วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 9
จ้าวซันนั่งก้มหน้าซึมอยู่หน้าห้องไอซียูของโรงพยาบาล ผู้กองเหลียง ยืนอยู่ใกล้ๆ มองดูอาการจ้าวซันอย่างเป็นห่วง ผู้กองเหลียงเดินเข้าไปหา ยกมือจะไปตบบ่าจ้าวซันเพื่อเป็นกำลังใจ แต่ค้างไว้แล้วก็ชักมือกลับ ผู้กองเหลียงตัดสินใจนั่งลงข้างๆ จ้าวซัน
“เรื่องคนร้ายคุณไม่ต้องเป็นห่วง ผมสั่งให้คนของผมออกติดตามแล้ว” จ้าวซันหันมามองหน้า แล้วหันกลับไป ไม่สนใจ “ตำรวจฮ่องกงอาจจะไม่ได้เก่งเหมือนอย่างไหนหนังที่คุณเคยดูหรอก แต่เราก็พยายามทำอย่างเต็มที่”
“ขอบคุณ”
“ตลกดีเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ผมยังมีคดีค้างกับคุณอยู่สองคดี แล้วยังจะมารับปากว่าจะหาตัวคนร้ายให้คุณ คุณคงคิดแบบนี้ใช่ไหม”
จ้าวซันก้มหน้าส่ายหัว ไม่หันกลับมา
“คุณไม่มีทางรู้ว่าเต๋อเป่าสำคัญกับผมมากแค่ไหน” ผู้กองเหลียงอึ้ง ทำอะไรไม่ถูก ผู้กองเหลียงเอื้อมมือไปตบบ่าจ้าวซันเบาๆ สองที แล้วชักมือกลับ จ้าวซันหันไปมองผู้กองเหลียงแล้วระบายความในใจ “ผมไม่เข้าไม่เข้าใจ ทำไมใครๆ ที่เป็นพวกผม สนิทใกล้ชิดกับผม ทุกคนต้องมีอันเป็นไป” ผู้กองเหลียงมอง สังเกต “ผมหมายถึงทุกคนต้องโชคร้ายเสมอ”
“โชคดีนะที่ผมยังไม่สนิทกับคุณ”
“ใช่”
“เฮ้ย ผมพูดเล่นให้คุณไม่คิดมากต่างหากล่ะ”
ภูสินทรเดินเข้ามา แล้วคุกเข่าอยู่ตรงหน้าจ้าวซัน
“ฝ่าบาท”
จ้าวซันตกใจ รีบลุกขึ้น และแตะภูสินทรเป็นสัญญาณให้ลุกตาม ภูสินทรมองผู้กองเหลียงและพาจ้าวซันค่อยๆ เดินออกไปพูดกันไกลๆ ผู้กองเหลียงมองตามภูสินทรด้วยความสงสัย
“ภาษาอะไรกัน” ผู้กองเหลียงอมงตามเห็นจ้าวซันกับภูสินทรคุยกันอยู่ไกลๆ ท่าทางภูสินทรดูนอบน้อมเกินปกติ ผู้กองเหลียงควักสมุดบันทึกออกมาจด “มีตัวละครเพิ่มมาอีกหนึ่งคนแล้ว”
ร้านขายของเก่าที่เกาลูน ซูหลิงกำลังนั่งจัดของเก่าที่วางขายอยู่ตามชั้นวาง ฉินเจียงเปิดประตูเข้ามา เสียงกระดิ่งที่ร้านดัง ซูหลิงไม่ได้ลุกขึ้นหันไปมอง นึกว่าเป็นลูกค้ามาที่ร้าน
“ร้านปิดแล้วนะคะ”
ฉินเจียงเดินเข้ามาหา ซูหลิงเห็นขากางเกงผู้ชายมายืนอยู่ตรงหน้า มองขึ้นไปเป็นฉินเจียงใส่สูทอย่างดี ยืนยิ้มให้
“ปิดร้านแล้วไม่ล็อกกุญแจ ไม่กลัวใครจะเข้ามาขโมยของเหรอ”
ซูหลิงเดินอ้อมหลบไปอีกทาง
“คนที่คอยคิดแต่ว่าคนอื่นจะทำเรื่องไม่ดี ก็มีแต่คนที่คิดไม่ดีเท่านั้นแหละ”
ฉินเจียงเดินตามไปดักหน้า
“แต่งตัวสิ เดี๋ยวจะไปงานคืนนี้ไม่ทัน”
ซูหลิงเดินอ้อมหลบไปอีกทาง
“ฉันจะไปเหรอ? คุณช่วยอ่านแมสเสจที่ฉันส่งไปอีกทีนะว่าฉันตอบกลับไปว่ายังไง”
ฉินเจียงเดินตามมา
“ผมรอแล้วกันนะ ครึ่งชั่วโมงคุณแต่งตัวทันไหม”
ซูหลิง หยุด หันหลังกลับมา
“ฉันไม่มีวันไปงานเลี้ยงบ้าๆ อะไรนั่นเด็ดขาด ฉันไม่อยากไปร่วมวงศ์ไพบูลย์กับพวกป่าเถื่อน บ้าสงคราม ปล่อยให้ฉันนั่งกินอาหารแช่แข็งอยู่บ้านคนเดียวยังจะดีซะกว่า” ซูหลิงหันหลังกลับไป จะเดินเข้าไปในห้องข้างใน
“ช่วยออกไป แล้วก็ล็อกประตูร้านให้ด้วย”
เงียบไม่มีเสียงตอบ ซูหลิงแปลกใจ ค่อยๆ หันกลับไปจึงเห็นฉินเจียงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมสัญญา ผมจะไม่ทำอะไรที่มันผิดกฎหมายอีก เพื่อคุณ เราจะมาเริ่มชีวิตด้วยกันใหม่ ให้โอกาสผมได้ไหม” ซูหลิงอึ้ง “ผมขาดคุณไม่ได้ ซูหลิง ผมจะเลิกทำทุกอย่างที่คุณไม่ชอบ ผมสัญญา แต่ว่า...”
ฉินเจียงค่อยๆ เอามือล้วงลงไปในกระเป๋าสูท ค่อยๆ หยิบกล่องแหวนเพชรขึ้นมา ยื่นไปตรงหน้าซูหลิง “คุณต้องแต่งงานกับผมก่อน”
ซูหลิงตะลึง น้ำตาเอ่อเต็มตา
บราลีถอดเครื่องประดับออกอย่างหัวเสีย ผิงอันมอง หน้าเสีย
“พี่บรี ใจเย็นๆ ก่อนสิ”
“พอกันทีผิงอัน ชาตินี้พี่จะไม่ขอยุ่งกับพี่ชายใหญ่ของเธออีกแล้ว ฝากคืนของพวกนี้ให้เขาด้วย”
บราลีวางข้าวของเหล่านั้นไว้บนเตียง เอากระเป๋าถือมาสะพาย แต่ชุดยังเป็นชุดผ้าซิ่น ซึ่งเดินไม่ถนัด แต่ก็รีบร้อนออกจากห้องไป ผิงอันเดินเข้าไปขวางทาง ไม่ให้ออก
“พี่บรีจะไปไหน”
“ไปจากบ้านนี้ให้เร็วที่สุด”
“ไม่ได้นะ ไม่ได้ หนูไม่ยอมให้พี่บรีไป พี่บรีบอกจะมาค้างกับหนูไม่ใช่เหรอ”
อาม่าเดินเข้ามาในห้อง
“ซายมุย เสียงดังเอะอะอะไรกัน อ้าว...คุณบราลีไม่ไปงานคืนนี้แล้วเหรอคะ”
“ไม่ไปแล้วอาม่า อาม่าเห็นคุณชายจ้าวซันไหม”
“ก็...เอ่อ อยู่ที่ห้องไม่ใช่เหรอค่ะ”
บราลีเดินกลับไปที่ห้องจ้าวซัน อาม่าและผิงอันรีบเดินตาม บราลีเปิดประตูห้องจ้าวซันเข้าไปทันที
“จ้าวซัน! คุณชายจ้าวซัน”
บราลีเดินหาตามซอกมุมต่างๆ เดินไปที่ห้องนอน ทุกอย่างยังเหมือนเดิม บราลีเดินลงบันไดจากชั้นสองลงมาข้างล่าง ผิงอันกับอาม่าเดินตามลงมาติดๆ
“เดี๋ยวก่อนสิคะคุณ”
“พี่บรี รอก่อน”
อากงที่ยืนอยู่ข้างล่างตรงห้องรับแขกมองขึ้นไป
“อากงคะ คุณชายจ้าวซันอยู่ที่ไหน”
“เอ่อ ประเดี๋ยวคงกลับมาครับ”
“ออกไปข้างนอกเหรอคะ ไปที่ไหนพอจะทราบไหม”
“คุณชายน่าจะกำลังกลับมานะครับ เพราะคืนนี้มีงานเลี้ยงสำคัญต้องไป”
บราลีพยักหน้าขอบคุณ ไม่พูดอะไร แล้วเดินออกจากบ้านไป
“พี่บรี ให้หนูไปด้วย”
ผิงอันวิ่งตาม อาม่ารั้งไว้ บราลีรีบเดินออกจากประตูใหญ่ไป อากงกับอาม่ามองหน้ากัน
รถของภูสินทรเข้ามาจอดหน้ารั้วบ้านสี่ฤดู ภูสินทรกับจ้าวซันคุยกันในรถ
“เรายังมีเรื่องสำคัญกว่ารออยู่ข้างหน้า คืนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะทรงปลอดภัยหรือไม่ ส่วนเรื่องคนสนิทของฝ่าบาทปล่อยให้เป็นหน้าที่ภูสินทรคนนี้จัดการหาตัวคนร้ายเอง ไม่ต้องทรงเป็นห่วง”
“ขอบใจเจ้ามาก ส่วนเรื่องงานคืนนี้...” บราลีเดินออกจากประตูบ้านสี่ฤดูออกมาอย่างรวดเร็ว จ้าวซันเห็น ตกใจ รีบเปิดประตูรถออกมา ภูสินทรเปิดประตูรถตามลงไป “บรี จะไปไหน”
“ไปบ่อน ที่มาเก๊า”
“ไปทำไม”
บราลีจ้องหน้าจ้าวซัน ไม่พูดจา แต่แค้นพุ่ง จนเงื้อมือตบหน้าจ้าวซันหนึ่งที จ้าวซันหน้าสะท้าน แต่ยังยืนมองนิ่ง ภูสินทรตะลึง ถลาเข้ามา จ้าวซันยกมือห้ามและชี้ให้ไปก่อน บราลีหยิบมือถือออกมาจากกระเป๋า เปิดรูปสัญญาที่ฉินเจียงส่งมาให้
“งงเหรอ งงๆๆ อ่านซะ แล้วช่วยบอกหน่อยว่าคุณทำแบบนี้กับพ่อของฉันได้ยังไง” จ้าวซันรับมือถือมาดู บราลีรีบปล่อยโทรศัพท์แบบไม่อยากโดนมือจ้าวซัน “คุณหลอกให้พ่อฉันมาที่นี่ หลอกให้ท่านเล่นการพนัน แล้วก็ปล่อยให้ท่านมีหนี้สินมากมาย เพราะคุณมีเป้าหมายใช่ไหม” จ้าวซัน มองรูปสัญญายอมรับการเป็นหนี้ของบ่อนที่มีลายเซ็นสุริยะชัดเจน “ทีนี้จะแก้ตัวว่ายังไงล่ะ”
“คุณกำลังเข้าใจผิด”
“ใช่ ฉันเข้าใจผิด เข้าใจผิดคิดว่าคุณเป็นคนดี ฉันไม่น่าหลงเชื่อคุณเลย ที่แท้คุณมันก็พวกคนโรคจิต ทำทุกอย่างได้ เพื่อสนองตัณหาตัวเอง”
“ตัณหาอะไร”
“คุณมันคนประเภทซื้อทุกอย่างด้วยเงิน นี่คุณคงคิดจะซื้อฉันด้วยใช่ไหม คุณหวังจะทำให้พ่อฉันยกฉันให้คุณ หลอกให้พ่อเล่นการพนันจนหนี้ท่วมตัว”
“ผมไม่ได้หลอก สุริยะเป็นนักพนันจริงๆ”
“ไม่จริง คุณเป็นใครถึงกล้ามาพูดจาใส่ร้ายป้ายสีพ่อชั้นแบบนี้ คุณมาหลอกทำดีกับชั้น ขณะที่หลอกให้พ่อตกเป็นทาสคุณไปพร้อมๆ กัน ช่างเป็นแผนซื้อใจผู้หญิงที่เนียนมากเลยนะ”
“พอเถอะ หยุดพูด แล้วก็หยุดจินตนาการด้วย” จ้าวซันเดินเข้าไปจับแขนบราลีแล้วลากเข้าไปในบ้านสี่ฤดู “ความเป็นจริง มันเหนือจริง มากกว่าที่คุณคิดมากนัก”
บราลีร้องขัดขืน ดิ้นสุดกำลัง
“จะทำอะไรน่ะ ปล่อยนะ ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย”
จ้าวซันลากบราลีเดินลิ่วๆ หลุนๆ แทบหัวทิ่ม เข้ามาในบ้าน ภูสินทรตามดูห่างๆ อย่างห่วงๆ ผิงอัน อาม่า อากง ที่กำลังปั่นป่วน ยืนปรึกษากันที่สนาม หันมาเห็น ต่างตกใจ
“ช่วยด้วยๆๆ”
ผิงอันวิ่งมาขวาง
“พี่ชาย พี่ชายจะทำอะไรพี่บรี”
“ผิงอันอย่ายุ่ง”
“คุณชาย มิสภีมะมนตรี ใจเย็นๆ นะครับ อย่าทะเลาะกัน”
“มิสคะ คุณขอโทษคุณชายสิคะ รีบขอโทษเถอะค่ะ คุณชายจะได้หายโกรธ”
“ทุกคน ไม่เกี่ยว อย่ายุ่ง” จ้าวซันหันมาเห็นภูสินทร ชี้หน้า “คุณเมืองเทพ” ภูสินทรสะดุ้ง หยุดอึ้ง “ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้ ผมจะจัดการเอง คุณต้องรีบไปที่งาน เร็ว”
ทุกคนยืนหน้าซีด
“ช่วยด้วยๆ ทุกคน ทำไมต้องไปกลัวเค้า ช่วยชั้นที แจ้งตำรวจ ๆๆ”
จ้าวซันรีบลากบราลีไป
จ้าวซันลากบราลีเข้ามาในห้องทำงานแล้วเหวี่ยงจนเซไปนิด แล้วรีบหันพุ่งไปปิดประตูลง ล็อกประตูแน่นหนา
บราลีตะลึง มองตกใจ
“เอาล่ะ ทีนี้ตั้งสติ แล้วฟัง”
“ไม่” แล้วบราลีก็แหกปาก ร้องทันที “ช่วยด้วยๆๆ”
“หยุด” จ้าวซันตวาดลั่น บราลีสะดุ้ง จ้าวซันเข้ามาจับไหล่เขย่าๆ “บอกให้หยุด หยุดบ้าได้แล้ว ม่านฟ้า พี่ไม่ทำอะไรเธอหรอก ถ้าจะมีใครทำร้ายเธอ พี่คือคนสุดท้าย จงจำใส่ใจไว้ว่าเจ้าพี่ของเธอ คือคนที่รักเธอที่สุด”
บราลีชะงัก มึน นิ่งไป มองหน้าจ้าวซัน ตาปริบๆ
“ม่านฟ้าเหรอ เจ้าพี่เหรอ”
จ้าวซันมองบราลี แววตาเศร้า
