชุมเช้า”
ถนอมรู้ทันว่าอิทธิพลรีบออกจากบ้านเพื่อเลี่ยงการเจออิทธิฤทธิ์แต่อิทธิฤทธิ์วิ่งโครมครามเข้ามา
ถนอมรู้ทันว่าอิทธิพลรีบออกจากบ้านเพื่อเลี่ยงการเจออิทธิฤทธิ์แต่อิทธิฤทธิ์วิ่งโครมครามเข้ามา
“พ่อ!”
อิทธิพลหยุดเดินแล้วจำต้องหันมาเผชิญหน้ากับอิทธิฤทธิ์
“เราจะไปหาแม่กันเมื่อไหร่ดีครับ”
“แกเลิกคิดเรื่องนี้ได้แล้ว” อิทธิพลว่า
“ผมสอบผ่านแล้ว ไงพ่อก็ต้องให้ผมไปเจอแม่ ถ้างานยุ่งนัก พ่อบอกที่อยู่แม่มา ผมไปหาแม่เองก็ได้”
“ชั้นให้แกไปหาแม่ไม่ได้!”
อิทธิฤทธิ์เสียงดัง “พ่อจะผิดคำพูดเหรอ ชอบสอนนักว่า ให้ทำตัวเป็นลูกผู้ชาย พูดแล้วกลืนน้ำลายตัวเอง นี่มันใช่ลูกผู้ชายหรือเปล่า”
ธรรม์เข้ามาดึงอิทธิฤทธิ์ไว้ไม่ให้อาละวาด
“อิท..ใจเย็นๆ..ฟังคุณพ่อก่อน”
อิทธิฤทธิ์โวยวาย “ไม่ฟังแล้วโว้ย นี่พ่อหลอกผมมาตั้งแต่ต้นใช่มั้ย พ่อเอาเรื่องแม่มาใช้เป็นเครื่องมือหลอกให้ผมติว หลอกให้ผมสอบให้ผ่าน นี่ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดใช่มั้ย ป้าหนอม!ไอ้ธรรม์ รู้ใช่มั้ยว่า ยังไงชั้นก็จะไม่ได้ไปเจอแม่”
“แกสอบผ่านเรียนจบ ก็เป็นผลดีกับตัวแกเอง แกเลิกคิดเรื่องไร้สาระได้แล้ว คิดเรื่องอนาคตของแกดีกว่า เรียนจบแล้ว แกจะทำอะไรต่อ” อิทธิพลบอก
อิทธิฤทธิ์จ้องหน้าพ่อ “ก็ไป-หา-แม่ไง! ทำไมเหรอ พ่อ! ทำไมผมจะไปหาแม่ไม่ได้!?”
“ไม่มีเหตุผล!” อิทธิพลบอก
“ผมก็ทำตัวไม่มีเหตุผลได้เหมือนกัน”
อิทธิฤทธิ์พรวดพราดออกไปทันที
ถนอมเป็นห่วง “คุณอิท!!”
ถนอมรีบตามอิทธิฤทธิ์ไปอย่างเป็นห่วง ธรรม์กับอิทธิพลยืนเงียบ
อิทธิฤทธิ์เปิดประตูผลัวะเข้ามาในห้องแล้วคว้ากระเป๋าเป้ใบใหญ่สุด เขากวาดเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าเป้อย่างเดือดดาล ถนอมเข้ามายื้ออิทธิฤทธิ์ไว้
“คุณอิทคะ อย่าทำแบบนี้เลยนะคะ”
“พ่อบังคับให้ผมทำอย่างนี้เอง”
“ทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น มีแต่จะทำให้ยิ่งมีปัญหากันมากขึ้น ป้าเอากระเป๋าไปเก็บดีกว่านะคะ”
ถนอมพยายามดึงกระเป๋าเป้ออกไปแต่อิทธิฤทธิ์ดึงกลับแล้วยัดเสื้อผ้าใส่จนเต็มแล้วปิดกระเป๋า
“ผมตัดสินใจแล้ว!”
“ป้าขอร้องล่ะค่ะ อย่าทำอะไรหุนหันพลันแล่น ไม่งั้นคุณอิทจะต้องเสียใจทีหลัง”
“พ่อต่างหากที่จะต้องเสียใจ!”
อิทธิฤทธิ์คว้ากระเป๋าเป้เดินออกไปทันที ถนอมมองตามอย่างกลัวใจจริงๆ
ธรรม์ยืนมองอิทธิพลอย่างไม่เข้าใจจริงๆ
“คุณพ่อไม่มีคำตอบดีกว่านี้หรือครับ คนอย่างคุณพ่อไม่เคยทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลไม่เคยใช้อารมณ์ตัดสินใจ แล้วทำไมเรื่องคุณน้าฤดี...”
อิทธิพลตัดบท “พ่อให้คำตอบกับนายอิทได้แค่นี้แหละ”
“แล้วคุณพ่อคิดว่า เรื่องมันจะจบแค่นี้หรือครับ”
อิทธิฤทธิ์สะพายกระเป๋าเป้เดินผ่านหน้าอิทธิพลไป
อิทธิพลถาม “จะไปไหน”
ถนอมกระหืดกระหอบตามมา
“คุณท่านห้ามทีค่า คุณอิทจะหนีออกจากบ้าน”
“ไม่ได้หนี แค่จะออกไปจากบ้านนี้ ผมทนเห็นหน้าคนโกหกไม่ได้อีกต่อไป”
“ไอ้อิท! ได้! ถ้าแกไม่ห่วงอนาคตของตัวเอง แกอยากไปไหน ก็ไป”
“ไม่ได้ต้องไล่ ไปอยู่แล้ว ผมเรียนจบแล้ว ต่อไปผมอยากทำไรก็จะทำ ไม่อยากทำก็จะไม่ทำ ไม่มีใครมาบังคับผมได้อีก”
“ที่ผ่านมาแกเชื่อฟังชั้นนักนี่ แกทำอะไรตามใจตัวเองจนเกือบถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย นี่ถ้าแกรู้จักคิดได้แค่ครึ่งนึงของนายธรรม์”
อิทธิฤทธิ์สวนทันที “ก็มันลูกพ่อนี่! แต่ผมไม่ใช่! ผมไม่มีวันที่จะเหมือนพ่อ ผมไม่มีวันทำครอบครัวตัวเองพังพินาศ” อิทธิฤทธิ์พูดกับธรรม์ “นายอยากเป็นลูกพ่อนักใช่มั้ย” อิทธิฤทธิ์พยักหน้าไปทางอิทธิพล “เอาไปเลย ชั้นยกให้!”
