รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 8
รถตู้เริ่มวิ่งออกไปไกลจนสุดปลายถนน ถนนโล่งเงียบเชียบบรรยากาศแจ่มใสไม่น่ามีอันตรายใดๆเกิดขึ้น
ทันใดนั้นเสียงมอเตอร์ไซค์ก็แผดเสียงดัง ตี๋เล็กและบ๊วยใส่หมวกกันน็อคที่มีผ้าปิดปากขี่มอเตอร์ไซค์คู่กันมาจอด ตี๋เล็กกับบ๊วยดึงผ้าปิดปากออกแล้วหันมามองหน้ากันก่อนจะแหกปากหัวเราะดังลั่น
“แล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้” ตี๋เล็กว่า
“วันที่น้องมาย่าจะเป็นของลูกพี่” บ๊วยบอก
ตี๋เล็กกับบ๊วยมองหน้ากันแล้วหัวเราะอีกรอบ
“วันนี้ชั้นมีความสุขจริงๆเลยว่ะ” ตี๋เล็กหัวเราะร่วน
“ลูกพี่ๆ” บ๊วยสะกิดแขนตี๋เล็กเบาๆ
ตี๋เล็กยังดื่มด่ำกับนาทีที่ยิ่งใหญ่จึงหัวเราะอย่างมีความสุข
“มีไรวะ”
“แล้วลูกพี่จะหัวเราะอีกนานมั้ย เดี๋ยวตามไม่ทันนะ”
“ตามใคร”
“ตามรถน้องมาย่าไงครับ”
“เออจริง ! ตามซิวะ ตาม แล้วเพิ่งมาเตือน”
ตี๋เล็กรีบขี่รถมอเตอร์ไซค์ไปต่อ บ๊วยขี่ตามไปติดๆ
รถตู้แล่นเข้ามาจอดหน้ามินิมาร์ทขนาดใหญ่ในปั๊มน้ำมัน เมนี่พรวดพราดลงจากรถ
เมนี่ปวดฉี่มาก “พี่เมนี่ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะ ทุกคนห้ามลงจากรถเด็ดขาด”
เมนี่จ้ำเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อิทธิฤทธิ์พุ่งลงจากรถ แล้วตามมาด้วยชนมน มณีมันตราลงจากพร้อมกับธรรม์
“ย่าอยู่ในรถดีกว่า อยากได้อะไร เดี๋ยวพี่ไปซื้อให้เอง” ธรรม์บอก
“ย่าขอเดินเล่นแป๊บเดียวค่ะ นั่งรถมาเป็นชั่วโมง เมื่อยจะตาย” มณีมันตราบอก
“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่า ย่าต้องระวังตัวให้มากๆ ไม่จำเป็นก็อย่าไปไหน”
“จะต้องกลัวอะไร ย่ามีชั้นอยู่ทั้งคน” อิทธิฤทธิ์บอก “ชั้นจะดูแลย่าเอง นายไม่ต้องยุ่ง ...ไป ย่า ไปซื้อขนมกันดีกว่า”
อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตราเดินไปโดยเร็ว
“เราตามไปดีกว่าค่ะ พี่ธรรม์” ชนมนบอก
ธรรม์มองไปในรถก็เห็นโอเจนอนหลับไม่รู้เรื่องอยู่
ชนมนพูด “ปล่อยให้นอนไปเถอะค่ะ ยังไงซุปตาร์เค้าคงไม่ลงเดินกับเราแน่ๆ”
ชนมนดึงธรรม์ให้เดินออกไป เงาคนสองคนที่ดูลึกลับปรากฎขึ้นที่กระจกรถแล้วแวบหายไป
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเลือกซื้อขนมกันอยู่ มณีมันตราใส่แว่นดำอันใหญ่ คนเดินซื้อของมองอย่างไม่แน่ใจว่าเธอเป็นดาราหรือเปล่า อิทธิฤทธิ์จ้องมองคนที่มองมาอย่างเอาเรื่องจนคนที่มองมาต้องหลบไปเอง อิทธิฤทธิ์หยิบถุงผลไม้ดองผลไม้แห้งเปรี้ยวโยนใส่จนเต็มตะกร้า
“ซื้อไปทำไมตั้งเยอะแยะ” มณีมันตราถาม
“ก็ย่าเมารถไม่ใช่เหรอ”
“หายแล้ว พวกนี้ชั้นกินไม่เป็น เอาออกไปเลย”
มณีมันตราหยิบถุงในตะกร้าวางใส่ชั้นตามเดิม
“แล้วจะเอาอะไรดีล่ะ”
อิทธิฤทธิ์หยิบถุงขนมขบเคี้ยวโยนใส่จนเต็มตะกร้าอีกรอบ มณีมันตราหยิบถุงขนมออกไปอีกรอบ
“นี่เธอรู้จักชั้นมากี่ปีแล้ว อิท ชั้นแพ้ผงชูรส กินของพวกนี้ไม่ได้” มณีมันตราหลุดปาก “พี่ธรรม์ยังจำได้เลย”
“แล้วไอ้พี่ธรรม์ของเธอสนใจเธอมั้ยล่ะ ปากทำเป็นห่วง แต่ดูโน่น จะหันมามองเธอซักนิดก็ไม่มี”
ธรรม์กับชนมนอยู่ที่มุมน้ำดื่มโโยกำลังกดน้ำร้อนชงกาแฟกันอยู่ ธรรม์ชงกาแฟเสร็จก็ส่งให้ชนมนแล้วคอยเหลือบมองมณีมันตราเป็นระยะๆ
“ถ้าเป็นห่วงมาย่าขนาดนี้ ไปอยู่ใกล้ๆจะดีกว่ามั้ยคะ” ชนมนว่า
“พี่ไม่อยากมีเรื่อง”
“พี่ธรรม์เลิกทำตัวเป็นพระเอกบ้างก็ดีนะคะ”
“ทำตัวเป็นพระเอก เผื่อจะได้คู่กับนางเอกไงล่ะ”
ชนมนลองแหย่ “นางเอกคนไหนคะ นางเอกซุปตาร์ที่ชื่อมณีมันตราหรือเปล่า”
ธรรม์รีบเดินหนีออกไปอย่างแก้เก้อ ชนมนยิ้มขำแล้วรีบตามไปตอแย
“ใช่หรือเปล่าค่ะ ใช่หรือเปล่า”
มณีมันตรามองชนมนที่เดินตามแหย่ธรรม์ แล้วก็เห็นธรรม์ยิ้มเก้อๆเดินหลบไป มณีมันตรารู้สึกปลาบๆที่หัวใจ อิทธิฤทธิ์มองตามรู้สึกขัดตาอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน ทันใดนั้นเสียงมือถือของอิทธิฤทธิ์ก็ดังขึ้น อิทธิฤทธิ์หยิบมือถือขึ้นมากดรับอย่างรู้อยู่แล้ว
“อย่าเพิ่งบ่น ป้าหนอม ฟังผมก่อน”
มณีมันตราเดินออกไปโดยที่อิทธิฤทธิ์มัวแต่คุยมือถือกับถนอม
“ไม่ได้ปิดมือถือหนีครับ ไม่ได้ปิดจริงๆ แค่ลืมเปิดเท่านั้น รู้งี้ไม่เปิดหรอกพ่อว่าไงบ้าง ว่าไงก็ไม่สนหรอกนะ ฝากบอกด้วยล่ะกัน เดี๋ยวจะกลับไปให้ด่า” อิทธิฤทธิ์นิ่งฟัง “ส่งไอ้ธรรม์มาคุมผม แล้วจะมีอะไรให้เป็นห่วงอีก ครับๆ ผมจะทำตัวดีๆ ถ้ามันไม่เริ่ม ก็ไม่มีเรื่อง แค่นี้นะ ป้าหนอม”
อิทธิฤทธิ์กดมือถือปิดแล้วหันมาอีกครั้งก็ไม่เจอมณีมันตราแล้ว
ชนมนกับธรรม์เดินมานั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ม้านั่งหน้ามินิมาร์ท
“ว่าไงคะ พี่ธรรม์ ยังไม่ตอบชนเลยว่า พี่ธรรม์อยากคู่กับนางเอกคนไหน” ชนมนถาม
“เลิกพูดเถอะ ชน..” ธรรม์พึมพำ “ก็รู้ว่า มันเป็นไปไม่ได้”
“แต่ชนว่า มันเป็นไปได้ ถ้าหากพี่ธรรม์ไม่ปิดโอกาสตัวเอง พี่ธรรม์ลองทำตามที่หัวใจต้องการซักครั้งได้มั้ยคะ แล้วผลจะออกมาเป็นยังไง ก็ให้มาย่าเป็นคนตัดสินใจเอง”
ชนมนหันไปเห็นมณีมันตราเดินออกมาจากมินิมาร์ท
“ถ้าพี่ธรรม์ไม่คิดจะทำอะไรเลย พี่ธรรม์กับมาย่าจะไม่มีวันเหมือนเดิมพี่ธรรม์อยากให้เป็นอย่างนั้นเหรอคะ”
ชนมนรีบเดินออกไปที่รถตู้ มณีมันตราหันมาเห็นธรรม์มองมาก็ขยับจะเดินหนีไป ธรรม์รีบก้าวยาวๆเดินไปหา
ธรรม์ดุอย่างเป็นห่วง “ทำไมออกมาคนเดียว”
“ห่วงด้วยเหรอ..เห็นคุยกับพี่ชนไม่หยุด”
“ถ้าไม่ห่วง ก็ไม่มาหรอก”
มณีมันตรามองธรรม์นิ่งอย่างรู้สึกดีขึ้นมาทันทีและโลกก็สดใสขึ้นในพริบตา
“ขอบคุณนะคะ..ทุกคนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมากที่มีพี่ธรรม์มาด้วย ย่าดีใจ...”
เสียงอิทธิฤทธิ์ดังขึ้น “ไม่ต้องไปขอบคุณมันหรอก”
ธรรม์กับมณีมันตราหันไปมอง อิทธิฤทธิ์รีบเข้ามาแทรกกลางแล้วพูด
“มันตามมา เพราะพ่อสั่งให้มาคุมชั้น มันไม่ได้เป็นห่วงใครหรอก นอกจากห่วงตัวเอง กลัวว่าจะหลุดตำแหน่งลูกรักของพ่อ ถ้ามันห่วงย่าจริง ทำไมมันต้องทำยึกยัก ไม่บอกว่าจะมาด้วยตั้งแต่ทีแรก ชั้นพูดถูกมั้ยล่ะ”
มณีมันตราหันไปมองธรรม์เพื่อรอฟังคำตอบ
“นายพูดถูก ชั้นไม่แน่ใจว่า ชั้นควรจะตามมาหรือเปล่า” ธรรม์ฝืนใจตอบ “ถ้าคุณพ่อไม่สั่งให้ชั้นมา..ชั้นอาจจะไม่มาก็ได้”
“เข้าใจแล้วค่ะ พี่ธรรม์ตัดสินใจมาเพราะเป็นห่วงอิท ขอบคุณนะคะ ที่บอกความจริงไม่งั้นย่าก็คงจะสำคัญตัวผิดไปอีกนาน”
มณีมันตราเดินออกไปเงียบๆ อย่างเสียความรู้สึก อิทธิฤทธิ์มองธรรม์อย่างเหนือกว่าก่อนจะเดินออกไป ธรรม์นิ่งอึ้งเพราะไม่อยากพูดแก้ตัว สุดท้ายเขาก็ต้องทำตามอย่างที่อิทธิฤทธิ์ต้องการ
เมนี่เดินมาเปิดประตูรถตู้ พอชะโงกหน้าเข้าไปก็เห็นโอเจนอนหลับอยู่คนเดียว
“อ้าว ! โอเจ คนอื่นๆ ล่ะ”
โอเจขยับตัวตื่นขึ้น
โอเจงัวเงีย “ไม่รู้ ก็เห็นว่าหลับอยู่ จะไปรู้ได้ไง”
“บอกให้อยู่ในรถ ไม่ให้ไปไหน ไม่ได้ฟังกันเลย รอกันไปรอกันมา แล้วจะไปถึงกองกี่โมงเนี่ย” เมนี่บ่น
ชนมนเดินถือนิตยสารมา ธรรม์เดินตามมาด้วยหน้าตาหงอยเหงาผิดกับอิทธิฤทธิ์ที่หน้าตาเริงร่าเดินมากับมณีมันตรา
เมนี่ตะโกนเรียก “เร็วๆเข้า เราจะไปกันแล้ว น่าตีนักเชียว บอกให้รออยู่ที่รถ แต่หายเรียบหมดรถ เอ้า ! น้าหมายตื่นๆ เตรียมออกรถได้”
คนขับรถที่นั่งหลับอยู่หน้ารถขยับตัวตื่นขึ้น
โอเจร้องเสียงหลง “อ๊าก นี่มันอะไร มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทุกคนที่ยืนอยู่หน้ารถตกใจกับเสียงกรี๊ดของโอเจ
โอเจมองบนตักตัวเองที่มีกล่องของขวัญสีดำวางอยู่ โอเจนั่งเต้นเร่าๆ เพราะทำอะไรไม่ถูกแล้วเขาก็คว้ากล่องของขวัญพรวดพราดลงจากรถ
“ช่วยด้วย มันมาอีกแล้วๆ !”
