xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13

หน้าวัดร้างมีทหารฝ่ายจัตุรัสสามคนที่บาดเจ็บจากการสู้กับจ้าวซันและบราลีเมื่อคืน ถูกคุมตัวโดยทหารฝ่ายศิขรนโรดม คลานมากราบแทบเท้าศิขรนโรดมและพระเทวีสิริวารตี
“องค์ชาย องค์พระเทวี ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วย พวกข้าไม่อาจขัดคำสั่งของท่านนายพลจัตุรัสได้”
“ท่านจัตุรัส นี่ท่านจัตุรัสเป็นผู้บงการหรอกเหรอ” แม่นมถามอย่างตกใจ
“นอกจากจตุรัส โกศิน ราชิด คนพวกนี้จะไม่ยอมให้เราได้อยู่กันอย่างสุขสงบเลยใช่ไหม กี่ปีมาแล้ว คีรีรัฐต้องตกอยู่ในความมืดมน”
“พระเทวี”
แม่นมหันมาที่มิถิลากับอสุนี ทั้งสองพยายามจะปั้นหน้าปกติ พระเทวีสิริวารตีอึ้งๆ ศิขรคาดคั้นถามจากทหารกบฏ
“พวกเจ้าเอาเสด็จพ่อไปไว้ไหน”
พวกทหารกบฏไม่ยอมตอบ อสุนีที่เก็บกดที่กลายเป็นลูกกบฏพาลฉุน พุ่งไปกระชากตัวทหารคนนั้นมาจากศิขรนโรดม ควักปืนออกมาจ่อจิ้มเข้าไปที่หน้าของทหาร
“เจ้าหลวงอยู่ที่ไหน ถ้าไม่ตอบ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้”

ที่โบสถ์วัดร้าง มาทยาธรผงะ สยอง หลอน กลัวลนลาน เหมือนจะถูกปองร้ายเอาชีวิต
“ออกไป” เรี่ยวแรงมาทยาธรเริ่มถดถอย แต่ยังพยายามกระเสือกกระสนหนี “อย่าเอาชีวิตข้าไปเลย ข้ากลัวแล้วๆๆ”
“เจ้าลุงพะย่ะค่ะ ตั้งสติหน่อยพะย่ะค่ะ เสวยน้ำสักนิด”
“ไม่ ยาพิษ นั่นมันยาพิษ”
“ยาพิษอะไรกัน เจ้าลุง หลานเอามาจากตุ่มรองน้ำฝนข้างๆ โบสถ์นี่เอง หลานก็ดื่มไปแล้ว น้ำสะอาดดีพะย่ะค่ะ”
มาทยาธรเห็นหน้าจ้าวซันเป็นเจ้าหลวงพีริยเทพ ในจังหวะที่จ้าวซัมก้มตัวมาส่งน้ำให้ มาทยาธรก็ผลักจ้าวซันอย่างแรง จนจ้าวซัมล้มกระแทกไป แผลที่เลือดไหลอยู่แล้วยิ่งกระเทือน
“โอ๊ย”
“เจ้าพี่”
มาทยาธรคลานไป เอาหัวตัวเองโขกกับฐานพระ
“ข้าผิดไปแล้วๆๆ พระช่วยลูกด้วยๆๆ”
“ไม่ต้องห่วงพี่ ไปดูองค์เหนือหัวไป ทรงทำร้ายตัวเองใหญ่แล้ว”
บราลีเข้าไปดูแลมาทยาธร จ้าวซันลุกไม่ขึ้น ทรุดหนัก นอนลงไป ส่วนมาทยาธรยังคงเอาหัวโขกฐานพระ
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว”
พระเทวีสิริวารตีและคนอื่นๆ ตามเข้ามาถึง
“ฝ่าบาท”
พระเทวีสิริวารตีจะเข้าหา แต่มาทยาธรร้องห้ามเสียงดัง
“อย่าเข้ามา”
พระเทวีสิริวารตีงง บราลีถอยออกมา
“องค์ชายศิขรนโรดมเพคะ เจ้าหลวงไม่สามารถครองสติได้เลย”
พระเทวีสิริวารตีทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ทะนุถนอม อ่อนโยน
“ฝ่าบาท นี่หม่อมฉันเอง สิริวารตีไงเพคะ” พระเทวีสิริวารตีแตะต้นแขนมาทยาธรเบาๆ “ทรงปลอดภัยแล้ว จะไม่มีใครทำร้ายพระองค์ได้อีก”
“เจ้าพ่อ กลับวังเถอะพะย่ะค่ะ”
อสุนีกับศิขรนโรดมจะช่วยกันประคองมาทยาธรขึ้นมา แต่มาทยาธรโวยวาย ปัดป้อง ไม่ให้ใครแตะตัว
“ไม่ ไม่ๆๆ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ฝ่าบาท”
“พีริยเทพ มันจะมาเอาผิดข้า มันจะพาข้าไปอยู่ด้วย มันจะเอาชีวิตข้า ข้าไม่ไปๆๆ” มาทยาธรลนลาน มองหาพระประธาน “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ได้โปรดๆ คุ้มครองข้าด้วย ข้าสำนึกบาปแล้ว เพราะความละโมบ ทำให้ข้าก่อการกบฏ ชิงราชบัลลังก์จากอนุชาขอตัวเอง ข้าเป็นต้นเหตุทำให้พีริยเทพต้องฆ่าตัวตาย” มาทยาธรยกมือตัวเองมอง เห็นภาพว่ามือตัวเองเปื้อนเลือด มาทยาธรช็อกตาสั่นระรัว “อ้ากกก”
“เจ้าพ่อ”
ศิขรนโรดมจะเข้าดูแล แต่มาทยาธรสติกระเจิงมาก ปัดไล่ทุกคนหมด ไม่ให้ใครแตะตัว
“ข้าฆ่าคนบริสุทธิ์ ข้ามันเลว ชั่ว ข้าสำนึกบาปแล้ว ให้อภัยข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ” มาทยาธรเกาะฐานพระ เอาหัวโขกอีก ทุกคนอึ้ง มาทยาธรหัวแตก เลือดไหล “พีริยเทพข้าขอโทษ”
มาทยาธรฟุบนิ่งไป พระเทวีสิริวารตีสงสารสามี น้ำตาไหล
“โธ่ เจ้าพี่”
อสุนีกับศิขรนโรดมเข้าช่วยกันประคองมาทยาธรที่แน่นิ่งไป ประคองอุ้มขึ้นนั่งรถเข็น ระหว่างนั้นบราลีเพิ่งเห็นจ้าวซัน
“เจ้าพี่”
ทุกคนหันมาสนใจ พบว่าจ้าวซันนอนจมกองเลือด เลือดไหลออกมาเปื้อนเสื้อผ้าเป็นวงกว้าง หน้าซีด
“เจ้าพี่”
“ไหวมั้ยเพคะ องค์ชาย พระเทวี ได้โปรด ช่วยคุณชายจ้าวซันด้วยเพคะ”
“อสุนี มาช่วยข้าประคองเร็ว”
อสุนีไปช่วยกันกับศิขรนโรดมประคองจ้าวซันลุกขึ้นมา จ้าวซันถูกดึงขึ้นยืนให้มาอยู่ในตำแหน่งประจันหน้ากับพระเทวีสิริวารตีพอดี สิริวารตีถึงกับตะลึง
“น่านปิง...องค์ชายน่านปิงนรเทพ” พระเทวีสิริวาตีผงะ ค่อยๆ ทรุดลงไปนั่งกับพื้น “ท่านผู้นี้คือองค์ชายน่านปิงนรเทพ รัชทายาทตัวจริงแห่งคีรีรัฐ”
ทุกคนอึ้ง แล้วพระเทวีสิริวารตีก็ทรุดลงบังคมคนแรก พวกทหารอื่นๆ ทุกคนทยอยกันทรุดลงถวายบังคมกันพรึ่บ แม้แต่ศิขรนโรดมเองก็ด้วย เหลืออสุนีเป็นคนสุดท้าย แต่ก็บังคม จ้าวซันยืนอยู่กับบราลี อึ้งๆ งงๆ

จ้าวซันกำลังนั่งให้หมอหลวงพันแผลให้บริเวณไหล่ หลังจากผ่าเอากระสุนออกแล้ว จ้าวซันยังหน้าซีด
“พระองค์เสียพระโลหิตไปมาก ควรทรงนอนพัก อย่าเพิ่งรีบร้อนทำสิ่งใดที่ใช้พระกำลังมาก เพราะอาจทำให้แผลฉีกขาดเพิ่มได้”
“ท่านหมอ ดีใจนะ ที่เราได้ให้ท่านหมอรักษาอีก”
“กระหม่อมคิดว่า ไม่ดีกว่าพะย่ะค่ะ ให้ได้ถวายรับใช้อย่างอื่นดีกว่า”
“เอ่อ...ท่านหมอ พูดกับผมแบบสามัญชนดีกว่า ถ้าทหารฝ่ายองค์เจ้าหลวงมาได้ยินท่านหมอพูดราชาศัพท์เช่นนี้ ตามกฎหมายของคีรีรัฐ มันจะไม่เป็นผลดีกับตัวท่านหมอนัก”
“เป็นไรก็เป็นกันสิ”
“เอ่อ...อย่าประมาทดีกว่านะคะ คุณหมอ เพื่อความปลอดภัยของทุกคน”
บราลีพนมมือ หมอหลวงยิ้มเก้อๆ
“เดี๋ยว ผมจะจัดยาต้มเอาไว้ให้ ขอความกรุณารับประทานให้หมดด้วยนะครับ เอ่อ ผมไม่รบกวนแล้ว องค์ชายจะได้พักผ่อน”
“ท่านหมอ”
“โธ่ จะให้ผมตีตัวเสมอองค์ชาย ผมทำไม่ได้หรอกครับ องค์ชาย...” หมอหลวงลดเสียงเบาลง “เอ่อ ในเมื่อสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจแบบนี้ คุณชายน่าจะรีบคืนสู่บัลลังก์คีรีรัฐ มาช่วยปราบพวกเลวๆ ให้ราบคาบเสียทีนะครับ”
“ผม เอ่อ...”
อสุนีซุ่มรอฟังคำตอบนั้นอยู่ พอดีศิขรนโรดมเข้ามาหาจ้าวซันก่อนที่จะตอบคำถามอะไร
“เจ้าพี่ ทำไมทรงทำทุกอย่างลำพัง ทำไมไม่ให้น้องไปด้วย น้องโทรไปคุยกับท่านผู้ว่าฮ่องกงแล้วเรื่องราชิดกับโกศิน ท่านผู้ว่าเสียใจมาก” ศิขรนโรดมก้มลงไป กระซิบกระซาบกัน อสุนีเซ็ง

อสุนีเดินฉุนๆ หงุดหงิดแยกออกมา ทันใดมีเสียงนางในวังกลุ่มนึง กำลังชี้ชวนกันวิพากษ์วิจารณ์มิถิลา
“พวกเรามาดูนี่สิ มาๆๆๆ องค์หญิงช่างไม่ถือตัวเสียนี่กระไร ยกถาดมาลัยด้วยตัวเอง”
“ใครกันบังอาจใช้องค์หญิง ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง”
“เดินระวังๆ นะเพคะ ระวังจะสะดุดขาตัวเอง แล้วจะไม่มีใครสงสาร ฮะๆๆ”
“พวกหล่อนพูดจาอะไร หมายถึงใคร” มิถิลาถาม
“ใครล่ะ ที่เป็นกบฏกันทั้งครอบครัว และคนที่คิดไม่ซื่อกับองค์เหนือหัว พวกเราไม่จำเป็นต้องดีด้วย”
“ที่แท้องค์เทวีก็เลี้ยงงูเห่าเอาไว้มาตั้งนาน เนรคุณ”
“อย่ามาใส่ร้ายป้ายสีกัน ฉันกับ...ผู้ใหญ่...ไม่ได้มีอุดมคติเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกันขัดแย้งกันในทุกๆเรื่องก็มีถมไป”
“อ๋อ เหรอ พวกหล่อนเชื่อมั้ย มีใครเชื่อบ้าง ฮะๆๆ”
พวกสาวๆ นางในหัวเราะเยาะ อสุนีโผล่เข้ามายืนขวางหน้ามิถิลา
“ท่าทางงานฝ่ายในจะว่างมาก แต่ถ้าพวกคุณถ้ายังไม่เลิกกระแหนะกระแหนน้องสาวผม รับรอง เจอดีแน่”
พวกนางในกลัวอสุนี พากันเดินแยกไป มิถิลาเศร้า

มิถิลาเดินฮึดฮัดสับสนแยกมาอีกด้าน อสุนีตามมา
“เจ้าไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดของคนพวกนั้น น้องต้องอดทน จนกว่าเราจะพิสูจน์ตัวเองได้ ว่าเราพี่น้อง คือข้ารองพระบาทองค์ศิขรนโรดมที่จงรักภักดีพระองค์อย่างแท้จริง”
“เจ้าน่านปิงนรเทพไม่ปล่อยพ่อลอยนวลแน่”
“เราต้องเป็นคนจับพ่อเอง”
“แล้วถ้าจับได้ พี่จะทำยังไง”
“พี่ก็ต้องดูแลให้พ่อปลอดภัย แล้วให้พ่อได้รับโทษอย่างโปร่งใสที่สุด”
“พ่อไม่มีทางยอม”
“เราทุกคนต่างมีหน้าที่ต่อแผ่นดิน อย่าให้เรื่องสายเลือด มาทำให้เราเสียคำสัตย์สาบาน”
“เราเหมือนตัวอะไรไม่รู้ ใครเขาจะเชื่อใจ จะทำอะไร ก็เหมือนจะเป็นอันตรายไปทั้งนั้น ส่วนพ่อ ก็ต้องชี้หน้า เราคือลูกเนรคุณ”
“เราทำสิ่งที่ถูกต้อง น้องไม่ต้องกลัว พี่ก็จะไม่กลัว เราต้องมั่นคงกับความคิดของเรา นะ” อสุนีลูบผมน้อง แล้วออกไป
อสุนีรีบไป มิถิลาน้ำตาไหล รีบเช็ด ศิขรนโรดมที่แอบฟังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ เข้ามา
“พวกเจ้ากลัว หรือไม่กลัวอะไรกัน” มิถิลาตกใจ “คนที่ควรจะกลัว มันไม่ใช่ข้าหรอกหรือ ขอถามหน่อย”
มิถิลาอึกอัก ไม่อยากตอบอะไร

มิถิลาพยายามเดินหนี ศิขรนโรดมตาม
“พ่อของเจ้าอาจจะติดต่อเจ้ามาในไม่ช้า จริงไหม”
“ฝ่าบาททรงคิดอะไร”
“ก็คิดว่าทุกอย่าง ไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจซะแล้ว สิ่งที่เราวางแผนว่าจะทำอย่างสันติ อาจถูกบีบให้ต้องมีการฆ่าฟัน”
“ฝ่าบาท จะ...ฆ่าพ่อหม่อมฉันหรือ”
“มิถิลา เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนยังไง”
“หม่อมฉันควรจะไปให้พ้นจากที่นี่ไหม”
“เจ้าจะไปไหน”
“อาจจะมีคนคิด ว่าหม่อมฉัน กับพี่ชาย จะเป็นอันตรายต่อฝ่าบาท หรือพระเทวี”
“เจ้ากับอสุนีก็ต้องท้าทายต่อคนที่คิดเช่นนั้นสิ”
“ยังไงเพคะ”
ศิขรนโรดมดึงมิถิลาเข้ามากอด
“อยู่เคียงข้างข้า ให้ทุกคนเห็น และหากได้ข่าวราชิดกับโกศิณ ต้องให้ข้ารู้ก่อน”
“หม่อมฉันกับพี่ จะทำทุกอย่าง ตามพระบัญชาเพื่อความมั่นคงของราชบัลลังก์เสมอเพคะ”
“ผิดแล้ว มิถิลา ข้าไม่ได้คิดถึงบัลลังก์หรือความมั่นคงอะไรเลย แต่เราเพียงจับคนพวกนี้ไว้ให้ได้ ก็จะเป็นการช่วยชีวิตผู้คนมากมาย ประชาชนคีรีรัฐก็จะไม่ต้องหลั่งโลหิตอีก เจ้าต้องคิดถึงจุดนี้ก่อนเรื่องอื่น เข้าใจไหม”
ศิขรนโรดมประคองหน้าให้มิถิลาสบตา สะกดให้เชื่อฟัง มิถิลายังสับสนในใจ