“พี่ไม่รู้ว่า ระหว่างให้เธอไม่รู้ความจริงกับให้เธอรู้ทุกอย่าง อะไรที่จะทำให้เธอเกลียดพี่มากกว่ากันแน่” บราลีมองหน้า งง “คุณแม่ผู้ให้กำเนิดเธอ เคยเป็นนางกำนัลคนสนิทของเจ้าแม่ของพี่ พระเทวีศุลีมาน ท่านชื่อจันทร์แรม ส่วนคุณพ่อเธอ เป็นราชองครักษ์ของเจ้าหลวงพีริยเทพ เจ้าพ่อของพี่ ท่านชื่ออินปง”
บราลีตกตะลึงงัน
เหม่ยอิงเดินลงมาจากบันไดชั้นบนของร้านเสริมสวยที่มีชันดาเลียร์สวยเหนือศีรษะ เหม่ยอิงสวมชุดราตรีดำโก้หรู สวมเครื่องเพชรของจ้าวไทไท รองเท้าส้นสูงปรี๊ด มีพนักงาน 1 คน ตามถือกระเป๋าถือใบใหญ่และถุงของต่างๆตามมา
เหม่ยอิงดูนาฬิกาเพชรเรือนเล็กที่ข้อมือ หน้าตายังกังวลบางอย่าง คุณนายหวังที่แต่งชุดราตรีแล้วเช่นกัน นั่งให้พนักงานปัดขนตา อยู่หน้ากระจก หันมา ทำตาโต
“ว้าว...งามเหลือเกิน สง่าราวกับราชินีแห่งอาณาจักรอะไรซักอย่าง งานคืนนี้ต่อให้มีเจ้าชายเจ้าหญิงมากันซักกี่องค์ ก็คงต้องพ่ายจ้าวเหม่ยอิงคนนี้แน่ๆ”
“คุณนายหวังก็สวยนะคะ ชุดนี้ทำให้คุณดูสูงศักดิ์ขึ้นมา ราวกับฮองเฮาของจักรพรรดิซักองค์ทีเดียว”
“แหมๆๆ คุณหนูใหญ่ก็ปากหวานเป็นเหมือนกันหรือคะ” คุณนายหวังสังเกตเห็นเครื่องเพชรเหม่ยอิง ลืมตัว ลุกพรวด “นั่น นั่นมัน เครื่องเพชรของจ้าวไทไท ไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ ทำไมทำหน้าราวกับโดนผีหลอกแบบนั้นคะ”
“มันคือ เครื่องเพชรในตำนาน ที่คนฮ่องกงไมได้เห็นกับตามานานแล้วน่ะสิ โอ งาม...งามมากจริงๆ ล้ำค่าที่สุด”
“พี่ชายใหญ่ยกให้ฉันแล้ว”
“จริงเหรอคะ ว้าว คองแกรทชูเลเชิ่น ขอแสดงความยินดีอย่างยิ่ง เพราะมันหมายความว่า คุณชายจ้าวซันขอคุณแต่งงานแล้วนะคะ”
“อะไรนะ”
“จ้าวฉินเย่ว์ ขอจ้าวไทไทแต่งงาน ด้วยเครื่องเพชรชุดนี้ มันไม่ใช่ของพี่ให้น้องหรือของที่ใครจะยกให้ใครง่ายๆนอกจากเขาจะยกเธอขึ้นเป็นไทไทของเค้าน่ะสิคะ”
เหม่ยอิงชะงักไปนิด เพราะความจริงตัวเองขโมยเขามา
“โอ๊ว นั่นมันของแน่อยู่แล้วล่ะ”
ทันใดเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พนักงานรีบส่งกระเป๋าให้เหม่ยอิง เหม่ยอิงเปิดกระเป๋ามา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วชะงัก
“ขอโทษนะคะ พี่ชายใหญ่โทมาเร่งฉันแล้ว” เหม่ยอิงยิ้มหวานหลอกลวง รีบเดินห่างออกไปแล้วหามุมหลบ หน้าเครียดทันที ขณะกดรับสาย “เกาเฟย ว่าไง”
“ผมนึกว่าเต๋อเป่าตายแล้ว แต่...มันยังไม่ตาย” เกาเฟยบอกเสียงเครียด
“อะไรนะ”
“แต่ยังไง ผมก็ริบโทรศัพท์ที่มันถ่ายรูปเราไว้แล้ว และมันก็นอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล”
“แกทำงานพลาด”
“ผมสาบานได้ ว่าผมเห็น ว่ามันตายแล้ว แต่มันดันฟื้นขึ้นมาได้ไงก็ไม่รู้”
“บัดซบ ถ้างานนี้ไม่จบ แกอย่าหวัง ว่าจะได้เงินก้อนสุดท้าย แค่นี้นะ” เหม่ยอิงกดปิดโทรศัพท์ทันที เกาเฟยหน้าเครียด
หน้าเหม่ยอิงเครียดมากขึ้น คุณนายหวังตามออกมา
“มาแล้วๆ ฉันเสร็จแล้ว รีบไปกันเถอะ คุณหนูใหญ่ เอ๊ะ มีอะไรหรือคะ” คุณนายหวังเมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเหม่ยอิง เหม่ยอิงฉีกยิ้ม
“พี่ชายใหญ่สิคะ งอน หาว่าชั้นไม่ยอมไปงานพร้อมเธอ บ้าจริงๆ พวกผู้ชายนี่ประสาทที่สุด เขาหึงถ้าชั้นจะไปปรากฏตัวในงานก่อน แล้วจะไปโปรยเสน่ห์ใส่พวกผู้ชายที่นั่น”
“แหม คุณชายจ้าวซันนี่ น่ารักจริงๆ นะคะ”
คุณนายหวังคิกคัก เหม่ยอิงทำเป็นคิกคักไปด้วย แต่แอบตาเครียด
ที่บ้านสี่ฤดู จ้าวซันประคองบราลีที่ยืนงงพาไปนั่งลงที่เก้าอี้
“อินปง กับจันทร์แรม”
“ใช่ อินปง...กับ...จันทร์แรม” จ้าวซันนั่งลงกับบราลี ดึงมือทั้งสองของบราลีมากุมไว้ “ท่านทั้งสอง เสียชีวิตพร้อมๆ กัน บนหน้าผา แม่น้ำเวียงสาย แม่น้ำชายแดนแผ่นดินคีรีรัฐ”
จ้าวซันนึกถึงเหตุการณ์ในอดีตแล้วตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้บราลีรู้
อินปงที่ร่างใหญ่ดุจยักษ์ปักหลั่น ถือดาบ คอยเฝ้าระวัง หันรีหันขวางอยู่บนฝั่ง
“ทรงทำตามพระประสงค์ของเจ้าหลวงเถิด พระเทวี ต้องเสด็จณบัดนี้ และกระหม่อมขอฝาก ลูกสาวของกระหม่อม ให้ตามเสด็จด้วยพะย่ะค่ะ”
จันทร์แรมตัวเล็กบอบบาง อายุน้อย หน้าตาน่าเอ็นดู คุกเข่าบนตลิ่งติดเรือ วางห่อผ้าที่ข้างในคือเด็กทารก ลงตรงหน้าพระเทวีศุลีมาน น่านปิงนรเทพชะโงกดูหน้าเด็กทารกที่ตากลมโต มองรอบๆ ไปมา ปากแดงเหมือนยิ้ม ขยับแขนขายุกยิกๆ น่านปิงนรเทพยื่นมือออกมา แตะที่แขนเล็กๆ ของเด็ก เด็กจับนิ้วน่านปิงนรเทพไปกำไว้ ตามองตาน่านปิงนรเทพเป๋ง น่านปิงนรเทพมองตอบ ตาโต ยื่นหน้าเข้าไปมองเด็กอย่างสนใจ
“พระเทวี” จันทร์แรมน้ำตาไหลพราก มองพระเทวีศุลีมานอย่างวิงวอน “จันทร์แรมฝากม่านฟ้าด้วยเพคะ”
“จันทร์แรม” พระเทวีศุลีมานมองจันทร์แรม งงๆ แล้วมองทารก กระพริบตา แล้วเช็ดน้ำตา “ม่านฟ้า” พระเทวีศุลีมานมองทุกคน ตั้งสติ ค่อยๆ เข้าใจชัดเจน “จริงสินะ หน้าที่ของเรา คือปกปักรักษาและทำนุบำรุงน่านปิงนรเทพ...จันทร์แรม” พระเทวีศุลีมานน้ำตาไหล ยื่นมือไปประคองใบหน้าจันทร์แรมแล้วเงยไปมองสบตาอินปงแน่วแน่ “อินปง...ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลม่านฟ้าของเจ้า ให้เหมือนกับเลือดเนื้อของข้า เพื่อตอบแทนความภักดีของเจ้าทั้งสองคน เจ้ามอบชีวิตให้ข้ากับลูกชาย เพราะฉะนั้นข้าขอสาบานชีวิตของข้ากับน่านปิงนรเทพ จะเป็นของม่านฟ้าด้วย”
จันทร์แรมเช็ดน้ำตา แล้วยื่นมือมาจับที่เท้าน่านปิงนรเทพ
“เจ้าอ้าย” น่านปิงนรเทพเงยหน้ามองหน้าจันทร์แรม จันทร์แรมพยายามยิ้มออกมา “หม่อมฉัน...ฝาก เมย ให้เป็นข้ารองพระบาทเพคะ”
“อินปง จันทร์แรม ทำไมพวกเจ้าไม่มากับเรา”
อินปงเหลียวหน้าหลัง พูดแบบหนักแน่น แต่ระวังไม่ให้เสียงดัง
“หม่อมฉันถวายเมยไปแทนแล้ว เจ้าอ้าย รีบเสด็จไปดีกว่า” อินปงมองไปทางบนเนินอย่างไม่สบายใจ แล้วนั่งลง กราบลากับพื้นดิน จันทร์แรมกราบบ้าง พระเทวีศุลีมานเอาทารกไปอุ้ม กอดแน่น มองไปทางบนเนิน อินปงหันไปทางคนเรือ “เดินทางได้แล้ว ส่งไฟมาให้ข้า คำฝาย” คำฝายส่งไต้ให้อินปง ทันใดมีเสียงฝีเท้าม้าเป็นหมู่จนพื้นสะเทือน ดังใกล้เข้ามา “รีบไป”
คำฝายผลักเรือออกที่ลึกแล้วโดดขึ้นเรือ คนเรือรีบลงมือแจวเรือ คำฝายไปช่วยคัดท้ายเรืออีกแรง เพราะเทวีศุลีมานอุ้มทารก กระถดถอยเข้าไปในประทุน แต่น่านปิงนรเทพยังนั่งคุกเข่าชะเง้ออยากรู้อยากเห็นอยู่หัวเรือ มองไปตามทิศทางเสียงม้า
“น่านปิงนรเทพ เข้ามาข้างใน” พระเทวีศุลีมานดุเสียงเข้ม
เรือหันหน้าที่เดิมหันมาทางฝั่ง ให้หมุนหันออกกลางน้ำ แล้วแจวด้วย 2 แรง พาเรือออกไปอย่างเร็วจี๋ เรือแล่นตามแรงน้ำ พุ่งฝ่าไปในความมืดรวดเร็ว
บนฝั่ง จันทร์แรมเอาผ้าคลุมหัวมาคลุมไว้ แล้วนั่งลงเปิดสวิทช์ตะเกียงแบบไฟหลอดฟลูโอเรสเซนท์สว่างมาก แสงสีขาว ใช้พลังแบตเตอรี่ที่เตรียมไว้ ขณะที่อินปงกระชับดาบมั่น แล้วพากันวิ่งย้อนไปอีกทางนึง เพื่อการลับลวงพราง
ราชิด โกศิน ควบม้า นำพวกอีก 5 นาย ขี่ม้าพร้อมอาวุธครบมือ เป็นธนูสะพายและดาบ และถือไต้ให้แสงสว่างกันมา จนมาถึงจุดลงเรือแต่แรก แล้วหยุด ยกไต้ส่องดูรอบๆ ราชิดโดดลงมาดู
“นั่น รอยพวกมัน”
โกศินโดดตาม ลงมาดู โกศินนั่งลง ส่องไต้ดูใกล้ๆ พื้นดิน
“พวกมันมีกันหลายคนนี่นา ทั้งชายทั้งหญิง”
ราชิดก้าวไปริมน้ำ มองไปในตามลำธาร ซ้าย ขวา เห็นแต่ความมืด เงียบ ลำธารไหลแรง ราชิดเพ่งไปตามตลิ่ง หาร่องรอยเพิ่ม ทันใดทหารบนม้ามองสูงขึ้นไปแล้วตาโต
“นั่น อยู่บนนั้น ท่านราชิด ท่านโกศิน ดูสิครับ”
ทุกคนเงยขึ้นไปดู บนผาเหนือฝั่งนั้นขึ้นไป เห็นแสงตะเกียงสว่างขาวจ้า ส่องลอดแนวไม้ออกมาวูบวาบๆๆ
“ใช้ตะเกียงของในวัง แบบนี้ไม่ใช่ชาวบ้าน นายพราน หรือทหารชายแดนแน่ๆ หนอย คิดจะหนีไปไหน นึกว่าจะพ้นข้าหรือ” ราชิดโดดขึ้นม้า “ตามไป! ฆ่าให้หมด”
ราชิดควบนำ ทุกคนควบตาม
ในเรือที่ไหลแล่นไปตามน้ำเร็วขึ้นๆ ในความมืด น่านปิงนรเทพมุดออกมาจากประทุนท้ายเรือ มองไปข้างหลัง
น่านปิงนรเทพเห็นขบวนม้าของราชิด โกศิน ที่สว่างด้วยไต้ในมือแต่ละคน พุ่งเป็นแนวขึ้นไปสู่หน้าผา บนผานั้นเห็นชัด สองร่าง คืออินปงและจันทร์แรมที่มีผ้าคลุมหน้า ถือตะเกียงสว่าง ล่อเป้า พากันวิ่ง สูงขึ้นไป น่านปิงนรเทพหงายเงยมอง เรือไกลจากภาพนั้นออกไปๆ
ภาพสุดท้ายที่น่านปิงนรเทพเห็น คือพวกทหารม้าตามไปทันแล้วจันทร์แรมโดนธนูล้มลง แล้วพวกราชิดเข้าไปรุม ฟันๆๆ อินปงสู้ๆๆ แล้วแสงสว่างจากตะเกียงนั้น พลันดับมืด ทำให้ภาพทั้งหมดมืดลง น่านปิงนรเทพมองไม่เห็นอะไรแล้ว แต่ตาเบิกกว้าง น้ำตาไหลพรั่งพรู
จ้าวซันน้ำตาคลอ กำลังจ้องหน้าบราลี ที่งง ช็อค เงียบ ฟังนิ่งอยู่
“ภาพสุดท้าย ที่พี่เห็นแผ่นดินคีรีรัฐก็คือภาพการพลีชีพของคุณพ่อคุณแม่ของน้อง” จ้าวซันน้ำตาไหล “ท่านตายเพื่อช่วยชีวิตพี่กับเจ้าแม่ พี่จะไม่มีวันลืม”
บราลีค่อยๆ ลำดับสติ งงงัน ซีด แล้วมองหน้าจ้าวซัน
“คุณ คือ...”
