วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4
ตรงระเบียงห้อง ที่ค่อนข้างแคบ ศิขรนโรดมในชุดดำปีนออกมา แบบน่าหวาดเสียวมาก แต่ท่าทางคล่อง อย่างคนที่ฝึกวิทยายุทธมาอย่างดี
มิถิลาที่แต่งชุดแบบเดียวกัน มีหมวกถักครอบเหมือนกัน ปีนตาม ลมพัดแรง แล้วมองลงไป ข้างล่างคือสระว่ายน้ำโรงแรม ชั้นที่อยู่สูงพอควร น่าหวาดเสียวมาก มิถิลาถึงกับสั่นด้วยความกลัว
“อย่ามองลงไป”
มิถิลาหันมา มองหน้าศิขรนโรดม ศิขรนโรดมทำหน้าให้กำลังใจ แล้วโดดข้ามไป สู่ระเบียงห้องที่ติดกัน ซึ่งปิดม่าน ปิดไฟมืด แล้วยื่นมือมาช่วย มิถิลาจับมือศิขรนโรดม โดดตามมา ศิขรนโรดมชะโงก พยักหน้าไปที่เป้าหมายที่เป็นระเบียงกว้างใหญ่ชั้นต่ำลงไป เป็นสวนลอยฟ้าของโรงแรม
“อีกนิดเดียว ไหวนะ” มิถิลาพยักหน้าจืดๆ ศิขรนโรดมเอื้อมมือมาจับหัวมิถิลาอย่างเอ็นดู โยกเล่น “ไอ้เด็กน้อยเอ๊ย..เจ้ามันคงเพิ่งจบโรงเรียนนายร้อยมาใหม่ๆ สินะ อสุนีมันก็ช่างเลือกคนซื่อๆ โง่ๆ มาให้ข้าจริงๆ”
มิถิลาเอ๋อ ศิขรนโรดมเหนี่ยวตัว ปีนขึ้นขอบระเบียง ไต่ข้ามอีกห้องไปอย่างเร็ว แล้วทำแบบนั้นกับระเบียงต่อไป
มิถิลามองแบบท้อๆ แล้วกัดฟัน รีบตามไป
ศิขรนโรดม และมิถิลาไต่เป็นแมวสองตัว ตามขอบระเบียงที่เหนือไปสองชั้นมาถึงสวนหย่อมลอยฟ้าของโรงแรม ในสวนนั้น มีสนาม มีสวนต้นไม้ดอกไม้ใบเมืองร้อนต่างๆ มีไฟประดับนวลๆ สลัวๆ ค่อนข้างมืด แขกของโรงแรม ยังนั่งเป็นโต๊ะๆ ที่จุดแค่เทียนแสงวอมแวม โรแมนติก คุยกัน จีบกัน กินเครื่องดื่มเงียบๆ มีบริกรเดินไปมามีรปภ. เฝ้าอยู่จุดสองจุด มองไปมารอบๆ แต่ไม่มีใครมองสูง
ในความมืด ศิขรนโรดม และมิถิลาซึ่งชุดดำกลมกลืน โหนราวระเบียง ห้อยตัวลงมา แล้วศิขรนโรดม หย่อนทิ้งตัวนิ่มๆ ลงบนพื้นหญ้า หลังกอไม้นึงก่อน แล้วเงยรับมิถิลา ซึ่งกลัวๆ ศิขรนโรดมทำหน้าเร่ง รำคาญๆ ให้ลงมาเดี๋ยวนี้
มิถิลาปล่อยมือ หล่นลงมา ศิขรนโรดมรับ แล้วเสียหลักนิดนึง ล้มลง มิถิลานอนหงาย เอาหลังทับตัวศิขรนโรดม ศิขรนโรดมทำหน้าหนัก รีบกลิ้งให้มิถิลาพ้นตัว แล้วลุกขึ้นฉุดแขนมิถิลาดึงขึ้น ขณะนั้นพวกรปภ. และบริกรมัวแต่ดูทางอื่นอยู่
ทั้งสองปัดเนื้อปัดตัวแล้วเดินออกมาจากกอไม้เนียนๆ ปะปนกับแขกโรงแรม ที่คุยกันตรงนั้นตรงนี้ในสวนประปราย ศิขรนโรดมล้วงแว่นดำออกมา แล้วใส่ พยักให้มิถิลาทำตาม มิถิลาล้วงแว่นมา ใส่ด้วย ศิขรนโรดมขยับเดิน แล้วดันหยุด หันมา มิถิลาเบรกไม่ทันเดินชนศิขรนโรดมปัง ศิขรนโรดมหันมาส่ายหัว ผลักมิถิลาเบาๆ
“ไอ้นี่หนิ ทำไมซุ่มซ่ามจริง ฮึ่ย”
ศิขรนโรดมเดินต่อ นำเข้าไปภายในตัวโรงแรม มิถิลาหน้าหงิก ตามไป
ศิขรนโรดมในชุดดำ ใส่แว่นดำ สวมหมวกถักดำ กับมิถิลาในชุดแบบเดียวกัน เดินกอดคอหลวมๆ สบายๆ เซๆนิดๆ ออกมาจากโรงแรมด้วยกัน ดูเป็นหนุ่มน้อยนักเที่ยววัยรุ่นซ่าส์ๆ เมาๆ เดินออกมา แล้วโบกมือยิ้มแย้มให้คนเปิดประตู พนักงาน รปภ.มองผ่านไป ไม่สนใจ อยู่ๆ ศิขรนโรดมลากคอมิถิลาไปหา รปภ. มิถิลาตาเหลือก ขืนตัว ศิขรนโรดมไม่สน ลากไปจนได้ แล้วเข้าไป ทำท่าเอามือแตะข้างคิ้ว ชิดเท้า แล้วโค้งนิดๆ เหมือนทำความเคารพรปภ.
“excuse me, sir, I’d like to eat something outside, there are any places that open all night nearby , please?” “ขอโทษครับ ผมอยากจะไปกินอะไรข้างนอก มีที่ๆเปิดตลอดคืนใกล้แถวนี้ไหมครับ)
มิถิลาเสียวลุ้น รปภ.มองๆ คิดๆ ศิขรนโรดมเลื่อนแว่นขึ้นไปคาดหน้าผาก ยิ้มตาหยี แบบน่ารักสุดขีด
“อ้อ เยสๆๆ ยูแคนคอลแท๊กซี่ ออร์ ตุ๊กๆ แอนด์เทลเด็ม ทูโกทู ไชน่าทาวน์”
“ไชน่าทาวน์...เยสๆ thank you.” ศิขรนโรดมโค้งๆ หลายๆ ที
“You welcome”
มิถิลาทึ่ง ที่รปภ.ไม่สนเลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วรีบโค้งๆ ตาม แล้วตามศิขรนโรดมไป ทั้งสองออกมาเรียกตุ๊กๆหน้าโรงแรมและขึ้นรถกันไป
มุมหนึ่งหน้าโรงแรม ชายร่างล่ำ ยืนข้างเสาไฟ รีบล้วงโทรศัพท์มากดเบอร์ แล้วขึ้นมอไซค์คันใหญ่ ขี่ตามรถตุ๊กๆนั้นไปห่างๆ
ไชน่าทาวน์หรือเยาวราชนั่นเอง ที่ร้านขายบะหมี่ บะหมี่ที่มีก้ามปูวางมาอย่างหรูสองชาม วางมาตรงหน้าศิขรนโรดมกับมิถิลา มิถิลามองตาโต
“เสียดายแทนอสุนี ไม่ได้มาสนุกกันอย่างนี้ มาต่างประเทศเราควรเที่ยวตามข้างถนน จะได้รู้จักชีวิตจริงๆ ของราษฎรในประเทศนั้น จำไว้นะเจ้า” ศิขรนโรดมบอกแล้วลงมือคีบบะหมี่กิน
มิถิลาพูดเสียงเบา มองรอบๆ อย่างระแวง
“แต่ทรงทำแบบนี้ มันเสี่ยงมาก”
“มิน เจ้ารู้ไหม บางทีนั่งอยู่ตรงนี้ อาจจะเสี่ยงชีวิตน้อยกว่านั่งอยู่ใต้ฉัตรแห่งราชบัลลังก์คีรีรัฐเสียอีก” ที่เสาไฟ ห่างออกไป คนของภูสินทรจอดรถมอไซค์ซุ่มอยู่ ยังตามดูสองคนอยู่ ศิขรนโรดมกินบะหมี่อย่างเอร็ดอร่อย “อยากรู้จริงว่าหากเราหายไป ไม่กลับไปที่ห้องอีก พลเอกราชิดกับเจ้าโกศิน จะทำอย่างไรต่อไป คงสนุกพิลึก” ศิขรนโรดมหัวเราะ
“ไม่โปรด นายพลราชิดหรือ”
“โอ๊ะ..ถามอะไรอย่างนั้น ใครจะกล้า เขาใหญ่ที่สุดแล้วในคีรีรัฐ เจ้าเองก็ประจบประแจงไว้ให้ดีเถิด จะได้มียศใหญ่ไวๆ” ศิขรนโรดมจับแก้มมิถิลาบีบ มิถิลาปัดมือออกอย่างโมโห
“ฝ่าบาทนี่ยังไง”
“ทำไม”
“ชอบจับตัวหม่อมเรื่อย”
“ทำไมล่ะ จับไม่ได้หรือเป็นกระเทยหรือถึงหวงตัว นี่ๆๆ”
ศิขรนโรดมจับหู จับจมูก จับไหล่ มิถิลาจะปัดก็กลัวโดนว่าอีก เลยนั่งทำตัวแข็ง
คนของภูสินทร โทรศัพท์อีก
ด้านศิขรนโรดมเดินมาตามริมถนนกลางเมือง ที่สว่างไสวและยังมีรถแล่นสัญจรไปมา มิถิลาวิ่งตาม
“ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะเด็จไหน”
“ไปไหนก็ได้ เวลานี้เราอิสระแล้ว ไปไหนได้ตามใจชอบทั้งนั้น”
“อย่าทรงแก่นไปหน่อยเลย กลับเถอะพะย่ะค่ะ ไม่งั้นหากนายพลราชิดรู้เข้า จะเดือดร้อนใหญ่”
“อ้อ เจ้าคงกลัวจะมีความผิดล่ะสิ ได้ งั้นเจ้ากลับไปเลย เราจะไปของเราคนเดียว”
“ไม่ใช่เช่นนั้น แต่พรุ่งนี้บ่ายต้องเสด็จไปร่วมประชุมเรื่องอุตสาหกรรมสิ่งทอพื้นเมืองอาเซี่ยน ที่โรงงานผ้าไหมที่อยุธยาพรุ่งนี้เช้า ต้องเตรียมข้อมูลการประชุมให้พร้อมแต่เช้า คืนนี้ควรบรรทมให้เต็มที่ จะได้ไม่...”
ศิขรนโรดมเอามือมาปิดปากมิถิลาเฉย มิถิลากระพริบตาปริบๆ
“พูดมากจริง รู้หมดแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรหรอกน่ะ” ศิขรนโรดมเหล่ไปมุมนึง ลดเสียงลง “บนถนน...ที่ 17นาฬิกา มีคนตามเรามา มันตามมานานแล้ว เจ้าทำเฉยๆ ไว้”
มิถิลาตัวแข็ง ศิขรนโรดมโอบเดินไป ในถนนห่างออกไป มอเตอร์ไซค์คนของภูสินทร์ตามมาแบบช้าๆ เงียบๆ ทันใดนั้นที่ถึงตรอกมืด ศิขรนโรดมดึงมิถิลาหลบเข้าไป ในเงามืดนั้นศิขรนโรดมกอดตัวมิถิลาไว้ ให้นิ่งอยู่หลังเสา มิถิลาตาโตโพลง
คนของภูสินทรมองไม่เห็นศิขรนโรดมก็ตกใจ มองซ้าย-ขวา เห็นตรอกมืด รีบตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์เลี้ยวเข้าตรอกมืดไปตามหา คนของภูสินทรชะลอรถตอนเลี้ยวเข้าตรอกนิดนึง แล้วชะงักเมื่อมีถังขยะล้มกลิ้งดักตรงหน้า เบรกรถ
ทันใดนั้นร่างเปรียวของศิขรนโรดมโดดมา โจมตีด้วยท่าวิทยายุทธ โดดเตะปลายคาง คนของภูสินทรกระเด็นหงาย รถมอเตอร์ไซค์จะล้ม ทันใดร่างของมิถิลาโดดมาคร่อมรถ และประคองรถไว้ ศิขรนโรดมตามเตะซ้ำอีก จนคนของภูสินทรฟุบไป ศิขรนโรดมเข้ามาถอดหมวกกันน็อคออก จับหน้าคนของภูสินทรให้รับแสงไฟ
“เจ้าคือใคร เป็นคนของไอ้พวกกบฏหรือไม่”
“องค์รัชทายาท...ข้าพเจ้า...” คนของภูสินทรพูดไม่ค่อยถูก
“หึ...คนไทยนี่ แต่รู้จักข้า เจ้าตามข้ามาใช่ไหม กลับไปบอกหัวหน้าเจ้าด้วยว่าข้าขอยืมของเจ้าไปใช้หน่อย ขอบใจนะ”
จากนั้นศิขรนโรดมก็โดดตามไปซ้อนมิถิลา เอาแขนคร่อมตัวไว้ แล้วขับไป
“อ๊าย” มิถิลาร้องออกมาอย่างตกใจ
“ไม่ต้องกลัว มันไม่ต่างจากม้าของพวกเราหรอก เราเคยลองขับมอเตอร์ไซค์ภูเขาของพวกขนสินค้าเถื่อนข้ามดอยมาแล้ว”
ศิขรนโรดมบอกขณะขับมอเตอร์ไซด์ไป คนติดตามภูสินทรลุกขึ้นมา รู้สึกซวยยิ่งนัก ล้วงโทรศัพท์มา กระหน่ำกดๆๆ
รถมอเตอร์ไซค์ขับมาตามถนนนอกเมือง คราวนี้ศิขรนโรดมเป็นคนขับ แต่ให้มิถิลาซ้อนท้ายและสวมหมวกกันน็อคไว้ รถแล่นไปฉิวๆ ในถนนที่ว่างๆ ข้างทางมีลำคลองขนาน
สีหน้าหน้าศิขรนโรดมบอกอารมณ์สนุก เพลิน คึกคะนอง ส่วนมิถิลาโผล่มาให้เห็นนิดเดียวจากช่องของกันน็อค ดูซีดๆ เป็นกังวล
พระอาทิตย์แรกขึ้นพื้นจากทะเล เรือหาปลาแล่นกลับฝั่ง มอเตอร์ไซค์จอดอยู่มุมหนึ่งศิขรนโรดมนั่งที่ขอบราวสะพานคอนกรีต มองดูพระอาทิตย์ขึ้น ข้างๆ มิถิลานั่งกอดกันน็อคเงียบมองภาพตรงหน้าอย่างดื่มด่ำ
“นี่ไง พระอาทิตย์ขึ้นที่ทะเล ของจริงไม่ใช่ในรูปหรือในหนัง”
“ไม่นึกเลยว่าทะเลจะมีกลิ่นแบบนี้”
“ถ้าเราไม่ต้องมีหน้าที่อะไร ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์ท่องเที่ยวไปในโลกตลอดไปก็คงดี”
มิถิลามองหน้า ถอนใจ
“นั่นสิ..พะย่ะค่ะ ถ้าทุกคนเลือกชีวิตได้ อย่างที่ต้องการได้จริงก็คงดี”
ทั้งสองมองพระอาทิตย์กัน นิ่งงัน ต่างเศร้า
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่บิ๊กไบค์แล่นเข้ามาหนึ่งคัน ทั้งสองรีบโดดลุกขึ้น เตรียมเผชิญ รถคันนั้นจอดลง ชายนึงก้าวลงมา ถอดหมวกกันน็อคออกกลายเป็นภูสินทร ศิขรนโรดม มิถิลา หันมามองหน้ากัน งงๆ ภูสินทรเข้ามาตรงหน้าแล้วนั่งลงบังคมแบบคีรีรัฐ ศิขรนโรดมถึงกับอึ้ง
“คุณเมืองเทพ”
ภูสินทรเงยหน้ามอง
“กระหม่อมตามมาได้ เพราะรถคันนั้นมีเครื่องติดตามจีพีเอส และชายที่ตามอารักขาเจ้าน้องเมื่อคืน คือคนของกระหม่อม เจ้าน้องทำไมทรงซุกซนอย่างนี้ หากเกิดอันใดขึ้นกับพระองค์ พวกกระหม่อมคงไม่แคล้วถูกประหาร”
ศิขรนโรดมน้ำตาเอ่อ
“คุณ...เรียกผม...ว่า...อะไรนะ”
ภูสินทรน้ำตาคลอเช่นกัน
“เจ้าน้อง กระหม่อม” ภูสินทรก้มหัวลง ไม่สบตา