จ้าวซันนอนพักบนเตียง เคลิ้มๆ บราลียังส่องไปมาที่หน้าต่าง ระวังระไว จ้าวซันลืมตาขึ้นมา เหล่ดู แต่มีอาการง่วงๆ
“ม่านฟ้า เจ้าก็มาพักผ่อนเถอะ”
“ไม่ได้หรอกเพคะ บรรทมไปเถอะ ทรงเสียพระโลหิตไปเยอะแล้วก็ได้รับยาเข้าไปมาก ควรจะทรงง่วงมากๆ แล้ว หม่อมฉันไม่ไว้ใจคนอื่น หม่อมฉันจะถวายอารักขาเจ้าพี่เอง”
“เราอยู่ในวังนะ ไม่มีอันตรายอะไรแล้ว”
“ในวังไม่มีอันตรายหรือ ทรงประมาทแล้ว ในที่นี้เราสองคนคือคนแปลกหน้า อย่าทรงลืมเด็ดขาด”
“ม่านฟ้า เจ้ากลายเป็นคนเช่นนี้ไปแล้ว”
“อยู่ที่นี่นานไป หม่อมฉันชักไม่ค่อยชอบละ ทรงเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้อื่นมากไปแล้ว หากราชิดยิงปืนแม่นกว่านี้”
“เพราะน้อง ที่เก่งมากจริงๆ ถ้าไม่ได้น้อง ป่านนี้พี่ตายไปแล้ว”
“บอกแล้ว ว่าผู้หญิงไม่ใช่ภาระ ข้างหลังชายผู้ประสบความสำเร็จ จะมีหญิงคนหนึ่งยืนอยู่เสมอ”
“ขอโทษ ที่พี่คิดผิด” จ้าวซันหลับตาลง
“ไม่มีอะไรที่เราควบคุมได้จริงๆ ซักอย่างเดียว อยู่ๆ ราชิดกับโกศินก็โผล่มา จะมีอะไรที่เราคาดไม่ถึงอีก อ้าว...”
บราลีหันมาแล้วขำ จ้าวซันหลับไปแล้ว บราลียิ้ม ห่วงๆ และเอ็นดู ลูบแก้มจ้าวซันเบาๆ จ้าวซันหลับสนิท บราลีกลับไปส่องแถวหน้าต่างต่อ
บราลีเห็นพวกนางกำนัลวิ่งอะไรกัน ร้อนใจผสมร้องไห้ผ่านไป ทหารสองคนวิ่งตามไป บราลีตาลุก แล้วตัดสินใจ ย่องออกไป ขณะที่จ้าวซันหลับสนิท

บราลีวิ่งตามพวกทหารมาถึงตำหนักเจ้าหลวง พระเทวีสิริวารตี นางกำนัล แม่นม ช่วยกันจับเจ้าหลวงมาทยาธรที่ดิ้นอาละวาด พวกทหารมาช่วย จับไว้ได้
ในที่สุดหมอหลวงต้องฉีดยาให้ เจ้าหลวงมาทยาธรสงบลง นอนตาลอย หายใจระรวยๆ
“สงบลงแล้วพะย่ะค่ะ พระเทวี”
“แล้วเราจะทำยังไงดี ท่านหมอหลวง”
“คิดว่าคนพวกนั้น คงปฏิบัติต่อพระองค์แย่มาก หรือทำอะไรให้ทรงช็อกไปชั่วคราว”
“ชั่วคราว แปลว่า เจ้าหลวงจะทรงหายได้ ในเวลาอันไม่นานใช่ไหมคะ ท่านหมอ”
“น่าจะเป็นเช่นนั้นพะย่ะค่ะ แต่ก็คงต้องดูพระอาการไปสักระยะ”
บราลีเผลอชะโงกเข้าไปใกล้กว่าเดิม เจ้าหลวงมืยาธรหันมา สบตาบราลีปึ๊ง ผงะ บราลีก้มแอบพอดี
“มันมา...มัน...มันมาอีกแล้ว”
มาทยาธรบอก ทุกคนมองหน้า งง
“ใครมาเพคะ”
บราลีหมอบต่ำ
“นางข้าหลวงของเธอไง นางเมียของไอ้อินปง”
บราลีผละ เอามืออุดปาก
“เมียอินปง”
“จันทร์แรม”
“มันตายแล้วมิใช่หรือ มันโดนพวกจัตุรัสฆ่าตายไปนานแล้ว ที่แม่น้ำเวียงสาย ในคืนนั้น”
บราลีขนลุก แล้วน้ำตาไหล
“ฝ่าบาท ทรงหลอนไปแล้ว”
“ทรงเห็น เจ้ากรรมนายเวรมาทวงคืนงั้นเหรอ”
“ทุกคน ออกไปได้แล้ว เจ้าหลวงจะบรรทมแล้ว”
หมอหลวงหันมาพยัก ให้ทหารและทุกคนออกไปกับตน บราลีรีบแอบแบบสนิท ไม่มีใครเห็น ทุกคนออกไปหมด ยกเว้นพระเทวีสิริวารตีกับแม่นม
“เจ้าหลวง...ทรง...สงบพระสติเถอะเพคะ ไม่มีใครมาทำอะไรพระองค์ได้ทั้งนั้นเพคะ”
“มีสิ มันมากันเต็มเลย พีริยเทพก็มา ไอ้อินปงก็มา นังจันทร์แรมก็มา ฮือๆๆ” มาทยาธรร้องไห้ ตัวสั่น
“หากเรื่องราวที่เจ้าหลวงเป็นแบบนี้เผยแพร่ออกไป บ้านเมืองจะเป็นยังไง”
“หรือว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราจะรีบสถาปนาเจ้าหลวงองค์ใหม่ขึ้นแทน”
“องค์ศิขรนโรดมก็ทรงเป็นผู้ใหญ่พอแล้ว อาจช่วยสร้างขวัญและกำลังใจแก่ไพร่ฟ้าได้”
“ข้าไม่ได้หมายถึงศิขร แต่ข้าหมายถึงองค์รัชทายาทตัวจริง ที่มีตราประจำราชบัลลังก์คีรีรัฐอย่างถูกต้องต่างหาก และเวลานี้ก็ทรงประทับอยู่ที่นี่แล้วนะแม่นม”
แม่นมตกใจ ไม่เห็นด้วย
“พระเทวี”
บราลีก็ตกใจเช่นกัน

บราลีรีบวิ่งกึ่งย่องแบบหน้าตื่นๆ มองรอบๆ กลัวคนเห็นระวังตัว มาถึงระเบียงหน้าตำหนักจะเข้ามาที่ห้อง แล้วชะงักเมื่อเห็นประตูระเบียงเผยอแง้ม บราลีมองประตูนั้น ผงะ ตกใจ รีบผลักเข้าไป
“เจ้าพี่”
ในห้อง ข้างเตียงที่จ้าวซันนอนหลับอยู่ อสุนียืนอยู่ใกล้มาก จนเกินจำเป็น อสุนีตกใจหันขวับมา
“อสุนี คุณทำอะไร”
“เปล่า”
บราลีพุ่งเข้ามา ผลักอกอสุนีกระเด็นเซไป
“คุณเข้ามาทำไมในห้องนี้ คุณไม่มีหน้าที่อะไรซักหน่อย” อสุนีก้มหัวต่ำ
“ผมขอโทษ ผมเห็นว่าไม่มีใครอารักขาพระองค์ บรรทมอยู่ตามลำพัง ก็เลยอยากเข้ามาดูให้แน่ใจ ว่าทรงไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ในวังนี่หาความปลอดภัยได้ยากจริงๆ ด้วย เราไว้ใจใครไม่ได้ทั้งนั้น”
“คุณหมายความว่ายังไง”
“ชั้นพูดตรงๆ คงไม่ต้องแปลหรอกค่ะ” บราลีจ้องหน้าอสุนี “เชิญ”
“คุณเข้าใจผมผิด”
“คนที่คุณต้องคอยถวายการรับใช้ใกล้ชิด คือองค์ศิขรนโรมดม ไม่ใช่องค์น่านปิงนรเทพ...เชิญ”
อสุนีอึ้ง แล้วสะบัด เดินเชิดไป บราลีมองตาม ระแวง จ้าวซันยังหลับสนิท

เย็นวันเดียวกันนั้นที่ฮ่องกง เหม่ยอิงเดินช็อปปิ้งอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่ Central-Mid-Levels โดยมีเกาเฟยเดินถือของและถุงช็อปปิ้งตามมาไม่ห่าง
“สะใจจริงๆ ถึงคราวชั้นเป็นใหญ่ในบ้านบ้างล่ะ ปล่อยให้ยายแม่มดแก่ครองบ้านสี่ฤดูมานานพอแล้ว” เกาเฟยพยักหน้ายิ้มให้ นัยน์ตาปลาบปลื้มชื่นชม “วันนี้ฉันอารมณ์ดีเป็นพิเศษ แกอยากได้อะไรไหมเกาเฟย ในฐานะที่ช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด”
“แค่คุณหนูเมตตา ให้ผมได้มีโอกาสอยู่เคียงข้างคุณหนูแบบนี้เตลอดไปก็พอแล้วครับ”
“อะไร อย่าบอกนะว่าแกจะไม่กลับไปอยู่กับลูกกับเมียแกแล้ว” เหม่ยอิงหัวเราะขำๆ เกาเฟยยิ้มมุม ปากส่ายหน้า “แล้วบ้านที่ซื้อไว้ที่เมืองไทยล่ะ”
เกาเฟยแล้วเดินเข้ามาใกล้ เอื้อมมือมาโอบเหม่ยอิง
“ถ้าคุณหนูต้องการ ผมก็พร้อมจะอยู่กับคุณหนูที่นี่ไปจนตาย”
เหม่ยอิงสะบัดตัวออก อาย มองคนรอบๆ
“ทำบ้าอะไรน่ะ”
เกาเฟยเหวอเล็กน้อย
“ก็...แสดงความรักที่ผมคุณมีให้คุณหนูไงล่ะครับ”
เกาเฟยพยายามจะเข้ามาโอบอีก เหม่ยอิงโกรธ บัดมือแขนเกาเฟยออกอย่างแรง จนของที่เกาเฟยถือหล่นลงไป
“หยุดนะ ฉันไม่เคยคิดอะไรกับแกแบบนั้น อย่ามาสะเออะ”
“แต่”
“หัดเจียมกะลาหัวไว้บ้างสิ แกเป็นใคร แล้วฉันเป็นใคร”
ผู้คนที่ผ่านไปมามอง เหม่ยอิงอาย หันมองไปรอบๆ เดินแหวกผู้คนขึ้นบันไดเลื่อนไปจะหาทางออก เกาเฟยรีบเก็บของแล้วเดินตาม
“เดี๋ยวก่อนสิครับ คุณหนูๆ”

เหม่ยอิงอารมณ์เสีย เดินออกมาจากบันไดเลื่อน เกาเฟยแหวกผู้คนตามออกมาติดๆ
“กลับไปได้แล้ว ไม่ต้องตามฉันมา”
เหม่ยอิงเดินหนี เกาเฟยเดินตามง้อ
“คุณหนู... ผมขอโทษ...ผม...”
“หุบปาก แล้วก็ไปให้พ้น ฉันไม่อยากเห็นหน้าแก” เหม่ยอิงเดินชนเกาเฟยแล้วเดินกลับไปขึ้นบันไดเลื่อนอีก “เกลียดนักพวกขี้ข้าที่ชอบทำตัวเสมอเจ้านาย” เกาเฟยขยับจะเดินตาม “ไม่ต้องตามมา”
เหม่ยอิงยืนอยู่บนบันไดเลื่อนที่กำลังเลื่อนขึ้นไปเรื่อยๆ เชิดไม่หันกลับมามอง เกาเฟยถือของพะรุงพะรังเดินขึ้นบันไดข้างๆ วิ่งตามไปติดๆ
“ก็ผมขอโทษแล้ว คุณหนูจะให้ผมทำยังไง” เหม่ยอิงหันกลับไปชำเลืองมองด้วยหางตา แล้วสะบัดหน้ากลับ บันไดเลื่อนพาเหม่ยอิงขึ้นสูงไปเรื่อยๆ เกาเฟยวิ่งตามไปสักพัก หยุด คุกเข่าลงกับพื้น “จะให้ผมกราบขอโทษตรงนี้ผมก็ยอม”
เกาเฟยตะโกนบอก เหม่ยอิงหันกลับมามอง โกรธจัด สะบัดหน้าหนี เกาเฟยนั่งทรุดคุกเข่าลงกับพื้นตรงบันได สลด เหม่ยอิงเชิดไม่สนใจยืนอยู่บนบันไดเลื่อน ทิ้งเกาเฟยให้ห่างออกไปทุกทีๆ

เกาเฟยขี่มอเตอร์ไซค์ไปตามถนนยามค่ำคืน เห็นคู่รักต่างๆ เดินสวีทกันทำให้เกาเฟยคิดถึงช่วงเวลาตอนที่อยู่กับเหม่ยอิงที่ร้านกาแฟริมทะเล
“ให้ผมตายเคียงคุณหนูใหญ่ ผมยอม ให้ไปนรกหรือไปสวรรค์ก็สุดแล้วแต่คุณหนูใหญ่จะบัญชามาครับ”
เกาเฟยเอามือเหม่ยอิงไปจูบอย่างบูชา แล้วเอามาทูนไว้เหนือหัว
เกาเฟยขับรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นเนินเขามาทางบ้านสี่ฤดูแล้วเกาเฟยก็คิดถึงตอนที่ทำงานให้เหม่ยอิงพลาด
“ให้อภัยผมเถอะคุณหนูใหญ่ ผมขอโอกาสอีกครั้ง ผมสาบาน ผมจะทำงานถวายชีวิตต่อคุณหนูใหญ่ ผมจะเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียว หากสั่งให้ไปฆ่าคนผมก็ไปฆ่า สั่งให้ตายก็จะไปตาย”
“ดี งั้นกราบเท้าชั้น”
เกาเฟยชะงักชั่วครู่ แล้วตัดสินใจก้มลงกราบแทบเท้าของเหม่ยอิงทันที เหม่ยอิงยังคงจ้องมองเกาเฟยด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
“ยิ่งกว่ากราบเท้าผมก็ทำได้”
เหม่ยอิงก้มมอง เงยหน้าขึ้นมายิ้ม สะใจ
มอเตอร์ไซค์เกาเฟยขับมาจอดที่หน้าบ้านสี่ฤดู เกาเฟยกดกริ่งที่ประตูบ้านและเอาถุงช็อปปิ้งทั้งหมดของเหม่ยอิงวางไว้หน้าประตูใหญ่ เกาเฟยกระโดดขึ้นรถมอเตอร์ไซค์แล้วขับออกไปทันที
“ชีวิตผม คงไม่มีวันนี้ หากไม่มีคุณหนู”
ภาพเหตุการณ์ที่ลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าย้อนกลับมา ทั้งสองมองกันซึ้งใจ เหม่ยอิงทำท่าจะเข้ามากอด
เกาเฟยเอามือไปปิดหน้ากากหมวกกันน็อคลงแล้วบิดคันเร่งอย่างแรง รถมอเตอร์ไซค์พุ่งลงจากเขาไป

ที่คีรีรัฐ ภูสินทรคุกเข่ากราบเท้าจ้าวซัน ที่ยังพันแผลและถอดเสื้อ
“กระหม่อมบกพร่อง ทำให้ฝ่าบาทได้รับอันตราย กระหม่อมสมควรถูกลงโทษ”
“ไม่เอาน่า ภูสินทร การที่ราชิดมันหลุดจากคุกมาได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เราย่อมตั้งรับไม่ทันเป็นธรรมดา”
“จริงๆ คนที่ควรโดนทำโทษ คือองค์ชายกับแม่ม่านฟ้าตัวดีนี่แหละ ทำเอาทุกคนหัวใจจะวายกันหมด ไม่เอาแล้วนะ ต่อไปนี้ ห้ามทำอะไรกันโดยพลการอีกแล้ว” ครูเฒ่าบอก
“ครูคะ หนูไม่อยากให้เจ้าพี่อยู่ที่นี่อีกแล้ว คนที่นี่น่ากลัวเกินไป”
“อะไรกัน ม่านฟ้า คนที่นี่น่ากลัวกว่าคนฮ่องกงอีกหรือ”
“ก็น่ากลัวทั้งนั้นแหละค่ะ คนที่หิวอำนาจ หิวทรัพย์สิน จนทำอะไรได้หมด เราควรหนีให้ไกล”
“หนีหรือ ม่านฟ้า พี่ต้องหนีอีกแล้วหรือ”
“หม่อมฉันแค่ไม่อยากให้เจ้าพี่ต้อง เสี่ยงเพื่อคนอื่นอีกแล้ว”
“คนอื่นที่ไหน น้องชายของพี่ทั้งคน ถ้าพี่กลัวตายศิขรก็จะต้องสู้ตามลำพังนะน้อง”
“ลำพังอะไร ทั้งอสุนี ทั้งมิถิลา ล้วนจงรักภักดีต่อเขา”
“น้องลืมแล้วหรือว่าสองคนนั่นลูกใคร จริงอย่างที่น้องพูด ว่าคนที่นี่น่ากลัวเพราะฉะนั้น เรายิ่งต้องอยู่ช่วยศิขรให้ถึงที่สุด”
บราลีอึ้ง ทุกคนเงียบ

