รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 7
ชนมน ชูชัยและชินพัฒน์ช่วยกันเก็บกวาดร้าน ธรรม์สำรวจความเสียหายในร้าน
“ไอ้นักเลงพวกนั้นเป็นใคร ใช่พวกเจ้าหนี้พ่อหรือเปล่า” ชนมนถาม
ชูชัยตอบ “ไม่ใช่”
“พวกมันต้องไม่ใช่คนแถวนี้แน่ ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน”
“ไปแจ้งความไว้ดีกว่า แล้วอย่าเพิ่งเก็บกวาดร้าน รอให้ตำรวจมาเก็บรอยนิ้วมือก่อน ถ้าพวกมันมีประวัติอยู่ คงจะตามจับตัวได้ไม่ยาก”
“ไม่ต้อง ผมไม่แจ้งความ พวกมันก็แค่พวกจิ๊กโก๋กวนเมือง ไม่มีพิษมีภัยอะไรหรอก”
“แต่ท่าทางมันตั้งใจมาหาเรื่องเราไงไม่รู้นะ พ่อ เออใช่ มันขู่ให้พี่ชนเลิกทำงานด้วย” ชินพัฒน์ว่า
“ชนพอนึกออกมั้ยว่า พวกมันเป็นใคร ใครที่อยากให้ชนเลิกทำงาน” ธรรม์ถาม
ชนมนนิ่งคิดแล้วก็เริ่มสะกิดใจขึ้นมาทันที
ชนมนนึกถึงตอนทีตี๋เล็กกับบ๊วยไปขู่ให้ชนมนเลิกติวให้อิทธิฤทธิ์
ตี๋เล็กดัดเสียงบี้ๆ “เลิกติวให้ไอ้อิทซะ”
“มีเหตุผลอะไร” ชนมนถาม
“ไม่ต้องถาม ทำตามที่ชั้นสั่ง”
ชนมนคิดหนักว่าเป็นเพราะงานติวอิทธิฤทธิ์หรือเปล่า
ชนมนพึมพำ “ใช่พวกมันหรือเปล่า”
“นึกออกแล้วเหรอ ชน พวกมันเป็นใคร แล้วมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน” ธรรม์ถาม
“เออ นึกไม่ออกค่ะ ชนทำงานตั้งหลายที่ ไม่รู้หรอกค่ะว่า เคยไปเหยียบเท้าใครบ้าง ช่างมันเถอะค่ะ ถือว่าฟาดเคราะห์ไป”
“ยังไงพ่อก็ไม่แจ้งความหรอก พี่ พ่อไม่ชอบไปยุ่งกับตำรวจ” ชินพัฒน์ว่า
ชูชัยออกปากไล่กลายๆ “วันนี้คงต้องปิดร้านแล้ว ค่อยมากินใหม่วันหลัง”
ชูชัยเก็บกวาดร้านต่อโดยไม่สนใจธรรม์อีก
“งั้นพี่กลับก่อนนะ ไงพี่จะขอให้สายตรวจผ่านมาแถวนี้บ่อยๆ” ธรรม์บอก
“ขอบคุณนะคะ พี่ธรรม์” ชนมนพูด
ชินพัฒน์โผล่หน้าแทรกกลางเข้ามา
“นี่ นี่ พี่ธรรม์ไม่ได้สังเกตเห็นว่า พี่ชนแปลกๆไปเหรอ”
ธรรม์มองชนมนอย่างสำรวจตรวจตรา
ธรรม์ยิ้มแล้วชม “ไม่ใส่แว่นแล้วสวยขึ้นนะ”
ธรรม์เดินออกไป ชนมนอดยิ้มเขินไม่ได้ในขณะที่มองตามธรรม์ไป
“เลือกไม่ถูกเลยล่ะซิ ตำรวจหรือเด็กแว้นดี อย่างพี่ชนเนี่ยต้องเลือกแบดบอยแน่ๆ เท่กว่าเยอะ ใช่เปล่าๆ”
“หยุดพูด ! ถ้ายังพูดมากอีก ชั้นจะเตะแก ไอ้ชิน ! ไปช่วยพ่อ ไป”
ชนมนลากคอชินพัฒน์เข้าไปในบ้าน
ตี๋เล็กกับบ๊วยนั่งดูดโอเลี้ยงด้วยความโมโห
“ไอ้ตำรวจบ้า จะโผล่มาเป็นพระเอกทำไมวะ”
“ถ้ามันเป็นพระเอก... เราก็เป็นผู้ร้ายสิ ลูกพี่” บ๊วยว่า
“ก็ใช่น่ะสิ ...” ตี๋เล็กเงื้อมือ “จะพูดทำไม”
“เราเล่นงานพ่อยัยป้าแว่นไม่ได้ งั้นไปเล่นงานคนใกล้ตัวไอ้อิทแทนดีกว่า”
“เออใช่ ดีๆ ยังเหลือใครอีกวะ”
“พ่อไอ้อิทไง” บ๊วยบอก
“เออดี ไป ไปเล่นงานพ่อมันกัน” ตี๋เล็กนึกได้ “ไอ้บ้า พ่อไอ้อิทเป็นตำรวจ เพิ่งวิ่งหนีตำรวจหางจุกตูดมา ยังไม่เข็ดหรือไงวะ”
“เออจริง งั้นไม่ต้องไปเล่นงานใครแล้ว เจ็บตัวเปล่าๆ”
“ใช่ เจ็บตัวจนชั้นจะหมดหล่อแล้วเนี่ย” ตี๋เล็กจับหน้าตัวเอง “ดีนะที่โครงหน้าชั้นดี”
“เหรออ....” บ๊วยทำเสียงไม่เชื่อ ตี๋เล็กมองเขม่นมา “หล่อมาก ลูกเพ่”
“ดีมาก แล้วเราจะทำไงต่อไปดีวะ”
“ผมว่า...เราต้องกลับไปที่จุดมุ่งหมายเดิมของเรานั่นคือ ทำให้ให้น้องมาย่ามาสนใจลูกพี่”
ตี๋เล็กถามต่อ “แล้วไงอีก”
“ลูกพี่ก็เดินหน้าจีบน้องมาย่าจริงจังไปเลย ไม่ต้องไปสนใจไอ้อิทมันแล้วน้องมาย่าเป็นแฟนลูกพี่เมื่อไหร่ ไอ้อิทก็อกหักยับเยิน เท่านี้ลูกพี่ก็ได้ทั้งน้องมาย่าได้แก้แค้นไอ้อิทไปด้วย”
“เออจริง ! ชั้นไม่น่าโง่มาเสียเวลากับไอ้อิทเลย ชั้นนึกออกแล้วว่าจะจีบน้องมาย่ายังไง ลีลาจีบหญิงที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร น้องมาย่าต้องนะจังงัง ยอมเป็นแฟนชั้นแน่ๆ”
ตี๋เล็กหัวเราะร่วนชอบใจ บ๊วยหัวเราะตาม
มณีมันตราเสียบหูฟังเพลงแล้ววิ่งบนลู่วิ่ง ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์เข้ามา มณีมันตรารีบถอดหูฟังแล้วหยิบมือถือที่วางอยู่หน้าเครื่องวิ่งมาดู หน้าจอขึ้นคำว่า “Unknown” มณีมันตราลังเลแต่แล้วก็กดรับอย่างระวังตัว
“สวัสดีค่ะ”
เสียงตี๋เล็กหังเราะดังจากปลายสาย “ฮ่าๆๆ”
“ฮัลโหล.... ใครคะ”
“ฮ่าๆๆ”
มณีมันตรารู้สึกขนลุกขนพองแล้วก็รีบกดปิดโทรศัพท์แล้วมองโทรศัพท์อย่างแหยงๆ
ชนมนรีบร้อนเดินเข้ามาพลางดูนาฬิกาเพราะสายแล้ว อิทธิฤทธิ์นั่งพิมพ์รายงานด้วยโน้ตบุ๊คอย่างตั้งใจมาก
“ขอโทษทีที่มาสาย” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์ยิ้มให้อย่างหล่อ “ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร”
ชนมนชะงักมองหน้าอิทธิฤทธิ์ที่พูดเพราะผิดปกติ อิทธิฤทธิ์รีบลุกขึ้นกุลีกุจอเลื่อนเก้าอี้ให้ แล้วนั่งลงตรงข้าม
“เพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ นั่งพักก่อนนะ ดื่มน้ำเย็นๆ แล้วนี่คุ๊กกี้มะตูมฝีมือป้าหนอม อร่อยมากๆ นี่บอกให้ป้าหนอมทำให้เป็นพิเศษเลยนะเนี่ย”
อิทธิฤทธิ์รินน้ำให้แล้วเลื่อนจานคุ๊กกี้ให้อย่างเอาใจ
“แล้วแผลเมื่อวานเป็นไงบ้าง ยังเจ็บอยู่รึเปล่า”
“ไม่เจ็บแล้วล่ะ ไม่มีแผลอะไรหรอก แค่หัวโน ฟกช้ำนิดหน่อย” ชนมนบอก
“ไหนดูหน่อยซิ”
อิทธิฤทธิ์ขยับเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆ แล้วลูบผมชนมนอย่างเบามือ ชนมนนิ่งอึ้ง แล้วขนลุกไปทั้งตัว
“ต่อไปเธอต้องระวังตัวนะ ชั้นไม่อยากให้ผู้หญิงของชั้นต้องเจ็บตัวอีก”
ชนมนงง “ผู้หญิงของชั้น?”
“ใช่ เธอไง ผู้หญิงของชั้น มาเดี๋ยวชั้นเป่าให้จะได้หายเร็วๆ”
ชนมนเขินมากแล้วก็หันหน้าหนี “มะ...ไม่เป็นไร”
อิทธิฤทธิ์จับคางชนมนให้หันมา “อยู่นิ่งๆสิ”
อิทธิฤทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชนมนเหมือนจะจูบหน้าผาก เขาเข้าไปใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น ชนมนหลับตาปี๋ หน้าแดงและหายใจแรงมาก
“นี่เธอจะไม่ลืมตาดูหน่อยเหรอ”
“ไม่...ไม่อ่ะ”
“ลืมตาหน่อยเถอะน่า”
“ไม่....”
“แล้วจะดูรายงานชั้นได้ยังไงล่ะ”
ชนมนตกใจ “หา!”
ชนมนลืมตาขึ้นมาพบว่าเธอนั่งอยู่ตรงข้ามอิทธิฤทธิ์โดยไม่ได้มีการเป่าแผลใดๆ เพราะเหตุการณ์นั้นเป็นภาพฝันของชนมน
อิทธิฤทธิ์นั่งจ้องหน้าชนมนด้วยท่าทางงงมาก
“เธอเป็นอะไรอ่ะ นั่งหลับตาพริ้มอยู่ได้ รอจูบจากเจ้าชายเหรอ” อิทธิฤทธิ์ถาม
ชนมนกลบเกลื่อนความเขิน “บ้า ชั้น...ชั้น นั่งหลับตาทำสมาธิย่ะ”
“งั้น ถ้ามีสมาธิแล้วก็ช่วยดูรายงานให้ผมหน่อยนะคร้าบ” อิทธิฤทธิ์ยิ้มหล่อ
“แล้ว...ได้หัวข้อแล้วเหรอ” ชนมนถาม
“ได้แล้ว ชั้นเลือกหัวข้อ หลักความยินยอมทางแพ่งและอาญา”
“อืม ก็น่าสนใจดี”
อิทธิฤทธิ์รีบยกโน้ตบุ๊ตเพราะจะย้ายมานั่งข้างๆ เพื่อให้ชนมนอ่านด้วย
“เฮ้ยๆ ไม่ต้อง ไม่ต้อง ชั้นอ่านแบบนี้ได้” ชนมนขยับจอมาอยู่ตรงกลางแบบอ่านจากทั้งสองฝั่งได้
“แต่ย้ายไป เธอจะอ่านสะดวกกว่านะ”
“ชั้นอ่านได้น่า”
ชนมนก้มลงอ่านโน๊ตบุ๊ค อิทธิฤทธิ์ก้มหน้ามาใกล้ๆ เพื่ออ่านด้วยจนหัวชนแทบชนกัน ชนมนเหลือบมองแล้วก็แอบเขิน
ถนอมกับแดงซุ่มดูอยู่หน้าประตูโดยกำลังใช้ไอแพดถ่ายวิดีโออยู่
“ถ่ายวีดิโอ กดตรงนี้ใช่มั้ย แดง” ถนอมถาม
“ใช่ค่ะ ป้าหนอมจะถ่ายไปทำไมคะ” แดงถามกลับ
“ถ่ายเอาไปอวดคุณท่านน่ะสิ คุณท่านจะได้เห็นว่าคุณอิทเปลี่ยนไปแล้ว ขยันเรียนแบบนี้ ป้าหนอมชื่นใจจริงๆ เนี่ยต้องขอบคุณหนูชนเค้านะ”
แดงหัวเราะ “คิกๆๆ เหมาะสมกันนะคะ”
ถนอมดุ “อะไร”
“ดูเองสิคะ ป้าหนอม”
ภาพวีดีโอในไอแพดเป็นชนมนกับอิทธิฤทธิ์ที่อยู่ใกล้ชิดกันมาก
“เพ้อเจ้อน่ะ” ถนอมคิดดูอีกที “แต่ก็จริง”
ถนอมมองจับสังเกตอิทธิฤทธิ์กับชนมนอย่างจริงจัง
ชนมนตั้งใจอ่านรายงานมากและกลับมาเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
“เกือบใช้ได้เลยนะเนี่ย แต่นายควรจะอธิบายความหมายของหลักความยินยอมก่อน แล้วค่อยอธิบายบทบาทของหลักความ แล้วอย่าลืมใส่วัตถุประสงค์ของรายงานด้วย” ชนมนว่า
“โอเคๆ เข้าใจแล้ว เดี๋ยวจะไปแก้ใหม่ แล้วดูนี่ให้หน่อย คดีตัวอย่างที่จะใช้ประกอบรายงาน ใช้ได้หรือเปล่า”
อิทธิฤทธิ์เปิดหนังสือ 2-3 เล่มให้ชนมนดู โดยหน้าที่เปิดให้ดูมีไฮไลท์คดีตัวอย่างให้ดู
“โอ้โห แค่วันเดียว นายหาข้อมูลได้เยอะขนาดนี้เลยหรือ” ชนมนทึ่ง
“ชั้นตั้งใจจะทำรายงานให้เสร็จภายในอาทิตย์นี้ แล้วนี่ข้อสอบที่วันก่อนเธอให้ชั้นไปทำ ชั้นทำเสร็จหมดแล้วนะ เอาล่ะ เรามาเริ่มติวกันเลย”
“ขยันอย่างนี้น่าให้รางวัลจริงๆ” ชนมนบอก
“งั้นวันนี้ขอเลิกเร็วซักชั่วโมงได้มั้ย”
ชนมนยิ้ม “ขอคิดดูก่อน”
ชนมนคลิกดูโน้ตบุ๊คไปเรื่อยๆแล้วเผลอคลิกไปที่เวปไซด์ที่อิทธิฤทธิ์เปิดค้างไว้ซึ่งเป็นเวปไซด์หน้าแฟนเพจของมณีมัยนตราซึ่งเป็นรูปมณีมันตรากับโอเจพร้อมตารางการทำงาน
“15.00 มาย่ากับโอเจถ่ายรูปโปสเตอร์หนัง ห้ามเข้า ส่งกำลังใจไปได้”
ชนมนจ้องอ่านรายละเอียดแล้วหุบยิ้มก่อนจะเปลี่ยนท่าทีแล้วจ้องไปที่อิทธิฤทธิ์
“เอาใจเราเพราะอย่างนี้นี่เอง” ชนมนเสียงเข้ม “ที่ขอเลิกเร็วชั่วโมงนึงน่ะ จะไปไหน”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มประจบและไม่ได้รู้สึกผิดอะไร
“ไปดูมาย่าถ่ายโปสเตอร์ นะๆ วันนี้ขอเลิกเร็วหน่อยนะ”
ชนมนตอบทันที “ไม่ได้”
“ทำไมไม่ได้ ชั้นทำข้อสอบเสร็จแล้ว รายงานก็เริ่มทำแล้ว”
“ไงก็ไม่ได้” ชนมนอ้าง “ชั้นไม่ยอมเสียค่าติวตั้งชั่วโมงหรอก”
อิทธิฤทธิ์ว่าทันที “งก !”
“ใช่ ชั้นงก แล้วจะทำไม”
“ไม่ให้ก็จะไป”
“ก็ลองไปดิ”
“ก็ลองห้ามดิ !”