“ไม่มีคนเรียกเราเช่นนี้ มานานมากแล้ว เรา...ได้เป็นเจ้าน้อง เพราะครั้งนั้น เราเคยมีเจ้าพี่”
“พระองค์ยังทรงมี เจ้าพี่อยู่เสมอมา องค์ชายศิขรนโรดม”
ศิขรนโรดมถึงกับตะลึง
เช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวซัน ในชุดวอร์มดำ กำลังวิ่งไปอย่างเร็วในสนาม แล้วมีชายสองคนที่สวมหมวกแก๊ป เห็นหน้าไม่ชัดพุ่งออกมาดักหน้า ดักหลัง จ้าวซันชกต่อยกับชายสองคน โดยจ้าวซันตั้งรับ พลางหลบ ถอย หนี ให้ชายทั้งสองผลัดกันบุกเข้ามา ชายสองคนใช้วิชาป้องกันตัวแบบจีนและญี่ปุ่น ส่วนจ้าวซันใช้ท่ามวยแปลก ผสมไทยและคีรีรัฐ
แสงอาทิตย์สว่างมากขึ้นจึงเห็นหน้าชัด ว่าชายสองคนนั้น คืออาหลี่กับเต๋อเป่า ทั้งสามกำลังซ้อมการต่อสู้กัน จนกระทั่งหอบแฮ่กไปทั้งสาม สักพักจ้าวซันยกมือห้ามเป็นเชิงให้พอได้แล้ว
ทั้งสามเดินเคียงกันมา จ้าวซันมีผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดหน้า เต๋อเป๋าเข้ามาล้วงแผ่นกระดาษเล็กๆ ออกมา
“วันนี้ชั้นทำเคลื่อนไหวได้ช้ากว่าปกติยังไงไม่รู้ สงสัยเพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ” จ้าวซันบ่น
“นี่ครับ คุณชาย”
“อะไร”
“รายชื่อพ่อค้าอาวุธสามคน จากแผ่นดินใหญ่”
จ้าวซันรับมา รีบคลี่อ่าน
“พานหงปิน เฉินเสี่ยวหาว ต้าเป่ยไหล พวกนี้มันซื้อขายอาวุธสงครามที่หลุดออกมาจากทุกสำนักเลยใช่ไหม”
“ใช่ครับ มันหาได้หมด อาวุธของจีน รัซเซีย อิสราเอล”
“ทำไมพวกคีรีรัฐถึงไม่ซื้ออาวุธของจีนผ่านทางเหนือของประเทศตัวเอง ต้องอ้อมค้อมมาซื้อถึงที่นี่ ในเมื่อชนเผ่าต่างๆ รอบๆ ที่ทำสงครามกับทหารพม่าก็หาอาวุธได้จากแถวนั้นกันง่ายๆ”
“สมัยนี้มันก็ไม่ง่ายนัก ทางการจีนเข้มงวดกับการขนส่งทางแม่น้ำโขงมากขึ้น เพราะต้องคุ้มกันเรือสินค้าจีนที่มักถูกโจรสลัดแม่น้ำโขงปล้นบ่อยๆ แล้วหากขนส่งจากเส้นทางข้ามเขาในป่า ถ้าโดนจับได้ อาจถูกเข้าใจผิดว่าเป็นฝ่ายไหนกันแน่ จะสะสมอาวุธเพื่อเป็นศัตรูกับรัฐบาลพม่าหรือเปล่า จะทำให้เกิดปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้”
“มันขนส่งกันโดยใช้เที่ยวบินของเจ้าชายคนนั้น เพราะหากมีปัญหาอะไร มันก็อ้างว่าเป็นฝีมือเจ้าชายคนนั้น ที่ซื้ออาวุธเพื่อจะก่อการร้ายหรืออะไรได้ด้วย”
“มันจะเอาศิขรนโรดมเป็นเหยื่อให้ได้ ไม่เรื่องใดก็เรื่องนึง อย่าหวังเลย”
“เราคงต้องสืบต่อ ว่าในจำนวนนักค้าอาวุธเถื่อนสามคนนี้ ใครที่ไอ้เกาเฟยมันติดต่ออยู่”
จ้าวซันพยักหน้า เห็นด้วย
ที่บ้านหลินจื้อเหม่ย บราลีแต่งชุดนอนแบบกางเกง หน้าใส เพิ่งตื่น กำลังเก็บผ้าที่แห้งแล้ว พวกชุดเสื้อผ้าตัวเองอยู่บนดาดฟ้า หลินจื้อเหม่ยในชุดนอนกระโปรงเดินขึ้นมาเห็นก็ตกใจ
“บรี ไม่ต้องเก็บเองหรอก เดี๋ยวชั้นเก็บให้”
“ไม่ต้อง ขอบคุณ”
“เธอจะไม่ยอมพูดกะฉันอีกแล้วเหรอ บรี”
“ก็พูดอยู่นี่ไง”
“บรี ฉันจะแก้ตัวยังไงดี”
“ไม่ต้องแก้ตัวหรอก ตอบมาดีกว่า ว่าเธอขายชั้นให้จ้าวซันกี่เหรียญฮ่องกง”
“บรี อย่าดูถูกเพื่อนนะ ชั้นไม่ได้ทำอย่างนั้น”
“แล้วความจริงมันคืออะไร”
“ความจริงคือชั้นรักและเป็นห่วงเธอ ชั้นอยากให้เธอมีความสุข และชั้นจริงใจ ไม่ใช่เพราะใครมาจ้าง หรือมาซื้อ แต่ถ้าเธอจะไม่ยอมเข้าใจก็ไม่เป็นไร”
หลินจื้อเหม่ยมองบราลีอย่างน้อยใจ น้ำตาคลอ บราลีอึ้ง ตกใจ แคร์เพื่อนมาก กำลังจะออกปากง้อ ยื่นมือเข้าไป ทันใดเสียงกริ่งบ้านดังทั้งสองสะดุ้ง หลินจื้อเหม่ยเชิดหน้าขึ้น
“เขามาแล้ว คุณชายที่น่าสงสาร สำหรับฉันเขาเป็นคนดี ฉันยอมรับเขาไม่ใช่เพราะเขามีเงิน แต่เพราะความดีของเขา และเธอก็ควรจะมองเห็นความดีของเขาซะที”
รถยนต์แบบซิตี้คาร์คันเล็กสีสดใส จอดเด่นอยู่หน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย จ้าวซันยืนยิ้มมองอยู่ บราลีสวมแจ็คเก็ตคลุมชุดนอน ยืนงงอยู่หน้ารถ
“ไม่ได้ ชั้นไม่เอา ทำไมคุณจะมาให้รถชั้น มันมากไปแล้วนะ จ้าวซัน”
“พบกันครึ่งทางเถอะบรี รถคันนี้ผมให้คุณยืมชั่วคราว คุณจะได้ไม่ต้องเรียกแท็กซี่ ไม่ต้องไปเสี่ยงกับคนที่ไม่น่าไว้วางใจ เวลาไปไหนมาไหนคนเดียว แล้วผมก็จะได้ไม่ต้องส่งรถมารับส่งคุณให้คุณต้องอึดอัดอีกไง คุณจะได้มีอิสระตามต้องการ”
หลินจื้อเหม่ยที่สวมเสื้อคลุมยาวทับชุดนอนกระโปรง ถือถาดกาแฟออกมา
“คุณชายคะ รับกาแฟก่อน”
“ขอบคุณครับ หลินจื้อเหม่ย” จ้าวซันรับไปจิบ
“เดี๋ยวนะคะ จ้าวซัน คุณนึกว่าชั้นจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ชั้นจะกลับบ้านแล้วนะ”
“เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกัน แต่สำหรับวันนี้เราไปลองรถกันหน่อยไหม”
“แต่ว่า”
จ้าวซันยื่นกุญแจรถให้
“บรี คุณมีใบขับขี่สากลแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนอยู่แอลเอ คุณก็ขับรถไปไหนมาไหนแล้วนี่นาพ่อคุณเล่าให้ผมฟัง มาดูฝีมือขับรถกันหน่อยไหม ว่าคุณเก่งหรือเปล่า” บราลีอยากปฎิเสธ หันไปมองหลินจื้อเหม่ยทำหน้าสนับสนุนเต็มที่ บราลีหันมามองจ้าวซัน จ้าวซันยิ้มท้าทาย “ทำไม ไม่กล้าขับรถให้ผมดูเหรอ”
บราลีตาวาว อยากเอาชนะ คว้ากุญแจมา
ศิขรนโรดมยังอยู่ที่เดิมและกำลังคุยโทรศัพท์
“ใช่ อย่าให้ใครมารบกวน เรารู้สึกปวดศีรษะ อยากนอนพัก ขอตื่นซักเที่ยงเป็นอย่างน้อย”
ราชิดที่ยืนอยู่หน้าลิฟท์ทำหน้าเซ็ง
“องค์รัชทายาททรงมีภารกิจบ่าย ทรงลืมหรือเปล่า”
ศิขรนโรดมเก๊กเสียงเข้ม
“ไม่ลืม เพราะอย่างนี้ไง เราถึงอยากจะนอน ทุกวันพวกเจ้าจัดภารกิจให้เราต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาตลอด ตั้งแต่มาถึงที่นี่ แล้วแต่ละวันหมายกำหนดการก็แน่นเอี้ยด จนเราเหนื่อยมาก เหนื่อยจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้วเพราะฉะนั้น วันนี้ก่อนเที่ยงห้ามใครกวน ไม่ว่าใครทั้งนั้น แค่นี้นะ” ศิขรนโรดมกดปิดการติดต่อทันที ราชิดมองหน้ากับโกศิน
“นี่หรือ องค์รัชทายาทที่ว่าทรงพระปรีชานัก ที่แท้ก็ไม่ผิดพระบิดา รักสบาย เห็นแก่พระองค์ ไม่เคยนึกถึงประเทศชาติ”
ศิขรนโรดมเก็บโทรศัพท์ มิถิลามองภูสินทรตลอดเวลา สนใจอย่างมาก ภูสินทรหันมามองหน้ามิถิลา
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าคงจะต้องเลือกแล้วว่าเจ้าจะจงรักภักดีต่อฝ่ายใด”
“มิน...ฟังนะ” มิถิลางงงัน “เมื่อ 20 ปีก่อน เรามีพี่ชายคนนึง เขาคือองค์น่านปิงนรเทพ สำหรับเราเขาคือองค์รัชทายาทที่ควรจะขึ้นครองบัลลังก์คีรีรัฐไม่ใช่เรา แต่เวลานี้เจ้าพี่น่านปิงของข้าอยู่ที่ไหน ทรงสบายดีใช่ไหม ทรงเกลียดข้าแล้วหรือเปล่า”
ศิขรนโรดมจ้องหน้าภูสินทร ภูสินทรจ้องตอบ
อ่านต่อหน้า 2
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ส่วนที่ฮ่องกง รถยนต์แบบซิตี้คาร์คันเล็กสีสดใสแล่นมาอย่างสวยงามตามถนนสายต่างๆ ราบรื่น แล้วในที่สุดก็จอดลงที่มุมวิวสวยๆ บราลีแต่งตัวแบบออกข้างนอกแล้ว แต่หน้าใสกิ๊ง มีผ้าคาดผม หันมามองจ้าวซันอย่างท้าทาย
“เป็นไงคะ ชั้นขับรถดีมากเลยใช่ไหมล่ะ”
บราลีเปิดประตูรถลงมา เดินไปชมวิว จ้าวซันตามไป ยืนข้างๆ
“เก่งมาก ขับได้นิ่ม กฎ กติกา มารยาทไม่มีพลาด”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน เริ่มจริงจัง
“จ้าวซัน ถามจริงๆ อย่างจริงใจเลยนะคะ ช่วยตอบอย่างเปิดเผยด้วย”
จ้าวซันอึ้งๆ กอดอก ตั้งสติ
“ว่ามา”
“คุณต้องการอะไรในตัวชั้น จะจีบชั้นเป็นแฟนงั้นเหรอ” จ้าวซันสะอึก “จ้าวซัน ถามจริงๆ คุณแต่งงานหรือยังคะ”
“เด็กที่โตมาในอเมริกา พูดจาตรงไปตรงมาแบบนี้เองสินะ”
“คุณไม่ตอบอะไรซักอย่าง เห็นไหมคุณไม่เคยตอบอะไรตรงๆ เลย”
“อ้าว”
“เอางี้ คุณเป็นคนดีหรือเปล่า” จ้าวซันหัวเราะ
“ก็คุณถามแบบนี้ ใครจะไปตอบได้”
“เห็นไหม แม้แต่คำถามง่ายๆ คุณก็ไม่ตอบ”
“ถามว่าเป็นคนดีหรือเปล่าเนี่ยนะ คำถามง่ายๆ ใครจะพูดออกมาได้ล่ะ ว่าตัวเองเป็นคนดี”
“ชั้นไง ชั้นพูดได้ว่าชั้นเป็นคนดี ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำร้ายจิตใจ หรือแม้แต่ร่างกายใคร ไม่ผิดศีล5 เออ..แต่อาจเคยโกหกนิดหน่อย ทำไมจะตอบไม่ได้ ง่ายจะตาย เพราะฉะนั้นถ้าคุณตอบไม่ได้ ว่าคุณเป็นคนดีหรือไม่ ก็แปลว่าคุณเป็นคนไม่ดี”
“ผมพยายามจะเป็นคนดี”
“นั่นไงๆ ถึงกับต้องใช้ความพยายามกันเลย เพราะคุณเป็นคนไม่ดี” บราลีชี้หน้าจ้าวซัน จ้าวซันฉวยมือ กำนิ้วไว้
“อย่าชี้หน้าผม”
“ทำไม ถือเหรอ”
“ใช่...ถือ เพราะการชี้หน้าด่ากัน มันคืออาการแสดงความไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติ ไม่นับถือผู้ใหญ่ เป็นนิสัยไม่ดี คนฮ่องกงหรือคนอเมริกันอาจจะทำได้ แต่เด็กๆ คีรีรัฐ ต้องไม่ทำ”
บราลีมอง งงๆ ตื่นๆ ช็อคๆ แกะมือออกมาจากมือจ้าวซัน
“ใคร เป็นเด็กคีรีรัฐ”
จ้าวซันอึ้ง พลาดท่า
“เปล่า”
“จ้าวซัน”
จ้าวซันเดินหนี วุ่นวายใจ รู้สึกพลาดไปแล้ว ไม่รู้จะแก้ไขไงดี บราลีมองตาม รู้สึกเกือบใกล้ปริศนาบางประการ ยอมไม่ได้ รีบตามไป
จ้าวซันเดินเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อมา บราลีวิ่งตามมา
“จ้าวซัน จ้าวซัน คุณหนีเหรอ คุณกลัวอะไร ใครเป็นเด็กคีรีรัฐ”
“อะไร” จ้าวซันหันกลับมา
“บอกมา”
“มันไม่เกี่ยวกับคุณ ผมพูดถึงตัวผม”
“โกหก คุณโกหกอีกแล้ว”
“เอ้า..ไม่โกหกก็ได้ แต่ห้ามบอกใครเด็ดขาด แม้แต่เพื่อนที่คุณอยู่ด้วย แม้แต่ผิงอัน หรือใครก็ตาม สาบานได้ไหม” จ้าวซันนิ่งไป ถอนใจ หมดแรง “นี่ผมเป็นอะไรไป ทำไมถึงอยากให้ใครๆ สาบาน บ้าไปแล้ว สาบานจะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องบังคับกัน”
“ชั้นสัญญา ว่าจะไม่บอกใคร”
“โอเค อย่าบอกใครนะว่าผมเป็นชาวคีรีรัฐ”
“ไม่บอกหรอก” บราลีนิ่งไปนิดนึง แล้วเข้าใจไปอีกอย่าง ชักสีหน้าขึ้นมา “ทำไม อายเหรอ”
“อะไรนะ”