“น่านปิงนรเทพ ที่ควรจะตายไปตั้งแต่วันนั้นแล้ว”
บราลีมองหน้าจ้าวซันแล้วสะเทือนใจมาก
“แล้วเจ้าหลวง เจ้าพ่อของ คุณ...”
จ้าวซันตั้งสติ หยุดความเศร้า กลับเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา
“เจ้าพ่อ เสวยยาพิษ สิ้นพระชนม์ไปก่อน พระองค์ทรงวางแผนไว้แล้ว ที่จะให้เจ้าแม่กับพี่หนีไป ทรงสละบัลลังก์ให้เจ้าลุงขึ้นครองคีรีรัฐ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมือง ทรงเสียสละพระชนม์ชีพ เพื่อรักษาชีวิตผู้คนและชีวิตเมียกับลูก แต่ทรงพระราชทาน ตราพระราชลัญจกรให้พี่มา เพื่อทำให้อำนาจของคนพวกนั้นไม่ถูกต้อง ตามกฎหมายคีรีรัฐ” จ้าวซันลุกขึ้น ไปยืนสงบสติอารมณ์ เงียบอยู่ที่หน้าต่าง
บราลีนั่งมองด้านหลังของจ้าวซันที่ยืนเหม่อมองออกไปภายนอก แล้วลุกยืน มองดูรูปภาพครอบครัวจ้าวรอบๆห้องนั้น พยายามลำดับเรื่องราวในสมอง แล้วหันไปมองจ้าวซันอีก บราลีค่อยๆ ปะติดปะต่อ รู้สึกสงสารและนับถือจ้าวซันขึ้นมามากขึ้นๆๆ
พ่อโยเซฟรีบเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ของโรงแรมพลางดูนาฬิกา นิทรรศการเกี่ยวกับคีรีรัฐจัดแสดงอยู่ด้านนึง พ่อโยเซฟเดินเข้าไปดู พ่อโยเซฟเดินไปหยุดอยู่หน้ารูปศิขรนโรดมและครอบครัวศิขรนโรดมที่ถ่ายกันแบบรอยั่ลแฟมมิลี่
หมวดจาง ผู้กองเหลียงก้าวมาประกบ
“พวกคุณ”
“ตำรวจครับ หลวงพ่อ”
ทั้งสองหยิบบัตรแสดงตัวออกมา
“เรามีอะไร อยากจะคุยกับท่านสั้นๆ ครับ”
“รับรองว่า สั้นจริงๆ ครับ เราน่าจะคุยกันจบ ก่อนงานจะเริ่มด้วยซ้ำ”
“เกี่ยวกับอะไร พ่อก็แค่ได้รับเชิญมา ถวายการต้อนรับองค์ชายศิขรนโรดมเท่านั้นเอง พ่อไม่ได้รู้อะไรมาก”
“ก็แค่ คุยกันเรื่องคุณชายจ้าวซันเท่านั้นเองครับ”
พ่อโจเซฟอึ้ง
ที่ห้องทำงานจ้าวซัน บราลีมองรูปจ้าวซันตอนเด็กที่ถ่ายกับจ้าวฉันเย่ว์และจ้าวไทไท
“ก่อนที่คุณจะมาฮ่องกง มาเป็นคุณชายจ้าวซัน...”
จ้าวซันรีบหันมา
“เราเคยอยู่ด้วยกัน ที่ภาคเหนือของประเทศไทย เธอจำไม่ได้เลยหรือ เมย..เรามีบ้านหลังใหญ่ ริมน้ำ เธอจำพี่ชายกับเจ้าแม่ และคำฝายไม่ได้เลยหรือ”
บราลีมอง ภาพเก่าๆ แว่บเข้ามา
ลานหน้าโบสถ์คริสต์สีขาวเล็กๆ ที่มีต้นไม้เขียวสวยงาม เด็กอนุบาลหญิง ในชุดฟ้อนแบบล้านนา เกล้ามวย ติดดอกไม้ห้อยชาย กำลังฟ้อนน้อยไจยากันอยู่ ด้านนึงมีวงสะล้อซอซึงและนักร้อง กำลังขับร้องและบรรเลงสด
ด้านนึงคือพวกผู้ปกครอง รวมทั้งพระเทวีศุลีมาน คำฝายและน่านปิงนรเทพ ที่แต่งตัวปกติกลมกลืนกับชาวบ้าน แต่ดูผู้ดีกว่าด้วยสไตล์ ยืนและนั่งดูกันเต็ม ด้านนึงมีครู หลวงพ่อโยเซฟ ในหมู่เด็กทั้งหมด 7 คน ม่านฟ้า
ฟ้อนเป็นตัวกลาง สวย เด่น รำเก่ง พระเทวีศุลีมาน คำฝาย และน่านปิง มองอย่างปลาบปลื้มและตื้นตัน
ม่านฟ้า ฟ้อน เอียงขวาซ้าย โปรยยิ้มอย่างสวยงาม น่านปิงนรเทพมองแล้วขำ ยิ้ม หัวเราะออกมาที่นิ้วน่านปิงนรเทพมีแหวนสตาร์แซฟไฟร์สีน้ำเงินเข้มที่วาบแสง
“ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยไจยา” บราลีร้องออกมาเป็นเพลง “ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยไจยา”
จ้าวซันเลิกคิ้ว ดวงตาประกาย
“เธอจำได้”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน เหมือนพยายามทบทวน
ม่านฟ้าที่แต่งชุดใหม่เป็นชุดพร้อมเดินทาง โดยมีคำฝายวิ่งตาม พยายามจะเอามาลัยมะลิล้อมผมที่เกล้าเป็นมวยกลางกระหม่อมให้ พูดแบบใบ้ๆ ว่าอยู่นิ่งๆ หน่อย อย่าซนนัก จะได้สวยๆ ม่านฟ้าวิ่งมาหาน่านปิงนรเทพ ที่ยืนหงุดหงิดอยู่
“พี่เจ้า พี่เจ้า เมยจะไปแอ่วแล้วเน่อเจ้า”
น่านปิงนรเทพดึงแขนไว้ แกล้งๆ พูด
“พี่ไม่ให้เมยไป”
ม่านฟ้าสะบัดออก แล้วถอยมา ก่อนจะแลบลิ้นให้
“แบร่...พี่เจ้าไม่ได้ไป สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ พี่เจ้าต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว กุ๋ยๆๆ”
พระเทวีศุลีมานเดินขึ้นเรือนมา
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง เมย คำฝาย พาไปได้แล้ว คุณพ่อมารอนานแล้ว”
ม่านฟ้ารีบเข้าไปจูงมือคำฝาย
“เร็วๆๆ คำฝาย เราไปหาคุณพ่อกัน วันนี้คุณพ่อจะพาเมยไปแอ่วเวียง ไปกินไอติม ไปดูการ์ตูนเรื่องซินเดอริลล่าโตยเน่อ” ม่านฟ้าคุยอวดๆ เพื่อยั่วให้น่านปิงนรเทพอิจฉา
“ซินเดอเรลล่า ไม่ใช่ริลล่า ริลล่านั่นมันกอริลล่าแล้ว” น่านปิงนรเทพแย้ง ม่านฟ้าหันมาแล่บลิ้น ให้
“เจ้าพี่น่ะสิ กอริลล่า” ม่านฟ้าทำหน้าลิง แล้ววิ่งไปลากมือคำฝาย พาวิ่งลงเรือนไป
“เมย” น่านปิงนรเทพลุกขึ้น จะตามไป
บราลีเบิกตากว้าง มองหน้าจ้าวซัน แล้วน้ำตาบราลีก็ไหลออกมา น้ำตาไหลพรากๆๆ ไม่หยุด
“เจ้าพี่”
“เมย...ม่านฟ้า...”
“เจ้าพี่...น่านปิง...”
ทั้งสองผวาเข้ากอดกัน ต่างร้องไห้อย่างหนัก
“เมย พี่จะไม่ยอมให้เมยจากไปไหนอีกแล้ว พี่จะดูแลเธอ จะให้เธอมีความสุขสบายทุกอย่าง ให้สมกับที่พ่อแม่ของเธอ ได้ฝากเธอไว้กับพี่”
บราลีฟังๆ แล้วค่อยๆ สำนึก ความรู้สึกทั้งหมดวูบวาบจนขนลุกซู่ แล้วในที่สุดก็ตระหนักความจริง ว่าอะไรเป็นอะไร ขยับตัว ถอนตัวออกมาจากอ้อมกอด มองหน้าจ้าวซันด้วยความรัก เคารพ ศรัทธา เศร้า ประดังประเด แล้วในที่สุดก็ทรุดตัวลงสู่พื้น แล้วก้มกราบแทบเท้าจ้าวซัน จ้าวซันงง ตกใจ คาดไม่ถึง
“เมย ทำอะไร” จ้าวซันก้มลงประคอง บราลีมองหน้าจ้าวซัน
“เจ้าพี่ เมย เมย ขอพระราชทานอภัยเพคะ เมยช่างโง่เขลา หยาบกระด้าง ทำสิ่งที่ไม่บังควรต่อเจ้าพี่มากมาย ทั้งๆ ที่ทรงดีกับเมยทุกอย่าง พระกรุณาธิคุณท่วมหัว แต่เมยกลับตีความหมายผิดๆ ถูกๆ กล่าวหาพระองค์อย่างคนหัวคิดตื้นเขิน ไม่สมควรที่จะทรงเมตตากรุณามาถึงขนาดนี้เลย” บราลีก้มหน้าลง
“เธอไม่รู้เธอไม่ผิดหรอก เมย พี่เองสิผิด ที่ไม่กล้าบอกเธอ พี่กลัว เธอจะเกลียดพี่ ที่ครอบครัวพี่เป็นต้นเหตุ ทำให้พ่อแม่เธอ...”