ชนมนลุกขึ้นประจันหน้ากับอิทธิฤทธิ์
ถนอมกับแดงที่แอบถ่ายวีดีโออยู่ตกใจที่อยู่ดีๆบรรยากาศก็มาคุขึ้นมาเฉยๆ
“อ้าว ไหงกลายเป็นงี้ล่ะ” แดงงง
“สงสัยคู่นี้ดวงจะชงกันแน่ๆ” ถนอมว่า
อิทธิฤทธิ์ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิดไม่ได้ดังใจ
“เอ้า ติวได้ยัง ติวให้เสร็จๆ จะได้จบๆกันไป”
อิทธิฤทธิ์เปิดหนังสือแล้วทำเสียงปึงปัง ชนมนเปิดหนังสือและทำเสียงปึงปังไม่แพ้กัน อิทธิฤทธิ์กับชนมนเงยหน้ามองกันแล้วต่างคนต่างเมินไปทางอื่น
อิทธิพลนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะเป็นประธาน สารวัตรและตำรวจสิบนายนั่งฟังโดยมีเอกสารวางตรงหน้า ธรรม์นั่งเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่หลังห้อง
“จากการบุกจับครั้งที่แล้ว ทำให้พวกแก๊งไอ้เก่งกาจระวังตัวมากขึ้น สายเรารายงานว่า ตอนนี้ไม่มีเบาะแสเลยว่า ไอ้เก่งกาจและลูกน้องหนีไปกบดานที่ไหนบ้าง ตอนนี้เรามีแผนการยังไงต่อไป”
สารวัตรพูด “เราจะเปลี่ยนทีมสายสืบทั้งหมดครับ ท่านผู้การ จากการที่นายเก่งกาจรู้ล่วงหน้าว่ามีการจับกุม น่าจะเป็นเพราะข้อมูลของเรารั่วไหล เราต้องส่งสายสืบทีมใหม่ลงไปแทน เราเพิ่งได้ข่าวใหม่ว่า เอเยนต์ค้ายาทางใต้กำลังติดต่อซื้อยากับนายเก่งกาจ คาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีการเคลื่อนไหวอีก เอเยนต์ทางใต้ที่เรากำลังจับตาอยู่มีนายประกอบ นายวิรัตน์”
สารวัตรลุกขึ้นไปชี้ที่รูปถ่ายขยายจากบัตรประชาชนของเอเยนต์ค้ายา ธรรม์จดข้อมูลทุกอย่างมุ่งมั่น โดยที่อิทธิพลฟังการเสนอแผนการของสารวัตรอย่างตั้งใจ
สารวัตรชี้แผนที่เส้นทางการลำเลียงยา แผนผังบุคคลที่เกี่ยวข้อง อิทธิพลฟังแผนการอย่างพอใจ
“ดี ทำตามแผนการนี้ไปได้เลย แล้วรายงานมาทุกระยะ”
อิทธิพลลุกขึ้นเป็นการบอกให้รู้ว่าเลิกประชุม สารวัตรและตำรวจทั้งหมดรีบลุกขึ้นยืนรอให้อิทธิพลออกไปก่อน ธรรม์รีบเข้าไปหาอิทธิพล
“ท่านผู้การครับ” ธรรม์เรียก
อิทธิพลพยักหน้าอนุญาตให้สารวัตรและตำรวจนายอื่นๆ เดินออกไปก่อน
“มีอะไร”
“ผมขอกลับเข้าไปร่วมทีมคดีพิเศษครับ ครั้งที่แล้วผมได้ทำผิดพลาดไปแต่ผมรับรองว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
“แกยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับคดีใหญ่ๆอย่างนี้”
ธรรม์พูดด้วยความจริงจังมาก “ถ้างั้นคุณพ่อก็ไม่ควรส่งผมไปร่วมทีมตั้งแต่แรก ผมทำผิดครั้งเดียว ทำไมไม่ให้โอกาสผมได้แก้ตัว”
“ชั้นคิดผิดเองที่ดึงแกมาร่วมทำคดีนี้ แกมีความสามารถแต่ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ แยกแยะเรื่องส่วนตัวจากเรื่องงานไม่ได้ ไอ้ความผิดครั้งเดียวของแก เกือบทำให้เราเสียนายตำรวจดีๆไป คดีนี้สำคัญเกินกว่าจะมาเสี่ยงกับตำรวจอ่อนหัดอย่างแก”
“ผมพลาด ผมได้บทเรียนไปแล้ว คุณพ่อไม่ต้องกลัวว่าผมจะพาลูกน้องไปตายเหมือนคุณพ่อหรอกครับ ผมรู้ว่าพ่อเที่ยงธรรมตายเพราะอะไร ผมไม่ทำผิดซ้ำสองตามคุณพ่อแน่”
ธรรม์นิ่งอึ้งตกใจตัวเองเหมือนกันที่โพล่งออกไปแบบนั้น
“ผมขอโทษ..” ธรรม์โพล่งออกมา
อิทธิพลโกรธ “นายธรรม์ ! กลับไปซะ ต่อไปไม่ต้องมาเข้าประชุม ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับคดีนี้อีก ถ้าแกขัดคำสั่งชั้น แกได้ถูกขังลืมแน่”
อิทธิพลเดินออกไปแบบทั้งโกรธทั้งเจ็บที่ถูกสะกิดแผลเก่า ธรรม์นิ่งอึ้งแบบทั้งโกรธอิทธิพลและโกรธตัวเองที่พูดโดยไม่ยั้งคิด
อิทธิฤทธิ์รีบเร่งเดินออกมาจากบ้านพลางใส่เสื้อแจ๊กเก็ตไปด้วย
ชนมนตามมาทันดึงเสื้อแจ๊กเก็ตของอิทธิฤทธิ์ไว้ชนิดที่ไม่ให้ไปง่ายๆ
“เดี๋ยว นายอิท นายยังไปไม่ได้ ชั้นยังติวไม่เสร็จ”
อิทธิฤทธิ์ไม่ฟัง เขาปัดมือชนมนออกไปแล้วตรงไปที่รถมอเตอร์ไซค์ก่อนจะหยิบหมวกกันน็อคขึ้นมา
“นายอิท !”
“ไงชั้นก็ต้องไป ชั้นไม่ไว้ใจไอ้โอเจ มันดูยังไงๆกับมาย่าอยู่ ไม่ต้องห่วงเรื่องค่าติว เอาชั่วโมงติววันนี้ไปทบกับพรุ่งนี้ มีปัญหาอะไรอีกมั้ย”
“มี ! ชั้นเตรียมการสอนมาอย่างดี นายอยากติวก็ติว ไม่อยากติวก็ไปอย่างนี้ แผนการสอนชั้นรวนไปหมด แล้วก็..แล้วก็..”
อิทธิฤทธิ์ถาม “แล้วก็อะไร”
“แล้วก็..เด็กสมองทึบสมาธิสั้นอย่างนาย ติวเกินสามชั่วโมงไม่ไหวแน่แล้วก็..ชั้นเป็นติวเตอร์ ต้องทำตามกฎของชั้น”
“เสียใจด้วย สำหรับชั้น กฎมีไว้ให้แหก ไม่ได้มีไว้ให้ทำตาม”
อิทธิฤทธิ์ใส่หมวกกันน็อคแล้วซิ่งรถออกไปอย่างรวดเร็ว !
“นายอิท” ชนมนเรียก
ถนอมถือถุงคุ๊กกี้เดินอย่างรวดเร็วออกมา
“คุณอิท ! ลืมจนได้” ถนอมบอก
“อะไรหรือคะ ป้าหนอม” ชนมนถาม
“คุ๊กกี้มะตูมของโปรดคุณมาย่าค่ะ สั่งป้าให้ทำตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แล้วก็ลืมเอาไปให้คุณมาย่าจนได้”
ถนอมกลับเข้าบ้านไปอย่างเซ็งๆ
“ของโปรดมาย่า โธ่เอ๊ย...นึกว่าสั่งทำไว้ให้เรา คิดไปเองแท้ๆ บ้าจริง”
ชนมนเซ็งหนักเข้าไปอีก เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้น ชนมนหยิบขึ้นมาดู
“มาย่า..”
ชนมนมองมือถือในมืออย่างไม่อยากจะรับเพราะเจ็บจี๊ดในหัวใจอยู่
มณีมันตราอยู่ในชุดสาวหวานแต่ถือปืนยืนถ่ายรูปกับโอเจอยู่หน้า Screen เป็นฉากผ้าใบสีขาว
เมนี่นั่งเช็คงานในไอแพดอย่างเอาเป็นเอาตาย ช่างภาพกดชัทเตอร์ไม่ได้หยุด สตีฟทำมือทำไม้กำกับภาพไปตลอดเวลา
“บิดตัวไปซ้ายหน่อย อีกหน่อย...โอเจกอดมาย่าทั้งสองมือเลย”
โอเจโอบกอดมณีมันตราแน่นจนมณีมันตราอึดอัด มณีมันตราเอาแขนดันออก
“หายใจไม่ออก”
โอเจทำหน้าไม่พอใจ เขายอมคลายออกให้นิดหน่อยแต่แล้วก็ก้มหน้าเข้ามาแนบใกล้หน้ามณีมันตรา
“หน้าใกล้ไปแล้ว โอเจ เฮ้ย บังหน้ามาย่าหมดแล้ว” สตีฟกำกับ
“คนอยากเห็นผมมากกว่ามาย่าอยู่แล้ว โอเคๆ แบบนี้ได้มั้ย”
โอเจขยับเปลี่ยนท่ากอดแต่ยังคงเอาหน้าแนบชิดหน้ามณีมันตราอยู่ดี
“แบบนี้ดีกว่า”
มณีมันตราหันไปจับหน้าโอเจด้วยสองมือแล้วบีบหน้าโอเจด้วยสองมืออย่างแน่น
“แบบนี้ก็โอเค แต่ทำไมหน้าโอเจบูดเบี้ยวอย่างนั้น” สตีฟถาม
“งั้นแบบนี้ดีกว่า”
พูดจบโอเจก็ดึงหน้าตัวเองหลุดจากมือมณีมันตราออกมาอย่างแรง แล้วเขาก็ก้มจะจูบปากมณีมันตรา มณีมันตรารีบเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
“นี่นาย !”
โอเจกระซิบ “อย่าเล่นตัวได้มั้ย ชั้นเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเอเซียอยากจูบด้วยเธอโชคดีแค่ไหนแล้ว”
“คัทๆๆ !! เฮ้ย หยุดๆ พอๆ หยุดก่อน”
โอเจยังคงพยายามจะจูบมณีมันตรา มณีมันตราดิ้นรนแต่สลัดโอเจไม่หลุด
“ปล่อย !”
อิทธิฤทธิ์พรวดเข้ามากระชากตัวโอเจออกไป
“ผู้หญิงบอกให้ปล่อย ไม่ได้ยินหรือไง”
โอเจงง “อะไรวะเนี่ย”
เมนี่ปรี่เข้ามาห้ามทัพ “อะไรกันคะ อะไรกัน”
“ก็ไอ้เบื๊อกนี่มันลวนลามมาย่า” อิทธิฤทธิ์บอก
“ลวนลามอะไรกัน เค้าถ่ายโปสเตอร์กันอยู่” เมนี่ว่า
“มันพยายามจะจูบมาย่า ไม่เห็นหรือไง”
“ก็คนมันอิน เข้าใจป่าว คนไม่ใช่นักแสดง ไม่เข้าใจหรอก” โอเจมองมณีมันตรา “ถ้าเรื่องมากอย่างนี้ไม่ถ่ายแล้วโว้ย เลิกๆ”
โอเจเดินปึงปังออกไป
“ไอ้ซุปตาร์วีนแตกอีกแล้ว ! ทีนี้ทำไงล่ะ คุณเมนี่” สตีฟถาม
“เมนี่ไปจัดการเอง ส่วนน้องอิท ! ห้ามก่อเรื่องอีกนะคะ”
อิทธิฤทธิ์พูด “ผมไม่ได้ก่อเรื่อง ผมช่วยมาย่านะ”
“ถ้าอยากจะช่วย ก็ช่วยอยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ล่ะก็..ประตูทางออกอยู่ทางโน้นนะ ไอ้น้อง”
สตีฟบอก อิทธิฤทธิ์ฮึดฮัดเพราะไม่พอใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
อิทธิพลเดินเข้ามาในบ้าน ถนอมยิ้มแฉ่งในขณะเดินมาหาและถือไอแพดซ่อนอยู่ด้านหลัง
“วันนี้คุณท่านกลับเร็วจังนะคะ กลับมาเร็วก็ดีแล้ว อิชั้นมีอะไรจะให้ดูค่ะ”
ถนอมชูไอแพดให้ดูแล้วรีบกดเปิดคลิปให้ดู อิทธิพลดูคลิปชนมนกับอิทธิฤทธิ์กำลังติวกันอยู่ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“ให้ชั้นดูทำไม” อิทธิพลถาม
“คุณท่านเห็นมั้ยล่ะคะ ว่าคุณอิทขยันเรียนแค่ไหน” ถนอมบอก
“หนูชนเก่งนะ เอานายอิทอยู่ได้”
“คุณอิทก็เก่งนะคะ อ่านหนังสือกฎหมายเป็นตั้งๆ ทั้งวันทั้งคืน เป็นเด็กดีไม่เกเรเหมือนก่อนแล้ว คุณท่านพูดชมให้คุณอิทได้ยินบ้างก็ดีนะคะ”
“เป็นหน้าที่ของมันที่ต้องตั้งใจเรียนอยู่แล้ว จะต้องชมทำไม”
“ชมแล้ว คุณอิทจะได้มีกำลังใจ”
“ชมแล้วมันจะเหลิงสิไม่ว่า”
“คุณท่านนี่หัวโบราณจริงๆ เด็กยุคนี้ต้องคอยให้กำลังใจเยอะๆ ยิ่งพ่อแม่ชื่นชมเห็นความดีของลูก ลูกก็ยิ่งตั้งใจทำดีมากยิ่งขึ้น”
“พ่อแม่โอ๋ลูกมาก เด็กยุคนี้ถึงได้อ่อนแอเอาตัวเองไม่รอด ต้องคอยให้พ่อแม่ประคบประหงมตลอด เมื่อไหร่จะเข้มแข็งอยู่ได้ด้วยตัวเองก็ไม่รู้”
“อิชั้นเชื่อว่าวันนึงคุณอิทต้องทำได้แน่ค่ะ”
“หวังว่าชั้นคงไม่ตายไปก่อนนะ”
“โถ คุณท่าน ดูพูดเข้า”
“แล้วนี่มันไปไหน รถไม่อยู่”
ถนอมอึกอักเพราะไม่กล้าบอกว่าอิทธิฤทธิ์เลิกเรียนก่อนเวลา
อิทธิพลถาม “มันโดดเรียนอีกแล้วใช่มั้ย”
ถนอมเซ็ง “แค่เลิกเรียนก่อนเวลานิดเดียวเท่านั้นแหละค่ะ อิชั้นไปดูอาหารเย็นก่อนนะคะ”
ถนอมรีบเดินออกไปเพราะรู้สึกขัดใจ อิทธิพลมองไอแพดในมือแล้วกดดูอีกรอบ อิทธิพลยิ้มนิดๆเพราะพอใจที่เห็นอิทธิฤทธิ์ตั้งใจเรียน
โอเจกอดกับมณีมันตราและโพสท่าให้ถ่ายรูป ทั้งสองเปลี่ยนท่าโพสไปเรื่อยๆ ช่างภาพกดชัตเตอร์ไปไม่หยุด สตีฟยืนกำกับอยู่ อิทธิฤทธิ์นั่งสังเกตอยู่อย่างไม่พอใจ ส่วนเมนี่ปักหลักจับจ้องอิทธิฤทธิ์อยู่
“ใกล้กันอีกหน่อย มาย่าอย่าเกร็งซิ ทำตัวสบายๆ เป็นอะไรทำหน้าเหมือนปวดท้องอึตลอดเวลา” สตีฟสั่ง
โอเจกระชับกอดมณีมันตราให้เข้ามาใกล้อีก มณีมันตราอึดอัดใจแต่ก็ฝืนยิ้มและโพสท่าไป
“โอเค ดีๆ”
โอเจกอดมณีมันตราแน่นขึ้นอีกพร้อมๆกับเอาแก้มแนบแก้ม
อิทธิฤทธิ์ไม่พอใจ “มากไปแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ลุกพรวดไปจับหน้าโอเจให้ห่างจากมณีมันตราความกว้างหนึ่งฝ่ามือ
อิทธิฤทธิ์บอก “ใกล้ได้เท่านี้”
“อะไรเนี่ย นี่ถ้าไอ้หมอนี่ไม่เลิกยุ่ง ชั้นจะเลิกถ่ายจริงๆนะ” โอเจบอก
“บอกให้อยู่เฉยๆ ไง น้อง” สตีฟว่า
“ก็มันเอาเปรียบมาย่า”
เมนี่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์
“น้องอิทขา ขอร้องล่ะ อย่าทำตัววุ่นวายได้มั้ยคะ”
“ผมอยู่เฉยไม่ได้หรอก ไม่เห็นเหรอว่า มาย่าอึดอัดใจแค่ไหน”
“เจ้าตัวไม่เห็นพูดอะไรเลย จริงหรือ มาย่า เธออึดอัดใจจริงๆเหรอ” โอเจถาม
“น้องมาย่ามืออาชีพอยู่แล้ว ให้ทำอะไรทำได้หมด เพราะมันเป็นงาน ! ใช่มั้ยค่ะ น้องมาย่า ไม่มีปัญหา ถ่ายต่อได้ใช่มั้ย”
เมนี่จ้องหน้ามณีมันตราอย่างคาดคั้น สตีฟกับโอเจมองมณีมันตราราวกับเป็นตัวต้นเหตุ
มณีมันตราฝืนใจ “ค่ะ ไม่มีปัญหา ถ่ายต่อกันเถอะค่ะ”
“มาย่า !”
“ไปรอข้างนอก ชั้นขอร้อง” มณีมันตรามองนิ่งๆ “ชั้นดูแลตัวเองได้”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งอย่างไม่พอใจ
ชนมนเดินเข้ามาด้วยความมลังเลใจ สตาฟเดินผ่านมา
“พี่คะ เออ..คือ..หนูจะเจอมาย่าได้ที่ไหนคะ หนูไม่ใช่แฟนคลับนะคะ หนูเป็นเพื่อนมาย่า เค้าให้มารับของที่นี่น่ะค่ะ”
“น้องชนใช่มั้ย มาย่าสั่งไว้แล้ว มาย่าอยู่ในสตูแน่ะ เข้าไปได้เลย” สตาฟบอก
“หนูไม่อยากเข้าไปรบกวนการทำงานน่ะค่ะ”
“งั้นน้องก็รอแถวนี้แล้วกัน เดี๋ยวพี่ไปตามพี่เมนี่มาให้”
สตาฟเดินออกไป ชนมนโล่งใจเพราะไม่ต้องเจออิทธิฤทธิ์
“ค่อยยังชั่วหน่อย ไม่ต้องเจอหน้านาย”
ชนมนหันหน้ากลับมาประจันหน้ากับอิทธิฤทธิ์ทันที
“นายอิท !”