“คนเรา ไม่ควรอายกำพืดของตัวเอง ทำไม เป็นชาวคีรีรัฐแล้วมันไม่เท่งั้นเหรอ ไม่ไฮโซสมเป็นคุณชายจ้าวซันผู้ดูดีเลิศหรูเหรอ ชั้นเกลียดมากเลย คนที่ดูถูกรากเหง้าของตัวเอง”
จ้าวซันถอนใจยาว
“บราลี”
“ชั้นพูดจริง คนอย่างชั้น ไม่เคยอายชาติกำเนิด ถึงชั้นเป็นเด็กเผ่าม้ง อาข่า หรือปะกากะญอ ชั้นก็จะไม่อาย ชั้นสามารถยืดอกบอกทุกคนว่าชั้นเป็นชาวเขา ชั้นเรียนวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอมา งานวิทยานิพนธ์ของชั้น ชั้นเน้นงานของกลุ่มคนทางเหนือของเมืองไทย ซึ่งมันมีเทคนิคการทอผ้าของประเทศคีรีรัฐด้วย ถ้าคุณอายที่จะบอกใครๆ ว่าคุณเป็นคนคีรีรัฐ คุณก็ควรจะกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์ของชาติคุณซะบ้างนะ แล้วคุณจะรู้ ว่าคีรีรัฐเป็นชาติที่ยิ่งใหญ่ มีภาษา มีวัฒนธรรมของตัว แล้วคุณคิดดูเถอะว่าประเทศนั้นอยู่มาได้ยังไง โดยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของไทย พม่า จีน หรือแม้แต่ของอังกฤษ จ้าวซัน คุณควรภูมิใจในชาติของคุณ”
จ้าวซันอึ้ง พูดไม่ออก ตาที่มองบราลี ลึกซึ้ง น้ำตาคลอ บราลีเองก็ของขึ้น จนตาวาววับ
ที่เมืองไทย ศิขรนโรดมมองภูสินทร ยืนมองพระอาทิตย์ที่อยู่เบื้องหน้า กลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล
“เจ้าพี่ของฝ่าบาท ไม่เคยคิดในทางลบต่อฝ่าบาทเลย”
มิถิลามอง เงียบ งงงัน
“เหตุการณ์ที่ทำให้เจ้าพี่ต้องจากไป หากตอนนั้นเราไม่ใช่เด็กเล็กๆ เราจะไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด”
ภูสินทรกัดกราม แข็งใจเล่าเรื่องในอดีต
“คืนที่เจ้าหลวงพีริยเทพสิ้นพระชนม์ หม่อมฉันไม่มีวันลืม”
ศิขรนโรดมและมิถิลา มองมาด้วยความสงสัยอยากรู้
ภาพในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง ที่ห้องบรรทมเจ้าหลวงพีริยเทพ พระราชวังที่คีรีรัฐ หมอสิงหะจับดูชีพจรเจ้าหลวงเสร็จก็วางพระหัตถ์
“ทรงสิ้นพระชนม์แล้วพระเจ้าค่ะ”
ทหารทุกคนวางอาวุธทรุดลงถวายคำนับพระศพโดยพร้อมเพรียงกัน เจ้าชายมาทยาธรมีรอยแย้มสรวลที่มุมปากเล็กน้อย จัตุรัสหันมาทางมาทยาธร
“เจ้าเหนือหัวองค์ใหม่ ขอจงทรงพระเจริญ”
ทหารพร้อมกัน หันมาหามาทยาธร
“เจ้าหลวงมาทยาธร ขอจงทรงพระเจริญ”
ด้านนอก บายศรีในชุดข้าหลวง หันซ้ายหันขวายืนหลบอยู่ใกล้ประตู แอบดูอยู่ ตกใจ
ข้างหลังราชิด เห็นภูสินทรนั่งคุกเข่า ก้มหน้า มือถูกมัดไพล่หลัง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด ประคองตัวแทบไม่ได้สติ มีทหารยืนขนาบข้างไว้อยู่สองคน
“นายพลจัตุรัส ย่ำรุ่งพรุ่งนี้ ทออกข่าวให้ประชาชนรู้ว่าน้องเราพระหทัยวายกะทันหันและจัดเตรียมงานพระศพให้สมพระเกียรติ” มาทยาธรสั่งจตุรัส บายศรีรีบหลบไปอยู่หลังเสาทำตัวลีบ
“ฝ่าบาท”
“ว่าไป”
“เอ่อ.. พระเทวีกับราชบุตรทรงหนีไปได้พะยะค่ะ”
“อะไรนะ”
บายศรีแอบดีใจนิดนึง
“โธ่เว้ย แล้วข้าจะนอนหลับตาลงได้อย่างไร มิต้องสะดุ้งตื่นมาพบดาบจ่อคอซักคืนหรือ”
“แต่กระหม่อมจับตัวไอ้คนทรยศคนนี้ไว้แล้ว” ราชิดลากภูสินทรออกมาจากทหาร จับให้เงยหน้าขึ้น “ภูสินทร..ราชองครักษ์ตำหนักหน้า”
บายศรีเห็นภูสินทรสามี ตกใจสุดขีด รีบเอามือสองข้างปิดปากไม่ให้ส่งเสียงร้องออกมา มาทยาธรโกรธ ตัวสั่น เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วตบหน้าภูสินทรฉาดใหญ่ ภูสินทรล้มลงไปกองกับพื้น ได้สติขึ้นมาเล็กน้อย ภูสินทรค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา ปรือๆ มองเห็นบายศรีอยู่ข้างนอกประตูเบลอๆ รางๆ บายศรีค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น เอามือสองข้างปิดปาก หน้าซีดเผือด น้ำตาไหลอาบหน้า
“เค้นเอาความจริงจากปากของมันออกมาให้ได้”
ภูสินทรมองบายศรีด้วยความรักและเป็นห่วง พยายามยิ้มให้บายศรี ส่ายศีรษะเล็กๆ เป็นสัญญาณว่าไม่ให้เข้ามาหรือส่งเสียงดัง
ภูสินทรเล่าจบ สายตายังจับจ้องอยู่ที่พระอาทิตย์ที่อยู่ไกลออกไปเบื้องหน้า
“ท่าน...ท่านก็คือ...ราชองค์รักษ์ตำหนักหน้า...ภูสินทร” มิถิลาบอกออกมา ภูสินทรและศิขรนโรดมหันมามองหน้ามิถิลา เหมือนสงสัยว่ารู้ได้อย่างไร “เอ่อ...บิดาของหม่อมฉัน เอ๊ย...กระหม่อม ไม่ใช่ครับ...คือ ตอนฝึกทหาร เคยได้ยินครูฝึกเล่าว่า เอ่อ..ว่าราชองค์รักษ์ภูสินทรเป็นกบฏ ที่ลักพาตัวพระชายาและราชบุตรขององค์เจ้าหลวงในโกศหายสาบสูญไปเมื่อยี่สิบปีก่อน”
“ครูฝึกเจ้าเล่าคำเท็จ ความจริงเสด็จแม่ทรงเล่าให้ข้าฟังว่า”
ศิขรนโรดมแย้งแล้วเล่าเรื่องที่ตัวเองรู้
ภาพในอดีตที่ห้องบรรทมพระชายาสิริวารตี พระราชวังที่คีรีรัฐ พระชายาสิริวารตีประทับนิ่ง ช็อก พยายามรวบรวมสติ บายศรีหมอบเฝ้า ร้องไห้ตัวสั่นเทา พระนมรีบเดินไปตรวจสอบให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครมาได้ยินที่ประตู หน้าต่าง หน้าซีด น้ำตาไหลพรากๆ ตลอดเวลา
“ภูสินทร สามีของหม่อมฉันถูกคุมตัวไว้ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หม่อมฉันกราบฝ่าพระบาท ช่วยเขาด้วยเพคะ ช่วยด้วย”
บายศรีก้มลงกราบเท้าพระชายาสิริวารตี
“ถ้าเขาถูกจับ แล้วใครเป็นคนที่นำเสด็จพระเจ้านางน้องหนีต่อไปล่ะ”
พระนมทรุดนั่งลงกับพื้น เหมือนจะเป็นลม น้ำตาไหลพราก
“โธ่ พระเจ้านางน้องน้อยกับองค์ชายน่านปิงทูนหัวของกระหม่อม”
สิริวารตีคิดอย่างรวดเร็ว ข่มความเศร้า
“ภูสินทรจะไม่ถูกฆ่าตาย เขาเป็นกุญแจดอกสำคัญสำหรับเรื่องนี้ ข้าจะให้เขาหนีไปเพื่อตามไปดูแลน้องสาวและหลานข้าให้ได้”
อุทยานหลังวังที่เป็นป่าไผ่มีอาศรมเก่าๆ ทำจากไม้แกะสลัก ดูขลังและสวยงามอยู่กลางป่า ข้างในมีแสงไฟสว่าง
“และคืนนั้นเอง เสด็จแม่ได้แอบหลบไปปรึกษากับครูเฒ่าและหมอสิงหะ เพื่อหาทางช่วยเจ้าออกมา”
ในห้องสมุด สิริวารตีในเสื้อคลุมมอซอ พรางตัวเป็นชาวบ้าน นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ มีตะเกียงวางไว้ข้างตัว โดยมีครูเฒ่าและหมอสิงหะนั่งอยู่ด้วย ทั้งสามคุยกันอยู่อย่างหน้าดำคร่ำเครียด
“เวลานี้ไม่แน่ใจว่าจะเหลือผู้ที่จงรักภักดีอยู่กี่คน และการที่เราจะพาตัวองครักษ์ภูสินทรออกพ้นตัวเมืองคีรีรัฐไป คงไม่ใช่เรื่องง่าย มีด่านตรวจตั้งอยู่หลายด่าน ทหารทุกคนก็ได้รับคำสั่งให้ตรวจค้นพาหนะทุกคันที่ผ่านเข้าออกอย่างกวดขัน”
ทุกคนหยุดนิ่ง ใช้ความคิดชั่วขณะ
“ยกเว้นพาหนะของนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ราชองครักษ์ และก็ครู”
หมอสิงหะและพระนางสิริวารตีมองไปที่ครูเฒ่า
ด้วยความรวดเร็วไม่มีใครคาดคิด พระนางสิริวารตีลงนั่งคุกเข่าพนมมือต่อหน้าครูเฒ่า
“ขอความกรุณาครู โปรดช่วยน้องศุลีมานกับน่านปิงหลานของหญิงด้วย
“ขอเพียงแต่รับสั่งว่า...เมื่อไหร่”
“หญิงคิดว่าจากนี้ไปอีกหนึ่งเดือนจะถึงวันลอยพระประทีป ประชาราษฎร์คงได้รื่นเริงแจ่มใสกันอีกครั้ง หลังจากผ่านเรื่องโศกเศร้าเหล่านี้ไป ถนนหนทางคงจะสว่างไสว เรือแพลอยเต็มแม่น้ำ คงเป็นการดีสำหรับเราที่จะดำเนินการ คุณครูคิดว่าอย่างไร”
ครูเฒ่านิ่งคิด
กลับมาปัจจุบัน ภูสินทรนั่งคุกเข่ามองขึ้นไปบอกกับศิขรนโรดมที่ยืนอยู่
“พระมารดาของพระองค์ทรงกล้าหาญยิ่ง กระหม่อมจึงมีวันนี้” ภูสินทรถอนหายใจ ศิขรนโรดมและมิถิลามองมาด้วยแววตาเห็นใจอย่างสุดซึ้ง “แต่ตอนนี้ องค์ชายรีบเสด็จกลับก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันเวลานัดหมาย”
ทันใดนั้นก็มีรถเบนซ์ลีมูซีนเลี้ยวเข้ามาที่ท่าเรือ ชายในชุดสูทสีดำสองคนเปิดประตูหน้าทั้งสองด้านลงมาจากรถ ศิขรนโรดมและมิถิลาตกใจเล็กน้อย ตั้งท่าพร้อมลุย
“คนของกระหม่อมเอง เชิญฝ่าบาทเสด็จ”
ภูสินทรเปิดประตูด้านหลังให้ศิขรนโรดม ศิขรนโรดมกลับผายมือเชิญให้มิถิลาเข้าไปก่อน มิถิลาไม่สนใจ เดินอ้อมไป เปิดประตูรถอีกฝั่ง เข้าไปนั่งเองแล้วปิด ศิขรนโรดมเข้าไปนั่งเอง ภูสินทรปิดประตูให้ แล้วเดินกลับไปนั่งคนขับ ตีโค้งกลับรถและออกตัวไปจากท่าเรืออย่างรวดเร็ว
ที่ฮ่องกง จ้าวซันหันมาหาบราลี แล้วยิ้มอบอุ่น ก้มหัวให้นิดๆ
“ขอบใจคุณมาก ที่คุณทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น” จ้าวซันมองบราลีอย่างรัก เอ็นดู ปลื้มใจ “คุณทำให้ผมมีความสุขนะ...บราลี ผมชักภูมิใจขึ้นมาแล้วที่ผมเกิดมา เป็นคนคีรีรัฐ”
“จริงเหรอ” บราลียิ้มดีใจ แล้วกลับหุบลง นึกได้ หน้ากลับเศร้าลง “ดีใจด้วยนะ”
“อ้าว...ดีใจ แล้วทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“เพราะชั้นอยากจะรู้สึกภูมิใจแบบคุณบ้างไง แต่เสียดายที่ชั้นไม่รู้ว่าจะภูมิใจเรื่องอะไร” จ้าวซันถึงกับอึ้ง
“อะไรนะ”
“ชั้นไม่รู้ว่าตัวชั้นเป็นใครมาจากไหน พ่อแม่เป็นใคร เป็นคนดีหรือเปล่า จริงๆ ท่านยังอยู่ หรือเสียชีวิตแล้ว ทำไมฉันถึงต้องถูกคนนั้นคนนี้เอาไปเลี้ยง หรือว่าพ่อแม่ขายชั้นมา หรือว่าท่านยังมีชีวิตอยู่อย่างลำบากยากจนที่ไหนซักแห่ง ชั้นไม่รู้เลย” บราลีจริงจัง แต่ไม่ใช่สงสารตัวเอง จ้าวซันหันมามองหน้าบราลี พูดจริงจัง
“บราลี ผมมั่นใจว่าพ่อแม่ที่แท้ของคุณท่านต้อง...ต้องเป็น...เป็นคนพิเศษที่สุด ดีที่สุดแน่ๆ เพราะ...” จ้าวซันชะงักไป ขณะที่บราลีรอฟัง
“เพราะ...”
“เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดผู้หญิงที่พิเศษมากๆ อย่างคุณไงล่ะ เมื่อมองดูคุณผมก็เชื่อว่าพ่อแม่คุณต้องไม่ใช่คนธรรมดาๆ เพราะฉะนั้นคุณต้องภูมิใจในตัวพวกท่าน แล้วก็ภูมิใจในตัวคุณเองด้วยเข้าใจไหม”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน งง สงสัย ขณะนั้นที่มุมนึง เกาเฟย กำลังลักลอบถ่ายรูปทั้งคู่ด้วยโทรศัพท์แบบถี่ๆๆไม่ยั้ง แล้วรีบเผ่นไป
เกาเฟยเปิดเข้าไปในห้องฉินเจียง รีบตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
“คุณชายรองครับ คุณชายรอง ผมมี...”
