xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 2

มอเตอร์ไซค์หรั่งแล่นมาจอดใกล้บริเวณปากซอย ตึกเป้าหมาย สาทร สแควร์ ตั้งตระหง่านอยู่ฝั่งตรงข้ามนั่นเอง

“นั่นไง ตึกนั้นแหละ...เร็วเข้าสิคุณ ฉันเหลืออีกสองนาทีเท่านั้นเอง”
“ถ้างั้นยูเทิร์น คงไม่ทัน...คุณมั่นใจในตัวผมมั้ยครับ”
“ไม่รู้ จะทำอะไรก็ทำเลย ให้ฉันไปทันก็แล้วกัน”
“โอเค. อย่าปล่อยมือจากผมนะครับ...แล้วคุณจะได้สิ่งที่คุณต้องการ”
“ไปซะทีสิ...อย่าพูดมากน่า”
หรั่งบิดเร่งเครื่องมอเตอร์ไซค์สองสามที เขามองหาจังหวะ แล้วจึงพามอเตอร์ไซค์ทะยานออกไปเบื้องหน้า
มอเตอร์ไซค์ของหรั่งพุ่งตัดหน้ารถยนต์มากมายหลายคัน หรั่งบังคับมอเตอร์ไซค์ปีนข้ามเกาะกลางไปอย่างปลอดภัย ผู้คนสองข้างทาง โห่ ฮา ด่าทอ เสียงขรม

มอเตอร์ไซค์หรั่งแล่นเข้ามาจอดหน้าตึก แพรวากำลังพูดโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างรีบร้อน
“น้องแพรมาถึงแล้ว...พี่ตะวันอยู่ตรงไหน...ชั้นลอยเหรอคะ...ค่ะ ค่ะ น้องแพรจะไปเดี๋ยวนี้
เลย”
แพรวาถอดหมวกกันน็อคแล้วรีบวิ่งออกไป หรั่งรับหมวกกันน็อคจากแพรวา แล้วจึงเห็นว่าช่อดอกไม้ยังวางนิ่งอยู่ที่เบาะนั่ง หรั่งคว้าช่อดอกไม้วิ่งตามไป

แพรวาวิ่งไปตามทางเดิน เลี้ยวขึ้นบันไดอย่างรีบร้อน หรั่งถือดอกไม้วิ่งเข้าเฟรมตามมาด้านหลัง
“คุณแพรวา”
แพรวาหันไปมอง หรั่งถือดอกไม้วิ่งตามขึ้นมาทันกันตรงกลางบันได
“ดอกไม้ของคุณครับ”
แพรวาเอื้อมมือมารับดอกไม้จากหรั่งอย่างสวยงามอย่างช้าๆ
หัวใจหรั่งเต้นโครมคราม
“ขอบใจมาก โชเฟอร์”
แพรวาวิ่งขึ้นบันไดต่อไป โดยไม่เหลียวกลับมามองหรั่ง

ครู่ต่อมาที่ระเบียง ชั้นลอย แพรวาและตะวันฉายโผเข้าหากันพอดี

ส่วนที่โถงตึกชั้นล่าง หรั่งหันไปมองยังชั้นลอย เห็นแพรวายืนกอดกับตะวันฉาย
“พี่นึกว่าน้องแพรจะมาไม่ทันซะแล้ว”
“น้องแพรก็กลัวเหมือนกัน”
“พี่ต้องไปแล้วละ”
แพรวางอนใส่นิดๆ “ดูสิ...พอน้องแพรมา พี่ก็จะไปซะแล้ว”
“พ่อพี่รออยู่ข้างในกับผู้ใหญ่หลายคน...น้องแพรคงเข้าใจนะ”
แพรวาพยักหน้า “อย่างน้อยน้องแพรก็มาส่งพี่ตะวันทัน...อ้ะ นี่น้องแพรให้”
แพรวาส่งทิวลิปช่อนั้นให้ตะวันฉาย

ที่โถงชั้นล่าง หรั่งแหงนมองภาพนั้นเต็มๆ ตา เห็นตะวันฉายรับดอกไม้จากแพรวาแล้วก้มหน้าลงไปหอมแก้มเธออย่างนุ่มนวล หรั่งได้แต่จินตนาการเอาเองว่าชายคนนั้นน่าจะเป็นเขา

สยามขับรถเข้ามาจอดหน้าตึก แพรวาเดินออกมาจากด้านในอาคาร พร้อมๆ กับที่สยามเปิดประตูรถลงมา
“รอนานมั้ยครับ คุณแพรวา”
แพรวาส่ายหน้า “เอ๊ะ น้าหยาม เห็นมอเตอร์ไซค์คันที่จอดอยู่ตรงนี้รึเปล่า”
“อ๋อ...ขี่สวนผมออกไปเมื่อซักครู่นี้เองครับ”
แพรวาผิดหวังร้อง “ว้า...”
“คุณแพรมีอะไรเหรอครับ”
“เขาเป็นคนมาส่งน้องแพรที่นี่ ส่งทันเวลาซะด้วย...น้องแพรยังไม่ได้ขอบคุณเขาเลย ค่ารถ
ก็ยังไม่ได้ให้ เป็นใครก็ไม่รู้อีก”
“คุณแพรไม่ต้องห่วงครับ...ผมรู้ว่าเขาคือใคร” สยามบอก

ด้านหรั่งขี่มอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ บนท้องถนน อย่างเบิกบานสบายใจ หน้าตาของเขาเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม ที่ไม่อาจหุบมันลงได้
ภาพที่เขาหรั่งส่งช่อดอกไม้ให้แพรวาผุดขึ้นในห้วงคิด หรั่งมีความสุขที่สุด
เขาเหลือบไปเห็นกลีบทิวลิปตกอยู่ที่เบาะมอเตอร์ไซค์ หยิบมันขึ้นมาดู และ ดอมดม ต่างหน้าแพรวา

รายการวิทยุยามเช้า เสียง ดีเจ. พูดนำเข้าบรรยากาศเช้าวันหยุดสุดสัปดาห์ของกรุงเทพมหานคร...นครแห่งความรัก !

ที่หน้าทางเข้าชุมชนจานเดี่ยว แสงอาทิตย์ยามเช้านุ่มนวล เย็นตา ผสมผสานกับควันไฟจากการหุงหาอาหารของแต่ละครัวเรือน
เด็กน้อยทั้งที่อยู่ในวัยเรียนและวัยก่อนเรียน ต่างพากันออกมาอาศัยพื้นที่ว่างเท่าที่จะมีใช้เป็นที่วิ่งเล่น
รถขนน้ำคันใหญ่วิ่งเช้ามาในหมู่บ้าน เสียงแตรรถดังสนั่น น้ำกระฉอกตลอดทาง หมู่เด็กและหมู่หมาแมวต่างพากันวิ่งไล่ตามรถน้ำคันนี้
ชายสูงวัย รูปร่างผอมเกร็ง นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะเก่าๆ ใต้เพิงไม้ผุๆที่เป็นแผงขายของจุกจิก เมื่อรถน้ำผ่านหน้าไป ชายคนนี้จึงเงยหน้าขึ้น พร้อมกับเผยอยิ้มพึงพอใจใครๆ ต่างเรียกชายคนนี้ว่า ผู้ใหญ่เงาะ
“มาแล้วเหรอ”
ผู้ใหญ่เงาะรำพึง ลุกขึ้นเดินไปหยิบไมโครโฟนหลังแผงขายขนม คนงานกำลังลากสายยางจากรถขนน้ำคันนั้น เพื่อปล่อยน้ำลงบ่อ
ผู้ใหญ่แหกปากลงไปในไมโครโฟน...เสียงที่แผดออกมาฟังดูรู้ว่า โคตรเมา
“พ่อแม่พี่น้องทั้งหลาย โปรดฟังทางนี้...นี่คือเสียงของผู้ใหญ่เงาะ กระจายเสียงจากสำนักงานบ้านพักของเงาะเอง...เรื่องที่จะแจ้งให้ทราบก็คือว่า เวลานี้ รถขนน้ำได้นำน้ำมาส่งแล้ว...ขณะนี้กำลังปล่อยน้ำลงสู่ถังของตาเหวิ่ง...ซักครู่ก็คงจะเต็ม...ผู้ใดต้องการใช้น้ำให้แจ้งความจำนงได้ที่ตาเหวิ่ง...เขาจะได้ดำเนินการปล่อยน้ำไปให้...ราคาก็คิดเท่าเดิมถังละ 25 บาทไม่ขาดไม่เกิน”
น้ำพวยพุ่งจากปลายสายยางลงสู่บ่อ เด็กๆ มารุมดู เอามือแกว่งน้ำเล่น ตาเหวิ่งเอาก้อนหินขว้างไล่
มีชาวบ้าน โผล่หน้าออกมาดูจากหน้าต่างบ้านของตน
เห็นคนเดินโพยหวยเดินเข้ามาในชุมชน เก็บค่าหวยในงวดก่อน และชักชวนให้แทงหวยงวดใหม่แบบผ่อนส่ง
ชายหนุ่มสองคน ใส่เสื้อฮาวายลายดอก เดินปะปนเข้ามาในชุมชน พวกมันมาเก็บดอกเบี้ยเงินกู้ เสียงผู้ใหญ่เงาะดังแทรกขึ้นมา
“สำหรับขนมขบเคี้ยวที่ขาดตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้าวเกรียบทุกห่อ ถั่วทุกยี่ห้อ มันทุกค่ายสาหร่ายทุกชนิด ตอนนี้มีของแล้ว ที่ร้านของผู้ใหญ่เงาะ...ลูกเด็กเล็กแดงคนใดสนใจเชิญ!!! อย่าให้รู้เชียวนะว่าไปซื้อร้านอื่น...จะ น้อย ใจ มาก...อ้อ พวกเล่นหวย เพลาๆมือลงหน่อย พวกแทงบอลก็เลิกได้แล้ว เก็บเงินเอาไว้บ้าง พวกที่ชอบกู้เงินก็ต้องรับผิดชอบตัวเองนะเว้ย ดอกดวงน่ะส่งเขาให้ครบๆ...นั่น มันมากันแล้ว มาเดินเก็บดอกกันแต่เช้าใส่เสื้อโชว์ดอกเบ้อเร่อเท่อเลยเว้ยเฮ้ย...”

ครู่ต่อมา มีชายใส่เสื้อขาวผูกเน็คไทสามคนถือกระดาษปึกใหญ่เดินเข้าชุมชนมา พวกมันหยุดตรงมุมเสาไฟ แล้วใช้กาวทากระดาษปึกที่ถือมา แปะลงบนเสาไฟฟ้านั้น

ที่กระดาษเห็นตัวหนังสือชัดเจนเด่นหราว่า... “คำสั่งศาล"

ขณะเดียวกัน แอ๊ด แม่ไอ้เท่ห์ กำลังเตรียมอุปกรณ์ขายข้าวแกงใส่รถเข็น เด็กเก็บดอกในชุดเสื้อลายสองคนเดินเข้ามา

“สวัสดีน้าแอ๊ด”
“เอ้า แปดสิบบาท เอาไป”
“ขอบใจ”
“หมดกันซะที”
“กู้ต่ออีกมั้ยน้า”
“ขอพักเหนื่อยก่อนเถอะ...ดอกร้อยละยี่...นานๆ ทีดีกว่า”
“ไม่กู้ไปเขียนหวยหน่อยเหรอ...วันนี้หวยออกนะ”
“ระดับฉัน...แทงเซ็นเว้ย” แอ๊ดคุย
คนเดินโพยหวยเข้ามา เด็กเก็บดอกเดินออกไป คนเดินโพยทัก
“ไงน้าแอ๊ด...วิ่งเจ็ดหรือเปล่างวดนี้...ที่อื่นเขาไม่รับแล้วนะจะบอกให้”
แอ๊ดส่งโพยของตนให้
“จะพลาดได้ไง...เอ้านี่ของงวดที่แล้ว” ส่งเงินให้สองร้อยบาท “คราวหน้าขอเซ็นทีละสองงวดได้มั้ย”
“ฉันจะถามเขาให้”
เท่ห์เดินออกมาจากในบ้านผ่านเฟรมนี้ไป
น้าแอ๊ด ออกไปไหนอีกล่ะไอ้เท่ห์...ช่วยกันทำมาหากินบ้างสิเว้ย...แม่เข็นรถขายข้าวแกงอยู่ปุเรง
ปุเรง เอ็งเอาแต่เปิดตูดแน่บออกไป ทุกวันๆ เคยคิดจะช่วยแม่บ้างมั้ย
“ก็ออกไปทำมาหากินนี่ไง...หรือจะให้อยู่บ้านเล่นหวย”
เท่ห์เดินลับตัวไป เห็นกระดาษลักษณะเดียวกันติดอยู่ทีเสาไฟ ตัวหนังสือชัดเจนเขียนว่า “คำสั่งศาล”

ที่หน้าบ้านโบ้ กระดานหมากรุก ตัวม้า กระแทกลงกลางกระดานอย่างแรก
“รุก”
เป็นน้าเบิ้มนั่งประจันหน้ากับลุงแก่ๆ มีกระดานหมากรุกขวางกลาง
เบิ้มหัวเราะพอใจกับการเดินหมากของตน
“ฆาต ทั้งโคน ฆาตทั้งเรือ...ฮ่ะฮ่ะฮ่า จะเก็บโคนหรือเก็บเรือไว้ดีล่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า...ไอ้โบ้ เป่า
แตรฉลองให้พ่อหน่อยโว้ย ฮ่าฮ่าฮ่า”
น้องๆ โบ้ สามคน เล่นปล้ำ บีบคอ ปาของ ไล่เตะกันรอบๆ บ้าน เครื่องดนตรีหลายประเภท วางเกลื่อนกันแบบขาดการดูแลรักษา โบ้นอนแผ่กลางบ้านอย่างขี้เกียจ หยิบทรัมเป็ตตัวเก่าเป่าเป็นเสียงแหลมดังลั่นบ้าน
ที่อีกมุมของห้อง เจ๊โอ๋ผู้เป็นแม่ นั่งเย็บเสื้อโหลอยู่
“หัวเราะ เบาๆหน่อยได้มั้ยตาเบิ้ม เดี๋ยวก็ขาดใจตายหรอก หัวเราะซะขนาดนั้นน่ะ”
ที่กระดานหมากรุก ลุงแก่ๆ เลื่อนเบี้ยหงายไปกินม้า
“กินม้าฟรี...เปิดรุก”
เบิ้มอึ้งไป...ลุงแก่หัวเราะบ้าง
น้องๆโบ้ส่งเสียงดัง ทรัมเป็ตของโบ้ก็มิได้เบาลง
“เฮ้ย เบาๆ กันหน่อยเว้ย เสียสมาธิหมด”
ลุงแก่ กลั้นขำไว้ เด็กๆ เงียบเสียงลง เหลือเพียงเสียงทรัมเป็ต
“ไอ้โบ้ !...เมื่อไหร่มึงจะเลิกเป่าแตรซะทีวะ”
“ให้มันเป่าบ้างน่ะดีแล้ว เก็บไว้เฉยๆ ไม่มีใครเล่น เดี๋ยวก็เสียหมด” โอ๋ตะโกนออกมา
คนเดินโพยหวยเข้ามาพอดี
“บ้านนี้มีใครจะเขียนหวยบ้างมั้ย”
“ไม่มี บ้านนี้ไม่เล่นหวยเว้ย...” เบิ้มพาล ตอบแบบฉุนๆ
คนเดินโพยหวยเดินออกไปสวนกับเท่ห์ที่เดินเข้ามา
“ไอ้โบ้...ไป...ไปลองทำบ่อกัน”
“ไอ้หรั่งล่ะ” โบ้ถาม

เวลาเช้าตรู่ กลีบดอกทิวลิปอันสวยงามกลีบนั้น วางอยู่ตรงตำแหน่งที่เลือกสรรอย่างดี ใกล้โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็ก มือหรั่งกำลังเขียนตัวหนังสือลงในสมุดโน้ตว่า...
“...เธอช่างงามพร้อม...สมเป็นเทพธิดาในฝัน
ในที่สุด เราก็ได้พบกัน...วันที่ 17 เดือนกันยายน ปี 2556 ”
ที่ด้านนอกห้องหรั่ง ก้อยกำลังตักข้าวใส่จานวางบนโต๊ะ สักครู่ก้อยสั่นกระดิ่งที่แขวนอยู่เหนือโต๊ะ เสียงดังกังวาน
“รู้แล้วจ้า...เดี๋ยวออกไปนะ ก้อย”
“อย่าช้านะหรั่ง...เดี๋ยวแกงจะเย็นซะ”
ด่นหลังของก้อย เป็นหน้าต่างที่เปิดอยู่ มองทะลุไปถึงภายนอกได้ เห็นชายสามคนนั้นกำลังติดกระดาษปึกใหญ่ที่เป็น "คำสั่งศาล"
เสียงเพลงละตินจังหวะสนุก ดังขึ้น ก้อยหันขวับไปยังที่มาของเสียง ไปยังจอทีวีของบ้านตรงข้าม เห็นเป็นรายการสอนเต้นรำทางทีวีดาวเทียมปรากฏบนหน้าจอ

จอทีวีในห้องนอนแพรวา เป็นรายการสอนเต้นรำเดียวกัน เสียงเพลงละตินในรายการทีวี เร่ง กระชั้น ให้อารมณ์มากขึ้น แพรวาหมุนตัว ในลีลานักเต้นที่สวยงาม
แพรวาหมุนตัวไป คู่เต้นของเธอนั้นคือผ้าห่มผืนใหญ่ที่เย็บปักด้วยมือของแพรวาเอง ลวดลายที่ปักนั้นคือ ภาพตะวันฉายขนาดเท่าตัวจริง
แพรวาโลดแล่นอยู่กลางห้องอย่างมีความสุข เมื่อเพลงจบลง แพรวาโพสต์ท่าสุดท้าย เป็นท่าเดียวกับคู่เต้นในจอทีวี
เธอกดรีโมทปิดทีวี แล้วหมุนตัว พาผ้าห่มนั้นไปวางทอดลงบนเตียงนอน ที่ประตูห้อง รำไพยืนดูอยู่นานแล้ว
“แพรวา...มันมากไปรึเปล่าลูก”
“ก็น้องแพรชอบเต้นรำนี่คะ แม่ก็รู้”
“แม่หมายถึงผ้าห่มนั่นน่ะ...พี่ตะวันฉายเขาอาจจะไม่ชอบแบบนี้ก็ได้นะ”
“ไม่มีทางค่ะ...พี่ตะวันชอบทุกอย่างที่หนูทำให้”
“เฮ้อ...สมัยแม่น่ะ แค่จะปักผ้าเช็ดหน้าให้คุณป๋าของหนูซักผืน ยังต้องคิดแล้วคิดอีกเลย”
“เชยแล้วค่ะคุณแม่ขา...ให้แค่ผ้าเช็ดหน้าน่ะ”
“แต่แม่ว่า หนูน่าจะเผื่อใจไว้บ้างนะลูกแพร...ชีวิตมันไม่มีอะไรแน่นอนหรอกนะลูก”
“คตินี้ ใช้ไม่ได้ กับหนูค่ะ”
แพรวากระโดดกอดรัดฟัดเหวี่ยงแม่ เหมือนที่เคยทำ
“ลูกแม่แสนดีออกขนาดนี้ ใครจะใจดำทิ้งกันได้ลงคอ”
“แล้วที่เขาไปเมืองนอกแบบปุบปับนี่ล่ะ ไม่เรียกว่าทิ้งเหรอ”
“ไม่! น้องแพรยังได้ไปส่งเขาเลย”
“ส่งทันด้วย” รำไพถาม
“อื่อฮื้อ...มีอัศวินขี่มอเตอร์ไซค์มาช่วยได้ทันเวลาค่ะ”
รำไพฉวยโอกาสถอยตัวหนี ออกมาจากการกอดรัดของลูกสาวได้
“ดีแล้ว...งั้นวันนี้ไปเหมืองกับคุณป๋า...ห้ามอิดออดอ้างนู่นอ้างนี่เด็ดขาด”