โอเจโยนกล่องของขวัญให้เมนี่ด้วยความตกใจ
เมนี่ตกใจ “ว้าย! โยนให้ชั้นทำไม”
เมนี่โยนกล่องของขวัญต่อให้อิทธิฤทธิ์
“กล่องเหมือนที่มาย่าได้เมื่อวันก่อนเลย” ชนมนบอก
ธรรม์ร้องห้าม “อย่าเพิ่งเปิด”
อิทธิฤทธิ์ไม่ฟัง เขาเปิดกล่องออกแล้วหยิบของในกล่องออกมาพบว่าเป็นตุ๊กตาผูกเชือกที่คอดูน่าสยอง
อิทธิฤทธิ์ถือเชือกที่ผูกที่ตุ๊กตาห้อยร่องแร่งเหมือนตุ๊กตาผูกคอตาย
อิทธิฤทธิ์ว่า “มันต้องเป็นไอ้โรคจิตแน่”
“แต่ครั้งนี้มันให้โอเจนะ หรือจะเปลี่ยนเป้าหมาย” ชนมนบอก
โอเจผวา “อ๊าก ไม่จริงๆ ชั้นไม่มีแฟนคลับโรคจิต”
เสียงแมสเสจโทรศัพท์มณีมันตราดังขึ้น มณีมันตรากดมือถือเปิดอ่าน
“อีกไม่นานเกินรอ”
เมนี่ตกใจ “ว้าย! ไอ้โรคจิตคนเดิมจริงๆ ด้วย”
“นี่มันบุกมาถึงในรถ เอากล่องมาวางไว้บนตักชั้น โดยที่ชั้นไม่รู้ตัวเลยได้ไงเนี่ย แล้วถ้ามันทำมากกว่านั้นล่ะ ...ปาดคอ ...กะซวกไส้ ...บอดี้การ์ด ชั้นต้องการบอดี้การ์ดเดี๋ยวนี้ !!” โอเจโวยวาย
มณีมันตรายืนหน้าซีดเพราะตกใจกลัว ธรรม์ขยับจะไปหาแต่อิทธิฤทธิ์แซงหน้าดึงมือมณีมันตรามากุมไว้
“ไม่ต้องกลัว มีชั้นอยู่ด้วย ไม่มีอะไรต้องกลัว”
อิทธิฤทธิ์มองไปรอบๆ อย่างระวังตัว ชนมนขยับไปหาธรรม์
“แล้วจะทำยังไงกันดีคะ พี่ธรรม์” ชนมนถาม
“พวกมันเข้าใกล้เรามากขึ้นทุกทีๆ เราต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม” ธรรม์บอก
ทุกคนยืนนิ่งอึ้งอย่างหวาดหวั่นเพราะทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากระวังตัว
รถตู้แล่นออกไป ตี๋เล็กกับบ๊วยค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากมุมตึก
“เป็นอะไรกัน เห็นตุ๊กตาชั้นอย่างกับเห็นผี” ตี๋เล็กงง
“ก็มันเหมือนตุ๊กตาผีซะขนาดนั้น” บ๊วยว่า
“ตุ๊กตาไล่ฝนโว้ย” ตี๋เล็กเพ้อ “เพื่อไล่ความเศร้าออกจากน้องมาย่า แล้วแทนที่ด้วยความรักจากพี่ตี๋เล็ก น้องมาย่าต้องชอบแน่ๆ ถึงได้ร้องวี๊ดว๊ายกันใหญ่”
บ๊วยประชด “ใช่ๆ ลูกพี่ ตุ๊กตาเลือดสาดคอห้อยต่องแต่งของพี่ ใครเห็นก็ต้องกรีดร้องด้วยความชื่นชม รีบตามไปเถอะ ลูกพี่ เดี๋ยวตามไม่ทัน”
“น้องมาย่าจ๋า พี่ตี๋เล็กกำลังจะไปหาแล้ว อดใจรอแป๊บนึง”
ตี๋เล็กส่งจูบให้อย่างรัญจวนใจแล้วรีบเดินออกไป บ๊วยเดินตามไปติดๆ
บรรยากาศการเตรียมงานถ่ายหนังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ทีมงานกำลังจัดแสง วางกล้อง จัดฉากกันอยู่ สตีฟกำลังวางไลน์กล้องกับช่างกล้อง เมนี่เดินอย่างเร่งรีบนำขบวนตรงมา โอเจเดินตามเกาะหลังเมนี่มาติดๆอย่างหวาดหวั่น
มณีมันตรากับอิทธิฤทธิ์เดินตามหลังแล้วตามด้วยชนมนกับธรรม์ สตีฟเห็นทุกคนเพิ่งมาก็ปรี่เข้ามาโวยวายใส่ทันที
“ทำไมมาช้ากันอย่างนี้ มัวแวะทัวร์ไหว้พระ 9 วัดกันอยู่รึไง”
“ขอโทษค่ะ คุณสตีฟ เมนี่ขอโทษจริงๆค่ะ”
โอเจกลัวมาก “เรามาถึงก็บุญแล้ว คุณไม่รู้หรอกว่า เราเจออะไรกันมา”
“แล้วรู้มั้ยว่า ชั้นต้องเจออะไร ฝนตก แดดไม่ออก แมลงสัตว์กัดต่อย น้ำไม่ไหล ไฟไม่ติด แล้วก็นักแสดงไม่รู้จักเวลา” สตีฟว่า
“ไม่ต้องห่วงค่ะ มีปัญหาอะไร เดี๋ยวเมนี่จัดการให้เอง ให้มาย่ากับโอเจไปแต่งหน้าทำผมก่อนนะคะ จะได้ไม่เสียเวลา ไปๆค่ะ แยกย้ายกันเตรียมตัวได้ เดี๋ยวพี่เมนี่ขอไปดูที่พักให้ก่อน”
เมนี่เดินแยกออกไปด้วยความรีบร้อน
“ไปค่ะ พี่ชน” มณีมันตราดึงชนมนเดินไปด้วย
อิทธิฤทธิ์ขยับจะตามไปคุ้มครองมณีมันตราแต่สตีฟล็อคตัวไว้ได้ทันควัน
“ไอ้น้อง ! จะไปไหน ! ไปเปลี่ยนชุดเข้าฉาก ไป ชั้นเพิ่มบทให้เราแล้วนะ เผลอๆบทเยอะกว่าไอ้ซุปตาร์เรื่องเยอะอีก ..เดี๋ยวเราขี่มอไซด์ขึ้นเนินไปนะ.. แล้วซิ่งเฟี้ยวฟ้าวๆลงมาแบบเท่ๆ”
สตีฟลากอิทธิฤทธิ์ออกไปพลางบรีฟงานไปด้วย อิทธิฤทธิ์ชะเง้อมองมาย่าอย่างเป็นห่วงตลอดทาง
“พี่ธรรม์ไปด้วยกันซิคะ”
โอเจรีบดึงตัวธรรม์ไว้ทันที
“ไม่ได้ คุณต้องไปคุ้มครองผม ! คุ้มครองผมให้ดีๆด้วย อย่าให้ไอ้โรคจิตมาเข้าใกล้ผมได้อีก”
“ผมมาที่นี่ ไม่ได้มาเป็นบอดี้การ์ดของคุณ”
“คุณเป็นตำรวจ คุณก็ต้องคุ้มครองประชาชนซิ ไงคุณก็ต้องอยู่กับผม”
โอเจไม่ฟัง เขารีบลากธรรม์ออกไปด้วยทันที
“พี่ธรรม์..เดี๋ยวซิ” ชนมนหันไปพูดกับมณีมันตรา “ย่ารอก่อนนะ เดี๋ยวพี่ไปลากพี่ธรรม์กลับมาเอง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ย่าดูแลตัวเองได้ ไม่อยากฝืนใจใครด้วย”
มณีมันตราเดินน้อยใจออกไป ชนมนมองตามทั้งสองฝ่ายก็รู้ว่าปัญหาหัวใจยังไม่ได้เคลียร์
โอเจที่เปลี่ยนชุดสูทขาวทำหน้าวีนสุดฤทธิ์
โอเจพูดเสียงดัง “ไม่ ! ไม่เด็ดขาด ! ยังไงผมก็ไม่เล่นฉากนี้”
มณีมันตราในชุดดำสุดเท่ เมนี่และสตีฟมองโอเจแล้วก็หน้าเหวอไปตามๆกัน
“ผมเป็นซุปตาร์เอเซีย จะมาจับผมมัดกับเสากลางแดดเปรี้ยงๆเนี่ยนะ แล้วยังให้ผู้ร้ายสาดกระสุนใส่ไม่นับอีก ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาโดนผมเข้า พวกคุณจะว่ายังไง”
สตีฟโกรธ “ทีมงานของเราก็ระดับอินเตอร์นะโว้ย เออ..นะครับ เราเคยทำงานกับทีมหนังฮอลลีวู้ดมาแล้ว แล้วก่อนที่คุณจะมา เราก็ซ้อมเอฟเฟคกันไปแล้วหลายรอบ ก็ไม่มีปัญหาอะไร”
“พี่เมนี่รับรองความปลอดภัย 100 เปอร์เซ็นต์ค่ะ พี่เมนี่ขอเอาชีวิตเป็นประกัน” เมนี่บอก
“ชีวิตพี่เมนี่มีค่าไม่ได้เสี้ยวของชีวิตผม เอาเป็นประกันไม่ได้หรอก”
“อุ้ย! แรงอ่ะ”
“แล้วมันไม่จริงเหรอ” โอเจพูดกับสตีฟ “ยังไงๆ ผมก็ไม่ถ่ายฉากนี้ มีทางออกทางเดียว แก้บทซะ”
“ไม่แก้โว้ย แกให้แก้มาตั้งกี่ฉากแล้ว ชั้นจะไม่แก้อีก”
“ไม่แก้ ก็ไม่เล่น”
โอเจยักไหล่อย่างไม่แคร์ก่อนจะเดินออกไปอย่างชิลๆ
“งั้นยกกอง !” สตีฟสั่ง
“ยกกองไม่ได้นะคะ เราต้องปิดกล้องกันแล้ว” เมนี่บอก
“เราหาสแตนด์อินแทนโอเจดีมั้ยคะ” มณีมันตราเสนอ
“ตอนนี้จะไปหาสแตนด์อินได้ที่ไหนล่ะ”
อิทธิฤทธิ์ใส่ชุดดำสุดเท่เดินเข้ามา
“ผู้กำกับครับ ผมพร้อมเข้าฉากแล้วครับ”
มณีมันตรา เมนี่และสตีฟมองอิทธิฤทธิ์พร้อมกันโดยไม่ต้องนัดหมาย
ชนมนยกลังขวดน้ำและกระติกน้ำส่วนตัวเดินแจกจ่ายทีมงาน ธรรม์เข้ามาดึงลังขวดน้ำมาถือไว้เอง
“มา..พี่ช่วย..คุณเมนี่ใช้งานชนหนักไปแล้วมั้ง” ธรรม์เข้ามาช่วย
“แค่นี้สบายมากค่ะ ชนยกลังน้ำที่ร้านทุกวันอยู่แล้ว ไหนๆก็มากินฟรี อยู่ฟรีแล้ว ก็ต้องทำงานใช้คืนเค้าหน่อย” ชนมนบอก
“คุณเมนี่น่าจะเข้าใจ เราไม่ได้มาเที่ยว เรามาดูแลมาย่าต่างหาก แล้วชนก็เป็นเพื่อนมาย่า ไม่ใช่ลูกจ้าง”
“พี่ธรรม์ไม่ต้องห่วงชนหรอกค่ะ ไปดูแลมาย่าดีกว่า เค้าจะได้หายงอนพี่ธรรม์ซักที”
“พี่ก็ดูแลเค้าเท่าที่ทำได้”
อิทธิฤทธิ์ในชุดสูทขาวของโอเจเดินเฉียดมา ช่างหน้าตามซับหน้าให้ราวกับดาราใหญ่
ชนมนถามอิทธิฤทธิ์ “ทำไมใส่ชุดนี้ล่ะ?”
อิทธิฤทธิ์เหลือบตามองชนมนกับธรรม์แล้วก็ยืดเบ่งมากขึ้นไปอีก
“ก็เพราะชั้นได้เล่นเป็นพระเอกน่ะซิ”
สตีฟรีบร้อนเข้ามาดึงอิทธิฤทธิ์ไป
“พอๆ ไม่ต้องซับหน้า จะซับทำไม ไปๆ ไปเข้าฉากได้แล้ว”
“ผมมีบทพูดหรือเปล่า ถ้าบทยาว ผมขอเวลาท่องแป๊บนึงนะครับ”
“ไม่มีบทพูด ! เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า เราน่ะเป็นสแตนด์อิน ไม่ได้ให้เป็นพระเอกจริงๆ ซักหน่อย”
สตีฟสวมถุงผ้าใส่หัวอิทธิฤทธิ์ทันทีโดยที่ถุงผ้านั้นเจาะรูตาและจมูกเอาไว้ แล้วสตีฟก็ลากตัวอิทธิฤทธิ์ไปอย่างรวดเร็ว
ธรรม์กับชนมนมองตามอย่างขำๆ
อิทธิฤทธิ์ถูกทีมงานจับมัดติดกับเสาบนเนิน สตีฟ เมนี่ และผู้ช่วยนั่งดูมอนิเตอร์อยู่ในเต้นท์ผู้กำกับ
ชนมนกับธรรม์เดินเข้าไปดูมอนิเตอร์ด้วย
“พร้อม!” สตีฟบอก
สต๊าฟตีสเลท “บอดี้การ์ดสุดซ่ากับซุป’ตาร์สุดแสบ ซีน 60 เทค 1 แอ็คชั่น”
เอฟเฟ็คปืนระเบิดขึ้นเปรี้ยงปร้างรอบๆ ตัวอิทธิฤทธิ์อย่างน่าหวาดเสียว อิทธิฤทธิ์ตกใจกลัวจริงจึงกระโดดเต้นไปเต้นมา
“เฮ้ยๆๆ อะไรกันวะเนี่ย”
ชนมนกับธรรม์มองอิทธิฤทธิ์ในมอนิเตอร์
ชนมนขำ “สมน้ำหน้า !”
สตีฟสั่งทางวอ. “ปล่อยมาย่า”
มณีมันตราวิ่งซิกแซกระแวดระวังฝ่าดงกระสุนไปหาอิทธิฤทธิ์ ชนมน ธรรม์ เมนี่ และสตีฟจ้องดูมอนิเตอร์อย่างลุ้นๆ มณีมันตรารีบเข้าไปแก้มัดให้อิทธิฤทธิ์ มณีมันตราประคองอิทธิฤทธิ์วิ่งลงเนินไป
กระสุนปืนดังเปรี้ยงปร้างเฉียดอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราไปตลอดทาง
“ดีมาก” สตีฟสั่งทางวอ. “ระเบิด !”
ระเบิดตูมใหญ่ระเบิดเฉียดใกล้อิทธิฤทธิ์และมณีมันตรา อิทธิฤทธิ์ดึงมณีมันตราเข้ามากอด ทั้งคู่หลบหมอบระเบิด เอฟเฟคระเบิดดังขึ้นอีกครั้ง อิทธิฤทธิ์เสียหลักพามาย่ากลิ้งหลุนๆ ลงมาจากเนิน
ชนมน ธรรม์ เมนี่และสตีฟมองมอนิเตอร์ตาค้างตกใจ อิทธิฤทธิ์กอดมณีมันตรากลิ้งลงมาถึงพื้นราบ อิทธิฤทธิ์ยั้งตัวเองไว้ไม่ทันจึงเซล้มมาทับมณีมันตรา ปากอิทธิฤทธิ์แตะปากมณีมันตราโดยมีผ้าบางๆ ของถุงผ้ากันไว้เท่านั้น
หน้าของอิทธิฤทธิ์ในถุงผ้าประชิดกับหน้ามณีมันตรา ทั้งสองมองตากันแล้วก็ตกใจจนอึ้งไปทั้งคู่
ชนมน ธรรม์ เมนี่และสตีฟจ้องมอนิเตอร์อย่างไม่แน่ใจ
“สองคนนั้น..จูบกัน...ใช่หรือเปล่า” สตีฟถาม
“ไม่ใช่..ไม่โดน..มั้ง” เมนี่บอก
ชนมน ธรรม์ เมนี่และสตีฟนิ่งตัวแข็งเหมือนเวลาหยุดนิ่งไปสองวินาทีเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง
“ไม่น่ะ ไม่ใช่หรอก” ชนมนบอก
“นั่นซิ ไม่ใช่หรอก” ธรรม์เห็นด้วย
ทุกคนอ้ำอึ้งงงงันเพราะไม่แน่ใจ ต่างก็ปฏิเสธโดยหลอกตัวเองว่าอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราไม่ได้จูบกัน
“Excellent! Cut!”
มณีมันตรารีบลุกขึ้นเดินหนีไป อิทธิฤทธิ์ถอดถุงผ้าออกโยนขึ้นฟ้าแล้วยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
มณีมันตรากำลังเช็ดเครื่องสำอางออกที่หน้ากระจกในเต๊นท์นักแสดง อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาเมียงๆมองๆ มณีมันตราอย่างเก้อเขินแต่ก็แอบสุขใจอยู่ลึกๆ
“มาย่า..เมื่อกี้ขอโทษนะ”
“ขอโทษเรื่องอะไร”
“ก็ขอโทษเรื่องที่ชั้น..ชั้น....”