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 (ต่อ)

ป่าคีรีรัฐยามค่ำคืน เห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเล่นอยู่กลางป่า จ้าวซันและบราลียืนประจันหน้ากันอยู่ บราลีพยายามตั้งท่าเลียนแบบมวยคีรีรัฐตามที่ตัวเองเคยเห็นมา ท่าทางดูเก้ๆ กังๆ และตลก
“มา เข้ามาเลย”
จ้าวซันกลั้นขำ
“ทำอะไรน่ะ”
“อสุนี กับมิถิลาได้รับการฝึกการต่อสู้มาอย่างดีมากจากพระครูไม่ใช่เหรอคะ หม่อมฉันไม่อยากรบกวนท่าน เจ้าพี่นั่นแหละ ต้องสอนหม่อมฉัน เพราะ หากจำเป็นขึ้นมา น้องต้องสู้กับพวกเขาให้ได้”
จ้าวซันเหลือบไปมองที่พื้น ก้มไปหยิบกิ่งไม้สองอันที่ตกอยู่แล้วโยนให้บราลีอันหนึ่ง
“เอ้า รับ”
บราลีตั้งท่ารับอย่างดิบดี แต่พลาด ไม้กระเด็นไปข้างหลัง บราลีเสียฟอร์ม รีบวิ่งไปเก็บ จ้าวซันส่ายหน้า ถอนหายใจ บราลีหันมาเห็น เริ่มฉุน บ่นกับตัวเอง
“ใครจะไปรับได้ล่ะ โยนไม่ดีเองต่างหาก” บราลีถือไม้กระชับมั่น ตั้งท่าเลียนแบบจ้าวซัน
“ลองเข้ามาโจมตีเราหน่อยซิ อยากรู้ว่ามีพื้นฐานการต่อสู้แค่ไหน เข้ามา”
“ใช้ไม้อันนี้เหรอ”
“ไม่ต้องถาม จะใช้อะไรก็ได้ตามใจ เป้าหมายคือทำร้ายศัตรูที่อยู่ตรงหน้า เอาเลย”
จ้าวซันร้องคำรามเสียงดัง เงื้อไม้ขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับกระโจนเข้าใส่
“ว้ายย”
บราลีปากิ่งไปในมือใส่ โดนหน้าผากจ้าวซัน แล้ววิ่งหนี จ้าวซันเซ็ง จับที่หัว ก้มลงไปเก็บไม้
“กลับมา! ทำอะไรน่ะ” จ้าวซันเดินไปยื่นไม้ส่งให้บราลี ที่หน้าผากจ้าวซันมีรอยแดง “ทิ้งอาวุธไปแล้ววิ่งหนีเนี่ยนะ แล้วคิดจะออกไปสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ชาย”
“แต่หม่อมฉันทำเจ้าพี่เจ็บหรือเปล่าคะ งั้น...เจ้าพี่ไม่ต้องลำบากแล้วเพคะ แผลถูกยิงก็ยังทรงเจ็บอยู่”
จ้าวซันไม่สนใจ จับไม้ขึ้นมาตั้งท่า แล้วกระหน่ำตีไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายบราลี
“ใครบอกว่าพี่เจ็บล่ะ คนจริง ต้องไม่กลัวเจ็บ พี่จะเอาจริงล่ะนะ เตรียมรับมือ”
บราลีพยายามเอาไม้ออกมากัน และปัดป้องต่างๆ สุดกำลัง ไม้ในมือจ้าวซันตีโดนส่วนต่างๆ ของบราลี ข้อมือ ขา แขน ไหล่
“โอ๊ย เดี๋ยว เจ็บ พอก่อนฝ่าบาท” บราลีร้อง และพยายามหลบไปมาๆ นานๆ ถึงจะมีโอกาสรุกใส่จ้าวซันบ้าง แต่ก็โดนตอบโต้กลับมาหมด จ้าวซันรุกกระหน่ำ บราลีเปิดช่องโหว่ จ้าวซันได้โอกาส ตีไปที่ข้อมืออีกครั้ง บราลีเจ็บปล่อยไม้หลุดจากมือ “โอ๊ยยย”
บราลีเผลอจะก้มไปเก็บไม้ จ้าวซันก้าวเข้ามาประชิด ค่อยๆ เอาไม้เคาะไปที่ศรีษะของบราลีช้าๆ
“ตาย สอบตก”
บราลีโกรธ คว้าไม้ขึ้นมาใหม่ พุ่งเข้าใส่ โจมตีไม่คิดชีวิต
“เอาจริงล่ะนะ”
บราลีฟาดไม้ไปทิศทางต่างๆ ไม่มีรูปแบบใดๆ จ้าวซันถอยไปตั้งหลัก หลบซ้ายขวา บราลีสาวเท้าก้าวตามไปติดๆ แต่ยังตีไม่โดนเลยสักครั้ง
“อย่า คิดว่า จะทำได้อยู่ฝ่าย เดียว” ทั้งคู่ประจันหน้ากัน บราลีหอบ “ทรงเหนื่อยแล้วล่ะสิเพคะ” จ้าวซันยืนนิ่ง ไม่รู้สึกอะไร “หม่อมฉันเป็นพวกไม่ยอมแพ้ใครอยู่แล้ว มีความอดทนเป็นเลิศ ว้ากกก”
บราลีรวบรวมแรงที่มีทั้งหมด พุ่งเข้าใส่จ้าวซันอีกที

บราลีกำลังต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับจ้าวซัน บราลีพยายามหนีแต่พลาดล้มลงก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย” จ้าวซันตรงเข้าไป บราลียื่นมือออกมานึกว่าจ้าวซันจะช่วยฉุดให้ลุกขึ้น ปรากฏว่าจ้าวซันตีซ้ำที่มือ “เจ็บนะ”
“ในสนามรบไม่มีเวลาให้บ่นเจ็บหรอก”
บราลีทำท่าจะร้องไห้
“นี่มันไม่ใช่การฝึกแล้ว ทรงแกล้งกันชัดๆ”
“เปล่าเลย”
บราลีลุกขึ้นกระฟัดกระเฟียด ทิ้งไม้ลงกับพื้น
“พอแล้ว หม่อมฉันไม่ฝึกแล้ว”
บราลีเดินหนีไปอีกทาง ทิ้งให้จ้าวซันยืนเหวอ ทันใดนั้นจ้าวซันก็พุ่งเข้าไปรวบตัวบราลีจากทางด้านหลัง กอดลงพื้น บราลีหันกลับมา หน้าอยู่ใกล้กันมาก
“จะ...ทำอะไรนะเพคะ”
จ้าวซันเอานิ้วไปแตะที่ริมฝีปากบราลี กดหัวบราลีลงให้ต่ำกว่าคันดิน แล้วหันไปมองอีกทาง บราลีมองตาสายตาจ้าวซันไปจึงเห็นทหารคีรีรัฐสองคนกำลังเดินผ่านเข้าไปในป่า ทั้งคู่มองหน้ากัน แววตาครุ่นคิด สงสัย

จ้าวซันและบราลีกำลังค่อยๆ คลานต่ำเข้ามาใกล้ทหารสองคนที่อยู่ในป่า บราลีคลานมาช้ากว่า และดูทุลักทุเล จ้าวซันทำท่าห้ามว่าไม่ต้องตามมา ให้อยู่ตรงนั้น เดี๋ยวเสียงดัง บราลีไม่เชื่อ อยากท้าทาย จ้าวซันระอา
ทันใดนั้นก็มีแสงไฟสว่างวาบขึ้นมาทั่วบริเวณ จ้าวซันและบราลีก้มตัวหมอบติดพื้น จ้าวซันแหงนดูบนท้องฟ้า เห็นพลุลูกหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปสูงเด่นอยู่บนฟ้า บราลีมองตาม
“พลุสัญญาณ”
บารลีคลานตามเข้ามาติดกับจ้าวซัน
“สัญญาณนี้หมายความว่าอะไรเพคะ”
จ้าวซันทำหน้าครุ่นคิด หนักใจ
“จุดพลุสัญญาณในเวลาอย่างนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องดี”
“เรารีบกลับกันดีกว่า”
“เดี๋ยว อยากจะลองวิชาหรือยัง”
“ลองวิชา?”
“ที่ฝึกมาเมื่อกี้ไง”
“หา” บราลีเผลอตัวร้องเสียงดังจนทหารคีรีรัฐได้ยิน
“นั่นใคร”

ขณะนั้นภูสินทรกับครูเฒ่ากำลังยืนคุยกันอยู่หน้าอาศรม สักพักมีแสงสว่างวาบที่ท้องฟ้า ทั้งคู่หันไปมองจึงเห็นเป็นพลุสัญญานสว่างบนท้องฟ้า
“ของพวกไหนกัน”
“ท่าทางจะมาจากในป่า ผมออกไปสืบดีกว่า” ภูสินทรบอก
“ระวังตัวให้ดี เวลานี้เราไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
“น่าจะเป็นพวกราชิด มันจะมาเล่นตลกอะไรกับเราอีกก็ไม่รู้”
ทันใดนั้นเด็กรับใช้ก็เข็นเกวียนบรรทุกกระสอบข้าวสารมาเต็มคัน ครูเฒ่าหันไปเห็น สงสัย
“ไปไหนมา ทำไมหายไปนานนัก”
“เอ่อ คือว่าในวังมีเรื่อง แล้วในครัวเลยอยากให้...สั่งให้มาเอาข้าวสาร ไปตุนไว้ก่อน”
“พูดอะไรไม่รู้เรื่อง อยู่กันแค่ไม่กี่คนเอามาทำไมเยอะแยะ”
“งั้น เดี๋ยวผมเอาไปคืน”
“ไม่ต้องๆ เอามาแล้วก็เอามา วันนี้ก็ดึกแล้วด้วยเจ้าไปพักเถอะ”
ครูเฒ่าเดินเข้าไปหาเด็กรับใช้ เข้าไปตบไหล่ เด็กรับใช้ดูหลุกหลิก ร้อนรน เหงื่อออก
“นี่เจ้าไม่สบายหรือเปล่า”
“นั่นสิ อากาศหนาวจะตาย ทำไมเหงื่อแตกขนาดนี้”
ไม่ทันขาดคำโกศินที่ซ่อนอยู่ในกระสอบข้าวสารก็โผล่พรวดออกมา พร้อมกับเอามีดเสียบไปที่ท้องครูเฒ่า
“โป๊ะเชะ”
ครูเฒ่าเอามือรับไว้ แค่ไม่ทันมีดปักลักลงไปในท้อง ครูเฒ่าทรุดลงไปกับพื้นเลือดไหลนอง เด็กรับใช้ร้องไห้ รีบวิ่งเข้าไปประคอง
“ไม่รู้ๆ ผมไม่รู้เรื่องนะ พวกนี้เขาบังคับผมมา...เขา...”
ครูเฒ่าพยักหน้าเข้าใจ และทำท่าปราบว่าไม่ต้องพูดแล้ว ภูสินทรมองเห็นครูเฒ่าทรุด ตกใจ รีบตรงเข้าไปจะจัดการกับโกศิน ทันใดนั้นราชิดก็ถือปืนโผล่ออกมาจากมุมมืด
“สวัสดีทุกคน ไม่ได้เจอกันตั้งนานสบายดีนะ”
“ท่าทางพระครูจะไม่สบายเท่าไหร่”
“ไอ้...ไอ้พวกสารเลว”
“ไม่มีคำทักทายที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ คุณเมืองเทพ ไม่ใช่สิ ราชองครักษ์ภูสินทร”
“แก...ไอ้ราชิด”
“พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”
“พวกแกทำพระครูทำไม”
“พาข้าไปหาจัตุรัสเดียวนี้”
“ไม่”
“อย่าอวดเก่งไปหน่อยเลย รู้จักไอ้นี่ไหม” ราชิดขึ้นไกปืน “นัดเดียว ครั้งเดียว โลกนี้ก็จะไม่มีคนชื่อภูสินทรอีกต่อไปหรืออยากจะลอง”
“อย่า...ไป...บอกมัน...”
“ไอ้ครูแก่ เอาตัวเองให้รอดก่อนดีไหม”
ภูสินทรมองครูเฒ่าด้วยความเป็นห่วง
“ครู ไหวไหม” ครูเฒ่าไม่ตอบ แน่นิ่งไป เด็กรับใช้ร้องไห้โฮ
“จะเอายังไง ข้าคิดถึงจัตุรัสเพื่อนรักของข้าเหลือเกินแล้ว”
“เสียเวลาคุยกับมันทำไมเล่า เก็บมันเลยสิ”
ราชิดหันมามองหน้าโกศินให้หยุดพูด เป็นเชิงบอกให้เงียบเดี๋ยวจัดการเอง
“ถ้าแกยอมพาข้าไปหาจัตุรัส ข้าก็จะยอมให้พาไอ้แก่นี่ไปทำแผล หรือจะให้มันเสียเลือดตายตรงนี้ก็ตามใจ”
ภูสินทรลังเล มองครูเฒ่าที่สลบไปไม่ได้สติแล้ว เลือดไหลนอง ราชิดและโกศินมองมา ยิ้มเหี้ยมเกรียม สะใจ ค่อยๆ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

ในป่า จ้าวซันกระโจนออกไปต่อสู้กับทหารคีรีรัฐสองคนด้วยมือเปล่า ทหารทั้งสองเข้ามารุมจ้าวซัน ทั้งสามคนต่อสู้ด้วยมวยคีรีรัฐ จ้าวซันมีฝีมือเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ทหารคนหนึ่งถูกถีบกระเด็นล้มไปอีกทาง ทหารคนนั้นล้วงเอามีดสั้นออกมา หมายตรงเข้าไปหาจ้าวซัน บราลีเห็น
“ระวัง ข้างหลัง”
ทหารที่ถือมีดหันกลับมาเห็นบราลีจึงตัดสินใจเปลี่ยนเป้าหมาย เดินถือมีดตรงมาทางบราลี บราลีหันรีหันขวาง เหลือบไปเห็นกิ่งไม้ข้างตัวรีบหยิบเอามา ตั้งท่าเตรียมพร้อม จ้าวซันยังต่อสู้ติดพัน แต่เป็นห่วงบราลี คอยหันมองมาเป็นพักๆ บราลีใช้กิ่งไม้ฟาดไปมา ท่าทางเหมือนที่จ้าวซันทำ บราลีใช้กิ่งไม้ฟาดไปที่มือทหารคนนั้นอย่างแรง จนมีดหลุดจากมือตกไปที่พื้น ทหารโกรธรีบพุ่งเข้าไปจะจัดการกับบราลี บราลีกลัว ทำท่าจะปล่อยกิ่งไม้แล้ววิ่งหนีเหมือนเคย
“ถือไม้ไว้ให้แน่น ไม่ต้องกลัว” จ้าวซันตะโกนบอก
บราลีฮึดสู้ ใช้ไม้กวัดแกว่งป้องกันตัว จ้าวซันได้โอกาสต่อยไปที่ท้องทหารอีกคนจนตัวงอแล้วเตะกระเด็นล้มคว่ำไปอีกทาง จ้าวซันรีบวิ่งมาช่วยบราลี ตรงเข้ามมาล็อคคอทหารจากทางด้านหลัง จับบิดแขน แล้วกดให้หน้าแนบลงกับพื้น
“ใครใช้ให้พวกเจ้ามาที่นี่”
“ไม่บอก”
“พลุสัญญาณนั่นคืออะไร”
“ไม่รู้”
ทหารอีกคนที่โดนเตะกระเด็นไปล้วงเอามีดออกมา วิ่งพุ่งตรงมายังจ้าวซัน
“ตายซะเถอะ”
บราลีเห็น รีบพุ่งกิ่งไม้ที่อยู่ในมือไปโดนตาทหาร ทหารดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด บราลียกมือไหว้ รู้สึกผิดบาป
“ขอโทษ”
จ้าวซันหันหลังไปมอง ทหารอีกคนได้โอกาสใช้มืออีกข้างเอื้อมไปหยิบมีดที่ตกอยู่ข้างตัว แล้วเงื้อขึ้นมาจะแทงจ้าวซัน จ้าวซันแย่งมีดมาได้ แล้วจับคอเสื้อทหารขึ้นมาแล้วพลักหงายหลังไปทางเดียวกับทหารที่นอนอยู่
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่ ถ้าไม่บอกตาย”
จ้าวซันยื่นมีดไปข้างหน้าเพื่อเป็นการขู่
ทหารลังเล หันซ้ายหันขวา คว้าเอามีดที่อยู่ในมือทหารอีกคนขึ้นมา ยื่นไปทางจ้าวซัน ทั้งคู่จ้องหน้ากันสักพัก จ้าวซันย่างเท้าเข้าไปประชิดขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นทหารก็ตัดสินใจใช้มีดปาดคอเพื่อนของตน แล้วเอามีดปักท้องตัวเองตาย
“เฮ้ย”
บราลีเอามือปิดหน้าไม่กล้ามอง จ้าวซันช็อก