เกาเฟยชะงัก เมื่อเห็นฉินเจียงกำลังนั่งกินอาหารเช้าโดยมีซูหลิงนั่งตัก ป้อนผลไม้กันอยู่ ต่างพากันหันมามองอย่างตำหนิ ซูหลิงรีบลุก จัดเสื้อผ้าและเผ้าผมให้ดี
“ขอโทษครับ” เกาเฟยก้มหัวจะถอยออกไป
“มีอะไร” ฉินเจียงลุกขึ้นมา
“เอ่อ...ไม่มีอะไรครับ”
“อะไรของแก ตกลงมีหรือไม่มี”
“ไม่มีครับ”
“ขอโทษนะคะ สงสัยซูหลิงจะเกะกะเกาเฟยคงไม่อยากให้คนนอกมารับรู้”
“คนนอกที่ไหนกัน ใครบอกว่าซูหลิงเป็นคนนอก มันสิเป็นคนนอก แกออกไปก่อนเกาเฟย แล้วถ้าชั้นไม่โทรเรียกไม่ต้องเข้ามา”
“เอ่อ...ครับ” เกาเฟยถอยออกไป
“คุณชายคะ แต่เกาเฟยอาจจะมีเรื่องสำคัญกว่าซูหลิง”
“ชั้นไม่อยากจะรับรู้เรื่องปวดหัวของไอ้เกาเฟยหรอก เรื่องของมันมีแต่เรื่องที่ทำให้หมดอารมณ์ทั้งนั้น มา...เรามากินกันต่อดีกว่า”
ฉินเจียงรวบตัวซูหลิงไปฟัดเหวี่ยง เกาเฟยเดินออกมา ทำหน้าตาดูถูก รังเกียจ เกาเฟยเลี้ยวเข้ามาในห้องทำงานฉินเจียง ยืนพยายามทำใจสงบสติอารมณ์สักพัก แล้วเหมือนนึกอะไรได้รีบปิดประตูลง เกาเฟยนั่งลงหน้าคอมพ์บนโต๊ะ เปิดคอมพ์ หน้าตาจริงจัง
ถนนในกรุงเทพตอนกลางวันรถติดมาก ศิขรนโรดมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ มิถิลาดูนาฬิกาข้อมือ
“ดีแล้วที่คีรีรัฐไม่มีรถยนต์มากมายขนาดนี้ นี่เราจะไปกันทันหรือเปล่า ถ้าพวกผู้ใหญ่จับได้”
ศิขรนโรดมนิ่ง เหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ไม่โต้ตอบอะไร คิดถึงแต่อดีต ภูสินทรลอบมองศิขรนโรดมผ่านกระจกมองหลัง
“เกิดอะไรขึ้นที่ผาห่มดอก เจ้าพ่อของเราทำอะไรท่านบ้าง” ศิขรนโรดมถามขึ้นมา
“คนที่ทำ มันคือไอ้ราชิด”
มิถิลาสะดุ้ง หน้าถอดสี ศิขรนโรดมหันมาลอบสังเกตท่าทีมิถิลา
ภาพจำเรื่องในอดีตที่ไม่มีวันลืม ผุดขึ้นในห้วงคิดของภูสินทร เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่ผาห่มดอกเป็นหอคอยศิลาแลง ส่วนบนสุดของหอคอยเป็นห้องวงกลมใช้คุมขังนักโทษ
มือทั้งสองข้างของภูสินทรถูกแขวนห้อยอยู่ แผ่นหลังและหน้าอกเต็มไปด้วยบาดแผลและรอยเฆี่ยนตี ขาทั้งสองข้างถูกตรึงด้วยโซ่ตรวน สภาพทรุดโทรม ราชิดตบหน้าภูสินทรสองที่ เพื่อเตือนสติ
“จะยอมพูดได้หรือยัง”
ภูสินทรถุยน้ำลายใส่หน้าราชิด ราชิดต่อยไปที่ท้องภูสินทรอย่างแรง แล้วหยิบมีดพกที่เหน็บไว้ขึ้นมาจากข้างเอว ราชิดเอาปลายมีดเงาวับไปทาบไว้ที่แก้มของภูสินทร
“งั้น ข้าจะเปิดปากของเจ้าเอง”
บายศรี ถูกทหารสองคนจับตัวเข้ามาในห้องขัง หน้าตาบอบช้ำเหมือนเพิ่งโดนซ้อม
“บายศรี” ภูสินทรตกใจที่เห็นเมียรัก
“อ่า...พูดได้แล้ว”
“ปล่อยเมียข้าเดี๋ยวนี้”
ราชิดค่อยๆ เดินไปหาบายศรี กระชากตัวมาล็อกคอไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
“งั้นก็บอกมา พระเทวีกับโอรสหนีไปที่ไหน”
“อย่านะพี่ อย่าบอก”
“ถ้าแกไม่บอก อีนี่เป็นศพ” ภูสินทรหนักใจเป็นที่สุด เริ่มลังเล “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม” บายศรีพยายามส่ายหน้าว่าอย่าบอก ภูสินทรเบือนหน้าไปอีกทาง คิดหนัก เครียด “หนึ่ง...” บายศรีนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้น หันไปมองมีดที่อยู่ในมืออีกข้างของราชิด “สอง...” ก่อนนับสาม บายศรีสลัดตัวเองหลุดออกมาจากมือราชิด แล้วพุ่งตัวเข้าไปคว้ามีดไว้
“ข้าจะไม่ขวางเส้นทางจงรักภักดีของพี่”
บายศรีเอามีดแทงที่อกตัวเอง แล้วพุ่งตัวล้มลงไปแทบเท้าภูสินทร พยายามเอื้อมมือไปแตะตัวภูสินทร แต่ทำไม่สำเร็จ
“ม่ายยย”
ความจริงที่ได้รู้จากภูสินทรทำให้มิถิลาถึงกับอึ้ง สลด น้ำตาจะไหล พยายามกลั้น ศิขรนโรดมมองภูสินทรด้วยความเห็นใจอย่างสุดซึ้ง ทุกคนเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีกจนมีเสียงโทรศัพท์ของภูสินทรดังขึ้น สุริยะยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ล็อบบี้หน้าลิฟต์ของชั้นที่เป็นห้องพัก
“อยู่ไหน ขบวนเสด็จพร้อมแล้วนะ”
ภูสินทรตกใจ
“ว่าไงนะ เอ่อ...ท่านสุริยะ ตอนนี้องค์ชายอยู่กับผม ยึดเอาหมายกำหนดการเดิมไว้ก่อน ผมจะรีบพาตัวองค์ชายไปส่งโดยเร็วที่สุด ทำยังไงก็ได้ห้ามไม่ให้คนจากคีรีรัฐรู้เรื่องที่องค์ชายเสด็จออกนอกโรงแรมเป็นอันขาด”
ภูสินทรกดโทรศัพท์วาง
“ตายๆๆ”
สุริยะบ่นออกมา เสียงลิฟต์มา ติ๊ง! ประตูลิฟต์เปิดออก ราชิดกับโกศินในชุดเต็มยศเดินออกมา
“เราพร้อมแล้ว ขอไปตามองค์รัชทายาทก่อน”
“เอ่อ”
ภูสินทรหักรถพุ่งจอดรถเอี๊ยดใต้สะพานแล้วรีบเปิดประตูลงไป
“ถ้านั่งรถไปคงจะไม่ทันการแน่ ได้โปรดตามกระหม่อมมา”
ภูสินทรออกวิ่งนำ ตามด้วยศิขรนโรดมและมิถิลา
ท่าเรือที่ใต้สะพานมีคนของภูสินทรมายืนรออยู่ก่อนแล้วสองคน ภูสินทรโยนกุญแจรถให้ลูกน้องคนหนึ่ง
“เอารถไป แล้วเจอกันที่โรงแรม”
ภูสินทรวิ่งนำไปที่ท่าเรือ เผยให้เห็นเจตสกีจอดรออยู่ 2 ลำ
“มันคืออะไร” ศิขรนโรดมถามอย่างสงสัย
“งั้นเดี๋ยวกระหม่อมจะขับถวาย ฝ่าบาทมากับกระหม่อม ส่วนไอ้หนุ่มคนนั้น คุณไปกับลูกน้องผม” ภูสินทรสั่งมิถิลา
ภูสินทรกระโดดขึ้นเจตสกีไป ศิขรนโรดมรีบตามขึ้นไปซ้อน เช่นเดียวกับมิถิลาที่ตามลูกน้องของภูสินทรขึ้นไป
ศิขรนโรดมมองมิถิลาด้วยความเป็นห่วง
“โรงแรมอยู่ริมแม่น้ำฝั่งนี้ อีกไม่ถึงห้านาทีเราน่าจะไปถึง”
เจตสกีสองคันบึ่งออกไปในแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว มิถิลาทั้งเสียว และกลัว
อ่านต่อหน้า 3
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 (ต่อ)
อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง ฉินเจียงนอนแผ่อยู่บนเตียงมีซูหลิงนวดตัวให้ไปมา ทันใดมีเสียงทุบประตูดังๆ ฉินเจียงลุกพรวด
“เฮ้ย อะไรกันนักหนาวะ ไอ้เกาเฟย”
ฉินเจียงเดินไปเปิดประตู ซูหลิงเขยิบไปอีกด้านของเตียง คว้าเสื้อคลุมมาห่มตัว
“ไท้เผ่ง เรื่องนี้ด่วนจริงๆ รอไม่ได้อีกแล้ว”
“รอไม่ได้ แกมันชักจะผยองเกินไปแล้ว ให้ความสนิทสนมไว้วางใจแล้วคิดลามปาม ไอ้เรฟูจี” ฉินเจียงตบหน้าเกาเฟยเพี้ยะ เกาเฟยกระเด็นไป แล้วหันมากุมหน้าตาวาว
“ไท้เผ่งเรียกผมว่าอะไรนะ”
“ไอ้เรฟูจี ทำไมก็แกมันอพยพมาจากเซ้าท์อีสท์เอเชียนี่นา ทำไม ว่าแค่นี้โกรธ แล้วที่แกคอยขัดจังหวะเวลาที่ชั้นกำลังสบายส่วนตัวล่ะ มันไม่สมควรโดนหรอกเหรอ ทำไม หรือคิดจะแข็งข้อ”
เกาเฟยรู้ตัว แววตาสงบ ก้มหัวลง
“ปละ...เปล่าครับ ผม...ผมไม่กล้าหรอก ผมผิดไปแล้ว ทีหลังผมจะไม่ทำอีก”
“ดี ให้มันรู้ว่าใครเป็นใคร ถ้าไม่มีชั้น แกก็อย่าคิดว่าแกจะมีทุกอย่างอย่างวันนี้”
“ครับ ผมไม่มีวันลืม บุญคุณท่วมหัวของคุณชายรอง” ฉินเจียงยิ้ม ชอบใจ
“ดี โอเค เกาเฟย ถ้างั้นชั้นก็ขอโทษแกด้วยก็แล้วกัน ชั้นใจร้อนไปหน่อย แหม...แกก็ควรจะเข้าใจนะ ว่าแกเสียมารยาทมาก”
“ครับ ต่อไปนี้ เวลาคุณชายอยู่กับคุณซูหลิง ผมจะไม่ขัดจังหวะอีก”
“เออ...แล้วที่แกว่าด่วนคืออะไร”
เกาเฟยมองหน้าฉินเจียง กลืนความแค้น ตั้งสติ
ฉินเจียง เกาเฟย อยู่ในห้องทำงานฉินจียงและยืนหน้าคอมพ์ด้วยกัน
“บริษัทสื้อฉวนแฟชั่น ที่ไอ้จ้าวซันมันอ้างว่าเป็นบริษัทเดิมของเต้แล้วก็เทคโอเวอร์เอาไว้คนเดียว ไม่แบ่งชั้น หุ้นมันวิ่งขึ้นฉิวๆ ขนาดนี้เลยเหรอ”
“จ้าวซันแตะบริษัทอะไร คนฮ่องกงมันก็บ้า แห่ซื้อหุ้นตามไปหมด แสดงว่าใครๆ ก็เชื่อวิสัยทัศน์ของมัน”
“แกจะบอก ว่าคนพวกนั้น มันไม่เห็นชั้นในสายตาเลยใช่ไหม”
“ก็เพราะจ้าวซันเขาพยายามจะจัดฉาก แย่งซีนไท้เผ่งอยู่ตลอดเวลานี่ครับ แต่ไม่ใช่แค่นั้นนะครับ เรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่แรงที่สุด”
“ฮะ ยังมีอะไรอีก”
“จ้าวซันมันลงดาบเล่นงานไท้เผ่ง ตามที่มันขู่ไว้แล้วครับ”
“ลงดาบ เล่นงานชั้นมันทำอะไร”
“ไท้เผ่งถูกอายัดบัญชีธนาคารทุกบัญชีแล้วครับ”
“อะไรนะ”
“ไท้เผ่งต้องรีบแต่งตัว แล้วออกไปเจรจากับผู้หลักผู้ใหญ่ของทางธนาคารด่วนครับ ไม่งั้นธุรกิจค้าขายอาวุธของเราล่มแน่”
ฉินเจียงช็อค ขณะนั้นซูหลิงแอบฟังทำหน้าอยากรู้อยากเห็น
จ้าวซันกับบราลีเดินมาที่รถ โดยจ้าวซันนำมา ดูรีบๆ กดเปิดรีโมทรถ บราลีตามมายังสงสัยไม่หาย และครุ่นคิดอะไรตลอดเวลา
“เดี๋ยวค่ะ ยังมีอีกอย่างนึงที่คุณต้องรับทราบไว้” จ้าวซันชะงัก หันมา “ยังไงๆ ชั้นคงจะไม่อยู่ให้คุณเซอร์วิสนานนัก ชั้นควรจะกลับเมืองไทยให้เร็วที่สุด เพราะชั้นก็มีหน้าที่ต่อคุณพ่อที่เลี้ยงดูฉันมาเหมือนกัน”
“ทำไม”
“ชั้นก็ห่วงพ่อบ้างสิ ท่านทำงานหนักอยู่คนเดียวนะคะ”
“คุณเพิ่งเรียนจบ เรียนมาหลายปี เรียนหนักมากด้วยจะรีบกลับไปทำงานอะไรนักหนา”
“เดี๋ยวนะ จ้าวซัน ที่คุณพ่อไม่ยอมให้ชั้นกลับเมืองไทยซะทีนี่คุณอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า”
จ้าวซันนิ่งไป แล้วยิ้ม ส่ายหน้า
“บราลี คุณจินตนาการมากเกินไปแล้วล่ะ”
“ก็เวลานี้ผู้คนรอบๆ ตัวชั้นมันเกี่ยวข้องกับคุณหมดเลยนี่คะ”
“คุณอย่าระแวงผมเลย บราลี ถ้าจะมีใครปรารถนาดีต่อคุณที่สุดก็คือผม”
“งั้น ก็ขอเตือนไว้เลยนะคะ ว่าชั้นไม่ใช่ตุ๊กตาที่คุณจะซื้อมาดูเล่น แล้วก็จับวางไว้ตรงไหนก็ได้ตามใจชอบ แล้วชั้นก็ไม่ใช่ลูกหมาตัวเล็กๆ ที่โยนขนมให้มันกินเยอะๆ แล้วมันจะตะกละ เห็นแก่กิน โยนของเล่นอะไรให้ มันก็จะรีบโดดงับ คาบมาวางแทบเท้าคุณ แล้วก็ยอมให้คุณทำอะไรก็ได้ ชั้นไม่เชื่องแบบนั้นแน่”
“โอเค งั้นผมจะไม่ขอให้คุณอยู่ฮ่องกงเปล่าๆ ก็ได้ แต่ผมจะมีงานให้คุณทำ เงินดีด้วย รับรอง คุณได้ใช้ศักยภาพเต็มที่”
“งานสอนภาษาอังกฤษให้ผิงอันเนี่ยนะ”
“เปล่า แต่เป็นงานระดับประเทศ เหมาะกับผู้หญิงฉลาด เก่ง ฤทธิ์เดชมากๆ”
“งานอะไร”
“งานถวายการต้อนรับเจ้าชายศิขรนโรดมแห่งคีรีรัฐ เวลานี้คุณพ่อคุณก็กำลังทำงานนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ หากอยากช่วยพ่อคุณต้องรับงานนี้”
บราลีอ้าปากค้าง ที่จ้าวซันทำไมยื่นข้อเสนอที่ทำให้เธอตกตะลึงมาได้ไม่หยุดหย่อน
“อะไรนะ”
ขณะนั้นเดียวกันที่กรุงเทพฯ สุริยะกำลังลุกลี้ลุกลนหาทางแก้ปัญหา เดินดักหน้าดักหลังราชิด โกศินมาตามทางหน้าห้องพัก
“จริงๆ นี่ก็ยังพอมีเวลา ไม่ทราบว่าพวกท่านเคยเห็นวิวของกรุงเทพฯ หรือยัง เอ่อ...” ราชิดกับโกศินมองกันงงๆ
“ตามกระผมมาสักครู่ ผมจะพาไปดูวิวแม่น้ำเจ้าพระยา สวยงามอย่าบอกใคร”
เจตสกีของภูสินทรที่มีศิขรนโรดมซ้อนอยู่ข้างหลังแล่นฝ่าลำน้ำไปอย่างรวดเร็ว น้ำกระเซ็นเป็นฟอง ตามมาด้วยเจตสกีที่มีมิถิลาซ้อนอยู่
“น่าจะมีไว้ที่คีรีรัฐบ้าง เอาไว้ขับตรวจการณ์ชาวบ้านริมฝั่งแม่น้ำน่าจะดี” ศิขรนโรดมบอก
“แม่น้ำที่นั่นค่อนข้างตื้นเขิน เป็นเกาะแก่ง คงไม่เหมาะเท่าไหร่ โรงแรมอยู่ตรงนั้น อีกไม่ไกลแล้ว ฝ่าบาททรงจับแน่นๆ นะพระเจ้าค่ะ”
“ขอบใจเจ้ามาก”
“ฝ่าบาทอย่ารับสั่งเช่นนั้นเลย กระหม่อมยังเป็นหนี้บุญคุณฝ่าบาทอยู่ ตอนนั้นทรงมีชันษาเพียง 8 ปีเท่านั้น”
ศิขรนโรดมมองใบหน้าภูสินทรชัดๆ พยายามนึก แล้วเหมือนจะจำอะไรได้รางเลือน “คืนสุดท้ายที่กระหม่อมอาศัยอยู่บนแผ่นดินของคีรีรัฐ วันลอยพระประทีป...”