อิทธิฤทธิ์เดินปึงปังออกไป
ถนอมร้องไห้ด้วยความใจหาย “คุณอิท! คุณอิทจะไปจริงๆเหรอคะ คุณท่านคะ”
ถนอมหันไปมองอิทธิพลให้ห้ามอิทธิฤทธิ์ แต่อิทธิพลยืนนิ่งโดยที่อารมณ์รุนแรงเริ่มลดลงและจบด้วยความเจ็บปวด ธรรม์ทนเห็นอิทธิพลในสภาพนี้ไม่ไหวจึงรีบเดินตามอิทธิฤทธิ์ออกไป
อิทธิฤทธิ์สะพายกระเป๋าเป้เดินอย่างรวดเร็วเกือบจะออกจากตัวบ้านแล้วแต่ธรรม์เดินตามมาทันก็กระชากกระเป๋าเป้เพื่อรั้งตัวอิทธิฤทธิ์ให้หยุด
“นายอิท!”
“ไม่ต้องมาห้าม!”
“อย่าทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาได้มั้ย”
อิทธิฤทธิ์กระชากคอเสื้อธรรม์ทันที
“รู้มั้ยว่า ชั้นเกลียดคำนี้ที่สุด!”
“ทำอย่างนี้ไม่เรียกว่า ทำตัวเหมือนเด็กมีปัญหา แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ถ้านายคิดจะเรียกร้องความสนใจจากคุณพ่อล่ะก็ หาวิธีอื่นดีกว่า”
ธรรม์ปัดมืออิทธิฤทธิ์ออกไป
“ชั้นจะออกไปจากบ้านนี้จริงๆ”
“ออกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เรื่องคุณแม่ของนาย..ชั้นจะหาทางช่วย”
“ไม่ต้องยุ่ง! ชั้นหาทางไปหาแม่เองได้”
“ถ้านายยังไม่มีสติ อาละวาดเป็นหมาบ้าอย่างนี้ นายไม่มีวันได้เจอหน้าแม่แน่เพราะตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด นายคิดจะทำอะไรต่อไป ไปเป็นนักแข่งรถงั้นเหรอชั้นว่า สุดท้ายนายได้กลายเป็นเด็กแว้นข้างถนนที่นายเกลียดนั่นแหละ”
อิทธิฤทธิ์ชกเปรี้ยงเข้าที่หน้าธรรม์อย่างเหลืออด
“ดูถูกกันมากไปแล้ว!”
อิทธิฤทธิ์เดินพรวดออกไปอย่างโกรธมากขึ้น
“คนอย่างนายจะไปไหนได้!” ธรรม์ว่า
อิทธิฤทธิ์หยุดชะงักแต่พูดโดยไม่หันไป “ก็คอยดู”
อิทธิฤทธิ์ผลุนผลันออกไปด้วยความโกรธ ธรรม์มองตามอย่างไม่รู้จะห้ามยังไงแล้ว
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 14 (ต่อ)
อิทธิฤทธิ์นั่งนิ่งด้วยความตึงเครียด เจ๋งได้แต่มองอิทธิฤทธิ์ตาปริบๆ
“เอาไงต่อล่ะ พี่อิท”
“ไม่รู้ว่ะ”
“งั้นพี่อิทอยู่ที่นี่ไปก่อนล่ะกัน”
อิทธิฤทธิ์ทำเป็นหยิ่ง “ก็ได้ ชั้นขอเวลาตั้งหลักก่อน ชั้นไม่รบกวนแกนานหรอก”
“พี่อิทอยู่นานเท่าไหร่ก็ได้ อยากกลับบ้านเมื่อไหร่ก็บอก”
“เฮ้ย! ชั้นออกจากบ้านแล้วจะไม่มีวันหันหลังกลับไปอีก!”