“มาได้ไงเนี่ย”
“ยิ่งเกลียดยิ่งเจอ เป็นอย่างนี้นี่เอง” ชนมนว่า
“อย่าบอกนะว่า ตามมาติวชั้นน่ะ”
“ชีวิตชั้นก็มีเรื่องอื่น ไม่ใช่มีแต่เรื่องนาย อย่าสำคัญตัวผิด”
“เออ มาก็ดีแล้ว ช่วยไปเป็นไม้กันหมาแทนชั้นหน่อย เค้าไม่ให้ชั้นเข้าไปข้างในแล้ว”
อิทธิฤทธิ์เอาแขนล็อคคอชนมนให้เดินไปด้วยกัน
“คืออย่างงี้ ไอ้โอเจมันคอยแต๊ะอั๋งมาย่าอยู่เรื่อย เธอไปช่วยกันให้มันห่างๆมาย่าไว้ รู้มั้ย มือมันยังกะปลาหมึก ไว้ใจไม่ได้จริงๆ เธอต้องคอยจับตามันไว้ ถ้ามันทำเกินบทเมื่อไหร่ กระโดดถีบมันอย่างที่เคยถีบชั้นได้เลย ให้มันรู้ว่า มาย่าเป็นของใคร นะๆ ช่วยหน่อยนะ”
ชนมนกล้ำกลืนฝืนทนฟังอิทธิฤทธิ์พูดไปเรื่อยๆ
ธรรม์ที่เปลี่ยนชุดแล้วเดินเหนื่อยๆ มาทิ้งตัวที่โซฟา ธรรม์กดเปิดทีวีอย่างไม่ได้ตั้งใจจะดูอะไร
จอทีวีเป็นมิวสิควีดีโอที่มณีมันตราเป็นนางเอก มณีมันตราส่งสายตาหวานซึ้งมา
“ให้ตายเถอะ”
ธรรม์รีบกดปิดทีวีแล้วหยิบนิตยสารมาดูซึ่งก็เป็นหน้าปกมณีมันตราอีก ธรรม์คว่ำหน้านิตยสารลง
“มาย่า..”
ถนอมถือถาดใส่ถ้วยกาแฟกับจานคุ๊กกี้มะตูมมาเสิร์ฟ
“กาแฟค่ะ แล้วนี่คุ๊กกี้มะตูม..ไม่หวานนะคะ ป้าทำพิเศษไว้ให้คุณธรรม์”
“ของโปรดมาย่า..” ธรรม์คิดในใจว่ามณีมันตราอีกแล้ว
“แล้วต้องเป็นฝีมือของป้าด้วยนะคะ คุณมาย่าเคยบอกว่า คุกกี้มะตูมร้านไหน ก็ไม่อร่อยเท่าฝีมือของป้าหนอม วันๆทำแต่งาน มีเวลากินบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นผอมเอาๆจนป้ากลัวว่าจะไม่สบายไป”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ แฟนคลับมาย่าส่งขนมให้ทุกวัน”
“ขนมแฟนคลับก็สู้ขนมของป้าไม่ได้หรอกค่ะ เวลาป้าส่งขนมไปให้ คุณมาย่าดีใจยังกับได้ทอง บอกว่า รู้สึกดีเหมือนมีญาติผู้ใหญ่คอยส่งกำลังใจไปให้ โถ แม่คุณ อยู่ตัวคนเดียว ญาติพี่น้องก็ไม่มี คงจะเหงาน่าดู”
“ให้มอเตอร์ไซค์ปากซอยเอาไปส่งให้สิครับ” ธรรม์บอก
“ถ้าให้มอเตอร์ไซค์ไปส่ง ไม่ถึงมือคุณมาย่าแน่ คุณอิทไม่น่ารีบร้อนออกไปจนลืมถุงคุ๊กกี้เลย ป้าก็ดันโทรไปบอกคุณมาย่าแล้วว่า จะฝากของโปรดไปให้ คุณมาย่าต้องรอเก้อเลย”
ธรรม์นั่งนิ่งคิดแล้วตัดสินใจ
อิทธิฤทธิ์ล็อคคอชนมนลากตัวมาที่หน้าห้องสตูดิโอถ่ายภาพ
“เข้าไปเลยๆ มาย่าถ่ายรูปอยู่ข้างใน อย่าลืมนะ ห้ามให้ไอ้โอเจเอาหน้าใกล้หน้ามาย่าเกินสามนิ้ว ห้ามกอดนานเกินสามวิ ห้ามหอมแก้ม จับตามันให้ดี มันคอยฉวยโอกาสอยู่ เข้าใจนะ”
ชนมนสะบัดตัวหลุดออกจากอิทธิฤทธิ์
“เข้าใจ แต่ชั้นไม่เข้าไป ชั้นมานี่มีธุระกับมาย่า เสร็จธุระแล้ว ชั้นก็จะกลับ ชั้นไม่ได้มีหน้าที่รับใช้นาย ขอให้รู้ไว้ด้วย” ชนมนบอก
“นี่ชั้นไม่ได้ใช้เธอ ชั้นขอร้องเธอ แล้วนี่เธอมีธุระอะไรกับมาย่า”
เมนี่ถือถุงเสื้อผ้าเต็มสองมือเดินตรงเข้ามา เมนี่เดินหาชนมนจนหงุดหงิดอารมณ์เสีย
“อยู่นี่เอง เดินหาซะทั่ว เอ้า เอาไป”
ชนมนรับถุงเสื้อผ้ามาจากเมนี่แล้วอยากรีบเดินหนีไปเพราะไม่อยากให้อิทธิฤทธิ์รู้ว่ามาเอาเสื้อผ้าจากมณีมันตรา
“เสียดายจริงๆ เสื้อผ้าแพงๆ ทั้งนั้น จ่ายค่าติวไปแล้ว ยังต้องแถมเสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าให้อีก จะคุ้มมั้ยเนี่ย นี่คงเห็นน้องมาย่าใจอ่อนขี้สงสารล่ะสิ ก็เลยออดอ้อนบีบน้ำตาขอโน่นนี่ หน้าด้านขอ ก็ต้องให้ล่ะ” เมนี่ว่า
“หนูไม่เคยขอนะ มาย่าให้หนูมาเอง” ชนมนบอก
“แล้วเธอก็กล้ารับเนอะ รายได้ต่ำแต่รสนิยมสูง ถ้าอยากได้ของแบรนด์เนม ก็ควรจะกระเสือกกระสนหาเงินซื้อเอง ไม่ใช่เที่ยวไปขอคนอื่นแบบนี้ รู้จักอายบ้างก็ดีนะ”
ชนมนทั้งโกรธทั้งอายที่ถูกเมนี่ประจานต่อหน้าอิทธิฤทธิ์ เธอจ้ำเดินออกไปทันที
อิทธิฤทธิ์โกรธแทน “พูดมากเกินหน้าที่ไปแล้วเจ๊ มาย่าจะให้ของใคร เกี่ยวอะไรกับเจ๊ด้วย หวงของเพราะอยากได้เองล่ะซิ อย่าดูถูกคนอื่นนักเลย ดูตัวเองก่อนเหอะ”
“กรี๊ด... กล้าว่าชั้นเหรอ ไอ้เด็กบ้า”
อิทธิฤทธิ์เดินตามชนมนออกไป เมนี่ยืนโกรธอยู่
มณีมันตราเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงหน้ากระจก เธอถอดต่างหูออกแล้วก็ต้องชะงัก
เมื่อเห็นช่อดอกหน้าวัวสีแดงสดวางอยู่ตรงหน้าแล้วติดการ์ดเขียนว่า “ให้มาย่า” มณีมันตราหยิบการ์ดขึ้นมาดูหาชื่อคนที่ส่งมา
“ไม่มีชื่อคนส่ง”
มือถือที่วางอยู่ดังขึ้นเพราะมีSMS ส่งมา หน้าจอขึ้นว่า Blocked มณีมันตรากดดูข้อความพบว่า “เดี๋ยวพบกันนะครับ”
มณีมันตราสงสัย “เดี๋ยวพบกันนะครับ ...ใครนะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ธรรม์เปิดประตูเข้ามาได้จังหวะพอดี
“พี่ธรรม์...”
ธรรม์กับมณีมันตรามองกันนิ่งแล้วต่างคนก็ต่างทำหน้าเฉยชาใส่กัน
มณีมันตราพูดห่างเหิน “มีธุระอะไรหรือคะ”
ธรรม์ยื่นถุงคุ๊กกี้มะตูมให้
“ป้าหนอมทำคุ๊กกี้มะตูมไว้ให้มาย่า แต่ไม่รู้จะส่งให้ได้ยังไง พอดีพี่ต้องมาธุระแถวนี้ ก็เลยแวะเอามาให้”
มณีมันตรารับมา “ขอบคุณนะคะ”
มณีมันตราเปิดดูถุงคุ๊กกี้แล้วก็เผลอยิ้มอย่างดีใจ ธรรม์พลอยยิ้มดีใจไปด้วย มณีมันตราเงยหน้าขึ้นมองแล้วรีบทำหน้าเฉยใส่ ธรรม์คลายยิ้มไปด้วย
“หมดธุระแล้ว พี่กลับนะ”
“เดี๋ยวค่ะ เอ่อ...พี่ธรรม์คงไม่ได้ส่งดอกไม้นี่มาให้ย่าใช่มั้ยคะ”
มณีมันตรามองดอกหน้าวัวอย่างแหยงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าธรรม์ส่งมาหรือเปล่า
“พี่ไม่ได้ส่ง” ธรรม์พูดเพื่อตัดใจ “งานพี่ยุ่งมาก...พี่ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้หรอก”
มณีมันตราเริ่มโกรธ “ย่าไม่น่าถามอะไรโง่ๆ เลย พี่ธรรม์มีงานที่สำคัญกว่า คงไม่เสียเวลาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ แล้วนี่เสียเวลาเอาคุ๊กกี้มาให้ย่าทำไม”
“ทำไมต้องโกรธด้วย”
“แล้วทำไมจะโกรธไม่ได้ ถ้าไม่แคร์กันแล้ว ไม่ต้องมาทำดีด้วย ไม่ต้องมาเจอกัน ต่างคนมีชีวิตของตัวเองไป แล้วนี่มาทำไม มาให้ความหวังย่าอีกทำไม ย่าไม่อยากคิดถึงพี่ธรรม์อีกแล้ว กลับไปเลยค่ะ ย่าไม่อยากเห็นหน้าแล้ว”
ธรรม์โพล่ง “พี่ก็อยากลืมหน้าย่าเหมือนกัน แต่พี่ทำไม่ได้”
มณีมันตรานิ่งอึ้งเพราะเกือบๆ จะใจอ่อนกับธรรม์ที่ดูเก็บกดอารมณ์
ชนมนถือถุงเสื้อผ้าเต็มสองมือเปิดประตูเข้ามา
“มาย่าอยู่นี่หรือเปล่าคะ อ้าว พี่ธรรม์”
อิทธิฤทธิ์ตามเข้ามาเห็นธรรม์ก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมาทันที
“มาทำไม” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ป้าหนอมให้เอาคุ๊กกี้มาให้มาย่า” ธรรม์ตอบ
“ให้แล้ว ก็กลับไปดิ”
“พี่ธรรม์อยู่ก่อนได้มั้ยคะ เดี๋ยวชนขอติดรถกลับไปด้วย” ชนมนบอก
“เดี๋ยวชั้นไปส่งเธอเอง”
“ไม่ต้องอยู่ปกป้องมาย่าจากไอ้มือปลาหมึกหรือไง” ชนมนถาม
“แล้วทำไมต้องกลับกับมันด้วย”
เมนี่หน้าตาตื่นวิ่งเข้ามา
“น้องมาย่า ! หมวดธรรม์ ! ดีใจจริงๆที่หมวดมา มีใครไม่รู้ส่ง..ส่ง..ไปดูเองเถอะ เร็วๆค่ะ”
ทุกคนมองเมนี่อย่างประหลาดใจ
กล่องของขวัญสีดำทะมึนผูกด้วยโบว์สีดำติดรูปกะโหลกสีขาววางอยู่กลางฉาก
ทุกคนยืนจ้องมองกล่องของขวัญประหลาดด้วยใจระทึก
“ไอ้กล่องบ้านี่มาจากไหนก็ไม่รู้ อยู่ๆก็มาตั้งอยู่ตรงนี้ ถามใคร ก็ไม่มีใครรู้ใครเห็น” เมนี่ว่า
ธรรม์เดินไปหยิบการ์ดที่ติดอยู่ที่กล่องมาดู
“ระวังนะคะ” ชนมนเตือน
“การ์ดเขียนว่า “ให้มาย่า” สงสัยเป็นของแฟนคลับล่ะมั้ง เด็กพวกนี้จริงๆเลยนะ ไม่รู้หรือไงว่า ทำให้คนอื่นเดือดร้อน” ธรรม์ว่า
มณีมันตรางอน “แฟนคลับของย่า งั้นย่าต้องเป็นคนรับผิดชอบใช่มั้ยคะ งั้นย่าเปิดเอง จะได้รู้ๆกันไปว่า ข้างในมันเป็นอะไร”
“อย่านะ ย่า ชั้นเปิดให้เอง”
มณีมันตราไม่ฟัง เธอเปิดฝากล่องออกทันที ทันใดนั้นหัวใจติดสปริงก็เด้งออกมาใส่หน้าเธอ มณีมันตราตกใจร้องกรี๊ดแล้วถอยหลังไปหาธรรม์ ธรรม์รีบดึงมณีมันตราออกมาห่างๆ ทุกคนผงะตกใจพร้อมกัน เมนี่กับโอเจกระโดดกอดกันกลมแล้วร้องกรี๊ดๆ
“พอได้แล้ว ! ไม่ใช่หัวใจจริงๆ ! ลืมตาดู”
เมนี่กับโอเจหุบปากแล้วมองหน้ากันก็เห็นว่ากำลังกอดกันอยู่ ทั้งสองผละออกจากกันแทบไม่ทัน
อิทธิฤทธิ์หยิบหัวใจจำลองสีแดงดูน่าสยองที่พื้นมาดู ที่หัวใจจำลองมีกระดาษโน้ตติดอยู่เขียนว่า “หัวใจผมอยู่ที่คุณ”
อิทธิฤทธิ์อ่าน “หัวใจผมอยู่ที่คุณ..”
“ใครเล่นบ้าๆ อย่างนี้” ชนมนไม่พอใจ
มณีมันตราเริ่มกลัวขึ้นมาแล้วเธอก็ลืมตัวจึงจับแขนธรรม์ไว้แน่นเหมือนเป็นที่พึ่ง
ตี๋เล็กกับบ๊วยที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดหัวชนกัน
ตี๋เล็กหัวเราะคิกๆ “โรแมนติกมั้ยวะ”
“ผมว่า ดูโรคจิตออกนะ” บ๊วยบอก
“ไอ้บ้า โรคจิตตรงไหน น่ารักจะตาย เดี๋ยวคอยดูแผนต่อไปเถอะ หึๆๆ”
“โรคจิตกว่านี้อีกเหรอครับ”
“ใช่... เฮ้ย ไม่ใช่ น่ารักกว่านี้ต่างหาก”
ตี๋เล็กหัวเราะคิกๆ อย่างมีความสุขเพราะนึกว่าทำให้มณีมันตราประทับใจ
อิทธิฤทธิ์ตรงไปหาโอเจที่ถอยกรูดไปจนชนเข้ากับสตีฟ
“ฝีมือแกใช่มั้ย” อิทธิฤทธิ์คาดคั้น
“เฮ้ย เปล่า ถ้าเป็นของชั้น ชั้นจะตกใจเองทำไมล่ะ” โอเจบอก
“ไม่ใช่โอเจหรอก มัน..เอ๊ย เค้าซ้อมบทกับผมอยู่ที่ห้องแต่งตัว” สตีฟบอก
ทุกคนนิ่งอึ้งมองหน้ากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำยังไงดี
“ระยะหลังนี่ย่าเจอใครหรืออะไรแปลกๆ บ้างหรือเปล่า” ธรรม์ถาม
“เมื่อวานมีคนโทรมาแต่ไม่พูดเอาแต่หัวเราะ แล้วก็มีแมสเสจแปลกๆส่งมาตลอดเลยค่ะ เป็นเบอร์บล็อก ก็เลยไม่รู้ว่า ใครเป็นคนส่ง เมื่อกี้ก็เพิ่งได้ดอกหน้าวัวสีเหมือนเลือดเลยล่ะค่ะ”
“ตายแล้ว พวกโรคจิต! ทำไมไม่บอกพี่เมนี่คะ”
“ก็หนูกลัวทุกคนจะเป็นห่วง..แล้วก็คิดว่า ไม่น่าจะมีอะไร” มณีมันตราบอก
โอเจโวยวาย “อย่างนี้ยังบอกว่าไม่มีอะไรอีกเหรอ บอดี้การ์ด! คุณเมนี่ เรียกบอดี้การ์ดผมมาเดี๋ยวนี้”
“ส่งกลับเกาหลีไปหมดแล้วค่ะ คุณสุวิชบอกเปลืองงบ” เมนี่บอก
“แล้วทำไงดี ไอ้พวกโรคจิตมันต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ”
โอเจกระโดดเกาะหลังอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์สะบัดโอเจออกไปอย่างรำคาญ
“เฮ้ย อย่าบ้านักเลย ไม่มีใครทำอะไรแกหรอก”
“ทุกคนอย่าเพิ่งกลัวกันไปเลย มันคงไปแล้วมั้งคะ” ชนมนบอก
เสียงสัญญาณแมสเสจโทรศัพท์ของมาย่าดังขึ้น
เมนี่กับโอเจร้องออกมา “ว้าย !”
มณีมันตราหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาดู
เมนี่ผวา “อย่าค่ะ อย่าเปิดดู อาจจะเป็นไอ้โรคจิตส่งมา”
มณีมันตราไม่ฟัง เธอกดเปิดดู ทุกคนเข้าไปรุมดูโทรศัพท์เห็นเป็นรูปมณีมันตรากับธรรม์ขณะเดินออกมาจากห้องแต่งตัว
“รูปนี้ถ่ายเมื่อกี้นี้เองนี่คะ แสดงว่าพวกมันยังอยู่ที่นี่” มณีมันตราบอก
เสียงสัญญาณแมสเสจโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
เมนี่กับโอเจร้องออกมาอีก “ว้าย !”
มณีมันตราเปิดดูก็เห็นข้อความ “คุณต้องเป็นของผมคนเดียว ใครก็ห้ามไม่ได้”
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงดัง “ชั้นนี่แหละจะห้ามแกเอง ไอ้โรคจิต”
เมนี่เสียงดังแบบสั่นๆ “แล้วก็มีหมวดธรรม์อีกคนด้วย”
เสียงสัญญาณแมสเสจโทรศัพท์ดังขึ้นอีก
เมนี่กับโอเจร้องออกมา “ว้าย !”
“เฮ้ย ! พอได้แล้ว”
มณีมันตราเปิดดูเจอข้อความ “ไอ้สองคนนี้ก็ห้ามไม่ได้” พร้อมกับรูปแอบถ่ายอิทธิฤทธิ์และธรรม์
ที่ยืนมองกล่องของขวัญสีดำและถูกแต่งภาพให้น่าเกลียดๆ
“เฮ้ย ! มันอยู่ที่นี่แน่ๆ แล้วก็อยู่ใกล้ๆ ด้วย” โอเจว่า
เสียงปึงปังเหมือนมีคนอยู่ในมุมมืดในมุมไกลๆของสตูดิโอดังขึ้น
เมนี่กับโอเจร้อง “ว้าย ! มันอยู่โน่นๆ”
“อิท พาทุกคนไปที่ห้องแต่งตัว” ธรรม์ส่ง
ธรรม์วิ่งไปทางต้นเสียง โดยที่ชนมนรีบวิ่งตามไปด้วย สตีฟ โอเจและเมนี่วิ่งแข่งกันออกไปที่ห้องแต่งตัวทันที
อิทธิฤทธิ์รีบพามณีมันตราเดินออกไป มณีมันตราพะว้าพะวงมองตามธรรม์อย่างเป็นห่วง
ธรรม์วิ่งนำชนมนมาถึงที่มีกองอุปกรณ์ไฟกองอยู่ ธรรม์หันไปเห็นชนมนวิ่งตามมาติดๆ
“ตามมาทำไม” ธรรม์ถาม
“ก็มาช่วยพี่ธรรม์จับไอ้โรคจิตน่ะซิคะ” ชนมนบอก
“กลับไป เดี๋ยวจะเป็นอันตราย”
“ชนช่วยพี่ธรรม์ได้ เชื่อสิ”
ธรรม์มองกองอุปกรณ์ไฟที่หล่นกระจายอยู่แล้วพูด
“เสียงมันมาจากตรงนี้”
ธรรม์เห็นเงาคนอยู่ด้านหลังกองลังที่สูงท่วมหัว
“ใครอยู่ตรงนั้น!?” ธรรม์ถาม
เด็กยกไฟรีบผลุนผลันหนีไปโดยเร็ว ธรรม์กับชนมนรีบไล่ตาม
เด็กไฟวิ่งเข้ามาในโกดังใหญ่ซึ่งเก็บเครื่องมืออุปกรณ์ขนาดใหญ่ ชนมนกับธรรม์วิ่งตามเข้ามาติดๆ
ชนมนและธรรม์รีบเดินสอดส่องตามหลืบมุมและหลังกล่องอุปกรณ์ต่างๆ เด็กยกไฟหนีหลบแว้บไปแว้บมาอย่างรู้ทาง ธรรม์กับชนมนไล่ตามไม่ทัน
ธรรม์ชี้มือให้ชนมนไปดักทางขวา ชนมนเดินไปตามที่ธรรม์สั่ง ชนมนไล่ต้อนจนเด็กยกไฟต้องหลบมาอีกทาง เด็กยกไฟวิ่งหนีมาเรื่อยๆ ธรรม์โผล่พรวดมาขวางทางไว้ เด็กยกไฟถอยหนี กล่องกระดาษร่วงหล่นจากชั้นสูงใส่ตัว ชนมนเดินออกมาหลังจากที่ทำกล่องหล่นใส่ ธรรม์เข้าไปจับตัวเด็กยกไฟขึ้นมา
“พี่อย่าจับผมเลย ผมขอโทษครับ ผมจะไม่ทำอีกแล้ว”
“แกใช่มั้ยที่ส่งของขวัญบ้าๆให้มาย่า” ธรรม์ถาม
เด็กยกไฟพูดตะกุกตะกัก “ของขวัญอะไร ผมไม่รู้เรื่อง”
“แกไม่ใช่แฟนคลับของมาย่าเหรอ” ชนมนถาม
“ไม่ใช่ครับ ผมทำงานที่นี่ ผมเป็นเด็กยกไฟครับ”
“แล้ววิ่งหนีทำไม”
“คือ..คือผมแอบดูดบุหรี่อยู่น่ะครับ เจ้านายสั่งห้ามไว้ ใครดูดบุหรี่ในสตูฯ เจอปรับพันนึง อย่าบอกเจ้านายผมนะครับ ไม่งั้นผมถูกไล่ออกแน่” เด็กยกไฟบอก
เด็กยกไฟยกมือไหว้ท่วมหัว ธรรม์ค้นตัวหยิบซองบุหรี่ออกมาขยำแล้วทิ้งในถังขยะ
“อย่าให้มีคราวหลังอีกนะ แล้วบุหรี่ก็เลิกซะ”
ธรรม์กับชนมนมองหน้ากันอย่างเซ็งๆ
อิทธิฤทธิ์ยืนเฝ้าอยู่ที่ประตูเพื่อคอยระวังให้มณีมันตราที่นั่งไม่เป็นสุขเพราะเป็นห่วงธรรม์
เมนี่กับโอเจหวาดผวาเกาะกันอยู่ที่มุมห้อง สตีฟเก็บข้าวของใส่กระเป๋าอย่างรีบเร่ง
“คุณสตีฟ ! จะไปไหนคะ เรายังถ่ายกันไม่เสร็จ” เมนี่ถาม
“ถ่ายต่อยังไง ช่างภาพหนีกลับไปแล้ว ผมก็ไม่เอาด้วยเหมือนกัน” สตีฟบอก
“อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนซิคะ”
“ไม่ล่ะ ตอนนี้คงต้องตัวใครตัวมันแล้ว ทำงานประสาอะไร ปล่อยให้คนโรคจิตมาเพ่นพ่านได้”
สตีฟอารมณ์เสียในขณะที่เดินออกไป
“แล้วชั้นอยากให้มีคนโรคจิตมาเพ่นพ่านหรือไง ทำไงดีเนี่ย งานก็ไม่เสร็จ อาเจ็กสุวิชได้ด่าแน่ๆ” เมนี่กลุ้มใจ
“เราก็กลับกันด้วยดีกว่า จะรออะไรอยู่ ประสาทจะกินอยู่แล้ว” โอเจบอก
“ก็รถยังไม่มา จะกลับกันยังไงล่ะ ! ไม่ต้องกลัว หมวดธรรม์ต้องจับไอ้โรคจิตได้อยู่แล้ว”
“แล้วแน่ใจหรือว่า มันจะมาคนเดียว มันอาจจะมากันเป็นแก๊ง มีปืนมีมีดหรือมีระเบิดก็ได้ มันเป็นโรคจิต มันจะทำอะไรก็ได้ วันนี้เราต้องออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ๆ”
“นั่นน่ะสิ”
โอเจกับเมนี่ขยับเข้ามาใกล้ด้วยความกลัว มณีมันตรายิ่งเป็นห่วงธรรม์มากขึ้นทุกที
“ชั้นออกไปดูพี่ธรรม์ดีกว่า”
“ชั้นไปเอง เธออยู่นี่แหละ ห้ามออกไปไหน” อิทธิฤทธิ์สั่ง
มณีมันตราไม่ยอมฟัง เธอเดินออกไปด้วย
“แต่ชั้นจะไป”
“มาย่า !”
“ถ้าเธอทิ้งชั้นไว้ที่นี่ แล้วไอ้โรคจิตเข้ามา เธอคิดว่า สองคนนี้จะคุ้มกันชั้นได้เหรอ”
อิทธิฤทธิ์มองสภาพโอเจกับเมนี่ที่หน้าซีดปากสั่นอยู่
อิทธิฤทธิ์ยอม “ไปด้วยกันก็ได้ แต่เธอต้องอยู่ข้างชั้นตลอดเวลานะ”
“ไม่ได้นะ น้องมาย่าไปไม่ได้นะ” เมนี่บอก
โอเจฉุดมือเมนี่ไว้
“ให้มาย่าไปน่ะดีแล้ว ไอ้โรคจิตมันต้องการตัวมาย่า ไม่ใช่เรา มาย่าอยู่ห่างๆ เราไว้ เราก็จะได้ปลอดภัยไงล่ะ” โอเจบอก
เมนี่เห็นด้วย “มันก็จริงนะ..”
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเหล่มองโอเจกับเมนี่ที่เห็นแก่ตัวกันจริงๆ อิทธิฤทธิ์พามณีมันตราออกไป อิทธิฤทธิ์แกล้งเขี่ยเก้าอี้ให้ล้มดังปัง เมนี่กับโอเจผวากอดกันกลม
เมนี่กับโอเจร้อง “ว้าย !”
อิทธิฤทธิ์พามณีมันตราออกไปจากห้อง
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเดินออกมาตามหาธรรม์กับชนมน
ตี๋เล็กแอบมองอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราที่มองไปรอบๆ อย่างไม่รู้จะไปตามที่ไหน อิทธิฤทธิ์หันขวับเมื่อรู้สึกว่ามีใครแอบจ้องมาอยู่
“ใครน่ะ !”
ตี๋เล็กกับบ๊วยที่ใส่หน้ากากพุ่งออกจากที่ซ่อนไปหลบหลังเสา
อิทธิฤทธิ์ร้องเรียก “เฮ้ย ! หยุด”
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งจู๊ดออกไปทันที มณีมันตราดึงอิทธิฤทธิ์ไว้
“ต้องเป็นไอ้โรคจิตแน่ !”
“มันอาจจะมีอาวุธก็ได้ เราไปตามพี่ธรรม์มาดีกว่า” มณีมันตราบอก
“ชั้นจับมันเองได้น่า ไม่ต้องไปพึ่งไอ้ธรรม์มันหรอก เธอรออยู่นี่นะ”
“ไม่ ชั้นก็อยากรู้ว่า พวกมันเป็นใคร”
อิทธิฤทธิ์วิ่งออกไป มณีมันตรารีบตามไปติดๆ
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหน้าตั้งลับมุมตึกไป อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราวิ่งไล่ตามมาเหลียวซ้ายมองขวาแล้วก็หาไม่เจอ
“เห็นมั้ย ! มัวแต่ชักช้า มันหนีรอดไปได้แล้ว”
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งออกมาพลางทุ่มเถียงกันตลอดทาง
“ไอ้โง่เอ๊ย นั่นมันทางตัน !” ตี๋เล็กว่า
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันมาประจันหน้ากับอิทธิฤทธิ์และมณีมันตรา ตี๋เล็กกับบ๊วยตกใจรีบเอามือปิดหน้าแล้วก็นึกได้ว่าใส่หน้ากากอยู่
อิทธิฤทธิ์ด่า “ไอ้โรคจิต !”
ตี๋เล็กดัดเสียง “แกสิไอ้โรคจิต”
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหนีไปโดยเร็ว อิทธิฤทธิ์วิ่งไล่กวด มณีมันตราวิ่งตามด้วยเพราะรองเท้าส้นสูงทำให้เธอสะดุดหกล้ม
“อิท !”
อิทธิฤทธิ์ชะงักแล้วหันกลับมาช่วยดึงตัวมณีมันตราให้ลุกขึ้น อิทธิฤทธิ์พามณีมันตราวิ่งตามไป
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดหลบที่มุมตึก
“ลูกพี่ หาที่หลบดีกว่า” บ๊วยบอก
“เอาสิ เหนื่อยจะตายแล้ว”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหันซ้ายหันขวาแล้วก็เห็นกองกล่องที่มีผ้าใบคลุมอยู่ ทั้งสองมุดเข้าไปซ่อนใต้ผ้าใบผืนใหญ่ อิทธิฤทธิ์กับมณ๊มันตราวิ่งมาถึงก็ไม่เห็นใครแล้ว
อิทธิฤทธิ์เจ็บใจ “โธ่เว้ย !”
“กลับกันเถอะ พวกมันคงหนีไปได้แล้ว” มณีมันตราบอก
“เกือบจับตัวได้แล้วเชียว”
“กลับกันเถอะน่า โมโหไปก็ไม่มีประโยชน์”
มณีมันตราดึงตัวอิทธิฤทธิ์ให้เดินไป ตี๋เล็กและบ๊วยที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าใบพากันหัวเราะคิกคัก
“ไอ้โง่ !”
“ไอ้เซ่อ !”
ตี๋เล็กกับบ๊วยนึกว่าอิทธิฤทธิ์ไปแล้วจึงค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากผ้าใบ
ตี๋เล็กหัวเราะคิกๆ “ไอ้อิทนี่ โง่ของจริงเลย”
บ๊วยหัวเราะคิกๆ “แค่นี้ก็หาไม่เจอ”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหยุดหัวเราะกึกเมื่อเห็นอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรายืนห่างออกไปและหันกลับมาจ้องมองพวกเขาเขม็ง
“เผ่นเร็ว ลูกพี่”
ตี๋เล็กกับบ๊วยรีบมุดออกจากผ้าใบแล้ววิ่งลุกลี้ลุกลนออกไป บ๊วยวิ่งไปที่บันไดหนีไฟที่อยู่นอกอาคารแล้วรีบปีนขึ้นไป โดยมีตี๋เล็กปีนตาม
อิทธิฤทธิ์รีบวิ่งตามมาที่บันไดหนีไฟ มณีมันตราวิ่งตามมาแบบโขยกเขยกเล็กน้อย ตี๋เล็กและบ๊วยปีนไปหายไปบนตึก อิทธิฤทธิ์รีบปีนบันไดหนีไฟตามไป
“อิท ! อย่าตาม ! มันอันตราย” มณีมันตราร้องบอก
อิทธิฤทธิ์ไม่สนใจฟัง เขาตั้งใจปีนอย่างรวดเร็วจนหายไปบนตึกอีกคน มณีมันตราตัดสินใจปีนตามอย่างทุลักทุเลเพราะใส่รองเท้าส้นสูง ปลายกระโปรงยาวพันเข้ากับรองเท้าทำให้มณีมันตราก้าวพลาดจนร่วงหล่นลงมา
“อิท!!!”
มณีมันตรากลิ้งหลุนๆ ตามบันไดยาวมาหยุดอยู่ที่พื้นแล้วแน่นิ่งไปอย่างน่าใจหาย
อิทธิพลจิบกาแฟหลังอาหาร ถนอมรินน้ำให้อิทธิพลพลางมองแดงที่เก็บโต๊ะอยู่แบบอยากให้ออกไปเร็วๆ
“เก็บให้มันเร็วๆ หน่อย อ้อยสร้อยจริงๆเชียว” ถนอมว่า
ถนอมช่วยเก็บจานชามให้แล้วดันหลังแดงให้ออกไปเร็วๆ
แดงกระซิบ “กลัวหนูรู้ความลับเหรอ อย่านึกว่าไม่รู้นะคะ”
แดงยกถาดจานชามออกไป อิทธิพลมองถนอมอย่างรู้ทัน
“เรื่องนายอิทอีกล่ะสิ”
“ค่ะ ก็เรื่องคุณอิทน่ะซิคะ จะมีเรื่องใครอีก คุณท่านคะ คุณอิทตั้งใจเรียนแบบนี้ ยังไงก็ต้องสอบผ่านแน่นอนเลยนะคะ”
อิทธิพลไม่เข้าใจ “แล้วยังไง”
“คุณท่านสัญญาอะไรไว้กับคุณอิท จำได้ใช่มั้ยคะ คุณท่านโทรบอกคุณผู้หญิงหรือยังเรื่องที่คุณอิทจะไปหา แล้วคุณผู้หญิงว่ายังไงบ้าง แล้วคุณท่านจะให้คุณอิทไปเมื่อไหร่ แล้วจะให้คุณอิทไปคนเดียว หรือคุณท่านจะไปด้วยคะ”
“ยัง..”
“ยังอะไรคะ คุณผู้หญิงยังไม่รับปากหรือไงคะ” ถนอมถาม
“ยังไม่ได้โทรคุย”
“อ้าว! นี่คุณอิทใกล้จะสอบแล้วนะคะ”
อิทธิพลทำเฉย “ไว้ให้รู้ผลสอบก่อนเถอะ ไว้โทรไปตอนนั้นก็ยังไม่สาย”
“ทำใจเย็น เดี๋ยวมีปัญหาทีหลัง จะหาว่าอิชั้นไม่เตือนไม่ได้นะคะ” ถนอมว่า
ถนอมเดินออกไปอย่างขัดใจ อิทธิพลหน้าเครียดเพราะแอบหนักใจอยู่เหมือนกัน
อิทธิฤทธิ์ไล่ตามตี๋เล็กและบ๊วยอยู่ ตี๋เล็กกับบ๊วยกระโดดข้ามไปอีกตึกที่อยู่ติดกันต่อไปอีกหลายตึก“หยุดนะ !”