ภูสินทรจ้องมองไปข้างหน้า แต่แววตารำลึกนึกถึงความหลัง เจตสกียังคงแล่นทะยานแหวกน้ำอยู่เรื่อยไป
“วันลอยพระประทีป ข้าอยู่กับพระครูนี่นาจะไปมีบุญคุณต่อท่านยังไงกัน”
ศิขรนโรดมคิดๆ ภูสินทรยิ้มนิดๆ
ในอดีต ที่ป่าทึบในคีรีรัฐ พระจันทร์เต็มดวงส่องสว่างลอยอยู่บนฟ้า แสงไฟระยิบระยับในผืนน้ำเบื้องล่างและโคมลอยเบื้องบน นานๆ จะมีพลุลูกใหญ่ถูกจุดขึ้นมาส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ที่โขดหินริมหน้าผา ศิขรนโรดมวัยแปดขวบ อุ้มกระต่ายมานั่งลูบเล่น เงยดูโคมลอยเต็มฟ้า เหงาอยู่ลำพัง ศิขรนโรดมลุกขึ้น ตะโกนไปในหน้าผา
“เจ้าพี่น่านปิงอยู่ที่ไหน หม่อมฉันเล่นคนเดียวไม่สนุกเลยพะย่ะค่า”
ครูเฒ่าเดินเข้ามาทางข้างหลัง และมายืนอยู่ใกล้ๆ ศิขรนโรดมได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา หันไปมอง
“ตะโกนอย่างนั้น องค์น่านปิงคงไม่ทรงได้ยิน คนได้ยินอาจจะเป็นคนอื่น ที่อาจจะเป็นอันตรายแก่เจ้าน้องได้”
ครูเฒ่าหันหลังเดินกลับ ศิขรนโรดมอุ้มกระต่ายแล้วเดินตามมา
“ถ้าเจ้าพี่กลับมาเมื่อไหร่ เราจะรีบถวายตำแหน่งรัชทายาทคืนทันที ส่วนเราจะไปเป็นอุปราช แล้วก็จะได้คืนกระต่ายให้เจ้าพี่ด้วย” ครูเฒ่าเดินมาที่รถม้าปิดประทุน “แล้วนั่นครูจะไปไหน ให้เราไปด้วยได้ไหม”
ครูเฒ่าอึ้งไป
พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงลอดลูกกรงเหล็กเหนือศีรษะภูสินทร เสียงพลุและผู้คนดังมาจากไกลๆ แสงจากพลุสว่างวาบเป็นระยะจากหน้าต่าง ยามสองคนกำลังกินเหล้าและอาหารต่างๆ อย่างเมามาย แล้วต่างล้มลงไม่ได้สติทหารชุดดำโดดเข้ามา รีบหยิบกุญแจที่เหน็บไว้ที่เอวของยามคนหนึ่งอย่างว่องไว
ทหารชุดดำได้กุญแจมา รีบไขประตูลูกกรง และเข้ามาไขโซ่ตรวนที่ล่ามเท้าภูสินทรออก
“รีบไป”
ทหารชุดดำคว้าถุงย่ามสีดำที่เอาติดตัวมาด้วยออกไป พร้อมวิ่งนำภูสินทรลงบันไดหอคอยไป
รถม้ากำลังแล่นผ่านแนวป่าไปเรื่อยๆ ม้าสองตัวเหยาะย่างไปตามทางโดยมีครูเฒ่าคอยคุมบังเหียน รถม้าผ่านชาวบ้าน 3-4 คน ที่กำลังเดินถือประทีปและกำลังจะเดินทางเข้าเมือง ท่าทางยิ้มแย้ม ศิขรนโรดมอุ้มกระต่ายอยู่และมองดูรอบๆ ทางด้วยความตื่นเต้น
ทางเริ่มเล็กและแคบลง เริ่มไม่มีผู้คนสัญจรไปมา ครูเฒ่าชะลอรถม้าและชักบังเหียนให้ม้าเดินเลี้ยวเข้าไปในทางแคบและเปลี่ยวกว่าเดิม
“เราจะไปไหนกันเหรอ”
“สุดทางเส้นนี้จะเป็นแม่น้ำเวียงสายพระเจ้าค่ะ”
ศิขรนโรดมพยักหน้ารับทราบ ยังคงตื่นตาตื่นใจกับทิวทัศน์รอบๆ ข้างที่เปลี่ยนไปและยังคงกอดกระต่ายไว้ ครูเฒ่าเริ่มเหลียวซ้ายแลขวา เหมือนมองหาอะไรบางอย่าง
“เอ๊ะ ครู ข้างหน้านั่นดูเหมือนจะมีพวกชาวป่าเดินกันอยู่”
ภาพเบื้องหน้าเป็นชายสองคน ใส่เสื้อคลุมรุงรังแต่งตัวขะมุกขะมอม คนหนึ่งมีผ้าคลุมศีรษะ อีกคนสะพายถุงผ้าสีดำ กำลังเดินก้มหน้าก้มตา จ้ำไปข้างหน้าไม่สนใจใคร ครูเฒ่าดูตื่นๆ หวั่นๆ ใจเต้นไม่เป็นส่ำเมื่อนึกถึงคำพูดของสิริวารตี
“วานครูช่วยรับเขาไปส่งที่แม่น้ำเวียงสาย นี่นั่นจะมีเรือคอยรับพาเขาออกนอกชายแดน งานนี้เราจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด”
รถม้าค่อยๆ ชะลอลง ครูเฒ่าหันไปมองเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นใคร จนรถม้าผ่านหน้าสองคนนั้นไป
“ครู หยุดเถอะ ให้เขาไปกับเรา ที่ข้างในก็ยังมีนะครู”
ครูเฒ่ากระตุกบังเหียนให้หยุดนิ่ง ชาวป่าสองคนเงยหน้าขึ้นมามอง
“เจ้าสองคนจะไปไหนกัน”
ชายคนหนึ่งรีบตวัดผ้ามาคลุมหน้าให้เห็นเพียงครึ่งหนึ่ง ให้เห็นเฉพาะดวงตาที่ฉายแววกล้าหาญ ชายคนนั้นหันมองจ้องมาที่ครูเฒ่าก้มศีรษะให้เล็กน้อย ครูเฒ่าโล่งใจ ก้มศีรษะตอบ จำได้ว่าเป็นภูสินทร ภูสินทรเหลือบตามองจ้องเข้าไปในดวงตาของศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยิ้มให้อย่างจริงใจ ใสบริสุทธิ์
“เกวียนเราตกหล่มอยู่ริมห้วยด้านโน้น แต่น้องชายข้าต้องไปลงเรือที่เวียงสาย”
“เราก็จะไปทางนั้นเหมือนกัน ที่เรายังมี ขึ้นมาสิ”
ทหารชุดดำปลดถุงผ้าออกจากหลังแล้วส่งให้ภูสินทร
“มีผู้เมตตาแล้ว เจ้าไปกับเขาเสีย เสื้อผ้าและเสบียงอยู่ในย่ามนี้แล้ว อย่าลืมงานของเจ้า แล้วเราค่อยพบกัน”
ภูสินทรพยักหน้ารับคำ รีบกระโดดขึ้นหลังรถม้าทันที รถม้าเคลื่อนตัวออกโดยพลันและดูเหมือนเร็วกว่าปกติ
ศิขรนโรดมหันมายิ้มให้ภูสินทรที่นั่งอยู่ข้างหลังอีกครั้ง ด้วยแรงสั่นสะเทือนของรถม้าทำให้เห็นของที่อยู่ในถุงผ้าเผยออกมาเป็นสร้อยทองและเพชรนิลจินดามากมายอยู่ข้างใน
ภูสินทรเห็นก็ตกใจ รีบเก็บเอามาผูกกระชับไว้กับตัว
เมื่อภูสินทร ศิขรนโรดม มิถิลาและลูกน้องภูสินทรมาถึงท่าเรือของโรงแรม พากันกระโดดขึ้นฝั่ง
“ตอนนั้น ฝ่าบาททรงพาหม่อมไปส่งจนพ้นภัย วันนี้หม่อมขอถวายพาเสด็จ ส่งจนพ้นภัยเช่นกันพะย่ะค่ะ”
ภูสินทรพาศิขรและมิถิลาวิ่งออกมาทางสวนด้านหลังของโรงแรม เห็นทหารคีรีรัฐสองนายรออยู่ข้างล่าง ภูสินทรพาหลบผ่านสระว่ายน้ำ แขกที่ว่ายน้ำอยู่ต่างมองงง ภูสินทรเหมือนคิดอะไรออก พาทุกคนเข้าไปให้ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าชาย มิถิลาทำท่าอิดออด แต่ก็ยอมหลับหูหลับตาเดินเข้าไป
ที่ฮ่องกง รถคันเล็กขับพุ่งไปอย่างรวดเร็ว จ้าวซันหักพวงมาลัยเลี้ยวขวาอย่างรวดเร็วจนบราลีเสียหลัก เอียงมาทางขวาเล็กน้อย เสียฟอร์ม
“นี่คุณ ขับช้าๆ ก็ได้ จะโชว์ว่าขับเก่งกว่าหรือไง”
จ้าวซันชะลอรถช้าลงตรงไฟแดง จ้าวซันปลดล็อคเข็มขัดนิรภัย เอี้ยวตัวไปหยิบของด้านหลังจนตัวจ้าวซันเข้าไปใกล้บราลี
“จะทำอะไรน่ะ”
“ผมมีอะไร จะให้คุณ...”
จ้าวซันหยิบของจากด้านหลังให้ เป็น iPad ส่งให้บราลี
“ยังไม่เลิกล้มความคิดที่จะซื้อฉันด้วยของแบบนี้อีก”
“เปล่า”
จ้าวซันเปิดไฟล์ที่เป็นรูปให้ดู แล้วส่งให้อีกที บราลีรับมาอย่างไม่เต็มใจนัก รูปที่จ้าวซันให้ดูเป็นรูปภาพของคีรีรัฐในสมัยปัจจุบัน ภูเขา สภาพแวดล้อม สถาปัตยกรรม และผู้คนต่างๆ ที่ดูเป็นธรรมชาติ และงดงาม
“คีรีรัฐ”
จ้าวซันมองทึ่ง
“ใช่ ทำไมถึงรู้”
รถเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
“ก็ทิวทัศน์ สถาปัตยกรรม และเครื่องแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์” บราลีเลื่อนดูรูปต่อไปเรื่อยๆ เป็นรูปของศิขรนโรดมในชุดเครื่องแต่งกายประจำชาติ “เอ๊ะ... คนนี้คือ?”
“องค์ชายศิขรนโรดม เจ้าชายรัชทายาทแห่งคีรีรัฐ คนที่คุณต้องดูแลให้ดีเมื่อเขามาถึงที่นี่”
บราลีพิจารณาอยู่นาน เอามาดูใกล้ๆ แล้วบ่นๆ
“ทำไมพ่อไม่บอกชั้นเลย ว่าท่านทำอะไรอยู่”
“เพราะท่านกำลังยุ่ง”
บราลีชะงัก คิดเยอะอีก
“หรือว่าคุณกับคุณพ่อชั้นกำลังร่วมมือกันทำอะไร งานผิดกฎหมายหรือเปล่า? คุณหลอกให้พ่อชั้นเข้าไปอยู่ในขบวนการแทรกซึมก่อการร้ายของคุณเหรอ”
จ้าวซันเบรกรถอย่างแรง บราลีแทบหัวขมำ
“คุณคิดว่าผมเป็นอาชญากรหรือไง”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ เห็นคุณเป็นนักเลงก็น่าจะเป็นงานเกี่ยวกับพวกโค่นล้มราชบัลลังก์ หรือเปลี่ยนแปลงการปกครองอะไรทำนองนั้น” จ้าวซันถึงกับเซ็ง สวมแว่นดำ มองตรงไปข้างหน้า และออกรถไปอย่างแรง
บราลีหงายเงิบ ร้อง “ว้าย”
อ่านต่อตอนต่อไป
ด้านสุริยะกำลังพาราชิดกับโกศินเดินชมสิ่งต่างๆ เพื่อฆ่าเวลา
“และนี่ก็คือ บันไดหนีไฟ ที่เอ่อ...สร้างโดยบริษัทของญี่ปุ่น ประตูนี้ถ้าเปิดไปแล้ว เข้าไป...” สุริยะผายมือให้ราชิดกับโกศินเดินเข้าไป ทั้งคู่ก็เดินเข้าไปงงๆ สุริยะปิดประตู “คนที่อยู่ฝั่งนั้นก็จะเปิดออกไม่ได้”
ราชิดและโกศินอีกฝั่ง พยายามเปิดประตู เคาะประตูเสียงดังปึงปัง สุริยะถอนหายใจ ซับเหงื่อ
“เฮ้ออ...”