มณีมันตราทำไม่รู้เรื่อง “อ๋อ ขอโทษที่พาชั้นกลิ้งลงเนินไปน่ะเหรอ ไม่เป็นไรหรอกคุณสตีฟชอบมาก บอกว่าภาพสวย จังหวะก็ได้ เอาไปใช้ในหนังได้เลย”
อิทธิฤทธิ์เริ่มขุ่นใจ “เธอก็รู้ว่า ชั้นขอโทษเธอเรื่องอะไร”
“ไม่เป็นไรหรอก อุบัติเหตุเกิดขึ้นกันได้” มณีมันตราบอก
“สำหรับเธอ มันเป็นแค่อุบัติเหตุเหรอ”
“ใช่ มันเป็นแค่อุบัติเหตุ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น”
มณีมันตราจ้องอิทธิฤทธิ์โดยพยายามบอกในทีไม่ให้อิทธิฤทธิ์คิดอะไรไปไกล
“อิท..ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น..ไม่มีจริงๆ”
“แต่สำหรับชั้น..มันมี..มันมีความหมายสำหรับชั้นมากกว่าที่เธอคิด”
อิทธิฤทธิ์เดินออกไปอย่างเจ็บจี๊ดที่หัวใจ มณีมันตรามองตามอย่างหนักใจ
เมนี่ส่งกุญแจห้องพักให้มณีมันตรา
“นี่กุญแจห้องของน้องมาย่าค่ะ ห้องซุปเปอร์สวีท สวยที่สุด วิวดีที่สุด ทางรีสอร์ทจัดเตรียมห้องนี้ไว้ให้น้องมาย่าโดยเฉพาะเลย”
โอเจเข้ามาฉกกุญแจห้องไปจากมือมณีมันตรา
“งั้นผมขอห้องนี้”
“ห้องโอเจก็ห้องสวีทเหมือนกันนะ เป็นห้องซุปเปอร์..ซุปเปอร์สวีทเลยล่ะ ห้องใหญ่สุด พิเศษพอๆกับห้องน้องมาย่าเลย” เมนี่บอก
“จะพิเศษได้ไง ในเมื่อห้องมาย่าสวยที่สุด วิวดีที่สุดแล้ว ซุปตาร์เอเซียอย่างผมต้องได้ห้องที่เป็นที่สุดๆ อย่างนี้แหละ”
โอเจเดินออกไปอย่างสบายใจ พนักงาน 3-4 คนที่รออยู่แล้วพาโอเจออกไป
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พี่เมนี่ ให้ห้องโอเจเค้าไปเถอะค่ะ”
มณีมันตรารับกุญแจห้องอีกดอกมาจากเมนี่
“งั้นก็ตามใจค่ะ ไปค่ะ พี่เมนี่พาไปที่ห้อง”
“เดี๋ยวค่ะ รอพี่ชนก่อน พี่ชนไปไหนแล้วล่ะคะ” มณีมันตรามองหา
ชนมนกับธรรม์ช่วยกันยกกระเป๋าเดินเข้ามา
มณีมันตราต่อว่า “พี่เมนี่คะ”
เมนี่ทำไม่รู้ไม่ชี้ “น้องชนเค้ารู้งานเองค่ะ พี่เมนี่ไม่ได้สั่ง หมวดธรรม์ พี่ฝากน้องมาย่า พรุ่งนี้ตีห้าครึ่งล้อหมุนนะคะ ทุกคน”
เมนี่รีบเดินออกไป มณีมันตรายืนมองธรรม์ โดยที่ชนมนซึ่งเป็นคนกลางยืนมองสองคนไปมา
“ไปซิคะ พี่ธรรม์ พี่เมนี่ฝากให้พี่ธรรม์ดูแลมาย่านะคะ”
มณีมันตราดึงกระเป๋าจากธรรม์มาแล้วเดินออกไปเงียบๆ ชนมนมองธรรม์ที่ทำหน้าเฉยอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 2
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
มณีมันตราเปิดประตูเข้ามาตามมาด้วยชนมนและธรรม์ ธรรม์ถือกระเป๋าของตัวเองกับชนมนเข้ามาแล้วก็วางกระเป๋าทั้งสองใบลง
“โอ้โห ห้องสวยจังเลย”
ชนมนมองรอบๆห้องอย่างตื่นตาตื่นใจก่อนจะวิ่งไปเข้าไปดูห้องนอน ห้องน้ำ และเดินไปที่ระเบียง
“ว้าว..โห..สุดยอด”
มณีมันตรานั่งลงทำหน้านิ่งเฉย ธรรม์เดินสำรวจประตูและหน้าต่าง
“ประตูหน้าต่างต้องล็อคไว้ตลอดเวลานะ ถ้าใครมาเคาะประตูก็ดูให้ดีเสียก่อน อย่าไปไหนคนเดียว ถ้ามีอะไรผิดปกติ โทรเรียกพี่นะ”
“คุณลุงสั่งให้พี่ธรรม์ตามมาดูแลอิทไม่ใช่เหรอคะ ไปดูอิทเถอะค่ะ ย่าดูแลตัวเองได้”
“พี่ก็ตามมาดูแลทุกคนแหละ ตอนนี้เรื่องความปลอดภัยสำคัญที่สุด ย่าอย่ามามัวงอนเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่เลยนะ พี่พูดอะไร ก็ฟังกันบ้าง” ธรรม์ว่า
ชนมนเดินกลับเข้ามาหยุดฟัง
“ไม่ได้งอน ! ก็พี่ธรรม์บอกย่าให้ดูแลตัวเองไม่ใช่เหรอ ย่าก็จะดูแลตัวเองไม่ให้เป็นภาระของใคร”
ธรรม์ดุอย่างผู้ใหญ่ “คิดอย่างนั้นได้ก็ดี ก็ขอให้ดูแลตัวเองให้ได้ตลอดนะ”
ธรรม์คว้ากระเป๋าของตัวเองแล้วเดินออกไปจากห้อง ชนมนมองทั้งสองคนที่หมางเมินกันอย่างอ่อนใจ
“ทำไมไม่พูดกันดีๆ แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่จะเข้าใจกัน พี่ว่า ย่างอนพี่ธรรม์แบบไม่ค่อยมีเหตุผลเลย พี่ธรรม์ก็ตามมาดูแลย่าแล้ว จะเอาไงอีก”
มณีมันตราเสียงอ่อยลง “ก็ไม่รู้เป็นไง กับพี่ธรรม์ ย่าไม่อยากมีเหตุผลด้วย”
“เป็นอย่างนี้กับพี่ธรรม์คนเดียวใช่มั้ย ...แล้วย่ารู้มั้ยว่า ทำไม”
มณีมันตราปากแข็ง “ไม่รู้ค่ะ แล้วก็ไม่อยากรู้ด้วย”
มณีมันตราหยิบกระเป๋าเดินหนีไป ชนมนมองตามและรู้ว่าเรื่องระหว่างธรรม์กับมณีมันตราเริ่มชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
อิทธิฤทธิ์นอนคว่ำหน้าแผ่หราอยู่บนเตียงด้วยอารมณ์เซ็งๆ เรื่องที่จูบมณีมันตรา ธรรม์ไขประตูเข้ามา อิทธิฤทธิ์ผงกหัวขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้หันไปมอง
“ใครอ่ะ บอกแล้วไง ไม่ต้องมายุ่ง ติดป้ายห้ามรบกวนไว้ ไม่เห็นหรือไง หา!”
อิทธิฤทธิ์ลุกขึ้นนั่งแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นธรรม์
อิทธิฤทธิ์ถามเสียงขุ่น “เข้ามาทำไม”
“คุณเมนี่ให้ชั้นพักห้องเดียวกับนาย” ธรรม์บอก
“เฮ้ย! ไม่ได้เด็ดขาด ยังไงก็ไม่”
“ก็แค่คืนสองคืน อย่าทำเรื่องมากไปหน่อยเลย นายน่ะโตแล้ว หัดทำตัวเป็นผู้ใหญ่ได้แล้ว”
อิทธิฤทธิ์นิ่งอึ้งไปนิดก่อนจะทำใจยอมรับสถานการณ์อย่างไม่เต็มใจ
“เออ..ก็ได้..แต่ชั้นไม่นอนเตียงเดียวกับนาย นายนอนที่พื้นไป”
ธรรม์มองไปที่เตียงเดี่ยวหลังใหญ่แล้วตอบ “ได้”
“ชั้นต้องใช้ห้องน้ำก่อน”
“ได้”
“เวลานอน ต้องปิดไฟมืด”
“ได้”
“ห้ามกรน ห้ามละเมอ ห้ามเคลื่อนไหว”
“ได้ ไม่มีปัญหา มีอะไรอีกมั้ย”
“แค่นี้ก่อน คิดออก เดี๋ยวจะบอก” อิทธิฤทธิ์บ่นด้วยความหงุดหงิด “โธ่เว้ย ทำไมซวยอย่างนี้วะ ทำไมต้องมานอนห้องเดียวกับไอ้นี่ด้วย เซ็งๆๆ”
“นี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้ ถึงเราจะอยู่บ้านเดียวกันมาเป็นสิบปี เราก็ไม่เคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันเลย ถ้ามีเรื่องอะไรที่นายไม่เข้าใจชั้น..ครั้งนี้จะเป็นโอกาส”
อิทธิฤทธิ์ขัดขึ้น “ชั้นรู้จักนายดีพอแล้ว รู้ตั้งแต่วันแรกที่นายเหยียบเข้ามาในบ้านชั้น นายเข้ามาในชีวิตชั้น เพื่อแย่งทุกอย่างจากชั้นไป และชั้นกำลังจะเอาทุกอย่างที่เป็นของชั้นกลับคืนมา”
อิทธิฤทธิ์เดินปึงปังออกไป ธรรม์นิ่งอึ้งไป
ตี๋เล็กโผล่หน้ามาจากพุ่มไม้แล้ววิ่งลัดเลาะไปหลังพุ่มไม้ก่อนจะโผล่หน้าขึ้นมาเป็นระยะๆ บ๊วยวิ่งลัดเลาะแอบหลังพุ่มไม้เข้ามาหาตี๋เล็ก
“ไง ได้เรื่องป่าววะ”
“ไอ้บ๊วยซะอย่าง ทำไมจะไม่ได้เรื่อง คืองี้นะ ลูกพี่ ผมไปสืบมาได้แล้ว ตอนแรกน้องมาย่าอยู่ห้อง 110 แต่ต้องแลกห้องกับไอ้โอเจ เลยต้องย้ายไปห้อง101 แล้วไอ้ โอเจขอกลับมาห้องเดิม น้องมาย่าก็เลยกลับไปอยู่ห้อง 110 แต่เห็นแม่บ้านบอกว่า เมื่อกี้ย้ายกลับไปห้อง 101 แล้ว แล้วก็ย้ายกลับไปห้อง 110 อีก”
ตี๋เล็กงง “แล้วตกลงน้องมาย่าอยู่ห้องไหนกันแน่ 101 หรือ 110”
บ๊วยงงเหมือนกัน “เออ..นั่นดิ 110 หรือ 101 เออ..ห้อง 101 ใช่ๆ ต้องเป็นห้อง 101ห้องเดิมนั่นแหละ”
“โอเคๆ ห้อง 110” ตี๋เล็กท่องผิด “ห้อง 110”
บ๊วยพูดผิดตาม “ใช่ๆ ลูกพี่ ห้อง 110”
ตี๋เล็กยิ้มหวาน “แล้ววันที่พี่ตี๋เล็กรอคอย..ก็มาถึงซะที ห้อง 110 ,110”
ตี๋เล็กและบ๊วยท่องเบอร์ห้องพักงึมงำๆ อย่างจริงจังและงุนงง
ตี๋เล็กกับบ๊วยที่ใส่หน้ากากค่อยๆปีนขึ้นมาที่ระเบียงห้องแล้วรีบหงายหลังกลับลงไปใหม่ เพราะชนมนหอบกองหนังสือออกมาจากห้องโอเจ ชนมนเดินออกไป
ตี๋เล็กกับบ๊วยปีนกลับมาใหม่แล้วหันมองหน้าก่อนจะยิ้มให้กันว่านี่ใช่ห้องมณีมันตราแน่ๆ
“ห้องนี้แน่”
“อยู่คนเดียวด้วย ทางสะดวก”
มณีมันตรายืนอาบน้ำสระผมใต้ฝักบัวโดยมีม่านบังอยู่
บ๊วยกำลังแงะกลอนประตูระเบียงด้วยลวด ตี๋เล็กมองซ้ายมองขวาคอยระวังให้
มณีมันตราอาบน้ำเสร็จก็ดึงผ้าขนหนูมานุ่งแล้วเอาผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมให้แห้ง
บ๊วยเปิดประตูให้ตี๋เล็กเดินเข้าไปในห้อง บ๊วยยกนิ้วโป้งให้แล้วผลุบออกไป
มณีมันตราหยิบเสื้อคลุมอาบน้ำมาใส่แล้วเอาผ้าขนหนูโพกหัวไว้
ตี๋เล็กเดินย่องไปหยุดอยู่ที่หน้าห้องน้ำ
มณีมันตรามองกระจกดูอีกครั้งแล้วจะออกจากห้องน้ำ เธอเอามือจับลูกบิด
ตี๋เล็กยืนแอบอยู่หลังประตูห้องน้ำ ประตูห้องน้ำเปิดผลัวะออกมา โอเจซึ่งมีผ้าขนหนูโพกหัว ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำเดินออกมาจากห้องน้ำนั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตี๋เล็กไม่ทันมองแต่กระโจนเข้าใส่โอเจจากทางด้านหลัง
“ฮันนี่มาแล้วจ้ะ น้องมาย่าจ๋า น้องมาย่าของฮันนี่”
โอเจเซไปตามแรงของตี๋เล็กจนล้มหน้าคว่ำลงไปบนเตียง
โอเจร้องเสียงหลง “เฮ้ย!”
“แหม ไม่ต้องร้องเสียงใหญ่ขนาดนั้นก็ได้ ไม่มีอะไรต้องกลัว”
ตี๋เล็กโผเข้ากอดรัดโอเจ โอเจดิ้นรนขยะแขยงและกลัวจนจิตหลุด เขาร้องไม่ออกแต่ทำหน้าเหยเก
“ฮันนี่ขอกอดเฉยๆ รับรองว่า ไม่ทำอะไรมากกว่านี้ สัญญาๆ”
โอเจรวบรวมกำลังพลิกตัวกลับมา ตี๋เล็กได้เห็นโอเจเต็มตาก็นิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจ
โอเจกับตี๋เล็กร้องพร้อมกัน “อ๊าก !”
ตี๋เล็กกับโอเจกระโดดออกจากเตียงแทบพร้อมกัน ตี๋เล็กวิ่งหนีไปประตูที่ออกไปทางระเบียงแล้วกระโจนออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
โอเจแหกปากเสียงดัง “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
โอเจเผ่นพรวดออกไปอีกทาง เขาเปิดประตูออกไปจากห้องพักทันที
โอเจวิ่งหน้าตื่นมาตามทางเดินหน้าห้องพัก
โอเจแหกปาก “ช่วยด้วย! ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”
ชนมนเปิดประตูออกมาจากห้องตามมาด้วยมณีมันตราที่ใส่เสื้อคลุมอาบน้ำและมีผ้าโพกศีรษะ
“เกิดอะไรขึ้น ใครทำอะไรนาย” ชนมนถาม
ธรรม์กับอิทธิฤทธิ์รีบร้อนพุ่งตรงมาที่ชนมนกับมณีมันตรา
“ช่วยด้วย ! ช่วยด้วย !” โอเจแหกปาก
“ก็จะให้ช่วยอะไร ก็บอกมาซิ” อิทธิฤทธิ์ถาม
“มีคนแอบเข้ามาในห้องชั้น”
ธรรม์สั่ง “ทุกคนอยู่นี่นะ อย่าไปไหน”
ธรรม์วิ่งออกไปทางห้องพักโอเจทันที เมนี่ในชุดนอนบางพริ้วเพิ่งโผล่เข้ามา
“มีอะไร โอเจร้องโวยวายทำไม”
“มีคนเข้าไปในห้องผม..มัน..พยายาม..พยายาม” โอเจละลักละล่ำ
“มันทำอะไร..มันเข้าไปขโมยของเหรอ” มณีมันตราถาม
โอเจอาย “มัน..มัน..เข้าไปปล้ำผม”
“อ้าว เป็นผู้หญิงหรอกเหรอ” ชนมนถาม
“ผู้หญิงที่ไหน มันเป็นผู้ชาย ตัวใหญ่เป็นควายเลย พอเจอชั้นปุ๊บมันก็กระโดดปล้ำชั้นเลย ร้องเรียกแต่ชื่อ น้องมาย่าๆ”
“งั้นมันก็คือ..” เมนี่เอ่ยออกมา
อิทธิฤทธิ์ ชนมน มณีมันตราพูดพร้อมกัน “ไอ้โรคจิต”
ทุกคนตกใจมองหน้ากัน
ตี๋เล็กหน้าตาตื่นวิ่งหนีมาจากทางห้องพัก บ๊วยโผล่พรวดมาจากหลังพุ่มไม้ที่แอบอยู่
“เป็นไง ลูกพี่ หน้าตาแจ่มอย่างนี้ ฟินล่ะซี้” บ๊วยว่า
“ฟินบ้าอะไร นั่นมันใช่ห้องน้องมาย่าที่ไหน ห้องไอ้โอเจมัน” ตี๋เล็กขนลุกขนพอง “อี๋ยๆๆ ชั้นเกือบจะเสร็จมันแล้ว”
“เป็นไปได้ไง ผมสืบมาดีแล้วนา ลูกพี่ตาฝาดหรือเปล่า”
“ชั้นเห็นหน้ามันเต็มๆสองตา หน้าใกล้จนแทบจูบปากมัน ยังไงก็ดูไม่ผิด”
บ๊วยหัวเราะขำ “เกือบจูบปากเลยเหรอ ลูกพี่ ดีเหมือนกันนะ ได้ประสบการณ์แปลกๆใหม่ๆ”
“เดี๋ยวแกก็ได้ลูกถีบแปลกๆใหม่ๆหรอก ไอ้บ๊วย”
ตี๋เล็กยกเท้าจะถีบบ๊วย บ๊วยพลิ้วตัวหลบหลีกทัน
“ลูกพี่ๆ หนีเร็ว ! มีคนมา”
ตี๋เล็กหันมองตามบ๊วยที่ชี้ไปทางธรรม์ที่กำลังลัดเลาะตรงมาที่ทั้งสองแอบอยู่ บ๊วยเผ่นพรวดออกไป ตี๋เล็กรีบวิ่งตาม
ตี๋เล็กพูดเสียงดัง “รอด้วย !”