ขณะนั้นศิขรนโรดมยืนเหม่อเศร้าอยู่กลางสวน ด้านหลังในส่วนของตำหนักในมีทหารยามเดินตรวจการณ์อยู่
สักพักมีทหารชุดดำสองคนบุกเข้ามา กระโดดข้ามรั้วเตี้ยๆ แล้วใช้มีดปาดคอทหารยามทั้งสองคนล้มลงทันที ไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง
ทหารชุดดำพยักเพยิดกันให้ออกไปที่สวน ทั้งคู่พากันออกไป ทหารชุดดำเห็นศิขรนโรดมยืนอยู่ที่ศาลา ทั้งคู่พยักหน้า แล้วลอบมาทางด้านหลัง ศิขรนโรดมมัวแต่เศร้า ไม่รู้ตัวว่ามีคนเดินมาข้างหลัง

จ้าวซันกับบราลีวิ่งมาที่อาศรมครูเฒ่า บรรยากาศดูเงียบและมืดผิดปกติ จ้าวซันรีบผลักประตูเข้ามาในบ้าน ตามด้วยบราลี ภายในห้องว่างเปล่าไม่เห็นใคร
“ไม่ได้การล่ะ”
“ทำไม เกิดอะไรขึ้น แล้ว...”
สักพักทั้งคู่ได้ยินเสียงเด็กสะอื้นดังมาจากภายในห้องครัว จ้าวซันกับบราลีรีบหันไปมองทางต้นเสียง แล้วรีบวิ่งไป
“ทางนี้”
จ้าวซันผลักประตูให้เปิดออกแล้วทั้งคู่ก็เห็นเด็กรับใช้นั่งขดตัวร้องไห้ตัวสั่นอยู่มุมห้อง จ้าวซันตรงเข้าไปลากตัวเด็กรับใช้ออกมา
“พระครูหายไปไหน” จ้าวซันสังเกตเห็นว่าเสื้อผ้าเด็กรับใช้มีเลือดเปื้อนเป็นทาง “เกิดอะไรขึ้น”
เด็กรับใช้ยิ่งร้องไห้ไม่หยุด
“มีอะไร เลิกร้องได้แล้ว รีบๆ เล่ามาสิ เร็ว”
เด็กรับใช้กลัวลนลาน ร้องไห้หนักกว่าเก่า บราลีกับจ้าวซันมองหน้ากัน สีหน้าวิตกกังวลสุดชีวิต

ศิขรนโรดมยังคงยืนเหม่อเศร้าอยู่ที่ศาลา ถอนหายใจ ทหารชุดดำควักมีดออกมา ความเงาของมีดสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายชะแว่บ เดินเข้ามายืนที่ด้านหลังของศิขรนโรดมพร้อมจะสังหาร แต่ทันใด มิถิลาที่ถือถาดยาสำหรับพระเทวีสิริวารตีผ่านมาเห็นพอดี
“องค์ชาย”
พร้อมกันกับเสียงเรียก มิถิลาก็ควักปิ่นปักผมของตัวเองเขวี้ยงพุ่งตรงไปที่ศิขรนโรดม ในชั่ววินาทีนั้นศิขรนโรดมเอี้ยวตัวหลบ ปิ่นนั้นปักหน้าอกทหารชุดดำทันที...ฉึก!
“อ้าก”
แม้จะเจ็บแต่ทหารยังเงื้อมีดจะแทง แต่ศิขรนโรดมไหวตัวทัน ก้มตัวเตะกวาด จนทหารคว่ำ ศิขรนโรดมกระโจนออกมาตั้งหลัก ทหารชุดดำอีกคนโดดเข้ามาจะสังหาร ศิขรนโรดมหลบได้หวุดหวิด
ทหารชุดดำดึงปิ่นปักผมทิ้ง แล้วจะเข้าเล่นงานศิขรนโรดม แต่มิถิลาถกผ้านุ่งวิ่งเข้ามาโดดถีบทหารเต็มๆกระเด็นไปไกล มีดหล่นหายไป
“แหม นี่ขนาดไม่ค่อยสะดวกนะ”
ทหารแค้น พุ่งเข้ามาบู๊กับมิถิลา ตะบี้ตะบันอัดๆๆ ไม่ยั้ง มิถิลาได้แต่ตั้งการ์ดกัน ศิขรนโรดมเล่นงานทหารจนล้มเสียท่าไป ศิขรนโรดมกำลังจะโดดเข้าซ้ำ แต่ทหารพลิกตัว แล้วกระโดดหลบหนีไปอย่างว่องไว
ในขณะที่มิถิลากำลังเสียท่า ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่ตั้งรับ ศิขรนโรดมเข้ามาช่วยบู๊และจบลงที่ศิขรนโรดมคว้าแขนทหารจับบิดแขนแล้วกดลงกับพื้นอยู่รวดเร็ว ศิขรนโรดมกระชากผ้าคลุมหน้าออกเค้นความจริง
“เจ้า...ทหารคีรีรัฐนี่ ใครส่งเจ้ามา”
ทหารอึกอัก ไม่อยากบอก แต่ก็กลัวตาย
“ข้า...คือ...”
ยังไม่ทันจะพูดอะไร จู่ๆ มีเสียง ซึ่บ! มีมีดพุ่งมาปักตัดขั้วหัวใจทหารตาเหลือกแล้วแน่นิ่งไปทันที มิถิลาหันมองไปยังทิศที่มาจองมีด
“มันอยู่นั่น”
มิถิลาวิ่งตาม แต่มือมีดหายไปอย่างรวดเร็ว มิถิลาหันกลับมาหาศิขรนโรดม
“องค์ชาย”
ศิขรนโรดม กำลังตรวจชีพจรทหารอยู่
“สิ้นใจแล้ว”
ศิขรนโรดมเซ็ง ที่เสียพยานไป
“พวกมันเป็นใครกัน”
“มันใช้ทหารของคีรีรัฐ จะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก...”
มิถิลาอึ้ง รู้ตัวว่าหมายถึงพ่อตนเอง
“พ่อ”
ศิขรนโรดมเป็นกังวลขึ้นมา ห่วงพ่อและแม่ตัวเอง จึงรีบวิ่งไป

ที่อาศรมครูเฒ่า เด็กรับใช้วิ่งนำจ้าวซันกับบราลีมาตามทางในป่า จนกระทั่งพบครูเฒ่าถูกทิ้งนอนจมกองเลือดอยู่บนก้อนหินข้างทาง สีหน้าซีดมาก ใกล้ตายสุดๆ
“ท่านครู”
จ้าวซันรีบไปดูแล ประคองครูเฒ่าขึ้นมา พบว่ามือครูเฒ่าที่ปิดบาดแผลอยู่ โชกเลือด จ้าวซันจึงรีบช่วยกดจุดเพื่อห้ามเลือด กดช่วงใต้อก
“อดทนหน่อยนะท่านครู” จ้าวซันกดนิ่งอยู่อย่างนั้น เลือดเริ่มไหลช้าลง บราลีครองสติได้สั่งเด็กรับใช้
“เธอไปเอาน้ำดื่ม กับผ้าสะอาดมาให้คุณชาย ด่วนเลย ไป” เด็กรับใช้รีบวิ่งออกไป “คุณชาย เดี๋ยวชั้นจะไปตามหมอมาให้”
แต่บราลียังไม่ทันไป ภูสินทรก็เข้ามาพร้อมหมอ
“หมอมาแล้ว”
หมอหลวงรีบเข้าดูแลอาการครูเฒ่า
“องค์ชาย...ไม่เป็นไร...ไม่ต้องทรงห่วงกระหม่อม”
จ้าวซันสงบ มีสติ ไม่ฟูมฟาย
“ไม่ ท่านครูห้ามถอดใจ..เราต้องอยู่ช่วยกันปราบกบฏเสียก่อน เข้าใจมั้ย นี่เป็นคำสั่ง” ครูเฒ่าหายใจรวยริน
“อยู่นิ่ง ไม่ต้องตกใจ ผมไม่ยอมให้พระครูทิ้งผมไปเด็ดขาด”

ศิขรนโรดมวิ่งพรวดเข้ามาภายในห้องบรรทมของพระเทวีสิริวารตี
“เสด็จแม่”
พระเทวีสิริวารตีกำลังเอนหลังให้แม่นมนวดอยู่ถึงกับตกใจ
“ศิขร ลูกเข้ามาทำไม”
ศิขรนโรดมมองสำรวจความปลอดภัยรอบๆ ห้อง โดยมีมิถิลาที่ตามเข้ามาช่วยด้วย
“เสด็จแม่ นี้มีผู้ไม่ประสงค์ดีลอบเข้ามาภายในวังชั้นใน ลูกเป็นห่วงเลยรีบร้อนเข้ามา”
“มีคนร้ายรึ”
“พะย่ะค่ะ ลูกเพิ่งปะทะกับมันเมื่อสักครู่ แล้วเสด็จพ่อทรงอยู่ที่ไหนเวลานี้”
พระเทวีสิริวารตี ศิขรนโรดมเป็นห่วงมาทยาธรทันที

ศิขรนโรดม มิถิลา พระเทวีสิริวารตี แม่นมรีบร้อนเข้ามาที่บริเวณศาลาชมสวน แต่กลับไม่พบตัวมาทยาธรเลย ทั้งหมดแยกย้ายกันหา แล้วก็กลับมารวมกันว่าไม่เจอ มีกาน้ำชาชุดเครื่องดื่มวางอยู่ ให้รู้ว่าเจ้าหลวงมาทยาธรมาที่นี่ แต่ตัวไม่อยู่
“ชุดเครื่องเสวยก็ยังอยู่ พระองค์ทรงมาเอนหลังที่นี่แน่”
“แล้วเสด็จพี่หายไปไหน”
“ทหารรักษาพระองค์หายไปไหนกันหมด หรือว่ามันจะแปรพักตร์กันไปหมดแล้ว ถ้าเช่นนั้น ฝ่าบาทคงโดนอุ้มพระองค์ไปเป็นตัวประกันอย่างวันนั้นอีก”
ทันใดศิขรนโรดมเห็นเงาชายคนนึงแว่บผ่านไปที่ด้านหนึ่ง
“นั่นใคร”
ไวเท่าความคิด ศิขรนโรดมวิ่งพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ชายคนนั้นไม่ได้หนี แต่กลับโผล่หน้าออกมาประจันกันกับศิขรนโรดมเลย ซึ่งชายคนนั้นก็คืออสุนี
“อสุนี”
มิถิลาคาดไม่ถึง ตะลึง
“ท่านพี่”
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ หรือว่าเป็นพวกเดียวกันกับบิดา จับตัวเสด็จพ่อไปแบบเดียวกับไอ้จัตุรัส นายเป็นกบฏต่อคีรีรัฐ”
“องค์ชาย รับสั่งอย่างนี้กับสหายที่ร่วมฝึกวิชาด้วยกันมาแต่เด็กหรือ พระองค์ทรงไม่รู้จักข้า ลึกๆ แล้วทรงไม่เคยไว้ใจข้าเลย คิดว่าข้าจะคิดร้ายต่อราชบัลลังก์เหมือนพ่อตลอดเวลา”
“แล้วเจ้าเข้ามาทำไมที่นี่”
“มาช่วยเจ้าหลวง”
“โกหก” ศิขรนโรดมกระชากคอเสื้ออสุนี “บอกความจริงมา”
อสุนียังไม่ทันเอ่ยปากอะไร อยู่ๆ มาทยาธรก็เข็นรถเข็นออกมา
“พอได้แล้วศิขร”
“เจ้าพี่ ทรงเป็นอย่างไรบ้าง หม่อมฉันขอพระราชทานอภัย ที่ไม่ได้ถวายรับใช้ให้ดีพอ”
“สิริวารตี ไม่ใช่ความผิดของน้อง” มาทยาธรบอกเสียงแหบเครือ “อสุนี มาแจ้งพ่อว่าพวกกบฏกำลังเริ่มปฏิบัติการแล้ว เขาเลยมาช่วยพ่อ..ไม่ให้...ถูกเอาตัวไป”
ศิขรนโรดมและทุกคนอึ้งที่เข้าใจอสุนีผิด ทันใดนั้นมีทหารชุดดำอีก 3-4 คนกระโจนโผล่เข้ามา หนึ่งในนั้นกระโจนเข้ามาหมายจะสังหารมาทยาธร อสุนีโดดเข้าปกป้อง รับดาบแทน อัดทหารนั้นกระเด็นไป แม่นมร้องกรี๊ด
“หลบเข้าไปในวังก่อน”
มิถิลาช่วยกันดูแลทุกคนให้กลับเข้าไปด้านในวัง ศิขรนโรดม อสุนีหันไป ร่วมสู้ผู้ร้าย

มิถิลาประกบพระเทวีสิริวารตีและแม่นมเข็นรถให้มาทยาธร ถอยหนีร่นกันเข้ามาด้านใน
“นี่มันกรรมตามสนองใช่มั้ย กรรมตามสนองชั้นแล้วใช่มั้ย พีริยเทพ แกคงกำลังสะใจที่ชั้นต้องตกในสภาพนี้ใช่มั้ย”
แต่แล้วมีทหารคนนึงโดดมาขวางหน้า พระเทวีสิริวารตี แม่นมร้องด้วยความตกใจ
“พระเทวี”
มิถิลาโดดเข้าสู้ รับดาบแทน แล้วจัดการทหารนั้นคว่ำไป แม่นมถึงกับตะลึง
“มิถิลา นี่เจ้า ไปฝึกหัดวิชาหมัดมวยมาจากไหน”
มิถิลายังไม่ทันได้อธิบายอะไร ศิขรนโรดม อสุนีก็วิ่งตามเข้ามาสมทบ
“หลบเข้าไปในท้องพระโรงก่อนเถอะพะย่ะค่ะ”
“เจ้าแม่ รีบไปพะย่ะค่ะ”
ทหารอีก 3-4 นายตามหลังมา แล้วก็มีทหารมาดักหน้า มีทหารโดดเข้ามาทางหน้าต่างล้อมหน้าหลังทุกด้านเอาไว้หมด ศิขรนโรดม อสุนีช่วยกันจัดการกับทหารเพื่อเปิดทางให้ทั้งหมดหลบเข้าไปในท้องพระโรง
ทั้งหมดช่วยกันปิดประตูทุกทางให้แน่นหนา หอบแฮ่ก พวกทหารที่มีแต่ดาบ เข้าไปไม่ได้ เซ็ง กลับกันไป

ที่ผาห่มดอก จัตุรัสในสภาพโชกเลือด อ่อนระโหยสุดๆ เนื้อตัวมีบาดแผลเต็ม ยืนห้อยหมดแรงใกล้ตาย แล้วอยู่ๆ มีเสียงต่อสู้ดังมา จัตุรัสหรี่ตา รับรู้ แต่แล้วทหารที่รักษาการณ์ถูกถีบกระเด็นล้มคว่ำไปตรงหน้า จัตุรัสค่อยๆ โงหัวลืมตา ยิ้มมุมปาก
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าพวกท่านต้องมา”
จัตุรัสมองมาตรงหน้า ราชิดกับโกศินยืนอยู่
“ไอ้จ้าวซัน มันทำกับเจ้าอย่างนี้ ถึงเวลาที่เราต้องเอาคืน จะไม่มีความปรานีให้พวกมันเด็ดขาด”

ในถ้ำกลางป่า มีต้นไม้รกครึ้มแทบจะปกปิดทางเข้าเอาไว้สนิท หมอหลวงกำลังทำแผลให้ครูเฒ่า
“ท่านพระครูปลอดภัยแล้ว แต่อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานสักหน่อย เพราะอายุไม่ใช่น้อยแล้ว” หมอหลวงบอก
“ถ้าเช่นนั้นพระครูก็พักฟื้นอยู่ที่นี่ จะไม่มีใครตามเจอได้”
“แล้วองค์ชายล่ะ”
“เราจะไปช่วยศิขร พวกมันต้องบุกเข้าไปในวังแล้วแน่ๆ เราจะช้าไม่ได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร”
“แต่เราก็ไม่ควรรีบร้อนจนกลายเป็นประมาท”
“ชั้นรู้ ทุกอย่างเวลานี้เกิดขึ้นเพราะความประมาทของชั้นเอง ทั้งๆ ที่เราเป็นฝ่ายรุกและกำลังคุมเกมได้ แต่สุดท้าย เรากลายเป็นฝ่ายตั้งรับ ชั้นคิดว่าคุมทุกอย่างได้ แต่จริงๆ ไม่ได้เลย แล้วชั้นยังทำให้ศิขรต้องมีอันตรายไปด้วย”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 (ต่อ)