“เปิดสิ เปิดๆๆ”
ราชิดกับโกศินร้องบอก
สององครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องศิขรนโรดมทำหน้างงที่ได้ยินเสียงโวยวาย ผสมเสียงทุบ เตะประตูตึงตังๆ ดังมาจากริมๆ ใกล้บันไดชั้นต่ำลงไป
“เฮ้ย เล่นอะไรวะเนี่ย”
“ช่วยด้วยๆๆ”
ทั้งสองมองหน้ากัน
“เสียงท่านราชิด”
“กับท่านโกศิน”
ที่บันไดหนีไฟด้านนอก
“ปล่อยกูออกไป /ไอ้บ้า/ ปล่อยกูๆๆ”
สองทหารลังเล
“เอาไงวะ”
“เร็วสิเว้ย”
ทั้งสองรีบวิ่งลงบันไดไปดู ที่มุมเหลี่ยมห้องอีกด้าน ภูสินทรโผล่ออกมาดูว่าหน้าห้องปลอดคนไหม ภูสินทร
หันไปบอกคนที่แอบอยู่ข้างหลังตนหลังเหลี่ยมมุมห้องนั้น
“ทางโล่งพะย่ะคะ”
สององครักษ์วิ่งลงบันไดหนีไฟมา สุริยะกระโดดเย้ราวกับดีใจมากมาย สององครักษ์ตื่นตกใจ
“อะไรกัน”
“ท่านราชิดกับท่านโกศิน”
สุริยะทำหน้างงเอ๋อ แล้วหันไปเปิดประตูหนีไฟ
“นี่ไง”
ประตูเปิด ราชิดกับโกศินพุ่งออกมาอย่างโกรธจัด
“เฮ้ย นี่คุณเล่นอะไรของคุณ คุณสุริยะ”
“เล่นอะไรครับผม ผมสาธิตให้ท่านชม ว่าหากท่านจะไปสร้างโรงแรมแบบนี้ที่คีรีรัฐ ต้องทราบก่อนว่าบันไดหนีไฟที่ดีต้องเปิดจากข้างในเท่านั้น คนนอกเช่นขโมยจะเปิดเข้ามาไม่ได้ และอย่าลืมให้ผมเป็นตัวแทนติดต่อให้ รับรองว่า ราคาถูกกว่าติดต่อเองครับกระผม”
“ผมว่าคุณนี่มันสติไม่ค่อยเต็มเต็งนะ ไม่รู้กาลเทศะซะบ้าง”
ราชิดเห็นสองทหารองครักษ์
“อ้าว แล้วแกสองคน ทำไมอยู่ที่นี่ ทำไมไม่ไปดูแลหน้าห้องพระบรรทม”
“ก็...ผมจะมาช่วยท่าน”
ราชิดกัดฟันกรอด
“ปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนกันหมด” ราชิดหันมามองสุริยะ สุริยะยิ้มแหะๆ
โกศิน ราชิด และสองทหาร วิ่งขึ้นบันไดมาถึงหน้าห้องพักศิขรนโรดม สุริยะเดินตามมาเอื่อยๆ ปรายตามองรอบๆ บริเวณนั้นดูสงบ ปกติ โกศินเงื้อมือกำลังจะเคาะห้องพักของศิขร สุริยะขัดจังหวะ
“เอ่อ...เดี๋ยว ผมว่าเราเดินไปดูที่ทิ้งขยะ...”
“ไม่ เราจะออกเดินทางกันแล้ว” ราชิดตะโกนใส่หน้า
โกศินเคาะประตูห้อง เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ
“ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงตื่นหรือยังพระเจ้าค่ะ”
ราชิดเคาะประตูอีกทีอย่างแรง เงียบ...ไม่มีเสียงตอบ
“ไปเอาคีย์การ์ดมา”
ทันใด ประตูเปิดกว้าง ศิขรนโรดมเปิดประตูออกมาในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำ ประดุจข้างในแก้ผ้า
“อะไรกานน...” ศิขรนโรดมหาว “ได้เวลาแล้วเหรอ”
ทุกคนมองอึ้งๆ มิถิลาในเสื้อคลุมแบบเดียวกัน หัวยุ่งกระจุย ตามมาข้างหลังศิขรนโรดมแล้วนั่งลงอย่างลนลาน
“ขอพระราชทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะ กระหม่อมลืมตั้งนาฬิกาปลุกพะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท” ราชิดสูดลมหายใจลึก “ยังมีเวลาพะย่ะค่ะ 10 นาที แต่จะสรงนานกว่านั้นก็ได้ เราไปช้าแค่ไหน พวกคนไทยก็ต้องรออยู่แล้ว ไม่ต้องไปเกรงใจใครหรอก พะย่ะค่ะ”
มุมนึงห่างออกไปหน้าห้อง ภูสินทรโผล่มาส่งซิกกับสุริยะ ชูนิ้วโป้งให้แก่กัน พวกทหารคีรีรัฐไม่มีใครรู้เรื่อง
ที่ห้องสมุดภายในบ้านสี่ฤดู มีชั้นหนังสือวางเรียงรายทั้งสามด้าน ตรงกลางเป็นโต๊ะทำงาน บราลีนั่งอยู่ที่โต๊ะ จ้าวซันเดินไปหยิบหนังสือและเอกสารปึกใหญ่มาวางหน้าบราลี
“มากมายขนาดนี้ จะอ่านเข้าไปได้ยังไงหมด”
บราลีหยิบหนังสือและเอกสารพลิกดูแต่ละหน้า
“คุณยังมีเวลาอีก 5 วัน ก่อนที่เจ้าชายศิขรนโรดมจะเสด็จมา”
“คุณไปจ้างคนอื่นเถอะ ฉันไม่เคยเป็นล่าม ภาษาอังกฤษก็ได้แต่ภาษาพูด ไม่รู้จักศัพท์การทูตอะไรหรอกนะ”
“ผมก็ไม่ได้ให้คุณมาเป็นทูต แค่ช่วยแนะนำสถานที่และโรงงานของผมก็พอแล้ว”
“เอาเพื่อนชั้นมาทำด้วยได้ไหม”
“เราไม่ได้ต้องการคนเยอะขนาดนั้น” บราลีมองดูรูปทิวทัศน์ของคีรีรัฐ แล้วเหมือนจะนึกอะไรออกนั่งเพ่งอยู่นาน “ไหนๆ คุณก็พอรู้เรื่องของคีรีรัฐอยู่บ้าง เรียนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสิ่งทอมาและก็อยากรู้ว่าผมทำงานอะไร งานนี้เหมาะกับคุณที่สุดแล้วล่ะ”
“หมายความว่ายังไงคะ”
ผิงอันโผล่มา ดีใจ
“พี่บรีกะพี่ชายใหญ่ดีกันแล้ว ดีจังเลยๆ”
“ผิงอัน วันนี้มิสบราลีจะสอนน้อง เรื่องประเทศคีรีรัฐเป็นภาษาอังกฤษ”
“อะไรนะ”
“เย้ๆ ต้องสนุกแน่ๆ เลย”
“แน่นอนจ้ะ พี่ฝากให้น้องดูแลครูของน้องด้วย”
“ได้เลยค่ะพี่ชายใหญ่”
“คุณฝากใคร ให้ใครดูแลกันแน่”
“ฝากให้น้องทั้งสองคนดูแลกันและกันก็แล้วกัน”
“อะไรนะ น้องทั้งสองคน พูดผิดหรือเปล่า” จ้าวซันยิ้ม
“ใช่ ผมพูดผิด พี่ไปทำงานก่อนนะ”
“เดี๋ยว”
จ้าวซันไม่ฟัง รีบออกไป บราลีทำท่าจะตาม ผิงอันรีบเข้ามาดึงไว้
“พี่บรี มาสอนหนูเถอะ หนูอยากเรียนเรื่องประเทศต่างๆ ในโลก คีรีรัฐอยู่ใกล้ๆ ประเทศของพี่บรีนี่คะ ต้องสวยน่าไปเที่ยวแน่ๆ เลย ใช่ไหมคะ”
บราลีอึ้ง จำยอม
รถจ้าวซันแล่นออกมาจากบ้าน สักพักรถที่จอดแอบในซอยโผล่มาและแล่นตามไป จ้าวซันนั่งในรถพูดโทรศัพท์หน้าเครียดจริงจังไม่มองอะไร ท่าทางหมกมุ่นมากๆ อาหลี่ขับรถ เต๋อเป่านั่งข้าง รถที่ตามมาคือหมวดจางกับผู้กองเหลียง
“ตกลง เราต้องมาเฝ้าเขาคนนี้กันเองหรือไงครับ ผู้กอง”
“ใช่ ไออยากติดตามความเคลื่อนไหวทุกอย่างของจ้าวซันให้ทันท่วงที ไออยากเป็นคนเล่นงานเขาให้ได้ ด้วยตัวของไอเอง”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไอได้กลิ่นคดีเด็ด เราดังแน่งานนี้”
รถจ้าวซันเลี้ยวไปทางนึง
“น่าน ไม่ได้ไปบริษัทซะด้วย”
“ไอเช็คแล้ว วันนี้ไม่มีประชุมอะไร จ้าวซันสั่งงดทุกการประชุมในสัปดาห์นี้ แม้แต่ประชุมกรรมการประจำเดือนก็เลื่อนออกไป ไอว่ามันทะแม่งๆ”
ในรถจ้าวซันอาหลี่มองหลังสักพัก หันมามองหน้าเต๋อเป่า จ้าวซันยังคงพูดโทรศัพท์ไม่หยุด เต๋อเป่ามองหน้าอาหลี่ อาหลี่พยักเพยิดให้มองกระจกหลัง ในกระจกหลังเห็นรถผู้กองเหลียงตามมาไกลๆ มีรถสองคันคั่นอยู่ อาหลี่ทดลองเลี้ยวกะทันหันเข้าซอยข้างๆ จ้าวซันกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ เงยหน้ามา งงๆ
“อะไร ขับเข้ามาทำอะไรในซอยนี่”
“ทดลองอะไรบางอย่างครับ”
รถผู้กองเหลียงเบรกกะทันหัน
“ไอ้เวลล...”
“ชิบเป๋ง ไม่ตามไปล่ะ ผู้กอง”
“ตามไปในซอยแบบนี้ มันก็รู้สิ ว่าเราตาม”
ในรถจ้าวซันในซอย อาหลี เต๋อเป่า มองๆ ไป
“มันไม่ตามมา”
“เออว่ะ อั๊วะอาจจะคิดไปเองก็ได้ เห็นมันตามมาตั้งแต่ลงเขา”
“หวาดระแวงมากเกินไปแล้ว อาหลี่นี่แกจะทำให้ฉันเสียเวลานะ”
“เดี๋ยวผมพาไปทางลัดครับ รับรองทันเวลาครับ คุณชายใหญ่”
อาหลี่ขับวนไปในซอย จ้าวซันส่ายหน้า
“ฉันรีบมาก เข้าใจไหม เร็วเข้า” จ้าวซันดูนาฬิกา แล้วดุ “นี่ไม่ใช่เวลาที่แกจะมาขับรถเล่นนะ”
อาหลี่จ๋อยสนิท
อ่านต่อหน้า 4
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 4 (ต่อ)
ด้านมิถิลาอยู่ในชุดองครักษ์ชายเดินเข้ามาเรียกศิขรนโรดมที่หน้าประตูห้องนอน
“องค์ชาย ทรงฉลองพระองค์เสร็จหรือยังพะย่ะคะได้เวลาต้องเสด็จแล้ว”
“ขออีกห้านาที”
“อย่างนั้นกระหม่อมจะออกไปแจ้งนายพลราชิดให้ก่อน”
มิถิลาหันหลังจะเดินออกไป แต่อยู่ๆ ศิขรนโรดมเปิดประตูพุ่งเข้ามาล็อกคอเอาไว้จากด้านหลัง ล็อกแน่นจนมิถิลาหายใจไม่ออก
“องค์ชา...ย...”
ศิขรนโรดมดันมิถิลาไปจนล้มและจับกดลงไปบนพื้นพรมกลางห้อง ศิขรนโรดมคุกเข่าข้างๆ คร่อมอยู่เหนือร่างมิถิลา
“มิน...ข้าขอโทษที่ต้องทำเช่นนี้ แต่เจ้ารู้ความลับของข้าทุกอย่าง ทั้งเรื่องที่ท่านแม่แอบลักลอบช่วยภูสินทรจากผาห่มดอก และเรื่องที่นักธุรกิจเมืองเทพก็คือราชองครักษ์ภูสินทร โดยเฉพาะเรื่องของเจ้าพี่น่านปิงนรเทพ ข้าไม่สามารถให้ความลับเรื่องเจ้าพี่ยังมีชีวิตอยู่รั่วไหลออกไปได้”
มิถิลากลัว ตาเหลือก
“องค์ชาย จะทำอะไรกระหม่อม...ได้โปรด...”
“มิน ขอชีวิตเจ้าให้ข้าเถอะ” ศิขรนโรดมจ้องหน้า มือกำกดที่ลำคอ บีบก็ตาย คลายก็รอด มิถิลาช็อคคิดว่าจะถูกฆ่า ทั้งสองมองตาวัดใจกันสักพัก ศิขรนดรดมมองด้วยแววตาจริงจัง “ข้าขอชีวิต ทั้งกายและใจของเจ้าให้กับข้า ขอให้เจ้าจงรักภักดีต่อข้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น เจ้าให้ข้าได้หรือไม่ หากฝ่ายพวกไอ้ทรราชย์เสนออะไรให้กับเจ้า ข้าจะให้สองเท่า เจ้าอยากจะได้ลาภ ยศ หรืออะไร แม้แต่นางกำนัลสวยๆ สักสิบหรือร้อยคน ข้าก็จัดหาให้เจ้าได้ ขอเพียงเจ้าสาบานว่าจะถวายชีวิตเจ้าเพื่อข้า ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่กับข้าต่อต้านกบฏคีรีรัฐ...ได้หรือไม่ มิน”
“พวกทรราชย์ที่ท่านว่า เอ่อ คือ...”