ธรรม์ได้ยินเสียงตี๋เล็กก็รีบหันไปตามเสียง ตี๋เล็กวิ่งตามบ๊วยไป
ธรรม์ตะโกน “เฮ้ย หยุด”
ธรรม์วิ่งไล่กวดตี๋เล็กกับบ๊วย ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหนีลัดเลาะหลบไปหลังพุ่มไม้ ธรรม์วิ่งไล่จนทัน เขาคว้าคอเสื้อตี๋เล็กมาได้และกำลังจะเอื้อมมือกระชากหน้ากากออก บ๊วยเข้ามาคว้ามือธรรม์ไว้ทันแล้วกระชากตัวธรรม์ออกมา ธรรม์ซัดบ๊วยไปเต็มหมัดจนบ๊วยเซออกไป ตี๋เล็กกระโดดกอดธรรม์จากด้านหลัง
บ๊วยตั้งตัวได้ก็กระโดดชกหน้าธรรม์ ธรรม์สะบัดตัวจนตี๋เล็กหลุดออกไป บ๊วยคว้าถังขยะใส่ใบไม้แห้งสาดใส่ธรรม์จนฝุ่นและใบไม้แห้งปลิวฟุ้ง
บ๊วยตะโกน “หนีเร็ว ลูกพี่”
บ๊วยดึงตัวตี๋เล็กหนีไประหว่างที่ธรรม์กำลังถูกฝุ่นเข้าตาจนมองอะไรไม่เห็น ธรรม์ตั้งหลักได้ก็วิ่งไล่กวดตี๋เล็กกับบ๊วยอีก
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งหน้าตั้งหนีมามุมสวนรกๆของรีสอร์ต ธรรม์วิ่งตามมาเห็นตี๋เล็กกับบ๊วยผลุบๆโผล่ๆตามพุ่มไม้
ธรรม์วิ่งปรื๊ดตรงไปแต่แล้วก็ไม่เจอใครเลย
“หายไปไหนแล้ว”
ธรรม์วิ่งตามต่อไป
เสียงบ๊วยดังขึ้น “อดทนไว้ ลูกพี่ อดทนไว้”
“ไม่ไหวแล้วโว้ย” ตี๋เล็กว่า
รองเท้าหล่นตุ๊บลงจากต้นไม้ตามด้วยขาของตี๋เล็กกับบ๊วยที่หลุดจากกิ่งไม้แล้วห้อยต่องแต่งไปมา
พริบตาเดียวตี๋เล็กกับบ๊วยก็ร่วงหล่นลงพื้นดังตุ๊บ
“อ๊าก !! โอ๊ย !!”
บ๊วยร้องไม่หยุด “อ๊ากๆๆๆ”
“อะไรวะ” ตี๋เล็กถาม
“หมามุ่ย !” บ๊วยบอก
บ๊วยกระโดดเกาไปตามตัวเหย็งๆ แล้ววิ่งออกไปอย่างเร็ว ตี๋เล็กเริ่มคันบ้างแล้ววิ่งตามออกไป
“เฮ้ย!! รอด้วย”
ตี๋เล็กกับบ๊วยวิ่งเกาหลังเกาก้นไปตลอดทาง
ชนมนส่งคูลแพ็คให้ธรรม์เอาไปประคบหน้าที่ถูกชกมา มณีมันตราที่นั่งอยู่กับอิทธิฤทธิ์แอบมองธรรม์อย่างเป็นห่วง
“พวกมันมากันสองคน น่าจะเป็นพวกเดียวกับที่ตามมาย่าไปที่สตูดิโอ” ธรรม์บอก
เมนี่เดินไปมาเดินคิดหาทางแก้ไขปัญหา ส่วนโอเจผุดลุกผุดนั่งอย่างหวาดหวั่น
“ตายแล้วๆ ไอ้โรคจิตมันตามมาถึงนี่เลยเหรอ แล้วจะทำไงดีล่ะทีนี้” เมนี่กังวล
“ผมต้องการบอดี้การ์ดอย่างน้อยสี่คนคุ้มครองผมตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง” โอเจบอก
“มาย่าต่างหากที่จะต้องมีคนคอยคุ้มครอง มันตั้งใจเข้าหามาย่า ไม่ใช่นาย เป็นผู้ชายหรือเปล่า ห่วงแต่ตัวเอง” ชนมนว่า
“ผู้ชายตายไม่เป็นหรือไง ไม่รู้ล่ะ คืนนี้ต้องมีคนไปอยู่เป็นเพื่อนผม”
“เอาล่ะค่ะๆ ยังไงทั้งน้องมาย่าทั้งโอเจก็ต้องมีคนคอยคุ้มครอง” เมนี่บอก
“ผมจะมานอนเฝ้าที่ห้องนี้เอง” อิทธิฤทธิ์มองธรรม์ “คนอื่นไม่ต้อง”
“แต่พี่เมนี่อยากให้หมวดธรรม์มาเฝ้าด้วย ไม่มีปัญหาใช่มั้ยคะ หมวด”
ชนมนตอบแทน “พี่ธรรม์ไม่มีปัญหาอยู่แล้วล่ะค่ะ พี่ธรรม์มาที่นี่ก็เพื่อจะมาดูแลมาย่าอยู่แล้ว ใช่มั้ยคะ พี่ธรรม์”
มณีมันตรามองธรรม์ที่ยังนิ่งคิดไม่ตอบอะไร ธรรม์อึดอัดใจที่อิทธิฤทธิ์จ้องหาเรื่องอยู่
“แต่ย่าว่าไม่จำเป็นค่ะ ย่ามีพี่ชนอยู่เป็นเพื่อนคนเดียวก็พอแล้ว” มณีมันตรามองธรรม์ “ไม่อยากรบกวนคนอื่น”
“ไม่ได้ค่ะ เราไม่รู้ว่าไอ้โรคจิตมันจะโผล่มาอีกเมื่อไหร่ คืนนี้ขอทั้งน้องอิทและหมวดธรรม์อยู่คุ้มครองน้องมาย่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ จบค่ะ แยกย้ายกลับห้องได้”
มณีมันตราอ้าปากจะค้านอีก โอเจโวยวายขึ้นก่อน
“เดี๋ยวๆ ยังไม่จบ แล้วผมล่ะ ใครจะคุ้มครองผม”
เมนี่นิ่งและคิดออก “พี่เมนี่คิดออกแล้วล่ะค่ะว่า ให้ใครมาคุ้มครองเธอดี”
โอเจมองเมนี่ด้วยความสงสัย
โอเจกับสตีฟยืนประจันหน้ากัน
สตีฟกับโอเจพูดพร้อมกัน “ไม่ !”
“ไม่ ! หัวเด็ดตีนหลุดก็ไม่” สตีฟบอก
โอเจพูดทันที “ผมก็ไม่ ! ผมเป็นซุปตาร์เอเซีย ผมต้องการบอดี้การ์ดมืออาชีพ ไม่ใช่ผู้กำกับติสต์แตก ถ้ามีคนบุกเข้ามาอีก จะช่วยอะไรผมได้”
“ก็ตอนนี้พี่เมนี่หาใครไม่ได้แล้ว น่า โอเจนะ” เมนี่พูดกับสตีฟ “ช่วยอยู่เป็นเพื่อนโอเจซักคืนนะคะแค่คืนเดียว”
“ไม่เอา ! ผมเป็นผู้กำกับ ไม่ใช่ยาม ! ทำไมต้องมาเฝ้ามันด้วย” สตีฟว่า
“ถ้าหาดีกว่านี้ไม่ได้ ผมจะกลับกรุงเทพฯ” โอเจบอก
เมนี่เสียงเข้มขึ้น “กลับไม่ได้ ! ถ้ากลับ ชั้นจะให้คุณสุวิชฟ้องเธอให้หมดตัวเลยฐานเบี้ยวสัญญาถ่ายหนัง” เมนี่พูดกับสตีฟ “ส่วนคุณ ! ถ้าไม่อยู่นะ เลิกหวังเลยว่า จะได้ทำหนังเรื่องต่อไปกับบริษัทเรา”
สตีฟกับโอเจนิ่งอึ้งอย่างยอมจำนน ทั้งสองต่างมองหน้ากันอย่างเดียดฉันท์ที่สุด
“ขอบคุณนะคะที่ให้ความร่วมมือ”
เมนี่ยิ้มหวานแกมโหดใส่สตีฟกับโอเจ
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ช่วยกันยกโต๊ะ โซฟาในห้องแอบเข้าข้างฝาเพื่อเตรียมพื้นที่ไว้นอน ธรรม์ปูผ้าคลุมเตียงไว้ที่ใกล้หน้าประตูห้องนอนของมณีมันตราแล้วโยนหมอนวางลงไปบนผ้าคลุม อิทธิฤทธิ์เหล่มองแล้วรีบปูผ้าคลุมเตียงใกล้ประตูห้องกว่าผ้าคลุมเตียงของธรรม์เป็นการเกทับ แถมด้วยการเขี่ยผ้าคลุมเตียงของธรรม์ให้ไปไกลๆ แล้วเอาหมอนอิงมาวางเรียงกั้นกลาง
ธรรม์ขำปนระอา “เด็กจริงๆ !”
อิทธิฤทธิ์ทำปากยื่นเอาแต่ใจ “ว่าใคร?”
“แล้วคิดว่าใครล่ะ ชั้นคงเหนื่อยเปล่าที่พยายามจะให้นายทำตัวเป็นผู้ใหญ่กับเค้าซักที”
“อย่าคิดว่า ตัวเองจะดีวิเศษกว่าคนอื่นไปซะหมด ที่แส่ตามมา ก็รู้แล้วว่านายไม่ได้ดีจริง ไหนบอกว่า ไม่ยุ่งกับมาย่าแล้วไง พูดแล้วไม่ทำตามที่พูดลูกผู้ชายเค้าไม่ทำกัน”
“ถ้าชั้นไม่ตามมาต่างหาก ถึงจะไม่เป็นลูกผู้ชาย มาย่ากำลังตกอยู่ในอันตราย ยังไงชั้นก็ต้องมา”
มณีมันตราแง้มประตูห้องนอนออกมาโดยถือหมอนไว้จะเอาออกมาให้อิทธิฤทธิ์ แต่เธอก็หยุดชะงักฟัง
“มีชั้นอยู่ทั้งคน ไม่มีใครทำอะไรมาย่าได้หรอก” อิทธิฤทธิ์คุยโว
“ชั้นไม่แน่ใจว่า นายจะดูแลมาย่าได้ ที่วันก่อนมาย่าเจ็บตัวไม่ใช่เพราะนายหรอกเหรอ”
อิทธิฤทธิ์โกรธที่ถูกสบประมาท “ไอ้ธรรม์ !”
มณีมันตรายิ้มแบบแอบดีใจที่ธรรม์เป็นห่วง
“นี่ตกลงจะเอายังไงกันแน่ นี่นายคิดจะแข่งกับชั้นงั้นเหรอ ที่นายเคยบอกว่าไม่ได้คิดอะไรกับมาย่า นายโกหกงั้นสิ”
ธรรม์นิ่งอึ้งเพราะพูดไม่ออก มณีมันตราที่แอบฟังอยู่แอบลุ้น อิทธิฤทธิ์เดินไปจ้องตาธรรม์อย่างคาดคั้น
“ว่ายังไง นายคิดอะไรกับมาย่า..”
ธรรม์ฝืนใจโกหก “ชั้นไม่ได้โกหก ชั้นไม่เคยคิดอะไรกับมาย่า ชั้นเห็นมาย่าเหมือนน้องสาว แล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยน”
มณีมันตราค่อยๆ ถอยกลับเข้าห้องด้วยใจหวิวๆ ทั้งเศร้าและเจ็บ
อิทธิฤทธิ์ยิ้มโล่งใจ “ดีแล้วที่คิดได้อย่างนั้น นี่จะบอกอะไรให้นะ พรุ่งนี้ชั้นจะบอกรักมาย่า ชั้นจะขอเค้าเป็นแฟน”
ธรรม์นิ่งอึ้ง ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วแต่ก็ไม่วายรู้สึกเจ็บจนพูดอะไรไม่ออก
“ต่อไปชั้นกับมาย่าจะคบกันจริงจัง ชั้นจะเป็นคนดูแลมาย่าเอง ...ทำไมเงียบไปล่ะ จะไม่พูดอะไรซักหน่อยเหรอ”
“นายกับมาย่าเหมาะสมกันมาก..ชั้นดีใจด้วยจริงๆ”
ธรรม์หันหลังให้อิทธิฤทธิ์แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าเจ็บปวด อิทธิฤทธิ์มองตามโดยไม่ได้รู้สะใจดีใจอย่างที่คาดไว้
เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองชนะธรรม์เลย
มณีมันตรานั่งถือบทหนังอยู่บนเตียง ตาของเธอเหม่อลอยคิดถึงสิ่งที่ธรรม์พูดก่อนหน้านี้ ชนมนเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ
“ขอโทษนะ พี่อาบน้ำนานไปหน่อย เพิ่งรู้ว่า นอนแช่น้ำอุ่นนี่มันดีอย่างนี้นี่เอง สบายตัวจริงๆ” ชนมนชะงักมองมณีมันตรา “ย่าเป็นอะไรหรือเปล่า”
ชนมนรีบเข้าไปนั่งข้างมณีมันตราที่หน้าเศร้าอย่างปิดไม่มิด
“เครียดเรื่องที่ไอ้โรคจิตตามมาเหรอ ไม่ต้องเครียดไป เดี๋ยวเราต้องจับตัวมันได้แน่ๆ จะให้พี่ช่วยอะไรก็บอกมาได้เลย”
มณีมันตราขยับตัวเข้าไปกอดชนมนไว้
“ขอบคุณค่ะ พี่ชน..ย่าไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่..รู้สึกโหวงๆ ข้างใน”
“มีอะไร เล่าให้พี่ฟังได้นะ”
มณีมันตราขยับตัวออกจากชนมนแล้วนิ่งคิดถึงชีวิตตัวเอง
“ย่าใช้ชีวิตอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก พ่อกับแม่ทำธุรกิจต้องเดินทางไปต่างประเทศตลอด ยิ่งย่าเข้าวงการ ย่าก็ต้องยิ่งโต ยิ่งต้องรับผิดชอบมากขึ้น ต้องเผชิญปัญหาด้วยตัวเอง ย่ารู้สึกเหมือนอยู่คนเดียวในโลกนี่เลย”
“ย่ายังมีอิทนะ” ชนมนบอก
“อิทเป็นเพื่อนที่ดีค่ะ พี่ชน แต่อิทเติมในสิ่งที่ย่าขาดไม่ได้ ย่าอยากมีใครซักคนที่ทำให้ย่าอุ่นใจ ใครที่ย่าอยู่ด้วยแล้วมีความสุข ใครที่จะอยู่ข้างๆ ย่าได้ตลอดไป”
“แล้วย่าได้เจอใครคนนั้นหรือยัง”
“เจอหรือไม่เจอ ก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ มันเป็นได้แค่ความฝันค่ะ ย่าอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครมาได้ ย่าก็ต้องอยู่ต่อไปให้ได้”
ชนมนมองมณีมันตราอย่างพอเดาได้ว่ามณีมันตราพูดถึงธรรม์
เต๊นท์เล็กเก่าๆขาดๆ ที่จะล้มมิล้มแหล่ตั้งอยู่ใต้ต้นใหญ่ ตี๋เล็กนั่งกอดเข่าตัวงอ ปากสั่นกึกๆด้วยความหนาวอยู่หน้าเต๊นท์ บ๊วยกำลังพยายามก่อไฟด้วยกองกิ่งกระจุกเล็กๆ เขาจุดไม้ขีดไฟแต่จุดแล้วดับๆจนเหลือไม้ขีดก้านสุดท้าย
บ๊วยถือไม้ขีดที่จุดไฟอยู่อย่างหมายมาด ตี๋เล็กจามใส่ทำให้ไฟที่ไม้ขีดดับวูบทันที บ๊วยถือไม้ขีดที่ก้านหัวดำๆ แล้วหันไปมองตี๋เล็กตาละห้อย ตี๋เล็กกับบ๊วยนั่งกอดเข่าเบียดกันเพราะหนาวจนฟันกระทบกึกๆ
ชนมนเปิดประตูห้องนอนออกมาท่ามกลางแสงสลัวๆ ในห้อง ชนมนย่องเดินออกมาโดยไม่ทันเห็นว่าอิทธิฤทธิ์นอนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู ชนมนเดินสะดุดตัวอิทธิฤทธิ์ที่นอนขวางอยู่จนเกือบจะล้ม
อิทธิฤทธิ์โวยขึ้นมา “เฮ้ย ! ใครวะ”
อิทธิฤทธิ์พรวดพราดลุกขึ้น ชนมนเซจะล้ม อิทธิฤทธิ์พุ่งตัวชาร์ทชนมนจนล้มลงไปที่พื้น
ชนมนโวย “เฮ้ย! ปล่อย”
“จับได้แล้ว ! ไอ้โรคจิต”
“นายซิ ไอ้โรคจิต ! นี่ชั้นเอง”
ชนมนดิ้นขลุกขลักอยู่ในอ้อมกอดของอิทธิฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์หยุดชะงักแต่ยังกอดชนมนไว้อยู่
“อ้าว ! เธอเองเหรอ”
อิทธิฤทธิ์หยุดจ้องมองชนมนในเงามืดซึ่งพอมีแสงสลัวๆ ให้เห็นว่าเป็นชนมน
“เป็นเธอจริงๆ ด้วย”
“ก็จริงน่ะซิ ปล่อยได้ยัง”
อิทธิฤทธิ์ยังไม่ยอมปล่อยมือจากชนมน เขาชะโงกหน้าไปใกล้จนจมูกแทบชนจมูกของชนมน
“อยู่ในที่มืดๆ อย่างนี้ เธอดูสวยเหมือนกันนะ..”
“บอกให้ปล่อย ! อย่าให้ต้องใช้กำลังนะ”
อิทธิฤทธิ์ขำ “แรงผู้หญิงไงก็สู้ผู้ชายไม่ได้หรอก”
อิทธิฤทธิ์แกล้งรั้งชนมนเข้ามาในอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก
ชนมนเสียงเหี้ยม “งั้นเหรอ !?”