ผู้เป็นมารดาบอก

ที่บ้านหรั่ง เครื่องปั๊มน้ำตัวเล็ก ตั้งอยู่กลางโถงบ้าน เท่ห์ โบ้ หรั่ง ล้อมวงรอบมัน...ก้อยนั่งร้อยมาลัยถัดไปทางด้านหลัง

“ใช้ปั๊มตัวนี้แน่เหรอ” หรั่งบอก
“แน่ดี้...อย่างดี จากจีนแดงเว้ย” เท่ห์ว่า
“ตัวมันเล็กไปนะ” หรั่งท้วง
“เล็ก เตี่ยมึงสิ” เท่ห์ด่า
“ไอ้หรั่งมันไม่มีเตี่ยเว้ย” โบ้บอก
“กูทำตามหนังสือของพี่รูญเลยนะเว้ย” เท่ห์คุย
“หนังสือเขาให้ใช้ปั๊ม 5 ตัวเป็นอย่างน้อยนะเว้ย” หรั่งท้วงอีก
“เฮ่ย...คนกันเอง ตัวเดียวก็พอ...เดี๋ยวไม่มีกำไรเว้ย” เท่ห์บอก
ก้อยแปลกใจไม่ได้ยินเสียงเช็ง "พี่เช็งล่ะ"
"มันอยู่แผนกจัดหาท่อเว้ย เอ๊ย...จ้ะ" โบ้บอก
สักครู่ ขณะเช็ง ขี่มอเตอร์ไซค์แบกท่อ PVC ตรงมายังบ้านหรั่ง เห็นชายสามคนแปะกระดาษของตนอยู่ตรงหัวมุมทางแยก ทั้งสามเดินออกไปเมื่อเช็งขี่มอเตอร์ไซค์มาถึง
“เฮ้ย...เอาอะไรมาติดน่ะ”

กระดาษปึกนั้นถูกโยนลงมาตรงหน้าทุกคน
“หมายศาล” หรั่งบอก
ก้อยวิตกกังวล “เขาว่ายังไงเหรอ”
“ให้พวกเรารื้อถอนบ้านภายใน 7 วัน”
เสียงหวูดดังลั่นชุมชน ทุกคนหันมองไปทางต้นเสียง
เสียงผู้ใหญ่เงาะดังผ่านเครื่องขยายเสียง คล้ายงานวัด
“โปรดทราบ...มีเรื่องด่วนสำหรับทุกคน...ด่วนมาก”

ที่บ้านผู้ใหญ่ มือผู้ใหญ่เงาะกดสัญญาณหวูดค้างอยู่ ผู้ใหญ่แหกปากใส่ไมโครโฟน
“ย้ำ...ด่วนมาก เป็นเรื่องคอขาดบาดตายของพวกเราชาวชุมชนจานเดี่ยว”
ชาวบ้านไม่มากนักทยอยกันเข้ามายืน ออ หน้าบ้านผู้ใหญ่เงาะ
“เฮ้ย มันไปไหนกันหมดวะ...เรียกตั้งนาน มาแค่นี้เองเหรอ...จะไม่มีที่ซุกหัวนอนกันอยู่แล้วรู้ตัวบ้างมั้ย”
น้าเบิ้มเข้ามา นั่งข้างๆ ผู้ใหญ่
“ใจเย็นๆ ไอ้เงาะ...หมายศาลแผ่นเดียว ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”
“แผ่นเดียวที่ไหน...มันติดซะทั่วหมู่บ้านไปหมด”
“ช่างปะไร มันอยากติดก็ให้มันติดไป ติดได้ก็แกะได้โว้ย...เป็นถึงผู้ใหญ่ กลัวอะไรกับหมายศาล”
“ข้าไม่ได้กลัว...ถ้ากลัว ข้าย้ายไปตั้งนานแล้ว ไม่อยู่มาถึงปีที่ 7 หรอกเว้ย”
ชาวบ้านเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใหญ่เงาะก้าวออกมาประกาศลั่นท่ามกลางผู้คน
“มาแค่นี้ก็พูดแค่นี้หละวะ...ทุกคนฟัง ที่กดออดเรียกประชุมเนี่ยะ เพราะว่ามันมีเรื่องใหญ่ไม่ใช่ข้านึกอยากจะกดก็กดเล่นซะงั้น...เอาละ ถึงเวลาที่เราจะต้องกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองแล้วว่า จะอยู่หรือจะไป”
“มีหมายศาลมาอย่างนี้ แปลว่าเจ้าของที่เขาเอาจริงใช่มั้ย” ชาวบ้าน 1 ถาม
“ถ้าเขาเอาตำรวจมาจับเรา จะว่าไง” ชาวบ้าน 2 ถามต่อ
“ถ้าเลือกจะอยู่ที่นี่ต่อ เราต้องสู้...แต่ถ้าเราเลือกที่จะไป ก็ตัวใครตัวมันเว้ย” ผู้ใหญ่บอก
ชาวบ้านต่างหันหน้าปรึกษากัน จ้อกแจ้ก จอแจ
หรั่งเดินนำเพื่อนๆ เข้ามา เบิ้มเห็นแล้ว
“ไอ้หรั่งมานั่นแล้ว...ฟังความเห็นมันหน่อยเถอะ ไอ้นี่มันหัวดี ขยันเรียน”
เบิ้มกวักมือเรียกหรั่งให้เข้ามาหาผู้ใหญ่เงาะ
“พรรคพวกกันแถวๆ โรงพักเขากระซิบมาเว้ย เย็นนี้ตำรวจเข้าแน่ เห็นว่าเตรียมกำลังไว้ร่วม
ร้อย...ช่างไม้อีกซักสองร้อยคนได้ เจ้าของที่พามาเองเลย”
“มาทำไม” โบ้งง
“มาช่วยมึงรื้อบ้านน่ะสิ”
“ยอมไม่ได้นะผู้ใหญ่...ลุยเป็นลุย...อะไร แค่นี้ต้องไล่กันด้วย...บุกรุกที่แค่นี้เอง...ยืมที่ปลูกบ้านแค่ไม่กี่ไร่...ผิดด้วยเหรอ” เท่ห์ฮึดฮัด
“ผิด” หรั่งบอก!
เท่ห์กะเช็งร้อง “อ้าว”
“ศาลตัดสินแล้ว ผิดเห็นๆ” หรั่งบอกอีก
“แต่พวกเราไม่มีทางเลือกนี่หว่า...ไล่เราแล้วจะให้เราไปอยู่ที่ไหนล่ะ” เบิ้มถาม
“ก็ไม่ต้องไป” หรั่งบอก
“เออ...ต้องอย่างนี้สิวะ” เท่ห์ว่า
“มึงจะเอาไงแน่ ไอ้หรั่ง” ผู้ใหญ่เงาะงงงัน
“มันอยู่ที่เขา ผู้ใหญ่...จะเอายังไงมันต้องอยู่ที่เขา...เรามันพวกด้อยโอกาสอยู่แล้ว...ดีที่สุดของพวกเราคือ ขอเจรจา”
ผู้ใหญ่เงาะสูดลมหายใจลึกๆ แล้วระบายคำพูดออกมาอย่างได้อารมณ์
“ข้าเจรจามาทั้งชีวิตแล้ว ตั้งแต่ลูกเมียข้ายังอยู่...15 ปีที่คลองเตย 8 ปีที่มักกะสัน 12 วันที่ราชเทวี 7 ปีที่จานเดี่ยว...มาแรง ไปแรงโว้ย”
พลางผู้ใหญ่เดินไปประกาศต่อหน้าชาวบ้าน
“พ่อแม่พี่น้องชุมชนจานเดี่ยวจงฟัง...เย็นวันนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำกำลังพลพร้อมด้วยช่างไม้จำนวนมาก บุกเข้ารื้อถอนที่พักอาศัยของพวกเรา...ผู้ใดยินยอมพร้อมใจตามคำสั่งศาล ก็ขอให้เก็บข้าวของให้พร้อม...ส่วนผู้ใดสมัครใจจะเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ใหญ่เงาะคนนี้ ขอให้...ยืนขึ้น”
ชาวบ้านมองหน้ากัน ก่อนตัดสินใจยืนหมดทุกคน จนบังผู้ใหญ่เงาะมิด
ผู้ใหญ่ปีนขึ้นโต๊ะ เพื่อให้สูงเด่นเหนือชาวบ้านทุกคน เอ่ยปากพูดต่อพร้อมกับน้ำตาเอ่อ ตื้นตัน
“ดีมาก...ผู้หญิงและเด็ก จงเร่งกลับไปหุงหาอาหาร...ผู้ชายกลับไปอายน้ำอาบท่าที่บ้านแล้วมาตั้งวงกัน คืนนี้ไม่นอนเว้ย!”
หญิงชาวบ้าน 1 โวย “อ้าว จะแดกเหล้ากันซะแล้วเหรอ”
“เฮ่ย...เราจะจัดเวรยามป้องกันรอบๆ บ้านเราโว้ย...ใครแหลมเข้ามา ถ้าหน้าไม่เหมือนแม่ เหมือนพ่อละก้อ...ตีกบาลแม่มเลย”
ชาวบ้านถูกใจร้อง เฮ...
หรั่งเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่เงาะ
“ผู้ใหญ่...อย่าให้มันแรงนักเลย ผมขอร้องละ...สันติวิธีเถอะนะ...กำลัง ไม่ช่วยแก้ปัญหาหรอก”
“ใครบอกมึง”
“ลมหายใจของผม...ไม่งั้นผมคงไม่มีชีวิตอยู่มาจนทุกวันนี้หรอก...เย็นนี้ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจมา ผมจะเจรจาเอง”

บนถนนมุ่งหน้าสู่กาญจนบุรี เวลากลางวัน แสงสวยงาม รถเผ่าลาภแล่นไปท่ามกลางบรรยากาศอันสวยงาม เสียงเผ่าลาภดังขึ้น
“เมืองไทยของเรา ยังถือว่าเป็นศูนย์อัญมณีพลอยสีของโลก...ทั้งๆที่ทรัพยากรของเราก็ร่อยหรอลงไปเยอะแล้ว...”

ไม่นานต่อมา รถเผ่าลาภ มุ่งหน้าสู่เหมือง มีสยามขับรถ เผ่าลาภนั่งเคียงคู่กับแพรวาบนเบาะหนังโอ่อ่าของรถคันนี้ เผ่าลาภสาธยายเรื่องราวต่างๆอย่างชื่นอกชื่นใจ
“เหตุที่เป็นเช่นนี้ เป็นเพราะคนไทยเราเป็นนักบุกเบิกเกี่ยวกับเรื่องพลอย เราขุดกันทุกแห่งไปกันทุกที่ ทั้งในประเทศ ทั้งนอกประเทศ...ไปถึง ซีลอน แอฟริกา เขมร พม่า เวียดนามก็ไป...เราทำกันมา 50-60 ปีแล้ว และเรามักจะทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่กล้าทำกัน...จับพลอยมูลค่านับสิบๆล้านโยนเข้าเตาเผาเฉยเลย...มีชาติไหนกล้าบ้าง”
ระหว่างที่เผ่าลาภพูด สยามยิ้ม สนุกที่ได้ฟังไปด้วย
“น้องแพร หนูควรจะหาสมุดมาจดนะ เวลาที่คุณป๋าสอนอะไรๆ หนูน่ะ”
แพรวาชูสมุดโน้ตในมือให้ดู
“แต่ถ้าคุณป๋าพูดเรื่องประวัติความเป็นมา หนูไม่ขอจดนะคะ เพราะคุณป๋าพูดจนหนูท่องได้ขึ้นใจแล้ว”
“เหรอ...งั้นบอกมาซิว่า เหมือง MS. ของเรามีอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ย่างเข้าปีที่34...แก่กว่าน้องแพร 12 ปี...หนึ่งรอบพอดีค่ะ”
เผ่าลาภยิ้ม...สยามพลอยยิ้มด้วย
รถเผ่าลาภแล่นผ่านป้ายเหมือง M.S.เข้าไปในอาณาบริเวณของเหมืองนี้

ที่หน้าตึกสำนักงานเหมือง M.S. เห็นชายวัยเกินกลางคน บุคลิกดูดี เนี้ยบ แฝงความสำรวย เขาคือ ทนงศักดิ์ น้องเขยของเผ่าลาภ
ทนงศักดิ์กำลังยืนเซ็นเอกสารบางอย่างส่งให้พนักงานสาว ขณะรถเผ่าลาภเข้าเฟรมจอดหน้าอาคาร เผ่าลาภและแพรวาลงจากรถ ทนงศักดิ์เดินออกมาต้อนรับ ทักทายกันทันที
“สวัสดีครับเฮีย”
“สวัสดีค่ะ อาเตี๋ย” แพรวาไหว้
“วันนี้มาถึงนี่เชียวเหรอจ๊ะแพรวาหลานอา”
“ก็คุณป๋าละสิ บังคับให้มา”
“แน่ะ...มาถึงก็ฟ้องอาเขยเลยเหรอลูก”
แพรวาแอบเบ้หน้าใส่เผ่าลาภ
“เรื่องสนามกอล์ฟเป็นไง” เผ่าลาภถาม
“สัญญาณดีครับ...ผมลองเชิญโปรดังๆ มาหารือกัน เขาชอบไอเดียของเราทุกคนครับดูที่ดูทางกันแล้วด้วย เขาว่าถ้ามองจากแท่นทีออฟ แล้วเห็นเหมืองเก่าทั้งเหมือง จะสวยมาก...อาจทำให้โปรบางคนเลิกตีกอล์ฟ ไปขุดพลอยเลยก็เป็นได้” ทนงศักดิ์สาธยาย
“นักธรณีล่ะ”
“เขาขอใช้ดาวเทียมอีกซักสี่ห้าจุด แถวๆท้ายเหมือง”
“อือม...ไป น้องแพร ป๋าจะให้อาเตี๋ยทะนงศักดิ์พาเราไปดูรอบๆ เหมือง”

“ห่อเล ห่อเล บ่อ หมึ่ม โต๋ย ฮ่อ ฮ่อ” แพรวาเย้า

ครู่ต่อมา แพรวา เผ่าลาภ นั่งอยู่บนรถไฟฟ้า ที่มีทนงศักดิ์เป็นผู้ขับและชี้ให้ดูบริเวณสองข้างทาง

“จุดเริ่มต้นเหมืองของเราอยู่ตรงนี้ นี่คือหลุมแรกของเรา แร่ก้อนแรกที่เราขุดเจอ ก็อยู่ตรงนี้หละ”
ทนงศักดิ์ แต่ต่อไป อาจจะขุดแล้วเจอลูกกอล์ฟก็ได้นะ
“ทำพลอยอยู่ดีๆ ทำไมจะกลายเป็นสนามกอล์ฟซะล่ะคะ อาเตี๋ย”
“ไอเดียคุณป๋าของหนูน่ะแหละจ้ะ” ทนงศักดิ์บอก
“ทำเหมืองมันใช้ที่เปลือง ต้องกว้านซื้อที่มาขุดๆๆ พอขุดไม่เจออะไรแล้วก็กลายเป็นที่ดินที่ เปล่าประโยชน์...ปัญหาคือ ทำอย่างไรเพื่อให้พื้นที่เหล่านี้ยังมีประโยชน์สูงสุด”
“คำตอบคือ สนามกอล์ฟ” แพรวาว่า
“นักกอล์ฟทุกคนจะอยากมาเล่นที่นี่ เผื่อโชคดี อาจเจอพลอยซักก้อนสองก้อนในหลุมทราย”
“ว้าว....มันยอดมากเลยค่า คุณป๋า....” แพรวาทำเสียงล้อเลียน

ที่บริเวณโรงเจีย รถไฟฟ้าคันเดิมแล่นลัดเลาะไปรอบๆ เผ่าลาภอธิบายเรื่องราวให้ลูกสาวฟังตลอดทาง
“ทุกวันนี้แม้ว่าพลอยที่เราขุดได้จะร่อยหรอลงไปกว่าเมื่อก่อน...แต่เรายังมีเครดิตที่เชิดหน้าชูตาใน เรื่องของงานเจีย...เราสั่งพลอยจากต่างประเทศมาเผา มาเจียแล้วส่งกลับไปขายได้กำไรดีเลยหละ”
ทนงศักดิ์เสริม “แต่พลอยน้ำงามก้อนเป้งๆของเรา คุณป๋าของหนูยังเก็บไว้ในสต็อคอีกอื้อเลยรู้มั้ย...ยิ่งเก็บไว้นานยิ่งได้ราคาดี”
“แหม...แหลมคมจริงๆ นะคะ คุณป๋า”

รถไฟฟ้าคันนี้ แล่นเข้ามาอีกมุมหนึ่ง บริเวณแอ่งน้ำสวย เสียงแพรวาดังเข้ามาก่อน
“ที่ว่างตรงนี้อีกตั้งเยอะแยะ ทำไมเราไม่เลิกเหมืองแล้วทำสนามกอล์ฟให้หมดเลยล่ะคะคุณป๋า”
“คิดอย่างนั้นมันมักง่ายเกินไป น้องแพร...ประโยชน์ของที่ดินไม่ได้หมายถึงทำกำไรอย่างเดียวเท่านั้น...มันควรจะให้คุณค่าคืนกลับสู่สังคมบ้าง”
“คุณป๋าพูดเหมือนนักการเมืองเลย”
“ป๋าพูดแบบป๋านี่แหละ...เราเอาประโยชน์จากที่ดินนี้มากแล้ว เราควรจะตอบแทนคุณด้วยการสร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวมบ้าง”
“นั่นคือ ที่มาของโครงการพิพิทธภัณฑ์ เหมืองพลอย รอบๆแอ่งน้ำนี้แหละ” ทนงศักดิ์บอก
แพรวาฉงน “มี มิวเซียมด้วย”
“ไอเดีย อาเจ๊กเหลียงของเรา”
แพรวาร้อง “ว้าว”