ตี๋เล็กดัดเสียง “ไม่หยุดโว้ย”
“ชั้นบอกให้หยุด”
ตี๋เล็กลืมดัดเสียง “หยุดก็โดนจับสิวะ”
“เออใช่ ใครจะหยุดให้โง่”
ตี๋เล็กกับบ๊วยหยุดวิ่งแล้วตะโกนพูดกับอิทธิฤทธิ์ แล้วก็นึกได้ว่าหยุดยืนอยู่จึงรีบวิ่งไปต่อ ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหนีมาเจออีกตึกที่สูงกว่าก็ปีนไต่ข้ามไป
“ชั้นบอกให้หยุด”
อิทธิฤทธิ์วิ่งตามตี๋เล็กและบ๊วยต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ชนมนกับธรรม์เร่งรีบเดินมาเห็นมณีมันตราที่นอนอยู่ที่พื้นกำลังค่อยๆขยับตัวลุกขึ้น
“มาย่า !”
ธรรม์รีบเข้าไปประคองมณีมันตราขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น” ธรรม์ถาม
“ตกบันไดน่ะค่ะ ย่าไม่เป็นไรมากหรอกค่ะ รีบไปช่วยอิทเร็วเข้า”
“แล้วอิทอยู่ไหนล่ะคะ” ชนมนถาม
มณีมันตราชี้ไปบนตึก “ตามไอ้โรคจิตไปบนโน้นค่ะ”
“พี่ธรรม์ไม่ต้อง ไปดูแลมาย่าเถอะ ชนไปเองค่ะ”
ชนมนรีบปีนบันไดขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ธรรม์ละล้าละลังแล้วก็ตัดสินใจอยู่กับมณีมันตรา
“ลุกไหวมั้ย” ธรรม์ถาม
“ไหว บอกแล้วว่า ไม่เป็นไรไง ไม่ต้องค่ะ”
มณีมันตราปัดมือธรรม์ออกเพราะไม่ยอมให้พยุง เธอก้าวเดินออกไปแต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย !”
“ทำเก่งแล้วเป็นไงล่ะ”
“ไงก็ไหว ไม่ต้องให้ใครช่วย”
“อย่าดื้อดีกว่าน่า”
ทันใดนั้น ธรรม์ก็อุ้มมณีมันตราเดินออกไป มณีมันตราทำเมินไม่ยอมมองหน้าธรรม์ มณีมันตราทนไม่ไหวจึงลอบหันมามองธรรม์ ธรรม์ก้มหน้ามาจะถามมณีมันตราพอดีทำให้จมูกแทบชนกันและหน้าเข้ามาใกล้ชิดกันมาก
ธรรม์เอ่ยถาม “เจ็บมากมั้ย”
ทั้งสองชะงักสบตากันชั่วอึดใจ
“เจ็บค่ะ..แต่ไม่เป็นไร” มณีมันตราตอบ
มณีมันตราเขินมากจนต้องเมินหน้าหนี ธรรม์อุ้มมณีมันตราไว้อย่างเป็นห่วงที่สุดในโลก
ตี๋เล็กและบ๊วยหนีสุดชีวิตกระโดดข้ามตึกมาจนสุดทางซึ่งถ้าจะหนีก็ต้องกระโดดไปอีกตึกที่ห่างกับตึกที่อยู่ไกลอย่างที่ไม่น่าจะกระโดดข้ามไปได้
“ไงดีลูกพี่” บ๊วยถาม
“โดดสิวะ” ตี๋เล็กตั้งท่าเตรียมจะกระโดด
“ไม่ดีมั้งครับ คนนะไม่ใช่แมว ขืนตกลงไปร่างเละ ศพไม่สวยนะ ลูกพี่”
เสียงอิทธิฤทธิ์ดังขึ้น “แกหนีไม่พ้นหรอก ไอ้โรคจิต”
“ยังไงก็ต้องโดด !” ตี๋เล็กยืนยัน
ตี๋เล็กดึงบ๊วยกระโดดออกไปอย่างน่าหวาดเสียว
ตี๋เล็กกับบ๊วยร้องเสียงหลง “อ๊าก!”
อิทธิฤทธิ์กระโดดข้ามตึกมาจนสุดทาง เขาเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นใคร เมื่อมองไปยังตึกถัดไปก็คิดว่าคนร้ายต้องกระโดดข้ามไปยังตึกนั้นแน่ๆ อิทธิฤทธิ์ถอยหลังเตรียมวิ่งกระโดดข้ามไป แต่ก็ออกวิ่งไปได้แค่ 2-3 ก้าวเท่านั้น
ชนมนร้องเสียงดัง “อิท อย่า!”
ชนมนวิ่งเข้าคว้าตัวอิทธิฤทธิ์ไว้จนล้มกลิ้งไปด้วยกัน
อิทธิฤทธิ์ลุกขึ้นนั่ง “ห้ามทำไม”
“อยากตายหรือไง ไกลขนาดนั้น ไงก็โดดไม่พ้น” ชนมนว่า
“ไอ้โรคจิตโดดหนีไปได้ ชั้นก็ต้องโดดได้เหมือนกัน”
“โดดไป นายได้ตกลงไปคอหักตายแน่”
“ไม่ต้องมายุ่ง ! ชั้นต้องจับมันให้ได้”
อิทธิฤทธิ์ตั้งท่าจะกระโดดอีกแต่แล้วก็ต้องชะงัก
“นายกำลังต้องการพิสูจน์อะไร” ชนมนถาม “พิสูจน์ว่านายแน่กว่าพี่ธรรม์งั้นหรือ ไอ้ความบ้าระห่ำของนาย ไม่ได้พิสูจน์ว่านายเก่งกล้าเลยนะ แต่มันบอกถึงความโง่เง่าของนาย!”
“โง่เง่ายังไง ชั้นกำลังช่วยจับไอ้โรคจิตอยู่ ถ้าไม่จับมันเข้าคุก ต่อไปมาย่าก็อยู่ไม่เป็นสุขแน่”
“นายเป็นห่วงมาย่ามากนักใช่มั้ย แล้วรู้มั้ยว่า ตอนนี้มาย่าอยู่ไหน”
อิทธิฤทธิ์เพิ่งนึกถึงมณีมันตรา เขาตกใจที่ไม่เห็นมณีมันตราตามขึ้นมา
“ถ้านายเป็นห่วงมาย่าจริงๆ นายก็ต้องคอยปกป้องดูแลมาย่า ไม่ใช่มาวิ่งไล่จับคนร้ายเป็นบ้าเป็นหลังอย่างนี้ อยากโดดก็โดดไปเลย อย่างมากก็แค่ตาย ! ไม่ต้องสนใจหรอกว่าใครจะเป็นห่วง” ชนมนว่า
ชนมนเดินออกไปด้วยความโมโห อิทธิฤทธิ์ยอมฟังและถอยกลับออกมา ชนมนหันไปมองอิทธิฤทธิ์ที่เดินตามหลังมา
อิทธิฤทธิ์เอ่ยถาม “มาย่าไม่เป็นไรใช่มั้ย”
ชนมนไม่ตอบแต่เดินดุ่มๆ ออกไป อิทธิฤทธิ์รีบเดินตามไป
สองมือมอมๆ ของตี๋เล็กกับบ๊วยโผล่มาเกาะขอบตึก ตี๋เล็กกับบ๊วยโผล่หน้าพ้นขอบตึกมาได้แค่ครึ่งคืบ
ทั้งสองทำหน้าเหยเกด้วยความทรมาน ตี๋เล็กกับบ๊วยเกาะอยู่ที่ขอบตึกในสภาพห้อยต่องแต่ง
ธรรม์พันผ้าที่ข้อเท้าให้มณีมันตรา มณีมันตราเผลอมองธรรม์อย่างขอบคุณจนไม่รู้ว่าธรรม์พันผ้าให้เสร็จแล้ว
ธรรม์เงยหน้ามองมณีมันตรา มณีมันตราหลบตาแทบไม่ทัน
มณีมันตรายังงอนนิดๆ “ขอบคุณนะคะ”
เมนี่แหวกเข้ามาขัดจังหวะทันที
“เห็นมั้ย พี่เมนี่บอกแล้วว่า อย่าไปๆ แล้วเป็นไง ต้องเจ็บตัวกลับมา นี่ดีนะที่แข้งขาไม่ได้หัก ไม่งั้นงานที่รับไว้เจ็ดงานพรุ่งนี้ต้องยกเลิกแน่ๆ”
โอเจเข้ามาลากเมนี่ออกไป
“ขาแพลงแค่นี้ ไม่ต้องสนใจนักหรอก รถมาหรือยัง ผมต้องการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมไม่ต้องการเอาชีวิตซุปเปอร์สตาร์มาทิ้งที่เมืองไทย” โอเจว่า
“ใจเย็นๆ เดี๋ยวรถก็มาแล้ว โทรตามให้แล้ว” เมนี่บอก
ชนมนเปิดประตูเข้ามา โดยมีอิทธิฤทธิ์เดินตามหลังแล้วรีบเดินแซงหน้าชนมนตรงไปหามณีมันตรา
“มาย่า..เป็นอะไรมากหรือเปล่า” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ชั้นไม่เป็นไร”
“ชั้นขอโทษนะ”
“ก็บอกว่า ไม่เป็นไรไงล่ะ”
“แต่ชั้นรู้ว่า เธอโกรธ”
“ใช่ ชั้นโกรธ แต่ชั้นไม่ได้โกรธที่เธอทิ้งชั้น ชั้นโกรธที่เธอทำอะไรโดยไม่คิดถึงอันตราย คนร้ายมีตั้งสองคน เธอวิ่งตามจับมันด้วยมือเปล่า ถ้าเธอถูกมันฆ่าตาย เธอคิดว่ามันคุ้มกับการเสี่ยงมั้ย อิท”
“แล้วชั้นตายหรือเปล่าล่ะ ชั้นอุตส่าห์ช่วย แต่กลับเป็นฝ่ายผิดซะงั้น เออ..ชั้นไม่ใช่ไอ้ธรรม์นี่ ที่ทำอะไรก็ถูกไปหมด”
“นายพาลแล้วนะ อิท” ธรรม์ว่า
“มาย่าเป็นห่วงนายนะ เค้าถึงไม่อยากให้นายเอาชีวิตไปเสี่ยง” ชนมนบอก
“ชีวิตชั้น ชั้นจะตาย ก็เรื่องของชั้น ถ้าไม่อยากให้ช่วย ก็บอก ทีหลังก็จะไม่ช่วยแล้ว” อิทธิฤทธิ์ไม่พอใจ
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างพาลๆ แบบไม่มีเหตุผล ทุกคนมองตามอิทธิฤทธิ์อย่างไม่รู้จะทำยังไงดี ชนมนตัดสินใจเดินตามออกไป
เมนี่ประคองมณีมันตราเดินมาที่รถ โอเจมองซ้ายมองขวาอย่างหวาดระแวงแล้วรีบกระโดดขึ้นรถตู้ไป ธรรม์เดินตามมาห่างๆ เพราะอยากให้แน่ใจว่ามณีมันตราปลอดภัยแล้ว
“พี่เมนี่คะ ขอหนูคุยกับพี่ธรรม์หน่อย” มณีมันตราบอก
“คุยอะไรกันคะ รีบกลับกันเถอะค่ะ พรุ่งนี้มีงานแต่เช้านะ” เมนี่ว่า
“หนูขอคุยแป๊บเดียวค่ะ”
“ก็ได้ พี่เมนี่ให้นาทีเดียวเท่านั้นนะ”
เมนี่เดินขึ้นรถตู้ไปอย่างไม่เต็มใจ มณีมันตราหันไปมองธรรม์ ธรรม์รีบเดินไปหามณีมันตราทันที
“มาย่า..” ธรรม์อึกอักเพราะไม่รู้จะพูดอะไร “เออ..อย่าโกรธอิทเลยนะ “
“ที่ตามมานี่ จะพูดแค่นี้หรือคะ ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ย่ากับอิทไม่เคยโกรธกันนาน ย่าอยากขอบคุณพี่ธรรม์ที่ช่วยย่าวันนี้”
“พี่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก..ต่อไปย่าต้องระวังตัวให้มากๆ นะ อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว แล้วถ้าไม่จำเป็นอย่าไปที่ๆไม่คุ้นเคย” ธรรม์บอก
“อีกสองวันย่าต้องไปถ่ายหนังที่ต่างจังหวัดด้วยน่ะสิ แต่พวกมันคงไม่ตามไปถึงต่างจังหวัดหรอกมั้งคะ”
“อย่าเพิ่งวางใจไป พวกโรคจิตแบบนี้ทำอะไรได้ทั้งนั้น”
“ช่างมันเถอะค่ะ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ย่าก็ใกล้จะสอบ หนังก็จะรีบปิดกล้อง ไม่มีเวลาคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้แล้ว”
“ช่างมันไม่ได้นะ”
“แล้วพี่ธรรม์จะให้ย่าทำยังไงล่ะคะ”
มณีมันตรายังแอบหวังว่าธรรม์จะเป็นห่วงและช่วยเธอมากกว่านี้ ในขณะที่ธรรม์อึกอักเพราะอยากจะช่วยแต่ก็ทำไม่ได้
“บอกคุณเมนี่ให้หาการ์ดมาเพิ่ม แล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีๆ” ธรรม์บอก
มณีมันตราน้อยใจ “ค่ะ ต่อไปนี้ย่าจะดูแลตัวเอง จะไม่หวังพึ่งคนอื่นอีกแล้ว”
มณีมันตรารีบก้าวขึ้นรถตู้ไปเพื่อปิดบังสีหน้าผิดหวัง ธรรม์มองตามอย่างเจ็บไม่แพ้กันที่ทำอย่างที่ใจต้องการไม่ได้
อิทธิฤทธิ์เดินวนไปเวียนมาเพราะยังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงอยู่ ชนมนเดินเข้ามาหาแล้วถาม
“จะกลับหรือยัง ทุกคนกลับกันหมดแล้ว”
“ยังไม่กลับ ไม่มี’รมณ์” อิทธิฤทธิ์ตอบ
“งั้นก็ตามใจ”
ชนมนเดินออกไปโโยทำไม่สนใจอีกแต่แล้วเธอก็ต้องชะงัก
อิทธิฤทธิ์พูดเสียงเครียด “ชั้นทำผิดจริงๆหรือ ชั้นผิดเหรอที่ชั้นอยากให้มาย่าเห็นว่า ชั้นปกป้องเค้าได้”
“ถ้านายอยากปกป้องมาย่า นายก็ต้องมีสติกว่านี้ นายต้องรู้จักคิดก่อนทำถ้าหากวันนี้นายเป็นอะไรไป คนที่เสียใจที่สุดก็คือมาย่า” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์ยอมรับผิด “เออ..ชั้นก็รู้..แล้วนี่ชั้นต้องทำไงต่อ มาย่าโกรธไปแล้ว”
“โกรธก็ง้อสิ” ชนมนบอก
“น่าเบื่อชะมัด..นี่ถ้าเกิดเรื่องอีก ชั้นก็ไม่แน่ใจว่า ชั้นจะควบคุมตัวเองอยู่เธอก็ช่วยดึงๆชั้นไว้หน่อยนะ”
“ก็ไม่รู้ว่า ชั้นจะช่วยนายได้หรือเปล่านะ ถ้าชั้นเห็นไอ้โรคจิตหนีไปต่อหน้า ชั้นก็อาจจะวิ่งไล่กวดมันไม่คิดชีวิตเหมือนกัน”
“ชั้นนึกแล้วว่า เธอต้องเข้าใจ ! เกิดเรื่องอย่างนี้ ลูกผู้ชายก็ต้องลุยไปก่อน อย่างอื่นค่อยคิดทีหลัง จริงมั้ยล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ตบไหล่ชนมนอย่างหาพวกราวกับชนมนเป็นผู้ชายเหมือนกัน
ชนมนพูดตาขวาง “นี่ ! ชั้นเข้าใจนาย แต่ไม่ได้หมายความว่า ชั้นเห็นด้วย ตกลงนี่รู้หรือไม่รู้เนี่ยว่าตัวเองทำผิด”
“รู้แล้วว่าผิด ไม่ต้องย้ำน่า”
“รู้แล้ว ก็ไปกันได้แล้ว” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์งง “ไปไหน”
“ก็นายคิดว่า นายควรจะไปไหนล่ะ”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเหนื่อยใจ
มณีมันตรามองกองหนังสือเรียนกับกองบทหนังแล้วเธอก็ตัดสินใจหยิบหนังสือเรียนขึ้นมาอ่านแล้วก็ตัดใจหยิบบทหนังขึ้นมาท่อง
มณีมันตราท่องบท “ชั้นอยากจะเกลียดคุณ..ชั้นจะได้ไม่ต้องทรมานใจอยู่อย่างนี้ชั้นปกป้องชีวิตคนมานักต่อนัก แต่..ทำไมชั้นถึงปกป้องหัวใจตัวเองไม่ได้”
มณีมันตราวางบทหนังลงอย่างใจลอยเพราะอดคิดถึงธรรม์ไม่ได้
มณีมันตราพึมพำ “ย่าก็อยากเกลียดพี่ธรรม์เหมือนกัน” มณีมันตราเสียงดังขึ้น “เกลียดๆ เกลียดคนใจร้าย”
ชนมนที่ถือถุงเสื้อผ้าเต็มสองมือเข้ามาต้องชะงัก
“เป็นอะไรไปหรือคะ” ชนมนถาม
มณีมันตราหันไปเห็นชนมนก็ตกใจและเก้อเขิน
“อุ๊ย พี่ชนมาได้ไงคะ เออ..ย่ากำลังท่องบทอยู่ค่ะ” มณีมันตราหัวเราะเก้อๆ “อินไปหน่อย พี่ชนมานี่ มีอะไรหรือคะ”
“พี่เอาเสื้อมาคืนค่ะ เออ..คือ ย่าให้มาเยอะแล้ว พี่เกรงใจน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องเกรงใจเลยค่ะ เสื้อผ้าพวกนี้ย่าก็ได้มาฟรีทั้งนั้น นี่..พี่ชนคงไม่คิดว่า ย่าดูถูกพี่ชนหรอกนะคะ”
“พี่ไม่ได้คิดอย่างนั้น พี่ไม่อยากให้ใครว่าเอาได้ว่า..พี่เอาเปรียบย่า”
“ใครพูดอะไรให้พี่ชนไม่สบายใจหรือคะ พี่ชนคิดว่าย่าเป็นน้องเป็นเพื่อนหรือเปล่า ถ้าหากใช่ ก็ต้องรับของๆย่าไว้ อย่าไปสนใจความคิดแคบๆ ของคนอื่นเลยค่ะ”
“ถ้าย่าเป็นพี่ ย่าก็ต้องคิด ยังไงพี่ก็จะไม่เอาเปรียบรับของมาฝ่ายเดียว ต่อไปนี้พี่จะไม่คิดค่าติวของย่า ไม่ต้องค้าน ตกลงตามนี้นะ ทีนี้เราจะได้สบายใจทั้งสองฝ่าย เรื่องของพี่เคลียร์แล้ว ทีนี้ก็ช่วยเคลียร์อีกเรื่องนะ”
“เรื่องอะไรหรือคะ”
อิทธิฤทธิ์เดินหน้าจืดจ๋อยๆ เข้ามา
มณีมันตราแกล้งทำหน้าเฉยใส่อิทธิฤทธิ์ ทั้งๆ ที่หายโกรธเขาแล้ว
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเดินมาด้วยกันที่สนามหน้าบ้าน มณีมันตราเดินกะเผลกนิดๆ
อิทธิฤทธิ์จะเอื้อมมือไปประคองแต่ก็ไม่กล้า อิทธิฤทธิ์หันไปมองชนมนเพื่อขอกำลังใจ แต่ชนมนทำท่าบุ้ยใบ้ให้อิทธิฤทธิ์เข้าไปพูดกับมณีมันตรา
อิทธิฤทธิ์เอ่ยออกมา “ย่า..ชั้น..ชั้น..”