“แต่หันหลังกลับไป เดินไปอีกสองซอยก็ถึงบ้านแล้วนะ พี่อิท”
“นี่แกไม่เต็มใจให้ชั้นอยู่ใช่มั้ย”
“ไม่ใช่อย่างงั้น ดูบ้านผมซะก่อน พี่อิทจะอยู่ได้นานแค่ไหน”
อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆบ้านที่เล็ก เก่า และโทรม
“ทำไมชั้นจะอยู่ไม่ได้ ชั้นจะต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้”
อิทธิฤทธิ์ฮึดขึ้นมาทันที
ชนมนใช้โทรศัพท์มือถือโทรหาอิทธิฤทธิ์แล้วก็ต้องกดวางสาย ชนมนหันไปมองธรรม์กับมณีมันตรา
ชนมนกลุ้มใจ “อิทยังไม่ยอมเปิดมือถือ”
“ย่าไม่เข้าใจเลย ทำไมคุณลุงถึงไม่ยอมทำตามสัญญา พี่ธรรม์พูดกับคุณลุงอีกครั้งได้มั้ยคะ” มณีมันตราอ้อนวอน
“พี่พยายามแล้ว..ปัญหาของผู้ใหญ่บางครั้งก็ไม่อยากให้เด็กต้องมารับรู้ด้วย”
“คุณลุงจะมีปัญหาอะไรก็ตาม ก็น่าจะบอกอิทได้นี่คะ คราวนี้ย่าขออยู่ข้างอิท”
“แต่อิทหนีไปดื้อๆอย่างนี้ มันไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย นอกจากทำให้เค้ากับคุณพ่อมีปัญหากันมากขึ้น”
“อิทก็เลือกวิธีเดียวกับพี่ธรรม์นั่นแหละ เวลามีปัญหาอะไรก็ชอบเดินหนีไปดื้อๆ”
“พี่ไม่เคยหนีปัญหา”
“แล้ววันก่อนที่หนีกลับบ้านไป นั่นเรียกว่าอะไรเหรอคะ”
ชนมนมองธรรม์กับมณีมันตราสลับไปมาอย่างเหนื่อยแทนที่แอบทะเลาะกันอีก
ชนมนขัดจังหวะ “ชนไปก่อนนะ พี่ธรรม์”
“ไปไหน”
“ไปตามอิท” ชนมนบอก
ธรรม์กับมณีมันตราขยับตัวจะลุกขึ้นไปด้วย
“ชนไปคนเดียวดีกว่า พี่ธรรม์กับย่าอยู่แก้”ปัญหา”ของตัวเองให้ได้ก่อนเถอะ”
ชนมนรีบเดินออกไป มณีมันตรากับธรรม์มองหน้ากัน
ธรรม์เดินออกมาส่งมณีมันตรา โดยที่ต่างคนก็ต่างเดินมาเงียบๆ โดยยังไม่มีใครยอมเริ่มพูดก่อน
“เอาล่ะ..ย่ายอมแพ้..พี่ธรรม์มีปัญหาอะไรกับย่า ก็พูดมาได้เลย” มณีมันตราบอก
“พี่ไม่ได้มีปัญหากับย่า แต่พี่กำลังจะทำให้ย่ามีปัญหาอีก”
“พี่ธรรม์ไม่ต้องไปสนใจฟังคนอื่นพูดหรอกค่ะ”
“แต่งานของย่าไม่สนใจฟังได้เหรอ ชีวิตย่ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ พี่ไม่อยากดึงย่าให้ตกลงมาต่ำ เรามีบทเรียนกันมาแล้วนะ ย่า พี่ว่า ตอนนี้เราอยู่ห่างๆกันซักพักดีกว่า”
“เรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะค่ะ เรามาช่วยอิทกันก่อนดีกว่า”
“นี่ย่ากำลังจะเป็นคนหนีปัญหาซะเองแล้วนะ”
“ย่าไม่ได้หนีปัญหา ย่า..ย่าไม่เห็นด้วยกับพี่ธรรม์ ไม่อยากทะเลาะด้วย คุณวตีไม่ได้มีปัญหากับเรื่องที่เราเป็นแฟนกัน เค้าก็แค่เตือนให้ย่าแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวให้ได้ ก็เท่านั้น พี่ธรรม์คิดมากไปเอง”
“คิดมากดีกว่าไม่คิด พี่ไม่ชอบรอให้มีปัญหาแล้วค่อยมาตามแก้ทีหลัง”
“ก็ได้ค่ะ เราอยู่ห่างๆกันซักพักก็ได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยดีมั้ยคะ”
มณีมันตราเดินออกไปอย่างโกรธๆ ธรรม์ดึงตัวมณีมันตราไว้
“พี่ทำเพื่อย่านะ” ธรรม์บอก
“แต่ย่าไม่ต้องการ!”
มณีมันตราดึงแขนออกจากธรรม์ด้วยความน้อยใจแล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ธรรม์หนักใจ
อิทธิฤทธิ์ยังคงเครียดอยู่ ตี๋เล็กเข้ามากอดคออิทธิฤทธิ์ทางด้านขวาในขณะที่บ๊วยเข้ามากอดคออิทธิฤทธิ์ทางด้านซ้าย ทั้งสองขนาบซ้ายขวากอดอิทธิฤทธิ์เหมือนซี้จัด
“พี่อิทตัดสินใจถูกแล้ว!” ตี๋เล็กบอก
“นั่นดิ อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องอยู่” บ๊วยสนับสนุน
ตี๋เล็กพูดต่อ “ไม่ต้องเครียดไป”
“มาฉลองกันดีกว่า” บ๊วยว่า
“แด่อิสรภาพของอิทธิฤทธิ์”
“หมดแก้วๆๆๆ”
อิทธิฤทธิ์ก้มลงมองมือตัวเองที่ถือแก้วอยู่ เจ๋งเข้ามาขวางหน้า
“อย่าดีกว่า พี่อิท” เจ๋งห้าม
“ไม่ต้องมาห้าม!”
อิทธิฤทธิ์ยกแก้วนมแก้วใหญ่ขึ้นมา ตี๋เล็กกับบ๊วยถือแก้วนมเข้าชนแก้วกับอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ตี๋เล็กและบ๊วยดื่มนมอั๊กๆ รวดเดียวจนหมดแก้ว
“กินนมมากๆ เดี๋ยวท้องเสียนะ พี่อิท”
“วันนี้ไม่อ้วกไม่เลิก!”