จนเมื่อรถไฟฟ้าคันนี้ผ่านไป รถสิบล้อคันใหญ่วิ่งสวนเข้ามาจากอีกทาง คนขับรถสิบล้อ เขาหันมองตามารถไฟฟ้าไป เขาเป็นหนุ่มหน้าตาคมสัน น้องชายอีกคนของเผ่าลาภ ชื่อของเขาคือ เหลียง หรือชื่อจริงว่า ชาติชาย
“แหม เท่ห์น่าดู” ชาติชายพึมพำ

ส่วนที่บริเวณท้ายเหมือง ชัยรัตน์ นักธรณีเพ่งมองดูดินก้อนนั้นในมือ
“ผมค่อนข้างมั่นใจ ว่าสายแร่คงจะมาไม่ถึงที่ของเรา...น่าจะกองกันอยู่หลังเขาลูกนั้น”
เผ่าลาภและทะนงศักดิ์ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ รอบๆ ตัวมีเครื่องมือในการดูดดึงเอาดินเบื้องล่างขึ้นมาตรวจสอบ ที่เรียกว่า "โบลิ่ง"
แพรวาพูดโทรศัพท์มือถืออยู่ ไกลออกไป
“ขอเป็นเปอร์เซ็นต์” เผ่าลาภบอก
“กว่า 90%” นักธรณีว่า
“ผมต้องการความมั่นใจ 100%”
“อีกสิบเปอร์เซ็นต์ ผมขอรอเปรียบเทียบกับภาพถ่ายทางอากาศอีกทีครับ”
“โอเค. ขอบใจมากนะ คุณชัยรัตน์”
นักธรณีเดินถือดินออกไป เผ่าลาภหันมาหาทนงศักดิ์
“ที่ทางซ้ายนี้ เป็นของใคร....ยาวไปถึงหลังเขาเลยน่ะ...มีทั้งหมดกี่เจ้าของ เช็ครึยัง”
“ของชาวบ้าน ชาวไร่ทั่วๆ ไป...สามสิบห้าราย...รวมๆ แล้ว หกร้อยกว่าไร่” ทนงศักดิ์บอก
“รีบติดต่อขอซื้อไว้ได้เลย”
“ดูเหมือนจะมีกลุ่มทุนกลุ่มใหม่ ทำท่าจะตัดหน้าพวกเราอยู่นะเฮีย”
“ก็ทำให้มันเร็วกว่าเขาสิ...สั่งไปตั้งนานแล้ว ช้าอยู่ทำไม...หรือมัวแต่เลี้ยงเหล้าลูกน้องแซวนักร้อง...จีบแค้ดดี้”
“โธ่ เฮีย...”
“วันก่อน หัวหน้าช่างเจีย เมาเหล้า ไล่ชกลูกน้องเหรอ”
ทนงศักดิ์หน้าเสียไปนิดนึง
“คุมกันยังไงห๊ะ ผู้จัดการโรงเจีย...อบรมลูกน้องบ้างรึเปล่า” เผ่าลาภต่อว่า
“ไม่มีอะไรนี่ครับ มันหยอกล้อกันธรรมดา...เฮียไปเอาเรื่องนี้มาจากไหน”
“ชาติชายเขารายงานอั๊วมา”

แพรวาเดินถือโทรศัพท์หาคลื่นอยู่ รถสิบล้อคันนั้นแล่นผ่านไป ก่อนจะเห็นชาติชายโดดลงจากรถสิบล้อ เนื้อตัวเลอะเทอะ
“แถวนี้ไม่มีคลื่นหรอก...ทะเลก็ไม่มี 3G ก็ยังไม่มา ต้องไปใกล้ๆสำนักงานโน่น”
“อาเจ็กเหลียง” แพรวาดีใจ
แพรวาวิ่งเข้าไปกอดชาติชาย
“เฮ่ย...เป็นสาวแล้วนะ มากอดอาเจ็กเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว...ไม่ดี”
“โคลนเต็มตัวเลยน่ะ อาเจ๊ก”
“ก็นั่นน่ะสิ”
“ผู้จัดการโรงงานทำงานหนักอย่างนี้ ลูกน้องรักตายเลยสิ”
ทนงศักดิ์เดินเข้ามาพร้อมกับเผ่าลาภ
“ลูกน้องสบาย...เพราะเจ้านายทำเองหมด” ทนงศักดิ์แซว
“อาเหลียง...ทนงศักดิ์เขารับรองว่าไม่เคยมีคนงานคนไหนเมาอาละวาด...ยังไงแน่ เคลียร์กันซิ” เผ่าลาภว่า
“ผมว่าคุณชาติชายคงเข้าใจผิด เพราะความที่ไม่คุ้นเคยกับคนในความปกครองของผม...เอาเป็นว่าคราวหน้าถ้ามีปัญหาอะไร กรุณารายงานผมก่อน ตามลำดับสายงานดีกว่านะครับ...แล้วผมจะรายงานเฮียเอง จะได้ไม่สับสน” ทนงศักดิ์บอก
“โอ เค”
ชาติชายรับคำสีหน้านิ่งๆ แล้วเดินหายเข้าไปในกลุ่มเครื่องจักรขนาดใหญ่ในบริเวณนั้น
ทนงศักดิ์เอ่ยขึ้น “น้องชายเฮียคนนี้ดูเคร่งเครียดเกินไปครับ...ทำเอาคนงานอึดอัดกันไปทั้งเหมือง”
เผ่าลาภรับฟังเฉยๆ
มีรถไฟฟ้าอีกคันแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ กัน ในรถคันนั้นประกอบไปด้วย อรทัย สาวใหญ่ดูดี น้องสาวคนรองจากเผ่าลาภ พร้อมด้วย ต้น หรือ กฤษฎา และ ตอง ลูกชายลูกสาวของเธอ
ทั้งหมดลงจากรถตรงเข้ารวมกลุ่มทักทายกันตามธรรมชาติ
“พร้อมหน้าพร้อมตากันดีจริงนะ บ้านนี้” เผ่าลาภทัก
“จะมารับนายนงไปตีกอล์ฟ...ออกรอบด้วยกันมั้ยล่ะเฮีย” อรทัยชวน
“อย่างเฮียต้องรอ วันแกรนด์โอเพนนิ่ง สนามของเราเอง” ทนงศักดิ์ว่า
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น...ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียง

อีกมุมหนึ่งใกล้ๆ กัน แพรวากดรับสายโทรศัพท์อย่างดีใจ
“ฮัลโหล...ฮัลโหล...พี่ตะวันเหรอคะ...พี่ตะวันโทรหาน้องแพรเมื่อกี้ใช่มั้ย...สัญญาณมันไม่ดี น้องแพรอยู่ที่เหมืองค่ะ..อยู่ที่เหมือง...” แพรวาตะโกนดังขึ้น “เหมือง...คิดถึงจังเลย...ได้ยินมั้ยคะ ฮัลโหล ได้ยินมั้ย”
กฤษฎาเดินเข้ามาแซวเล่น ใกล้ๆ แพรวา
“ไอ้ตะวันฉายนี่มันขยันทำคะแนนจริงๆ...ทำเป็นโทร.ข้ามประเทศมาหา...พูดๆ อยู่นี่ อาจมี
สาวอึ๋มๆ เคลียคลอ ออเซาะอยู่ข้างๆ ก็ได้...ใครจะรู้”
แพรวาหันมาทางกฤษฎา “ไม่มีทาง...พี่ตะวันไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“ปัดโธ่...มันเพื่อนฉัน ทำไมฉันจะไม่รู้นิสัยมัน ฮ่ะฮ่ะฮ่า”
“ฮัลโหล พี่ตะวัน...เพื่อนพี่พูดจาไม่ดีหละ”

อรทัยเดินลากแขนเผ่าลาภห่างออกมาจากคนอื่นๆ ตรงอีกมุมหนึ่ง ไม่ไกลกัน
“เฮีย...ขอต่อว่าหน่อยเหอะ วันก่อนทำไมเฮียต้องไปด่าว่าเจ้าบารมีมันมากมายขนาดนั้น อาหั่งมันน้องชายแท้ๆนะเฮีย ไปด่ามันยังกะหมูกะหมาอย่างนั้นได้เหรอ”
“แล้วลื้อรู้มั้ยว่า อาหั่งน้องชายเรามันไปทำอะไรมา...โธ่ อั๊วไม่อยากจะโพทะนาให้มันได้อาย...เมียมันน่ะมาร้องไห้ถึงบ้านอั๊ว ลื้อรู้หรือเปล่า”
ชาติชายเดินแบกของเข้ามา เขาหยุดชะงักทันทีที่ได้ยินเผ่าลาภพูด...อรทัยหันไปเห็นชาติชาย
“อะไรล่ะเรา...ทำไม พูดถึงพี่สะใภ้หน่อย ทำสะดุ้ง ออกอาการ”
“เจ๊พูดอะไรน่ะ” ชาติชายโกรธ
“ก็พูดเรื่องจริงสิวะ...ลื้ออย่าไปหมกมุ่นให้มันมากนักนะอาเหลียง อั๊วขอเตือน "คุณกัน"
เขาเป็นพี่สะใภ้ลื้อน่ะดีแล้ว ดีกว่าให้เขามาเป็นเมียลื้อ...ดักดานแย่” อรทัยบอก

ชาติชายแบกของเดินออกไปอย่างเครียด ขรึม ทุกคนมองตาม

อ่านต่อหน้า 2

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ตอนบ่ายแก่ๆ ใกล้เย็น ชาติชายยืนสงบสติอารมณ์อยู่มุมสวยมุมหนึ่งในเหมือง บิดฝาขวดเครื่องดื่มเกลือแร่อย่างแรง ยกขวดดื่มรวดเดียวยาว แต่หาดับกระหายได้ไม่ หากเป็นการดับอารมณ์มากกว่า

ชาติชายดึงขวดออกจากปาก หยุดพัก หายใจ...สายตาทอดยาวไปไกลสุดปลายเหมือง มือของชายมีอายุแตะลงที่บ่าของเขา เจ้าของมือหย่อนตัวลงนั่งในเวลาไม่ช้า...เขาคือ เผ่าลาภ
“ลื้อยังไม่ลืมกันทิมาอีกเหรอ”
“จะลืมได้ไง...เขาเป็นพี่สะใภ้ผม”
“แน่ใจนะว่าคิดได้อย่างนั้นแล้ว”
ชาติชายนิ่ง ไม่ตอบ ยกเครื่องดื่มที่เหลือดื่มจนหมด
“ชีวิตคนเรามันก็อย่างนี้แหละ มีสุข มีทุกข์ มีทะเลาะเบาะแว้ง แล้วก็มีอะไรๆที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้นได้เสมอ...อั๊วขอแต่เพียงว่า อย่าให้พี่น้องต้องถึงกับอาฆาตแค้นกันเลย”
“เฮียอย่าห่วงเลย...สำหรับผม เลือดพี่เลือดน้อง สำคัญกว่าสิ่งใด”
“อั๊วดีใจที่ได้ยินอย่างนี้”
ทั้งสองนั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง
“เขา...เป็นไงบ้าง...กันทิมา เขา สบายดีมั้ย” ชาติชายถาม
“อาเหลียง...อั๊วรับปากลื้อได้อย่างนึง...อั๊วจะดูแลกันทิมาอย่างดีที่สุด ให้เหมือนเป็นน้อง
แท้ๆ ของเราคนนึง...ลื้อสบายใจได้”
เผ่าลาภมิได้ตอบตรงคำถาม แต่มันก็ทำให้ชาติชายสบายใจได้บ้างตามสมควร

บ่ายวันเดียวกัน ที่สวนอาหารแห่งนั้น เท่ห์ โบ้ เช็ง แช่ตัวอยู่ในแอ่งน้ำหลังร้าน ซึ่งเป็นบ่อดินธรรมชาติ พวกเขากำลังตักเอาขยะ และเลนก้นบ่อขึ้นมา ส่วนหรั่งนั่งพิงมอเตอร์ไซค์ของตน อ่านหนังสือหน้าตาเอาจริงเอาจัง
ที่ปกหนังสือเล่มนั้นเขียนว่า “เก็งข้อสอบ มหาวิทยาลัยสุโขทัยฯ"
จังหวะนี้ผู้จัดการสวนอาหารเดินเข้ามา หน้าตาเอาเรื่องพอสมควร
“เฮ้ย ทำอะไรกัน เลอะเทอะหมดแล้วน่ะ”
เท่ห์ โบ้ เช็ง ค่อยๆ โผล่หน้าขึ้นมาจากบ่อ เนื้อตัวมอมแมม
“ขุดลอกบ่อไง...ไม่เห็นเหรอ” เช็งบอก
ผู้จัดการถามเสียงขุ่น “ใครสั่งให้ขุด”
“คุณเสี่ยเจ้าของร้านไงครับ” โบ้ว่า
“ผมเป็นผู้จัดการร้าน...ผมไม่เห็นรู้เลย”
“แสดงว่าตามเรื่องไม่ทันน่ะสิ”
เท่ห์แขวะ ขณะปีนขึ้นมาจากบ่อ เดินไปใกล้ผู้จัดการร้านพลางอธิบาย
“คืออย่างนี้ เริ่มจากเสี่ยอยากได้บ่อน้ำตก บ่อปลา อันนี้รู้ใช่มั้ย”
“รู้...อ้อ จำได้แล้ว นายนี่เองที่รับทำบ่อให้เสี่ย...รับเงินงวดแรกไปแล้วด้วย” ผู้จัดการบอก
“ถูกต้อง” เท่ห์ว่า
ผู้จัดการนึกสงสัย “แล้วทำไมไม่มาทำบ่อซะที มัวมาขุดลอกอะไรอยู่ได้”
“ก็นี่ไง บ่อน้ำตก” เช็งว่า
ผู้จัดการท้วงทันที “เฮ้ย...เสี่ยให้ทำข้างหน้า หน้าร้าน ไม่ใช่บ่อปลาหลังร้านอย่างนี้”
“แน่ะ...ตามเรื่องไม่ทันอีกแล้วนะเรา...รู้จักฮวงจุ้ยมั้ย...ทำร้านค้าอย่างนี้มันต้องดูลักษณะฮวงจุ้ยด้วย ถูกมั้ย”
เช็งสำทับคำพูดเท่ห์ “ไม่งั้นร้านเจ๊ง เอาได้ง่ายๆนะ”
“ถ้าร้านเจ๊ง ผู้จัดการก็ตกงาน ใช่มั้ย” เท่ห์ถาม
ผู้จัดการงง “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับบ่อนี้”
โบ้อธิบาย “ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว น้ำตกต้องอยู่ข้างหลัง”
“ขืนไปอยู่ข้างหน้า ทำอะไรก็ตก ก็ตก ไม่มีขึ้นหรอก” เช็งท้วง
เท่ห์จ้องหน้าถาม “เข้าใจรึยัง”
“หึ๊!! ยัง งง อยู่หน่อยๆ” ผู้จัดการบอก

หรั่งผละจากการอ่านหนังสือ เขาเดินตรงไปหาผู้จัดการ เพื่ออธิบาย
“คืองี้ครับ...ถ้าเราใช้บ่อตรงนี้ซึ่งเป็นบ่อดินบ่อธรรมชาติ เป็นตัวเก็บน้ำ เราก็ไม่ต้องตอกเสา
เข็มทำบ่อใหม่ให้สิ้นเปลืองตังค์”
ผู้จัดการพยักหน้า “อ๋อ... ถ้าเป็นเรื่องเซฟตังค์อย่างนี้เสี่ยแกเข้าใจเร็ว เสี่ยแกชอบ...แต่หน้าร้าน ตรงทางเข้าก็ไม่มีอะไรสวยๆให้ลูกค้าดูน่ะสิ เดี๋ยวไม่ถูกใจเสี่ย แล้วจะยุ่งนะ”
“โอ๊ว...อย่าห่วง...เราจะทำทางน้ำจากตรงนี้ เป็น Flood Way ไปโผล่หน้าร้าน แล้วใส่ปั๊ม
ดึงน้ำให้พุ่งขึ้นเป็นน้ำพุที่สูงสุดลูกหูลูกตา สูงลิบลิ่ว” เท่ห์ว่า
เช็งเสริม “ทำอะไรๆ ก็ขึ้น ขึ้น ขึ้น ไม่มีตก”
“และปลาคาร์พสิบตัวที่แถมให้ ก็จะว่าย วน เล่นน้ำพุอย่างสนุกสนาน...” เท่ห์ว่าต่อ
“มานี่ ผู้จัดการมา...ร้านยังไม่เปิด มาช่วยขุดกัน ยืนดูเฉยๆ ไม่มันหรอก”
จากนั้นเท่ห์ เช็ง ลากผู้จัดการลงไปในบ่อน้ำ โคลนกระเด็นกระจาย
จู่ๆ สายลมก็พัดกระพือแรง เศษฝุ่นปลิวฟุ้ง กระดาษแผ่นใหญ่ปลิวไปตามแรงลม

ค่ำนั้นกระดาษแผ่นใหญ่ปลิวมาตกที่บริเวณหน้าบ้านผู้ใหญ่เงาะ ชุมชนจานเดี่ยว
สายลมกรรโชกแรง พัดพาเศษกระดาษ เศษใบไม้แห้งปลิวว่อน มอเตอร์ไซค์ ของหรั่ง เช็ง และโบ้ วิ่งมาหยุดหน้าบ้านผู้ใหญ่เงาะ พวกมันทุกคนเนื้อตัวมอมแมมดูไม่จืด
เท่ห์กะเช็ง เอื้อมมือหยิบของกินจากตู้แช่ และแผงขายของหน้าบ้านผู้ใหญ่
เท่ห์ตะโกน “น้ำแข็งสอง เบียร์สี่ พรุ่งนี้จ่าย”
เช็งตะโกน “แหนมหก ถั่วห้า อาทิตย์หน้าจ่าย”
จังหวะนี้ เด็กชายเม่นเดินเข้ามา ล้วงขนมในโหลออกมากินหน้าตาเฉย
“เอาไปเยอะๆ ก็ได้พี่ รับรองผู้ใหญ่ไม่รู้...ไม่มีใครอยู่ซักคน”
“ไปไหนกันหมดล่ะ
“โรงพัก” เม่นบอก
ทุกคนสะดุ้งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“มีเรื่องอะไร” หรั่งถามซัก
“มีคนโดนจับไปเจ็ดคน ป้าแป๋ว ป้าเจี๊ยะ น้าต่อม ตาทุ้ย ตาเบิ้ม ป้าโอ๋”
โบ้พึมพำ “พ่อกู แม่กู...”
เม่นบอกต่อ “แล้วก็ พี่ก้อย อีกคน”
“ก้อย”