“หม่อมฉันจะคิดอย่างนั้นได้ยังไง หม่อมฉันกลับรู้สึกปีติ ภาคภูมิใจเป็นที่สุด ที่พ่อแม่ของหม่อมฉัน ได้มีส่วนถวายชีวิต เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าหลวงและพระเทวีด้วยซ้ำ หม่อมฉันไม่คิดเลย ว่าพ่อกับแม่จะเป็นบุคคลที่กล้าหาญ เป็นวีรชนที่ยิ่งใหญ่ และมีความสำคัญถึงเพียงนี้ คิดเพียงว่าตัวเองเป็นเพียงเด็กกำพร้า ที่อาจจะถูกขาย หรือลักพาตัวมา แต่แล้วที่แท้ครอบครัวของหม่อมฉัน เป็นทหาร เป็นข้าราชบริพารที่เคยรับใช้เบื้องยุคลบาทอย่างใกล้ชิด”
“เธอคิดอย่างนั้นหรือ เมย พี่ พี่ขอบใจ ที่เธอไม่โกรธ”
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ว่าอะไร เป็นอะไร คุณพ่อสุริยะคือผู้มีพระคุณ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ผู้ปกครองหม่อมฉันมาจนโต ชีวิตของหม่อมฉัน แต่เริ่มต้น จนเล่าเรียนจบมา ถึงบัดนี้ ที่แท้อยู่ภายใต้พระอุปถัมภ์ของพระองค์มาโดยตลอด”
“พี่ควรจะทำได้ดีกว่านี้ด้วยซ้ำ”
“ทรงทำดีมากที่สุดแล้วเพคะ ดีที่สุดเท่าที่องค์ชายรัชทายาทจะเมตตาข้าราชบริพาร ข้ารองพระบาทเล็กๆ คนนึง”
“เมย เจ้ามีความหมายต่อพี่ มากกว่านั้น”
“หม่อมฉันคือ ข้ารองพระบาทพระองค์จริงๆ เพคะ และจากนี้ หม่อมฉันขอถวายชีวิตแด่พระองค์ตลอดไป จะขอทำทุกอย่าง เพื่อให้พระองค์ได้กลับไปครอบครองบัลลังก์คีรีรัฐให้ได้ แม้ว่าตัวจะตาย ชีวิตจะหาไม่ เช่นเดียวกับพ่ออินปงและแม่จันทร์แรมเพคะ” ดวงตาที่มองขึ้นมา มั่นคง เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ แล้วกราบลงอีกทีที่เท้าจ้าวซัน จ้าวซันอึ้ง ซึ้ง แล้วดึงตัวบราลีให้ลุก บราลีกราบลงไปอีกที
จ้าวซันซึมซับความรักภักดี ก้มลงดึงตัวบราลีขึ้นมา แล้วกอดไว้อีกครั้งอย่างแนบแน่น
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 9 (ต่อ)
คุณพ่อโจเซฟยืนอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม เอามือไพล่หลัง ทอดสายตามองไกลออกไป ด้านหลังมีผู้กองเหลียงและหมวดจางยืนประกบอยู่ไม่ห่าง
“ถ้าพ่อจะไม่เล่าอะไรให้ผมฟังมากไปกว่านี้ ผมก็คงไม่มีสิทธิ์จะไปบังคับอะไรได้”
“สิ่งที่พ่อเล่าได้ พ่อก็เล่าให้ฟังไปหมดแล้ว”
“เรื่องที่คุณพ่อเล่าได้ ผมก็รู้มาหมดแล้วเหมือนกัน ข้อมูลพวกนี้เด็กประถมมันเข้า ไปเซิร์จหาในอินเตอร์เนตก็เจอ” คุณพ่อโจเซฟและหมวดจางหันมามองหน้าผู้กองเหลียง “ผมขอโทษ”
“การรู้ว่าจ้าวซันเป็นใครมาจากไหนมันสำคัญกับตำรวจมากขนาดนั้นเลยเหรอ”
“มันก็มีส่วนช่วยในเรื่องคดีที่เรากำลังตามอยู่บ้าง”
“ด้วยเกียรติของพ่อ พ่อรับรองว่ายังไงจ้าวซันก็ไม่มีทางเป็นคนร้ายที่ทำผิดกฎหมายเด็ดขาด ไม่ว่าคดีไหนๆ ก็ตาม”
“จะไม่ดูเทพบุตรเกินไปหน่อยเหรอครับ หมวดว่าไหม ในโลกนี้มันจะมีคนที่หน้าตาดี การศึกษาดี ร่ำรวยล้นฟ้า แถมยังนิสัยดี เป็นคนดีอีกต่างหาก”
“ก็นั่นนะสิครับ”
“สิ่งที่คุณพ่อกำลังปกปิดอยู่ อาจจะเป็นเรื่องเสื่อมเสียของคุณชายจ้าวซันก็ได้ เช่นเขาอาจจะเป็นลูกโจร ลูกพ่อค้ายาเสพติดที่โดนฆ่าตาย หรือไม่ก็พวกนักโทษทางการเมือง”
“บาปกรรม บาปกรรม ชาติกำเนิดของเขาสูงส่งเกินกว่าพวกคุณจะมาลามปามล้อเล่น”
ผู้กองเหลียงเดินเข้ามาใกล้ๆ คุณพ่อโจเซฟ
“นั่นสิ ผมก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะก่อนที่ผมจะมาที่นี่ คุณชายจ้าวซันก็ให้ผมดูเป็นรูปสมัยที่เขายังเด็ก ถ่ายกับคุณพ่อที่ต่างประเทศ ที่ไหนนะ เขาบอกมาแต่ผมลืมไปแล้ว”
“ประเทศไทย”
“อ๋อ ใช่ๆๆ”
“แต่จ้าวซันเป็นคนคีรีรัฐ” หมวดจางบอก พ่อโจเซฟนิ่งเงียบ
“เด็กชายที่มีชาติกำเนิดสูงส่ง ที่หลบหนีมาจากคีรีรัฐ เมื่อประมาณยี่สิบปีก่อนก็คงเป็นใครไปไม่ได้ นอกเสียจาก...”
ผู้กองเหลียงมองจ้องเข้าไปในดวงตาของพ่อโจเซฟ
“ใช่ ถ้าไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้นซะก่อน ตอนนี้เขาคงจะได้เป็นเจ้าหลวงที่ครองบัลลังก์แห่งนครคีรีรัฐอย่างสมเกียรติ ไม่ใช่เจ้าหลวงคนปัจจุบัน ที่มีตราบาปจากการฆ่าฟันแย่งชิง เป็นเงาหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา แม้แต่องค์ชายรัชทายาทที่เสด็จมาเป็นแขกสำคัญในครั้งนี้ ก็เป็นองค์รัชทายาทที่ปราศจากตราแห่งพระราชวงศ์ที่ถูกต้องมารับรอง และไม่ว่าผู้ใด ก็มิอาจหาพบตรานั้น”
ผู้กองเหลียงอึ้งเมื่อรู้ความจริง หมวดจางตะลึง มองหน้ากัน
ประตูลิฟต์ชั้นที่ศิขรนโรดมประทับอยู่เปิดออก ทหารคีรีรัฐกดปุ่มลิฟต์ลงค้างไว้ ขบวนเสด็จเดินตามๆ กันมา นำโดยโกศินกับราชิด แต่มาหยุดรอ แหวกทางที่หน้าลิฟต์ ศิขรนโรดมที่แต่งตัวในชุดองค์รัชทายาทเต็มยศ สง่างาม เดินนำเข้าไปในลิฟต์ ตามด้วยมิถิลาในชุดทหารราชองครักษ์
ราชิดขยับจะก้าวตามเข้าไป แต่ทันใดนั้นประตูลิฟต์ก็ปิดลงใส่หน้า ราชิดเกือบถูกประตูลิฟต์หนีบจึงรีบถอยออกมาแล้วหันมาดุทหาร
“โธ่เว้ย กดยังไงว่ะ”
“ขอโทษครับท่าน”
ทหารรีบยกมือขึ้นจากปุ่มกดมาทำความเคารพ ประตูลิฟต์ค่อยๆ เลื่อนปิดอีกครั้ง โกศินรีบพุ่งเข้าไปกดปุ่มลงค้างไว้ ประตูลิฟต์ก็ยังไม่เปิดออก โกศินรีบกดปุ่มรัวๆๆๆ
ศิขรนโรดมและมิถิลามองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะไม่ได้ขยับหรือทำอะไรเลย แล้วประตูลิฟต์ค่อยๆ ปิดสนิท
“เฮ้ย”
ราชิดใช้มือทุบที่ประตูลิฟต์ ปังๆๆ
“เปิดสิวะ เปิดๆ”
ราชิดหันมามองหน้าโกศิน
ภายในลิฟต์ ภูสินทรซ่อนตัวอยู่ที่มุม กดปุ่มปิดประตูค้างไว้
“กระหม่อมมารับฝ่าบาท เพื่อจะไปเตรียมพระองค์ก่อนขอจงวางพระทัย”
ภูสินทรบอก ศิขรนโรดมมองหน้ามิถิลากันอย่างตื่นๆ
ราชิดโวยวายอยู่หน้าลิฟต์
“ทำไมกดไปแล้วประตูมันถึงไม่เปิด ลิฟต์เสียหรือไง”
ทหารต่างพากันก้มหน้าก้มตา ไม่มีใครกล้าตอบ
“เรารีบตามลงไปดีกว่า”
โกศินกดปุ่มลงลิฟต์อีกครั้ง ทั้งหมดแหงนหน้าดู ลิฟต์อีกตัวยังคงค้างอยู่ชั้นบน ลิฟต์ของศิขรนโรดมกำลังจะลงไปเรื่อยๆ ราชิดร้อนรน
“ชักช้าไม่ทันใจจริงๆ งานมีที่ชั้นสองใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“ลงบันได” โกศินมองหน้าราชิด ราชิดรีบเดินนำหน้าไปทางบันไดอย่างรวดเร็ว ทหารที่เหลือเดินตามมา ราชิดหันไปมอง “ใครใช้ให้พวกเจ้าเดิน รีบวิ่งไปสิ ไปดักที่ชั้นสอง ให้ทันองค์รัชทายาท แล้วเฝ้าไว้อย่าให้คลาดสายตา” ทหารสามนายที่เดินตามมารีบออกวิ่งนำหน้าลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว ราชิดและโกศินตามไปติดๆ “ไปดูที่ลิฟต์ด้วยว่าจอดที่ชั้นไหนหรือเปล่า”
ทหารสามนายกุลีกุจอแยกย้ายกันไป คนที่วิ่งไปดูที่หน้าลิฟต์เสร็จแล้วก็วิ่งกลับมาลงบันไดต่อ
“ลิฟต์อยู่ชั้นหกแล้วครับ”
ราชิดรีบวิ่งลงบันไดไปเรื่อยๆ ตามมาด้วยโกศิน
“ชั้นห้าแล้วครับ”
“ดี โรงแรมห่วยๆ แบบนี้มันจะไปรักษาความปลอดภัยให้แขกได้ยังไงวะ”
“จริงครับ”
“ให้ลงไปได้ก่อนเหอะ จะไปร้องเรียนให้ถึงที่สุดเลยคอยดู”
ราชิดก้าวลงบันไดขั้นสุดท้ายมา หอบแฮ่ก โกรธกระฟัดกระเฟียด ตามมาด้วยโกศิน ทหารอีกสามคนยืนรออยู่ก่อนแล้ว ราชิดมองไปรอบๆ ห้องโถง มองหาศิขรนโรดมไม่เจอ ราชิดหันไปถามทหารที่ยืนรออยู่
“องค์ชายอยู่ไหน”
“ไม่เห็นครับท่าน ลงมาลิฟต์ก็เปิดอยู่ แต่ก็ไม่เจอใครแล้ว”
“เว้ยย แล้วจะมามัวยืนรอหาพระแสงอะไรวะ ตามหาองค์ชายให้เจอ หาทุกซอกทุกมุม เร็ว”
ทหารรับคำสั่งแล้วแยกย้าย
“น่าจะเสด็จเข้าไปในงานแล้วหรือเปล่า”
“ไม่มีทาง”
โกศินยกนาฬิกาขึ้นมาดู
“ยังไม่ถึงกำหนดการ”
“องค์ชายกำลังเล่นตลกกับพวกเราอยู่แน่ แยกกันหาเร็ว ไปบอกให้คนในโรงแรมช่วยกันหาด้วย ไป”
ราชิดแยกออกไป ไม่ได้มองทาง ชนกับเทเรซ่าที่เดินรีบร้อนสวนเข้ามาอย่างจัง
“อุ๊ย เอ่อ...ขอโทษค่ะๆ”
“คุณ เห็นเจ้าชายศิขรหรือเปล่า”
“เอ่อ อะไรนะคะ เจ้าชายศิขร? คือดิฉันมาจากล็อบบี้ข้างล่าง กำลังจะมาเชิญเสด็จเจ้าชายเข้าไปประทับรอในห้องรับรองก่อนน่ะค่ะ ตอนนี้ก็ใกล้เวลางานมากแล้ว” ราชิดกับโกศินมองหน้ากันอึ้ง “แล้วองค์ชายไม่เสด็จอยู่กับพวกคุณหรอกหรือคะ พวกคุณออกจะแวดล้อม ป้องกันอย่าเข้มงวดนี่คะ”
เทเรซ่ามองสองคนอย่างสงสัย ราชิดยิ่งอารมณ์เสีย
“ไม่ เสด็จล่วงหน้าลงมาก่อนแล้ว คุณไม่เห็นพระองค์หรือ”
“อ๋อ งั้นสงสัยเจ้าหน้าที่ของทางโรงแรมเชิญเสด็จไปประทับอยู่ในงานแล้วกระมัง”
ราชิด โกศินฮึดฮัด รีบวิ่งผ่านแซงหน้าเทเรซาไป แทบชนเทเรซ่ากระเด็น
หน้างานเลี้ยงรับรอง แขกภายในงานเริ่มทยอยกันเข้ามา ทุกคนแต่งตัวหรูหรา อลังการ เหม่ยอิงในชุดราตรีสีดำใส่เครื่องเพชรของไทไท เดินสวยสง่าราวกับนางพญามากับมาดามหวัง ที่เหมือนนางสนองพระโอษฐ์ แขกภายในงานต่างพากันสะกิดมอง ซุบซิบแบบทึ่งๆ นักข่าวรีบกรูเข้าไปถ่ายรูป เหม่ยอิงแกล้งเอามือไปขยับสร้อยเพชรให้เข้าที่ ยิ้มเชิดและเดินเข้ามาอย่างภาคภูมิใจ
หมวดจางกับผู้กองเหลียงที่เปลี่ยนชุดเป็นสูทโก้ ยืนซุ่มอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน หมวดจางหันมาเห็น อ้าปากค้าง ผู้กองเหลียงที่ดื่มเครื่องดื่มอยู่ ตะลึงงัน วางเครื่องดื่มในมือลงในถาดของบริกรที่เผอิญเดินผ่านมาพอดี ด้วยอาการตกใต้ภวังค์
“ความงามที่อาจทำให้เหยื่อถึงแก่ความตายได้”
“ใช่ ถึงตายก็ไม่รู้ตัว แม้ลมหายใจจักขาดห้วงไป แต่ปากยังยิ้มอยู่เลย”
“ดูเพชรเส้นนั้นสิครับ บาดตาบาดใจมาก ทำให้ผู้ชายเดินดินกินข้าวแกงอย่างเรา อยากฆ่าตัวตายไปซะให้พ้นๆ เพราะเสียใจ ที่ไม่มีปัญญาจะไปตายคาอกเธอ”
“อย่ามาทะลึ่งเบเบ๋” ผู้กองเหลียงผลักหน้าหมวดจางให้พ้นทาง เดินเข้าไปหาเหม่ยอิง
เหม่ยอิงกับคุณนายหวังกำลังทักทายกับพวกคุณนายไฮโซทั้งหลายอยู่ เหม่ยอิงชำเลืองเห็นผู้กองเหลียงกำลังเดินตรงมา เหม่ยอิงขอตัวเดินออกมาจากวงสนทนา
“ผู้กองเหลียง ดีใจที่สุดค่ะ ที่ได้พบ เซอร์ไพร้สมาก ที่เห็นคุณในรูปโฉมที่แปลกตาเช่นนี้” เหม่ยอิงยื่นมือให้
“ทำไมครับ ผมไม่คู่ควรกับเสื้อผ้าที่หรูหราคลาสสิคแบบนี้หรือ”
ผู้กองเหลียงส่งตาหวาน แล้วจับมือเหม่ยอิงขึ้นมา พลิกและจูบที่หลังมือแบบห่างๆ เป็นมารยาทตะวันตก หมวดจางมองทั้งสองอย่างทึ่งๆ เหม่ยอิงดึงมือกลับ ทำท่าจริตใส่
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะ ก็เห็นไปไหนทีไร ผู้กองก็แต่งตัวชุดเดิมๆๆ ทุกที เพราะผู้กองอยู่ระหว่างปฏิบัติราชการอยู่ตลอดเวลา แล้วงานนี้ ผู้กองมา “ออกงาน” หรือมา “ออกปฏิบัติภารกิจราชการ” ล่ะคะ”
“ก็ ทั้งสองอย่าง มั้งครับ”
“นั่นไงล่ะ เห็นไหม”
“คุณเหม่ยอิง คืนนี้คุณสวยมากๆ ครับ”
“แล้วคืนอื่น หรือวันอื่น ไม่สวยมากหรอกหรือคะ”
“เจอทุกครั้ง ก็สวยขึ้นกว่าครั้งก่อนทุกคราวต่างหากครับ”
เหม่ยอิงมองผู้กองเหลียงอย่างยั่วยวน หัวเราะต่อกระซิก หมวดจางรีบมาแทรก ยื่นมือไปให้
“ผม...หมวดจางครับ ยินดีที่...”