บ๊วยรีบรินนมใส่แก้วให้อิทธิฤทธิ์ทันที
“เออ..กินให้อ้วกประชดชีวิต..ก็มีด้วย” เจ๋งว่า
“ช่วงนี้งบน้อย กินนมไปก่อนนะ พี่อิท ไว้ผมเลื่อนเป็นผู้จัดการปั๊มเมื่อไหร่ เราจะฉลองให้เต็มที่ไปเลย แต่วันประกาศอิสรภาพของพี่อิททั้งที ไงเราก็ต้องจัดเต็มไม่งั้นเสียชื่อแก๊งสุดฤทธิ์หมด” ตี๋เล็กบอก
อิทธิฤทธิ์มองตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งที่รวมกลุ่มกันโพสท่าประจำแก๊ง
ตี๋เล็กเริ่มลีดกีตาร์เสียงแสบแก้วหู บ๊วยเอาไม้เคาะถังสี
เจ๋งถือแทมบูรินเคาะเข้าจังหวะเพลงอย่างสนุกสนาน อิทธิฤทธิ์นั่งฟังแก๊งสามซิ่งร้องเพลงเล่นดนตรีจนรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ
แล้วอิทธิฤทธิ์ก็ลุกขึ้นแล้วกระโดดเข้ามาร่วมวงด้วย เขาคว้าไม้แถวนั้นมาเป็นไมโครโฟนแล้วแหกปากร้องเพลง อิทธิฤทธิ์กับตี๋เล็กเอาหลังชนกันก่อนจะเขย่าหัวโยกหัวคลอนอย่างเมามันถึงขีดสุด
ทันใดนั้นไขควงก็ถูกคว้างเข้ามากระแทกถังสีที่บ๊วยกำลังเคาะอยู่จนดังสนั่น ทุกคนหยุดชะงักโดยทันทีแล้วมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ
“คุ้นๆไงไม่รู้ว่ะ”
“เฮ้ย! เล่นต่อ! กำลังมัน!”
ตี๋เล็กพยักหน้ากับบ๊วยที่เคาะถังสีให้เริ่มต้นใหม่ ตี๋เล็กเริ่มเล่นกีตาร์ใหม่ อิทธิฤทธิ์ร้องเพลงต่อไปได้แค่ท่อนเดียว ไขควงอีกอันก็ลอยละลิ่วมาตกอยู่ตรงหน้าอิทธิฤทธิ์
“เฮ้ย! ใครวะ”
ชนมนเดินเข้ามายืนจังก้าจ้องหน้าอิทธิฤทธิ์อย่างเอาเรื่อง
“ว่าแล้วว่า มันคุ้นๆ” เจ๋งบอก
ตี๋เล็กพูดแบบไม่ได้รู้เรื่อง “พี่ชนมาแจมด้วยเหรอครับ”
“ไม่น่าใช่นะ พี่..”
ตี๋เล็กหันกลับไปมองชนมนที่มองอิทธิฤทธิ์อย่างดุๆ
“สนุกพอหรือยัง ถ้าพอแล้ว ก็กลับบ้าน!”
ตี๋เล็ก บ๊วยและเจ๋งค่อยๆก้าวออกไปและสลายตัวไปอย่างช้าๆ
อิทธิฤทธิ์เสียงแข็ง “ชั้นไม่กลับ!”
อิทธิฤทธิ์จ้องหน้าชนมนกลับอย่างไม่กลัว
อิทธิฤทธิ์เดินออกมาจากบ้านหน้าตาเฉย ชนมนรีบก้าวตามมา
“นายจะไปไหน”
“ไปหาอะไรกิน”
“นายอิท!”
อิทธิฤทธิ์หันขวับกลับมาประจันหน้ากับชนมน
“พอ! ไม่ต้องพูด! ยังไงชั้นก็ไม่กลับ แล้วอย่าคิดว่า ชั้นไม่เอาจริง!”
“ดูเอาจริงมากเลยนะ คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตสนุกอย่างนี้ได้ทุกวันเหรอ อย่างนายน่ะ ชั้นพนันได้เลยว่า อยู่ได้ไม่เกินสามวันหรอก”
“เออ! แล้วชั้นจะพิสูจน์ให้ดูว่า ชั้นอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อ”
“เออ! แล้วชั้นจะคอยดู!”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว ไป ไม่ต้องมาตามอีกล่ะ”
“นายก็ดีแต่ใจร้อน เอาแต่ใจ ทำอะไรไม่เคยคิดให้ดีก่อน นายน่าจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ แต่ในเมื่อนายไม่ยอมเชื่อชั้น ก็ตามใจ”
“แล้วทำไมเธอไม่เชื่อในตัวชั้นบ้าง”
“นายวางแผนชีวิตยังไงต่อไปล่ะ เอาเงินติดตัวมาเท่าไหร่ แล้วเงินที่มีจะใช้ได้ไปอีกกี่วัน ถ้าเงินหมดแล้วนายจะทำไง คิดบ้างหรือเปล่า”
“เธอก็คิดเป็นแต่เรื่องเงิน ชั้นเจอปัญหาหนักขนาดนี้ ไม่เคยคิดห่วงกัน ทำไม? มาตามชั้นกลับบ้านนี่เพราะกลัวพ่อจะตัดขาดชั้นเหรอ ถ้าชั้นไม่มีเงิน เธอก็จะเลิกคบชั้นงั้นดิ”
อิทธิฤทธิ์กำลังพาลเลยพูดหาเรื่องไปโดยไม่คิด ชนมนจ้องอิทธิฤทธิ์อย่างโกรธขึ้นมาทันที
“ชั้นจะเลิกคบกับนาย ก็เพราะความงี่เง่าของนายนี่แหละ”
ชนมนเดินพรวดๆออกไป
อิทธิฤทธิ์เพิ่งได้สติ “ชน !!”