หรั่งตกใจสุดขีด

เสียงของหรั่งดังขึ้นในห้วงคิดของเขา

“ในสังคมมีผู้คน ต่างเพศ ต่างวัย ต่างสถานะ ปะปนกัน สถิติบอกเราว่า 49.8 % เป็นชาย 50.2 % เป็นหญิง 65 % เป็นคนมีโอกาส 35 % เป็นคนด้อยโอกาส โอกาสเดียวที่คนด้อยโอกาส จะพลิกฟื้นอนาคตของตนได้คือ การมีศรัทธา ความหวัง ความมุ่งมั่น และที่สำคัญคือ คุณธรรม คุณธรรม จะนำเราไปสู่เป้าหมาย ที่ธรรมะ ได้จัดสรรไว้ให้แล้ว ผมเชื่ออย่างนั้น”

ที่หน้าสถานีตำรวจเวลานั้น ผู้ใหญ่เงาะลุกยืนขึ้น เดินเข้ามายังกลุ่มลูกบ้าน ประกาศลั่น
“ไม่ยุติธรรม...เข้าข้างคนรวย รังแกคนจน”
ม็อบชาวบ้านจานเดี่ยว นั่งเรียงแถวกันหน้าโรงพัก แผ่นป้ายประท้วงถ้อยคำรุนแรงถูกเด็กๆ ถือ ชู กันสนุกมือ
“เหยียบย่ำคนจนชัดๆ...ใช่ไม่ใช่” ผู้ใหญ่เงาะปลุกระดมอย่างดุเดือด
ชาวบ้านตะโกนรับ “ใช่” พร้อมเพรียง
“คนจน ไม่มีจะกิน มันก็ต้องดิ้นรน...แล้วมันผิดตรงไหน...เอะอะก็จะขับไล่ ๆ จะไล่ให้ไป
ตายรึไง”
ชาวบ้านร้องเฮอีก
หรั่ง เท่ห์ โบ้ และเช็ง เดินแหวกกลุ่มชาวบ้านเข้ามาบริเวณจุดไฮปาร์ค เสียงผู้ใหญ่ปลุกระดมชาวบ้านยังคงดังต่อเนื่องอยู่ตลอด
“เราอยู่ของเรากันดีๆ ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ทำไมต้องมาจับกันด้วย...เห็นว่าคนจนไม่มีทางสู้รึไง...จนๆอย่างนี้ละเว้ย เวลาหลังพิงฝา มันก็บ้าเอาเรื่องเหมือนกันนะ จะบอกให้...วันนี้ ถ้าไม่ปล่อยพวกเราออกมา ทุกชีวิตที่อยู่ตรงนี้ จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนทั้งนั้น จะนั่งอดข้าวแม่มมันอยู่ตรงนี้จนถึงเช้าเลย...ถ้าห้องขังใหญ่พอใส่พวกเราทั้งหมดนี่ได้ ก็ลองดูสิ”
ชาวบ้านร้อง “เฮ...”
ระหว่างเสียงปราศรัยของผู้ใหญ่ กลุ่มหรั่งเดินตรงไปหาผู้ใหญ่เงาะ น้าแอ๊ด แม่เท่ห์โผล่ขึ้นมาจากกลุ่มชาวบ้าน ดึงตัวเท่ห์ไว้ แม่ลูกคู่นี้คุยกันล้งเล้ง
“ไอ้เท่ห์ มึงไปไหนมา ไม่รู้จักมาช่วยกัน”
“ก็มานี่แล้วไง”
“เอ้า เอาป้ายนี่ไปชูไว้”
น้าแอ๊ดส่งป้ายประท้วงให้เท่ห์หนึ่งแผ่น มันเขียนด้วยสีแดงว่า “ตำรวจ รังแก ประชาชน"
เช็งหยุดเดินตรงอาแปะแก่ๆคนหนึ่ง
“เตี่ย...มากับเขาด้วยเหรอ”
“ไม่มาได้ไง ไม่มาก็ไม่มีที่อยู่ที่กินสิวะ...เอ้า เอาน้ำไปแจกพวกเรา ไป...เผื่อตำรวจใช้แก๊สน้ำตา”
หรั่งและโบ้เดินมาถึงตัวผู้ใหญ่ที่อยู่หน้าฝูงชน
“ผู้ใหญ่ ทำไมต้องยกพวกมาขนาดนี้” หรั่งถาม
“หนามยอกเอาหนามบ่งเว้ย...มันบุกเราได้ เราก็บุกมันได้”
“ทำไมไม่เจรจากันดีๆ บุกแล้วได้อะไร”
“ไม่รู้...กูบุกก่อนหละ”
“ก้อยล่ะ”
“โดนจับอยู่ข้างใน” ผู้ใหญ่เงาะพยักพเยิดไปในโรงพัก
โบ้สงสัย “จับมาได้ยังไง”
“มันเล่นทีเผลอ ปลอมเป็นรถขายไส้กรอกเข้ามา มาถึงมันก็จับยัดใส่รถออกไปเลย...แต่ไม่
ต้องห่วงหรอก พวกเราโดนกันเยอะ...พ่อมึงก็ด้วย ไอ้โบ้”
ดาบตำรวจเดินออกมาจากในโรงพัก เขามองมาที่กลุ่มชุมนุมอย่างเหนื่อยหน่าย
“หยุดตะโกนโวยวายกันได้แล้ว...ไหน...ใครคือตัวแทนผู้ชุมนุม...แกนนำน่ะ มีมั้ย คนไหนเจ้าของที่เขามาถึงแล้ว...จะเจรจากับเขาก็เข้ามา ส่วนคนอื่นๆ ก็กลับไปซะ ไม่กลับเดี๋ยวจับขังหมด”
ชาวบ้าน โห่ ฮู่ววววว

ในสถานีตำรวจแห่งนั้น ก้อย นั่งอยู่กับน้าเบิ้มและเมีย ชาวบ้านหญิงแก่ๆ อีกสี่ห้าคน นั่งเรียงถัดกันไป สารวัตรนั่งลง
“พวกเราต้องทำความเข้าใจกันก่อนนะ นี่คือการเชิญมา ไม่ใช่จับมา...แต่ที่ต้องใช้วิธีนี้ ก็เพราะพวกเราเองน่ะแหละที่ไม่ยอมเจรจาด้วย...แถมยังเอาชาวบ้านมาตั้งแถวเป็นกำแพง กันไม่ให้ตำรวจเข้าไปอีก อันนี้ไม่ถูก...ทำเหมือนเป็นเมืองเถื่อน เป็นเขตอิสระอย่างนั้นแหละ...ไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่ได้...มันจะเป็นการเผชิญหน้าที่หาข้อยุติไม่ได้”
ดาบตำรวจนำ ผู้ใหญ่เงาะ หรั่ง เท่ห์ โบ้ เช็งเดินเข้ามา
“สารวัตรครับ นี่คือตัวแทนชาวบ้านที่จะเจรจากับเราครับ” นายดาบบอก
“เชิญนั่งทุกคน กินน้ำกินท่าให้สบายใจก่อน จะได้คุยกันดีๆ”
หรั่งนั่งลงข้างๆ ก้อย กุมมือก้อยไว้
“หรั่งใช่มั้ย”
“ใช่ ไอ้เท่ห์ ไอ้โบ้ ไอ้เช็งก็มาด้วยกันหมด”
สารวัตรหันมาทางกับเท่ห์ “น้อง ช่วยเอาป้ายที่ถือนั่นออกไปก่อนได้มั้ย...ดูแล้วไม่ค่อยดี”
“อ๋อ...แก้ไขให้ดีได้ครับผม”
เท่ห์เอาปากกาสีดำ ระบายทับตัว งอ งู กับ สระแอ ออก ป้ายนั้นจึงอ่านได้ว่า “ ตำรวจ รั _ก ประชาชน "
“ดีขึ้นมั้ยครับ”
สารวัตรฝืนยิ้มแบบขี้เกียจเอาเรื่อง
“ใครที่เรียกตัวเองว่าเป็น ผู้ใหญ่...ยกมือขึ้นซิ”
ทุกคนหันมองไปที่ผู้ใหญ่เงาะ
“ไม่ต้องยกแล้ว...ผมจะเข้าเรื่องเลยนะผู้ใหญ่...ที่ดินผืนที่พวกคุณอาศัยอยู่ทุกวันนี้ เป็นที่ดินที่พวกคุณได้บุกรุกเอาที่ของเขามาถือครองเป็นเวลา 7 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้สามปีเจ้าของที่ได้ยืนโนติส ให้พวกคุณย้ายออกไป แต่คุณก็ไม่ยอม แล้วยังหลีกเลี่ยงการเจรจาไกล่เกลี่ยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจนัดไป ทนายนัดไป แม้กระทั่งศาลมีหมายเรียก ก็เบี้ยว ไม่ไปตามนัด...จนถึงวันนี้ ศาลได้ตัดสินแล้วว่า ให้ดำเนินการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป...ทีนี้พวกคุณจะว่ายังไง”
“ไม่ไป” ผู้ใหญ่ตอบทันควัน
“เออ...ง่ายดีเว้ย” สารวัตรชักหงุดหงิด
“เราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เป็นที่รกร้าง ถางหญ้าถางพงออกไปไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีคนสนใจเหลียวแล...พอมีถนนตัดผ่านหน่อยเดียว หน็อยเจ้าของที่โผล่เลย...จะมาเอาที่คืน แน่ะ”
“อ้าว ก็มันที่ของเขา...มันเป็นสิทธิของเขาที่เขาจะเอาผืนดินของเขาไปทำให้เกิดประโยชน์” สารวัตรบอก
“ยกที่ให้เรา ก็เท่ากับทำประโยชน์เหมือนกัน ทางพระถือเป็นการทำทาน...โอ้ จะได้บุญ
เยอะเชียวครับ” เท่ห์ว่า
“ฮ่ะฮ่ะ งั้นต้องไปคุยกับเจ้าของที่คนเก่านะ แกเป็นคนธรรมะธัมโม” สารวัตรบอกอีก
“เขาอยู่ไหนล่ะ” ผู้ใหญ่สนใจ
“ตายแล้ว เพิ่งป่วยตายที่อังกฤษ” สารวัตรบอก
“หวังว่าคงขึ้นสวรรค์ทัน” เช็งว่า
“ตอนนี้กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของบุตรชาย...และเขาต้องการที่ดินผืนนี้คืน”
“ผมมีข้อเสนอครับ...เราจะขอเช่าที่ผืนนี้”
ทุกคนหันมามองหรั่ง
“เช่า...จะไหวเหรอ” สารวัตรฉงน ระคนแปลกใจ

“ก็ต้องลองดู...อยู่ที่ว่าเขาจะเรียกเท่าไหร่” หรั่งบอก

สารวัตรหันไปหาชายบุคลิกดีตัวแทนเจ้าของที่ ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลัง

“ฝ่ายเจ้าของที่ ว่าไงครับ”
ชายกลุ่มนั้นหันหน้าเข้าหากัน
“พวกเราเป็นเพียงตัวแทน...คงต้องขอเวลาปรึกษากันก่อน”
“ยังไงก็ ขอให้ราคาอยู่ในวิสัยที่พวกเราพอจ่ายได้ จะให้เช่ากี่ปีก็ว่ามา...พวกเราทุกคน ไม่ใช่ขโมย ไม่ใช่โจร เราเป็นคนทำมาหากิน เพียงแต่ไร้วาสนา ด้อยโอกาส...ทุกวันนี้ก็อาศัยทำงานที่คนมีเงินเขาไม่ทำกัน เก็บขยะ เป็นบ๋อย เป็นยาม รับจ้างทำความสะอาดซักล้าง...คุณลองคิดดู ถ้าไม่มีพวกเรา พวกคุณก็ต้องลำบากเหมือนกัน...ถ้าไม่เห็นแก่เราก็ลองนึกถึงพวกคุณเองบ้าง” หรั่งโน้มน้าว
“ข้อเสนอของคุณ ก็น่ารับฟังอยู่” ชายในกลุ่มบอก
“เรายังต้องรื้อถอนภายใน 7 วันอีกรึเปล่าครับ” หรั่งถาม
“ลองได้เริ่มเจรจากันอย่างนี้แล้ว คงไม่เป็นไรมั้ง” สารวัตรหันไปมองหมู่ชายกลุ่มนั้น ในเชิงถาม ชายเหล่านั้นพยักหน้า
“โอ เค นี่คือข่าวดีของพวกคุณ”
ชาวบ้านทุกคนยิ้มออก
“ขอไปบอกพรรคพวกก่อนนะ”
ผู้ใหญ่เงาะออกไป คนอื่นๆขยับเปลี่ยนอิริยาบถ สารวัตรจ้องไปที่หรั่ง
“เราเรียนจบอะไร...”
“ม.6 กศน. วัดคลองครุ อาทิตย์หน้าจะสอบปริญญาตรี มหาวิทยาลัยสุโขทัยครับ”
สักครู่มีเสียงชาวบ้านตะโกนโห่ร้อง ดีใจ ดังมาจากด้านนอกโรงพัก
“ไชโย ไชโย ไชโย”
สารวัตรบอกกับหรั่งอย่างชื่นชม “ชาวบ้านจานเดี่ยวโชคดี ที่มีคนอย่างเธอ”
เสียงผู้ใหญ่เงาะดังเข้ามา “ไชโยให้ไอ้หรั่งกันหน่อยเว้ย พวกเรา...ไชโย ไชโย ไชโย”

ภายในห้องนอนแสนสวยของแพรวา เสียงแซ็กโซโฟนให้อารมณ์เซ็กซี่ลอยมาจากแดนไกล
แพรวาในชุดนอนราคาแพงนั่งเขียนอะไรบางอย่างบนโต๊ะเล็กๆเก๋ไก๋ของเธอ
“ถึงวีรบุรุษนิรนามของฉัน ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง...ขอฝากของเล็กๆ น้อยๆ เพื่อ ตอบแทนแพรวาเซ็นชื่อเสร็จพอดี แพรวา ยิ้ม ขำ กับสำนวนของตัวเอง เธอหยิบเงินใส่ซองสีขาว รวมกับการ์ดใบนั้น แล้ววางมันลงบนโต๊ะ
แพรวาเดินไปนอนบนเตียงนุ่ม คลุมด้วยผ้าห่มลายตะวันฉาย แพรวาเอียงกายมองดู การ์ดใบนั้น

เวลาเดียวกัน เผ่าลาภนอนคว่ำหน้าอยู่ ท่าทางอ่อนล้า โรยแรง รำไพนั่งอยู่ข้างๆ ใช้สองมือบีบนวดตามหลังและไหล่ของผู้เป็นสามี
กรอบรูปตั้งโต๊ะอันหนึ่ง ในกรอบนั้นเป็นรูปของเด็กชายหน้าตาคล้ายเผ่าลาภยามนี้ นั่งอยู่บนรถเข็น ท่าทางอมโรค เผ่าลาภเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ...ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้าย ที่ผมไม่ต้องนั่งรถเข็นเหมือนตอนเด็กๆ”
“ก็ต้องโชคดีสิคะคุณ”
“แต่ผมว่าโชคร้ายมากกว่า”
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ถ้าผมไม่หายจากโรคหอบหืด...ผมก็คงได้นั่งๆนอนๆนิ่งๆอยู่บนเตียงสบายๆ ไม่ต้องมานั่งเครียด นั่งเหนื่อย เป็นหัวเรือใหญ่ของ MS. Group อย่างนี้”
“คุณพูดเหมือนรังเกียจธุรกิจของต้นตระกูลตัวเองนะคะ”
“ไม่ได้รังเกียจ...แต่ว่ามันเหนื่อยเหลือเกิน”
“ไม่มีใครประสบความสำเร็จได้โดยไม่เหนื่อยหรอกค่ะ”
“คุณนี่ช่างเป็นกำลังใจที่ดีสำหรับผมจริงๆ”
“ไม่ใช่ฉันคนเดียวนะคะ ยายแพรลูกสาวเราอีกตั้งคน”
“โธ่...จะไปหวังอะไรกับมัน...ดูจะไม่สนใจธุรกิจเอาซะเลย เฮ้อ...ไม่รู้จะฝากจะฝังอะไรได้รึเปล่า”
“ค่อยๆ สอนแกไปเถอะค่ะ...แกเชื่อคุณป๋าของแกออก ฉันรู้ว่าคุณทำได้”
“บุญแท้ๆ ที่ผมมีคุณ...รำไพ คุณไม่เสียใจใช่มั้ย ที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณร่ำเรียนมา เพื่อมาใช้ชีวิตอยู่กับอาตี๋อย่างผม”
“แล้วคุณเสียใจมั้ยล่ะคะ ที่ฉันมีลูกชายให้คุณไม่ได้”
เผ่าลาภยิ้ม แล้วดึงรำไพเข้ามากอด
“ฉันต้องขอบคุณเตี่ยของคุณต่างหาก ที่ยอมให้ฉันเป็นหนึ่งในตระกูลของคุณ” รำไพว่า
“พรุ่งนี้มีประชุมผู้ถือหุ้น...ยังไม่รู้เลยว่าจะออกหัวหรือออกก้อย” น้ำเสียงของเผ่าลาภเต็มไปด้วยความกังวล