มิถิลาพยายามดิ้นอึกอัก แล้วอยู่ๆ ราชิดก็เปิดประตูเข้ามา
“ฝ่าบาท เราสายแล้วพะย่ะค่ะ” ราชิดชะงักกับภาพที่เห็น “อะไรกัน”
ศิขรนโรดมจำต้องปล่อยตัวมิถิลา แล้วลุกขึ้น
“เราซ้อมศิลปะป้องกันตัวแบบคีรีรัฐกันนิดหน่อยก็ท่านราชิดไม่ยอมให้อสุนีมาด้วยนี่นา ปกติเราต้องซ้อมมือกับลูกชายท่านเสมอๆ พอไม่มีเค้า เราก็เลยต้องซ้อมกับเด็กแบบนี้แหละ แต่ไอ้มินมันไม่ไหว อ่อนหัดเหลือเกิน ทหารหนุ่มทั้งกองทัพ ไม่เห็นมีใครเก่งเท่าอสุนีสักคน”
ราชิดอึกอัก รีบแก้ตัว
“ก็ อสุนีป่วยจริงๆ หม่อมก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรนี่พะย่ะค่ะ”
“นั่นสินะ” ศิขรนโรดมทำตัวปกติ สีหน้าตึง เดินออกไปจากห้องทันที
มิถิลายังคงยืนอึ้ง สับสนอยู่ที่เดิม ราชิดหันมาจ้อง มิถิลาจ้องตอบ ใจไม่ดี ลังเล เอาไงดี
“จะยืนทื่อหาบุพการีหรือไง ตามเสด็จไปสิ...ไป”
มิถิลาได้สติ รีบตามศิขรนโรดมไป
ที่ทำงานจ้าวซัน เทเรซ่ากำลังพูดโทรศัพท์ซีเรียส เงยหน้าขึ้นแล้วสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นฉินเจียง เกาเฟย ยืนอยู่
“คุณชายรอง”
“จ้าวซันไปไหน”
“ไม่อยู่ค่ะ”
“รู้แล้ว ว่าไม่อยู่ แต่เขาไปไหน”
“คุณชายรองมีธุระอะไรคะ สั่งดิฉันไว้ก็ได้”
“ฉันต้องพูดกะเขาเดี๋ยวนี้”
“คุณชายจ้าวซันสั่งอายัดบัญชีธนาคารของไท้เผ่งทุกบัญชีใช่ไหมครับ ไท้เผ่งไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินอะไรได้เลย มันต้องเป็นเพราะคุณชายจ้าวซันแน่ๆ”
“อะไร มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือคะ”
“อย่ามาสตรอเบอรี่...เทเรซ่า”
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะ”
“นี่พวกแกจะลองดีกะชั้นใช่ไหม จ้าวซันอยากงัดข้อกับไท้เผ่งใช่ไหม” ฉินเจียงตบโต๊ะหน้าเทเรซ่ารุนแรง กระชากโทรศัทพ์บนโต๊ะขึ้นมา “ตามตัวมันมา ใช้เบอร์ด่วนโทรติดต่อให้มันมาพูดกับชั้นเดี๋ยวนี้”
เทเรซ่าสะดุ้งหน้าซีด กลัว
“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณชายจ้าวซันไปไหน แล้วดิฉันก็ไม่สามารถติดต่อท่านได้แหมือนกันค่ะ”
ที่โรงพัก ผู้กองเหลียง หมวดจาง เดินเข้าห้องมาแล้วชะงักเมื่อเห็นอเล็กซ์ยืนที่โต๊ะกดดูในคอมพ์ฯไปมา
“อเล็กซ์ คุณมาทำอะไรที่โต๊ะทำงานผม”
“ผู้กองเหลียง หมวดจาง” อเล็กซ์เดินออกมา “เขาไปแล้ว”
“ใคร ไปไหน”
“ไหนผู้กองว่า คุณห้ามไม่ให้จ้าวซันเดินทางไปต่างประเทศแล้วไง”
“ใช่ เขารับปากผมแล้ว”
“แสดงว่า คุณไม่มีความหมายในสายตาเขาเอาซะเลย”
“คุณหมายความว่าไง อเล็กซ์”
“ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองรายงานผมมาเดี๋ยวนี้เอง ว่าเขาเพิ่งเดินทางออกจากฮ่องกงไปด้วยเครื่องบินเล็ก คนเดียว เดี๋ยวนี้เอง”
“อะไรนะ จ้าวซันไปไหน”
โรงงานผ้าไหมที่อยุธยา ศิขรนโรดมเดินนำขบวนเข้ามาในโรงงาน ราชิด โกศินเดินตามประกบซ้ายขวา มิถิลาและทหารอื่นๆ ตามหลังไป พวกหนุ่มสาวโรงงานตั้งขบวนต้อนรับรออยู่ ทั้งหมดนุ่งชุดผ้าไหม สวยงาม สุริยะกับภูสินทรเป็นแกนนำการต้อนรับนี้ ด้านนึงของผนังจะมีภาพของผลิตภัณฑ์ที่ขยายใหญ่ พร้อมคำอธิบาย สีสันสวยงาม สุริยะเข้าไปต้อนรับถวายมาลัยมะลิในพาน
“เป็นบุญของกระหม่อมและพนักงานทุกคนมากที่ได้รับเสด็จองค์ชายในโรงงานของเรา”
“พระองค์ฉลองผ้าไหมได้สง่างามมากพะยะค่ะ” ภูสินทรบอก
“เพราะคนออกแบบตัดเย็บรู้จักเราดี ถึงได้ชุดที่เหมาะเจาะพอดีกับเราเช่นนี้ เราต้องขอบใจมากจริงๆ” ศิขรนโรดมพูดกับภูสินทรอย่างรู้กัน
“ขอเชิญพระองค์เสด็จด้านในเถอะพะยะค่ะ กระหม่อมจะขออนุญาตนำทัวร์ด้วยตัวกระหม่อมเอง”
สุริยะเชื้อเชิญนำศิขรนโรดมเข้าไปภายใน ศิขรนโดรมส่งมาลัยต่อ มิถิลาเอาไปถือ
ราชิดกับโกศินแอบสบตากัน โกศินพยักหน้าเป็นเชิงว่าทุกอย่างพร้อมตามที่วางไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มมุมปากอย่างสมใจ เดินตามเข้าไป
สุริยะนำทัวร์มาบริเวณโรงเลี้ยงไหม ผนังด้านนึงก็มีภาพถ่ายสวยๆ ของตัวไหม รังไหม ต้นหม่อน ขยายติดผนังเช่นกัน
“เราเป็นโรงงานแบบครบวงจรครับ เริ่มตั้งแต่การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ไปจนกระทั่งกลายมาเป็นผลิตภัณฑ์จากผ้าไหม กระบวนการในการผลิต ของเรามีทั้งใช้เครื่องจักรสมัยใหม่ ผสมกับการผลิตแบบดั้งเดิมที่เราอนุรักษ์ไว้ ด้านนี้คือโรงเลี้ยงไหมของเราครับ”
ศิขรนโรดมกำลังชื่นชมคนงานที่กำลังต้มไหมเพื่อนำเส้นใยออกมา ศิขรนโรดมทดลองดึงเส้นใยไหม สุริยะเอาไฟเผาเส้นไหมให้ศิขรนโรดมดม ศิขรนโรดมเดินชมเครื่องกรอไหม เครื่องสาวไหม เครื่องทอไหม และทดลองใช้เครื่องเหล่านั้น
ราชิดมองหน้ากับโกศินแล้วแบมือขอบางอย่าง โกศินหันไปพยักหน้ากับทหารติดตาม ทหารเปิดกระเป๋า หยิบกล้องถ่ายรูปออกมาให้ โกศินเดินไปหาศิขรนโรดม
“ฝ่าบาท โปรดถ่ายภาพ ทรงอยากจะถ่ายภาพไปฝากเจ้าหลวง และพระเทวีด้วยองค์เองสักหน่อยไหมพะย่ะค่ะ”
“เอาสิ” ศิขรนโรดมรับกล้องมา แล้วเริ่มถ่ายภาพสิ่งนั้นสิ่งนี้ มิถิลามองอย่างทึ่งในตัวศิขรนโรดม
ศิขรนโรดมเดินไปถ่ายรูปสิ่งที่ตนสนใจอย่างจริงจัง โกศิน ราชิด แอบมองหน้ากัน แสยะยิ้ม
บราลียังอยู่ที่ห้องสมุดบ้านสี่ฤดูของจ้าวซัน ผิงอัน บราลี ดูภาพผ้าต่างๆ ของคีรีรัฐในเน็ตบุ้คที่จ้าวซันให้ไว้
“cotton and silk from KIRIRATT are very fantastic. ผ้าฝ้าย และผ้าไหมจากคีรีรัฐ น่าตื่นตาตื่นใจมาก”
“yes, I think so, look at this…”
เหม่ยอิงเพิ่งมาถึง ยืนฟังอยู่ที่ประตูงงๆ และเดินเข้ามาขัดจังหวะ
“พี่ใหญ่อยู่ไหน” เหม่ยอิงชะงักที่เห็นบราลี บราลีหันไปเห็นเหม่ยอิงก็ตกใจเช่นกัน
“อ้าว... คุณ”
“อ้าว...คุณ” เหม่ยอิงนึกไม่ถึงเช่นกัน
“พี่สองคนรู้จักกันด้วยเหรอ” ผิงอันถามอย่างแปลกใจ
“แกสะเออะอะไร กล้าเข้ามาอยู่กันในห้องนี้”
ผิงอันลุกมา เชิดใส่เหม่ยอิง
“ก็พี่ชายใหญ่ให้มาใช้ห้องนี้ เอ่อ...นี่มิสบราลี ภีมะมนตรี ลูกสาวของพลตรีสุริยะ เอ้อ...นักธุรกิจ เพื่อนพี่ชายใหญ่จากเมืองไทย พี่บรีคะ นี่พี่เหม่ยอิง พี่สาวแท้ๆ แม่เดียวกันกับหนู” น้ำเสียงผิงอันประชดนิดๆ เหม่ยอิงเดินเข้าไปจับมือกับบราลีอย่างมีจริตจะก้าน
“ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการ แล้วนี่พี่ใหญ่ไปไหน ปิดโทรศัพท์ แล้วก็ไม่เข้าไปที่ตึกอีกแล้ว ทำไมหมู่นี้พี่ใหญ่หายตัวลึกลับบ่อยจัง”
“แล้วพวกหนูจะไปรู้เหรอ ถ้าพี่ไม่รู้ ก็แปลว่า พี่ใหญ่ไม่อยากให้ใครรู้ พี่ก็ไม่ควรจะไปตามจิกพี่ใหญ่”
“นังผิงอัน” บราลีรีบขวาง
“คุณเหม่ยอิง ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ที่ช่วยบอกทางวันนั้น” บราลีหันมาทางผิงอัน “นี่ก็เรื่องบังเอิญอีกหรือ ผิงอัน?”
ผิงอันทำหน้างง
“อะไรเหรอ พี่บรี หนูไม่เข้าใจ”
“ผิงอัน เธอออกไปก่อน พี่จะคุยกับมิสบรี”
“นี่มันเวลาเรียนของหนู พี่ชายใหญ่ให้หนูดูแลพี่บรี”
“ชั้นมีเรื่องของผู้ใหญ่จะคุยกัน เด็กไม่เกี่ยว ออกไป”
“ไม่ พี่ใหญ่บอกว่า...”
“ผิงอัน ออกไปก่อนนะจ๊ะ” บราลีบอก
“แต่”
“นะ เดี๋ยวพี่จะตามไปสอนเธอต่อที่ข้างนอกนะ”
“พี่เหม่ยอิง อย่าทำอะไรพี่บรีนะ”
“ไม่มีใครทำอะไรพี่ได้หรอก ผิงอัน” บราลีบอก ผิงอันอึ้ง
ผิงอันเดินเคียดแค้นออกมา อาม่ากำลังเดินถือถาดขนมมา
“อ้าว คุณหนู ออกมาทำไม หนีเรียนหรือ”
“หนูเกลียดบ้านนี้ พี่ใหญ่ไปไหนก็ไม่รู้ ปล่อยให้นางปีศาจอาละวาดอีกแล้ว บ้านนี้ถ้าไม่มีพี่ใหญ่ซะคน พวกเราต้องโดนรังแกจนไม่มีที่ให้ยืนแน่ๆ”
ภายในห้องสมุด บราลียืนรอรับว่าเหม่ยอิงจะมาไม้ไหน
“ผิงอันมันบ้า ทำยังกะชั้นเป็นยักษ์มาร ชั้นจะไปทำอะไรเธอ กระโดดกัดคอหรือไง”
“คุณมีอะไรจะคุยกับฉัน”
“จะบอกให้ก็ได้นะ วันนั้นมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” บราลี ไม่เข้าใจ “วันนั้นชั้นเป็นคนตามคุณไปเองแหละ ชั้นอยากรู้จักผู้หญิงที่ทำให้พี่ชายใหญ่หลงจนหัวปักหัวปำ แต่ก็ขอเตือนเอาไว้อย่าง พี่ชายใหญ่ไม่ใช่คนดี เขาเป็นคนเจ้าชู้มาก อย่าไปไว้ใจ ระวังจะเสียน้ำตาทีหลัง” บราลีอึ้ง “เอ่อ และข้อมูลอีกอันที่คุณควรจะรู้ไว้ จ้าวซันเป็นคู่หมั้นของชั้น”
บราลีช็อค “เราไม่ใช่พี่น้องที่แท้จริง เต้ของฉันเลี้ยงพี่ชายใหญ่มา เพื่อให้ดูแลพวกเราและเพื่อให้เขาเป็นเจ้าบ่าวของฉัน เราจะช่วยกันสร้างอาณาจักรของตระกูลจ้าวให้เป็นปึกแผ่น มั่นคง ยั่งยืน แล้วเราสองคนก็รักกัน และมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันแล้วด้วย หวังว่าเธอคงจะไม่คิดจะเข้ามาเป็นมือที่สามหรอกนะ”
เหม่ยอิงยิ้มมุมปากอย่างมีชัย
ที่เมืองไทย ศิขรนโดรมกำลังชมคนงานสาธิตการทอผ้าไหมด้วยกี่แบบโบราณ สุริยะคอยแนะนำ ให้ศิขรนโรดมทดลองทำดูบ้าง มิถิลาปะปนอยู่ในกลุ่มทหาร ด้านนึงของผนังก็มีภาพกี่ทอผ้าและผ้าสวยๆ บนกี่ ขยายแสดงบนผนัง เหมือนห้องอื่นๆ
ภูสินทรกำลังยืนดูแลความปลอดภัยให้ศิขรนโรดมอยู่ห่างๆ ศิขรนโรดมยังถ่ายรูปสิ่งนั้น สิ่งนี้ ที่ตนสนใจ ทันใดมีโทรศัพท์เข้า ภูสินทรกดรับสายคุยผ่านบลูทูธ
“ครับ ครับผม”
ภูสินทรรับฟังคำสั่ง ตาโต แล้วรีบผละแยกออกไปทันที แบบเนียนๆ ไม่ให้คนสังเกต
สุริยะนำพวกศิขรนโรดมเข้ามาบริเวณที่ต้มไหมเพื่อการย้อมสี
“ส่วนนี้คือไฮไลท์ของโรงงานเราเลยครับ การย้อมสีไหม”
บริเวณนั้นเป็นลานโล่งกว้าง มีเตาถ่านที่ก่อจากดินมากมายหลายเตา ทุกเตามีกระทะใบบัวขนาดใหญ่ตั้งอยู่ เป็นสีที่ถูกต้มให้เดือดเพื่อการย้อมไหม มองแล้วเป็นเตาๆ หลุมๆ หลายๆ หลุม แต่ละหลุม ก็สีต่างๆ กันสวยสด เดือดปุดๆ ไฟจากฟืนก็ปะทุๆ
ด้านนึงภูสินทร เดินนำคนงานเข้ามา 2-3 คน หนึ่งในนั้นมีจ้าวซันที่ปลอมตัวรวมอยู่ด้วย จ้าวซันสวมหมวกคลุมหัว ถุงมือ หน้ากากปิดจมูกปาก ถือเส้นไหม้ขดๆ ที่ย้อมแล้วสวยงาม เข้ามา แล้วจัดการแขวนโชว์สดๆ สุริยะรีบปรี่เข้าไป
“ทอดพระเนตรไหมที่ย้อมเสร็จแล้วก่อนพะย่ะค่ะ จะเห็นว่าสีไหมนี้ สดใส แต่ก็ไม่จี๊ดจ๊าดบาดตา เพราะเป็นสีธรรมชาติ ที่เราคิดสูตรของเราเอง นี่...นายคนนั้นน่ะ มาทางนี้หน่อยซิ”
สุริยะสบตาจ้าวซัน จ้าวซันยิ้ม ก้มหัวให้ และเชิญไหมเข้าไปตรงหน้าศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยิ้มให้จ้าวซัน อย่างอัธยาศัยดี แล้วเข้าไปถ่ายรูปเส้นไหมในมือจ้าวซัน จ้าวซันแอบมองศิขรนโรดมในระยะใกล้ ในสายตาจ้าวซัน ศิขรนโรดมดูน่ารัก อ่อนโยน
“โปรดการถ่ายภาพตั้งแต่เมื่อไหร่หรือพะยะค่ะ”
จ้าวซันอดถามขึ้นไม่ได้
ศิขรนโรดมเหลือบตาขึ้น มองหน้าจ้าวซันขณะตอบ
“เพิ่งหัดถ่าย ยังไม่เก่ง วันก่อนไปเที่ยวห้างในกรุงเทพ แล้วมีคนถวายกล้องก็เลยอยากจะ...”