มณีมันตราหันมามองอิทธิฤทธิ์ด้วยสีหน้านิ่งๆ
“ไม่ต้องมาขอโทษ”
“นี่จะไม่ยกโทษให้ชั้นจริงๆเหรอ”
“ชั้นไม่ต้องการคำขอโทษ แค่ขอให้เธอรู้ตัวก็พอว่า เธอทำอะไรผิด แล้วเธอก็จะไม่ทำอีก”
“ชั้นรู้แล้วว่า ชั้นบ้าระห่ำไปหน่อย แต่ชั้นรับปากไม่ได้หรอกว่า ถ้าชั้นเจอไอ้บ้าที่ตามรังควานเธออีก ชั้นจะทนอยู่เฉยๆได้ เธอต้องเข้าใจหน่อยสิ”
มณีมันตราขัด “ไม่ ชั้นไม่เข้าใจ ชั้นไม่เข้าใจที่เธอชอบทำอะไรเสี่ยงๆ ทั้งเรื่องแข่งมอเตอร์ไซค์ ทั้งเรื่องวันนี้ เธอเห็นชีวิตตัวเองไม่มีค่าหรือไง”
“ก็คงงั้นมั้ง ชีวิตชั้นมันไร้ค่าจริงๆ เกิดมาก็ไม่เคยทำให้พ่อภูมิใจ ชั้นเป็นลูกที่ไม่เอาไหน เป็นเพื่อนที่เลว ถ้าเธอไม่อยากคบชั้น ชั้นก็เข้าใจ”
“ดราม่าไปแล้ว อิท ชั้นพูดซักคำเหรอว่า ไม่อยากคบเธอ ชั้นโกรธเพราะชั้นเป็นห่วง ชั้นก็น่าจะรู้ว่า ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนเธอได้ ยังไงเธอก็ต้องเป็นนายอิทธิฤทธิ์...นายฤทธิ์เยอะยังงี้แหละ”
“ถ้าเธออยากให้ชั้นเปลี่ยนจริงๆ ชั้นเปลี่ยนเพื่อเธอได้นะ” อิทธิฤทธิ์บอก
มณีมันตราชะงักเมื่อเห็นอิทธิฤทธิ์มองมาด้วยสายตาแปลกๆ เกินเพื่อน
“ชั้นจะเปลี่ยนจากนักซิ่งมาเป็นบอดี้การ์ดให้เธอ ชั้นจะปกป้องเธอเอง มาย่า...แล้วต่อไปชั้นจะไม่ทำให้เธอเป็นห่วงอีก ชั้นสัญญา”
อิทธิฤทธิ์ก้มหน้าลงไปใกล้ๆ มณีมันตราจนมณีมันตราถอยหนีไปหนึ่งก้าว อิทธิฤทธิ์ไม่ยอมให้มณีมันตราถอยหนี เขาดึงมณีมันตราเข้ามาใกล้ๆ อีกครั้ง ชนมนเดินเข้ามาใกล้ๆ แล้วหยุดมองด้วยความรู้สึกจี๊ดที่หัวใจอย่างห้ามไม่ได้
ชนมนเดินออกจากบ้านมณีมันตราเงียบๆคนเดียวด้วยความรู้สึกเจ็บปวด
เช้าวันใหม่ ชูชัยขี่จักรยานออกมาจากบ้านเรื่อยๆ จนออกมาที่ปากซอย อิทธิฤทธิ์ซิ่งมอเตอร์ไซค์มาแต่ไกล ชูชัยขี่จักรยานไปแล้วก็เริ่มอ่อนแรงและตาพร่าเพราะโรคเบาหวานทำให้รถจักรยานเริ่มเอนไปเอียงมา
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถสวนมาต้องรีบชะลอเมื่อเห็นชูชัยขี่จักรยานตรงเข้ามาเลนเขา อิทธิฤทธิ์เบรกรถแต่ก็ไม่ทันการเพราะรถจักรยานของชูชัยล้มเอียงไปเสียก่อน อิทธิฤทธิ์รีบจอดรถ ถอดหมวกกันน็อคแล้วไปช่วยประคองชูชั ชูชัยสะบัดตัวไม่ให้ช่วยก่อนจะไปยกจักรยานขึ้น
ชูชัยเดินโงนเงน “ไม่ต้อง !”
“เมาแต่เช้าเลยเหรอ ลุง ขี่รถยังไงข้ามเลนมาได้ เดี๋ยวก็ตายไม่รู้ตัวหรอก”
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” ชูชัยว่า
“ก็ดีกว่าตาแก่ขี้เมาแหละ ดีนะที่ผมเบรกรถได้ทัน ถ้ายังอยากมีชีวิตอยู่กับลูกกับหลานนานๆ ก็อยู่บ้านเถอะ ลุง”
อิทธิฤทธิ์กลับขึ้นมาคร่อมรถมอเตอร์ไซต์แล้วซิ่งรถออกไป
“ไอ้นี่ !” ชูชัยนึกได้ “ไอ้เด็กแว้นเมื่อวันก่อนนี่ !”
ชูชัยมองตามเพราะจำอิทธิฤทธิ์และรถมอเตอร์ไซค์ที่ไปที่บ้านของเขาเมื่อวันก่อนได้
ชนมนกับชินพัฒน์ช่วยกันเปิดร้าน ทั้งสองช่วยยกเก้าอี้ลงจากโต๊ะแล้วจัดวางอย่างแข็งขัน อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์ดริฟท์มาจอดที่หน้าร้านเสียงดังเอี๊ยดลั่นบริเวณ ชนมนกับชินพัฒน์สะดุ้งแล้วหันไปมองพร้อมกัน
“โอ๊ย จะเท่อะไรปานนั้น” ชินพัฒน์ชม
อิทธิฤทธิ์ถอดหมวกกันน็อคแล้วลงจากมอเตอร์ไซค์ก่อนจะรีบร้อนเดินเข้ามา
“พี่มอไซด์มาแต่เช้าเลย”
อิทธิฤทธิ์ตรงเข้ามาฉุดมือชนมนจะลากออกไปที่รถทันที
“ไปขึ้นรถ”
ชนมนรั้งตัวเอาไว้ “เฮ้ย เดี๋ยวๆ มีเรื่องอะไร”
“วันนี้ไม่จีบ ฉุดเลยเหรอเนี่ย ใจร้อนไปป่าว พี่ เพิ่งจีบกันแค่วันสองวัน” ชินพัฒน์ว่า
“ชิน ! เงียบ !” ชนมนพูดกับอิทธิฤทธิ์ “มีอะไร ใครเป็นอะไร”
“ก็มาย่าไง วันนี้มาย่าต้องไปถ่ายหนังที่เพชรบูรณ์ เราต้องไปช่วยคุ้มครองมาย่า..”
“อยากไปก็ไปคนเดียวซิ จะลากชั้นไปเป็นก้างทำไม” ชนมนว่า
ชินพัฒน์ทำตาโต “พี่มาย่า..นี่พูดถึงพี่มาย่า แฟนผมใช่มั้ย พี่ชนไม่ไป ผมไปเอง”
“เออใช่ ให้ชินไปแทนแล้วกัน ไปเก็บเสื้อผ้าได้เลย ไป” ชนมนว่า
“จริงหรือ พี่ชน ผมจะได้พบพี่มาย่าหรือครับ ขอบคุณมากนะครับ พี่มอไซด์ เอ๊ย ขอบคุณนะครับ พี่อิท.. จะได้เจอแฟนแล้วโว้ย” ชินพัฒน์ตื่นเต้นดีใจ
ชินพัฒน์ดีใจจึงวิ่งหน้าบานออกไป
“เฮ้ย ชั้นไม่เอาน้องเธอไปนะ ชั้นต้องการเธอคนเดียวเท่านั้น” อิทธิฤทธิ์บอก
“ทำไมต้องเป็นชั้นด้วย..เอาเจ๋งไปก็ได้นี่”
“ชั้นต้องเอาเธอไป พ่อจะได้ไม่ด่าหาว่าชั้นโดดเรียนไง เราไปติวกันต่อที่โน่น แล้วอีกอย่างเธอเข้าใจมาย่าดี ช่วยให้ชั้นคืนดีกับมาย่า เธอก็ต้องช่วยชั้นต่อไป เพราะสเต๊ปต่อไปสำคัญมาก ชั้นจะบอกรักมาย่า”
ชนมนนิ่งอึ้งไปเพราะรู้สึกเหมือนถูกทุบหัว เธอมึนงงไปชั่วขณะ
ชนมนได้สติ “ชั้นไม่ไป! ยังไงชั้นก็ไม่ไป กลับไปได้แล้ว ไป”
ชนมนหันหลังให้อิทธิฤทธิ์เพื่อซ่อนสีหน้าเจ็บจี๊ดๆ ก่อนจะเดินลิ่วๆ เข้าไปข้างใน
ชนมนเดินเข้ามาในห้องอย่างรู้สึกปั่นป่วนหัวใจ เธอพยายามควบคุมอารมณ์ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าที่กองอยู่บนพื้นโยนใส่ตะกร้าเต็มแรง
“จะบอกรักก็บอกไปซิ จะมาบอกชั้นทำไม”
อิทธิฤทธิ์เปิดประตูผลัวะเข้ามา
ชนมนตกใจจึงโมโห “เฮ้ย ขึ้นมาได้ไง”
“ชั้นขอร้องล่ะ ไปด้วยกันหน่อย ถ้าเธอไม่ตามไปติวชั้น อดได้ค่าติวนะ”
“อดก็อด !”
“เธอไม่เป็นห่วงมาย่าหรือยังไง” อิทธิฤทธิ์ถาม
“คนที่กองถ่ายมีเป็นร้อย ไม่มีใครเข้าไปทำอะไรมาย่าได้หรอก”
“แล้วพวกนั้นใช่เพื่อนมาย่าหรือเปล่าล่ะ มีใครซักคนที่ห่วงมาย่าจริงๆบ้างมาย่ากำลังถูกไอ้โรคจิตตามรังควาน แต่เธอกลับไม่สนใจ มาย่าคงเสียใจน่าดูที่หลงคิดว่าเธอเป็นเพื่อน เออ..ชั้นไปคนเดียวก็ได้”
อิทธิฤทธิ์จะเดินออกไปแต่ก็ต้องชะงัก
“ชั้นไปด้วยก็ได้” ชนมนโพล่งออกมา
อิทธิฤทธิ์ยิ้มดีใจ
“ชั้นไปเพราะมาย่าหรอกนะ ไม่ใช่ไปเพื่อนาย” ชนมนว่า
“ไปเพื่อใครก็ช่าง ขอให้ไปเหอะ เร็วๆ เก็บกระเป๋าเลย”
ชนมนหยิบกระเป๋าเป้ออกมาแล้วค่อยๆหยิบเลือกเสื้อผ้าออกมาพับใส่กระเป๋าเป้ อิทธิฤทธิ์ใจร้อนจึงรวบเสื้อผ้าของชนมนยัดใส่กระเป๋าให้
ชนมนว่า “อย่ายุ่ง ! นี่มันของส่วนตัว””
อิทธิฤทธิ์ยังคงจับเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าต่อไปแม้ชนมนจะผลักให้ถอยไป
อิทธิฤทธิ์ว่า “ก็เธอชักช้า”
“ชั้นจัดเองได้ !” ชนมนว่า
“ไม่เป็นไร ชั้นไม่ถือ”
“แต่ชั้นถือ !”
อิทธิฤทธิ์ยังดื้อต่อ เขาหยิบทุกอย่างที่ใกล้มือยัดใส่กระเป๋าเป้ให้ อิทธิฤทธิ์หยิบไปเจอยกทรงเข้าก็ถือค้างไว้กลางอากาศอย่างทำอะไรไม่ถูก
ชนมนตกใจ “เฮ้ย!”
“เออ..เออ..ขอโทษที”
ชนมนรีบตะครุบยกทรงกลับมา อิทธิฤทธิ์เก้อๆเขินๆ เพราะเขาหยิบกางเกงในติดมือมาอีกตัว
ชนมนว่า “ตาบ้าเอ๊ย”
ชนมนทั้งโกรธทั้งอายจึงทุ่มกระเป๋าเป้ใส่อิทธิฤทธิ์จนอิทธิฤทธิ์หงายหลังล้มตึงไป
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 7 (ต่อ)
ธรรม์วิ่งออกกำลังกายอยู่หน้าบ้านอย่างจริงจังจนเหงื่อท่วมตัว จากนั้นเขาก็วิ่งเข้ามาที่หน้าตัวบ้าน ถนอมถือขวดน้ำมาส่งให้แล้วพูด
“ได้ออกกำลังจนเหงื่อออกอย่างนี้ คงจะรู้สึกสบายใจขึ้นแล้วใช่มั้ยคะ”
“ป้าหนอมพูดอะไรครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” ธรรม์ว่า
“อย่าคิดว่าป้าไม่รู้นะคะ นี่มีเรื่องอะไรกับคุณท่านใช่มั้ยคะ เห็นหลบไม่ยอมเจอหน้าคุณท่านมาสองสามวันแล้ว”
“คุณพ่อไม่เห็นหน้าผมจะสบายใจมากกว่า”
“นั่นไง มีเรื่องกับคุณท่านจริงๆด้วย ไปค่ะ มีเรื่องอะไรก็ไปคุยกันซะ ยังไงก็พ่อลูกกันนะคะ”
“ผมรักและเคารพคุณพ่อ แต่ผมก็ไม่เคยลืมว่า ผมเป็นแค่เด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงครับ ป้าหนอม”
“คุณไม่ใช่เด็กข้างถนนที่ไหน คุณเป็นลูกของเพื่อนรักคุณท่าน ท่านไม่เคยเห็นคุณเป็นคนอื่น ท่านรักคุณเหมือนลูกแท้ๆ คุณบอกว่าคุณรักและเคารพคุณท่าน คุณคงรู้นะคะว่า ควรจะทำยังไงต่อไป”
ธรรม์นิ่งคิด
อิทธิพลนั่งอ่านเอกสารคดีต่างๆอยู่ที่โต๊ะทำงาน ธรรม์เดินเข้ามายืนตรงหน้าอิทธิพล
“คุณพ่อครับ..”