ขณะเดียวกัน โมเดล pop up ของหรั่ง บุคลิกคล้ายเป็นเจ้าหญิงถูกห้อมล้อมด้วย ตัวละครที่เป็นทหารเอก เสียงพากย์ของหรั่งดังขึ้น พร้อมกับเสียงไวโอลินประกอบจากฝีมือของก้อย
“และในที่ประชุมของเหล่าองครักษ์นักรบนั้นเอง...องค์หญิงรัชทายาทก็ถูกธนูลึกลับ พุ่งปักลงกลางหลัง องค์หญิงฟุบหน้าลง ลมหายใจรวยริน...เจ้าชายทรุดตัวลงเคียงข้างเธอ”
หรั่งหยิบตัวละครเจ้าชายขึ้นมาเล่น และเปลี่ยนเสียงตัวเองเป็นเจ้าชาย
“องค์หญิงของข้า...องค์หญิงของข้าต้องไม่ตาย...มองหน้าข้าสิองค์หญิง...ลืมตามองหน้าข้าพระองค์เดี๋ยวนี้”
หรั่งดิ้นทุรนทุรายไปตามบทบาทในนิทานที่เขาเล่า
ก้อยอดไม่ได้ที่จะอ้าปากออกเสียงเป็นตัวละครไปกับหรั่งด้วย
“ถ้าเราสามารถลืมตาขึ้นมาตอนนี้ได้ เราจะขออุทิศดวงตาคู่นี้ไว้ เพื่อมองแต่เพียงเจ้าเท่านั้น”
“โอ้...องค์หญิงที่รักของข้า...ช่างซาบซึ้งใจข้ายิ่งนัก”
“แต่จนบัดนี้ เราก็มิอาจเปิดดวงตาได้ เพราะยังไม่มีตังค์ผ่าตัดตา”
“อ้าว...เปลี่ยนเรื่องซะงั้น”
“จนกว่าเจ้าจะตามหาพ่อของเจ้าเจอ” ก้อยว่าอีก
“อยู่ๆ มาเล่นอย่างนี้ คนเล่าก็เป็นอันหมดอารมณ์กันพอดี”
หรั่งฉุนนิดๆ เปลี่ยนท่านั่ง ขยับตัว ทอดถอนใจ เลิกเล่านิทาน ก้อยรู้สึกได้ถึงอารมณ์ขุ่นมัวของหรั่ง
“ก้อยเป็นภาระของหรั่งมากใช่มั้ย”
หรั่งถึงกับอึ้งไป เขาขยับลงนั่งข้างๆ ก้อย เปลี่ยนน้ำเสียง เป็นนุ่มนวลให้กำลังใจ
“ใครบอกล่ะ...ไม่ เลย ซัก นิด”
“หรั่งรู้มั้ย ชีวิตนี้ ก้อยขอมีดวงตาที่สามารถมองเห็นอะไรชัดๆ ได้ซักสองสามนาทีเท่านั้นก็พอ...หลังจากนั้นจะกลับมาบอดอีกก็ได้ ก้อยยอม”
“โธ่...เห็นแค่สองสามนาทีมันจะคุ้มได้ยังไง...ดูอะไรก็ยังไม่ทั่วหรอก”
“ทั่วสิ...ก้อยอยากเห็นแค่หน้าของหรั่งเท่านั้นแหละ อยากรู้ว่าหรั่งจะมีใบหน้าเป็นยังไงจะตรงกับที่ก้อยคิดไว้มั้ย...แค่นั้นเอง”
หรั่งมองก้อยนิ่งๆ เขาพยายามจะสร้างบรรยากาศให้ร่าเริง แจ่มใสขึ้น
“ถ้างั้นหรั่งจะเล่าให้ฟัง...ก้อยฟังแล้วนึกภาพตามนะ...หรั่งเป็นคนหน้าแป้น คางแบนแขนคอก..”
หรั่งจับมือก้อยมาลูบไล้ตามอวัยวะต่างๆ ของตัวเอง ที่ตรงข้ามกับคำอธิบายทั้งสิ้น
“คิ้วหรั่งทั้งบางทั้งแหว่ง จมูกบี้ ตาตี่ เป็นตี๋ขี้เหร่ ขาเก หูกางข้างเดียวอีกต่างหาก ปากก็เจ่อ ฟันก็เหยิน ใครเดินผ่าน เป็นต้องร้องยี้แล้วรีบหนีไปไกลๆ...เฮ้อ บุญนักหนาแล้วหละที่ก้อยไม่ต้องเห็นหน้าค่าตาของหรั่ง”

ก้อยสับสนกับจินตนาการของตน แต่นั่น มันก็ทำให้เกิดรอยยิ้มสุขสันต์ในค่ำคืนของเขาและเธอ

เช้าวันใหม่ ที่สวนอาหารแห่งนั้น สายน้ำใสพวยพุ่งจากปลายท่อ ไหลผ่านโขดหินจำลอง ตกลงสู่บ่อปลาเสียงดังกังวาน

สี่เกลอ หรั่ง เท่ห์ โบ้ และเช็ง ยืนไม่ห่างจากบ่อ โดยรอบๆ บ่อปลามีท่อมากมายวิ่งเชื่อมโยงกันค่อนข้างยุ่งท่อที่ใหญ่ที่สุดเดินเชื่อมตัวบ่อ ไปยังบ่อธรรมชาติด้านหลังร้าน
เสี่ยเจ้าของร้าน ยืนตรวจงานด้วยท่าทาง งงๆ
“นี่เสร็จแล้วเหรอ”
“ครับผม” เท่ห์ตอบ
“ไม่เห็นเหมือนในรูปที่ลื้อให้อั๊วดูเลย” เสี่ยงงอยู่นั่น
“เหมือนสิครับ เสี่ยดูไม่ออกเอง เพราะว่าผมเอาทุกแบบที่ให้เสี่ยดูวันนั้น รวมเป็นแบบเดียวที่เห็นอยู่นี้ไงครับ...นั่นก็เท่ากับว่า บ่อปลาของเสี่ย จะมีเพียงบ่อเดียวในโลก ไม่เหมือนใคร และไม่มีใครเหมือน”
“แปลว่าอั๊ว ก็ต้องภูมิใจใช่มั้ย”
เท่ห์ โบ้ เช็ง ประสายเสียง “ถูกต้องครับ”
“นี่ มัน ใช้งานได้แล้วเหรอ” เสี่ยไม่แน่ใจ
“ได้สิครับ...น้ำกำลังไหลอยู่เห็นๆ” โบ้บอก
“ระบบนี้ นิยมกันมากเลยนะครับ เรียกว่าระบบน้ำล้น คือ น้ำจากบ่อน้ำเลี้ยงที่อยู่ด้านหลังจะถูกดูดเข้ามานี่ ใช้ไดโว่ดึงขึ้นไปนี่ ผ่านปะการัง ถ่าน หินหนึ่ง หินสอง กลายเป็นน้ำใสปุ๊ป ล้นลงมานี่ปั๊ป...เห็นมั้ยครับ” เท่ห์ภูมิใจนำเสนอ
“เหรอ...” เสี่ยงงอยู่
“ครับ รับรอง น้ำไม่มีขุ่น ไม่มีเขียว ไม่มีเน่า ไม่มีขี้ตะกอน ปลาว่ายน้ำเล่นอย่างสบายใจ”
ว่าพลางโบ้ เทปลาคาร์ฟสิบตัวจากถุงพลาสติกลงไปในบ่อ
“แล้วท่ออะไรทำไมมันเยอะแยะไปหมด” เสี่ยสงสัยไปหมด
“อันนี้เป็นเทรนด์ใหม่ วัยรุ่นชอบ เรียกว่ารุ่นโชว์ท่อ” เท่หฺบอก
เสี่ยเจ้าของร้านดูอึ้งๆ ชี้ไปที่ท่อหนึ่งที่ยื่นออกมามากกว่าอันอื่น
“ถ้าอั๊วไม่เอาท่อนี้ ต้องจ่ายอีกเท่าไหร่”
“อันนี้บริการให้ฟรีครับผม”
เช็งใช้เลื่อยตัดท่อนั้นออกไปหน้าตาเฉย
“อื้อม...มีอะไรที่อั๊วต้องรู้อีกมั้ย”
“ตอนนี้ เสี่ยรู้เท่ากับที่เรารู้แล้วครับ” โบ้ว่า
“เรื่องเดียวที่เสี่ยต้องรู้ก็คือ มีอะไรเรียกใช้เราได้ 24 ชั่วโมง ทีมงานครบเครื่องเรื่องเท่ห์ยินดีรับใช้ตลอดชีวิตครับ”
เท่ห์ส่งนามบัตรให้ เสี่ยรับนามบัตรนั้นมาดู หน้าตายังไม่หาย งุนงง

เท่ห์เดินนับเงินมาตามทางในร้าน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เท่ห์แบ่งเงินให้ เพื่อนๆซึ่งเดินเกาะกลุ่มตามมาใกล้ๆ
“เอ้า นี่ของมึง...นี่ของมึง...ของมึง”
เช็งชอบใจ “งานง่ายๆ อย่างนี้ กูชอบว่ะ”
“แล้วเสี่ยเขาจะชอบด้วยรึเปล่าวะ” โบ้สงสัย
“ไม่สน” เช็งว่า
“เฮ้ย กูลืมหนังสือไว้ที่ร้านว่ะ...พวกมึงไปกันก่อนแล้วกัน”
หรั่งวิ่งย้อนกลับไปทางเก่า เท่ห์ตะโกนไล่ตามหลังไป
“เร็วๆนะเว้ย...แล้วตามไปเจอกันที่ร้านริมบึง”
“พวกมึงกินกันเหอะ กูต้องรีบไปวิ่งงานต่อ”
“ขยันผิดสังเกตไปแล้วนะมึง...เป็นกูนะ ถ้ามีเงินขนาดนี้ กูลางานแม่งซักสามอาทิตย์เลย” เท่ห์แซว
“ไอ้อย่างนี้ก็ขี้เกียจเกินไปหน่อยมั้ง” โบ้ว่า

หรั่งเดินเข้ามาในสวนอาหาร สอดตามองหาเสี่ยเจ้าของร้านจนเจอ หรั่งรีบเดินเข้าไปหาเสี่ย และส่งเงินก้อนนั้นให้เสี่ย
“ผมเอาตังค์มาคืนเสี่ยครับ...มันเป็นส่วนลด เมื่อกี้นี้ลืมลดให้”
เจ้าของรับเงินมา หน้าตาทวีความงุนงง หรั่งเขียนอะไรบางอย่างลงบนกระดาษโน้ต
“แล้วก็ ผมขอแนะนำเรื่องสำคัญอีกอย่างครับ...คือถ้าเสี่ยมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับบ่อน้ำละก้อ เสี่ยโทร.ไปที่นี่ดีกว่าครับ”
หรั่งยื่นกระดาษโน้ตแผ่นนั้นให้เสี่ย
“ที่รามอินทราฟาร์ม เขาถนัดเรื่องบ่อน้ำเป็นพิเศษ...อาจจะแพงนิดหน่อย แต่ได้มาตรฐาน
กว่ากันเยอะ...เอ้อ ล่วนนามบัตรใบเมื่อกี้นี้ เสี่ยทิ้งไปได้เลยครับ เชื่อผมเถอะ...สวัสดีครับ”
หรั่งรีบเดินออกไปทันที เสี่ยมองตามหรั่งไป อย่างตั้งหลักไม่ทัน ผู้จัดการร้านเดินเข้ามาหาเสี่ย หน้าตาตื่นตระหนก
“เสี่ยครับ...น้ำท่วมครับ”
“ห๊ะ...ที่ไหน เมื่อไหร่ อั๊วไม่เห็นมีข่าวเลย”
“ที่บ่อน้ำหน้าร้านเรา เมื่อกี้นี้เอง...ท่อแตก น้ำกระจาย ปลาคาร์ฟ ดิ้นแพ่ดๆๆๆ...จะให้
เรียกนักข่าวมาทำข่าวมั้ยครับ” ผู้จัดการถาม
เสี่ยมองเงินและกระดาษโน้ตในมือ...เขาเริ่มจะเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

หรั่งขี่มอเตอร์ไซด์เลี้ยวเข้าไปในธนาคาร ผ่านหน้ายามโตคนเดิม
“วันนี้มาสายนะหรั่ง” โตทัก
“เมื่อวานผมถามพี่เขาแล้ว เขาว่าวันนี้ไม่มีเอกสารต้องส่ง”
“แน่ใจเหรอ...แล้วทำไมใครๆ ถามหาแกกันให้ควั่กไปหมด”
“ถามหาผม”
“ก็เออน่ะสิ โดยเฉพาะผู้จัดการ...รีบไปหาเขาเดี๋ยวนี้เลย งานนี้ตัวใครตัวมันนะเว้ยไอ้หรั่ง”
หรั่งรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที

หรั่งนั่งลงตรงหน้าผู้จัดการ
“ผมเช็คคิวงานกับพี่จรรยาไว้ตั้งแต่เมื่อวาน พี่แกบอกไม่มีอะไร ให้ผมไปทำธุระก่อนได้”
ผู้จัดการไม่พูดอะไร แต่ยื่นซองจดหมายสีขาวให้ หรั่ง อึ้ง
“แค่นี้ ถึงกับยื่นซองขาวให้ผมเลยเหรอครับ”
“เปิดดูข้างในซะ”
หรั่งค่อยๆแกะ เปิดซอง เห็นเงินปึกใหญ่อัดแน่นอยู่ในซองนั้น หรั่งแทบจะน้ำตาซึม
“ผมไม่ได้เป็นพนักงานประจำ ผู้จัดการจะเลิกจ้างผม ก็เลิกได้เลย โดยไม่ต้องจ่ายเงินชดเชยผมมากขนาดนี้ก็ได้นี่ครับ”
“มีการ์ดอยู่ในนั้นด้วย ดูซิในการ์ดลงชื่อว่าอะไร” ผู้จัดการบอกยิ้มๆ
หรั่งเปิดการ์ดอ่านตรงด้านล่าง
“แพ...” หรั่งอึ้ง เสียงขาดหายไปในลำคอ
หรั่งนิ่งอึ้งไปนาน เสียงแพรวาก้องกังวานมาจากเบื้องบน
“วีรบุรุษนิรนามของฉัน...ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
หรั่งรำพึงออกมา “แพรวา”
พนักงานคนอื่นๆ โผล่หัวขึ้นมาส่งเสียงแซว
“อยากเป็น messenger บ้างจังโว้ย...ฮี้ว”
“ไปช่วยอะไรเขาไว้ ไม่เห็นเล่าให้ฟังบ้างเลย...มีซุ่มนะ เราน่ะ” ผู้จัดการแซว
หรั่งนิ่งไปซักพัก เขายื่นเงินคืนให้ผู้จัดการ แล้วดึงการ์ดเอาไว้กับตัว
“ไม่ว่าซองนี้จะมาถึงผมได้ด้วยวิธีใด ผมฝากผู้จัดการช่วยส่งคืนเจ้าของด้วยครับ ผมเอาไว้แค่การ์ดใบนี้เท่านั้นพอ”

หรั่งบอกอย่างจริงจัง

อ่านต่อหน้า 3

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ที่หน้าอาคารซึ่งเป็นตึกใหญ่รูปทรงทันสมัย สูงประมาณ 6 ชั้น ชั้นล่างเป็นส่วนของ Jewelry ตกแต่งอย่างสวยงามและกว้างขวางโอ่อ่า ใหญ่พอที่จะรองรับลูกค้าทัวร์ได้สบายๆ

ป้ายตัวหนังสือ และโลโก้ ที่ได้รับการออกแบบอย่างดี อ่านได้ว่า M.S. JEWELRY ที่มุมด้านข้าง มีตัวหนังสือบอกชื่ออาคาร และชื่อบริษัทในอาคาร เรียงกันไว้ดังนี้
M.S. GROUP / HOLDING / MANUFACTORY / ESTATE...
รถเก๋งคันใหญ่ โอ่อ่า สง่าแบบโบราณๆแล่นเข้ามาจอด ลินจง หญิงผิวขาวอมแดง หน้าตาใจดีก้าวลงมาจากรถ ตามมาด้วยชายผิวแห้ง ท่าทางใจดีกว่า เขาชื่อว่า วิโรจน์ ผู้เป็นสามี
ด้านหลัง เห็นรถยนต์หรูหรา และทันสมัยกว่า เข้ามาจอดต่อท้าย อรทัยและทนงศักดิ์ ก้าวลงจากรถ เธอแวะทักทายน้องสาวตามนิสัย
“ไม่ได้เจอกันตั้งนาน...แหมหน้าตายังดูใสปิ๊งอยู่เลยนะ อาจู...พ่อวิโรจน์ก็หล่อใช่ย่อย ดูแล
กันดีละซีท่า”
“อย่ามาปากหวานเลยเจ๊...คนอยู่แต่ในโรงสี จะผิวพรรณดีอะไรนักหนา” ลินจงว่า

รถสปอร์ตสีฉูดฉาดแล่นเข้ามาจอดหลังสุด ชายหนุ่มสะโอดสะอง แต่งตัวเฉี่ยวมาก ก้าวลงมาจากรถคันนั้น เขาเป็นน้องชายคนเล็กของเผ่าลาภ ชื่อว่า กัมปนาท
ลินจงหันไปมองยังน้องชายคนเล็ก
“โน่น ผิวพรรณผุดผ่องจริง ต้องอาฮุยของเรา”
อรทัยทักทาย “อาฮุย...ลื้อเคยใส่เสื้อเรียบๆ ง่ายๆ บ้างมั้ย”
“คนเป็น Designer ย่อมต้องใช้ชีวิตอย่างมี Design” กัมปนาทว่า
แล้วทุกคนก็พากันเดินคุยเข้าไปในอาคาร เสียงวิโรจน์ดังขึ้น
“ข้าวที่เหมืองหมดเมื่อไหร่ บอกนะเฮีย...จะได้จัดส่งไปให้”
“ข้าวเหลือค้างอยู่ในโรงสี ขายไม่ออกหรือเปล่า อาใช้...” น้ำเสียงทะนงศักดิ์ล้อๆ ทีเล่นทีจริง