มิถิลามองๆ ระวังๆ ราชิดปราดมาทันที ผลักอกจ้าวซัน
“พูดอะไรกับองค์ชาย เป็นคนงาน อย่าลามปามสิ”
“แล้วทำไมต้องใส่หน้ากากด้วย ถอดออก”
ภูสินทรรีบเข้ามาขวาง
“พวกคนงานกลุ่มนี้ เขาทำงานกับสี กับสารเคมีตลอดเวลา เขาต้องป้องกันตัวเองครับท่าน”
“อย่าไปยุ่งกับเขาเลย ท่านราชิด” ศิขรนโรดมบอกแล้วพยักหน้า ให้จ้าวซันถอยไป
จ้าวซันก้มหน้า ถอยๆ แล้วจัดการ เอาเส้นไหมเหล่านั้นขึ้นแขวนกับเพื่อนคนงาน หนีไปให้พ้นจากความสนใจของพวกราชิด ราชิดมองตามไป แบบเหยียดๆ โกศินเข้ามาสะกิด เตือนให้รีบทำบางอย่าง
ที่ด้านนึงของบริเวณนั้น มีภาพใหญ่ สีสวย เป็นภาพถ่ายจากมุมสูงลงมาเห็นหม้อย้อมไหมหลากสีจากมุมบนที่สวยงาม ราชิด โกศินสบตากัน แล้วทำเป็นเข้าไปยืนดูภาพนั้น
“ทอดพระเนตรสิ องค์ชาย ภาพนี้สวยจริง”
“เป็นภาพที่ถ่ายจาก...” โกศินหันไปมอง “บนนั้นสินะ”
ด้านข้างของอาคารถูกยกพื้น มีบันไดโครเมี่ยมที่ดูมั่นคง ขึ้นไปสู่สะพานโครเมี่ยม ที่ใช้สำหรับเดินเหนือเตาเหล่านั้น
“บนนั้นเป็นทางเดินสำหรับให้คนงานยกเส้นไหมที่ต้มสีเสร็จแล้วขึ้นจากเตา เพื่อจะเอาไปตากน่ะครับ” สิรุยะบอก ศิขรนโรดมเดินมาดูภาพนั้น แล้วหันไปดูสะพานนั้น “องค์ชายโปรดจะเสด็จขึ้นไปทรงถ่ายภาพหรือพะย่ะค่ะ”
“ขึ้นไปได้ไหมล่ะ”
ราชิดกับโกศินลอบสบตากัน แววตาคมร้ายกาจ ยิ้มมุมปาก
จ้าวซันยังหันไปแขวนเส้นไหมพวกนั้น จัดการให้สวยงาม พลางหันมาแอบดูศิขรนโรดมเป็นระยะๆ ก่อนจะเดินออกไปกับพวกคนงานที่เข้ามาพร้อมกัน
บริเวณส่วนต้มไหมเพื่อการย้อมสี ไฟในเตาลุกโพลง น้ำสีๆ ในหม้อใหญ่ยังคงเดือดปุดๆ ศิขรนโรดมกำลังก้าวขึ้นไปบนบันได บันไดโครเมี่ยมสั่นเล็กๆ
“องค์ชายไม่ได้กลัวความสูงใช่มั้ยครับ” สุริยะถาม
“เราไม่กลัวอยู่แล้ว”
“งั้นองค์ชายก็ไม่ต้องกังวลนะครับ สะพานนี้อาจจะดูเก่าแต่รับรองว่าแข็งแรงมาก กระหม่อมจะตามขึ้นไปรับใช้ด้วย”
“ท่านอยู่ข้างล่างนี้จะดีกว่าพลตรีสุริยะ เพื่อความปลอดภัย อย่าขึ้นไปบนนั้นให้หลายคนนักเลย คุณสุริยะอยู่ให้ข้อมูลข้างล่างนี่แหละ ส่วนองค์ชายกระหม่อมคิดว่า...”
“ให้คนสนิทของเราตามขึ้นมาอารักขาด้วยอีกคนก็พอ มิน...เจ้ามากับเรา”
“หือ” มิถิลาทำหน้างง
“ที่จริง...” ราชิดจะค้าน
“เจ้ามิน ขึ้นมา” ศิขรนโรดมเรียกมิถิลา ราชิดสบตาโกศิน แล้วเงียบลง ภูสินทรมอง ชักลังเล ตงิด
จ้าวซัน กับพวกคนงานเดินออกมา แล้วจู่ๆ คนงานคนนึง มองไปที่ขอบหน้าต่าง มองงงๆ เดินเข้าไปดู
“เอ๊ะ”
“อะไร”
มีตะปูขันน็อต 4-5 ตัว วางตรงขอบหน้าต่างนั้น
“น็อตพวกนี้ มาจากไหน”
“น็อตอะไร”
“ไม่รู้ เมื่อคืนผมทำความสะอาดห้องนี้แล้ว ดูดฝุ่นอย่างดี แล้วไอ้พวกนี้มันมาจากไหน”
จ้าวซันรีบเข้ามาหยิบดู ชักท่าไม่ดี
ในห้องย้อมไหม ศิขรนโรดมเดินถือกล้องขึ้นไป มิถิลาขึ้นตามศิขรนโรดมไป ศิขรนโรดมเดินขึ้นไปตามบันได จนไปถึงสะพานโครเมี่ยมที่เป็นทางเดินเหนือเตาถ่านเหล่านั้น ค่อยๆ เดินออกไปบนสะพาน ชื่นชมภาพที่เห็น โดยมีมิถิลาตามหลังมาอารักขา
“มองจากมุมนี้ วิเศษมากเลยท่านสุริยะ รู้สึกเหมือนยืนอยู่บนปากปล่องภูเขาไฟสีสวยๆ หลายลูกเลยทีเดียว”
“จริงพะย่ะค่ะ”
ราชิดกับโกศินลอบสบตากัน กระหยิ่มใจ
จ้าวซันรีบกลับเข้ามาถึง แล้วต้องผงะ เมื่อเห็นว่าศิขรนโรดมขึ้นไปยืนอยู่เหนือเตาต้มไหมเหล่านั้นแล้ว
“ศิขรนโรดม”
จ้าวซันจะขยับเข้าไปห้าม แต่ทหารคีรีรัฐขยับขวางไว้ ไม่ยอมให้ไปที่บันได
“คุณคิดจะทำอะไร”
“เอ่อ คือ...ผมมีเรื่องด่วนต้องทูลองค์ชายเดี๋ยวนี้”
“เรื่องอะไร”
โกศินระแวง จ้องเข้าไปในดวงตาของจ้าวซัน คาดคั้น จับผิด จะเข้าไปดึงหน้ากากออก จ้าวซันถอย ปัดมือ
แผ่นโครเมี่ยมที่ปูพื้นสะพานทางเดิน พะเยิบพะยาบ เหมือนกับไม่ได้ถูกอะไรยึดไว้ เห็นรูน็อตในเนื้อแผ่นโครเมี่ยมหลายแผ่น ที่ไม่มีตัวน็อตยึดเอาไว้ ศิขรนโรดมกำลังเดินไปทางนั้นทีละก้าวๆ สุริยะกำลังรายงานอยู่ด้านล่าง
“การย้อมสีเส้นไหมเป็นขั้นตอนการทอผ้าไหมที่สำคัญที่สุด ยิ่งถ้าจะย้อมสีธรรมชาติให้ได้คุณภาพยิ่งยากมาก ทุกขั้นตอนสำคัญหมด ไม่ว่าจะอุณหภูมิที่ใช้ย้อม จำนวนเส้นไหมที่ต้องได้สัดส่วนกับน้ำสี และเส้นไหมเองก็ต้องมีคุณภาพดีย้อมแล้วสีไม่ตกไม่เปลี่ยนสีด้วยเทคนิคในการย้อมก็สำคัญ เราต้องคอยยกไหม กลับเส้นไหม และคนไม่ให้ไหมแตกกลุ่ม สีที่นำมาย้อม ก็เป็นสีที่ได้จากธรรมชาติทั้งสิ้น.”
ศิขรนโรดมชื่นชมสถานที่ แต่ไม่ได้ตั้งใจฟังสุริยะ เพราะหาโอกาสจะเค้นคำตอบจากมิถิลามากกว่า แอบคุยกับมิถิลาโดยไม่ให้ใครสังเกตเห็น
“คำตอบของเจ้าคืออะไร”
“หือ?”
“เจ้ามิน ที่เราให้เจ้าขึ้นมาลำพังกับเราบนนี้ เพราะเราแค่หาโอกาสฟังคำตอบจากเจ้า ว่าเจ้าจะยินยอมจงรักภักดีต่อเราเพียงผู้เดียวได้หรือไม่”
“องค์ชาย...คือ...”
“ตอบมา”
“กระหม่อม เอ่อ...กระหม่อม” มิถิลาอึกอัก ลำบากใจจะตอบ แต่แล้วก็เหลือบไปเห็นแผ่นพื้นสะพานที่พะเยิบพะยาบไร้ซึ่งอะไรยึดไว้ และเห็นว่าศิขรนโรดมกำลังจะเหยียบลงไปบนแผ่นโครเมี่ยมนั้น โดยไม่ทันมอง
“องค์ชาย ระวัง” มิถิลาตะโกนก้อง
พร้อมกันนั้น มิถิลารีบถลาเข้าไป ศิขรนโรดมถอยพ้น แต่มิถิลาเหยียบแทน แล้วร่วงลงไป ศิขรนโรดมผวารีบคว้ามือของมิถิลาเอาไว้ได้อย่างพอดี
เบื้องล่างตรงจุดนั้นคือเตาที่ใหญ่สุด กำลังเดือดปุดๆๆ ทุกคนตกใจมากๆ ผงะ คนงานหญิงร้องด้วยความตกใจ
มิถิลาห้อยต่องแต่ง โดยมีศิขรนโรดมยืนตั้งขาสองข้างจังก้ายันขวางตัวสะพานไว้ ไม่ให้ตัวไหลลงไปอีกคน มือทั้งสองคว้ามือมิถิลาเอาไว้ ต้นแขนทั้งสองของศิขรนโรดมถูกน้ำหนักและแรงดึงดูดทำให้กดทับไปกับขอบโครเมี่ยมที่ค่อนข้างคม ถูกขอบนั้นกดทับบี้เข้าไปในเนื้อ ศิขรนโรดมกลั้นเจ็บเอาไว้ พยายามจะดึงมิถิลาขึ้นมา
ภูสินทรช็อคกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“องค์ชาย”
“ไอ้ทหารใหม่โง่เง่าเอ๊ย” ราชิดบ่นอย่างหัวเสีย
ภูสินทรขยับจะวิ่งขึ้นตามไป แต่โกศินขวางเอาไว้
“ขึ้นไม่ได้ สะพานรับน้ำหนักไม่ไหว”
“หลบไป”
ภูสินทรผลัก ดื้อดึงจะขึ้นไปให้ได้ แต่โกศินกระชากคอเสื้อผลักออกอย่างแรง ภูสินทรกระเด็น บลูทูธหลุดออก แล้วพวกทหารคีรีรัฐก็ล้อมกันไม่ให้ภูสินทรขึ้นไป
“บอกว่าให้ขึ้นไม่ได้ก็ไม่ได้สิวะ”
จ้าวซันที่เห็นภาพศิขรนโรดมพยายามช่วยมิถิลาที่ห้อยต่องแต่งอยู่เหนือเตาถึงกับช็อค
“ศิขร”
สุริยะรีบร้องให้คนงานมาช่วย
“เฮ้ย พวกเอ็งไปหาบันไดอะไรมารับตัวองครักษ์คนนั้น เร็ว”
มิถิลาพยายามจับมือศิขรนโรดมเอาไว้ ดึงไว้ไม่ให้หลุด แต่มือเริ่มลื่นจะหลุดออกจากกัน แขนศิขรนโรดมถูกบาด เลือดอาบ
“มิน...เจ้าทนอีกนิด”
“พระโลหิตไหลมากแล้ว ปล่อยมือหม่อมฉัน หม่อมฉันเลือกแล้วว่าจะจงรักภักดีต่อองค์ชายแต่เพียงผู้เดียว ชีวิตของกระหม่อมเป็นขององค์ชาย ทอดพระเนตรเห็นแล้วใช่ไหม”
ศิขรนโรดมซึ้งใจ แต่แล้วมือกลับลื่นมากขึ้น จนแทบจะหลุด
“ขอบใจ มิน...ข้าจะไม่มีวันยอมให้เจ้าตกลงไปเด็ดขาด”
แล้วทันใด มิถิลาก็มือลื่นหลุดร่างร่วงลง ขณะนั้นเองจ้าวซันโหนผ้าไหมที่ตากระโยงระยางคล้องอยู่กับขื่อ จับสองชายม้วนแขน โหนทะยานเข้ามาตะครุบตัวมิถิลาเอาไว้ก่อนที่จะตกลงไปในเตา ทั้งคู่ล้มไปกลิ้งกับพื้น มิถิลาเจ็บ แต่ปลอดภัย ในอ้อมกอดจ้าวซัน
“เจ้าทหารน้อย ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย”
ศิขรนโรดมดีใจที่มิถิลาปลอดภัย ลุกยืน ดีใจ แต่แล้วแผ่นพื้นสะพานตรงนั้นทรุด เกือบหล่น ศิขรนโรดมกระเด้งถอยออกได้ทัน โล่งอกที่มิถิลาปลอดภัย จนลืมเจ็บแผลตัวเองที่เลือดไหลโกรก
ราชิด โกศินที่แอบมองอยู่ด้านนึง เจ็บใจที่พลาด รีบวิ่งไปรับที่บันได ดูแลห่วงใยสุดๆ
“องค์รัชทายาทๆ โธ่ ทรงเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ”
“นายพลสุริยะ คุณต้องรับผิดชอบ”
ศิขรนโรดมผลักราชิด โกศินออกไป แล้ววิ่งไปหามิถิลา ที่อยู่ในอ้อมกอดจ้าวซัน
“ขอบคุณ ขอบคุณคุณมากนะ ที่ช่วยมินของข้าไว้ได้”
“คนงานคนนี้ มีฝีมือจริงเป็นใครกัน”
“ขอดูหน้าหน่อยสิ”
จ้าวซันปัดมือโกสิน แล้วถอย
“ไปดูทหารของคุณสิ เขาเกือบจะตาย มาสนใจอะไรผม” จ้าวซันบอกแล้วรีบแหวกคนหนีไป โกศินจะตาม
สุริยะ กับภูสิทรรีบมาขวาง ดันๆ ไว้
“องค์ชายเป็นไงบ้าง กระหม่อม”
“องค์ชายพระโลหิตไหลมาก รีบพาไปห้องพยาบาลสิคุณ”
จ้าวซันหลบไปจนได้ ไปที่ห้องเก็บของ โกศินรีบตามไป
ที่ห้องเก็บของข้างๆ นั้น โกศินตามเข้ามา เห็นคนงานที่ใส่หน้ากาก หมวก เหมือนจ้าวซัน ยืนอยู่เต็ม เข้ามาจะมุง โกศินยืนงง มองไม่ออกว่าใครเป็นใคร แล้วเข้าไป ดึงหน้ากากออกทีละคน คนงานพวกนั้นเป็นคนงานทั่วไป ยืนกันทำหน้างง
“ใคร ใครที่ช่วยทหารคนนั้นไว้เมื่อกี๊ ข้าจะให้รางวัล”
มีคนงานร่างใหญ่หน้าซื่อคนหนึ่ง ยกมือขึ้นขึ้น
อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง ฉินเจียงเดินฮึดฮัดเข้ามาในคอนโด
“ไอ้จ้าวซัน ไอ้ตัวแสบ มันขัดขวางธุรกิจของชั้นได้จริงๆ เหรอนี่”
“คุณชายใหญ่มีอิทธิพลจริงๆ เราคงสู้เค้ายาก”
“แปลว่าอะไร ชั้นต้องยอมแพ้มันงั้นเหรอ”
เกาเฟยสะดุ้ง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู แล้วยิ้ม
“มีคนส่งรูปนี้มาให้ผม คุณชายรองลองดูสิครับ”
ฉินเจียงรับไปดู เป็นรูปบราลีที่บ้านจ้าวซันสดๆ กับผิงอัน
“ผู้หญิงคนนี้ เพื่อนยัยผิง”
เกาเฟยทำหน้ารำคาญความบื้อของฉินเจียง
“ไม่ใช่แค่นั้นครับ เธอเป็นเพื่อนและเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้คุณหนูผิงอันด้วย แต่ที่ผมอยากจะบอกคุณชายรองก็คือบราลีคนนี้น่าจะเป็นคนสำคัญมากๆ ของคุณชายใหญ่ครับ คุณชายใหญ่กำลังพยายามเอาชนะใจแม่นี่อย่างสุดๆ เลยครับ ถึงกับซื้อรถให้ขับ”
“แปลว่า ไอ้จ้าวซันมันกำลังจีบยัยนี่เหรอ”
ฉินเจียงยิ้มร้าย
“ไม่ใช่แค่จีบนะครับ เหมือนหลงรักเอามากๆ อยากจะขอแต่งงาน อะไรขนาดนั้นเลยครับ แต่นังผู้หญิงก็ดูเหมือนจะเล่นตัวไม่น้อย”
“โอ...ว้าว...ว้าวๆ”
ฉินเจียงยิ้มร้ายกาจอยู่อย่างนั้น เหมือนมีแผนบางอย่างในใจ
อ่านต่อตอนที่ 5