อิทธิพลเงยหน้าขึ้นมองธรรม์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย
“คุณพ่อครับ ผมขอโทษ..ผมกำลังโกรธ..ก็เลยพูดไปโดยไม่ทันคิด..ผมไม่มีสิทธิ์จะพูดกับคุณพ่ออย่างนั้น ผมรู้ว่า คุณพ่อทำดีที่สุดแล้วในตอนนั้น ผมเสียใจจริงๆครับ”
“มีเรื่องจะพูดแค่นี้หรือ” อิทธิพลถาม
“ครับ เรื่องคดีนายเก่งกาจ ผมเคารพในการตัดสินใจของคุณพ่อ ผมเป็นตำรวจต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา”
ธรรม์จะเดินออกไปแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงอิทธิพลพูดขึ้น
“พ่อให้โอกาสแกอีกครั้งก็ได้”
ธรรม์หันกลับมาด้วยความดีใจ
“พ่อไม่มีโอกาสครั้งที่สองที่จะแก้ตัว แต่แกยังมีโอกาส พ่อจะให้แกกลับมาร่วมทีมคดีพิเศษ พ่อสั่งลงไปแล้ว ให้แกเป็นฝ่ายประสานงานไปก่อน ขอดูไปอีกซักระยะ ดูซิว่าแกจะมีความสามารถพอจะกลับไปอยู่ฝ่ายปราบปรามหรือเปล่า”
“ขอบคุณมากครับ คุณพ่อ”
ถนอมถือกระดาษโน้ตท่าทางรีบร้อนเดินเข้ามา
“คุณท่านคะ คุณท่านอนุญาตให้คุณอิทไปเพชรบูรณ์หรือคะ นี่ค่ะ คุณอิททิ้งโน้ตไว้ อ่าน “ป้าหนอมคร้าบ ไปเพชรบูรณ์ 2-3 วันนะ พ่อให้แล้ว”
“ชั้นไม่ได้อนุญาตให้มันไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า มันไป แล้วมันไปเพชรบูรณ์ทำไม”
“อิทคงตามไปดูแลมาย่าน่ะครับคุณพ่อ” ธรรม์บอก “ ตอนนี้มีพวกแฟนคลับโรคจิตคอยตามรังควานมาย่าอยู่ อิทคงเป็นห่วง แล้วก็คงกลัวคุณพ่อไม่ให้ไปก็เลยหนีไปดื้อๆอย่างนี้”
ถนอมไม่สบายใจ “ว้าย ตายแล้ว เมืองไทยมีแฟนคลับโรคจิตด้วยหรือคะ นึกว่า มีแต่ที่เมืองนอก แล้วคุณอิทจะไปช่วยอะไรได้คะ ใจร้อนก็เท่านั้น นี่ถ้าเจอพวกโรคจิตจริงๆ พลั้งมือบีบคอมันตาย จะทำไงล่ะคะทีนี้”
“คุณพ่อครับ ผมขออนุญาตตามไปที่กองถ่ายได้มั้ยครับ คุณพ่อห้ามไม่ให้ผมไปยุ่งงานอื่นที่ไม่ใช่งานตำรวจ แต่เรื่องนี้ผมไม่ยุ่งไม่ได้นะครับ มันเป็นเรื่องของความปลอดภัยของทั้งอิทและมาย่า ผมไม่อยากให้เกิดเรื่อง แล้วต้องมาเสียใจทีหลัง” ธรรม์บอก
อิทธิพลมองธรรม์แล้วทำหน้าเคร่งเพราะนิ่งคิดแบบไม่ให้คำตอบโดยง่าย ธรรม์ลุ้นอยู่ว่าอิทธิพลจะอนุญาตให้เขาไปหรือเปล่า
อิทธิฤทธิ์ถือกระเป๋าเป้ของชนมนเดินลิ่วๆออกมาที่หน้าบ้าน ชนมนที่เปลี่ยนชุดแล้วเดินตามอิทธิฤทธิ์แทบไม่ทัน
“เดี๋ยวๆ ก่อน จะรีบไปไหน”
“ก็ต้องรีบน่ะซิ เดี๋ยวไปไม่ทันขึ้นรถ” อิทธิฤทธิ์บอก
“แล้วนี่พี่เมนี่จะให้เราไปด้วยเหรอ บอกเค้าหรือยังเนี่ย” ชนมนถาม
“บอกแล้ว ไม่มีปัญหา ทางบริษัทไม่มีงบจ้างการ์ดเพิ่ม ชั้นก็เลยได้ไปเป็นการ์ดให้มาย่า แถมชั้นยังยอมไปเป็นตัวประกอบให้ฟรีๆอีก มีเหรอเค้าจะไม่ให้ไปด้วย”
“แล้วนี่ชั้นต้องไปเป็นตัวประกอบด้วยเหรอ ไม่เอาด้วยหรอกนะ”
“เออจริงด้วย ลืมบอกเค้าว่า เธอไปด้วย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้มาย่าพูดให้ก็ได้ ไปช่วยทำงานฟรี ไงเค้าก็ให้ไปด้วยน่า ไปๆ เร็วเข้า ขึ้นรถเลย”
อิทธิฤทธิ์หันมาลากชนมนให้ขึ้นซ้อนมอเตอร์ไซค์
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวนะ ชั้นว่า ชั้นลืมอะไรบางอย่าง” ชนมนบอก
“ขึ้นรถก่อน ลืมอะไร ค่อยไปซื้อเอากลางทาง”
อิทธิฤทธิ์ยื่นกระเป๋าเป้ของตัวเองและของชนมนให้ชนมนถือไว้แล้วขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ชนมนขึ้นซ้อนท้ายอย่างคนที่คิดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็คิดไม่ออก อิทธิฤทธิ์กับชนมนใส่หมวกกันน็อค อิทธิฤทธิ์เริ่มสตาร์ทรถ
ชนมนโพล่งออกมา “ชั้นนึกออกแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ซิ่งรถออกไปทันที
“ชั้นลืมบอกพ่อ” ชนมนบอก
ชินพัฒน์ที่ใส่ชุดหล่อหวีผมแปล้ถือกระเป๋าใบใหญ่วิ่งออกมา
“จะไปไหน รอผมด้วย”
ชินพัฒน์ยืนเต้นไปเต้นมาแล้วกระทืบเท้าอย่างโมโห
“ลืมผมได้ยังไง คนใจร้าย ! คนใจดำ ! พี่มาย่า พี่มาย่าของผม ทำไมความรักของเราช่างมีอุปสรรคเสียจริงๆ”
ชูชัยขี่จักรยานเข้ามาโดยตะกร้าจักรยานมีถุงอาหารเช้าอยู่เต็ม
“เป็นอะไรไป”
ชินพัฒน์วิ่งโร่เข้าไปกอดชูชัย
“พ่อ ! พี่ชนทิ้งเราไปแล้ว ! พี่ชนทิ้งเราไปกับผู้ชาย”
ชูชัยตกใจ “ว่าไงนะ”
ชูชัยนิ่งอึ้งไปด้วยความตกใจ
อิทธิฤทธิ์ขี่มอเตอร์ไซค์มาจอด โดยมีชนมนซ้อนท้ายแล้วอุ้มกระเป๋าเป้ไว้สองใบด้วย
อิทธิฤทธิ์สะพายกระเป๋าเป้เดินลิ่วๆอย่างใจร้อน อิทธิฤทธิ์หันไปมองชนมนที่สะพายกระเป๋าเป้เดินตามมาอย่างหนักใจในหลายๆเรื่อง
“ไปเร็ว เค้ารอเราอยู่”
อิทธิฤทธิ์เร่งแล้วหันไปดึงกระเป๋าเป้ของชนมนมา
“ชักช้าจริง มาๆ ถือให้ ไม่ต้องห่วงเรื่องพ่อหรอกน่า เดี๋ยวก็โทรไปบอกดิ”
“ไม่รู้พ่อจะว่ายังไง ชั้นว่า ชั้นกลับดีกว่า”
ชนมนดึงกระเป๋าเป้ของตัวเองมาจากอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์รั้งกระเป๋าเป้ไว้แบบไม่ให้คืนง่ายๆ
“เฮ้ย กลับไม่ได้ ชั้นโทรบอกมาย่าแล้วด้วย รู้มั้ยว่า มาย่าดีใจแค่ไหนที่รู้ว่าเธอมาด้วย ถ้าพ่อเธอมีปัญหา ชั้นคุยให้เอง”
“ถ้านายคุย ได้มีปัญหาแน่ เออ..ไม่กลับก็ได้ ถ้าบอกพ่อว่ามาเป็นเพื่อนมาย่า พ่อคงไม่ว่าอะไร ...แต่เรื่องอื่นชั้นจะไม่ยุ่งด้วย เข้าใจมั้ย” ชนมนบอก
“ได้ยังไง เธอต้องช่วยชั้นสิ”
“ช่วยเรื่องอะไร..เรื่องที่นายจะ..” ชนมนพูดไม่ออก
“เรื่องที่ชั้นจะบอกรักมาย่า ชั้นวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว แล้วคนที่จะช่วยให้แผนชั้นสำเร็จก็คือ..เธอ”
“ทำไมต้องตอนนี้ด้วย”
“ก็นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด มาย่ากำลังต้องการคนอยู่ข้างๆ คอยดูแลเค้า ไม่บอกตอนนี้ แล้วจะให้ไปบอกตอนไหน ชั้นอยากรู้นักว่า ไอ้ธรรม์จะทำหน้ายังไง ตอนที่รู้ว่ามาย่าตอบรับเป็นแฟนชั้นแล้ว”
“นี่นายชอบมาย่าจริงๆหรือแค่อยากจะเอาชนะพี่ธรรม์”
“ชั้นชอบมาย่าจริงๆ” อิทธิฤทธิ์บอก
“แล้วมาย่าล่ะชอบนายหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆนะ นายคิดบ้างมั้ยว่า ถ้ามันไม่ได้เป็นไปตามที่นายคิด ผลจะเป็นยังไง ความเป็นเพื่อนกันมาสิบกว่าปี จะมาพังก็เพราะความเอาแต่ใจของนายนี่แหละ”
อิทธิฤทธิ์ดื้อแพ่ง “ไม่ว่าจะยังไง ชั้นก็ต้องบอกรักมาย่าให้ได้ ในชีวิตมาย่าไม่มีใครนอกจากชั้น ชั้นสนิทกับเค้าที่สุด รู้ใจกันทุกเรื่อง เราชอบกัน.. เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นแหละ เธอไม่เคยรักใคร เธอไปจะรู้อะไร”
อิทธิฤทธิ์คืนกระเป๋าเป้ให้ชนมนไปแล้วเดินดุ่มๆออกไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวและกลัวอย่างที่ชนมนเตือนอยู่เหมือนกัน
“ใช่..ชั้นไม่เคยรักใคร จะไปรู้อะไร”
ชนมนยืนเครียดอยู่
มณีมันตรานั่งเหงาๆ รออยู่ที่หน้าตึกกับกองกระเป๋าและสัมภาระต่างๆ เมนี่คุยมือถือพลางเดินไปเดินมาไม่หยุด
“อยู่ไหนแล้วคะ ไอ้ที่ว่าใกล้แล้วๆน่ะ อยู่ไหน อ้าว ! นี่ตกลงเพิ่งขึ้นทางด่วนหรือเพิ่งลงทางด่วนกันแน่ เฮ้ย ! ปิดมือถือใส่ได้ไงเนี่ย นายโอเจ”
อิทธิฤทธิ์ปรับสีหน้าให้เริงร่าแล้วเดินเข้ามาหามณีมันตรา
“นายอิทธิฤทธิ์มารายงานตัวแล้วครับผม”
มณีมันตรายิ้มให้อิทธิฤทธิ์และยิ้มกว้างขึ้นอย่างดีใจที่เห็นชนมนเดินตามมา
“พี่ชน ! พี่ชนมาจริงๆด้วย”
เมนี่รีบพุ่งเข้ามาหาทันที
“อะไรกันคะ น้องมาย่า มีเพื่อนมาอีกหรือคะ ทำไมไม่บอกกันก่อน”
“ก็มีแค่อิทกับพี่ชนเท่านั้นแหละค่ะ” มณีมันตราบอก
“น้องอิทนี่ พี่เมนี่โอเค พอไปช่วยงานเราได้ แต่ยัยนี่..เออ..น้องคนนี้ไปด้วยจะไปทำอะไรได้”
“พี่ชนก็ไปเป็นเพื่อนหนูไงคะ พี่เมนี่”
เมนี่พูดกับชนมน “ถ้าคิดจะไปเที่ยวฟรีกินฟรีล่ะก็ คิดผิดนะจ๊ะ ถึงจะเป็นเพื่อนกับน้องมาย่า ก็ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ให้คุ้มค่าอยู่ค่ากิน ไหนบอกมาซิว่าทำอะไรได้บ้าง”
“ผมทำงานแทนชนเค้าเองครับ ผมจะทำงานหนักให้เป็นสองเท่าเลย รับรองว่า เราไปด้วย คุ้มยิ่งกว่าคุ้มแน่ๆ” อิทธิฤทธิ์บอก
“ไม่ต้องเลย อิท” ชนมนพูดกับเมนี่ “พี่เมนี่มีงานอะไรให้หนูทำล่ะคะ หนูทำได้ทั้งนั้น”
เมนี่รำคาญใจ “ตอนนี้คนก็เกินงานอยู่แล้ว จะมีอะไรให้ทำได้ล่ะ งั้นก็ยกกระเป๋าไปเก็บไว้ที่รถให้หมด แล้วถ้ามีงานอะไรจะเรียกใช้แล้วกัน”
ชนมนขนกองกระเป๋าบนพื้นออกไปแต่โดยดี อิทธิฤทธิ์ขยับจะไปช่วย
เมนี่รีบบอก “ไม่ต้องช่วย ไม่ใช่หน้าที่น้องอิทค่ะ งานหลักของน้องอิทก็คือ คอยคุ้มครองน้องมาย่าค่ะ”
อิทธิฤทธิ์มองไปที่ชนมนซึ่งกำลังขนกระเป๋าออกไปอย่างรู้สึกไม่ดีนัก
ชนมนขนกระเป๋าใบใหญ่และหนักเก็บใส่ท้ายรถตู้ อิทธิฤทธิ์เข้ามาช่วยยกกระเป๋าให้
“ไม่ต้องช่วย..ไม่ใช่หน้าที่ของนาย” ชนมนบอก
“ชั้นขอโทษนะ ชั้นไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้” อิทธิฤทธิ์บอก
“ไม่เป็นไร ชั้นชินแล้ว ชีวิตชั้นไม่เคยได้อะไรมาง่ายๆอยู่แล้ว นายไปอยู่เป็นเพื่อนมาย่าเถอะ”
“ชั้นช่วยเธอตรงนี้ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยไปอยู่กับมาย่าก็ได้”
“ไปเถอะน่า งานแค่นี้ชั้นทำเองคนเดียวได้ ไปๆ เดี๋ยวพี่เมนี่เปลี่ยนใจไม่ให้เธอไปด้วยหรอก ไม่กลัวว่าจะไม่ได้ทำตามแผนที่ฝันไว้หรือไง”
“นี่เธอยอมช่วยชั้นแล้วใช่มั้ย”
ชนมนฝืนใจ “ช่วยก็ได้.. ไหนๆก็มาแล้ว แต่ชั้นช่วยเท่าที่ช่วยได้นะ ทำอะไรให้อยู่ในขอบเขต อย่าเว่อร์เกิน แล้วจะช่วย”
“ขอบใจนะ อย่างงี้ซิถึงเรียกว่าเป็นเพื่อนกัน”
อิทธิฤทธิ์ตบไหล่ชนมนอย่างชอบใจแล้วรีบเดินออกไป ชนมนคอตกไหล่ลู่ลงเพราะรู้สึกใจวูบอย่างอธิบายไม่ถูก ทันใดนั้นมือถือของชนมนก็ดังขึ้น ชนมนหยิบมือถือขึ้นออกมาดูหน้าจอ
“พ่อ ! ลืมไปเลย”
ชนมนรีบกดมือถือรับสาย
“พ่อ ! หนูขอโทษ”
ชนมนร้อนใจเพราะกลัวพ่อจะโกรธ
ชินพัฒน์นั่งหน้าหงิกหน้างอในขณะที่ถือมือถือคุยกับชนมนอยู่
“ไม่ต้องมาขอโทษ กลับมารับผมเดี๋ยวนี้เลย! ทิ้งกันอย่างงี้ได้ไง ไม่ยอมจริงๆด้วย”
ชูชัยเขกหัวชินพัฒน์แล้วดึงมือถือจากชินพัฒน์มาพูดเอง
“ไอ้นี่ !ให้ต่อสายเฉยๆ ไม่ต้องพูด” ชูชัยพูดโทรศัพท์เสียงเรียบๆ “พ่อรอโทรศัพท์อยู่ทำไมไม่โทรมา”
ชนมนคุยโทรศัพท์ขณะที่อยู่หลังรถตู้ที่จอดอยู่หน้าบริษัท
“หนูขอโทษค่ะ พ่อ หนูว่าจะรีบโทรบอกพ่อแล้ว พอดียุ่งๆอยู่ คือ..หนูขอไปเพชรบูรณ์ 2-3 วันนะ พ่อ”
“เออดี..ไปแล้ว ถึงมาขอ” ชูชัยว่า
“หนูไม่ได้ตั้งใจมาโดยไม่บอกนะ พ่อ เออ.คือ..ทุกอย่างมันเกิดขึ้นกะทันหันจริงๆหนูไม่มาก็ไม่ได้ คือ..เพื่อนหนูกำลังเดือดร้อน หนูต้องมาช่วยเพื่อนน่ะ พ่อ”
“เพื่อนคนไหน ไอ้เพื่อนเด็กแว้นของแกงั้นเหรอ”
“หนูมากับอิท แต่หนูมาช่วยมาย่าน่ะ พ่อ ให้หนูกลับไป แล้วหนูจะเล่าให้ฟังนะ พ่อ พ่อเชื่อใจหนูหรือเปล่าล่ะ”
ชูชัยนิ่งคิด “เออ..เชื่อ..ระวังตัวด้วยล่ะ”
“หนูรักพ่อที่สุดเลย”
ชนมนกดปิดมือถืออย่างสบายใจขึ้นแล้ว ชูชัยกดปิดโทรศัพท์มือถือ ชินพัฒน์มองพ่อแล้วก็อ้าปากค้าง
“แค่เนี้ย ! ลูกสาวหนีไปกับผู้ชาย ไม่ด่าซักคำ ถามซักนิดก็ไม่มี ลูกไปไหนไปกับใคร ไปทำไม กลับเมื่อไหร่ ไม่มี๊ไม่มี ยอมให้ไปเฉยๆซะงั้น ไหนว่าหวงลูกสาว นี่ไม่หวงจริงนี่นา ลึกๆแล้วพ่อก็ดีใจที่พี่ชนไปกับผู้ชายใช่มั้ยล่ะ กลัวลูกสาวขายไม่ออกล่ะซี้”
ชูชัยเขกหัวชินพัฒน์อีกหนึ่งที
“ไอ้นี่ ! หยุดปากเสียได้แล้ว พี่แกมีธุระสำคัญ ชั้นถึงให้ไป”
“ธุระสำคัญอะไร ผมอยากรู้จริงๆ พี่ชนพูดว่าไง พ่อถึงยอมให้พี่ชนไปง่ายๆ”
“พี่แกเค้าขอไปช่วยเพื่อน”
“แค่เนี้ย!?”