ชนมนยกเข่าขึ้นกระแทกใส่อิทธิฤทธิ์จนตัวงอ
อิทธิฤทธิ์ร้องดังลั่น “โอ๊ย !”
ชนมนเอามือผลักและใช้เท้าถีบอิทธิฤทธิ์จนกระเด็นวืดออกไปชนเก้าอี้ล้มปึงปัง มณีมันตราเปิดประตูออกมาจากห้องนอนเกือบพร้อมๆกับธรรม์ที่เพิ่งกลับเข้าห้อง
“พี่ชน ! เกิดอะไรขึ้น”
ธรรม์รีบกดเปิดไฟทำให้ห้องทั้งห้องสว่างพรึ่บ
ธรรม์เข้าไปถาม “ชน ! เป็นอะไรหรือเปล่า”
ชนมนยืนมองอิทธิฤทธิ์ที่นอนตัวงออยู่ที่พื้นแล้วหันไปยิ้มให้ธรรม์กับมณีมันตรา
“ไม่มีอะไรค่ะ เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย”
ชนมนหันไปมองอิทธิฤทธิ์ด้วยความสะใจ
ธรรม์วางชามโคมใบใหญ่ใส่บะหมี่สำเร็จต้มเสร็จลงตรงหน้าชนมน มณีมันตรารีบส่งช้อนและตะเกียบให้ชนมนอย่างเอาใจ ชนมนเริ่มกินบะหมี่ด้วยความหิวจัด
“พี่ชนหิวก็ไม่บอก ทีหลังไม่ต้องเกรงใจกันอย่างนี้นะคะ ปลุกย่าได้เลย”
“วันนี้ชนได้กินข้าวบ้างหรือเปล่า พี่เห็นชนช่วยงานที่กองถ่ายไม่ได้หยุดเลย” ธรรม์ถาม
“ได้กินค่ะ” ชนมนเสียงอ่อย “ได้กินข้าวเที่ยง พอหลังจากนั้นก็ยุ่งๆจนลืมกินข้าวไปเลย”
อิทธิฤทธิ์ยืนฟังห่างออกไปก็ชะงักเมื่อได้รู้ตัวว่าลากชนมนมาลำบาก
มณีมันตราพูดจริงจัง “พรุ่งนี้พี่ชนไม่ต้องไปช่วยงานที่กองแล้วนะคะ ย่าจะพูดกับพี่เมนี่ให้เอง”
“โอ๊ย ไม่เป็นไรหรอก พี่ไม่ชอบอยู่เฉยๆ มีอะไรช่วยได้ ก็ช่วยกันไป” ชนมนกินไม่หยุด
“ชนนี่กินอะไรก็ดูอร่อยไปหมด แต่บะหมี่นี่ไม่น่าจะอร่อยสู้ข้าวผัดร้านลุงชูได้หรอก” ธรรม์ว่า
อิทธิฤทธิ์เหล่มองธรรม์อย่างหมั่นไส้ที่รู้จักชนมนมากเกินไปแล้ว
อิทธิฤทธิ์ถาม “นายเคยไปบ้านชนด้วยเหรอ”
“พี่ธรรม์เคยไปส่งที่บ้านครั้งสองครั้ง” ชนมนตอบแทน
ธรรม์มองอิทธิฤทธิ์แล้วก็เกิดอารมณ์อยากกวนขึ้นมา
“ครั้งสองครั้งอะไร พี่ว่าพี่ไปบ่อยกว่านั้นนะ เออใช่ บางครั้งพี่ไปแต่ไม่เจอชน เจอแต่เจ้าชินตัวแสบ” ธรรม์คุยอวด “ชนเค้าสอนพิเศษหลายที่ แล้วยังต้องช่วยอาจารย์ทำวิจัยอีก พี่ก็เลยไปหาเก้อหลายครั้ง”
อิทธิฤทธิ์นึกได้ “ที่น้องเธอบอกว่า มีตำรวจไปจีบนี่ นายธรรม์นี่เองเหรอ”
ธรรม์ยิ้มรับแบบไม่ตอบรับไม่ตอบปฏิเสธ ชนมนกำลังกินบะหมี่เต็มปากจึงแก้ตัวไม่ทัน
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราจ้องมองธรรม์อย่างคลางแคลงใจและหงุดหงิดหัวใจ
อ่านต่อหน้า 3
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ชนมนส่งยาแก้ปวดหัวให้ธรรม์
“นี่ค่ะ ยาแก้ปวด พี่ธรรม์ปวดหัวมากมั้ยคะ พี่ธรรม์ก็ไม่น่าไปเดินตากน้ำค้างนี่นา ที่นี่ก็มีรปภ.ทำหน้าที่เวรยามอยู่แล้ว”
“ไอ้โรคจิตมันเข้ามาถึงตัวโอเจได้ แล้วจะให้พี่ไว้ใจรปภ.ที่นี่ได้ยังไง” ธรรม์ว่า
“แล้วนี่มีไข้หรือเปล่าคะ”
ธรรม์ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ชนมนเพื่อจะให้ชนมนแตะหน้าผากเขา
“ไม่รู้ซิ จับดูหน่อยซิ ตัวร้อนหรือเปล่า”
ชนมนถอยหลังไปหนึ่งก้าวเพราะตกใจ
“พี่ธรรม์เป็นอะไรไปคะ”
ธรรม์ทำไม่รู้ไม่ชี้ก่อนจะดึงมือชนมนมาแตะที่หน้าผากตัวเอง
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราที่อยู่ที่ระเบียงมองมา อิทธิฤทธิ์ตาแทบถลน ในขณะที่มณีมันตรานิ่งอึ้ง ชนมนดึงมือตัวเองออกแล้วจ้องธรรม์อย่างค้นหาความจริง
“พี่ธรรม์คะ ชนไม่ชอบเป็นเครื่องมือของใครนะ” ชนมนว่า
“พี่ขอโทษ ชนก็รู้ พี่ไม่มีสิทธิ์.. พี่ถึงต้องทำแบบนี้” ธรรม์บอก
“พี่ธรรม์ทำแบบนี้เพื่อให้อิทสบายใจว่า พี่ธรรม์ไม่ใช่คู่แข่งของเค้า ทำให้มาย่าตัดใจจากพี่ธรรม์ได้ง่ายขึ้น แล้วพี่ธรรม์คิดจะทำอะไรเพื่อตัวเองบ้างหรือเปล่า”
“พี่ไม่ต้องการอะไร นอกจากให้ทุกคนมีความสุข เท่านั้นก็พอแล้ว”
ธรรม์ขยับตัวจะเดินออก ชนมนดึงแขนธรรม์ไว้ไม่ให้ไป
“พี่ธรรม์แน่ใจนะคะว่า มาย่าจะมีความสุข ชนอยากให้พี่ธรรม์เปิดโอกาสให้ตัวเอง แข่งกับอิทอย่างแฟร์ๆ ไม่ใช่หลีกทางโดยไม่ยอมสู้อย่างนี้ พี่ธรรม์คิดยังไงกับมาย่า ก็บอกเค้าไปเถอะค่ะ ก่อนที่จะสายเกินไป”
ชนมนเลื่อนมาจับมือธรรม์อย่างเอาใจช่วย
อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรามองชนมนกับธรรม์ด้วยความรู้สึกแสบๆคันๆ ที่หัวใจ
“อิท..พี่ชนกับพี่ธรรม์..เค้า.เค้าชอบกันเหรอ” มณีมันตราถาม
อิทธิฤทธิ์ทำไม่สนใจ “คงงั้นมั้ง..เรื่องของคนอื่น ไม่ต้องไปสนหรอก”
มณีมันตราปากแข็ง “เค้าสองคน..ดูสมกันดีเนอะ”
“เฮอะ..เราสองคนดูสมกันกว่าตั้งเยอะ”
“อิท..”
มณีมันตราจะห้ามและขยับตัวหนี แต่แล้วก็เปลี่ยนใจยืนนิ่งให้อิทธิฤทธิ์เอามือกอดคอเธอไว้
ชนมนกับธรรม์มองไปที่อิทธิฤทธิ์กับมณีมันตรา ทั้งสองคู่ต่างมองกันไปมาด้วยความรู้สึกเจ็บกันไปเป็นแถบๆ
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์นอนลืมตาโพลงอยู่บนพื้นหน้าประตูห้องนอนมณีมันตรา อิทธิฤทธิ์นอนพลิกตัวไปมาและฟาดมือฟาดขาไปถูกธรรม์ที่นอนอยู่ข้างๆ
อิทธิฤทธิ์พาล “เฮ้ย ! ขยับไปหน่อย มานอนทำไมใกล้ๆ”
ธรรม์ขยับที่นอนออกไปห่างจากอิทธิฤทธิ์ แต่อิทธิฤทธิ์ยังคงฟาดงวงฟาดงาอยู่บนที่นอน เดี๋ยวนอนคว่ำเดี๋ยวนอนหงายเพราะนอนไม่หลับ อยู่ๆอิทธิฤทธิ์ก็ผุดลุกขึ้นมานั่ง
อิทธิฤทธิ์โพล่งออกมา “นายจีบชนไม่ได้นะ”
ธรรม์ลุกขึ้นมานั่งแล้วมองอิทธิฤทธิ์อย่างขำๆ
“ทำไมจะไม่ได้”
“ชั้นบอกว่า ไม่ได้ก็ไม่ได้ !”
ธรรม์จ้องตาอิทธิฤทธิ์อย่างคาดคั้นเหมือนอย่างที่อิทธิฤทธิ์เคยทำกับเขา
“นายคิดอะไรกับชนงั้นเหรอ”
“เฮ้ย ไม่ได้คิด ! .ใครจะบ้าคิดอะไรกับยัยโหด เค้าต้องติวให้ชั้นสอบผ่าน ไม่ใช่เวลาที่จะมีแฟน อยู่ห่างๆชนไว้ อย่าให้ต้องเตือนอีก”
“ชั้นรับปากไม่ได้หรอก ชั้นชอบอยู่ใกล้ๆชนซะด้วยซิ นายก็น่าจะรู้ ชนเป็นผู้หญิงที่อยู่ใกล้ๆ แล้วมีความสุข”
อิทธิฤทธิ์กัดฟันกรอด “ไอ้ธรรม์ !”
ธรรม์ล้มตัวลงนอนไปแล้วหันหลังให้อย่างไม่สนใจอิทธิฤทธิ์อีก อิทธิฤทธิ์เงื้อมือจะทุบหลังธรรม์แต่ก็ทำไม่ได้จึงได้แต่ทุบหมอนปั๊กๆไปสองสามที อิทธิฤทธิ์โมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงก่อนจะล้มตัวลงนอนดิ้นพราดไปมาใต้ผ้าห่มอย่างอารมณ์เสีย
มณีมันตรานอนลืมตาโพลงอยู่บนเตียงข้างๆ ชนมนที่กำลังเคลิ้มจะหลับ อยู่ๆ มณีมันตราก็ลุกขึ้นนั่ง
มณีมันตราโพล่งออกมา “พี่ชนชอบพี่ธรรม์เหรอคะ”
ชนมนลืมตาพรึ่บอย่างตกใจแล้วลุกขึ้นนั่งมองมณีมันตราอย่างงงๆ
“ทำไมคิดงั้นล่ะ”
“พี่ธรรม์เป็นผู้ชายที่อบอุ่น ไม่น่ามีผู้หญิงคนไหนที่ได้รู้จักพี่ธรรม์แล้วจะไม่ชอบ”
“พี่เจอพี่ธรรม์ครั้งแรกก็คลิกเลย” ชนมนบอก
มณีมันตรามองชนมนอย่างใจเสีย
“แต่เราไม่ได้คลิกกันอย่างที่ย่าคิด พี่ธรรม์เหมือนพี่ชายที่เราสามารถคุยได้ทุกเรื่อง” ชนมนบอก
“แต่ย่าว่า พี่ธรรม์ไม่ได้คิดกับพี่ชนแค่น้องสาว”
“ไม่มีวันที่พี่เค้าจะมองพี่เป็นอย่างอื่น พ่อพี่เคยบอกนะว่า ผู้ชายเวลามีความรักมักจะทำเรื่องโง่ๆ เสมอ”
“ยังไงคะ”
“ก็อย่างที่พี่ธรรม์ทำในวันนี้ไง รักแต่บอกว่าไม่ อยากอยู่ใกล้ แต่กลับทำตัวออกห่าง ไม่เคยคิดว่า ตัวเองดีพอ แต่เค้าไม่รู้หรอก แค่รัก ก็พอแล้วสำหรับทุกอย่าง จริงมั้ยล่ะ ย่า”
มณีมันตรามองชนมนแล้วนิ่งคิด
เช้าวันต่อมา ชูชัยกลิ้งถังแก๊สถังใหญ่มาเปลี่ยนแล้วยกถังแก๊สถังเก่าออก ชูชัยยืนหอบเหนื่อยกว่าปกติ
ชินพัฒน์ถือซองพลาสติคใส่ขวดยาเปล่า 2-3 ขวดมาชูต่อหน้าพ่อ
ชินพัฒน์ดุ “นี่อะไร พ่อ ยาหมดทำไมไม่บอก วันนี้เราต้องไปหาหมอกัน”
“รอให้ไอ้ชนกลับมาก่อน” ชูชัยว่า
“ทำไมต้องรอพี่ชน ผมก็พาพ่อไปหาหมอได้ หมอสั่งแล้วนะ ว่าพ่อต้องกินยาคุมเบาหวานไว้ ถ้าพ่อเป็นหนักกว่านี้ ทีนี้ต้องฉีดยาด้วยนะ อยากโดนเข็มจิ้มก้นทุกวันหรือไง พ่อ”
“หมอก็พูดขู่ไปอย่างงั้นแหละ ชั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก ขาดกินยาไปซักอาทิตย์สองอาทิตย์จะเป็นไรไป”
ชินพัฒน์จ้องชูชัย “เราไม่มีเงินค่ายาเหรอ พ่อ งั้นต้องโทรหาพี่ชน ให้พี่ชนเบิกค่าติวล่วงหน้ามาใช้ก่อน”
“ไม่ต้อง ! บอกว่า ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรซิวะ”
ชินพัฒน์ทิ้งตัวลงนั่งอย่างเซ็งๆ
“โอ๊ย ทำไมเราต้องจนขนาดนี้ด้วย พ่อ พี่ชนบอกว่า เมื่อก่อนเรามีตังค์ไม่ใช่เหรอ เราเคยมีบ้าน เคยมีรถ แล้วมันหายไปไหนหมดอ่ะ พ่อ”
“ใช่ ก่อนที่แกจะเกิด เราเคยสบายกว่านี้ เรามีเงินใช้ ไม่ต้องทำงานหนักขนาดนี้ แต่ครอบครัวเราไม่เคยได้อยู่อย่างสุขสงบ ชั้นรู้ว่า ชั้นทำให้ชีวิตพวกแกลำบาก แต่ชั้นตัดสินใจไม่ผิดหรอก ไอ้ชิน คนเราเกิดมาต้องใช้ชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ถ้าเราเงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน นั่นแหละ แสดงว่า เราทำในสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
ชินพัฒน์มองชูชัยตาแป๋วอย่างไม่รู้เรื่องอะไรเลยซักนิด
“นานๆ พูดยาวๆที พูดได้ดีจริงๆ แล้วไง พ่อ ทำไมเราถึงจนกรอบขนาดนี้พ่อเล่นหุ้นหมดตัว โดนเพื่อนโกง หรือบริษัทไฟไหม้ โดนน้ำท่วม แผ่นดินไหว มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตพ่อ เราถึงมาจบด้วยการเปิดร้านข้าวผัด”
“แล้วซักวัน..แกจะรู้เอง” ชูชัยบอก
“ตอบอย่างนี้ทั้งปี ไม่บอกก็ไม่อยากรู้ มาพูดให้อยากแล้วจากไป เซ็งจิต”
ชินพัฒน์เดินออกไป ชูชัยกลับไปขยับถังแก๊สเก่าให้เข้าที่แต่ก็ต้องเซจนเกือบล้มเพราะหน้ามืด
ชินพัฒน์ตกใจ “พ่อ !”
ชินพัฒน์วิ่งกลับมาพยุงชูชัยที่กำลังทรุดฮวบลงให้นั่ง ชูชัยรู้สึกหัวใจเต้นแรงและมือเท้าอ่อนไปหมด
อิทธิพลมองรูปถ่ายของชาติชายในแว่นดำ 3-4 รูปที่เป็นภาพแอบถ่ายอย่างเคร่งเครียดเพราะยังคงแค้นใจไม่เคยลืม เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ขออนุญาตครับ !” นายตำรวจคนที่เคาะประตูบอก
“เข้ามาได้”
นายตำรวจเดินถือแฟ้มเข้ามา เขาทำความเคารพแล้ววางแฟ้มลงบนโต๊ะ
“เร็วดีนี่ ข้อมูลใหม่ของนายเก่งกาจใช่มั้ย”
“ไม่ใช่ครับ ท่าน..นี่เป็นที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์และก็ประวัติของ”
อิทธิพลยกมือขึ้นห้ามไม่ให้นายตำรวจพูดต่อ เพราะเปิดแฟ้มและเห็นข้อมูลแล้ว
อิทธิพลสั่ง “ออกไปได้”
นายตำรวจเห็นหน้าอิทธิพลเคร่งเครียดก็รีบทำความเคารพแล้วเดินออกจากห้องไป
“นฤดี...”