อิทธิฤทธิ์มองตามชนมนและรู้ว่าตัวเองทำพลาดไปแล้ว
ชูชัยรินน้ำเปล่าใส่แก้วให้อิทธิพลที่นั่งเครียดอยู่โดยไม่แตะจานข้าวผัดที่ตั้งตรงหน้า
“ไอ้ชิน!” ชูชัยเรียก
ชินพัฒน์วิ่งตุ๊บตั๊บเข้ามาพร้อมกับมีไม้ลูกชิ้นปิ้งอยู่ในมือ
“เอาข้าวผัดไปกิน ไป” ชูชัยบอก
“ยังอิ่มอยู่เลย พ่อ”
ชินพัฒน์ยังกินลูกชิ้นปิ้งได้ต่อ เขาเคี้ยวหนุบหนับๆอย่างเอร็ดอร่อย
“แต่เพื่อพ่อ ผมยอมเสียสละ ผมกินให้ก็ได้ เฮ้อ อิ่มจริงๆนะเนี่ย”
ชินพัฒน์คว้าจานข้าวผัดไปจ้วงกินอยู่ที่โต๊ะซึ่งห่างออกไปอีกโต๊ะ
“ทำไมแกเลี้ยงลูกดีนักวะ” อิทธิพลถาม
“ไอ้ชินเนี่ยนะ”
“ไม่ใช่..หนูชน..แต่ลูกชายแกก็ดูไม่เลว ไม่น่าจะเลี้ยงยาก ไม่เหมือนนายอิท ตั้งแต่ฤดีออกไปจากบ้าน มันก็แผลงฤทธิ์ไม่ได้หยุด ตอนนี้ชั้นไม่รู้จะทำยังไงกับมันจริงๆ”
“ก็บอกความจริงไป” ชูชัยบอก
อิทธิพลพูดทันที “ชั้นทำไม่ได้”
“แกปกป้องลูกไปไม่ได้ตลอดชีวิตหรอก ไอ้พล พานายอิทไปหาฤดีซะ”
“ชั้นจะพานายอิทไปได้ยังไง ในเมื่อฤดีไม่ได้อยาก...”
อิทธิพลชะงักไม่พูดต่อให้จบเมื่อเห็นชนมนเดินเข้ามาหยุดฟัง
“ชั้นกลับก่อนล่ะ ขอบใจ” อิทธฺพลลา
อิทธิพลตบไหล่ชูชัยแล้วเดินออกไป
ชนมนเรียกไว้ “เดี๋ยวสิคะ ท่านผู้การคะ”
ชนมนรีบเดินตามอิทธิพลไป
อิทธิพลเดินออกมาจากทางบ้านชนมน ชนมนเดินไล่ตามมาจนทัน
“ท่านผู้การคะ”
อิทธิพลหยุดเดินหนี เขาหันกลับมาเผชิญหน้ากับชนมน
“เรียกลุงดีกว่านะ หนูชน”
“ทำไมคะ ทำไมท่าน..เออ..ทำไมคุณลุงถึงพาอิทไปหาคุณแม่ไม่ได้ คุณลุงมีปัญหาอะไร ก็บอกอิทไปตรงๆสิคะ หนูเชื่อว่า อิทเค้ารับได้ ถ้าคุณลุงมีเหตุผลพอ”
“ปัญหาของผู้ใหญ่ไม่เกี่ยวกับเด็ก”
“ไม่เกี่ยวได้ยังไงคะ นี่เกี่ยวเต็มๆเลย พ่อแม่ทะเลาะกัน ยังไงก็มีผลกระทบกับลูกอยู่แล้ว ไม่งั้นอิทคงไม่หนีออกจากบ้านหรอกค่ะ”
“ไม่ห่วงเรื่องนี้ นายอิทไปไหนไม่รอดหรอก เดี๋ยวก็ต้องกลับมา”
“นี่คุณลุงไม่คิดจะแก้ปัญหาเรื่องอิทเลยหรือคะ”
“แล้วจะให้ลุงทำยังไง นายอิทมันหนีไปเอง ไอ้เด็กดื้อด้านอย่างนั้น พูดยังไงก็ไม่ฟัง ตอนนี้มันอยากทำอะไร ก็ปล่อยมันไป”
ชนมนนิ่งฟังแล้วเริ่มเห็นใจอิทธิฤทธิ์ที่อิทธิพลดูจะไม่สนใจความรู้สึกของอิทธิฤทธิ์เลย
“คุณลุงพูดเหมือนอิทเป็นคนผิดฝ่ายเดียว ถ้าหากคุณลุงรักษาคำพูด อิทก็คงไม่ทำอย่างนี้หรอกค่ะ อิทเป็นลูกนะคะ ไม่ใช่ลูกน้องของคุณลุง ถึงต้องทำตามคำสั่งอย่างเดียว โดยห้ามมีคำถาม อย่างนี้คุณลุงกับอิทไม่มีวันเข้าใจกันหรอกค่ะ”
ชนมนเดินกลับเข้าไปในบ้าน อิทธิพลนิ่งคิด เขาไม่ได้นิ่งนอนใจเรื่องอิทธิฤทธิ์แต่ยังทำอะไรตอนนี้ไม่ได้
อิทธิฤทธิ์มองเจ๋งที่กำลังเทข้าวกระเพราไก่ใส่จาน 2 จานแล้วส่งจานหนึ่งให้อิทธิฤทธิ์
“กินข้าว พี่ กินข้าว”
อิทธิฤทธิ์มองจานข้าวกระเพราไก่ที่ดูเละๆ ในจาน โดยกระเพราะไก่ไปอยู่อยู่ก้นจาน
“โทษที พี่ ดูไม่น่ากินเลยเนอะ”
เจ๋งเอาช้อนมาช่วยเขี่ยจนทำให้ข้าวกระเพราะยิ่งเละยิ่งขึ้น
“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้อง”