“เออ ก็แค่นี้แหละ ถ้าขอไปช่วยเพื่อน ชั้นให้ไป เป็นเพื่อนกันก็ต้องช่วยเหลือกัน แต่ไปกับไอ้เด็กแว้นนั่น ชั้นก็ไม่ไว้ใจเท่าไหร่”
“ไม่ต้องห่วง ผมจะคอยโทรเช็คพี่ชนให้ แต่ไม่ใช่ผมไม่ไว้ใจพี่เด็กแว้นนะผมไม่ไว้ใจพี่ชนมากกว่า พี่เด็กแว้นมาตื๊อๆแป๊บๆ ก็ไปกับเค้าแล้ว มันยังไงๆอยู่นะ จะเสียคนเพราะรักเค้าหรือเปล่าน้า พ่อว่าป่ะ?”
ชูชัยนิ่งคิดอย่างไม่แน่ใจนัก
เมนี่เดินกดมือถือติดต่อหาโอเจด้วยความหงุดหงิด
“ยังไม่ยอมเปิดมือถืออีก โอ๊ย ชั้นจะบ้าตาย แล้วจะมามั้ยเนี่ย พ่อซุปตาร์ของชั้น”
ชนมนเดินกลับมารวมกลุ่มกับอิทธิฤทธิ์และมณีมันตรา ทุกคนหันไปมองก็เห็นรถลีมูซีนของโรงแรมแล่นมาจอดที่ตรงหน้าทุกคน คนขับรถลงจากรถมาเปิดประตูให้โอเจก้าวลงจากรถ โอเจก้าวลงจากรถอย่างเท่ เมนี่ปราดเข้าไปหาโอเจอย่างรวดเร็ว
“ทำไมเพิ่งมา รู้มั้ยว่าทุกคนรอเธออยู่คนเดียว ไป ขึ้นรถเลย เอ้า เชิญทุกคนขึ้นรถเร็วๆเข้า สายมากแล้ว”
อิทธิฤทธิ์ มณีมันตราและชนมนขยับเดินไปที่รถตู้ โอเจยกมือขึ้นห้าม
“เดี๋ยวครับ ให้ผมไปรถคันนี้หรือครับ”
โอเจชี้ไปที่รถตู้อย่างรังเกียจแล้วก็ชี้ไปที่อิทธิฤทธิ์กับชนมนอย่างไม่พอใจ
"แล้วจะให้ผมนั่งรถเบียดไปกับคนพวกนี้หรือครับ ไม่ล่ะครับ ซุปตาร์ระดับเอเชียอย่างผมต้องรถไฮคลาสเท่านั้น และผมจะไม่นั่งรวมกับใคร”
“เราคงหารถให้ไม่ทันหรอก ไปเพชรบูรณ์แค่นี้ ไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง”
“งั้นผมขอไปรถโรงแรมแล้วกัน” โอเจบอก
โอเจหันไปมองหารถลีมูซีนที่มาส่งแล้วก็ต้องชะงักกึก รถลีมูซีนแล่นไปทันที เหลือแต่กระเป๋าเดินทางแบรนด์เนมใบใหญ่กองอยู่ 3 ใบ
“รถไปแล้ว ยังไงเธอก็ต้องไปรถตู้นี่แหละ” เมนี่ว่า
“ก็ได้ แต่ผมให้มาย่านั่งไปด้วยคนเดียวเท่านั้น ซุปตาร์ไม่นั่งรถปะปนกับใครพวกสต๊าฟต้องไปนั่งคันอื่น” โอเจบอก
อิทธิฤทธิ์ขัดขึ้น “ไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องไปรถคันเดียวกับมาย่า ถ้ามีปัญหานักล่ะก็ รออยู่นี่แล้วกัน” อิทธิฤทธิ์พูดกับเมนี่ “พี่เมนี่เรียกรถคันใหม่เถอะครับ แล้วให้ไอ้ขี้เก๊กนี่รอไป”
“งั้นตกลงตามนี้แล้วกันนะคะ พี่เมนี่” มณีมันตราพูดกับโอเจ “ทีมงานคนอื่นไปล่วงหน้ากันหมดแล้ว คงไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนนายนะ”
“เฮ้ย ได้ไง ชั้นอยู่คนเดียวไม่ได้ ! เรายังจับไอ้แฟนคลับโรคจิตไม่ได้ไม่ใช่เหรอ เกิดมันมาโผล่มาที่นี่ล่ะ”
“ก็เพราะอย่างนี้ไงล่ะ เราถึงต้องไปกันหลายๆคน แต่นายต้องการไปรถคันเดียวนี่งั้นก็ตามสบายเลยนะ” ชนมนว่า
“ไม่ต้องกลัวไป ไอ้โรคจิตคงไม่เอาใครถึงตายหรอก อย่างมากก็แค่พิการพูดแล้วก็ขนลุก รีบขึ้นรถดีกว่า มาย่า” อิทธิฤทธิ์บอก
โอเจนิ่งคิดแค่อึดใจแล้วรีบพรวดพราดขึ้นรถตัดหน้ามณีมันตราทันที
“ชั้นก่อนๆ” โอเจพูดเสียงดัง “ใครก็ได้ยกกระเป๋าขึ้นรถด้วย”
“หมดเรื่องซักที” เมนี่พูดกับชนมน “ไปยกกระเป๋าซิ เธอ”
ชนมนเดินไปยกกระเป๋าของโอเจอย่างจำยอม
“พี่เมนี่คะ พี่ชนเป็นเพื่อนหนูนะคะ” มณีมันตราบอก
“เพื่อนกันยิ่งดี จะได้ไม่ต้องเกรงใจ ไปค่ะ น้องมาย่าขึ้นรถ เอ้า น้องอิทไปนั่งข้างคนขับค่ะ เดี๋ยวโอเจจะมีปัญหาอีก เอ้า น้องชนยกกระเป๋าเสร็จหรือยัง ขึ้นรถๆ”
เมนี่ไล่ต้อนอิทธิฤทธิ์ให้ไปนั่งข้างหน้ากับคนขับแล้วดึงมณีมันตราขึ้นรถ มณีมันตรามองไปทางเข้าบริษัทอย่างแอบมีความหวังว่าธรรม์อาจจะมา
เมนี่เร่ง “ขึ้นรถค่ะๆ รออะไรคะ น้องมาย่า”
มณีมันตราตัดใจขึ้นรถ ชนมนยกกระเป๋าเสร็จก็รีบวิ่งมาที่รถ เมนี่ที่ขึ้นรถไปแล้วเกือบปิดประตูใส่
แต่ชนมนกระโดดขึ้นรถได้ทันเวลาแล้วรีบปิดประตูรถไป
เมนี่สั่ง “ออกรถได้ !”
รถตู้แล่นออกไปจากหน้าบริษัท
อิทธิฤทธิ์ที่นั่งอยู่ข้างคนขับคอยหันมามองมณีมันตราที่นั่งอยู่กลางรถคนเดียว
ในขณะที่ชนมนนั่งอยู่กับเมนี่อย่างอึดอัดใจจนต้องหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน รถตู้แล่นออกไปเรื่อยๆ ตามถนน สักพักรถของธรรม์ก็แล่นไล่กวดตามหลังมาก่อนจะมีเสียงแตรรถดังเป็นระยะๆ
“จะแซงก็แซง จะบีบแตรทำไม” คนขับรถตู้ว่า
อิทธิฤทธิ์มองกระจกรถก็เห็นว่าเป็นรถของธรรม์
“นั่นมันรถไอ้ธรรม์ ! ซิ่งเลย พี่ อย่าให้มันตามมาทัน”
“ซิ่งหนีใครเหรอคะ ไอ้โรคจิตตามมาเหรอ” เมนี่ถาม
โอเจร้องเสียงดัง “อ๊าก ! ไอ้โรคจิต มันตามมาเหรอ”
ชนมนหันไปมองที่รถที่ซิ่งตามมา
“รถคุ้นๆนะ นั่นมันรถ”
ธรรม์กำลังขับไล่ตามรถตู้อยู่คิดหนักและตัดสินใจแล่นแซงรถตู้ไปไกลแล้วดริฟท์รถขวางถนนไว้ รถตู้ที่แล่นตามมาต้องรีบจอดรถทันที ทุกคนในรถชะโงกหน้ามองไปที่รถธรรม์เป็นตาเดียว ธรรม์เปิดประตูลงจากรถ
มณีมันตราแอบดีใจ “พี่ธรรม์”
อิทธิฤทธิ์ไม่พอใจ “โธ่เว้ย”
อิทธิฤทธิ์ตบหน้าคอนโซลรถอย่างโมโหที่หนีไม่ทัน
อิทธิพลยืนจิบกาแฟแล้วมองไปไกลๆ พลางครุ่นคิดเรื่องลูกๆ ถนอมเดินเข้ามามองอิทธิพลอย่างรู้ใจว่าเขาคิดอะไรอยู่
“คุณท่านตัดสินใจถูกแล้วล่ะค่ะ ที่อนุญาตให้คุณธรรม์ตามไป คุณมาย่าก็เหมือนคนในครอบครัวเรา เด็กอยู่ตัวคนเดียว มีเรื่องเดือดร้อนขนาดนี้ จะไม่ช่วยเหลือได้ยังไงล่ะคะ”
“นั่นก็ข้อนึง แต่คนที่น่าห่วงอีกคนก็คือนายอิทของป้าหนอม ไม่รู้ว่าจะไปช่วยเพื่อนหรือจะไปทำให้เพื่อนเดือดร้อนหนักไปอีก ชั้นก็เลยต้องยอมให้ธรรม์ตามไป”
“ที่แท้คุณท่านก็ห่วงคุณอิทนี่เอง งั้นถ้าคุณอิทกลับมา ก็อย่าดุว่าเลยนะคะ คุณอิทแอบหนีไปเพราะมีความจำเป็นจริงๆ แล้วมีคุณธรรม์ไปด้วยอย่างนี้รับรองไม่มีโอกาสได้ไปก่อเรื่องอะไรอีกแน่ๆ”
“ถ้าไม่ด่ามันเสียบ้าง เดี๋ยวมันได้เอาใหญ่หรอก กลับมาคราวนี้ยังไงก็ต้องมีการลงโทษกันบ้าง นี่ก็สั่งธรรม์คอยคุมมันไว้ ก็หวังว่าคงจะคุมมันได้ตลอด ไอ้ลูกคนนี้มีแต่ทำให้ชั้นปวดหัว”
อิทธิพลส่งถ้วยกาแฟให้ถนอมแล้วเดินออกไป
“แหม เป็นห่วงขนาดนี้แล้ว ยังทำมีฟอร์มอีกนะคะ คุณท่าน”
ถนอมยิ้มอย่างพอใจที่อิทธิพลเป็นห่วงอิทธิฤทธิ์
รถตู้กับรถธรรม์จอดแอบอยู่ที่ริมถนนอย่างเรียบร้อย เมนี่ยืนเจรจากับธรรม์
“หมวดทำอย่างนี้ได้ไงคะ ทุกคนเกือบช็อคตายกันหมดรถ” เมนี่ว่า
“ผมขอโทษจริงๆครับ ผมใจร้อนไปหน่อย แล้วนี่ตกลงผมขอตามไปด้วยคนได้มั้ยครับ คุณเมนี่”
อิทธิฤทธิ์เข้ามาแทรกทันที
“ไม่ได้ ! ไม่ได้ใช่มั้ยครับ พี่เมนี่ โอเจวีนแตกแน่ ถ้ามีคนไปเพิ่ม”
“ผมขับรถไปเองครับ ผมจะไม่ไปเป็นภาระให้ใคร” ธรรม์บอก
“ยังไงก็ไม่ได้ ใช่มั้ยครับ พี่เมนี่ บอกมันไปเลยว่า ไม่ได้” อิทธิฤทธิ์ไม่ยอม
เมนี่พูดขึ้น “ไม่ได้ค่ะ”
อิทธิฤทธิ์ยิ้มสะใจ “ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย มาทางไหน ก็กลับไปทางนั้นเลย”
ธรรม์ยอมรับคำปฏิเสธแต่โดยดี เขากำลังจะถอยออกไปแต่แล้วก็ต้องชะงัก
“อ้าว นั่นหมวดธรรม์จะไปไหนคะ ที่เมนี่บอกไม่ได้น่ะ หมายความว่า หมวดขับรถไปเองไม่ได้ หมวดต้องไปรถตู้กับเรา จะได้คอยคุ้มครองน้องมาย่าไงคะ มีตำรวจไปด้วยอย่างนี้ค่อยอุ่นใจหน่อย” เมนี่บอก
“อ้าว ! พี่เมนี่ ไหงเป็นงั้นล่ะ ไม่กลัวมาย่าเป็นข่าวกับมันหรือไง” อิทธิฤทธิ์ถาม
“นาทีนี้พี่เมนี่กลัวไอ้โรคจิตมากกว่าค่ะ หมวดธรรม์ หยิบกระเป๋าแล้วขึ้นรถเลยนะคะ” เมนี่บอก
เมนี่เดินออกไป อิทธิฤทธิ์เดินไปขวางทางธรรม์ไว้
“นายจะตามไปทำไม”
“ชั้นเป็นห่วง...เออ..เป็นห่วงทุกคน” ธรรม์พูด
“พ่อสั่งนายไม่ให้มายุ่งกับงานมาย่าอีก นายจะขัดคำสั่งพ่อเหรอไง”
“คุณพ่ออนุญาตแล้ว ไม่เหมือนนายที่มาโดยพลการ ที่จริงคุณพ่อสั่งให้ชั้นมาดูแลนายเป็นพิเศษ ถ้านายทำตัวให้น่าไว้ใจซักหน่อยนะ ชั้นก็คงไม่ต้องตามมา ถ้าจะโกรธก็โกรธตัวเองเถอะ”
ธรรม์เดินไปหยิบกระเป๋าท้ายรถ อิทธิฤทธิ์ยืนโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
ชนมนยิ้มดีใจในขณะรี่เข้ามารับกระเป๋าจากธรรม์ไปใส่ท้ายรถ
“ไม่ต้อง พี่เก็บเองได้” ธรรม์บอก
“ไม่ได้ค่ะ นี่งานของชนนะ ตอนนี้ชนเป็นเด็กขนของไปแล้ว นี่ชนดีใจจริงๆ ค่ะ ที่มีพี่ธรรม์ไปด้วย” ชนมนบอก
“สงสัยจะมีชนคนเดียวที่ดีใจ” ธรรม์ว่า
“มาย่าก็ดีใจเหมือนกันค่ะ เอ๊ะ พี่ธรรม์พูดอย่างนี้..มีเรื่องอะไรกับมาย่าหรือเปล่า ชนพูดถึงพี่ธรรม์ทีไร มาย่าก็เปลี่ยนเรื่องทุกที ชนว่า มีอะไรแปลกๆตั้งแต่ที่สตูดิโอแล้ว”
“มีอะไรที่ไหน ไม่มีอะไรซักหน่อย พี่กับมาย่าก็..เหมือนเดิม..ไม่มีอะไรจริงๆ”
อิทธิฤทธิ์เดินอาดๆ เข้ามาเหมือนจะเข้ามาหาเรื่อง
“จะคุยอีกนานมั้ย”
เมนี่โผเข้ามาลากธรรม์ไปขึ้นรถ
“ขึ้นรถได้แล้วค่ะ ขึ้นรถ”
อิทธิฤทธิ์ทำมั่วนิ่มจะตามขึ้นไปด้วย แต่เมนี่ชี้ไปทางข้างคนขับด้านหน้า
“ข้างหน้าค่ะ น้องอิท” เมนี่บอก
ธรรม์ขึ้นรถไปจะเดินตรงไปนั่งกับโอเจที่แถวหลังสุด
“แค่นี้ก็หายใจไม่ออกแล้ว ยังมีมาอีกคนเหรอ” โอเจบ่น
“ถ้าไม่มีคุณหมวดธรรม์มาคุ้มครองเราอีกคน เธออาจจะไม่มีโอกาสหายใจอีกแน่ โอเจ” เมนี่ว่า
โอเจพาดขาจองเต็มที่นั่งแถวหลังทั้งหมด
“หมวดธรรม์นั่งข้างน้องมาย่าล่ะกันค่ะ” เมนี่บอก
อิทธิฤทธิ์ที่นั่งข้างคนขับแล้วหันมามองแบบตาแทบถลนด้วยความอิจฉา ชนมนขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย เธอนั่งข้างๆ เมนี่ แล้วชนมนก็ปิดประตูรถทันที
อิทธิฤทธิ์ฉุนเฉียว “ออกรถได้ เพ่ ! ซิ่งเลย”
ธรรม์กับมณีมันตรานั่งนิ่งแบบต่างคนต่างไม่มองกัน แต่ทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะหันมามองกันแล้วต่างก็เมินหน้าหนี
ชนมนเริ่มสังเกตความสัมพันธ์แปลกๆของคู่นี้ อิทธิฤทธิ์ปักหลังหันมามองด้านหลังเพื่อจับตาธรรม์อย่างจับผิดสุดๆ
อ่านต่อตอนที่ 8