อิทธิพลมองที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ที่วางอยู่ตรงหน้าด้วยความหนักใจ
อิทธิฤทธิ์กับชนมนกำลังขุดร่องดินล้อมรอบต้นไม้ใหญ่เพื่อเตรียมลงดอกไม้สวยๆ ชนมนหยุดพักปาดเหงื่อด้วยความเหนื่อยก่อนจะโยนพลั่วลงพื้น
“ชั้นไม่ไหวแล้ว นายทำไปคนเดียวเหอะ” ชนมนว่า
“เฮ้ย ได้ไง เธอสัญญากับชั้นแล้วว่า เธอจะช่วยชั้น” อิทธิฤทธิ์บอก
“ชั้นบอกว่า ชั้นจะมาช่วยดูแลมาย่าต่างหาก ไม่ได้จะมาช่วยสร้างฉากเพื่อให้นายได้..” ชนมนพูดไม่ออก
“บอกรักมาย่า..ทำไมแค่นี้พูดไม่ออก ทีกับไอ้ธรรม์ ไม่เห็นเป็นอย่างนี้เห็นพูดไม่หยุด เมื่อวานพูดอะไรกับมันตั้งนานสองนาน”
“เรื่องของชั้น ! ชั้นช่วยก็ได้ ไหนดูแบบหน่อยซิ ชั้นจะได้รู้ว่าชั้นต้องทำอะไรบ้าง”
อิทธิฤทธิ์ชี้ไปที่ภาพสเก็ตช์ที่แปะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ชนมนเดินเข้าไปดูภาพสเก็ตช์ภาพฝันของอิทธิฤทธิ์ที่เป็นลานหญ้ากว้างเรียบมีต้นไม้ใหญ่ มีชิงช้าสีขาวประดับดอกไม้จุ๋งจิ๋งผูกอยู่กับต้นไม้ มีกอดอกไม้สีสวยสดปักรอบๆ ชิงช้าเป็นรูปหัวใจและมีเทียนนับร้อยปักอยู่กับดอกไม้ ในขณะที่ความเป็นจริงบริเวณนี้เป็นสวนรกร้างที่มีต้นไม้ใหญ่ง่อยๆ 1 ต้น รอบๆต้นไม้เพิ่งขุดดินรอลงกอดอกไม้ไปไม่กี่ฟุตมีสภาพที่ดูเหมือนบรรยากาศหนังสยองขวัญ
อิทธิฤทธิ์เอ่ยถาม “เจ๋งป๊ะ”
“เจ๋ง แต่นายทำเองคนเดียวเถอะ ชั้นขอบาย ช่วยไม่ไหวจริงๆ”
“ชั้นขอร้องล่ะ เธอจะให้ชั้นทำอะไรก็ได้ ชั้นยอมทั้งนั้น ขอให้ช่วยชั้นนะ นะๆ ขอครั้งนี้ครั้งเดียว แล้วจะไม่ขออะไรอีกเลย”
“พูดงี้ตลอด!” ชนมนนิ่งคิด “งั้นก็ได้ นายต้องเรียกชั้นว่า “พี่” ก่อน”
“ให้ทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ”
“แล้วทำไม เรียกชั้นว่า “พี่” นี่มันยากนักเหรอ”
อิทธิฤทธิ์รวน “ทำไมอยากเป็นพี่ชั้นนักเหรอ อยากเป็นพี่ชั้นหรืออยากเป็นพี่สะใภ้บอกมาให้เคลียร์ๆ !”
อิทธิฤทธิ์ไม่เคยเรียกชนมนว่า “พี่” แรกเพราะความกวนแต่ตอนนี้เขารู้สึกว่ามีอะไรจี๊ดๆในใจจนเรียกชนมนว่าพี่ไม่ได้
ชนมนยิ้มกวน “ตอนนี้ขอเป็นพี่นายไปก่อนแล้วกัน พี่สะใภ้มันเป็นเรื่องของอนาคต ชั้นเป็นรุ่นพี่นาย ติวหนังสือให้นาย นายควรจะให้ความเคารพชั้นบ้าง มันก็ถูกต้องแล้ว ไม่ใช่เหรอ ...ไหนเรียกซิ!”
อิทธิฤทธิ์พูดงึมงำ “พี่..พี่ชน”
“พูดว่าอะไรนะ ให้มันเสียงดังฟังชัดสมเป็นลูกผู้ชายหน่อย”
อิทธิฤทธิ์กระดากปาก “พี่...ชน”
ชนมนวิ่งไปไกลขึ้น “อะไรนะ ไม่ได้ยินเลย”
“เฮ้ย! ขี้โกงนี่”
ชนมนไม่สนใจ เธอสะใจที่ได้แกล้ง “คุกเข่า ขอร้องด้วย”
อิทธิฤทธิ์ตกใจ “หา!!”
ชนมนตะโกน “พูดตามนี้นะ “พี่ชนครับ กรุณาช่วยผมหน่อยนะครับ”
“ไม่เอา”
“งั้นไม่ช่วย”
ชนมนจะเดินกลับ อิทธิฤทธิ์วิ่งมาคุกเข่าต่อหน้า ชนมนชะงัก
อิทธิฤทธิ์พูดอย่างจริงใจ “พี่ชนครับ กรุณาช่วยผมหน่อยนะครับ”
ชนมนยังไม่ทันจะตอบ เมนี่ก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“น้องอิทขา...อยู่นี่เอง อุ๊ย! แหมๆ พี่เข้ามาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าคะ”
อิทธิฤทธิ์รีบลุกขึ้นวางฟอร์ม “เปล่านี่ ผมแค่ก้มลงผูกเชือกรองเท้า”
ชนมนมองอิทธิฤทธิ์อย่างเจ็บปวด
“อ๋อ ...งั้นไปค่ะ ไปเข้าฉากได้แล้ว”
อิทธิฤทธิ์พูดรวบรัดกับชนมน “ชั้นทำตามที่เธอขอแล้วนะ ฉะนั้นเธอก็ต้องช่วยชั้น”
“เร็วเข้าค่ะ เดี๋ยวคุณสตีฟวีนแตก”
เมนี่ลากอิทธิฤทธิ์ออกไป
อิทธิฤทธิ์หันมาพูด “ถ่ายเสร็จ เดี๋ยวกลับมาช่วย”
ชนมนมองไปรอบๆ ด้วยความเซ็งเพราะไม่เห็นอนาคตว่ามันจะสำเร็จได้ยังไง
อิทธิฤทธิ์ในชุดดำสุดเท่กับสมุนมาเฟียตัวประกอบก้าวเข้ามายืนโพสเรียงหน้ากระดาน สตีฟ เมนี่และผู้ช่วยผกก.กำลังดูมอนิเตอร์อยู่
“ไอ้น้องคนนี้มันมีแววจริงๆ !” สตีฟชม
ธรรม์เดินเข้ามายืนรวมกับกลุ่มทีมงานเบื้องหลังแล้วมองไปรอบๆอย่างจับสังเกต อิทธิฤทธิ์วิ่งตามหามณีมันตรากับโอเจแล้ววิ่งหลุดออกไป
มณีมันตรากับโอเจโผล่มาจากหลังต้นไม้ที่อยู่บนเนิน
“พวกมันไปแล้วค่ะ คุณโทนี่”
โอเจรวบมือมณีมันตรามากุมอย่างสุดซึ้งแล้วก็รวบรัดตัดอารมณ์บู๊ทันที
“คุณวีรินทร์ครับ ซารังเฮโย” โอเจพูด
สตีฟพลิกบทดูแทบไม่ทัน
“ทำไมสั้นนักวะ ชั้นไม่ได้เขียนอย่างนี้นี่” สตีฟว่า
โอเจบอกรักไม่ทันขาดคำ ปืนลั่นเข้าใส่ไหล่ของมณีมันตราจนเธอสะดุ้งเฮือก
โอเจตะโกน “คุณวีรินทร์ !!”
มณีมันตราล้มลงแล้วกลิ้งลงมาตามเนินสูงเป็นทางยาวหลายตลบ ธรรม์ยืนมองมอนิเตอร์อย่างเป็นห่วงแทน
สตีฟสั่งเสียงดัง “คัท ! ยอดเยี่ยม Awesom !”
ทีมงาน 2 คนวิ่งไปหามณีมันตราที่ค่อยๆ ลุกขึ้นด้วยท่าทางมึนงง อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ต่างวิ่งแข่งไปหามณีมันตรา อิทธิฤทธิ์วิ่งแทรกตัวเข้าไปถึงมณีมันตราก่อน อิทธิฤทธิ์เข้าไปช่วยพยุงมณีมันตราขึ้น ธรรม์ชะงักและได้แต่ยืนมอง
“เป็นอะไรหรือเปล่า ย่า”
“ไม่เป็นไร สนุกดี”
ผู้ช่วยผู้กำกับวิ่งเข้ามาหามณีมันตรา
“น้องมาย่าครับ คุณสตีฟขอเทค แต่จะขอถ่ายน้องมาย่าคนเดียว เดี๋ยวขึ้นไปบนเนินแล้วกลิ้งลงมาใหม่นะ”
“ก็ใช้สแตนด์อินซิครับ โอเจเค้ายังใช้เลย”
“พี่ไม่รู้ครับ คุณสตีฟสั่งมาอย่างนี้”
“เดี๋ยวพี่ไปคุยกับคุณเมนี่ให้เอง”
“ไม่ต้องค่ะ ย่าเป็นคนบอกเองว่า ย่าไม่ใช้สแตนด์อิน ย่าอยากเล่นเองทุกฉาก ถ้าย่ากลัวเจ็บ ก็คงไม่รับเล่นหนังแอ็คชั่นหรอกค่ะ”
มณีมันตราเกาะอิทธิฤทธิ์ที่พยุงเธอออกไป ธรรม์มองตามอย่างเป็นห่วง
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์เดินมาหยุดดูที่หน้ามอนิเตอร์โดยเขม่นมองกันเล็กน้อย สตีฟ เมนี่และผู้ช่วยอยู่ประจำที่
สตีฟสั่งทางวอ. “แอคชั่น !”
มณีมันตราล้มล้มกลิ้งลงมาจากเนินลงถึงเชิงเนินแล้วพยายามลุกขึ้นด้วยสีหน้าเจ็บปวด
สตีฟสั่งอีก “แอคชั่น !”
มณีมันตราล้มกลิ้งลงมาหลายครั้งด้วยแล้วลุกขึ้นด้วยความรู้สึกต่างๆ ทั้งเจ็บปวด,เคียดแค้น, อ่อนแอ
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์มองอย่างรู้สึกเจ็บแทนและเป็นห่วง โอเจเพิ่งเดินเข้ามาหยุดมองมอนิเตอร์แล้วก็เริ่มรู้สึกทึ่งกับความอึดและความสามารถของมณีมันตรา
สตีฟตบเข่าฉาดอย่างได้ใจดังใจจริงๆ โอเจสะบัดหน้าเดินออกไป
“ยอดเยี่ยม ! นักแสดงจริงๆ ต้องอย่างนี้”
เมนี่ไม่สนใจมณีมันตราเพราะได้แต่ก้มหน้าก้มตาเช็คคิวในไอแพดไป
“ค่ะ น้องมาย่าเก่งจริงๆค่ะ”
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ยังปักหลักเฝ้าดูมณีมันตรา อิทธิฤทธิ์ลืมชนมนเสียสนิท
ชนมนขุดดินลงกอดอกไม้รอบๆ ต้นไม้ใหญ่ที่จะผูกชิงช้าจนเสร็จ ชนมนลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ พื้นที่หญ้ารกๆ ซึ่งถูกถอนจนได้พื้นเรียบ กอดอกไม้เป็นที่ถูกขุดเป็นทางเป็นรูปหัวใจเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
ชนมนว้าวุ่นใจ “นี่เราทำไปเพื่ออะไรเนี่ย”
ชนมนลงมือขุดดินลงกอดอกไม้ต่อจนเหงื่อไหลท่วมตัวและหน้าตามอมแมม
มณีมันตราแสดงฉากถูกยิงอีกครั้ง เธอผงะตกใจแล้วกลิ้งลงมาตามเนินเขา มณีมันตรานอนแน่นิ่งจนคนรอบๆ หายใจไม่ทั่วท้อง
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์ขยับตัวจะเข้าไปดูอย่างร้อนใจ มณีมันตราค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นแล้วกุมหัวไหล่ด้วยความเจ็บปวดก่อนจะทรุดลงคุกเข่า สตีฟพอใจมาก เมนี่เพิ่งเงยหน้าจากไอแพด
“สุดยอดจริงๆ เล่นกี่เทคๆก็จัดเต็มเล่นเต็มที่ ตีบทแตกกระจุยกระจาย”
“โอเคยังครับ ผมจะได้ให้เลิกกอง” สต๊าฟถาม
“เดี๋ยวๆ นะ ชั้นขอดูเทปก่อน”
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์หันไปมองสตีฟตาเขม็งและดุดันเอาเรื่องโดยไม่ต้องพูด
“เออ..พอแล้วก็ได้ เอ้า วันนี้เลิกกองได้” สตีฟพูดกับสต๊าฟ “พรุ่งนี้ถ่ายฉากบอกรักใช่มั้ย จะถ่ายที่นี่เหรอ เปลี่ยนโลได้เปล่า คุณเมนี่ ฉากจบขออลังการหน่อยไม่ได้เหรอ”
อิทธิฤทธิ์ที่กำลังเดินออกไปได้ยินที่สตีฟพูดก็ชะงักเพราะนึกถึงชนมนขึ้นมาได้ในทันที ธรรม์ที่เดินออกมาพร้อมกับอิทธิฤทธิ์เดินลิ่วๆล่วงหน้าไปประคองมณีมันตรา อิทธิฤทธิ์พะว้าพะวงเพราะอยากไปดูมณีมันตราแต่ก็ทิ้งชนมนทำงานอยู่คนเดียว
ชนมนลงกอดอกไม้ลงดินเป็นกอสุดท้าย
“เสร็จซะที !”
ชนมนนอนแผ่ลงที่พื้นอย่างหมดแรง หน้าตาของเธอมอมแมมยิ่งกว่าเดิมและผมเผ้ายุ่งเหยิง
ชนมนนอนแผ่อยู่กลางกอดอกไม้ที่ล้อมรอบต้นไม้ใหญ่เป็นรูปหัวใจ ชิงช้าสีขาวถูกแขวนอยู่ที่ต้นไม้เรียบร้อยแล้ว อิทธิฤทธิ์เข้ามาหยุดมองอย่างทึ่งๆ ที่ทุกอย่างเสร็จอย่างรวดเร็วเกินคาด
ชนมนลุกขึ้นนั่งกอดเข่าแล้วนิ่งคิด เธอรู้สึกเศร้าวูบขึ้นมาที่ต้องมาจัดฉากบอกรักให้อิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์มองชนมนที่นั่งอยู่กลางกอดอกไม้สวย แล้วอิทธิฤทธิ์ก็เดินข้ามแนวกอดอกไม้เข้าไปหา
อิทธิฤทธิ์มองชนมนแบบแอบเคลิ้มไปนิดๆ “สวยมาก”
ชนมนหันขวับมามองอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์รีบเปลี่ยนท่าที “สุดยอด !”
ชนมนอดกลั้น “ชั้นช่วยได้แค่นี้แหละ ที่เหลือนายทำต่อเอง เหลือแค่ตกแต่งเพิ่มอีกนิดหน่อย”
ชนมนรีบเดินออก อิทธิฤทธิ์จับแขนชนมนไว้แน่นแล้วรั้งตัวเธอไว้
“เดี๋ยว..อย่าเพิ่งไป”
อิทธิฤทธิ์เอื้อมมือไปหยิบใบไม้ที่ติดผมชนมนออกให้
ชนมนรีบบอก “ไม่ต้อง !”