ภายในห้องประชุมใหญ่ของบริษัท M.S. แลเห็นบรรดาญาติพี่น้องในตระกูล มหาโชคตั้งศิริ นั่งประจำที่กันพร้อมหน้า
เผ่าลาภลงนั่งที่หัวโต๊ะประชุม
“สวัสดีน้องๆทุกคน วาระการประชุมวันนี้ก็คือ การแถลงผลประกอบการในไตรมาสที่สองของทุกบริษัทในเครือ M.S. ของเรา”
ห้องประชุมเปิดออก ชาติชายเดินก้มหน้านิดๆ เข้ามา...ทุกคนหันมองตาม
“มาสาย...ไม่มีขอโทษซักคำนะ” บารมีเหน็บแนม
ชาติชายนั่งลง มองหน้าบารมีนิ่งๆ ไม่โต้ตอบ
ลินจงทัก “มาจากเหมืองเหรอ อาเหลียง”
“ใช่” ชาติชายตอบสั้นๆ
“ทำไมไม่ติดรถเฮียทนงศักดิ์มาล่ะ จะได้ไม่ต้องลำบาก” บารมีว่า
“ไม่ได้ลำบากอะไรนี่” ชาติชายตอบเสียงเรียบ
“ลำบากพวกเราที่ต้องมานั่งคอยลื้อไง” บารมีแขวะไม่เลิก
“พอที อาหั่ง” เผ่าลาภเสียงดัง
กัมปนาทเหน็บบ้าง “เดี๋ยวนี้ปากจัดยังกะผู้หญิงเชียวนะเฮีย”
“ฮื่อ...กันทิมาเขาชอบแบบนี้”
ชาติชายจ้องหน้าบารมี
เผ่าลาภดุ เข้ม “อาหั่ง”
“ล้อเล่นนิดหน่อยน่าเฮีย...พี่กันน้องกัน...เอ้า จะแถลงอะไรก็เอา ต่อเลย...ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ”
เผ่าลาภเริ่มการประชุม
“อย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า ภาวะเศรษฐกิจตอนนี้ มันไม่ได้เอื้อต่อการค้าขายของเราเท่าไหร่นักแต่ก็น่าพอใจที่ ผลประกอบการโดยรวมของ M.S.GROUP นั้นถือว่าประคองตัวได้ดี แม้จะไม่มีกำไรมากมายอะไร แต่ก็ไม่มีส่วนไหนขาดทุน โดยเฉพาะน่ำเล้งค้าข้าว บริษัทเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นก๋งของเรา ซึ่งต่างชาติรู้จักในนามของ M.S.RICE นั้น ยังอาศัยเครดิตเก่าๆ ทำให้ลูกค้าเชื่อใจ และ แบ่งออร์เดอร์มาที่เราบ้าง แม้ว่าสถานการณ์โดยรวมของข้าวไทยยังมีปัญหาอยู่ไม่น้อย...ก็ต้องยกความดีนี้ให้ลินจงกับวิโรจน์ !
ในส่วนของ M.S.JEWELRY เมื่อดูจากกำไรสุทธิ ถือว่าดี ไม่น่าเชื่อว่าทำรายได้มากกว่าไตรมาสที่แล้วถึง 20% ก็ต้องชมทั้งฝ่ายขายและฝ่ายการตลาดของอาฮุ้ง รวมไปถึงฝ่ายผลิตของอาฮุยด้วย ส่วนงานที่เหมืองนั้น เป็นงานที่ต้องลงทุน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่มีอะไรบกพร่องทั้งโรงงานของอาเหลียง และโรงเจียระไนของทนงศักดิ์...เพียงแต่ว่าถึงเวลาที่เราต้องลงทุนมากขึ้น เพราะเหมืองของเรานั้นขุดลงไปก็ไม่เจออะไรแล้ว”
ลินจงพูดเป็นเชิงถาม “แร่หมด”
“หมดไปตั้งนานแล้ว” บารมีบอก
“เราจะลงทุนซื้อที่หลังเขาถัดออกไปซักพันไร่” เผ่าลาภว่า
“ตรงนั้นมีสายแร่เหรอเฮีย” ลินจงแปลกใจ
“มีสัญญาณที่ดี น่าสนใจ”
“โอ๊ย...ไม่เข้าท่า...อยู่ๆ จะลงทุนซื้อที่อีกพันไร่ ไม่เห็นมีหลักประกันอะไรเลย...แร่หมดมันก็ต้องเลิกสิ ขายที่ทิ้งซะ เอาเงินกำไรมาแบ่งกันดีกว่า” บารมีโวยวาย
“นั่นไม่ใช่นโยบายของบริษัท”
กัมปนาทหันมาพูดกับบารมี “เหมืองเก่า เป็นหลุมเป็นบ่ออย่างนั้น ใครเขาจะซื้อกันเฮียบารมี ก็ขายถูกๆไปซี่ ดีกว่าเก็บไว้ ทำอะไรก็ไม่ได้”
เผ่าลาภเอ่ยขึ้น “เฮียจะทำสนามกอล์ฟ”
“จริงดี้ ?...นึกว่าพูดเล่นซะอีก...ที่แท้กะรวยคนเดียว” บารมีแขวะ
“รายได้ทั้งหมดเข้ากงสี” เผ่าลาภบอก
“เข้ากงสี แล้วไง?...แล้วพวกเราก็ได้แต่เงินเดือน มีแต่เฮียเท่านั้น เบิกเงินกงสีมาใช้สบายๆโธ่ มาอ้างกงสี...ยกเลิกไปเลยดีกว่า ไอ้กงสีบ้าบออะไรเนี่ย”
อรทัยดุสามี “อาหั่ง”
ทุกคนหันมาจ้องหน้าบารมีเป็นตาเดียว
“ลื้อกำลังล่วงเกินบรรพชนของเรานะ...กงสีคือคำสั่งสุดท้ายที่บรรพบุรุษของเราสืบทอดต่อเนื่องกันมา...ลูกหลานอีกหลายชั่วอายุคนข้างหน้า ล้มลุกคลุกคลานเมื่อไหร่ ก็จะมีกงสีคอยโอบอุ้ม เหมือนอย่างที่ลื้อทำธุรกิจอะไรก็เจ๊ง ปั๊มน้ำมันเอย ขายรถเอย...มันเจ๊งหมดไม่เป็นท่า ไม่ใช่กงสีนี่เหรอที่คอยประคับประคองลื้อ”
“ประคับประค...” บารมีเถียงไม่ทันจบคำ เผ่าลาภตวาดเสียงดัง
“หุบปากแล้วฟังอย่างเดียว...ทุกคนฟังไว้ด้วย...ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในแวดวงธุรกิจภายภาคหน้า...หากมีผู้ใดคิดล้มเลิกกงสีของตระกูลมหาโชคตั้งศิริ ถือว่ามันผู้นั้นไม่เคารพต้นตระกูลของเรา จำเอาไว้”

แผ่นโลหะบอกชื่อต้นตระกูล มหาโชคตั้งศิริ เป็นภาษาจีน เด่นหรา รูปถ่ายของบรรพชนติดอยู่เคียงข้าง ทั้งหมดตั้งอยู่ตรงผนังที่เด่นที่สุดของห้องนี้
แพรวายืนอ่านป้ายเหล่านั้น สักครู่ประตูห้องเปิดออก เผ่าลาภเดินเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง ท่าทางเครียดจัด แพรวาพอจะมองอาการนี้ออก จึงพยายามเอาใจคุณป๋าของเธอ
“วันนี้คุณป๋าจะพาน้องแพรไปดูงานที่ไหนอีกคะ”
“ไม่ละ...กลับบ้านเลยดีกว่า ป๋าเหนื่อยเหลือเกิน”
“เดี๋ยวน้องแพรไปเอาผ้าเย็นมาให้ แล้วตามน้าหยามเลยนะคะ”
แพรวาขยับจะเดินออก เผ่าลาภเรียกไว้
“น้องแพร...ลูกจะต้องมาฝึกงานที่นี่อย่างจริงจังได้แล้ว เริ่มอาทิตย์หน้าเลยนะ”
แพรวาฝืนยิ้มให้บิดา “ค่ะ”

แพรวาเปิดประตูห้องเผ่าลาภออกมา หน้าตาไม่สู้ดีเหมือนก่อนหน้านี้ สยามเข้ามาใกล้ๆ
“ทางธนาคารเขาฝากซองนี่มาคืนคุณหนูครับ...พ่อหนุ่มนั่นไม่ยอมรับเงิน...เขาขอไว้แค่
การ์ดเท่านั้น”
แพรวาฉงน !

ตอนเย็นหลังปิดธนาคาร ประตูตู้ ATM เปิดออก แลเห็นเป็นอเนกเอื้อมมือหยิบเงินเข้าไปวางในตู้
ที่ด้านหลังของอเนกห่างออกไปหน่อย หรั่งโยกหน้าเข้ามามอง โต ยามคู่ซี้เข้ามาด้านหลัง เอื้อมมือมาแตะไหล่หรั่ง
“เวลาเอาเงินใส่ตู้ ATM มันต้องมีพนักงานตรวจเช็ค ครั้งละสามคนไม่ใช่เหรอพี่โต” หรั่งตั้งข้อสังเกต
“ถ้าเป็นฉัน ฉันจะอยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น จะได้ไม่เดือดร้อน...เชื่อเถอะวะ ไอ้หรั่ง”

โตเตือนด้วยความหวังดี ดูก็รู้ว่าหรั่งไม่เชื่อ

ที่โต๊ะริมสระว่ายน้ำในบ้านเผ่าลาภ ยามเย็น มือเรียวสวยของแพรวา กำลังเขียนข้อความลงบนการ์ด เสียงในใจของแพรวาดังออกมาให้ได้ยิน

“ถึงวีรบุรุษผู้ทรนง...หวังว่าคราวนี้คงจะรับน้ำใจของฉันไว้นะจ๊ะ...จากแพรวา”
เธอวาดตัวการ์ตูนแลบลิ้นใส่คนอ่าน อยู่ตรงมุมการ์ดใบนี้ด้วย
แพรวานั่งสบายอยู่ริมสระว่ายน้ำสวยในบ้านของเธอ หัวเราะเบาๆ ขำสำนวนตัวเอง เธอวางการ์ดใบนั้นลงข้างกล่องของขวัญเล็กๆ
คนรับใช้สาวเดินเข้ามาหา
“มีแขกมาขอพบคุณแพรวาค่ะ”
“แล้วฉันต้องยอมให้เขาพบด้วยเหรอ”
เสียงคุ้นหูของชายหนุ่มดังสวนขึ้นมา
“ก็ให้รู้ไปสิว่าคุณแพรวาจะใจดำให้ผมรอเก้อ”
แพรวาหันไปหาต้นเสียงนั้น เห็นตะวันฉาย ยืนตั้งท่ารออยู่แล้ว แพรวาโผเข้ากอดและทุบทันที
“พี่ตะวันน่ะ มาได้ยังไง ไม่บอกไม่กล่าวเลย ใจดำ นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มา”
“งั้นทีหลัง นึกจะมาแล้วไม่มาก็ได้” ตะวันฉายสัพยอก
แพรวาทุบลงไปอีกที เต็มไม้เต็มมือ
“โอ๊ย...แต่พี่อยู่แค่คืนเดียวนะน้องแพร...รอเปลี่ยนเครื่องบินตอนเช้ามืด”
“ผลุบๆโผล่ๆจริงๆพี่ตะวันเนี่ยะ...น้องแพรชักสงสัยแล้วนะ”
“อย่าเสียเวลาสงสัยพี่เลย...พี่ไม่เคยโกหกน้องแพรซักครั้ง...พี่มีของมาฝากด้วยนะ”
ตะวันฉายทำท่าเสกของออกมาจากแขนเสื้อราวกับนักมายากล น้ำหอมอย่างดีปรากฏในมือของเขา
ตะวันฉายส่งให้แพรวา “นี่ไง”
“น้องแพรก็มีของให้พี่ตะวัน...แต่มันยังไม่เสร็จ เสียดายจัง...เอาไว้กลับมาคราวหน้านะจ๊ะแล้วน้องแพรถึงจะให้”
ตะวันฉายเหลือบไปเห็นของขวัญกล่องเล็กที่วางอยู่ใกล้การ์ดใบนั้น
“แล้วนั่นของขวัญใครจ๊ะ”
“ไม่บอก”
“นั่นแน่...น้องแพรมีลับลมคมในกับพี่ด้วยเหรอ”
แพรวาทำท่าน่ารักใส่ตะวันฉาย
“ของวีรบุรุษของน้องแพรค่ะ...ถ้าไม่มีเขานะ...วันนั้นน้องแพรไปส่งพี่ตะวันไม่ทันหรอก จะ
บอกให้”
ตะวันฉายพยักหน้ารับรู้ อย่างตื่นเต้นไปด้วย

ตกตอนกลางคืน ที่บ้านหรั่ง การ์ดของแพรวาวางอยู่กลางโต๊ะอาหาร
เห็นเป็นหรั่งและก้อยนั่งประจันหน้าอยู่ที่โต๊ะนั้น มีจานข้าวราดแกงวางอยู่เบื้องหน้าเขาและเธอ
เสียงหรั่งและก้อยดังขึ้นมา
“หรั่ง หากวันนี้เราสองคน กระทำสิ่งใดที่เป็นผิดบาป ล่วงเกินผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกาย วาจา ใจ ทั้งรู้
หรือไม่รู้ก็ตาม ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดอภัยและมอบพลังกายพลังใจในการดำรงชีวิตต่อไป หลังอาหารมื้อนี้ด้วยเถิด”
ก้อยเริ่มตักข้าวกิน...ในขณะที่หรั่งนั่งยิ้ม มองจ้องแต่การ์ดใบนั้น
“หรั่งไม่หิวเหรอ...เป็นอะไรรึเปล่า”
หรั่งส่ายหน้า...ก้อยไม่เห็น
“หรั่ง?”
หรั่งนึกได้ “ไม่ได้เป็นอะไร สบายดี” เขาเริ่มตักข้าวเข้าปาก
“ใกล้จะเจอเขารึยัง” ก้อยหมายถึงพ่อของเขา
“ยัง”
“อยากรู้จังว่า วันที่หรั่งเจอเขา หรั่งจะพูดกับเขายังไง”
หรั่งยิ้มพราย พยายามนึกถึงคำพูดนั้น
“แล้วพ่อหรั่งจะจำหรั่งได้เหรอ”

หรั่งได้สติ เพิ่งรู้สึกตัวว่า ก้อยกำลังถามถึงพ่อของเขา

พร้อมกันนี้ เหตุการณ์ที่สถานีตำรวจต่างจังหวัด เมื่อ 18 ปีที่แล้ว ผุดขึ้นมาในห้วงคิดของหรั่ง

ที่บริเวณหน้าโต๊ะร้อยเวรรับแจ้งความ มีป้ายเขียนว่า "แจ้งคนหาย" มีชาวบ้านสี่ห้าคน ร้องไห้โวยวาย แจ้งความกับเจ้าหน้าที่เรื่องคนหาย
เด็กชายหรั่งวัย 7 ขวบ เดินแหวกคนเหล่านั้นเข้ามาหาตำรวจคนที่ใกล้ที่สุด
“ไง ไอ้หนู...จะแจ้งความคนหายกับเขาด้วยเหรอ...ใครหายล่ะ”
เด็กชายหรั่งยื่นรูปถ่ายในมือให้ตำรวจร้อยเวร ตำรวจรีบรับมาดู
เห็นเป็นรูปของเด็กหญิงวัย 4 ขวบที่วิ่งเล่นกับเขาที่ทะเล
“ไม่ใช่พ่อใช่แม่นี่หว่า” ตำรวจบ่น
ตำรวจอีกคนเดินผ่านมาชะโงกดูรูปใบนั้น
“นี่มันลูกสาวบ้านเถ้าแก่ริมทะเลนี่...เขาเป็นอะไรกับเอ็งเหรอ”
ตำรวจถาม ปน ขำ

“แล้วเขาจะเชื่อเหรอว่า หรั่งเป็นลูกเขา...ต้องตรวจ DNA ด้วยมั้ย”
หรั่งดึงตัวเองกลับมา มองหน้าก้อย ด้วยแววตาสงสาร เขาเอื้อมมือไปแตะที่มือก้อย
“แค่ได้ตังค์มาผ่าตัดตาก้อยก็พอแล้ว”
ก้อยแตะมือหรั่งคืน
“ถ้าหรั่งมีอะไรไม่สบายใจ หรั่งต้องบอกก้อยนะ”
“โอ เค”
เสียงโบ้ดังมาจากนอกบ้าน
“หรั่ง...ไอ้หรั่งโว้ย...ไอ้หรั่ง”
หรั่งรีบเก็บการ์ดแผ่นนั้น ในจังหวะที่โบ้โผล่หน้าเข้ามาในบ้านพอดี
“มึงลางานพรุ่งนี้รึยังไอ้หรั่ง”
“เรียบร้อย กูลาเขาแค่ครึ่งวันเท่านั้นนะ”
“ทันเหลือแหล่...เอ้านี่อุปกรณ์มึง”
โบ้โยนถุงผ้าไปให้หรั่ง

ถุงผ้าตกลงกลางห้องนอนหรั่ง หรั่งเดินเข้ามา ดึงผนังติดรูปให้พลิกลงมาจากเพดาน แล้วเอาการ์ดใบนั้นติดลงไปบนผนัง ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรั่งถอยหลังออกมามองการ์ดนั้น ยิ้มหน้าบาน หุบแทบไม่ลง

เช้าตรู่ รถยนต์คันโก้หรูของเผ่าลาภแล่นจอดหน้าธนาคาร ประตูรถเปิดออก แพรวาก้าวลงมาอย่างสง่า สวย ดูดี สมเป็นลูกสาวคุณหนู M.S. กรุ๊ป
แพรวาเดินเข้าไปในธนาคาร พนักงานมากมายหลายคนหันมามองเป็นแถว แล้วแอบซุบซิบกัน
พนักงานชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ขอโทษครับ คุณแพรวาใช่มั้ยครับ...มีอะไรให้ธนาคารเรารับใช้บอกได้เลยครับ”
แพรวา เธอสอดสายตามองหาไปรอบๆ
“ดิฉันมีธุระ อยากจะขอรบกวนผู้จัดการหน่อยค่ะ”
“ถ้าเป็นธุระเรื่องเปิดบัญชีละก้อ ผมทำให้ได้ครับ” อีกคนเสนอตัว
“ไม่ใช่เรื่องเปิดบัญชีค่ะ”
“งั้นเรื่องอะไรครับ”
“ดิฉันต้องการพบ Messenger ค่ะ”

คำพูดแพรวา ทำเอาหนุ่มๆ อึ้งกันไปทั้งแถบ

ครู่ต่อมา ผู้จัดการแบงค์ลงนั่งในห้อง กำลังต้อนรับแพรวา

“วันนี้ Messenger ของเราไม่อยู่ครับ...เขาขอลา”
แพรวาฉงน “ขอลาได้ด้วย”
“ที่จริงเขาไม่ใช่พนักงานประจำหรอกครับ แต่เป็นลูกจ้างที่เราจ้างกันเป็นประจำ ปกติเขาเป็นคนขยันครับ ร้อยวันพันปี จะลาซักครั้ง พอดีวันนี้ไม่ค่อยมีงานอะไร ผมก็เลยอนุญาต”
“เขาลาไปไหน ทราบมั้ยคะ”
“เอ้อ...” ผู้จัดการกดอินเตอร์คอมถาม “ใครรู้บ้างว่านายหรั่งเขาลาไปไหน”
พนักงานมากมายลุกขึ้นยืน โผล่หน้าออกมาตรงช่องกระจก
“ไปวัดแถวบางบอนครับ...” พนักงานนึกชื่อวัด “วัดอะไรน้า...”