จ้าวซันเครียด เริ่มสติหลุด แต่บราลีกลับเข้มแข็ง แน่วแน่ และช่วยเตือนสติ
“ไม่จริงค่ะ เจ้าพี่ไม่ได้นำความเดือดร้อนมาสู่องค์ชายศิขรนโรดม แต่องค์ชายต่างหากที่ดึงพี่มาเจออันตราย เจ้าพี่จะอยู่สุขสบายเป็นคุณชายจ้าวซันอย่างยิ่งใหญ่ต่อไปก็ได้ แต่พี่ก็เลือกมาที่นี่ เพื่อช่วยเจ้าน้องปราบกบฏเพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เจ้าพี่ก็ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว”
“ขอบใจนะม่านฟ้า”
“หม่อมฉันทราบว่าปัญหาครั้งนี้ ไม่ง่ายเลย เราทุกคนพร้อมจะตายได้ทุกขณะ แต่ปัญหาอย่างนี้แหละที่เหมาะกับคุณชายจ้าวซัน เพราะถ้าเป็นอะไรง่ายๆ ใครๆ ก็แก้ปัญหาได้ จะไปท้าทายอะไรคุณชายจ้าวซันล่ะคะ น้องเชื่อว่าพี่จะหาทางออกได้”
“ม่านฟ้า เจ้าช่างเหมือนกับพ่อและแม่ของเจ้าไม่มีผิด” ภูสินทรบอก
“หากถึงเวลา หม่อมฉันก็พร้อมสละชีพตนเองเพื่อปกป้ององค์ชายเหมือนที่พ่อแม่ของหม่อมฉันได้เคยทำ”
จ้าวซันทึ่ง ซึ้ง ห่วงใยสุดหัวใจ
“บราลี”
บราลีแน่วแน่เด็ดขาดสุดๆ

ส่วนที่ฮ่องกง ผิงอันขว้างบอลเล็กๆ อยู่ที่สนามโดยมีลูกหมาน่ารักตัวเล็ก วิ่งไล่ลูกบอลไป ผิงอันวิ่งตามไป แล้วแย่งบอลกันสนุกสนาน ในที่สุดก็ลงไปนอนที่สนาม ให้ลูกหมามานัว เลีย กอดกัน กลิ้งไปมาในสนาม
“นี่มันอะไรกันเนี่ย” ผิงอันชะงัก หันไป เหม่ยอิงยืนหน้าเครียดอยู่ “ลูกหมาอะไร เอามาจากไหน ใครอนุญาต”
ผิงอันลุกขึ้น อุ้มหมาติดมาด้วย
“หมาของหนู หนูซื้อมา หนูอนุญาต”
“เธอจะต้องไปเมืองนอกเร็วๆ นี้ ถ้าเธอไป แล้วใครจะเลี้ยง”
“หนูไม่ไป”
“อะไรนะ”
“หนูไม่ไปเมืองนอก”
“นี่ อย่ามาเหลวไหลนะผิงอัน เธอเองที่เป็นคนอยากไป เธอเองที่อ้อนพี่ชายใหญ่มาตลอดว่าเธออยากไปไม่ใช่เหรอ แล้วตอนนี้ชั้นก็สนับสุนนเธอขนาดนี้ เธอจะมาพูดแบบนี้ได้ไง”
“หนูบอกแล้วว่าหนูจะรอพี่ชายใหญ่ก่อน พี่ชายใหญ่จะต้องเป็นคนเลือกโรงเรียน เลือกเมืองที่จะอยู่ แล้วก็บินไปกับหนู ส่งหนูถึงในโรงเรียน ไม่งั้น หนูไม่ไป”
“ทำไมต้องพี่ชายใหญ่ พี่ชายใหญ่ยุ่งมาก ชั้นติดต่อยังไม่ได้เลย แล้วทำไมเขาต้องรีบกลับมา เพื่อเรื่องงี่เง่าของแก”
“เพราะพี่ใหญ่รักหนูไง เรื่องเรียนของหนูไม่ใช่เรื่องงี่เง่าสำหรับพี่ชายใหญ่ แต่พี่เหม่ยอิงอยากจะส่งหนูไปเพื่อให้หนูไปให้พ้นๆ จะได้ไม่ต้องมาคอยกีดหน้า ขวางตาพี่ พี่อยากจะกำจัดหนูไป จะได้ไม่มีคนมาเป็นอุปสรรค เวลาพี่อยากจะทำอะไรที่มันไม่ดีตามใจชอบของพี่ ใช่ไหมล่ะ” ผิงอันพูดใส่หน้าอย่างไร้ความเกรงกลัว แล้วสะบัดหนีไป
“ผิงอัน”
เหม่ยอิงรีบตาม

ผิงอันเดินเร็วๆ หนี เหม่ยอิงตามมาอย่างเร็ว
“ซายหมุย หยุดเดี๋ยวนี้นะ เด็กบ้า แกต้องขอโทษชั้นเดี๋ยวนี้”
ผิงอันทำหน้าเอือมระอา หยุด ก้มลงปล่อยหมา แล้วหันมา
“ขอโทษ”
“แก”
“อ้าว...ก็พี่บอกให้ขอโทษ หนูก็ขอโทษแล้ว พี่ยังไม่พอใจอีกเหรอคะ จะเอาอะไรอีก”
“นังนี่! แกจะลองดีกะชั้นใช่ไหม” เหม่ยอิงเงื้อมือตบหน้าผิงอัน
ผิงอันมองอยู่ ใช้มือรับการตบของเหม่ยอิงโดยการรอรับทันแล้วบีบข้อมือไว้แน่น เหม่ยอิงผงะ พยายามยื้อ จะกระชากมือกลับแต่ผิงอันจับไว้แน่นจนเหม่ยอิงดึงกลับก็ไม่ได้ เหม่ยอิงยกอีกมือจะกระชาก ผิงอันรออยู่พอดี แล้วจับไว้อีกมือ เหม่ยอิงพยายามจะดึงมือออก ผิงอันแรงมากกว่า จับไม่ปล่อย
“อ๊าย นังผิงอัน แกกล้าสู้ชั้นหรือ”
“หนูไม่ได้สู้ หนูแค่ป้องกันตัว”
“ปล่อย”
“ถ้าหนูปล่อย แล้วพี่จะตีหนูไหมล่ะ”
“ชั้นบอกให้ปล่อย”
พอดีอาม่าวิ่งมาเห็นก็ตกใจ
“อะไรกันคะ คุณหนูใหญ่ ซายหมุย อะไรกัน”
ผิงอันได้ที รีบปล่อย แล้ววิ่งไปหลบหลังอาม่า
“ม่า ช่วยหนูด้วย”
“คุณหนูใหญ่ จะทำอะไรน้องคะ”
เหม่ยอิงเจ็บข้อมือทั้งสอง ที่โดนผิงอันบีบอย่างแรง
“ชั้นน่ะเหรอ ทำมัน มันตังหาก ที่ทำชั้น อาม่าก็เหมือนทุกคน เห็นอีเด็กนี่เป็นเทวดา ตามใจมันโอ๋มัน แล้วมาเห็นชั้นเป็นปีศาจ มีอะไรก็เข้าข้างมันตลอด”
“อาม่าก็ถามเฉยๆ”
“แต่คำถามมันส่อ ว่าในสายตาอาม่า มันน่าสงสาร โดนชั้นรังแก ใช่ไหมล่ะ ตั้งแต่เล็กๆ เลย ทุกคนเอาแต่รุมรักเอ็นดูมัน ไม่เคยมีใครสนใจชั้นเลย”
“อ้าว...”
“ดี เชิญรักกันให้ตามสบายเลย ให้มันเสียผู้เสียคนไปเลย ชั้นจะตัดเงินเดือนทุกคน ค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมด เก่งได้เก่งไป อยากจะรู้นักว่าถ้าไม่มีเงินจะผลาญได้เหมือนเดิม แล้วยังจะเก่งกันต่อไปได้แค่ไหน”
“พี่ก็ดีแต่ใช้อำนาจ ใช้เงินมาเป็นเงื่อนไข เอาเลย จะทำอะไรก็ทำ ไม่มีเงิน หนูก็จะออกไปหางานทำเลี้ยงแม่สี่ เลี้ยงอาม่าเองก็ได้ ไม่เห็นจะง้อ”
“ดี แล้วชั้นจะคอยดู”
เหม่ยอิงสะบัดไป ผิงอันทำหน้าเชอะใส่ อาม่าหนักใจ

วันต่อมาที่คีรีรัฐ ศิขรนโรดมกับอสุนีเอาดาบ ปืนยาวและปืนสั้น กระสุน ทุกอย่างที่มีมาแจกกันกับทหาร มิถิลาใส่ชุดแบบนักรบชาย เลือกดาบมาทดลองน้ำหนัก ท่าทางคล่องและคุ้นเคยพอตัว
“เธอดูเป็นทหารมืออาชีพมาก”
“หม่อมฉันเป็นลูกทหาร เป็นน้องทหาร และคิดว่าตนเองเป็นทหารเสมอพะย่ะค่ะ”
อสุนีเอาปืนสั้นเหน็บตัว มือถือดาบสองมือ
“คำว่าทหาร สำหรับเราสองพี่น้อง ความหมายก็คือผู้ปกป้องราชบัลลังก์ ดังนั้นศัตรูทุกคนของพระราชาก็คือศัตรูของเราเช่นกัน”
“เธอสองคนแน่ใจนะว่าทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น”
“ไม่มีข้อยกเว้นพะย่ะค่ะ”
“อย่างมากก็ขอสละชีพ เท่านั้นเอง”
พระเทวีสิริวารตีเดินออกมา หน้าตาเครียด
“เจ้าแม่ มีอะไร”
“เจ้าหลวง ทรงได้สติแล้ว อยากจะพบทุกคน รวมทั้งบรรดาทหารด้วย” ทุกคนอึ้ง
“เชิญทุกคน ด้านนี้”
แม่นมบอกแล้วเปิดม่าน เห็นเจ้าหลวงมาทยาธรนอนบนเตียงเล็กๆ เอาหมอนรองหลังให้สูงจนเกือบเป็นนั่ง
ทุกคนวางอาวุธ ลงกราบ
“ศิขรนโรดมลูกรัก พ่อขอโทษ ทหารทุกคน เราขอโทษ ที่ทำให้ทุกคนต้องมาลำบากในวันนี้”
“พวกเราไม่ได้ลำบากอะไร พวกเราเต็มใจพะย่ะค่ะ”
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าหลวง แต่เป็นความผิดของพ่อข้าเอง”
“เป็นความผิดของข้าสิที่หลงผิด ไว้ใจคนผิด ที่สำคัญความโง่งมของข้าเอง ที่ทำให้พ่อเจ้าต้องตกเป็นเหยื่อของความมักใหญ่ใฝ่สูง ข้ามันตัวต้นเหตุ ความโลภ ความหลงของข้า ที่เป็นเชื้อไฟ จุดให้พ่อเจ้า รวมทั้งโกศิณและจตุรัสเป็นลูกเพลิงที่ลุกไหม้ กำลังจะเผาคีรีรัฐของเรา กว่าข้าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว”
“ยังไม่สายพะย่ะค่ะ พวกเราจะช่วยกันดับไฟนั้น”
“เจ้าหลวงวางพระทัย พวกเราก็ไม่ได้มีจำนวนน้อยกว่าพวกมันเลย”
ทันใดมีเสียงเอะอะภายนอก ทุกคนหันไป ทหารพวกราชิดกรูกันเข้ามา ทหารพวกศิขรนโรดมกรูออกไป ทั้งสองต่างจ้องปืน ชูอาวุธใส่กัน
ราชิดก้าวออกมาอย่างสง่า
“พวกที่หลงผิด คิดจะเป็นฝ่ายชนะ ด้วยการไปเข้าข้างคนผิดก็ออกมามอบตัวซะ ข้าจะไม่ขอพูดว่าเกิดอะไรขึ้นในวัง แต่ขอบอกว่าพระราชบัลลังก์ของเรากำลังจะล่มแล้ว เพราะคนพวกนี้ขี้โกง ไม่มีตราพระราชลัญจกรประพระราชวงศ์ ไม่มีสิทธิ์จะครองราชย์บัลลังก์ การกระทำที่ครอบงำคีรีรัฐอยู่ในทุกวันนี้ ก็คือการหลอกลวงพวกเราทุกคน”
ทุกคนเงียบ ตะลึงไปหมด “โดยเฉพาะ ลูกๆ ของข้า อสุนีและมิถิลา เจ้าสองคน พวกเจ้าอย่าส่งเสริมคนที่ทำผิดกฎมณเฑียรบาลอีกเลย จงยอมรับความจริง สำนึกผิด ยอมแพ้พ่อ กลับมาเข้าข้างพ่อ พ่อให้อภัยเจ้าทุกอย่าง แค่หันไป จับพวกนั้นเอาไว้ แล้วเอาตัวมาส่งพ่อในทันที แล้วเจ้าจะพ้นผิด เข้าใจไหม จับพวกมันไว้ซะ เร็ว”
พวกในวังทุกคน แม้แต่ทหาร หันมามองอสุนี มิถิลาเป็นตาเดียว ทั้งสองอึ้ง ซีด เหงื่อแตก

มิถิลาเดินหน้าซีดออกมา อสุนีตามมา
“มิถิลา เป็นอะไร”
“ไม่คิดเลย ข้าไม่คิดเลย ว่าพ่อจะใช้วิธีนี้พ่อทำแบบนี้ เท่ากับพ่อฆ่าเราแท้ๆ นะพี่”
“พ่อ เป็นคนที่ฉลาดมาก พ่อกำลังยืมมือให้ทุกคนหันมารุมฆ่าเราสองคน ด้วยความหวาดระแวง พ่อคงไม่เห็นเราเป็นลูกแล้ว”
“พ่อทำเหมือนปล่อยงูพิษเข้ามาในที่ของเรา อีกไม่นาน มันจะกัดเราให้ตายทั้งสองคน”
ศิขรนโรดมเดินเข้ามา
“อสุนี มิถิลา อย่าได้หวั่นไหว ข้ารู้จักเจ้าดี ข้าจะไม่มีวันเชื่อราชิดแน่”
“แล้วคนอื่นๆ ล่ะฝ่าบาท”
“ฝ่ายของพ่อมีคนมาเข้าร่วมมากอย่างน่าตกใจ พ่อต้องบอกทุกคนเรื่องตราประจำพระราชวงศ์แน่ ชาวบ้านมากมายที่จงรักภักดีเจ้าหลวงองค์เก่า แค่พ่อพูดคำนี้ออกไป คำว่าไร้ตราประจำพระราชวงศ์ มันจะก่อความเสียหายอย่างใหญ่หลวง”
“เรื่องนี้ แก้ไขได้ง่ายมาก พวกเจ้าจะกลัวไปทำไม”
“แก้ไขได้ง่าย ง่ายยังไงเหรอเพคะ”
“ง่าย ด้วยให้เจ้าพี่ของข้าปรากฏตัวขึ้นน่ะสิ ให้พี่น่านปิงได้พบกับราษฎรทั้งหมด ทหารทั้งหมด พวกเราทั้งหมด อย่างเปิดเผย สง่างาม พร้อมตราของท่าน เท่านี้เรื่องทั้งหมดก็จบ จบลงได้ด้วยดีและถูกต้องชอบธรรมด้วยสิ”
มิถิลา อสุนีสบตากัน หน้าซีดกว่าเดิม

ที่มุมหนึ่งของตำหนัก อยู่ราชิดก็หน้ามืดทรุดลง โกศินรีบเข้ามาประคอง
“ท่านราชิด ท่านเป็นยังไงบ้าง”
“เปล่าๆ ไม่เป็นอะไร”
“ไม่น่าเชื่อ ว่าคนอย่างท่านราชิดจะเป็นเหมือนต้นไผ่ ตายเพราะลูก”
“อะไรนะ”
“พวกท่านลืมแล้วหรือ ปกติ ต้นไผ่ มันจะไม่ออกดอก ออกผลอะไร แต่เมื่อใดที่มันเกิดดอก แล้วกลายเป็นเมล็ดตกรวงอย่างข้าว มันจะพากันยืนต้นตายทั้งกอ หวังว่าลูกของท่านคงไม่ทำให้พวกเรากลายเป็นป่าไผ่ที่ตายทั้งป่านะ” จัตุรัสบอก
“ไม่หรอก ไม่มีวันจะเป็นอย่างนั้น มันทรยศข้า พวกมันต่างหากที่ต้องตาย”
“ท่านทำกับลูกลงหรือท่าน”
“พวกมันยังทำกะข้าลง ข้าก็จะทำกะพวกมันลงเช่นกัน ความจริงข้าทำทุกอย่างเพื่อลูก แต่ถ้าพวกมันไม่ต้องการข้าก็ขอทำเพื่อตัวเอง”
“ท่านยอมตัดพ่อตัดลูกกับอสุนีและมิถิลาหรือ”
“ท่านโกศิน ท่านก็รู้ว่าข้าตัดขาดพวกมันนานแล้ว สายเลือดไม่มีความหมายอะไร สำหรับคนที่ทำให้ข้าเสียใจอย่างถึงที่สุด”