เหม่ยอิงหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ไม่ได้ยินหมวดจาง
ฉินเจียงเดินควงซูหลิงเข้ามาในงาน ซูหลิงสวยด้วยรัศมีดารา ช่างภาพมารุมถ่าย แสงแฟลชวาบๆ เหม่ยอิงทนไม่ได้
“ขอตัวก่อนนะคะ ดิฉันพบญาติเสียแล้ว”
เหม่ยอิงเดินไปสะกิดคุณนายหวัง และรีบเดินลิ่วไปหาฉินเจียงกับซูหลิง หมวดจางเซ็ง หดมือกลับมาเก้ออผู้กองเหลียงมองตาม สังเกตการณ์
เหม่ยอิงกับคุณนายหวังเดินผ่าแขกเหรื่อภายในงานตรงไปยังฉินเจียงและซูหลิง ฉินเจียงจับมือซูหลิงขึ้นชู อวดแหวนหมั้นที่นิ้วซูหลิงให้แขกคนอื่นๆ ดู
“ไม่กี่กะรัตหรอกครับ ไม่ถึงสิบ นี่แค่แหวนขอแต่งงาน แต่พอวันแต่งจริงๆ รับรอง ว่าแหวนจะใหญ่กว่านี้” ฉินเจียงบอกกับนักข่าว
“โอว แล้วมีฤกษ์แต่งงานหรือยังครับ” นักข่าวยิงคำถาม
“เรื่องนั้นก็ คงต้องแล้วแต่ผู้ใหญ่ฝ่ายซูหลิงล่ะครับ”
ฉินเจียงกอดซูหลิง มาทำท่าสวีท และโชว์แหวน หน้ากล้องต่างๆ เหม่ยอิงเดินมาปิดทางกล้อง ตบมือขึ้นแย่งความสนใจ
“อุ๊ยตาย มาเกือบไม่ทันได้ยินข่าวดี พี่ชายรองปิดเงียบเลย ไม่เห็นบอกน้องหรือใครๆ ในบ้านของเราเลยนะคะ”
“เหม่ยอิง”
ฉินเจียงมองมา แล้วเห็นสร้อยเพชรของไทไทก็ตะลึง เหม่ยอิงมองกลับมาอย่างท้าทาย ไม่เกรงกลัว ซูหลิงดูหวาดๆ รีบหลบไปข้างหลังฉินเจียง
“ผู้หญิงคนนี้ ไม่คุ้นหน้าเลย เธอคือใครเหรอคะ แนะนำให้น้องรู้จักบ้างสิ”
“ก็...นี่ซูหลิง เธอรู้จักแล้ว”
ซูหลิงเดินออกมาก้มหัวทักทายอย่างเสียไม่ได้
“สวัสดีค่ะ คุณเหม่ยอิง”
“อ๋อ...นึกว่าใคร นักร้องค็อกเทลเลาจน์สำหรับพวกลูกเสี่ยกระเป๋าหนัก แต่สมองเบาน่ะเอง ค่าบริการแพงมาก คนที่ไปเที่ยว รวยอย่างเดียวไม่พอ ต้องโง่ด้วย คนนี้ดูเหมือนเป็นดาวนะคะ ใครไปเที่ยวเป็นต้องเรียกมานั่งโต๊ะ น้องก็เลยไม่รู้ว่าพี่รองจะเอาจริงหรือจะเอาเล่น”
“เหม่ยอิง”
ซูหลิงรั้งแขนฉินเจียงไว้เพื่อเตือนสติ
“เอ่อ...ขอตัวก่อนนะครับ ซูหลิงเราไปทางโน้นที่กว่า ผมได้กลิ่นอะไรตุๆ แถวนี้ก็ไม่รู้”
ฉินเจียงว่าใส่หน้าเหม่ยอิง
“ตายจริง มีใครเหยียบขี้หมามาหรือเปล่าคะ ไหนดูสิคะ”
คุณนายหวังนำยกเท้าขึ้นดูทีละข้าง คุณนายคนอื่นก็พลอยซื่อทำตามไปด้วย ฉินเจียงอารมณ์เสีย
“กลิ่นของคนจำพวกสวยแต่รูป จูบไม่หอมตังหากล่ะ คุณนายหวัง” ฉินเจียงรีบจูงมือซูหลิงเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง เหม่ยอิงส่งเสียงดังตามไป
“สงสัยว่าที่พี่สะใภ้ของดิฉันคงไม่คุ้นเคยที่จะสนทนาวิสาสะกับสุภาพสตรีผู้มีเกียรติแบบพวกเราๆ น่ะค่ะ ต้องขออภัยแขกผู้มีเกียรติทุกท่านด้วย เธอเคยแต่รับแขกที่เป็นสุภาพบุรุษล้วนๆ”
แขกได้ยินก็เริ่มซุบซิบกัน ซูหลิงสะบัดมือฉินเจียงเดินกลับมา
“ขอโทษนะคะ คุณหนูเหม่ยอิงคงเข้าใจผิด ดิฉันไม่ได้ทำงานร้องเพลงนานแล้ว เวลานี้ดิฉันเปิด แอนที้ค ช้อป อยู่ที่เกาลูนน่ะคะ”
“อะไรนะคะ แอนที้ค ช้อป?” คุณนายหวังถามอย่างสงสัย
“ขายของ ”เก่า” น่ะค่ะ” เหม่ยอิงบอก พวกคุณนายคนอื่นๆ พากันหัวเราะขำ ฉินเจียงเดินตรงเข้ามาประจันหน้าเหม่ยอิง แขกคนอื่นๆ เริ่มถอยห่าง “ทำไม พี่จะทำอะไรฉัน”
“อย่าปากดีให้มากนักนะ คิดหรือว่าในงานแบบนี้ฉันจะไม่กล้าทำอะไร”
“ไม่คิ้ด ไม่เคยคิด เพราะฉันรู้ว่าคนอย่างพี่ทำ “เลว” ได้ทุกกาลเทศะอยู่แล้ว” ฉินเจียงขยับ ซูหลิงเข้ามาคว้าข้อมือไว้ ฉินเจียงกำหมัดแน่น “พี่ทำอะไรอย่านึกว่าฉันไม่รู้นะ ระวังเถอะ อีกหน่อยต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในคุก ส่วนเธอก็เตรียมตัวเตรียมใจไปเยี่ยมว่าที่สามีของเธอในคุกก็แล้วกัน ฉันขอทำนายไว้เลย”
ฉินเจียงหน้าเจื่อนลง
“บ้า ประสาท ทำนายบ้าบออะไร อยากทำตัวเป็นแม่ใหญ่อีกคนหรือไง” ฉินเจียงมองที่สร้อยเพชรของแม่ใหญ่ แล้วเดินเข้าไปเอานิ้วเขี่ยเล่น “เธอระวังให้ดีเถอะ แอบขโมยเอาสร้อยของจ้าวไทไทมาใส่แบบนี้ ไม่กลัวโดนคำสาปหรือไง”
เหม่ยอิงปัดมือฉินเจียงออก หน้าเจื่อนไปเล็กน้อย
“งมงาย เก็บไว้ไปหลอกยายผิงอันเถอะ ใจจริงพี่ก็อยากจะได้เอาไว้เองใช่ไหม ฉันรู้”
“ใช่ คนเดียวที่จะมีสิทธิ์ในเครื่องเพชรชุดนี้ก็คือฉัน ฉันเป็นลูกชายคนเดียวของเต้ เธอไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแตะต้องมันเลยด้วยซ้ำ รู้ไว้ซะ”
“อืม... รู้แล้ว แล้วไง”
“รู้แล้วก็เอามานี่”
ฉินเจียงตรงเข้าไปหมายจะถอดสร้อยเพชรออกจากคอเหม่ยอิง เหม่ยอิงพยายามขัดคืน คุณนายหวังเข้าไปช่วย ซูหลิงคอยห้าม แขกคนอื่นๆ ยืนตะลึง ทันใดนั้นมีเสียงฮือฮาดังมาจากข้างนอก นักข่าววิ่งกรูกันออกไป แขกคนอื่น ทยอยเดินไปดู ฉินเจียงกับเหม่ยอิงหยุด ชะเง้อมองไปทางที่มาของเสียง
จ้าวซันในสูทโมเดิร์นแฟชั่นที่คัตติ้งเข้ารูปทรง ยืนอยู่หน้างานพร้อมบราลีที่ใส่ชุดประจำชาติคีรีรัฐ และเครื่องประดับทั้งหมดครบชุด สวยสง่าสูงส่งมาก ทุกคนเข้าไปรุมล้อมจ้าวซัน และชื่นชมในความสวยงามของบราลี
จ้าวซันมองบราลี ยิ้มอย่างชื่นชม นักข่าวเข้าไปขอถ่ายรูปไม่ขาดสาย แสงแฟลชสว่างวูบวาบ จ้าวซันยื่นมือส่งให้บราลี บราลีย่อตัวถวายบังคม แล้วค่อยๆ วางมือลงบนมือจ้าวซัน จ้าวซันค่อยๆ จูงบราลีเข้าไปในงาน
“เดี๋ยวครับๆ ขออีกรูปครับ”
ก่อนจะเข้าไปภายในงาน บราลีมองหน้าจ้าวซัน แววตาประหม่าเล็กน้อย จ้าวซันพยักหน้าให้ ยิ้ม เป็นกำลังใจ
“พร้อมหรือยัง”
“ค่ะ”
จ้าวซันและบราลีก้าวเข้าไปในงานพร้อมกัน
จ้าวซันและบราลีเดินผ่านประตูเข้ามาภายในงาน ทั้งคู่หยุดทักกับบรรดาแขกผู้มีเกียรติเป็นระยะๆ เหม่ยอิงตะลึง มองเห็นจ้าวซันกับบราลียืนอยู่ด้วยกันตรงหน้างาน แขกรุมล้อม คุณนายหวังเดินมาสมทบเห็นเหม่ยอิงกำลังตกตะลึง จึงชะเง้อมองไปบ้าง
เหม่ยอิงเห็นบราลีในชุดสวยงาม กำลังเดินเคียงคู่กับจ้าวซัน ทักทายแขกเหรื่อด้วยกัน จ้าวซันจับมือกับบราลีแล้วพาจูงเดินไปอีกทาง ทั้งคู่ยิ้ม หัวเราะให้กันอย่างมีความสุข เหม่ยอิงแค้นสุดขีด แต่พยายามเก็บอารมณ์ สะบัดหน้าหนี แล้วเดินไปอีกทาง
“อ้าว คุณหนูใหญ่จะไปไหนล่ะคะ” คุณนายหวังถาม
“ชั้น ชั้นจะกลับ”
คุณนายหวังสังเกตเห็นอาการ รีบเดินเข้าไปขวางหน้าเหม่ยอิงทันที
“เกิดอะไรขึ้น คุณหนูใหญ่”
คุณนายหวังพาเหม่ยอิงมายืนหลบผู้คน เหม่ยอิงมีอาการหอบๆ ขึ้นมา เหมือนจะขาดใจ ต้องเกาะผนัง ยึดเป็นที่พึ่ง
“ชั้น ชั้นรู้สึก ไม่...ไม่สบาย ชั้นหายใจไม่ออก ที่นี่ มันไม่มีอากาศเลย”
“ทำไมจะไม่มีคะ อากาศเต็มไปหมด เย็นสดชื่นจะตาย คุณคิดไปเองหรือเปล่า คุณกำลังไม่มั่นใจอะไรใช่ไหมคะ งั้นตอบชั้นหน่อย คุณมีอะไรที่คุณสู้ยัยเด็กต่างด้าวคนนั้นไม่ได้บ้าง หน้าตา เกียรติยศ ชื่อเสียง วงศ์ตระกูล คุณมีพร้อมหมดทุกอย่าง แล้วคุณจะไปกลัวอะไร”
“พี่ชายใหญ่ จ้าวซัน เขาชอบทำให้ฉันรู้สึกว่าเขารักคนอื่นมากกว่าฉันทุกที”
“คุณคิดไปเอง ไม่มีใครรู้หรอกค่ะว่าคุณชายจ้าวซันรักใครมากกว่ากัน และมันก็ไม่สำคัญด้วย”
“แต่ถ้า...”