เวลาเดียวกัน ที่วัดแห่งหนึ่ง ย่านบางบอน เห็นปากแตรของเครื่องเป่าจำพวก ทรัมเป็ตหรือทรัมโบน เปล่งเสียงดังแสบแก้วหู ขบวนแตรวงส่งเสียงอึกทึกครึกโครม โฉ่งฉ่าง โดยด้านหน้าเป็นขบวนแห่นาค ที่กำลังเดินวนรอบอุโบสถ ทุกคนในขบวนวาดลวดลายลีลากันน่าสนุกสนาน ด้านหน้าสุดเป็นรำกลองยาว และขบวนชาวบ้าน ตามมาด้วยกระตั้วแทงเสือ แป๊ะยิ้ม นาคอยู่บนไหล่ชายกำยำ แตรวงตามหลังรั้งท้าย ทุกคนมีสีหน้าร่าเริงสุดจะยั้งใจ ดูสนุกสนานไปกับเพลง

รถยนต์ของแพรวาแล่นเข้ามาจอดหน้าวัด สยามนั่งตรงตำแหน่งคนขับ…แพรวานั่งอยู่ที่เบาะหลัง ทั้งคู่ชะเง้อมองไปยังเบื้องหน้า
เสียงแตรวงและกลองยาว ดังแข่งกันเข้ามา
“เขามาทำอะไรของเขาที่วัดนะ”
“หรือว่าจะมาบวช” สยามว่า
แพรวาชะเง้อมองออกไปนอกรถ เห็นขบวนแห่นาคกำลังเลี้ยวเข้ามุมอุโบสถ
ขบวนแห่นาคโผล่เข้าเฟรมมาตรงมุมโบสถ์ คนเป่าทรัมเป็ต เป็นไอ้โบ้นั่นเอง โบ้ถอนทรัมเป็ตออกจากปาก แล้วใช้ลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง
แป๊ะยิ้ม มันเปิดหัวออก เห็นเป็นเช็ง เหงื่อท่วมหน้า ปากพูดคำว่า “ร้อนฉิบหาย” ไม่ได้ยินเสียง
ส่วนตัวกระตั้ว ผู้ซึ่งแต่งตัวได้เข้าที ลีลาเข้าท่า เห็นชัดว่ามันคือไอ้เท่ห์นั่นเอง
เท่ห์เอาหอกไล่แทงเสือ ซึ่งกลิ้งหลบไปมาตามพื้นทางเดิน เสือตีลังกาหนีหอกออกมา มันใช้มือยกหัวเสือขึ้นมานิดหนึ่ง จึงเห็นชัดว่าคือ หรั่ง นั่นเอง

แพรวาลงจากรถ เดินตรงมาทางโบสถ์ สยามเดินตามหลังมาห่างๆ ลมพัดชุดสวยปลิวไสว
เท่ห์เงื้อหอกจะแทงเสือ พลันสายตาเหลือบไปเห็นแพรวา มันเงื้อหอกค้างอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ขบวนอื่นๆ เดินแซงมันไป
แป๊ะยิ้มหันมามองช้าๆ โบ้หันมามอง...อีกคน

ชายในชุดเสือตีลังกาสามตลบเข้ามาหาเท่ห์ สวนกับขบวนอื่นๆ ที่เดินแซงไปหมดแล้ว หรั่งเปิดหัวเสือออก ถามอย่างฉุนเฉียว
“ไอ้เท่ห์ ทำไมไม่แทงล่ะวะ จะได้เสร็จไวๆ”
“ไอ้หรั่ง มึงต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่ากูเห็นอะไร”
หรั่งยืนขึ้น หันมามองตามสายตาเท่ห์
“ฉิบหาย”
หรั่งร้องออกมา แล้วรีบสวมหัวเสื้อทับหน้าตัวเอง
แพรวาเดินใกล้เข้ามาแล้วหยุดดูท่าที โดยมีสยามยืนอยู่ใกล้ๆ
“ผมว่า เขาต้องเป็นใครซักคนในกลุ่มนี้ละครับ”
แพรวาตัดสินใจเดินใกล้เข้าไปอีกหน่อย
“ในนี้มีใครชื่อหรั่งมั้ยคะ”
เท่ห์ โบ้ เช็ง ถอยหลังห่างออกไป เหลือไว้เพียงชายในชุดเสือ หรั่งค่อยๆ ถอดหัวเสือออก
“ผมเองครับ”

ครู่ต่อมา หรั่งและแพรวานั่งประจันหน้ากันใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ในวัด
แพรวายื่นของขวัญให้หรั่ง
“อะไรเหรอครับ”
“ก็นายอยากไม่รับเงินของฉันทำไม”
“คุณก็เลยต้องมาหาผมถึงนี่”
“ฉันอยากจะตอบแทนบุญคุณของนายบ้าง”
“ที่จริงไม่ต้องก็ได้ครับ”
“รับไว้เถอะน่า”
แพรวายัดของขวัญใส่มือหรั่ง แล้วยืนขึ้น
“ฉันกลับก่อนละนะ”
หรั่งลุกขึ้นยืนตาม
“ครับ”
“แล้วเจอกันนะ”
แพรวาเอ่ยปากตามมารยาท แล้วเดินออกไป
หรั่งยืนอึ้งอยู่
“เอ้อ...ที่ไหนเหรอครับ”
แพรวาหยุดเดินนิดหนึ่ง ไม่นึกว่าจะได้ยินคำถามนี้ เธอพลิกตัวหันไปหาหรั่งอย่างงามสง่า
“ที่ธนาคาร...มั้ง”
แพรวาเดินไปขึ้นรถ สยามยิ้มให้หรั่งอย่างมีไมตรี หรั่งยิ้ม...ขนลุก

ด้านหลังหรั่งเวลานี้ เป็นพระบวชใหม่กำลังโปรยทานให้ญาติโยม

อ่านต่อหน้า 4

สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย ตอนที่ 2 (ต่อ)

ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้วัด เท่ห์เดินถือชามก๋วยเตี๋ยวอ้าปากพร่ำพูดไม่มีหยุด

“ปีนี้เป็นปีของมึงจริงๆไอ้หรั่งเอ๊ย...ดวงมึงขึ้นมาก ทำอะไรๆ ดูดีไปหมด...ขนาดสาวสวยราว
นางฟ้า ที่มึงใฝ่หา ยังตามมาถึงที่นี่ได้”
เท่ห์เดินมารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ โบ้และเช็งกำลังแย่งกันอ่านการ์ดอยู่ หรั่งนั่งกินก๋วยเตี๋ยว ปลื้มใจ !
“เฮ้ย...เขาเขียนว่ามึงเป็นวีรบุรุษเชียวนะเว้ย” โบ้ทึ่ง
เช็งหัวเราะขำ “ฮ่าฮ่าฮ่า...วีรบุรุษสลัมน่ะสิ...ฮ่าฮ่าฮ่า”
หรั่งคว้าเอาการ์ดกลับคืนมา แล้วลุกขึ้นทันที
“กูจะไปทำงานแล้ว...ฝากพวกมึงเอาก๋วยเตี๋ยวแห้งไปส่งให้ก้อยด้วย”
โบ้รับปาก “เออ...”

ช่วงพักเที่ยง บรรดาพนักงานธนาคารต่างพากันเดินออกไปทานอาหารกลางวัน สวนทางกับอเนกที่เดินพูดโทรศัพท์มือถือเข้ามาด้านใน
“โอ เค ไม่เบี้ยวหรอกน่า...อยู่ในมือแล้ว จะเอาไปให้เดี๋ยวนี้...เงินสดซี่”
อเนกเดินสวนออกไป ถึงหน้าห้องผู้จัดการพอดี
มองผ่านกระจกห้องพบว่า ผู้จัดการกำลังนั่งหน้าเครียด อยู่กับเอกสารเต็มโต๊ะ ผู้จัดการตัดสินใจลุกขึ้นเดินมาเปิดประตูห้อง แล้วตะโกนใส่พนักงานที่ยังเหลืออยู่
“มีใครรู้เรื่อง ATM บ้าง เข้ามาหาผมหน่อยซิ”
หรั่งเดินเข้ามาจากอีกทาง ด้านหลังผู้จัดการ
“ผมคิดว่า ผมพอจะรู้เรื่องที่ผู้จัดการอยากรู้ครับ”
ผู้จัดการหันไปมองหน้าหรั่ง ซีเรียส

เย็นนั้น อเนกกำลังยืนล้างหน้าอยู่ตรงซอกทางเดินใกล้ห้องน้ำ ผู้จัดการเดินไปใกล้อเนก
“คุณอเนก”
อเนกหันหน้ามาหาผู้จัดการ น้ำยังนองหน้าอยู่
“ครับผม”
“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะกล้าทำอย่างนี้กับเรา”
อเนกทำไก๋ “ผู้จัดการพูดเรื่องอะไรครับ”
“คราวก่อนผมไม่มีหลักฐาน แต่คราวนี้ผมมี...นี่ไง”
พลางผู้จัดการโยนใบถอนเงินปึกใหญ่ให้อเนกดู
“นอกจากคุณจะเก็บสมุดบัญชีของลูกค้าสูงอายุของคุณไว้ คุณยังให้เขาเซ็นชื่อรับเงินล่วงหน้าเต็มไปหมด”
อเนกแถ “ก็...เพื่อความสะดวก...เขาจะถอนเมื่อไหร่ แค่โทรมาบอกผม ผมก็จัดการให้ได้เลย ไม่ต้องรอนาน”
“แต่เขาถอนสามพัน ทำไมคุณกรอกตัวเลขสามหมื่นล่ะ...เขาถอนห้าพัน คุณเขียนเป็นหมื่นห้า...”
อเนกอึ้งพูดไม่ออก
“ผมเช็คยอดเงินกับลูกค้าแก่ๆ ที่อ่านหนังสือไม่ออกของคุณมาหมดแล้ว...คุณทำกับเขาอย่างนี้ได้ยังไง...แล้วยังเรื่อง ATM อีก...คุณเอาเงินเข้าออกตู้ ATM เองโดยลำพัง ให้เพื่อนอีกสองคนเซ็นรับทราบไว้ล่วงหน้า...คุณทำอย่างนี้กับเพื่อนได้ยังไง ทำอย่างนี้กับธนาคารได้ยังไง...ผมจะไม่ถามหรอกว่าคุณยักยอกเงินเราไปเท่าไหร่แล้ว...เพราะผมคงจะไม่ได้คำตอบที่แท้จริง มันเป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้คุณอยู่กับผมนานเกินไป...ผมไม่อยากให้เรื่องนี้มันฉาวโฉ่มากนัก...เพราะฉนั้น คุณคงรู้นะว่าควรรับผิดชอบเรื่องนี้ด้วยวิธีใด”
อเนกโมโหสุดขีด คำรามลั่น “ไอ้หรั่งใช่มั้ย ที่เป็นตัวแสบปูดเรื่องนี้ขึ้นมา”
“นายหรั่งเขาทำถูกต้องแล้ว...คุณนั่นแหละ ที่แสบ และ เลว”

ที่ลานจอดรถ ธนาคารรัตนทรัพย์ หรั่งถือหมวกกันน็อคเดินตรงมาที่มอเตอร์ไซค์ของเขา อเนกปราดเข้ามากระชากไหล่หรั่งให้หันมาหา แล้วปล่อยหมัดขวา เข้าเต็มหน้าจนหรั่งเซล้มกลิ้งไปกับพื้น อเนกเดินตามไปยืนคร่อมหรั่งไว้

“พอใจมึงแล้วใช่มั้ย…ที่ทำให้กูเป็นอย่างนี้…มึงอยากประจานกู ให้กูได้อายใช่มั้ย”
อเนกกระชากคอเสื้อหรั่งขึ้นมาอีกครั้ง
“ยังไม่มีใครรู้เรื่องทุจริตของคุณเลยนะครับ” หรั่งบอก
“มึงรู้ได้ไง”
“ก็ผู้จัดการไม่ได้บอกใครนี่ครับ…เขาบอกคุณแล้ว ว่าไม่อยากให้เรื่องมันใหญ่โต”
“อ๋อ นี่มึงแอบฟังด้วยเหรอ…มึงอยากขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งกูใช่มั้ย สะเออะนักนะมึง…ไม่รู้จักเจียมกะลาหัวซะบ้าง”
อเนกชกเข้าที่หน้าหรั่งอีก 2-3 หมัด หรั่งเซไปตามแรงหมัด
“ไอ้ลูกครึ่งกระจอก ลอบกัดกูลับหลัง”
“ใครกันแน่ที่ลอบกัด ลืมเรื่องที่คุณไปพังบ้านผมแล้วเหรอ” หรั่งโต้
“อ๋อ มึงก็เลยจะเอาคืนกับกู…มึงนึกว่ามึงแน่ใช่มั้ย”
อเนกตรงจะเข้าชกหรั่งอีก
“ถ้าคุณชกผมอีกทีผมจะสู้นะครับ” หรั่งบอกเสียงเข้ม
“เอาสิ ถ้ามึงคิดว่ามึงจะชกชนะกูได้ ก็เอาเลย”
อเนกเหวี่ยงหมัดใส่หรั่งอีก คราวนี้หรั่งหลบ แล้วชกตอบไปหลายหมัด ทั้งคู่กอดรัดฟัดเหวี่ยง กลิ้งกันไปกับพื้น
ยามโตวิ่งเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน…ต่างได้เลือดกันไปคนละไม่น้อย เอนกยังชี้หน้าอาฆาตหรั่ง
“มึงจำไว้เลย ไอ้หรั่ง…คนชอบแส่อย่างมึงน่ะ ไม่ตายดีหรอก”

ที่บ้านหรั่งในชุมชนจานเดี่ยว ค่ำคืนนั้น
ถ้วยใบเล็กๆ มียาแดงอยู่ในนั้น มือก้อยถือสำลีจิ้มลงไปในถ้วยยาแดง ยื่นสำลีที่มียาแดงชิ้นนี้ออกไปเบื้องหน้า หรั่งพยายามเอียงแผลของตนเข้าหายาแดงนั้น ส่วนใหญ่มันมักจะไม่โดน แก้มของหรั่งมีรอยยาแดงเต็มแก้มไปหมด
“หรั่งเป็นคนดีเกินไป รู้มั้ย…แต่บางครั้งถ้าเรายึดถือความดีและความถูกต้องมากเกินไปมันก็จะเดือดร้อนอย่างนี้แหละ”
หรั่งไม่ตอบอะไร เขาก้มหน้าก้มตาแกะของขวัญห่อน้อยห่อนั้นอย่างละเมียดละไม
“หรั่งคิดดูนะ ถ้าหรั่งเป็นอะไรไปก้อยจะทำยังไง…ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะหรั่ง”
หรั่งแกะกระดาษห่อออกจนหมด เขาหยิบของในกล่องออกมาดู ของชิ้นนั้น มันคือพวงกุญแจ ที่มีตุ๊กตาห้อยอยู่ และตุ๊กตานั้นก็คือ …ไอ้มดแดงขี่มอเตอร์ไซค์
“ถ้าคราวหลังจะมีเรื่องกับใคร หรั่งต้องนึกถึงเหตุการณ์วันนี้ไว้ให้ดีนะ”
หรั่งยกพวงกุญแจชูขึ้นสูงกว่าหัว เขาแหงนหน้ามองมันอย่างหลงใหล

“หรั่งจะไม่มีวันลืมวันนี้เลย…ก้อยเอ๊ย”

วันต่อมา ที่สตูดิโอบันทึกรายการแห่งหนึ่ง พิธีกรรายการ “ประเทศไทยใกล้เที่ยง” เดินเข้ามายืนหน้าฉากรายการ

“สวัสดีครับท่านผู้ชม กลับมาพบกันอีกครั้งในวันใหม่ของประเทศไทยตอนใกล้เที่ยง นี่คือรายการ ประเทศไทยใกล้เที่ยง รายการเพื่อคุณพ่อบ้าน แม่บ้าน และลูกบ้านทุกท่าน ที่รักการใช้ชีวิตในเวลากลางวันหน้าจอทีวี วันนี้ต้องบอกซะก่อนว่า คุณแม่บ้านห้ามพลาดเป็นอันขาด เพราะเราจะเสนอ สุดยอดเคล็ดวิธี ทำให้ ผัวรัก ผัวหลง ผัวซื่อตรงไม่มีแว้บไม่แอบไปเที่ยว ไม่เลี้ยวไปไหน ผัวเป็นแมนแม้นแมน ไม่เป็นไบ
จะผัวใคร....ก็ผัวคุณน่านแหละ!!”
ที่ห้องนั่งเล่นในคอนโดของบารมี จอโทรทัศน์เป็นภาพรายการ “ประเทศไทยใกล้เที่ยง” นั่นเอง โดยพิธีกรกำลังสนุกกับการเม้าท์มอยของตนอยู่
กันทิมากำลังยืนสั่งงานแม่บ้านอยู่บริเวณห้องครัว ด้านหลังเป็นหน้าต่างกระจกมองทะลุออกไปเป็นยอดตึกสูงและท้องฟ้าใส
“เสื้อผ้านี่ส่งซักแห้งนะ…แล้วก็ซองเงินพวกนี้ เอาไปให้ที่เค้าท์เตอร์ข้างล่าง ฉันแยกค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ไว้แล้ว…ซองนี้ค่า cable tv”
บารมีเดินออกมาจากห้องนอน เสื้อผ้าของเขายับยู่ยี่ พอๆกับผมเผ้าและหน้าตา
“กาแฟ หนังสือพิมพ์ล่ะ”
กันทิมายกอาหารเช้าจำพวกไข่ดาว เบคอน มาวางเบื้องหน้าสามี บารมีดูไม่ค่อยพอใจนัก
“ผมขอกาแฟกับหนังสือพิมพ์ คุณไม่ได้ยินรึไง…สมร เดี๋ยวลงไปซื้อโจ๊กช้างล่างให้ฉันด้วย”
กันทิมาหยิบหนังสือพิมพ์มาวางตามสั่ง เธอยกอาหารเช้าไปเก็บ แล้วจึงชงกาแฟ
“ที่ออฟฟิศโทร.มาตามคุณสองสามหนแล้วนะคะ…เขาอยากให้คุณรีบเข้าไป”
“ทำไมผมจะต้องทำตามที่มันสั่งด้วย…ในเมื่อมันเป็นบริษัทผม ผมจะเข้าเมื่อไหร่มันก็เรื่องของผม”
“เขาคงมีปัญหาที่ต้องการ การตัดสินใจมั้งคะ…ไม่งั้นคงไม่โทร.มาตามหรอก”
“ผมจ้างมันมาทำงาน มันตัดสินใจกันเองบ้างไม่เป็นรึไง…คุณโทรไปบอกที มันอยากทำอะไรทำไปเลย ไม่ต้องกลัวเจ๊ง”
กันทิมายกกาแฟมาวางตรงหน้าบารมี
“ไม่มีใครเขาบริหารบริษัทอย่างนี้นะคะ คุณ”
“ก็มีผมไงล่ะ ผมนี่แหละที่ไม่เหมือนใคร มีอะไรรึเปล่า…โธ่ จะก้มหน้าก้มตาทำงานไปทำไม ทำได้เท่าไหร่ก็เข้ากงสีหมด จะเบิกเงินมาใช้แต่ละที แทบจะไปกราบตีนมา ได้ก็ไม่กี่แสน…เชอะ พูดแล้วของขึ้น…ปล่อยให้มันเจ๊งๆ ซะบ้างก็ดี”
“แต่ตอนนี้เงินในบัญชีเราเหลือน้อยแล้วนะคะ”
“น้อยแค่ไหนกันเชียว”
กันทิมาส่งสมุดเงินฝากให้บารมีดู…บารมีอึ้งไป
เสียงออดดังขึ้นพอดี กันทิมาเดินไปเปิดประตู ลูกน้องบารมียืนลอยหน้าอยู่ตรงนั้น
“สวัสดีครับ ซ้อ…สวัสดีครับ เฮีย…เอ้อ…”
บารมีฉุน “ใครใช้ให้มึงมาถึงนี่”
“ผมรอเฮียที่บริษัทไม่ไหว ก็เลยรีบมาเอง…”
บารมีฉุนจัดลุกเดินหนีจะเข้าห้อง ลูกน้องรีบพูดตามหลัง
“รถเบนซ์ล็อตใหม่ที่เราสั่งไว้มาถึงท่าเรือแล้วครับ เขาให้เรารีบเอาเงินไปจ่าย ไม่งั้นเอารถ
ออกมาไม่ได้”
“เท่าไหร่”
“ทั้งหมด ห้าสิบล้าน…”
กันทิมาถึงกับสะดุ้ง
“เขาให้เราวางสิบเปอร์เซ็นต์ก่อน ก็…ห้าล้านบาทครับเฮีย”
“กูไม่มีว่ะ” บารมีบอก
“อ้าว…” ลูกน้องงงแดก
“เธอมีมั้ยกันทิมา บัญชีส่วนตัวของเธอน่ะ ขอยืมก่อนสิ”
“ฉันไม่มีมากขนาดนั้นหรอกค่ะ”
บารมีเดินเข้าไปหาลูกน้องคนนี้
“มึงกลับไปบอกมันว่า กูไม่เอาแล้ว รถพวกนั้น…เลิกแล้วโว้ย เลิกขายแล้ว…เจ๊งแล้ว เข้าใจมั้ย เจ๊งน่ะ”
ลูกน้องนิ่งไป…ตอบไม่ถูก
แม่บ้านเปิดประตูเดินเข้ามาพร้อมถุงโจ๊กในมือ
“โจ๊กหมูใส่ใข่มาแล้วค่ะ”
บารมีกระชากถุงโจ๊กมาเหวี่ยงกระจาย…ตะโกนลั่นบ้าน
“กูไม่กิน…เก๋าเจ้ง”