อิทธิฤทธิ์นึกขึ้นได้ก็รีบหยิบกระเป๋าตังค์ออกมาดึงแบงก์พันออกมาส่งให้เจ๋ง
“เอาไปสองพันก่อน พอมั้ยวะ”
“ไม่ต้องหรอก พี่อิท”
“เฮ้ย! ไม่ได้! เอาไปๆ แกจะให้ชั้นมาอยู่ฟรีๆได้ไง”
“งั้นพันเดียวพอ” เจ๋งบอก
เจ๋งดึงเงินมาจากอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์เอาเงินอีกพันใส่กระเป๋าแล้วลองนับเงินที่มีอยู่ดู
เจ๋งเกรงใจ “แล้วพี่อิทมีเงินอยู่เท่าไหร่เนี่ย”
อิทธิฤทธิ์กังวล “ตอนนี้เหลืออยู่สามพัน” อิทธิฤทธิ์ทำเป็นร่าเริง “เฮ้ย ไม่ต้องห่วง สามพันนี่อยู่ได้เป็นเดือน ชั้นกินง่ายอยู่ง่าย วันๆไม่รู้จะเอาเงินไปใช้อะไร”
อิทธิฤทธิ์ตักข้าวกระเพราไก่กินแล้วกลืนไม่ลงเพราะเผ็ดและไม่อร่อยเอาเสียเลย
“ไม่อร่อยหรือ พี่”
เจ๋งตักข้าวกระเพราไก่กินได้เรื่อยๆ อิทธิฤทธิ์จำใจต้องกลืนข้าวลงไป
“อร่อยๆ บอกแล้ว ชั้นกินง่ายอยู่ง่าย”
อิทธิฤทธิ์ตักข้าวใส่ปากต่อไปพลางมองเจ๋งที่กินเอาๆไม่หยุด
อิทธิฤทธิ์บ่นๆ “กินได้ไงวะ”
อิทธิฤทธิ์ตักข้าวกินไปอย่างกล้ำกลืนแล้วคิดว่านี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
อิทธิฤทธิ์นุ่งผ้าขนหนูเดินเข้าไปในห้องน้ำ เจ๋งถือถังน้ำเดินมาเห็นอิทธิฤทธิ์เพิ่งเข้าห้องน้ำไป
“เฮ้ย ! พี่อิท เดี๋ยว”
อิทธิฤทธิ์มองห้องน้ำสกปรกเล็กๆแคบๆ แล้วก็ต้องถอนใจ เขาปลดผ้าขนหนูแขวนไว้ที่ประตูแล้วก้าวเข้าไปใต้ฝักบัวก่อนจะเปิดน้ำให้พุ่งใส่หัว อิทธิฤทธิ์เอาหัวโขกผนังเบาๆแล้วพิงไว้อย่างเหนื่อยใจ อิทธิฤทธิ์ตะโกนร้องเพลงต่อว่าชนมนที่ไม่เข้าใจกันเลย
“ทำไม ชน ! ทำไมไม่เข้าใจกัน”
น้ำฝักบัวหยุดไหล อิทธิฤทธิ์ชะงักกึกเช่นกัน
“เฮ้ย! อะไรวะ ไอ้เจ๋ง!”
อิทธิฤทธิ์นุ่งผ้าขนหนูเปิดประตูผละออกมาในสภาพหัวเปียกหน้ามุ่ย เจ๋งถือถังน้ำยืนรออยู่แล้ว
“โทษที พี่อิท ลืมบอกไป น้ำที่บ้านไม่ค่อยไหล ไหลสุดๆก็แค่ห้าวิ แต่ผมตักน้ำมาให้แล้ว ถังนึงน่าจะพอเนอะ”
เจ๋งยกถังน้ำเข้าไปในห้องน้ำแล้วตะโกนออกมา
“เออ พี่อิท ฉี่เสร็จ ไม่ต้องราดน้ำล่ะ รอราดทีเดียวพรุ่งนี้เช้า”
อิทธิฤทธิ์ยืนละเหี่ยใจ
ชนมนนั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ชินพัฒน์เข้ามากระโดดลงนอนบนเตียงจนเตียงสะเทือน ชนมนยังอ่านหนังสือต่ออย่างไม่สนใจ
“พี่ชน!”
“มีอะไร”
“พี่ชนนั่นแหละเป็นอะไร”
ชนมนอ่านหนังสือต่อพลางถอนหายใจยาว ชินพัฒน์ดึงหนังสือออกจากมือชนมน
“เป็นห่วงพี่อิทเหรอ”
ชนมนปากแข็ง “เปล่า”
“ถ้าพี่ชนอยากให้พี่อิทกลับบ้าน ไม่ยากเลย พี่ ก็ต้องหาทางให้พี่อิทได้เจอแม่ เรียนเก่งซะเปล่า เรื่องแค่นี้ก็คิดไม่ออก”
ชินพัฒน์แหย่จนชนมนต้องตอบโต้กลับอย่างเร็ว
“คุณลุงไม่ยอมให้อิทไปเจอ แล้วจะเจอได้ไงล่ะ แล้วคุณแม่ของอิทน่ะอยู่ถึงอเมริกา คนที่รู้ที่อยู่ก็มีคุณลุงคนเดียวเท่านั้น ถ้าชั้นหาทางช่วยอิทได้ ชั้นก็ช่วยไปนานแล้ว คนอย่างอิทน่ะเสียคนไม่ว่า แต่เสียหน้าไม่ได้ ไงคงไม่ยอมกลับบ้านง่ายๆ หรอก คุณลุงคิดผิดแล้วที่ปล่อยอิทไป ซักวันเถอะได้จับลูกตัวเองเข้าคุก”
“คิดไปโน่น! พูดซะยาวเหยียด แล้วบอกว่าไม่ห่วง”
“ห่วงก็ได้..”