อิทธิฤทธิ์ดุ “อยู่เฉยๆ”
อิทธิฤทธิ์หยิบใบไม้ที่ติดผมชนมนออกทีละใบช้าๆ แล้วปัดฝุ่นออกจากไหล่ให้ อิทธิฤทธิ์ลูบผมที่ยุ่งเหยิงของชนมนให้เข้าที่อย่างเบามือ แล้วมือก็หยุดแตะอยู่ที่แก้มของชนมนอย่างอ้อยอิ่ง อิทธิฤทธิ์จ้องมองหน้าชนมนอย่างรู้สึกผิดที่ทำให้ชนมนลำบากอีกแล้ว
“ขอบคุณนะ..แล้วก็ขอโทษที่ชั้นมาช้า..ทำให้เธอต้องเหนื่อยคนเดียว”
ชนมนฝืนใจ “นายอย่าทำให้ชั้นเหนื่อยเปล่าแล้วกัน”
อิทธิฤทธิ์หัวเราะฝืดๆ “ไม่อยู่แล้ว ยังไงวันนี้ชั้นก็ต้องทำให้มาย่ารับรักชั้นให้ได้”
“ชั้นเชื่อว่า นายรักมาย่า..แต่นายรักมาย่าแบบไหน นายเคยถามตัวเองหรือเปล่า”
“รักก็คือรัก จะมีรักแบบไหนอีกล่ะ ชั้นรักมาย่า ชั้นรักที่สุด ไม่ว่าเวลาทุกข์หรือสุข เค้าเป็นคนแรกที่ชั้นคิดถึง มันไม่พอหรือไง ชั้นเชื่อว่า ชั้นรักมาย่ามากกว่าไอ้ธรรม์ร้อยเท่าพันเท่า”
“ตอนนี้ความรักของนายมันคือการเอาชนะ แต่ไม่ใช่เอาชนะใจมาย่า แต่นายกำลังพยายามเอาชนะพี่ธรรม์”
“ไม่จริง !”
ชนมนผละออกมาแล้วหันหลังเดินดุ่มๆ ไป
อิทธิฤทธิ์ตะโกนไล่หลัง “ไม่จริง !! ฉันรักมาย่าจริงๆ”
ชนมนเดินลิ่วๆออกไปโดยไม่ยอมหันหลังกลับมามอง เธอเจ็บปวดหัวใจ อิทธิฤทธิ์โมโหที่ชนมนมาจี้จุดที่กำลังหวั่นใจและตั้งคำถามกับตัวเองเหมือนกัน
“โธ่เว้ย ! บอกรักก็รักซิวะ !”
อิทธิฤทธิ์เตะกระถางเปล่าที่วางอยู่แถวๆนั้นกระเด็นไปเป็นการระบายอารมณ์
อ่านต่อหน้า 4
รักสุดฤทธิ์ ตอนที่ 8 (ต่อ)
ชนมนเดินอย่างหมดสภาพเข้ามาในสภาพเหงื่อโทรม หน้าเลอะดิน เสื้อผ้าเยิน
ชนมนชะงักเมื่อเห็นมณีมันตราที่เดินมาด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยและโขยกเขยกเล็กน้อย โดยที่ธรรม์เดินตามมาไม่ห่าง ชนมนมองมณีมันตราอย่างอดอิจฉาไม่ได้ เพราะเธอเพิ่งผละจากอิทธิฤทธิ์ที่รอบอกรักมณีมันตราและมาเห็นธรรม์ที่ตามเธออยู่ไม่ห่างอีก มณีมันตราเห็นชนมนเดินเข้ามา
มณีมันตรามองสภาพของชนมน “พี่ชน ! ไปทำอะไรมาคะ”
“ไป..ไปช่วยเขาเซ็ทฉากมาน่ะ” ชนมนบอก
“ก็ย่าบอกแล้วว่า ไม่ต้องไปช่วยงานที่กอง”
“เขาขอร้องมาน่ะค่ะ ยังไงก็ขัดไม่ได้ แล้วนี่ย่าเป็นอะไร” ชนมนแกล้งดุธรรม์ “พี่ธรรม์นี่ดูแลย่ายังไงคะ”
“ก็ห้ามได้ซะที่ไหน เขาอินกับการแสดงซะขนาดนั้น แล้วย่าเองก็ไม่อยากให้พี่ดูแลด้วย”
มณีมันตราหลุดปาก “ใครบอก”
อิทธิฤทธิ์เดินเข้ามาพอดี แต่ยังไม่ทันเดินเข้ามาใกล้ทุกคน
“ถ้าย่าเต็มใจให้พี่ดูแล พี่ก็จะดูแลย่าอย่างเต็มที่ แต่ต้องอยู่ใกล้ๆพี่ไว้นะ” ธรรม์บอก
มณีมันตราสบตาธรรม์นิ่ง อิทธิฤทธิ์ชะงักจ้องมองเขม็งด้วยความเจ็บใจแล้วรีบผละไปหลบมุม
“ไอ้ธรรม์ ! คิดจะแข่งกับชั้นจริงๆ ใช่มั้ย!?”
อิทธิฤทธิ์คิดแผนได้ก็เอามือขยุ้มผมให้ยุ่ง ขยำเสื้อให้ยับ แล้ววิ่งซอยเท้าอยู่กับที่เพื่อให้หายใจเร็วๆแรงๆ เหมือนคนหอบ แล้วเขาก็วิ่งถลันเข้าไปหาทุกคน
“ไอ้โรคจิต! ชั้นเห็นมันอยู่แถวห้องมณีมันตรา”
ชนมน ธรรม์ และมณีมันตราตกใจ
“อิท ! นายดูมณีมันตราไว้นะ !” ธรรม์สั่ง
ธรรม์รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว อิทธิฤทธิ์มองตามแล้วแอบยิ้มเยาะ
“นึกแล้วว่า ต้องทำตัวเป็นพระเอก ! เฮอะ”
อิทธิฤทธิ์รีบดึงมณีมันตราให้เดินไป
“ย่า ! เรารีบไปหาที่ซ่อนตัวก่อนดีกว่า !”
“ไม่ต้องกลัวนะ มีพวกเราอยู่ด้วย ไอ้โรคจิตทำอะไรย่าไม่ได้หรอก” ชนมนบอก
อิทธิฤทธิ์ยังจับมือมณีมันตราอยู่ ในขณะที่มณีมันตรามัวแต่มองไปทางธรรม์ด้วยความเป็นห่วง
อิทธิฤทธิ์ยกมือห้ามชนมนแล้วกระซิบเบาๆ “เธอไม่ต้องไป ไม่มีไอ้โรคจิตอะไรหรอก”
ชนมนชะงัก อิทธิฤทธิ์ลากมณีมันตราดินไปลิ่วๆ ชนมนเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ เธอยืนอึ้งและเจ็บหนึบๆที่ใจ
อิทธิฤทธิ์จับมือมณีมันตราพาเข้ามาในลานกว้างที่เดิมเป็นสวนป่ารก
“เธอจะพาชั้นไปซ่อนที่ไหน แล้วพี่ชนล่ะ พี่ธรรม์เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” มณีมันตราถาม
“เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะไปคิดถึงคนอื่น นี่เป็นเวลาของเราสองคน”
อิทธิฤทธิ์เบี่ยงตัวออกทำให้มณีมันตราเห็นสถานที่ที่เตรียมไว้อย่างสวยงามโรแมนติคสุดๆ
มณีมันตราเดาเหตุการณ์ออก “อิท ! นี่ใช่เวลาเล่นมั้ย ชั้นจะกลับห้อง”
อิทธิฤทธิ์ดึงพามณีมันตรามานั่งที่ชิงช้า
“ชั้นขอโทษ..ชั้นเห็นเธอทำงานเหนื่อยๆ ก็อยากให้เธอได้มีเวลาพักบ้าง เธอไม่อยากมีเวลาเป็นของตัวเองบ้างหรือไง”
“แต่ไม่น่าหลอกกันเลย ทุกคนตกใจกันไปหมด”
“เลิกนึกถึงคนอื่นซักที ตอนนี้เป็นเวลาของเราสองคน”
มณีมันตรามองอิทธิฤทธิ์นิ่ง แล้วท่าทีอิทธิฤทธิ์ก็เปลี่ยนไปเพราะดูจริงจังเกินปกติ
ชนมนยืนพิงอยู่หลังต้นไม้ใกล้ๆ ลานกว้างเพราะไม่กล้าโผล่หน้าออกไปดู เธอรู้สึกหวั่นใจชอบกล
“เราตามมาทำไมเนี่ย ! บ้าไปแล้ว”
ชนมนฮึดฮัดเพราะรู้สึกโมโหตัวเองที่ตามมาดูผลการบอกรักของอิทธิฤทธิ์
มณีมันตรานั่งอยู่บนชิงช้า อิทธิฤทธิ์ยืนไกวชิงช้าเบาๆ ให้อยู่ข้างหลัง
“เหมือนตอนที่เราอยู่อนุบาลเลยเนอะ แม่ของเธอมารับช้าทุกวัน ชั้นก็เลยต้องอยู่เล่นกับเธอ แกว่งชิงช้าให้เธออย่างนี้”
มณีมันตราโห..นานมากแล้วนะ ชั้นจำไม่ค่อยได้แล้วล่ะ”
“แต่ชั้นจำเรื่องของเธอได้ทุกเรื่อง ตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกัน ไม่ว่าชั้นจะทุกข์หรือสุขชั้นจะมีเธออยู่ข้างๆด้วยเสมอ”
“พ่อแม่ชั้นไม่ค่อยอยู่บ้าน ชั้นก็เลยต้องไปอยู่บ้านเธอ..ตอนเด็กๆเราอยู่ด้วยกันตลอดเลยเนอะ” มณีมันตราคุยสบายๆ แบบเป็นเพื่อน
“ชั้นอยากให้เราอยู่ด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป ได้มั้ย..ย่า”
มณีมันตรานิ่งเงียบและเริ่มรู้ว่าอิทธิฤทธิ์จะพูดเพื่อนำไปสู่อะไร
อิทธิฤทธิ์พูดต่อ “ผู้หญิงที่สำคัญในชีวิตชั้นมีเพียงแค่สองคนเท่านั้น คือแม่ แล้วก็เธอ..มณีมันตรา”
มณีมันตราทำตลก “พูดอย่างนี้ป้าหนอมน้อยใจแย่ซิ เพิ่มอีกคนนะ เป็นสามคนล่ะกัน ห้ามต่อน่ะ นี่ราคาขายขาด” มณีมันตราหัวเราะแบบไม่ขำจริง
“เธอมีความสำคัญต่อชีวิตชั้นจริงๆ ชั้นรู้แล้วว่า ชีวิตชั้นไม่มีเธอไม่ได้”
ชนมนที่ยืนแอบอยู่หลังต้นไม้กำลังทำใจว่าจะเดินออกไปหรือหันไปดูอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราดี
ชนมนเปรยกับตัวเอง “กลับดีกว่า !”
ชนมนตัดสินใจผละออกไป
อิทธิฤทธิ์หยุดแกว่งชิงช้าแล้วเดินมาหยุดมองมณีมันตราอย่างเอาจริง
“ย่า..ชั้นรักเธอ”
มณีมันตราเอาเท้าแตะพื้นเพื่อหยุดชิงช้า เธอลุกขึ้นเผชิญหน้ากับอิทธิฤทธิ์อย่างทำอะไรไม่ถูก
“อิทรักย่านะ”
มณีมันตรามองอิทธิฤทธิ์ด้วยสีหน้ายุ่งยากและเสียใจ
“แล้วย่าล่ะ... ย่ารักอิทรึเปล่า” อิทธิฤทธิ์ถาม
“ชั้น...ชั้นขอโทษ..ชั้น...”
อิทธิฤทธิ์มองสีหน้ามณีมันตราที่ไม่มีความรู้สึกเดียวกันแล้วก็รู้สึกเจ็บแปลบเพราะยอมรับความจริงไม่ได้
อิทธิฤทธิ์ขัดขึ้น “ไม่ต้องพูดต่อแล้ว”
อิทธิฤทธิ์รวบตัวมณีมันตรามากอดไว้อย่างเด็กเอาแต่ใจแม้จะไม่สมหวังแต่ก็ยังไม่พร้อมจะฟัง
“ไม่อยากฟัง..”
“อิท..”
“บอกแล้วไงว่า ไม่ต้องพูด!” อิทธิฤทธิ์กัดฟันแล้วพูดเสียงเบาลง “ชั้นรู้แล้ว เข้าใจแล้ว...”
มณีมันตราจะดันอิทธิฤทธิ์ออกไปแต่แล้วก็ใจอ่อน เธอกอดปลอบอิทธิฤทธิ์
ชนมนยังไม่ได้เดินไปไหนไกลเพราะยังตัดใจไม่ได้ เธอยืนมองภาพตรงหน้าอย่างปวดใจ ชนมนถอยหลังมาชนกับธรรม์ที่ยืนมองอิทธิฤทธิ์ที่กำลังกอดมณีมันตราอยู่
“พี่ธรรม์ !”
ธรรม์จ้องภาพตรงหน้าอย่างร้าวรานใจแล้วรีบเดินออกไปอย่างพยายามตัดใจ ชนมนหันกลับไปมองอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราอีกครั้งแล้วก็ต้องข่มใจเดินออกไป
อิทธิฤทธิ์ค่อยๆปล่อยมณีมันตราออกจากอ้อมแขน มณีมันตรามองอิทธิฤทธิ์น้ำตาคลอเบ้า เพราะเธอไม่อยากทำให้อิทธิฤทธิ์เสียใจ
อิทธิฤทธิ์เอ่ยถาม “ร้องไห้ทำไม”
“ชั้นขอโทษ ...เรายังเป็นเพื่อนกันได้ใช่มั้ย..อิท..” มณีมันตราถาม
อิทธิฤทธิ์ฝืนยิ้ม “เฮ้ย เป็นสิ ยังไงเราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่”
อิทธิฤทธิ์เช็ดน้ำตาให้มณีมันตราแล้วกอดคอมณีมันตราอย่างเพื่อน อิทธิฤทธิ์น้ำตาคลอไปด้วยที่ทำให้มณีมันตราต้องร้องไห้ เขาคิดในใจว่าตัวเองกำลังจะเสียเพื่อนคนนี้ไปหรือเปล่า
“เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่..เธอไม่ต้องรักชั้นก็ได้..แค่อยู่ข้างๆชั้นก็พอ”
มณีมันตราอ่อนใจ “อิท..”
อิทธิฤทธิ์ยังกอดคอมณีมันตราไว้ มณีมันตราดึงมืออิทธิฤทธิ์ออก ทั้งสองมองกันอย่างกระอักกระอ่วนใจ
ธรรม์ยังคงเดินง่วนเฝ้าเป็นเวรยามระวังโรคจิตให้มณีมันตรา ธรรม์มองไปที่ห้องพักของมณีมันตรา มณีมันตราเดินออกมาสูดอากาศและทำใจเรื่องอิทธิฤทธิ์ที่ระเบียงห้อง ธรรม์มองมณีมันตราแล้วก็ต้องชะงักเพราะภาพอิทธิฤทธิ์กอดกับมณีมันตราแวบเข้ามาในหัว
ธรรม์เมินหน้าจากมณีมันตราแล้วเดินออกไป มณีมันตรามองตามธรรม์อย่างแปลกใจเพราะก่อนหน้านี้ยังดีๆกันอยู่
อิทธิฤทธิ์ยืนอย่างโดดเดี่ยวข้างชิงช้าในบรรยากาศที่ดูเงียบหงอยเพราะหมดความโรแมนติคแล้วชนมนเดินมาหยุดมองทางด้านหลังโดยไม่เห็นสีหน้าอิทธิฤทธิ์ เธอจึงนึกว่าอิทธิฤทธิ์กำลังมีความสุขอยู่
“ดีใจด้วยนะ...” ชนมนพูด
อิทธิฤทธิ์หันขวับกลับมาก็เห็นชนมนมองมา
“ดีใจเรื่องไร” อิทธิฤทธิ์นึกได้ “อ้อ..อืม..” อิทธิฤทธิ์ทำเสียงขลุกขลักในคอฟังไม่รู้เรื่อง
อิทธิฤทธิ์รีบเสไปแกะเชือกที่ผูกชิงช้าแล้วเก็บอะไรไปเพื่อไม่สบตากับชนมน ชนมนรีบช่วยอิทธิฤทธิ์เก็บข้าวของตามประสาคนขยัน
“วันนี้นายคงมีความสุขมาก..” ชนมนรีบทำเสียงเข้มให้เป็นคนเดิม “มีแฟนแล้วก็อย่าลืมเรื่องสอบล่ะ เรื่องเรียนต้องมาก่อน เข้าใจมั้ย แล้วนายยังต้องทำรายงานส่งอาจารย์ตุลา”
อิทธิฤทธิ์รู้สึกเสียหน้าและไม่กล้าพูดความจริงให้ชนมนรู้
“รู้แล้วน่า เวลาแบบนี้ไม่น่าจะมาทำลายบรรยากาศกันเล้ย ใช่! วันนี้ชั้นมี ความสุขมาก ชั้นได้ทำในสิ่งที่ชั้นอยากทำมานานแล้ว ขอบใจเธออีกครั้งนะที่ช่วย ไหนๆก็ช่วยแล้ว ก็ช่วยให้ตลอด ช่วยเก็บกวาดให้ด้วยล่ะกัน ขอบใจ”
อิทธิฤทธิ์ตบไหล่ชนมนแล้วรีบเดินออกก่อนที่จะปิดสีหน้าตัวเองไว้ไม่ได้ ชนมนอ้าปากค้างแล้วต้องเก็บกวาดข้าวของไปแต่ยิ่งคิดเธอก็ยิ่งเจ็บปวด
ชนมนด่าตัวเอง “เฮ้ย ! อย่าร้อง ! ไอ้ชน ! แกเป็นบ้าอะไร”
ชนมนวางมือจากทุกสิ่งแล้วทิ้งตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง น้ำตาของเธอไหลเธอจึงรีบใช้แขนเสื้อเช็ดออกทันที แต่น้ำตาก็ไหลอีก
ชนมนเจ็บใจที่ต้องมาเก็บของให้เขาและเจ็บหัวใจที่คิดว่าอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราลงเอยกันไปแล้ว
พระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้ามานิดเดียว
ธรรม์วิ่งจ๊อกกิ้งอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อให้ลืมภาพอิทธิฤทธิ์กับมณีมันตราเมื่อวาน มณีมันตราเดินเข้ามาอีกทางโดยยังคงกังวลใจเรื่องอิทธิฤทธิ์อยู่
มณีมันตรายิ้มให้ “พี่ธรรม์...”