เวลาเดียวกัน พิธีกรรายการประเทศไทยใกล้เที่ยง พูดปิดรายการกับกล้อง

“เก๋าเจ้ง เป็นคำด่าในภาษาจีน...ไม่จำเป็นไม่ควรพูดแต่ถ้าจำเป็น ก็ดูดเสียงตัวเองออก แค่ขยับปาก ก็น่าจะพอ วันนี้ลาเพียงเท่านี้ สวัสดีคร้าบ”
ตามด้วยเสียง ขอบคุณผู้สนับสนุนรายการโดย “M.S. Jewelry อัญมณีของคนมีระดับ” Logo บริษัทพลิกเข้ามาด้วย effect 3D

ภาพที่จอโทรทัศน์ ในห้องทำงานเผ่าลาภ เป็นโลโก้ของ M.S.JEWELY ในรายการเมื่อครู่นี้
เผ่าลาภเดินเข้ามาหน้าโทรทัศน์เครื่องนั้น
“เป็นไง โลโก้ตัวใหม่ของบริษัท...เคยเห็นกันรึยัง”
ตรงหน้าเผ่าลาภ มีแพรวาและกฤษฎานั่งอยู่ ห้องทั้งห้องมีคนอยู่เพียงเท่านี้ แพรวา และ กฤษฎาส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“รูปอะไรรู้มั้ย”
“รูป ดิน” กฤษฎาบอก
“ดินคือหัวใจของเรา เราทำมาหากินกับผืนดิน ไม่มีดิน ไม่มีชีวิต”
“แล้วดาวนั่นล่ะ”
“อากู๋ชอบดูดาว” กฤษฎาเย้า
“ดาวทุกดวงมีอิทธิพลต่อทุกชีวิตบนโลก…นักดูดวงจะผูกดวงคนไว้กับดาว”
“หมอดู” กฤษฎาว่า
เผ่าลาภหยิบอัลบั้มรูปเปิดออก ให้ทั้งสองดู พร้อมๆกับเล่าเรื่องราวในอดีตให้ฟัง รูปนั้น เป็นรูปขาวดำเก่าๆ สมัยอาก๋ง
“บรรพบุรุษของเรา ตั้งแต่รุ่นอาเลากง อพยพจากจีนแผ่นดินใหญ่ มาถึงแผ่นดินไทยได้โดยอาศัยดวงและดาว มากันโดยไม่มีอะไรติดตัว...ค้าขายทุกชนิด พืชผักผลไม้ ของสด ของแห้ง และข้าวสาร…เราเริ่มต้นด้วยร้านหยงเล็กๆ จนกลายเป็นโรงสีใหญ่ ส่งออกข้าวได้ในที่สุด....จากนั้นเราจึงก้าวเข้าไปทำเหมือง ค้าหิน ค้าแร่ ค้าพลอย”
เผ่าลาภลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกมายืนพูดกลางห้อง
“ข้าวนั้นงอกเงยมาจากดิน พลอยก็ฝังตัวอยู่ในดิน…พวกเราอยู่มาจนถึงคนรุ่นเธอได้เพราะ
บุญคุณของแผ่นดิน…ตระกูลของเราห่างจากดินไม่ได้”
“แล้วเกี่ยวอะไรกับดาวครับ” กฤษฎาคาใจ
“ตราบใดที่เราแหงนหน้าแล้วเห็นดาว ตราบนั้นเท้าเราจะติดดิน”
“มีใครบ้างที่แหงนหน้าแล้วไม่เห็นดาว” กฤษฎาท้วง
“คนที่คิดว่าตัวอยู่สูงเสมอดาว…คนเหลิง”
แพรวาฉงน “คุณป๋าว่าใครรึเปล่า”
“ป๋าไม่อยากให้คนในรุ่นของพวกเธอเหลิง…คิดว่าตัวมีทุกสิ่งพร้อมแล้ว ไม่ต้องทำอะไรก็
อยู่สบายอยู่แล้ว”
“อากู๋บอกมาเลยแล้วกันว่าจะให้เราทำงานอะไร…ต้นเตรียมตัวมาแล้ว”
“ดี…นายต้น หน่วยก้านเราดี ยังหนุ่มยังแน่น อากู๋จะให้เราไปช่วยงานอาเหลียงที่เหมือง…ศึกษางานจากอาเหลียงให้มากที่สุด”
กฤษฎาหน้าตาไม่ค่อยดีนัก “เหมืองที่เมืองกาญจน์”
“ส่วนแพรวา คุณป๋าจะให้เราไปเรียนงานด้านบริหารการขายและการตลาดจากโกฮุ้งแม่นายต้น…และต่อไปนี้ เธอสองคนจะเป็นเสมือนพนักงานบริษัทคนหนึ่ง ทำงานดีมีเบี้ยเลี้ยงให้ ทำผิดพลาดจะต้องถูกตำหนิติเตียน ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีสิทธิพิเศษ และต้องเข้าประชุมรายงานผลงานตามกำหนดทุกครั้ง เข้าใจนะ”

เผ่าลาภบอกอย่างจริงจัง

ที่บ้านอรทัย เวลาเดียวกัน ทนงศักดิ์ อรทัย และบารมี นั่งสุมหัววิพากษ์วิจารณ์กันอยู่กลางบ้าน

“ลำเอียง…ลำเอียงเห็นๆเลย ลูกสาวตัวเองให้มาเรียนงานบริหาร…ทีหลานละส่งไปเป็นจับกัง”
“อย่างน้อย ให้มาอยู่โรงเจียกับผมก็ยังดี นี่ดันให้ไปอยู่อาเหลียง…แล้วขรึมๆ แบบนั้นจะมา
สอนอะไรลูกเราได้” ทนงศักดิ์บอก
“ไม่ยุติธรรมเลย” อรทัยบ่น
“เฮียเขาวางแผนไว้แล้ว…เขาจะดันลูกสาวขึ้นเป็นใหญ่…อั๊วเคยบอกแล้ว ไม่มีใครเชื่อ” บารมีว่า
“จะดันขึ้นไปได้ยังไง แพรวามันเป็นผู้หญิง มีธรรมเนียมที่ไหนที่จะให้ผู้หญิงขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่…มันต้องดันนายต้นของเราสิถึงจะถูก”
“หลาน กับลูก มันต่างกันนี่เจ๊…ยังไงเราต้องคอยค้านเขาไว้ให้ดี…เฮียตงนี่แผนสูงเสมอ”
ทนงศักดิ์ขอตัว “ผมไปก่อนละนะ นัดก๊วนกอล์ฟเอาไว้”
“ฉันก็ต้องเข้าบริษัทหน่อย ป่านนี้ยายแพรวาคงนั่งรอฝึกงานจนเงกแล้วก็ไม่รู้”
ทนงศักดิ์เดินออกไปก่อน อรทัยขยับจะเดินออกตาม บารมีเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนเจ๊…เจ๊มีเศษเงินเหลือซักห้าล้านมั้ย…ขอยืมหน่อยสิ”
“แกจะบ้าเหรออาหั่ง…ห้าล้านนี่เรียกเศษเงินเหรอ ถึงฉันมี ฉันก็ต้องเอาไว้ใช้จ่ายในบ้านลูกฉันตั้งสองคนนะยะ…แกต้องการเงินก็ยืมจากกงสีเอาสิ”
“โธ่ ยังกะว่ายืมได้ง่ายๆ งั้นแหละ…ซักโน่นซักนี่ วุ่นวายไปหมด” บารมีบ่น
“อ้าว ก็เงินบาทสองบาทเมื่อไหร่ล่ะ จะควักให้เฉยๆได้ไง”
อรทัยเดินออกจากบ้าน บารมีเดินคุยตามไป
“แหม ก็รู้อยู่ว่าอั๊วเอาไปทำธุรกิจ ไม่ได้เอาไปเที่ยวเล่นที่ไหนซะเมื่อไหร่”
“ฉันว่า แกยืมเอาไปเที่ยวเล่นซะยังดีกว่า ยังไงมันก็หมดเป็นหมดกัน แต่ไอ้ธุรกิจอะไรของแกนี่ มันหมดแล้วหมดอีก เจ๊งแล้วเจ๊งอีก ไม่มีที่สิ้นสุด…เลิกซะเถอะ แล้วมาทำงานเหมือง กินกงสีเอา”
“อั๊วไม่อยากเป็นลูกน้องเฮียตง”
“ก็เขาเป็นพี่ใหญ่…แกไม่เป็นลูกน้องเขาแล้วจะเป็นลูกน้องใคร”
“ถามจริงๆ นะเจ๊ ถ้าเฮียตงเป็นอะไรไป ใครจะเป็นใหญ่แทน”
“ก็แกน่ะสิ…ยังไม่รู้ตัวอีก เพราะฉะนั้นทำตัวให้มันเหมาะสมหน่อย ไม่งั้นจะโดนคนอื่นตัดหน้านะ จะบอกให้”

ด้านหรั่งนั่งพิงมอเตอร์ไซค์ท่องหนังสืออยู่ โต ยามคู่ซี้เดินวนเวียนมาใกล้ๆ
“วันนี้ว่างเหรอวะ…ไม่มีเอกสารส่งรึไง”
“อือม…”
“ขยันจริงนะเอ็ง ว่างเมื่อไหร่เป็นท่องหนังสือทุกที”
“ไม่ท่องไม่ได้หรอก พรุ่งนี้สอบแล้ว”
ยามนั่งลงข้างๆหรั่ง
“ถ้าฉันขยันได้ซักครึ่งของเอ็งนะ…ฉันคงไม่ต้องมาเป็นยามอย่างนี้หรอก”
หรั่งยิ้ม “ไอ้ที่ว่าขยันอย่างฉันน่ะ ยังเป็นได้แค่มอเตอร์ไซด์รับจ้างเลยพี่โต”
“ไม่จริงหรอก…คอยดูสิ อีกไม่นาน คนอย่างเอ็งจะต้องได้เป็นใหญ่เป็นโต”
“พี่เป็นหมอดูด้วยเหรอ” หรั่งแซว
“อ้า…ไม่เชื่อคอยดูสิ ฉันดูคนไม่เคยผิดอยู่แล้ว…เป็นใหญ่เป็นโตเมื่อไหร่อย่าลืมพี่ก็แล้วกันนะน้อง”
“ถ้าฉันลืมพี่โตนะ…นั่นต้องแปลว่าฉันจำอะไรไม่ได้อีกเลย ชีวิตนี้”
“พูดถูกใจจังวุ้ย…ไปกินข้าวกันมั้ยวะ พี่เลี้ยงเอง” โตบอก

“ไม่หรอกพี่ เดี๋ยวต้องเอาข้าวไปฝากน้องที่บ้าน”

ป้าย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ตั้งตระหง่านท่ามกลางพระอาทิตย์สีเย็นตาที่ลอยคาบเส้นขอบฟ้าอยู่ด้านหลัง หรั่งและนักศึกษา ผู้สอบคนอื่นๆ ต่างวัยปะปนกันไป ทุกคนประจำที่ในห้องสอบ

หรั่งนั่งทำข้อสอบอย่างตั้งใจ เห็นผู้เข้าสอบ นั่งทำข้อสอบเต็มห้อง เวลาผ่านไป ทั้งห้อง เหลือเพียงหรั่งยังนั่งทำข้อสอบอยู่เพียงคนเดียว จนเสียงออดหมดเวลาดังขึ้น
เวลาผ่านไปอีก หรั่งเดินออกมาหยุดหน้าห้องสอบ เขาสูดหายใจลึกๆ ยิ้มสบายๆ คล้ายจะบอกว่า สอบได้ ชัวร์

ตกตอนค่ำผู้คนในชุมชนจานเดี่ยว ล้อมเป็นวง กลมดิก…ทุกคนเมาแอ๋ ยินเสียงทุกคน ไชโย ไชโย ไชโย…
ผู้ใหญ่เงาะถือแก้วลุกขึ้นยื่น ตัวโงนเงน
“สำหรับบัณฑิตหรั่ง นาคำ…ปริญญาตรีคนแรกของชุมชนจานเดี่ยว”
ทุกคนร้องเฮลั่น
“ฉลองกันยังกับประกาศผลสอบแล้วงั้นแหละ…ถ้าผลออกมา ไอ้หรั่งไม่ผ่านล่ะ จะว่าไง” เช็งว่า
“เฮ่ย…ผ่านอยู่แล้วมึงเชื่อกู…โง่กว่าไอ้หรั่งยังผ่านกันเยอะแยะเลย…เอ้าไอ้คุณหรั่ง เชิญพูดอะไรหน่อยคร้าบ” ผู้ใหญ่แอ่นหน้าแอ่นหลัง
เบิ้มบอก “เออดี…”
“ไอ้โบ้ มึงเป่าแตรหน่อยดี้ มันเงียบไป ไม่คึกคักว่ะ…ขอบรรยากาศหน่อย” เท่ห์ร้องบอก
โบ้จัดให้ลุกขึ้นเป่าทรัมเป็ตเป็นเสียงแตรนอน หรั่งค่อยๆ ลุกขึ้นโอบไหล่โบ้แล้วจึงพูด
“ตั้งแต่ผมจำความได้ มนุษย์คนแรกที่ผมรู้จักก็คือไอ้โบ้ เราสองคนโตมากับกองคาราวากรรมกรก่อสร้าง…พวกเราอพยพ ย้ายกันไปไม่รู้ว่ากี่ที่ต่อกี่ที่…สร้างบ้านสร้างตึกมาแล้วไม่รู้ว่ากี่หลังต่อกี่หลัง…ทั้งบ้านใหญ่เยี่ยงราชา หรือว่าห้องแถวเล็กๆราวกับรูหนู…แต่ที่สุดท้ายที่เรามาปักหลักกันคือที่นี่ ชุมชนจานเดี่ยวแห่งนี้ อยู่มาตั้งแต่รกร้าง ที่ทั้งบางมีต้นจานต้นเดียว”
เช็งเสริม “ผู้บุกรุกชุดแรกนั่นเอง”
หรั่งว่าต่อ “ฉะนั้น…ต่อไปในภายภาคหน้า ไม่ว่าไอ้หรั่งคนนี้จะเป็นใคร ทำอะไรที่ไหน มันก็จะไม่ลืมชีวิตที่นี่ และพวกเราทุกคน”
เสียงเฮดังสนั่นที่สุด
เบิ้มว่าต่อ “ถ้าไอ้โบ้มันได้ซักครึ่งของไอ้หรั่ง…กูคงจะดีใจตายห่า”
“ฉันกลัวพ่อจะตายห่า เลยไม่กล้าเอาดีอย่างไอ้หรั่งมัน”
“ถุ๊ย” เบิ้มว่า
ผู้ใหญ่เงาะลุกขึ้นยืนแอ่นอีกแล้ว
“เฮ้ย…มีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง…ขอให้พวกเราทุกคนจงรู้ว่า…ไอ้หรั่ง นาคำ คือผู้ที่จะสืบทอดตำแหน่งผู้ใหญ่ต่อจากไอ้เงาะคนนี้…มาไชโยให้มันอีกทีโว้ย…ไชโยให้กับว่าที่ผู้จัดการธนาคารในอนาคต”
เสียงทุกคน ไชโย ไชโย ไชโย ผู้ใหญ่เงาะโงนเงนแล้วล้มฟุบลงไปกองคาพื้น ก่อนจะไชโยครบสามครั้ง!

เวลาต่อมาหรั่งล้มตัวลงบนเตียงนอนหงาย หน้าตาเมามาย แทบไม่ได้สติ ประตูห้องเปิดออก ก้อยค่อยๆ เดินเข้ามาช้าๆ ลงนั่งข้างๆ หรั่ง
“หรั่ง…เมาเหรอ”
“สงสัย…คืนนี้เลยไม่ได้เล่านิทานกันเลย”
หรั่งหลับตาลงเพราะความง่วงปนเมา ก้อยวางพวงมาลัยที่เธอร้อยไว้ตรงหน้าตัก ค่อยๆ คลำหามือหรั่งจนเจอ แล้วจึงดึงมือหรั่งลากมารับมาลัยพวงนั้น
“อะไรน่ะก้อย”
ก้อยยิ้ม “ของขวัญวันสอบเสร็จ…ไหนๆ ผู้ใหญ่ก็เลี้ยงให้หรั่งแล้ว ก้อยเลยให้ของขวัญหรั่งซะเลย…เอาไว้ถึงวันประกาศผลสอบ ค่อยทำอย่างอื่นให้หรั่งใหม่”
หรั่งมองเห็นรอยยิ้มของก้อย ทะลุผ่านเข้าไปถึงหัวใจของเธอ เขาค่อยๆ สร่างเมา
“ไม่จำเป็นเลยก้อย…แค่หรั่งได้เห็นก้อยยิ้ม ก้อยมีความสุข ก็ถือเป็นของขวัญที่ดีที่สุดสำหรับหรั่งแล้ว”
ก้อยยิ้มกว้างมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เอางี้นะ ถ้าหรั่งสอบผ่าน ได้ปริญญาตรี หรั่งจะพาก้อยไปฉลองที่ทะเล ดีมั้ยล่ะ”
“หรั่งก็รู้ว่าก้อยอยากไปทะเลแค่ไหน…ก้อยไม่เคยไปทะเลมาก่อนเลยในชีวิต”
“คอยดูนะ…หรั่งจะพาก้อยไปเอาเท้าจุ่มน้ำทะเลให้หายอยากเลย”
ก้อยโผเข้าพิงหรั่ง หรั่งโอบกอดก้อยไว้อย่างอบอุ่น หยิบพวงมาลัยพวงนั้นขึ้นมาดูอีกครั้ง พวงกุญแจรถในมือห้อยแกว่งลงมา ที่พวงกุญแจ มันคือตุ๊กตาไอ้มดแดงตัวนั้น

ก้อยและหรั่งนั่งพิงกัน ท่ามกลางแสงสวยไฟสลัว

อ่านต่อตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น