“ห่วงก็รีบๆช่วยพี่อิทดิ”
“แกนี่พูดอะไรเข้าใจยากจริงๆ”
“พ่อพี่อิทรู้ว่า แม่พี่อิทอยู่ไหนใช่มั้ยล่ะ พี่ชนคิดว่า เค้าไปสืบหาที่อยู่มาได้ยังไง เราก็ตามสืบอย่างเค้าดิ พ่อพี่อิทเป็นถึงผู้การ คงไม่สืบหาเอง ต้องใช้ลูกน้องสืบแน่ๆแล้วพี่ธรรม์จะไม่รู้จักลูกน้องพ่อเชียวเหรอ”
ชนมนมองชินพัฒน์อย่างทึ่งๆ
“เฮ้ย! ทำไมวันนี้ฉลาด”
“ผมไม่ได้หล่ออย่างเดียว มีสมองด้วย ไอคิวน่าจะเหยียบสองร้อยกว่าๆ”
ชนมนเหลือบไปเห็นชูชัยยืนแอบฟังอยู่ ชูชัยส่ายหัวอย่างหน่ายกับชินพัฒน์ ชนมนรู้ได้ในทันทีว่าชินพัฒน์เป็นคนส่งสารของพ่อโดยไม่ได้คิดเอง
“ขอบคุณนะ พ่อ” ชนมาบอก
ชูชัยเดินออกไปอย่างพอใจที่ชนมนได้ลู่ทางที่จะช่วยอิทธิฤทธิ์แล้ว
“ขอบคุณพ่อทำไม ต้องขอบคุณผมนี่” ชินพัฒน์บอก
ชนมนเอาหมอนกดชินให้ล้มลงไปนอนลงบนเตียง
“ขอบคุณ! ขอบคุณมากนะ น้อง”
“โอ๊ย ช่วยด้วย! โห คนเรา!! ทำดีไม่ได้ดี”
ชนมนยังแกล้งเอาหมอนกดหน้าชินพัฒน์ ชินพัฒน์ผลักชนมนออกไปแล้วนอนทับไว้ ชนมนดิ้น
อิทธิฤทธิ์กับเจ๋งนอนเบียดกันอยู่บนเตียงแคบๆ มีพัดลมเป่าอยู่ข้างๆเตียง
อิทธิฤทธิ์นอนไม่หลับจึงได้แต่พลิกตัวไปมาอย่างทรมาน เจ๋งนอนหลับและกรนอยู่พอพลิกตัวอีกทีก็ตกลงไปนอนบนพื้น อิทธิฤทธิ์ชะโงกมองไปก็เห็นเจ๋งยังคงนอนหลับต่อได้อย่างสบายๆ อิทธิฤทธิ์นอนก่ายหน้าผากอย่างคิดหนัก
อิทธิฤทธิ์เดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงลานสำหรับซ่อมมอเตอร์ไซค์
เขานึกถึงตอนที่ธรรม์พูดเหมือนดูถูกอิทธิฤทธิ์ที่จะไปไหนไม่รอด
“ชั้นจะออกไปจากบ้านนี้จริงๆ !”
“ออกไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา เรื่องคุณแม่ของนาย..ชั้นจะหาทางช่วย” ธรรม์ว่า
“ไม่ต้องยุ่ง! ชั้นหาทางไปหาแม่เองได้”
“ถ้านายยังไม่มีสติ อาละวาดเป็นหมาบ้าอย่างนี้ นายจะไม่มีวันได้เจอหน้าแม่แน่เพราะตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด นายคิดจะทำอะไรต่อไป ไปเป็นนักแข่งรถงั้นเหรอชั้นว่า สุดท้ายนายได้กลายเป็นเด็กแว้นข้างถนนที่นายเกลียดนั่นแหละ”
แล้วอิทธิฤทธิ์ก็นึกถึงตอนที่ชนมนมาตามเขาแต่ต้องทะเลาะกัน
“พอ! ไม่ต้องพูด! ยังไงชั้นก็ไม่กลับ แล้วอย่าคิดว่า ชั้นไม่เอาจริง”
“ดูเอาจริงมากเลยนะ คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตสนุกอย่างนี้ได้ทุกวันเหรอ อย่างนายน่ะชั้นพนันได้เลยว่า อยู่ได้ไม่เกินสามวันหรอก”
“เออ! แล้วชั้นจะพิสูจน์ให้ดูว่า ชั้นอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพ่อ”
“เออ! แล้วชั้นจะคอยดู!”
เมื่อนึกถึงอดีต อิทธิฤทธิ์ก็หงุดหงิดใจกับตัวเองที่เริ่มจะอยู่ไม่ไหวแล้ว
อิทธิฤทธิ์ปลอบใจตัวเอง “ชั้นต้องอยู่ได้!”
อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆแล้วก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าจะอยู่รอดไหมเนี่ย
เช้าวันใหม่ ชนมนกำลังจัดร้าน เธอเอาเก้าอี้ลงจากโต๊ะวางจัดให้เข้าที่ ชูชัยยกหม้อข้าวสวยใบใหญ่มาวางไว้ที่ใกล้เตาแล้วจัดเตรียมของอื่นๆเพื่อเตรียมทำข้าวผัด
“ไอ้ชน! เอาขยะไปทิ้ง ไป” ชูชัยสั่ง
“ได้จ้ะ พ่อ”
ชนมนรีบเดินไปหยิบถุงขยะแถวเตามาอย่างรวดเร็วแล้วตรงดิ่งมาที่ทางออก ชนมนชะงักเมื่อเห็นอิทธิฤทธิ์ยืนรออยู่ในสภาพหัวยุ่งหน้าโทรมอย่างคนไม่ได้นอนทั้งคืน ชนมนกับอิทธิฤทธิ์ต่างยืนมองกันอยู่ชั่วอึดใจ ชูชัยเดินเข้ามาทางด้านหลังชนมน
“เป็นอะไร ไอ้ชน”
อิทธิฤทธิ์รีบยกมือไหว้ชูชัย
“มาทำไม” ชูชัยถาม
“ผมมาของานทำครับ” อิทธิฤทธิ์บอก
“ไม่รับ”
“ผมไม่รับเป็นเงินก็ได้ ขอแค่ข้าวสามมื้อก็พอแล้วครับ”
“คิดได้แค่นี้เองเหรอ” ชนมนถาม
ชนมนเดินถือถุงขยะเดินออกไปอย่างไม่สนใจอิทธิฤทธิ์
“กลับบ้านไปซะเถอะ” ชูชัยไล่
“ผมกลับไปไม่ได้ครับ ผมจะพยายามอยู่ได้ตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร”
“ผิดแล้ว! ถ้าไม่ไหวจริงๆ เราก็ต้องรู้จักขอความช่วยเหลือจากคนอื่น มันไม่ได้ทำให้ศักดิ์ศรีลดลงหรอก แต่ถ้าเอาตัวเองไม่รอด แล้วยังทำหยิ่ง เค้าเรียกว่า โง่แล้วยังอวดดี”
ชูชัยเดินเข้าไปข้างใน อิทธิฤทธิ์นิ่งคิดตาม
ชนมนทิ้งขยะเสร็จแล้วเอาฝาปิด เธอเดินกลับพบว่าอิทธิฤทธิ์ยืนรออยู่ที่หน้าบ้าน ชนมนเดินเลี่ยงห่างจากอิทธิฤทธิ์จะตรงเข้าบ้าน อิทธิฤทธิ์จับแขนชนมนไว้
“ชน...ชั้นขอโทษ...” อิทธิฤทธิ์พูด
“ปล่อย...”
“ยกโทษให้ก่อน แล้วจะปล่อย”
“รู้ใช่มั้ย ถ้าไม่จำเป็น ชั้นจะไม่ใช้กำลัง นายอย่าบังคับให้ชั้นทำในสิ่งที่ไม่อยากทำดีกว่า”
“ชั้นยอมให้เธอโดดเตะก้านคอเลย เอ้า ถ้าทำให้เธอหายโกรธชั้นได้ เธอโกรธชั้นมากเลยเหรอ”
“ถ้าชั้นโกรธนายทุกครั้งที่นายพูดอะไรไม่คิด เส้นเลือดในสมองชั้นคงแตกไปนานแล้วล่ะ ชั้นไม่ได้โกรธ แต่ผิดหวังในตัวนายมากกว่า ทำไมนายไม่ให้ชั้นช่วย นายกลับหาเรื่องให้ชั้นไปจากนาย”
“ชั้นไม่รู้...ชั้นคงกลัวว่า เธอจะตัดสินชั้น ชั้นทำอะไรก็ผิดตลอด แต่ครั้งนี้ชั้นทนไม่ไหวจริงๆ ชั้นอยู่บ้านไม่ได้ ชั้นทนเห็นหน้าพ่อไม่ได้อีกต่อไป ชั้น-เกลียด-พ่อ”
“เฮ้ย! อย่าพูดอย่างนั้น”
อิทธิฤทธิ์ท้อใจ “ชั้นจะไม่ได้เจอหน้าแม่จริงๆใช่มั้ยเนี่ย”
“ทำไมล่ะ”
“ชั้นจะไปหาแม่ที่อเมริกาได้ไง เงินก็ไม่มี อย่าว่าแต่เงินค่าตั๋วเครื่องบินเลย ชั้นไม่รู้ว่าจะมีเงินเติมน้ำมันรถไปได้อีกกี่วัน ชั้นมันไม่เอาไหนอย่างที่เธอว่าเลย”
“ชั้นไม่ได้ว่า นายไม่เอาไหน ชั้นว่า นายทำอะไรไม่วางแผนต่างหาก นายอย่าใจร้อนว่าต้องเจอคุณแม่พรุ่งนี้มะรืนนี้ หางานทำแล้วค่อยๆเก็บเงินไป ถ้าเราพยายามนะ ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้หรอก ชั้นจะช่วยนายเอง”
“ขอบคุณนะ ชน...”
อิทธิฤทธิ์กอดชนมนไว้
“หายโกรธแล้วใช่มั้ย...ชั้นสัญญานะว่า ชั้นจะไม่...”
“ไม่ต้องสัญญา เพราะนายจะต้องทำให้ชั้นได้โกรธอีกแน่!”
ชนมนผลักอิทธิฤทธิ์ออกไป อิทธิฤทธิ์เหนี่ยวคอชนมนมาใกล้แล้วโอบคอพาเดินไปด้วยกัน
“ปีหน้านะ ชน ปีหน้าเราจะไปหาแม่ด้วยกัน”
“นายอาจจะได้ไปเจอคุณแม่เร็วกว่านั้น ถ้าหากนายจะทำตามที่ชั้นบอก รับปากชั้นมาว่าจะเชื่อและทำตามที่ชั้นบอกทุกอย่าง”
อิทธิฤทธิ์หรี่ตามองชนมนอย่างเริ่มจะไม่ไว้ใจเท่าไหร่ เขารู้สึกว่าชนมนต้องให้เขาทำอะไรที่เขาไม่อยากทำแน่นอน
อ่านต่อตอนที่ 15