ธรรม์ชะงักเมื่อเห็นมณีมันตราอย่างไม่ได้คาดคิด
ธรรม์ดุใส่ “ทำไมมาเดินคนเดียวอย่างนี้ ไป กลับห้องไป พี่ไปส่ง”
ธรรม์เดินนำมณีมันตราเพื่อจะพากลับไปที่ห้องพัก
“พี่ธรรม์คะ ย่ามีเรื่องอยากปรึกษา..เรื่องอิทน่ะค่ะ”
ธรรม์ชะงักพลางระงับอารมณ์พลุ่งพล่านไว้ แล้วเขาก็หันกลับมาเผชิญหน้ามณีมันตรา
“เรื่องนี้ย่าควรจะไปปรึกษาคุณเมนี่จะดีกว่านะ ถ้าจะมีแฟนตอนนี้ อาจจะทำให้งานมีปัญหา..แล้วยังพวกแฟนคลับของย่าอีก”
มณีมันตรางง “มีแฟนอะไรคะ พี่ธรรม์พูดเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องอิทกับย่าน่ะซิ พี่ดีใจกับเธอสองคนด้วยนะ ถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกมาได้เลย”
มณีมันตราเสียงเข้ม “พี่ธรรม์อยากให้ย่ากับอิทเป็นแฟนกันเหรอคะ”
ธรรม์ฝืนใจ “เธอสองคนเหมาะสมกันที่สุดแล้ว”
“ส่วนพี่ธรรม์ก็เหมาะสมกับพี่ชนที่สุด ย่าก็ดีใจกับพี่ธรรม์ด้วยเหมือนกันค่ะ”
มณีมันตราผละเดินออกไปอย่างน้อยใจและโกรธ ธรรม์ขยับจะตามไป
“ไม่ต้องค่ะ ย่ากลับไปที่ห้องพักเองได้ ย่ามีอิทแล้ว พี่ธรรม์ไม่ต้องมาทำหน้าที่พี่ชายที่แสนดีอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ยังไงย่าก็ยังเป็นน้องสาวของพี่ตลอดไป”
“ย่าไม่อยากเป็นน้องสาวของใคร ! ย่าดูแลตัวเองได้ ! ไม่ต้องมายุ่งกับย่าอีก”
มณีมันตราเดินจ้ำออกไปอย่างรวดเร็ว ธรรม์มองตามอย่างงุนงงว่ามณีมันตราโกรธอะไร
“ย่า..”
เสียงมณีมันตราร้องดังลั่น “กรี๊ดดด พี่ธรรม์ !! ช่วยด้วย !”
ธรรม์ตกใจ “มณีมันตรา!”
ธรรม์รีบวิ่งไปตามเสียงของมณีมันตรา
ธรรม์วิ่งมาตามเสียงร้องของมณีมันตราแต่ก็พบกับความว่างเปล่า ธรรม์มองไปรอบๆ เพื่อหามณีมันตราแต่ไม่เห็นวี่แววอะไร แล้วเขาก็สะดุดมองอะไรบางอย่างบนพื้น ธรรม์เดินไปหยิบผ้าคลุมไหล่ของมณีมันตราขึ้นมาดูแล้วก็ใจหายวูบ
อิทธิฤทธิ์นอนหลับตาแต่ตื่นแล้ว ใจของเขายังคิดถึงเรื่องเมื่อคืนอยู่ ชนมนเปิดประตูห้องนอนออกมาเห็นอิทธิฤทธิ์นอนอยู่บนโซฟาก็เดินมาดูใกล้ๆ ชนมนก้มหน้าลงมามองใกล้ๆหน้าของอิทธิฤทธิ์
“ตื่นยัง?”
อิทธิฤทธิ์พูดทั้งที่หลับตา “ตื่นแล้ว”
ชนมนสะดุ้งเพราะไม่คิดว่าอิทธิฤทธิ์ตื่นแล้ว เธอรีบเบนหน้าแล้วลุกหนีไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำออกมาดื่ม
“ตื่นแล้วก็ลุกขึ้นซิ” ชนมนว่า
อิทธิฤทธิ์ยังคงนอนนิ่งเหมือนไม่ได้ยินอะไรเลย
“เป็นอะไร”
อิทธิฤทธิ์พูดทั้งที่หลับตา “อย่ายุ่ง”
“ลุกขึ้น !”
“ไม่ !”
“ลุกขึ้น ! ไปอาบน้ำแปรงฟัน ! ชั้นจะได้ติวนายก่อนไปเข้าฉาก”
“ไม่ !”
“ชั้นจะนับหนึ่งถึงสาม 1-2-3”
อิทธิฤทธิ์ลืมตา “เธอจะกล้าทำอะไรชั้น”
ทันใดนั้นชนมนก็เทน้ำเย็นๆจากขวดราดใส่หน้าอิทธิฤทธิ์
อิทธิฤทธิ์ลุกพรวดขึ้นนั่ง “เฮ้ย ! ยังโหดไม่เลิก เว้ย ไม่เห็นใจกันบ้างเลย คนกำลังกลุ้ม”
“กลุ้มอะไร มณีมันตราเขารับรักนายแล้วไม่ใช่เหรอ กลุ้มที่มีแฟนเป็นดาราดังหรือไงนายนี่มีเรื่องกลุ้มตลอดเลยนะ กลุ้มที่มีพ่อเป็นตำรวจใหญ่ กลุ้มที่ไม่มีรถให้ซิ่งกลุ้มที่ไม่มีบัตรเครดิตใช้”
“คราวนี้กลุ้มจริงๆ ไม่รู้ชั้นจะเสียเพื่อนหรือเปล่า”
“อะไรนะ”
“..มณีมันตราล่ะ..”
“ออกไปเดินเล่น”
“ชั้นต้องไปพูดกับมณีมันตรา”
อิทธิฤทธิ์รีบเดินเร็วๆออกไป ชนมนยืนฮึดฮัดอยู่ที่เดิม
มณีมันตราเดินนำมา ตี๋เล็กและบ๊วยที่สวมหน้ากากเดินคุมมาข้างหลัง
มณีมันตราถามกลัวๆ “พวกแกเป็นใคร!”
บ๊วยตะคอก “เดินไป ! ไม่ต้องถาม”
“เรากำลังจะไปไหน” มณีมันตราถามต่อ
บ๊วยตะคอก “บอกว่าอย่าถาม!”
ตี๋เล็กเงื้อมือจะตบบ๊วย “เฮ้ย พูดดีๆกับน้องเขาหน่อย” ตี๋เล็กพูดกับมณีมันตรา “เดี๋ยวถึงก็รู้เองครับ”
“พวกแกต้องการอะไร ต้องการเงินใช่มั้ย เท่าไหร่ บอกมาได้เลย เดี๋ยวชั้นจะให้ผู้จัดการของชั้นโอนเงินให้”
“พี่ไม่ต้องการเงินหรอกครับ” ตี๋เล็กบอก
“แล้วพี่ต้องการอะไรเหรอ” บ๊วยถามชง
ตี๋เล็กกับบ๊วยมองตากันแล้วหัวเราะคิกๆเหมือนคนโรคจิต ตี๋เล็กฝันหวานที่จะได้ให้มณีมันตราซ้อนท้ายมอเตอร์ไซต์
“พี่ก็ต้องการตัวน้องมณีมันตราน่ะซิครับ” ตี๋เล็กหัวเราะ “คิกๆๆ”
“ไม่งั้นเราจะจับตัวน้องมาทำไมล่ะคร้าบ” บ๊วยหัวเราะ “คิกๆๆ”
มณีมันตราคิดไปไกล เธอมองตี๋เล็กกับบ๊วยอย่างหวาดกลัวจนขนหัวลุกไปหมด
อิทธิฤทธิ์เดินเร็วๆนำมา ชนมนวิ่งตาม ธรรม์เร่งรีบเดินออกมาจากทางสวนข้างใน อิทธิฤทธิ์รี่เข้าไปหาธรรม์ทันที
“เห็นมณีมันตราหรือเปล่า”
“มณีมันตราหายตัวไป” ธรรม์บอก
อิทธิฤทธิ์กับชนมนตกใจ “อะไรนะ !”
ตี๋เล็กปีนขึ้นเนินดินเพื่อข้ามไปที่ทางที่เป็นถนนออกจากสวนป่า ตี๋เล็กส่งมือจะช่วยฉุดมือมณีมันตราให้ขึ้นเนินแต่มณีมันตราปัดมือออกจะหันหลังหนีแต่เห็นบ๊วยยืนมองอยู่ มณีมันตราจึงตัดสินใจปีนขึ้นเนินไปเองโดยไม่ให้ตี๋เล็กช่วย บ๊วยปีนตามแล้วพลาดแล้วไถลลื่นลงมาจนต้องปีนขึ้นไปใหม่
ธรรม์เดินนำอิทธิฤทธิ์กับชนมนเข้ามาส่วนที่เป็นสวนป่า
“พี่ตามหาทั่วรีสอร์ทแล้ว ไม่เจอตัวมณีมันตรา พวกมันต้องจับมณีมันตรามาทางนี้แน่” ธรรม์บอก
“มณีมันตราถูกไอ้พวกโรคจิตจับตัวไปจริงๆหรือคะ” ชนมนถาม
“พี่มั่นใจว่าต้องเป็นพวกมันแน่ๆ”
“นายปล่อยให้มณีมันตราถูกจับไปได้ไง ! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับมณีมันตรา นายจะต้องรับผิดชอบ ! เป็นตำรวจประสาอะไรวะ” อิทธิฤทธิ์ว่า
“นี่ไม่ใช่เวลามาโทษกันนะ เรารีบตามหามณีมันตราดีกว่า” ชนมนบอก
“พวกมันมาทางนี้แน่ๆ มีรอยเท้าของพวกมัน..ไป..รีบตามไป เร็วเข้า”
ธรรม์มองรอยเท้าบนพื้นดินแล้วรีบเดินตามรอยเท้านั้นไป อิทธิฤทธิ์กับชนมนรีบเดินตามไปติดๆ
มณีมันตราถูกตี๋เล็กกับพาเดินมาจนถึงชายป่าเพื่อจะออกสู่ถนน มณีมันตราหวาดระแวงตลอดเวลา ตี๋เล็กพยักหน้าให้ บ๊วยผละออกไป มณีมันตรายิ่งใจหายวูบที่อยู่กับตี๋เล็กสองต่อสอง ตี๋เล็กจับมือมณีมันตราเพื่อจูงไปด้วยกัน แต่มณีมันตรารีบสะบัดมืออกอย่างรังเกียจ
“โธ่ น้องมณีมันตราครับ ไม่รู้หรือพี่รอวันนี้มานานแค่ไหนแล้ว”
มณีมันตราถอยกรูดจนไปชนต้นไม้ ตี๋เล็กกระโจนเข้าไปหามณีมันตรา
ธรรม์วิ่งมาตามทางที่พวกตี๋เล็กพามณีมันตราเข้ามาใกล้ชายป่ามากขึ้นทุกทีๆ อิทธิฤทธิ์กับชนมนวิ่งตามมาจนทันธรรม์ บ๊วยเดินกลับเข้ามาจากอีกทางที่อยู่ไกลๆ
บ๊วยหัวเราะคิกๆ “วันนี้ลูกพี่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ”
อิทธิฤทธิ์หันไปเห็นบ๊วย
“ไอ้โรคจิต!”
บ๊วยที่กำลังจะถอดหน้ากากออกถึงกับชะงักกึกแล้วหันหลังวิ่งกลับไปทางเดิมทันที
อิทธิฤทธิ์ร้อง “เฮ้ย ! อย่าหนี”
“ก็รู้อยู่ว่าต้องหนี จะห้ามทำไม?” บ๊วยว่า
บ๊วยวิ่งหน้าตั้งออกไป อิทธิฤทธิ์วิ่งไล่กวด ธรรม์กับชนมนวิ่งตามไป
“อิท ! ระวังตัวด้วย” ชนมนบอก
“ระวัง ! มันอาจจะมีอาวุธ ! นายอิท” ธรรม์ตะโกน
อิทธิฤทธิ์ไม่ฟังเสียง เขาวิ่งไล่กวดบ๊วย ธรรม์วิ่งตามไปจนทันอิทธิฤทธิ์ ขณะที่ชนมนวิ่งรั้งท้าย
ตี๋เล็กลากตัวมณีมันตราพ้นชายป่ามาถึงถนนใหญ่ มณีมันตราทั้งหยิกทั้งข่วนแต่ตี๋เล็กก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“ปล่อยชั้น ! ปล่อย”
“ใจเย็นๆ พี่มีอะไรให้น้องมาย่าดู”
“ไม่ดู !”
“รู้มั้ยว่า ลูกน้องของพี่ไปไหน”
มณีมันตราหยุดดิ้นแล้วชะงักมองตี๋เล็ก
ตี๋เล็กขู่ “มันไปจัดการไอ้อิทของน้องมณีมันตราอยู่ ถ้าน้องไม่ทำตามใจพี่ล่ะก็ น้องจะไม่ได้เห็นหน้าไอ้อิท ไอ้พี่ตำรวจ ป้าติวเตอร์อีก เราจะจัดการเก็บ..ทีละคนๆ”
“นายจะให้ชั้นดูอะไร”
ตี๋เล็กดีใจแล้วพูดเสียงเบา “ได้ผลด้วยโว้ย เฮ้ย”
ตี๋เล็กมั่นใจว่ามณีมันตราไม่หนีแล้วก็รีบไปเปิดผ้าคลุมที่คลุมรถมอเตอร์ไซค์คันเท่ของตัวเองออก
“เป็นไงครับน้องมาย่า มอไซด์ของพี่เจ๋งกว่าไอ้อิทตั้งล้านเท่า”
“แกต้องการอะไรกันแน่”
“พี่ฝันมานานแล้ว พี่อยากขี่มอไซด์ โดยมีน้องมณีมาย่าซ้อนท้าย..เวลาซิ่งมอไซด์มีลมแรงๆปะทะหน้า มันให้ความรู้สึกที่ดีเหลือเกิน เราจะได้กลิ่นของอิสรภาพแล้วยิ่งมีคนที่เรารักนั่งซ้อนท้าย” ตี๋เล็กจะพร่ำอีกนานแต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงบ๊วยดังแว่วมาจากที่ไกลๆ “ลูกพี่ๆ ช่วยด้วย !”
ตี๋เล็กกระโดดขึ้นขี่มอเตอร์ไซค์ทันที
ตี๋เล็กสั่ง “ขึ้นรถ! เดี๋ยวนี้เลย”
มณีมันตราพะว้าพะวงเพราะได้ยินเสียงบ๊วยอยู่เหมือนกันแต่ไม่แน่ใจ
“อยากให้ไอ้อิทตายหรือไง” ตี๋เล็กว่า
มณีมันตรากัดฟันฝืนทนขึ้นซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ ตี๋เล็กดึงมือมณีมันตรามากอดเอว มณีมันตราชักมือออก บ๊วยวิ่งหนีมาที่ตี๋เล็ก
“ลูกพี่ !! พวกมันตามมาแล้ว”
“ไอ้บ้าเอ๊ย ! แล้ววิ่งหนีมาทางนี้ทำไม”
อิทธิฤทธิ์กับธรรม์วิ่งตามมมาถึง ตี๋เล็กออกรถไปทันที ชนมนตามมาเป็นคนสุดท้าย
อิทธิฤทธิ์ตะโกนลั่น “มาย่า”
บ๊วยฉวยโอกาสที่ทุกคนหันไปจดจ่อกับมณีมันตราหลบวูบไปได้ทัน
อ่านต่อตอนที่ 9