ราชิดบอกอย่างเจ็บปวด โกศินกับจัตุรัสมอง ไม่อยากเชื่อ

อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง ฉินเจียงยังติดคุกอยู่ ฉินเจียงอยู่ในห้องสมุดของคุกกำลังนั่งอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ “คีรีรัฐ ” ที่เป็นภาษาอังกฤษ
รูปภาพในหนังสือ เหมือนรูปภาพที่เอามาใช้จัดนิทรรศการ รูปเด่นอีกรูปคือจัตุรัส ราชิด โกศิน ยืนยิ้มกว้างขวางด้วยกันในชุดเครื่องแบบ
“สามทหารเสือ...ของเจ้าหลวงองค์ปัจจุบัน จัตุรัส ราชิด โกศิน” ฉินเจียงเงยหน้ามา คิดๆ “มิน่าล่ะ ทำไมเราถึงโง่นัก ประวัติศาสตร์คีรีรัฐ ก็คือประวัติศาสตร์ของคุณชายจ้าวนี่เอง” ฉินเจียงส่ายหัวสมเพช “พี่ชายใหญ่ ชีวิตของพี่มันก็เศร้าไม่ต่างจากผมหรอก”
ทันใด เจ้าหน้าที่มาส่องๆ ดู
“จ้าวฉินเจียง จ้างฉินเจียง เชิญ”
ฉินเจียงงงๆ เก็บหนังสือ ลุกไป
“มีอะไร ใครมาเยี่ยมอีกล่ะ บอกแล้วว่าผมไม่ต้องการ”
“มีคนมาประกันตัวคุณครับ เชิญ”
“อะไรนะ”

ฉินเจียงเดินออกมาแล้วชะงักเมื่อเห็นทนายกำลังยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ ขณะที่ซูงหลิงยืนอยู่อีกด้านด้วยท่าทางกระวนกระวาย ฉินเจียงมองท่าทางของซูหลิง ตื้นตันใจ น้ำตารื้นขึ้นมา ซูหลิงหันมาเห็น ดีใจมาก
“ฉินเจียง” ซูหลิงยิ้ม แล้วร้องไห้ ฉินเจียงเดินเข้ามากอดซูหลิง
“เหลือเธอคนเดียวแล้วหรือ ที่ยังไม่หายไปจากฉัน”
“คุณฉินเจียง กรุณามาเซ็นเอกสารก่อนครับ” เจ้าหน้าที่บอก ฉินเจียงยิ้ม อ่อนโยนลง รีบไปเซ็นชื่อ
“พี่ชายใหญ่คงไม่อยากมาเจอหน้าฉันแล้วสินะ”
ทนายบอกเสียงเบา
“คุณชายใหญ่ไปต่างประเทศ ส่งข่าวมาเป็นระยะ ว่ายังไม่กลับเพราะทำธุระสำคัญไม่เสร็จครับ”
“ธุระสำคัญ งั้นเหรอ”

ที่คีรีรัฐ ขณะนั้นจ้าวซันกำลังขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีบราลีซ้อนท้าย จ้าวซันขี่มอเตอร์ไซค์มาจอดที่ชุมทาง 3 แพร่ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ ที่มีชายฉกรรจ์มากมาย แต่งชุดธรรมดา ไม่มีอาวุธให้เห็น ทุกคนเคลื่อนไหวพรึ่บพรั่บ เมื่อจ้าวซันมาถึง
จ้าวซันจอดรถ ลงมากับบราลี ที่มีเป้หลังขนาดใหญ่ ทั้งสองถอดกันน็อคออก สุริยะ ยิ้มร่าเมื่อเห็นบราลี บราลีรีบไหว้ แล้วเข้ามากอดสุริยเ
“พ่อ พ่อก็มาด้วยหรือคะ”
“บรี ลูก...” สุริยะมองทั่วตัว “ดูลูกดำไป แล้วก็ผอม แต่ก็แข็งแรงขึ้น”
“เวลานี้ มันจำเป็นต้องแข็งแรงมากๆ นะคะพ่อ เป็นนักรบแล้วนี่คะ อ่อนแอนักเดี๋ยวจะสู้ใครไม่ไหว แล้วพ่อล่ะคะ พ่อก็ดูหนุ่มขึ้นนะคะ”
“ก็พ่อโสด ไม่มีลูกกวนตัวแล้ว เดี๋ยวจะหาสาวมาดูแลซักคน”
“ขอบคุณคุณสุริยะมาก ที่มาช่วยกัน”
“ไม่ได้ครับ ลูกผมอยู่กับเจ้า ผมก็ต้องรับใช้เจ้าด้วย เดี๋ยวลูกผมจะลำบาก”
ทุกคนหัวเราะ
“ผมประมาทเอง เคลื่อนไหวช้าไปหน่อย แล้วก็ขาดงานข่าวกรองที่ดี ก็เลยทำให้ฝ่ายตรงข้ามมันคืนชีพขึ้นมาอีก ทั้งๆ ที่ดูเหมือนเราได้เปรียบมาก่อน อันนี้ผมก็ต้องขอโทษทุกคน” ภูสินทรบอก
“เอาน่า ไม่ต้องโทษกัน เรายังมีเวลา ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่ ผมขอยืนยันว่า ผมจะกำจัดคนชั่วให้พ้นไปจากคีรีรัฐในครั้งนี้ให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็แปลว่าผมตายไปก่อนแล้ว”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
ทุกคนคุกเข่าลง ก้มหัว จ้าวซันถึงกับตื้นตัน
“ขอบคุณๆ อย่านึกว่าทำเพื่อผม แต่เราทำเพื่อคีรีรัฐของเรา. อย่าลืม ทำตามแผนของเรา เร็ว รวบรัด เรียบง่าย เงียบที่สุด อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน อย่าให้ผู้บริสุทธิ์บาดเจ็บ หรือเสียเลือดเนื้อแม้แต่คนเดียว ไปกัน”
ทุกคนพยัก จ้าวซัน บราลีใส่หมวกกันน็อค กลับขึ้นมอเตอร์ไซค์ ขี่แยกไป

ที่สวนสาธารณะเกาลูน ซูหลิงเดินถือตระกร้าปิกนิกใบเล็กๆ เข้าไปนั่งที่ม้านั่งใกล้ๆ เหม่อมองออกไป ฉินเจียงเดินถือน้ำเปล่าใส่ขวดมาให้จากที่ไกลๆ ซูหลิงหันไปมองยิ้ม
“เอานี่ น้ำ”
“อ้าว แล้วของคุณล่ะ”
“ก็กินด้วยกันไง”
ซูหลิงรับน้ำมา อมยิ้ม ฉินเจียงนั่งลงใกล้ๆ มองดูนกที่อยู่ข้างหน้า ท่าทางผ่อนคลาย ไม่วางมาดเหมือนแต่ก่อน
“ไม่นึกเลยว่าที่เกาลูนจะมีสวนแบบนี้ด้วย”
“อะไรกัน สวนนี่มีมาตั้งแต่ก่อนที่คุณจะเกิดเลยด้วยมั้ง”
“ผมมัวไปอยู่ไหนมาก็ไม่รู้เนอะ”
ซูหลิงยิ้ม ส่งแซนวิชที่เตรียมมาในกล่องให้ฉินเจียง ฉินเจียงรับมา เอาเข้าปากกัดไปคำใหญ่ ซูหลิงมองภาพนกเป็ดน้ำที่อยู่ตรงหน้า
“ดูเป็ดพวกนี้สิ”
“อยากกินเหรอ”
ซูหลิงค้อนขวับ
“ไม่เคยได้ยินนิทานที่เกี่ยวกับนกเป็ดน้ำเลยหรือไง” ฉินเจียงส่ายหน้า ทำเป็นไม่สนใจ กินแซนวิชต่อ “นกเป็ดน้ำคู่ สัญลักษณ์ของความรักเดียวใจเดียว สมัยก่อนเวลาที่ผู้ชายออกไปรบ ผู้หญิงที่เป็นภรรยาเขาก็มักจะปักหมอนรูปนกเป็ดน้ำให้ เพื่อแสดงว่า...”
ซูหลิงกำลังค่อยๆ แอบหยิบเอาพวงกุญแจที่เย็บเป็นตุ๊กตานกเป็ดน้ำตัวเล็กๆ ให้ฉินเจียง
“เหรอ แล้วทำไมไม่ปักรูปหงส์ล่ะ หงส์พวกโน้นก็รักเดียวใจเดียวไม่ยอมเปลี่ยนคู่ไปจนตายเหมือนกัน”
ซูหลิงชะงัก ชักมือกลับ ก้มหน้าสลดลงไปเล็กน้อย ฉินเจียงเหลือบเห็นนกเป็ดน้ำตัวเล็กๆ ในมือซูหลิง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้
“ไม่รู้สิ หงส์คงตัวใหญ่เกินไปมั้ง และฉันคงเป็นหงส์ไม่ไหวหรอก”
ฉินเจียงเอามือไปโอบหัวซูหลิง
“เด็กโง่ ไม่ต้องเป็นหงส์หรือเป็นนกเป็ดน้ำอะไรทั้งนั้นแหละ เป็นซูหลิงแบบนี้ผมก็จะรักคุณจนวันตายเหมือนกัน”
ฉินเจียงค่อยๆ ยื่นหน้าไปบรรจงหอมแก้มซูหลิง พวงกุญแจรูปนกเป็ดน้ำค่อยๆ หลุดจากมือซูหลิงหล่นลงพื้น
ฉินเจียงโอบซูหลิงไว้ใกล้ๆ ด้านหลังมีนกเป็ดน้ำและหงส์อยู่กันเป็นคู่

ที่หอนาฬิกาบริเวณจิมซาจุ่ย ใกล้อ่าววิกเตอเรีย บริเวณริมอ่าว มีคู่รัก นักท่องเที่ยวและผู้คนเดินเล่น ดูแสงไฟยามค่ำคืนริมอ่าวกันอย่างหนาตา ฉินเจียงเดินโอบไหล่ซูหลิงมาแต่ไกล ฉินเจียงพาซูหลิงมานั่งที่บ่อน้ำหน้าหอนาฬิกา
ฉินเจียงทำท่าทางบอกให้ซูหลิงรออยู่ตรงนี้ก่อน แล้วฉินเจียงก็วิ่งออกไป ซูหลิงมองตาม หันกลับมาท่าทางมีความสุข มองแหวนหมั้นในมือ เอามืออีกข้างขึ้นมากำแหวนไว้แนบอก
ฉินเจียงวิ่งกลับมาพร้อมไอติมโคนในมือ แล้วยื่นไอติมส่งให้ซูหลิง ซูหลิงรับไปกินหนึ่งคำ ยิ้ม แล้วส่งกลับให้ฉินเจียง นเจียงมองซูหลิง จับมือซูหลิงไว้แล้วค่อยๆ ยื่นหน้าไปกินไอติมที่ซูหลิงถือ ซูหลิงยื่นหน้ามากินไอติมด้วยกันพร้อมกับฉินเจียง

อีกด้านหนึ่งที่วังคีรีรัฐ ทหารเดินกันขวักไขว่ ยืนยามแข็งขัน จ้าวซัน บราลีโผล่มาบนอาคารสูงฝั่งตรงข้ามที่มองไปเห็นบริเวณวัง จัตุรัสเดินมาพอดี ดุด่า สั่งทหาร ดูจากมุมไกล ทำให้เห็นหน้าชัด จ้าวซันเอากล้องส่องทางไกล ที่เห็นได้ในความมืดมาส่องดูจึงเห็นว่าเป็นจัตุรัส จ้าวซันทำหน้าแค้น
“คนในไม่ให้ออก คนนอกไม่ให้เข้า เข้าใจไหม” จัตุรัสสั่งทหาร
“ครับผม”
“อย่าปล่อยให้มีช่วงว่าง จัดเวรยามให้เข้มแข็งกว่านี้ ถ้ามีอะไรผิดพลาด จะตัดหัวให้หมด”
ทหารกลัวหัวหด จตุรัสสอดส่ายสายตามองรอบๆ มองผ่านตึกที่จ้าวซันอยู่ด้วย แต่ไม่เห็นอะไรเพราะมืดไปหมด จ้าวซัน บราลีผลุบตัวลงต่ำ จ้าวซันลดกล้องลง
“ไอ้จัตุรัส ออกมาได้ มันก็เหมือนงูบาดเจ็บ คงทำร้ายมันได้ยากขึ้นกว่าเดิม”
“พวกมันมีมากจริงๆ นะคะ ไม่อยากเชื่อเลย น้องนึกว่าจะมีทหารที่จงรักภักดีมากกว่านี้”
“เจ้าลุงปล่อยให้คนพวกนี้ควบคุมทุกส่วนในคีรีรัฐมามากและนานเกินไป ท่านไว้วางใจคนพวกนี้ เพราะพวกมันเป็นมือเท้าให้ท่านทำการสำเร็จไงล่ะ พอเวลานี้ เจ้าลุงหมดวาสนา เจ้าน้องก็ยังเด็กใครเขาจะมายำเกรง”
“เราจะรู้ได้ยังไง ว่าเวลานี้ คนข้างในเป็นไงบ้าง”
“เจ้าน้องน่าจะหาใครออกมาส่งข่าว”
“หม่อมฉันจะเข้าไปเอง” บราลีทำท่าจะลุกไปจริง จ้าวซันจับแขนไว้ให้นั่งลง
“พอเสียทีเถอะ อยู่ข้างๆ พี่ อย่าแก่นไปมากกว่านี้เลย แม่สาวนิวยอร์ค จะทำพี่หัวใจวายตายก่อน”
“แต่หม่อมฉันเข้าไปได้ หม่อมฉันรู้ทางหนีทีไล่แล้ว”
“ขอซักเรื่องได้ไหม” จ้าวซันมองดุๆ บราลีถึงกับเซ็ง

ภายในตำหนัก เจ้าหลวงมาทยาธรมองออกไปทางหน้าต่าง เห็นทหารของฝ่ายจงรักภักดี ถือดาบ เดินกันไปมา
สักพัก มาทยาธรก็กระอักออกมา
“เจ้าพี่”
พระเทวีสิริวารตีรีบเข้ามาดูด้วยความเป็นห่วง
“ไอ้ราชิด มันพูดถึงเรา...ว่า...ไม่มีตราพระราชลัญจกร...มันว่าเรา...โกงประชาชน” มาทยาธรกระอักออกมาอีก“เจ้าพี่ ทรงทำพระทัยดีๆ เพคะ”
“มันคิดจะ...ให้ข้ารับบาปคนเดียว...มันจะเอาจุดนี้มาโจมตีข้า...มันจะไปยุแยงให้ราษฎรเกลียดชังข้า เพื่อให้การยึดอำนาจของมันกลายเป็นสิ่งชอบธรรม”
“มันก็เป็นเช่นนี้เสมอมาไม่ใช่หรือเพคะ เมื่อใครซักคนจะยึดอำนาจเป็นของตัวเองก็ต้องมีแพะบางตัวที่ถูกเชือดเป็นเครื่องเซ่นสังเวย”
“น้องกำลังจะบอกว่า พี่สมควรได้รับผลกรรมนี้ใช่ไหม”
“น้องอยากกราบทูลว่า คนพวกนี้มันเป็นคนพาล น้องคิดมานานแล้วว่าสักวัน มันก็ต้องทำกับเราเช่นนี้”
“จุดจบของเรา มาถึงแล้ว”
“ไม่เพคะ ต้องมีคนมาช่วยเราได้”
“ใครจะช่วย น่านปิงนรเทพงั้นหรือ”
“เจ้าพี่”
“โธ่ ท่าทางราวกับทรงมีพระสติแล้วนี่นา ทำไมถึงเพ้ออีกล่ะเพคะ” แม่นมบอก
“ข้าไม่ได้เพ้อ แต่...น่านปิงนรเทพ...มันไม่ได้มาช่วยเรา มันจะมายึดบัลลังก์ของมันคืน”
“เจ้าพี่”
“ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไม่มีที่ไหนปลอดภัยอีกแล้ว ไม่มีใครที่ข้าไว้ใจได้อีกแล้ว แม้แต่เจ้า...สิริวารตี” มาทยาธรผลักพระเทวีสิริวารตีอย่างแรง พยายามจะลุกยืน แล้วล้มลง