“แต่ถ้า...คำว่าแต่ถ้า ใช้ขึ้นต้นประโยคที่เป็นสมมุติฐานค่ะ ไม่ใช่เรื่องจริง ตอนนี้คุณชายจ้าวซันยังไม่ได้แต่งงาน ไม่มีใครเป็นเจ้าของทั้งนั้น ใครดีใครได้ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ต้องเอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนตร์ ต้องเอาด้วยคาถา อย่ายอมแพ้มันง่ายๆ สิคะ ด๊อนท์ กิ๊ฟ อัพ”
เหม่ยอิงครุ่นคิดสักพัก พยายามเรียกความมั่นใจกลับคืนมา สูดลมหายใจลึก คุณนายหวังลูบหลังไหล่ไปมา
เหม่ยอิงค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ตรงที่จ้าวซันและบราลียืนอยู่ อาศัยแขกคนอื่นๆ ภายในงานช่วยบัง เหม่ยอิงเห็นบราลีมีท่าทีเรียบร้อยและนอบน้อมผิดสังเกต บราลีเดินผ่านหน้าจ้าวซันก็มีการก้มค้อมตัวลง เหม่ยอิงขมวดคิ้ว สงสัยในกิริยาของบราลีที่ดูแปลกตา
จ้าวซันแนะนำบราลีให้กับแขกคนอื่นๆ บราลีก็ดูอ่อนหวาน สวย สง่า เหม่ยอิงหมั่นไส้ ตัดสินใจเดินเข้าไปหาจ้าวซันกับบราลี จ้าวซันเห็นเหม่ยอิงเดินมาแต่ไกล เงยหน้าขึ้นไปมองเห็นชุดเครื่องเพชรก็ตะลึง
“มาช้าจังเลยนะคะพี่ชายใหญ่ มัวไปทำอะไรอยู่คะ”
จ้าวซันรีบลากเหม่ยอิงไปพูดด้วยใกล้ๆ
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าจะใช้ชิ้นไหนก็หยิบไป แต่ยกเว้นชุดเครื่องเพชรของแม่ใหญ่ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด”
จ้าวซันจ้องหน้าเหม่ยอิงดุจริงจัง ไม่ได้พูดเล่น เหม่ยอิงทำเมิน ไม่สนใจ เปลี่ยนเรื่อง
“ไทเบี้ยวน่ะค่ะ”
เหม่ยอิงเอามือจัดเนคไทจ้าวซันให้เรียบร้อย และเอามือปัดฝุ่นบนสูทของจ้าวซันอย่างพอเป็นพิธี บราลีหันไปเห็น แล้วรีบหันกลับ จ้าวซันหันไปชำเลืองมองบราลีที่กำลังคุยกับแขกในงานอยู่ 2-3 คน เหม่ยอิงหันไปมองตาม มีแขกคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับจ้าวซันพอดี เหม่ยอิงเลยได้จังหวะรีบปลีกตัวออกไปหาบราลีทันที
“มิสภีมะมนตรี มานานหรือยังคะ ขอโทษนะคะไม่ทันสังเกต”
“อ๋อ มาพร้อมคุณชายจ้าวซันค่ะ” บราลีแกล้งทำหน้าซื่อใส
“อ้อ...ดีค่ะ แหม ชุดสวยจังเลย เช่ามาจากไหนคะเนี่ย ดูแหวกแนวดี”
“คุณคงไม่เคยพบเคยเห็นชุดประเภทนี้หรอกค่ะ”
“ทำไมฉันจะไม่เคยพบเคยเห็นล่ะ ก็ชุด “แฟนซี” ไม่ใช่เหรอ อืมม ไอเดียเก๋ดีนะคะ ใส่ชุดแฟนซีมางานราตรีเป็นชุดไทยก็ไม่ใช่ ชุดพื้นเมืองทาง 12 ปันนา ตอนใต้ของจีนก็ไม่เชิง นี่ถ้าฉันไม่ได้เรียนจบการออกแบบเสื้อผ้าและเครื่องประดับมาจากเมืองนอกอย่างคุณ ฉันคงไม่กล้าใส่”
“ฉันกล้าค่ะ เพราะฉันศึกษาคอนเซ็ปท์งานมาดีแล้ว เรามางานของเจ้าชายคีรีรัฐ นี่คือชุดประจำชาติ...ของสุภาพสตรีในราชสำนักของคีรีรัฐ ซึ่งดิฉันคิดว่ามันเหมาะสมกับงานอย่างที่สุด ชุดราตรีสีดำของคุณก็สวยคลาสสิคมาก ที่สำคัญ คุณเหม่ยอิงเป็นคนที่สวมใส่อะไรก็สวย เด่น ไม่มีใครสู้”
“ขอบคุณนะ” แขกคนที่คุยกับจ้าวซันกำลังเดินออกไป เหม่ยอิงได้จังหวะรีบเดินเข้าไปควงแขนจ้าวซัน “พี่ใหญ่ขา ทางนี้คะ น้องมีแขกจะแนะนำให้พี่ชายใหญ่รู้จัก”
เหม่ยอิงพาจ้าวซันออกเดิน จ้าวซันหันกลับมามองบราลี อย่างเป็นห่วง
“เดี๋ยวก่อนเหม่ยอิง บรี ตามมาด้วยกันสิ”
จ้าวซันพยักหน้าเป็นสัญญาณให้บราลีรีบเดินตามมา เหม่ยอิงไม่สนใจ ไม่หันไปมองบราลี ควงจ้าวซันออกเดินไปอย่างรวดเร็ว
“เขาควรไปดูแลเจ้าชายสิคะ ออกจะแต่งชุดมาล่อเจ้าชายซะขนาดนั้น เรียกเทเรซ่ามาพาเขาไปเฝ้าแบบเป็นการส่วนพระองค์คงจะดี จะให้เขามาตามเกาะพี่ชายทำไม เราต้องไปช่วยกันรับแขก ในนามของฉินเย่ว์กรุปสิคะ มาค่ะ พี่ชาย”
บราลีหน้าเซ็ง เดินตามมาห่างๆ
จ้าวซันอึดอัด เดินมากับเหม่ยอิง แล้วมองไป เห็นฉินเจียงกับซูหลิง
“ฉินเจียงก็มาหรือนี่” จ้าวซันเครียดขึ้นมา เผลอเอามือแตะที่ปาก
“อย่าไปสนใจมันเลยค่ะ พี่ชายใหญ่ เราไปพบท่านผู้ว่า...”
จ้าวซันปลดมือเหม่ยอิง
“เดี๋ยว พี่มีธุระกับเขา”
จ้าวซันรีบเดินไปหาฉินเจียง เหม่ยอิงแทบจะกระทืบเท้าขัดใจ ซูหลิงเห็นจ้าวซัน ยิ้มแต้ รีบปรี่มาหา
“คุณชายใหญ่”
ซูหลิงยื่นมือมาให้ จ้าวซันจับ บีบ ยิ้มให้อย่างให้กำลังใจ แล้วเห็นแหวน
“โอ้ แหวน” จ้าวซันมองฉินเจียง “ฉันควรแสดงความยินดีกับนายได้แล้ว ใช่ไหม ฉินเจียง”
ฉินเจียงเครียด เมิน เหม่ยอิงมอง ไม่พอใจ
“ขอบคุณคุณชายเรื่องร้านมากค่ะ คุณชายต้องมาเป็นประธานงานเปิดร้านอย่างเป็นทางการให้เรานะคะ”
“แน่นอนครับ ซูหลิง”
“ผมขอแสดงความเสียใจเรื่องเต๋อเป่าด้วยนะ งานศพเมื่อไหร่ก็บอกผมด้วย จะใส่ซองให้มันซักหน่อย” ฉินเจียงบอก จ้าวซันตาวาว
“เต๋อเป่ายังไม่ตาย”
“เต๋อเป่าเป็นอะไรคะ อุบัติเหตุเหรอ นี่แหละชอบขี่มอเตอร์ไซค์กันนัก อาการหนักมากหรือคะ” เหม่ยอิงแกล้งถาม
“ได้ยินมาว่าโดนยิงนะ ศัตรูเยอะจนจับมือใครดมไม่ได้เชียวล่ะ” ฉินเจียงบอกแล้วหันมาเห็นบราลีข้างหลัง “โอ๊ว บรี คุณมากับเขาหรือ แล้วคุณพ่อของคุณล่ะ ไม่มาด้วยหรือครับ”
“คุณพ่อ มีปัญหานิดหน่อยค่ะ มาไม่ได้”
“น่าเสียดายจริง ผมเคยเห็นพ่อคุณนะครับ ไปไหนมาไหนกะจ้าวซันนี่แหละ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดนี่นาแบบนี้”
“ดูเหมือน คุณจะทราบอะไรๆ ดีนะคะ” บราลีบอก จ้าวซันจ้องหน้าฉินเจียง
“ฉินเจียงมักรู้เรื่องอะไรร้ายๆ ของผม ก่อนใครเสมอ บรีครับ คุณไปตามหาเทเรซ่าให้ผมหน่อย”
“ได้ค่ะ” บราลีรีบไป
“ฉินเจียง พี่มีอะไรจะคุยกับนาย สักครู่ได้ไหม”
“ได้เสมอ ที่ไหน เมื่อไหร่”
“เชิญ”
จ้าวซันเดินนำ ฉินเจียงบีบมือซูหลิง แล้วตามไป เหม่ยอิงจี๊ด ขยับจะตาม จ้าวซันหันขวับมา จริงจัง
“เหม่ยอิง น้องไม่เกี่ยว รับแขกแทนพี่ไปก่อน”
พวกผู้ชายไปด้วยกัน เหม่ยอิงแค้นใจ
จ้าวซันคว้าคอฉินเจียงเข้ามาในมุมลับตา
“แกทำอะไรสุริยะ”
“ผมเปล่า มันมาเล่นในบ่อนผมเอง สงสัยจะซวย เสียไปมาก หลายล้าน”
“อย่าทำอะไรให้มันแย่กว่านี้ อย่าทำให้ชั้นจนตรอก”
“เวลาของพี่ใกล้หมดแล้ว จ้าวซัน”
“เวลาของนายต่างหาก ที่ใกล้จะหมด”
ทั้งสองจ้องกัน ตาแทบปะทุ เหม่ยอิงสะกดรอยตามมา เห็นสองคน ยืนอยู่ใกล้ชิด กระซิบกระซาบกัน ตาลุก
ภายในงาน บราลีมาเดินตามหาเทเรซ่า แล้วพอดีหันมาเห็นนิทรรศการงานคีรีรัฐ จึงเข้าไปยืนดูนิทรรศการอย่างสนใจ พ่อโจเซฟผ่านมา หยุดอยู่ข้างหลังบราลีและรูปของครอบครัวศิขรนโรดม ที่ถ่ายกันแบบรอยั่ลแฟมมิลี่
บราลีหยิบมือถือออกมาถ่ายรูปพระพักตร์ทุกคนไว้ พ่อโจเซฟค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ
“ม่านฟ้า เป็นไงบ้าง”
บราลีสะดุ้งตกใจ หันมาเห็นเป็นพ่อโจเซฟก็ดีใจ
“คุณพ่อ มานานแล้วหรือคะ”
พ่อโจเซฟ ยิ้ม พยักหน้า
“ทำไมไม่เข้าไปในงานล่ะ”
“หนูมาตามหาคุณเทเรซ่า แต่ไม่มีใครเห็นเธอเลย”
“หนูแต่งชุดนี้แล้วงามเหลือเกิน งาม...ไม่แพ้...เจ้าแม่ของ...คุณชาย...” ทั้งคู่สบตากัน “จ้าวซันบอกเธอทั้งหมดแล้วใช่ไหม”
“ค่ะ”
“ดีแล้ว ตอนนี้ หนูก็คงสบายใจขึ้นมากแล้วใช่ไหม”
“หนูห่วงแต่คุณพ่อหนู คุณพ่อสุริยะน่ะค่ะ”
“พลตรีสุริยะ เคยเป็นคนที่มีความสุข จนกระทั่งภรรยาของท่านเสียชีวิตลง ท่านก็เลยเปลี่ยนแปลงไป แต่หนูอย่าห่วง พ่อกับจ้าวซันจะดูแลเขาให้เอง”
บราลีไหว้ น้ำตาคลอๆ
“ช่วยพ่อหนูด้วยนะคะ คุณพ่อ”
มุมลับตาในโรงแรม เหม่ยอิงมองอยู่ที่เดิม อยากจะเข้าไปใกล้กว่านี้ พยายามย่องจากช่องประตูไปสู่จุดบังเสาอีกอัน จ้าวซันมองหน้าฉินเจียง พยายามเปิดใจ แต่ฉินเจียงกั้นกำแพงไม่ยอมรับฟัง
“ฉินเจียง ฉันต้องทำยังไง ถึงจะซื้อใจนายได้”
“พี่จะมาไม้ไหนหา จ้าวซัน”