ทหารเดินตรวจการและยืนอารักขารอบวังหลวงอย่างหนาแน่น นอกกำแพงวังกองทหารของราชิดยืนเข้าแถวเรียงราย ที่ซุ้มกำแพงข้างวังหลวง จัตุรัส โกศิน ราชิด ในชุดเตรียมรบกำลังคุยเครียด
“เริ่มสักทีเถอะ ตอนนี้ใครลงมือก่อนได้เปรียบ”
“ใช่บุกเข้าไปเลย วางยาพิษมาทยาธรให้ได้เหมือนที่มาทยาธรเคยทำกับพีริยเทพ ทุกอย่างจบ”
“บุกยังไง คนข้างใน เวลานี้ เริ่มรู้อะไรๆ กันมากพอดู พวกหัวโบราณมันร้ายๆ ทั้งนั้น ถ้าผลีผลามบุกเข้าไปเกรงว่า...”
“มันก็ต้องเสี่ยง ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“พี่น้องทหารเราจะบาดเจ็บล้มตายกันทั้งสองฝ่ายนะท่าน”
“อุวะ ใจเสาะอย่างนี้อย่ามาริคิดการใหญ่เลย”
“หรือเจ้ามีวิธีที่ดีกว่านั้น”

จัตุรัสและราชิดนั่งหมอบๆ อยู่บนหลังคาตำหนักเจ้าหลวง โกศินกำลังปีนขึ้นไป
“แน่ใจนะว่าจะสำเร็จ”
“แบบนี้เรื่องจะเงียบที่สุด ประชาชนจะเห็นเราเป็นวีรบุรุษอย่างแน่นอน”
“แต่ถ้าเราพลาด”
“อย่าให้ตกลงไปเท่านั้นก็พอ”
“นี่ข้าหลงเชื่อเจ้าเข้าไปได้ยังไง หา ท่านโกศิณ อยากได้ตัวมาทยาธรมาฆ่าก็แค่ยิงไอ้พวกทหารวังให้ตายให้หมดก่อนจะง่ายกว่าไหม”
“ยิงเหรอ ทำยังกะว่าเรามีมือเท้าฝ่ายเดียว พวกมันไม่มีงั้นแหละ พวกเราซื้อปืนมาก็ไม่สำเร็จ แล้วจะมีปืนมีกระสุนให้ยิงกะไอ้พวกจงรักภักดีได้ซักกี่น้ำ เผลอๆ พวกมันมีจ้าวซันหนุนหลังอีกล่ะ”
“แล้วทำไมต้องเป็นพวกเราที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้เองด้วย”
“ท่านยังไม่เข็ดอีกหรือ ท่านจตุรัส ใช้ลูกน้องทำแล้วเป็นไง น่าจะมีบทเรียนมากพอแล้วนะ ถ้าเราสามคนไม่ลงมือเอง แล้วมันเคยสำเร็จบ้างไหม”
“สามคน ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เหมือนเมื่อสมัยหนุ่มๆ ไม่ผิด ดี ไปลากคอมาทยาธรมาจัดการด้วยมือของพวกเราเองให้สำเร็จ หมดมันซะคนทุกอย่างก็ง่ายละ”

ทั้งสามคนค่อยๆ คลานไปบนหลังคา

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 13 (ต่อ)

จากตึกสูงที่มองไปเห็นในวัง จ้าวซัน ภูสินทร สุริยะ จับตามอง ส่งกล้องส่องทางไกลต่อกันไป
“ไม่มีอะไรผิดปกตินะครับ ดูเหมือนทุกอย่างจะปกติ”
“นั่นสิ เหมือนคืนนี้จะเป็นคืนที่เงียบสงบดี”
“คืนนั้นก็เหมือนจะเป็นคืนที่เงียบสงบดีเหมือนกัน ไม่ใช่เหรอ”
“ถูกพะย่ะค่ะ คืนนั้นไม่มีใครได้เตรียมกับโศกนาฏกรรมนั้นเลย”
“เพราะฉะนั้นคืนนี้ก็ไม่ควรที่ใครจะเตรียมตัวอะไรทันเช่นกัน” จ้าวซันบอกด้วยหน้าตาดุดัน บราลีมอง อึ้ง ขนลุก

ศิขรนโรดมคุยเครียดกับมิถิลาอยู่ในห้อง
“ฝ่าบาทต้องพาเจ้าหลวงกับพระเทวีตีฝ่าออกไป”
“ตีฝ่าออกไปงั้นเหรอ? ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลยนะ”
“แต่แบบนี้ก็เท่ากับพวกเราทุกคนคือเป้านิ่งนะเพคะ”
“เจ้าพี่ทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้”
“หยุดฝากความหวังไว้ที่องค์น่านปิงซะที เชื่อหม่อมฉัน เราควรรีบตีฝ่าออกไปเดี๋ยวนี้”
“เจ้าพ่อพระอาการไม่ดีนัก” มิถิลาและศิขรนโรดมมองหน้ากัน “ที่สำคัญเราจะพาเสด็จไปไหน”
มิถิลา ศิขรนโรดมมองหน้ากัน อึ้งๆ

จัตุรัส ราชิด โกศิน กระโดดลงมาจากกำแพง ตรงนั้นว่างเปล่า ไม่มีคนเฝ้าระวัง ทั้งสามมองหน้ากัน แล้วหันไปทางเดียวกัน โกศินมองไปที่ห้องด้านในสุด แล้วชี้ไป ประมาณว่าคาดว่าเจ้าหลวงอยู่ในนั้นแน่ ประตูห้องใหญ่ปิดอยู่ ทั้งสามตรงไป จัตุรัสกระโดดถีบประตู ประตูเปิดออกง่ายดาย ทั้งสามพุ่งเข้าไป ภายในห้องว่างเปล่า ไม่มีคน ทั้งสามหน้าซีด มองหน้ากัน
“แย่แล้ว”
“พวกมันดักทางของเราได้งั้นหรือ”
อสุนีเดินออกมา
“ไม่เห็นจะต้องคิดอะไรมากนี่ขอรับ ท่านพ่อ เจ้าหลวงมาทยาธรคือหัวใจการศึก ท่านพ่อเป็นคนสอนข้าเอง ข้าจะปล่อยให้พวกท่านเข้าถึงกล่องดวงใจของเราง่ายๆ อย่างไรได้”
ศิขรนโรดมออกมาจากด้านใน ทั้งหมดประจันหน้ากัน
“ไม่นึกเลยว่าพวกท่านจะกล้าทำถึงเพียงนี้”
“มาถึงขนาดนี้ ไม่ต้องมาตัดพ้อกันแล้วล่ะองค์ชาย”
“เสียแรงที่ข้าเคยนับถือพวกท่าน”
“ใครจับเราขังคุกผาห่มดอก จับสองคนนั่นเข้าคุกฮ่องกง เล่นละครตบตาทำเป็นไร้เดียงสา ศิขรนโรดม ท่านเองก็ไม่ใช่เล่นหรอก”
“ทรงอย่าลืมสิว่า พระบิดาขององค์ใช้ก็เคยใช้วิธีการเดียวกันนี้มาก่อน” ศิขรนโรดมอึ้งไป อสุนียกมือไหว้ราชิด
“ท่านพ่อ ข้าขอ มอบตัวเสีย ยังไม่สาย”
“ไอ้ลูกทรพี ข้าจะให้มาเป็นเจ้าคนนายคนไม่ชอบ อยากเป็นขี้ข้าเขาทั้งปีทั้งชาติก็เอา”
“ทหาร ไล่พวกมันออกไป”
ทหารพวกในวัง ควักปืนกันออกมาครบมือเข้าใส่ จัตุรัสผงะ คิดไม่ถึง สบตากันไปมา
“เดี๋ยว เรามาสู้กันอย่างลูกผู้ชายไม่ดีกว่าหรือ”
“คนเช่นท่าน ควรจะได้รับเกียรตินั้นด้วยเหรอ”
“หุบปากไป เขาไม่ได้พูดกับเจ้าอย่าสะเออะ”
“องค์ชาย กล้าแก้มือกับหม่อมฉันไหม”
ทันใดนั้นก็มีทหารพวกราชิดจากด้านนอกวิ่งกรูเข้ามา
ทหารจากด้านนอกบางส่วนกรูเข้ามาในลานข้างตำหนัก พร้อมต่อสู้เต็มที่ ศิขรนโรดมมองทหารทั้งสองฝ่าย แล้วก้าวออกมา
“เข้ามา เราจะสู้กับเจ้าเอง”
“องค์ชาย...อย่า” อสุนีร้องห้าม
“ทหาร... บุก”
จัตุรัสสั่ง ทหารของราชิดพยายามบุกเข้าไปในวัง ทหารที่อารักขาเจ้าหลวงก็ออกมาป้องกันเต็มที่ มิถิลาแอบดูด้านนึง แล้วรีบเล็ดรอดหนีไป ศิขรนโรดมตรงเข้าไปจัดการกับจัตุรัส โดยมีอสุนีมาช่วยอีกแรง ราชิด โกศินพยายามจะเข้าไปด้านใน แต่โดนทหารจำนวนมากต้านสกัดเอาไว้
การต่อสู้ด้วยมวยคีรีรัฐเป็นไปอย่างชุลมุน จัตุรัสโดนรุมจากศิขรนโรดม อสุนี แต่คราวนี้ดูท่าทางจัตุรัสจะเป็นรอง และเพลี่ยงพล้ำอยู่บ่อยๆ ศิขรนโรดมหาโอกาสปล่อยหมัดใส่ไปที่ท้องของจัตุรัสได้ และไม่ยอมออมมือตามเข้าไปซ้ำอีก อสุนีได้โอกาสจับจัตุรัสล็อคและกดไว้กับพื้น ราชิดเหลือบมาเห็น หยิบปืนขึ้นมายิงไปที่ศิขรนโรดม แต่มีทหารมาปัดมือของราชิดไป กระสุนปืนพลาดไปโดนกระถางต้นไม้แตกกระจาย
ทุกคนหันมามองที่ราชิด ที่กำลังถือปืนกราดไปทั่ว
“หมดเวลาเล่นสนุกกันแล้ว อสุนี บอกทุกคน ยอมแพ้พวกเราเดี๋ยวนี้”
ราชิดถือปืนมาทางอสุนี ราชิดกับอสุนีจ้องหน้ากัน

ด้านนอกวัง ทหารวังที่เดินๆ โดนจ้าวซันที่ย่องกริบเข้ามาใช้มวยสกัดจุดตาย ล้มลงเงียบ ภูสินทรจัดการกับอีกคน สุริยะพาพวกทหารนอกเครื่องแบบวิ่งบุกเข้ามาเงียบ เร็วเหมือนกองโจร
ทหารวังที่เดินตรวจตรามา 20 คน โดน 5 คนนอกเครื่องแบบ โผล่เข้าบุก แตกตื่นเอะอะ สู้กัน จ้าวซัน และ ภูสินทรใช้มวยคีรีรัฐอย่างเชี่ยวชาญ รีบเข้าช่วย เก็บพวกทหารไปได้หลายคน
บราลีถือปืน วิ่งหลบเลี่ยง เลี้ยวลดไปตามทาง หาช่องทางสะดวก ตั้งใจจะเล็ดรอดผ่านเข้าไปข้างในวัง มิถิลาวิ่งออกมา เห็นการต่อสู้อย่างดุเดือด จ้าวซันกำลังวิ่งจะเข้าข้างใน ทหารอีก 5 คนที่วิ่งมาจากอีกทาง เข้ามารุม
มิถิลาวิ่งมาเจอกับบราลี
“ทำไมพวกคุณไม่เห็นส่งสัญญาณอะไรเลย บุกเข้ามาก็ไม่ส่งข่าว ทำไมจ้าวซันทำแบบนี้”
“ก็ไม่ดีเหรอ ที่รีบเข้ามา เธอพาชั้นไปพาเจ้าหลวงกับพระเทวีหนีไปก่อนดีกว่า เร็ว เดี๋ยวมียิงกันเละแน่”
“พวกคุณมีสถานที่ปลอดภัยไหมล่ะ”
“มีสิ เธอมีปืนไหม”
มิถิลาส่ายหน้า บราลีควักปืนพกมาจากข้างหลังหนึ่งกระบอก โยนปืนพกให้ มิถิลารับไป อึ้ง แล้วตกลง พาบราลีวิ่งหายกลับเข้าไปในวังอีกที จ้าวซันและพวกกำลังต่อสู้ต่อไป

ภายในตำหนักหลวง ราชิดถือปืนเล็งไปที่อสุนี
“อย่าคิดว่าข้าไม่กล้า”
อสุนีมอง หวาดๆ แต่ลุ้น ทำใจดีสู้เสือ อสุนีตัดสินใจได้ ปล่อยมือจากจัตุรัส แล้วรีบเข้าไปใช้ฝ่ามือสับที่ข้อมือของราชิดจนปืนตกไปที่พื้น อสุนีรีบก้มลงเก็บ แล้วถือปืนจ่อไปที่ราชิดบ้าง ทั้งคู่ประจันหน้ากันอีกครั้ง ราชิดหัวเราะ
“แต่ข้าว่าเจ้าไม่กล้า”
อสุนีหลบตา ลดมือลงโดยไม่รู้ตัว ราชิดได้จังหวะเตะปืนออกจากมือ ปืนกระเด็นไประหว่างจัตุรัสกับศิขรนโรดม ทั้งคู่พุ่งไปหยิบปืน จัตุรัสรีบกลิ้งตัวไปคว้าปืนมาไว้ก่อน ศิขรนโรดมหยิบไม่ทันจะตรงเข้าไปแย่ง จัตุรัสสะบัดตัวออกแล้วเล็งปืนไปที่ศิขรนโรดม เหนี่ยวไกปืน
“ตายซะเถอะ”
จัตุรัสยิง อสุนีเห็นรีบพุ่งตัวมาขวางทางกระสุนปืนไว้ เสียงปืนดังสนั่นโดนอสุนีล้มลงเลือดไหลเป็นทาง
“อสุนี”
ศิขรนโรดมรีบเข้ามาดู
“องค์ชาย รีบ...หนี...ไป...”
จัตุรัสเล็งปืนมาที่ศิขรนโรดมอีกที ศิขรนโรดมชักปืนออกมาจะยิงใส่ก่อน จัตุรัสหลบ แล้วยิงสวน ศิขรนโรดมถอย แอบเสา ต่างฝ่ายต่างเข้าที่กำลัง ชักอาวุธมายิงกัน ทหารทั้งสองฝ่ายโดนปืนล้มตายสามสี่คน จัตุรัสหันกลับไปสั่งโกศิน
“จับมันไว้เป็นตัวประกัน”
ราชิดเดินมาบอกกับจัตุรัส
“ข้าเอง”
ราชิดวิ่งตามศิขรนโรดมไป จ้าวซันเข้ามา
“จัตุรัส ราชิด โกศิณ วางอาวุธเดี๋ยวนี้” จ้าวซันยิงปืนขึ้นฟ้า “ยอมแพ้ซะ อย่าให้ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเราเปื้อนเลือดไปกว่านี้เลย”
จุตรัส โกศินอึ้ง เมื่อเห็นพวกจ้าวซันอาวุธปืนครบมือ เริ่มระวัง ถอยๆ สุริยะหาจังหวะเข้าลากเอาตัวอสุนีที่บาดเจ็บออกไป
ในห้อง ศิขรนโรดมสู้พลาง ถอยพลางกับราชิด เล็งยิงกัน แต่ไม่โดน ต่างหลบหลังเสากันไปมา แต่แล้ว อยู่ๆ ประตูด้านนึงเปิดออก เจ้าหลวงมาทยาธรเดินโซเซเด๋อด๋าออกมา
“ศิขรนโรดมๆ ลูกเป็นยังไงบ้าง”
“เจ้าพ่อ หลบไป”
ทันใดราชิดโดดมา ล็อกตัวมาทยาธรไว้ได้
“พอกันที ตอนนี้ชีวิตเจ้าหลวงอยู่ในมือเราแล้ว”
จ้าวซัน ภูสินทร สุริยะ วิ่งตามเข้ามาพอดี ต่างชะงัก ที่พบว่าเจ้าหลวงมาทยาธรโดนราชิดล็อกไว้ จัตุรัสและโกศินก้าวเข้ามา เห็นเจ้าหลวงมาทยาธรโดนราชิดจับได้แล้ว ต่างสบตา หัวเราะออกมาเสียงดัง