“ฉินเจียง ฟังนะ ในเมื่อสิ่งที่นายทำลงไป มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว และยังไงๆ ฉันก็ต้องหยุดมันให้ได้ แต่ผลที่ตามมาก็คือนายจะต้องเดือดร้อน เพราะฉะนั้นฉันถึงอยากจะดึงนายออกไปจากเรื่องนี้”
“พี่จะทำอะไรผมได้ พี่ไม่ได้รู้อะไรจริงๆ หรอก อย่ามาทำเป็นลักไก่หน่อยเลย”
“ถึงนายเห็นฉันเป็นศัตรู แต่สำหรับฉัน จะยังไงนายก็คือลูกเต้ ผู้มีพระคุณสูงสุดในชีวิตฉัน ฉันจะยอมให้นายหมดอนาคตไม่ได้”
“ถ้าพี่จริงใจ พี่ก็ถอยไปสิ อย่าแส่”
“ฉันถอยไม่ได้ เพราะสิ่งที่นายทำ มันก็จะไปทำร้ายพี่น้อง อีกครอบครัวนึงของฉันเหมือนกัน”
“อ๋อ ใช่สิ พี่มันก็มาจากไอ้ประเทศจนๆ นั่นเหมือนกันนี่ โอ้โห...ที่พี่พยายามมาอายัดเงินผม พยายามให้ข่าวตำรวจต่างๆ นานานี่ เพราะพี่รักชาติของพี่ ว่างั้น จุ๊ๆๆ หล่อได้อีกนะจ้าวซัน หล่อได้อีก”
“ฉินเจียง” จ้าวซันมองสบตา แล้วอยู่ๆ ดึงมือฉินเจียงมาจับไว้ “ฉันรักนายนะ ยังไงเราก็โตมาในบ้านเดียวกัน ใช้แซ่เดียวกัน นายบอกตำรวจว่านายโดนไอ้เกาเฟยหลอกใช้ แล้วช่วยร่วมมือให้ข้อมูลของพวกนายพลต่างชาติพวกนั้นให้ตำรวจเขาไปให้หมด เพื่อช่วยยับยั้ง ไม่ให้อาวุธพวกนั้นถูกส่งไปปลายทางสำเร็จ ฉันจะกันให้นายเป็นพยาน หรืออย่างมาก โทษหนักก็จะกลายเป็นเบา นะ ฉินเจียงนะ ฉันขอร้องๆ”
เหม่ยอิงมองภาพที่จ้าวซันดูงอนง้อฉินเจียง แล้วยิ่งแค้น ฉินเจียงสะบัดมือ ผลักจ้าวซันออกแล้วถอยออกห่าง
“ฮึ่ย ไอ้จ้าวซัน พี่ทำอะไรของพี่ พี่จะให้ผมยอมทิ้งเงินมหาศาล ยังไม่พอ พี่ยังจะให้ผมทรยศเกาเฟย คนสนิทที่รับใช้ผมอย่างจริงใจมาตลอด คนๆ เดียว ที่ดีกับผมที่สุดในโลกใบนี้ เพื่อเอาตัวรอดงั้นเหรอ”
“ชั้นจะยอมรับ ว่านายเป็นผู้ใหญ่พอ รู้ผิดชอบชั่วดี ยกให้แกรับผิดชอบธุรกิจทั้งหมด แล้วฉันจะไปจากอาณาจักรจ้าวฉินเย่ว์”
เหม่ยอิงสุดทน
“จ้าวซัน พี่พูดอะไรกับมัน พี่รักและไว้ใจฉินเจียงมากกว่าเหม่ยอิงจริงๆ สุดท้าย ไอ้พวกผู้ชายมันก็เข้าข้างกัน เห็นกันว่าดี วิเศษกว่าผู้หญิงอยู่ดี ไม่มีวัน ไม่มีวัน”
เหม่ยอิงน้ำตาคลอ สะบัดหน้าจากไป
เหม่ยอิงเดินกดโทรศัพท์พลาง แล้วพอมีคนรับ ก็พูดพลางปาดน้ำตา
“คุณติงคะ สินค้าเสื้อผ้าของสื้อฉวนที่จะส่งลงเรือไปออสเตรเลียคืนนี้น่ะค่ะ เอาไอ้งานใหม่ที่ฉันใช้วัสดุใหม่ ที่สั่งมาล่าสุด ส่งลงเรือไปแทนเซ็ทที่ใช้วัสดุธรรมดาเดิมๆ นะคะ ค่ะ ค่ะ เดี๋ยวนี้เลย อ๋อ เซ็ทแรกนั้นเราต้องเก็บไว้ก่อนค่ะ ขอบคุณค่ะ” เหม่ยอิงกดวางสายแล้วพูดคนเดียว “จ้าวซัน ในเมื่อพี่เลือกฉินเจียงแทนที่จะเลือกน้อง น้องก็จะไม่เอาพี่ไว้แล้วนะคะ พี่เองก็ต้องพินาศเหมือนไอ้ฉินเจียงเช่นกัน”
เหม่ยอิงน้ำตาไหลออกมา เอาปลายนิ้วซับบรรจง ไม่ให้เมคอัพเลอะ
ฉินเจียงมองหน้า แล้วค่อยๆ ยิ้มออกมา
“ฉินเจียง ฉันหวังว่า แกคง...”
“ผมปฏิเสธ”
“ฮะ”
“อย่านึกว่าผมรู้ไม่ทันพี่ ถ้าผมสารภาพกะตำรวจ หักหลังไอ้พวกนายพลพวกนั้น รวมทั้งไอ้เกาเฟย แล้วพี่คิดว่า ผมยังมีหน้าจะขึ้นเป็นผู้นำของฉินเย่ว์กรุ๊ปได้อีกเหรอ”
“ทำไม”
“ผมก็จะกลายเป็นไอ้หน้าตัวเมีย ขี้ขลาด ทรยศลูกน้องกับลูกค้า เพื่อเอาตัวรอดคนเดียวสิ แล้วผมจะนับถือตัวเองต่อไปได้ไง”
“คนพวกนั้นเป็นคนเลว แกเลือกที่จะทำดีกะคนเลว พวกผู้ก่อการร้าย แล้วทำชั่วกะคนดี คนบริสุทธิ์งั้นเหรอ”
“ใคร คนดี จ้าวซัน พี่งั้นสิ พี่อย่าหลอกผมเลย ผมไม่ใช่เด็กโง่แบบแต่ก่อนอีกแล้ว ขืนผมยอมสารภาพกะตำรวจ ยังไงๆ ผมก็ต้องตกเป็นผู้ต้องหาอยู่ดี คดีนี้มันประนีประนอมกันได้ที่ไหน ถึงพวกมันจะช่วยทำสำนวนให้เบายังไง ผมก็ต้องเข้าคุก แล้วผมจะได้เป็นผู้นำฉินเย่ว์กรุ๊ปได้อีกเหรอ พวกหุ้นส่วนเค้าจะเอาผมไปนั่งเก้าอี้บริหารทำป๊ะอะไรล่ะ”
“ชั้นมีวิธีสิ ฉินเจียง ถ้าชั้นช่วยนายไม่ได้ ชั้นไม่มายื่นข้อเสนอให้นายหรอก”
“พี่มันก็ไอ้เจ้าเล่ห์ คิดจะทำลายผมไม่ให้โงหัวได้อีกตะหาก เอาสิ จ้าวซัน ถ้าพี่คิดว่าพี่จะยับยั้งธุรกิจค้าอาวุธของผมได้จริง ก็เอาเลย ไม่ต้องมาลักไก่ เอาเป็นว่า เราเหลือไพ่คนละใบ แล้วมาหงายสู้กันไปเลยในตาสุดท้ายดีกว่า ว่าใครจะเหนือกว่าใคร พี่ชนะ ผมก็ตาย แค่นั้นเอง ตาดีได้ ตาร้ายเสีย ใจ-ใจ หน่อยสิ”
ฉินเจียงเดินผยองจากไป
“มันจะไม่มีใครชนะนะ ฉินเจียง เราจะแพ้ทั้งคู่ แกไม่เข้าใจ” จ้าวซันตะโกนตามไป ฉินเจียงไม่สน
ศิขรนโรดมและมิถิลา ต่างยืนงงๆ กันอยู่ในห้องหรู ที่ด้านนึงเป็นระเบียงเปิดออกสู่สวนได้ แต่มีชายบอดี้การ์ดแบบสูทโก้สองคนยืนเฝ้าอยู่
“พวกนั้นไม่ใช่คนของคีรีรัฐนี่นา”
ศิขรนโรดมกระซิบกับมิถิลา
“หรือเป็นคนจากสถานกงสุลของเราที่เมืองจีนเพคะ”
“พวกเขารับเราจากลิฟต์ให้มารอตรงนี้ แต่เรารอนานไปหน่อยแล้วนะ งานมันควรจะเริ่มได้แล้วสิ”
“แปลกมาก ทำไมทหารของพ่อถึงทำงานรักษาความปลอดภัยพลาดขนาดนี้ หายไปไหนกันหมด ปล่อยให้คนอื่นมาดูแลฝ่าบาทได้ไง”
“นี่ถ้าไม่มีเจ้าอยู่ติดตัว ตอนนี้ข้าก็คงยืนงงอยู่คนเดียว”
ทันใด ประตูห้องเปิด มีบริกรโรงแรมในเครื่องแบบสองคน ยกเครื่องดื่ม ผลไม้และของค็อกเทลสำหรับกินเล่นรองท้องมาสำหรับสองที่ วางถาดลง
“องค์ชาย เสวยเครื่องว่างรองท้องก่อนพะย่ะค่ะ” บริกรหันมาทางมิถิลา “ท่านก็เช่นกัน เวลาล่วงมากแล้ว คงหิวแย่”
“เอ๊ะ ท่าน พูดภาษาคีรีรัฐได้ด้วย”
“มีคนคีรีรัฐทำงานที่โรงแรมนี้ด้วยหรือ”
บริกรคุกเข่าลงหน้าศิขรนโรดม
“มีคนคีรีรัฐ มาทำงานนี้ หลายคนอยู่พะย่ะค่ะ”
“ทรงวางพระทัยเถิดพะย่ะค่ะ พวกเราถวายความภักดีต่อฝ่าบาท เหนือกว่าทหารพวกนั้นแน่นอน”
ศิขรนโรดม มิถิลามองหน้ากัน บริกรทั้งสองถวายบังคมแล้วถอยออกไป
“มันมีอะไรแปลกๆ แล้วนะ”
“นั่นสิเพคะ”
“ข้าว่าเจ้าเตรียมพร้อมเถอะ พวกวิชายุทธที่เรียนกันมา คงได้ใช้จริงกันคราวนี้”
ทั้งสองสบตากัน พร้อมลุย ทันใดมีเสียงเคาะ ประตูเปิดอีก ทั้งสองหันขวับ ขยับเข้าใกล้กัน พร้อมเผชิญ ผู้ที่เปิดประตูเข้ามาคือภูสินทร
“เอ๊ะ...คุณเมืองเทพ”
“ฝ่าบาท ขอพระราชทานอภัยด้วย ที่ทรงทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท แต่ทั้งหมดนี้เพื่อแผนการณ์ที่ทางเราวางกันมาเป็นแรมปี บัดนี้ถึงเวลาแล้วพะย่ะค่ะ”
“แปลว่า เราจะได้พบกับ...เจ้าพี่”
“พะย่ะค่ะ”
มิถิลาลืมตัว ตื่นเต้นไปด้วย ผวาเข้าไปจับมือศิขรนโรดม ศิขรนโรดมก็โอบมิถิลาเข้ามา บีบมือกันแน่น เหมือนเด็กสองคนที่ดีใจด้วยกันมากๆ
“เราจะได้พบเจ้าพี่แล้ว”
“เอ่อ...เจ้าน้อง เจ้ามินคนนี้ สนิทกับเจ้าน้อง ขนาดนี้หรือพะย่ะค่ะ”
“มันเป็น...คนที่ข้าไว้ใจที่สุด เหมือนบุคคลเดียวกัน”
“หา คือ...” ภูสินทรมองอย่างตกใจ ที่ศิขรนโรดมกอดกับเด็กผู้ชาย “แต่ว่า ฝ่าบาทชื่นชอบ ทหารหนุ่มๆ เอ่อ...” ภูสินทรก้มลงคุกเข่า ขอโทษ “เรื่องนี้คือพระราชนิยมส่วนพระองค์ แต่...เจ้าพี่คง ฉงนพระทัยไม่น้อย”
“เมืองเทพ ท่านทำให้เราหายเครียด มีเรื่องราวมากมายที่เราคงต้องปรึกษากันต่อไปว่าจะทำอย่างไร แต่เจ้าผู้นี้ไม่ใช่เด็กผู้ชาย เขาเป็นสตรี”
“โอ๊ะ”
“มิน เป็นนางข้าหลวงของเจ้าแม่ ที่ทรงมอบหมายมาให้รักษาความปลอดภัยให้เรา”
“หา”
มิถิลายิ้ม แล้วเคารพภูสินทร แบบผู้หญิงคีรีรัฐ
“ขออภัยด้วยนะคะ คุณเมืองเทพที่ทำให้เข้าใจผิด”
ภูสินทรมองมิถิลาที มองศิขรนโรดมที ยิ่งเห็นความเป็นหญิงของมิถิลาชัดเจนขึ้น
“โอๆ เจ้าน้อง ทรงเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ทรงก้าวหน้าเกินกว่าเจ้าพี่มาก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ”
ทุกคนหัวเราะกัน
ฉินเจียงล้างหน้าที่อ่างล้างหน้า เช็ดมือ แล้วเดินออกจากห้องน้ำ เลี้ยวจะกลับไปในงานแล้วชะงัก เมื่อเห็นซูหลิงกำลังคุยกับหมวดจางและผู้กองเหลียง ท่าทางจริงจัง ซูหลิงพูดเล่าอะไรเป็นประโยคยาวๆ จริงจัง หมวดจางหยิบสมุดพกมา จดๆ อะไรบางอย่าง ที่ซูหลิงบอก
“ซูหลิง เธอขายชั้นได้ลงคองั้นเหรอ”
ฉินเจียงถอยๆ แล้วหันกลับ เดินเตลิดไปอีกทาง พอดีตำรวจทั้งสองหันมาเห็น
“อ้าว นั่นไง ไท้เผ่ง จะรีบไปไหนล่ะนั่น”
“จ้าวฉินเจียงครับ จ้าวฉินเจียง จะไปไหน ล็อบบี้อยู่ทางนี้ รอก่อน”
ทั้งสองรีบตาม
ฉินเจียงวิ่งออกมาหน้าโรงแรม แล้วผงะ เมื่อจ่าหมงกับอเล็กซ์เดินขึ้นมาตรงหน้า จ๊ะเอ๋กันเต็มๆ
“อ้าว ไท้เผ่ง สวัสดีครับ หัวหน้าอเล็กซ์ครับ คุณรู้จักจ้าวฉินเจียงหรือยัง เขาคือน้องชายจ้าวซัน แต่เป็นซีอีโอของบริษัทไงครับ” จ่าหมงบอก ฉินเจียงอึ้ง พูดไม่ออก
“โอ้ ไฮ...ไท้เผ่ง ยินดีที่ได้พบครับ เคยเห็นแต่ในรูป เพิ่งเจอตัวจริง ยังหนุ่ม ออกจะเด็กมากด้วยซ้ำ” อเล็กซ์ยื่นมือมา ฉินเจียงจับมือด้วยอย่างจำใจ
“ไฮ...คุณคือ”
“อเล็กซ์ จากกองพิสูจน์หลักฐาน ฮ่องกงโพลิซครับ พวกเรามีอะไรอยากคุยกับไท้เผ่งหลายอย่างเลย เมื่อไหร่คุณพอจะมีเวลาล่ะครับ”
“เอ่อ”
พอดีหมวดจาง ผู้กองเหลียงและซูหลิง ตามมาพอดี
“ฉินเจียงคะ จะไปไหนคะ”
“เชิญข้างในดีกว่าครับ เขาเรียกให้เข้าไปนั่งโต๊ะกันได้แล้ว เขาจะเสิร์ฟแล้วครับ”
“ไท้เผ่งมีธุระอะไรข้างนอกหรือครับ”
“เปล่า คือ ผม...หลงทางนิดหน่อย ว่าจะเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง แต่ทำไมออกมาตรงนี้ได้”
“ผู้กองเหลียงอยากจะไปชมสินค้าที่ร้านแอนที้คของเราด้วยนะคะ ซูหลิงเลยว่าจะเชิญผู้กองไปวันเปิดร้านเป็นทางการ เราคงต้องปรึกษาคุณชายจ้าวซันว่าเสร็จงานรับเสด็จ เราต้องหาฤกษ์เปิดร้านของเราเสียที”
ฉินเจียงปาดเหงื่อ ฝืนยิ้มให้ทุกคน
“จ้ะๆ”
จ้าวซันดื่มน้ำ เพื่อคลายให้ใจเย็น
“เธอก็ลงมือทำได้เลย โดยไม่ต้องเกรงใจอะไรใครอีกแล้ว ถือว่าเธอบอกเขาแล้ว เตือนก็แล้ว ให้โอกาสและชี้ทางออกสวยๆ ให้เขาแล้ว แต่เขาไม่ออกเอง” พ่อโจเซฟบอก จ้าวซันเหนื่อยใจ
“ผมยังไม่รู้เลยครับ ว่าผมจะทำสำเร็จไหม ผมกลัวว่าถ้าพลาดพลั้งอะไรไป ถ้าฉินเจียงคิดสั้น สู้ตายขึ้นมา ผมจะบอกเต้ว่าอะไร”
“จ้าวซัน จ้าวฉินเย่ว์ตายมาหลายปีแล้ว เขาเองถึงมีชีวิตอยู่ก็คงทำอะไรไม่ได้มากกว่าเธอ เผลอๆ จ้าวฉินเย่ว์อาจตัดสินใจจับฉินเจียงเข้าคุกด้วยตัวเองก็ได้ เพราะจ้าวฉินเย่ว์ไม่เกลียดอะไรเท่าการขายอาวุธให้คนเอาไปฆ่ากัน”
“ใช่ ผมคงไม่มีทางเลือก ผมต้องเดินหน้าทำตามแผนต่อไป”
“ถ้าพูดแบบพุทธ พ่อคงต้องบอกเธอ ว่าสัตว์โลกแต่ละตน ย่อมมีกรรมเป็นของตน แต่ถ้าพูดในฐานะบาทหลวง พ่อก็จะบอกเธอว่า พระเจ้าจะเป็นผู้จัดการเอง”
“ขอบคุณครับหลวงพ่อ คิดได้อย่างนี้ ผมก็สบายใจขึ้นมาก” บราลีมองจ้าวซันอยู่ด้านนึง แววตาศรัทธามาก จ้าวซันเห็นหน้าบราลี ยิ้มออกมา “เธอจะว่าอะไรฉันอีกหรือเปล่า ม่านฟ้า”
บราลีเข้ามา คุกเข่าลง กราบเท้า
“หม่อมฉันเข้าใจแล้ว ว่าทรงเหนื่อยยากลำบากขนาดไหน ทรงพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด ทำหน้าที่ทุกด้านให้สมบูรณ์แบบ แต่คนเรา มีทั้งเรื่องที่เราควบคุมได้ และเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม สิ่งใดที่เราพยายามทำเต็มที่แล้ว แต่มันก็ไม่เป็นไปในทางที่เราต้องการ เราก็ต้องวางอุเบกขานะเพคะ”
“อุเบกขา นั่นแหละ คำนั้น ที่พ่อนึกไม่ออก ม่านฟ้าเก่งจริงๆ”
“เมื่อนึกย้อนไป ว่าแม้แต่ตัวหม่อมฉันเอง ก็เคยทำอะไรให้ทรงเดือดร้อนวุ่นวายหลายอย่าง แล้วก็อดละอายใจไม่ได้เพคะ”
“ถ้ารู้ว่าบอกความจริงไปแล้ว เธอจะน่ารักแสนดีอย่างนี้ ฉันคงบอกไปตั้งแต่วันแรกแล้ว”
“เธอมีน้องๆ หลายคนนะ จ้าวซัน น้องแต่ละคน ก็มีปัญหาแต่ละอย่าง เราเป็นพี่คนโต เราก็ต้องเหนื่อยหน่อย”
“แล้วนี่ก็ได้เวลา ที่ผมต้องไปเผชิญหน้ากับ “น้อง” อีกคนแล้ว ใช่ไหมครับ”
“เธอพร้อมแล้วใช่ไหม”
“พร้อมสิครับ พร้อมเสมอ สำหรับการพบกันครั้งแรกในรอบ 20 ปี” พ่อโจเซฟยื่นมือมา จ้าวซันจับมือ แววตามั่นใจขึ้น แล้วหันมาหาบราลี ยื่นมือมาหาบราลี “ลุกขึ้น” จ้าวซันจับมือบราลีให้ยืนขึ้น “ขอกำลังใจหน่อย” จ้าวซันอ้าแขนออก บราลีหัวเราะ ก้าวเข้าไปให้กอด เป็นการกอดที่อบอุ่นและให้กำลังใจกัน “ไม่รู้ ว่า “น้องชาย” คนนี้ เขาจะเห็นฉันว่าเป็นพี่ที่เขารักคนเดิมหรือเปล่า หรืออาจเห็นฉันเป็นศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดในชีวิตก็ได้”
“สู้! สู้! เพคะ” บราลียิ้มเอาใจช่วย
พ่อโจเซฟมอง ยิ้มๆ เอ็นดู
ศิขรนโรดม เดินไปเดินมาอยู่ในห้องอย่างวุ่นวายใจ มิถิลาได้แต่มองเงียบๆ
“ถึงเจ้าพี่จะพยายามทำใจให้เป็นกลางขนาดไหน แต่ลึกๆ ก็ต้องทรงเห็นชั้นเป็นศัตรูอยู่ดี เพราะเจ้าพ่อทรงกระทำสิ่งที่รุนแรงเหลือเกิน”
“ไม่หรอกเพคะ ถ้าไม่เช่นนั้นจะทรงให้คุณเมืองเทพจัดการทุกอย่างทำไม”
“มิน เอ่อ มิถิลา แต่ถึงจะทรงโกรธเกลียดหรือคิดร้ายต่อเรา เราก็ยินดีให้ทรงลงโทษทัณฑ์ทุกอย่าง หากมีพระประสงค์สิ่งใด เราจะถวายให้สิ้น”
“ยังมีกำแพงตรงหน้าให้ฝ่าอีกหลายด่านนักเพคะ ไหนจะเรื่องท่านพ่อของหม่อมฉันกับพรรคพวกอีกล่ะ เราใช่ว่าจะตัดสินใจอะไรเองได้ดังใจนะเพคะ”
“เราอยากให้เจ้าพี่ ช่วยเราด้วย”
“อย่าเพิ่งคิดไปถึงขั้นนั้นเลย ทรงดูท่าทีก่อนว่าองค์น่านปิงนรเทพ จะทรงเป็นอย่างไรกันแน่”
“จริงสินะ เจ้าพี่ทรงสูญเสียทุกอย่าง เพราะเจ้าพ่อของเรา แล้วเราจะมีหน้าไปทูลขอให้พระองค์ช่วยอะไรกันอีก น่าละอายใจเหลือเกิน”
ทันใด มีเสียงเคาะ ทั้งสองสะดุ้ง ภูสินทรเปิดประตูกว้าง ก้าวเข้ามา
“องค์ชายศิขรนโรดม กระหม่อมขอเบิกตัว คุณชายจ้าวซันเข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ มิน ขอเชิญท่านออกไปก่อน”
“แต่ว่า...”
“หม่อมฉันก็จะออกไปเช่นกัน ฝ่าบาททั้งสอง ต้องการเวลาเฉพาะสองพระองค์จริงๆ พะย่ะค่ะ”
“จริงของคุณ”
“หม่อมฉันคือผู้ถวายความปลอดภัย ขององค์ชายรัชทายาท” มิถิลาบอก ภูสินทรมองอย่างขอร้อง
“ฝ่าบาท ได้โปรด”
“มิน ทำตามที่คุณเมืองเทพบอก”
“พะย่ะค่ะ”
“เชิญ”
ภูสินทรพามิถิลาออกไปอีกด้านหนึ่ง ประตูที่ภูสินทรเข้ามายังเปิดอ้ากว้างอยู่ ศิขรนโรดมมองไป ลุ้นๆ จ้าวซันก้าวเข้ามา ดูนิ่ง สงบ แววตาที่มองมา เฉย เยือกเย็น อ่านยาก จริงๆ จ้าวซันเองก็ลุ้นและมองศิขรนโรดม อย่างแอบหวั่นใจเช่นกัน
ศิขรนโรดมขยับตัวยืนให้เป็นสง่า ท่าทางเป็นการเป็นงาน พยายามทำตัวให้ดูเป็นผู้ใหญ่ น่าเชื่อถือ จ้าวซันมองอย่างพอใจ แววตาค่อยๆ อิ่มเอมขึ้นด้วยความปีติ ตื้นตัน
“องค์ชายรัชทายาท ศิขรนโรดม แห่งราชอาณาจักรคีรีรัฐ หม่อมฉัน จ้าวซัน ตัวแทนสมาคมพ่อค้าฮ่องกง ขอถวายบังคมพะย่ะค่ะ”
แล้วจ้าวซันก็ก้มตัวลง ทำความเคารพอย่างจริงจัง ทันใดศิขรนโรดมกลับทรุดตัวลง แล้วกราบเท้าจ้าวซันแบบหมอบราบคาบแก้ว
“เจ้าพี่ อย่าทรงทำแบบนี้เลย ทรงเมตตาหม่อมฉัน น้องชายของพี่ด้วย” ศิขรนโรดมเงยหน้ามอง แล้วร้องไห้ออกมา จ้าวซันอึ้ง แล้วก้มลง ประคองศิขรนโรดมลุกขึ้น เผชิญหน้ากัน
ทั้งสองมองหน้ากัน ศิขรนโรดมร้องไห้หนัก แต่จ้าวซันไม่ร้อง กลับรู้สึกเข้มแข็งและต้องทำตัวให้เป็นที่พึ่ง ศิขรนโรดมร้องไห้โฮๆๆ แล้วอยู่ๆ ก็ฟุบ ร่วง สลบไป
“เจ้าน้องๆ ศิขรนโรดม”
จ้าวซันนั่งลง ประคองจับตัวศิขรนโรดมเขย่าแรงๆ
อ่านต่อตอนที่ 10