มิถิลา วิ่งนำบราลี โดดเข้ามาทางหน้าต่าง แม่นม พระเทวีสิริวารตีนั่งกอดกันร้องไห้ด้านนึง หันมาอย่างตกใจ
“มิถิลา ธิดาของราชิด เธอจะมาจับพระเทวีไปอีกพระองค์ใช่ไหม”
“พระนมคะ ทำไมพูดแบบนี้ล่ะคะ”
“แก ไอ้พวกลูกกบฏ ขอให้พวกแกมีอันเป็นไป”
“คุณป้าคะ ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะคะ ใจเย็นๆ ค่ะ ตั้งสติหน่อย”
“ฉันคิดมานานแล้ว ว่ามันต้องเกิดเรื่องแบบนี้สักวัน เอาตัวชั้นไปอีกคนสิ” พระเทวีสิริวารตีบอก มิถิลาเข้าไปกอดพระเทวีไว้
“พระเทวี เราต้องหลบอยู่ในนี้ก่อนเพคะ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์ทั้งหมดอาจจะแย่ลงไปอีก”
“มีอะไรที่แย่กว่านี้ได้อีก ถ้าเจ้าหลวงตกอยู่ในอันตรายแบบนี้ ฮือๆ เจ้าพี่”
บราลีเขามากราบ
“พระเทวีเพคะ องค์ชายน่านปิงนรเทพจะต้องทรงจัดการได้เพคะ เชื่อหม่อมฉันนะ เพคะ”
พระเทวีสิริวารตีมองบราลี อึ้งๆ ตะลึงๆ
“จันทร์แรม จันทร์แรม ข้ากำลังรับกรรมแล้ว ข้ารับกรรมแล้ว”
พระเทวีสิริวารตีร้องไห้โฮ

ราชิด ล็อกคอและลากตัวมาทยาธรที่เดินไม่ได้ ปัดเป๋ๆ มาแบบไม่ปรานีปราศรัย โดยมีจัตุรัส โกศินระวังหลัง
“ตั้งใจเดินให้มันดีๆ หน่อยสิ มาทยาธร อย่าแกล้งทำเป็นพิกลพิการเวลานี้ได้ไหม มันเสียเวลา”
มาทยาธรจ้องราชิดแบบแค้นจัด แล้วถุยใส่หน้าราชิด
“ไอ้...มึงกล้าเหรอ” ราชิดเงื้อมือจะตบ โกศินเข้ามาจับมือไว้
“ไม่เอานะ ท่านราชิด อย่าเสียเวลาเลย ไปรีบดำเนินการให้เสร็จภารกิจก่อน”
“ไอ้คนเนรคุณ”
“ใครกันแน่ ที่เป็นผู้มีบุญคุณ มาทยาธร เพราะใคร คิดดูให้ดี เจ้าจึงแย่งชิงบัลลังก์มาจากพีริยเทพได้ ของแย่งเขามาก็ต้องถูกแย่งไปแบบนี้แหละ ไปเร็ว”
พวกราชิดรีบเดิน มีพวกทหารฝ่ายราชิด ตามปิดท้ายให้
“อย่าเข้ามานะเว้ย”
“พวกเราไม่รับรองความปลอดภัยของเจ้าหลวงนะเว้ย”
ทหารฝ่ายศิขรนโรดมวิ่งตามมาแบบระมัดระวัง ไม่กล้าตามเร็วเกินไป ศิขรนโรดมวิ่งผ่ามาอย่างร้อนใจ
“หลีก พวกเจ้ามันขลาดกลัวนัก หลีกทางให้ข้า”
ศิขรนโรดมผลักทุกคนที่บังตนไปให้พ้น จ้าวซันรีบพุ่งมา ดึงแขนไว้
“ศิขรนโรดม หยุดก่อน”
“หยุดทำไม”
“น้องไม่ควรไปเสี่ยงกับพวกนั้น ไป...ถอยไปอยู่ทางโน้น ภูสินทรพาเจ้าน้องไปเร็ว” จ้าวซันหันไปสั่งภูสินทร
“ไม่ หม่อมฉันต้องไปช่วยเจ้าพ่อ คนอื่นไม่เกี่ยว”
“เจ้าน้อง”
“เจ้าพี่! ปล่อย!”
ศิขรนโรดมสะบัดจ้าวซัน ผลักภูสินทร แล้ววิ่งพร้อมปืนไปหาพวกราชิด
“เฮ้ย ไอ้พวกชั่ว ปล่อยเจ้าพ่อเดี๋ยวนี้ ไม่งั้น แกตาย”
ทหารพวกราชิดแหวกตัวออกให้ศิขรนโรดมผ่านเข้าไปกลางวง จัตุรัสหันมา กระหยิ่ม
“พวกเรา องค์ชายรัชทายาทตามมาแล้ว”
“ศิขร...ลูก...กลับไป”
“บอกให้ปล่อยเจ้าพ่อไง ไอ้ราชิด” ศิขรนโรดมเล็งปืน เตรียมยิง ทุกคนนิ่ง ไม่ขยับ
ด้วยความเร็วมาก จัตุรัสหมุนตัว เตะปืนจากมือศิขรนโรดมกระเด็น แล้วเข้ารวบตัวศิขรนโรดมไว้ได้ พวกจ้าวซันตามมาทันพอดี
“เวรแล้ว ศิขร”
ทันใดกลุ่มทหารของราชิด ที่เปิดช่องให้ศิขรนโรดมเข้าไปในวง รีบตีวงมาขวางพวกจ้าวซันทันที แล้วหันมา กราดยิงใส่พวกจ้าวซันเป็นห่าฝน พวกจ้าวซันโดดหลบ หมอบ นอนกลิ้ง โกศินโผล่มาตะโกน
“ไอ้จ้าวซัน! อย่าตามมาเด็ดขาด ใครบังอาจฝ่าฝืน มาทยาธรกับศิขรนโรดมตายแน่” โกศินยิงกราดเป็นชุดใส่สำทับ พวกจ้าวซันหลบ แนบดิน ก้มหัวแนบพื้น
ราชิด จัตุรัสหัวเราะสะใจ รีบลากมาทยาธรและศิขรนโรดมไปอย่างเร็ว

อสุนีนั่งเอนพิงเสา ใต้ร่มเงาศาลาในสวน กำลังมีทหารหมอดูแลรักษาอยู่มองมาแล้วชะงัก เมื่อเห็นจ้าวซัน ภูสินทร สุริยะ เดินกลับมา พลางปรึกษาซุบซิบกันเครียด
จ้าวซันนั่งลง ขีดอะไรบางอย่างบนพื้นดิน แล้วอธิบายภูสินทร ภูสินทรส่ายหน้า ไม่ยอม อสุนีมองจนทนไม่ไหว ตะโกนออกไป
“น่านปิงนรเทพ องค์ชายรัชทายาทอยู่ไหน”
จ้าวซันมองมา แล้วตอบแบบเบื่อๆ
“เจ้าบาดเจ็บอยู่ ให้เป็นธุระของพวกเราเถอะ”
“หมายความว่าอะไร”
บราลี มิถิลา พระเทวีสิริวารตี แม่นม วิ่งออกมาจากด้านในพอดี
“หมายความว่า ตอนนี้เรากำลังคิดวิธีที่จะช่วยทั้งสองพระองค์ให้ปลอดภัยทั้งคู่น่ะสิ”
“ทั้งคู่ อะไรคือทั้งคู่? พวกมันจับตัวองค์ชายไปด้วยหรือ”
“องค์ชายรัชทายาทพระทัยร้อน ห้ามไม่ฟังบ้างเลย”
“พูดมากน่า สุริยะ จุ๊” จ้าวซันห้าม ให้สุริยะหยุดพูด
อสุนีผลักหมอออกไป พยายามตะกายลุก
“ทำไม มีอะไร องค์รัชทายาททรงเป็นอะไร บอกมา”
ภูสินทรรีบปรี่มาขวาง
“บังอาจ เจ้าคู่ควรไหม ที่จะแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าองค์น่านปิงนรเทพ”
“องค์ชายน่านปิง ทรงจงใจจะให้เกิดขึ้นเช่นนั้นใช่ไหม หากองค์ศิขรทรงเป็นอะไรไปก็คงเป็นโอกาสดี ที่...”
อสุนีพูดไม่ทันจบ พระเทวีสิริวารตีที่น้ำตาเต็มหน้าก็ปรี่เข้ามาแล้วตบหน้าอสุนีจนสะท้าน
“ไอ้คนสามหาว ผู้กระทำการทั้งหมดคือบิดาของเจ้าเอง เช่นนี้เจ้ายังจะมีหน้ามาให้ร้ายองค์น่านปิงนรเทพอีก”
มิถิลารีบเข้ามา คุกเข่าขวาง กราบเท้าพระเทวีสิริวารตี
“พระเทวี สงสารพี่ข้าด้วย อสุนีไม่มีเจตนาร้าย จริงอย่างที่ว่าที่บิดาข้าทำผิด ฉะนั้น ขอให้ข้าไปเจรจากับพ่อเอง”
จ้าวซัน ภูสินทร สุริยะสบตากัน ทนสองคนนี้ไม่ไหวแล้ว จ้าวซันยืนขึ้น มองอย่างเยือกเย็น เอาจริง
“เงียบเถอะ จะไม่มีการเจรจาอะไรกับใครอีกแล้ว เราจะกระทำเพียงนำเสด็จทั้งสองพระองค์กลับออกมาอย่างทรงปลอดภัย เพียงเท่านั้น”
ทุกคนสะดุ้ง เงียบ มองหน้ากัน บราลีมองหน้าจ้าวซัน ทำหน้าพอใจ ที่จ้าวซันดูเหมือนจ้าวซันคนเดิม ที่โหดแบบนิ่งๆ

หนังสือราชการถูกวางมาบนโต๊ะตรงหน้า พร้อมปากกา มาทยาธรโดนราชิดกดให้นั่งลง
“พระราชสารถึงประชาชน เราเขียนไว้ให้แล้วทรงอ่านก่อนเซ็นก็ได้ ทุกข้อความ ขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริงที่สมจริงมากๆ”
ศิขรนโรดมถูกคุมด้วยทหารสองคน
“นั่นสิ ข้าพเจ้า เจ้าหลวงมาทยาธร เวลานี้ประชวรหนัก ไร้สมรรถภาพ มิอาจทำหน้าที่ต่อไปได้ ขอสละราชสมบัติให้กับศิขรนโรดม ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สั้นๆ ง่ายๆ ได้ใจความ ทรงเซ็นได้เลย”
“เจ้าพ่อ อย่าเซ็นพะย่ะค่ะ”
“ศิขร หรือไม่อยากทรงมีชีวิตอยู่ต่อไป ฝ่าบาทจะต้องทรงมีพระชนม์ชีพอยู่เพื่อครองราชย์อย่างสง่างามสิ”
“ใช่แล้ว แล้วพระองค์ก็จะได้เป็นเจ้าหลวงหนุ่มน้อย ที่เป็นสัญลักษณ์แห่งอนาคตใหม่ของคีรีรัฐ โดยมีพระชายาสาวสวย อดีตนางในที่มาจากตระกูลสูงส่ง ที่ทรงเปรียบเสมือนเพื่อนรัก และมหาดเล็กคนสนิทในคนเดียวกัน นั่นคือมิถิลา บุตรีราชิดของเรา”
“ถูกต้อง แล้วพระสหายสนิท และเสนาบดีฝ่ายการทหารหนุ่มคนใหม่ ที่จะเป็นที่ปรึกษาเคียงข้างฝ่าบาทตลอดไป ก็คือเจ้าอสุนี หลานเรานั่นเอง”
ราชิด โกศิน จัตุรัสหัวเราะกันสะใจ มาทยาธร ศิขรนโรดม สบตากันอย่างเจ็บปวด
“เซ็น เพื่อความสุข สันติ ของบ้านเมือง แล้วพวกเราทั้งสามจะช่วยดูแลคีรีรัฐให้ฝ่าบาทเป็นอย่างดี มิฉะนั้น...”
“เจ้าพ่อ อย่าเซ็น”
จัตุรัสเข้ามา จับแก้มศิขรนโรดมบีบ
“ถ้าไม่ ฝ่าบาทจะได้ทอดพระเนตรองค์ชายรัชทายาทสิ้นพระชนม์ต่อหน้าพระพักตร์”
“เอาสิ หากเจ้าหลวงอยากทอดพระเนตรวาระสุดท้ายขององค์ชายศิขรนโรดมก่อนพระองค์เองก็ไม่ต้องเซ็น”
มาทยาธรผงะ ศิขรนโรดมหน้าซีด

มาทยาธรคิดถึงอดีตเมื่อ 20 ปีก่อน ซึ่งวันนั้นมาทยาธรก็เป็นคนจับตัวเจ้าหลวงพีริยเทพกดลงนั่ง รอบๆ คือราชิด โกศิน จัตุรัส
“เจ้าพี่ หม่อมฉันไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจอะไร เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง พีริยเทพน้องรัก เจ้าเพียงแค่ เสียสละ ให้พี่ครองราชย์แทนเจ้า ก็แค่นั้นเอง”
“นี่มันเป็นการกบฏ เจ้าพี่ ร่วมกับไอ้สามคนนี้ เพื่อล้มล้างน้องอย่างนั้นหรือ”
“พีริยเทพ เพราะกฎมณเฑียรบาลมันไร้เหตุผล พี่แก่กว่าน้อง เก่งกว่าน้องทุกอย่าง ไม่ว่าเรื่องการเมืองการปกครองหรือการรบ แต่เพราะเจ้าแม่ของน้องคือพระเทวี และเจ้าแม่พี่เป็นแค่สนม น้องก็ได้ครองราชย์แทนพี่ซะงั้น น้องว่ามันยุติธรรมพอแล้วหรือ”
“เจ้าพี่จะให้หม่อนฉัน สละบัลลังก์”
“เพื่อความสุขสงบของบ้านเมือง เพื่อความปลอดภัยของครอบครัวน้อง”
“เจ้าพี่จะทำอะไร”
“อย่าลืมสิ ว่าเรารักกันแค่ไหน เราใกล้ชิดกันแนบแน่นแค่ไหน ศุลีมานเมียน้องก็เป็นน้องสาวสิริวารตีเมียพี่ และน่านปิงนรเทพ ลูกชายน้องกับศิขรนโรดม ลูกชายพี่ ก็รักกัน พี่จะทำอะไรญาติสนิทของตัวเองได้หรือ พี่ก็ต้องดูแลทุกคนแทนน้องอย่างดีที่สุดอยู่แล้ว”
เจ้าหลวงพีริยเทพมองรอบๆ ราชิด โกศิน จัตุรัส ต่างก้มหัวลง แต่สายตาที่มองข่มขู่มากๆ มาทยาธรยิ้ม วางจม.ลงบนโต๊ะ
“น้องแค่เซ็นจม.ขอลาจากพระราชภารกิจทั้งปวง เพราะสุขภาพไม่ดี แล้วก็...” มาทยาธรวางกระปุกเล็กๆ ลง
“น้องต้องดื่มยานี้ ก่อนจะพักผ่อนให้สบาย พี่รับรองว่าพวกเราจะช่วยกันบริหารคีรีรัฐให้เจริญรุ่งเรืองกว่าที่น้องทำมากนัก”
“แล้วเราก็จะคุ้มครองพระชายา และองค์ชายน่านปิงอย่างดี ให้มีความสุขทุกอย่าง มากกว่าเมื่อฝ่าบาททรงคุ้มครองเองซะอีก”
“ถ้าหม่อมฉันไม่ยอมล่ะ”
“น้องก็คงจะต้องเสียใจนิดหน่อย เพราะเราก็คงต้องทำสงครามกลางเมืองกัน ประชาชนและทหาร รวมทั้งข้าราชบริพารและเสนาบดี ก็คงต้องมีคนเสียเลือดเนื้อ และล้มตายกันไม่น้อย แล้วสุดท้าย ในเมื่อพี่มีราชิด โกศินและจัตุรัสสนับสนุน น้องก็จะแพ้ ถูกจับสำเร็จโทษ และศุลีมาน กับน่านปิงก็คงต้องตาย ตายให้น้องเห็นด้วยตาตัวเอง ก่อนน้องตายซะอีก”
เจ้าหลวงพีริยเทพอึ้ง น้ำตาคลอ เสียใจ แค้น

มาทยาธรหน้าเศร้า อนาถ สมเพช ปลงๆ เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตัวเองทำไว้
“ตกลง ข้ายอมแล้ว ข้าจะเซ็นให้พวกเจ้า”
ศิขรนโรดมร้องไห้
“เจ้าพ่อ อย่า ให้ลูกตายลูกก็ยอม แต่อย่าไปยอมให้คนพวกนี้มันสมใจ ลูกขอรับรองว่ามันไม่มีทางได้สิ่งที่มันต้องการแน่ แม้เราสองคนจะตายแล้วก็ตาม”
“เงียบ ศิขร พ่อตัดสินใจของพ่อได้”
“ขอให้ตัดสินใจให้ฉลาดๆ หน่อยนะ ฝ่าบาท”
ราชิด โกศิน จัตุรัส ยิ้มแสยะ มาทยาธรปวดร้าว ศิขรนโรดมแค้น ดิ้นรน แต่โดนกระชากจนผงะ

จบตอนที่ 13

อ่านต่อตอนที่ 14 เวลา 17.00น.
กำลังโหลดความคิดเห็น