วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 1
ทั่วทั้งเขตพระราชฐาน วังคีรีรัฐ ในราตรีนั้นงดงามราวกับสรวงสวรรค์ แลเห็นหมู่ปราสาทราชวัง วัดวาอารามทรงไทยใหญ่ผสมพม่า ประดับด้วยแสงประทีป โคมไฟ ระยิบระยับเรืองรองเป็นสีทองทั่วอาณาบริเวณ ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงัด แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงดังเพล้งของแก้วชั้นดีตกกระทบพื้นหิน
เสียงนั้นดังมาจากภายในห้องบรรทม เจ้าหลวงพีริยเทพ มีแก้วคริสตัลเจียระไนตกมากระทบพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงและมีน้ำสีแดงใสที่ยังหลงเหลือกระเซ็นกระจาย มือพระเทวีศุลีมาน ที่ถือแก้วเมื่อครู่นี้ตกลงข้างตัว ขณะที่ร่างระทวยทรุดลง องค์เจ้าหลวงพีริยเทพเข้าประคองรับตัวไว้
น่านปิงนรเทพ วัย 8 ปี ยืนดูอย่างตะลึง ก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวมารดาด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าพ่อ...เจ้าแม่เป็นอะไรเจ้าข้า...”
เจ้าหลวงพีรยเทพอุ้มพระเทวีศุลีมานนอนลงที่ตั่ง แล้วหันมามองลูกด้วยสายตาที่ปวดร้าว
“น่านปิง...”
เจ้าหลวงพีริยเทพเอื้อมมือ หมายจะลูบหัวน่านปิงนรเทพ แต่พลันตัดสินใจชักมือกลับ
“เจ้าพ่อประทานสิ่งใดให้เจ้าแม่ดื่ม...เจ้าพ่อ...”
น่านปิงนรเทพหันกลับมาน้ำตารื้น ลุกขึ้นไปเขย่าแขนของเจ้าหลวงพีริยเทพ
“น่านปิงนรเทพ แม่เจ้าแค่หลับไปเท่านั้น ไม่นานก็จะฟื้นตื่นขึ้น” เจ้าหลวงพีริยเทพดึงน่านปิงนรเทพออกจากตัว แล้วจับบ่าทั้งสองข้าง “เจ้าต้องเข้มแข็ง ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นคนดูแลแม่ของเจ้า...แทนพ่อ...เข้าใจไหม” น่านปิงนรเทพพยักหน้างงๆ เงยหน้าขึ้น เม้มปาก พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “พาแม่เจ้าตามอินปง ราชองครักษ์ไป... ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้...ออกไปจากคีรีรัฐ”
น่านปิงนรเทพกางแขนออกสองข้างออก เดินพุ่งเข้าไป ตั้งใจจะกอดบิดา แต่เจ้าหลวงพีริยเทพเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ไม่ยอมให้กอด
“อย่ามามัวเสียเวลา รีบไปเสีย...ไม่ต้องห่วงพ่อ”
อินปงราชองครักษ์ ร่างกายกำยำบึกบึนสูงใหญ่ดุจยักษ์ปักหลั่น ใบหน้าสง่างาม แต่งกายด้วยชุดดำมีผ้าคลุมหน้าที่ยังไม่ได้ปิดให้ดี รีบวิ่งเข้ามาในห้องบรรทม ก้มลงกราบเท้าเจ้าหลวงพีริยเทพ ยกมือขึ้นพนม
“ต้องรีบเสด็จแล้วพระเจ้าค่ะ พวกมันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”
เจ้าหลวงพีริยเทพหันไปมองพระเทวีศุลีมานที่นอนอยู่บนที่บรรทมอีกครั้ง แล้วหันไปพยักหน้าให้กับอินปง อินปงรีบวิ่งไปถวายบังคมกราบเท้าเจ้าหลวงพีริยเทพ
“ขอพระราชทานอภัยเจ้าหลวงพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมต้องลุแก่กฎมณเฑียรบาลคราวนี้ เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งพระราชวงศ์”
อินปงลุกมา แล้วนั่งลง กราบเท้าพระเทวีศุลีมานก่อนจะซ้อนร่างพระเทวีศุลีมานที่ยังสลบไสลไม่ได้สติไว้ในอ้อมแขน เจ้าหลวงพีริยเทพเดินไปหยิบจอกน้ำจัณฑ์ที่ใส่ถาดทองวางไว้อยู่บนโต๊ะข้างๆ ที่บรรทม มือเจ้าหลวงค่อยๆ หยิบจอกน้ำจัณฑ์ขึ้น มือสั่นเล็กน้อย น้ำภายในจอกกระเพื่อมเห็นเป็นสีดำข้น เจ้าหลวงพีริยเทพกระดกจอกน้ำจัณฑ์รวดเดียวเข้าปาก ทำหน้าอดทนต่อรสชาติ แล้วทรุดนั่งลงบนเตียง
เจ้าหลวงพีริยเทพนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอื้อมมือออกไปควานหยิบถุงไถ้ผ้าไหมที่เย็บอย่างแข็งแรง ที่มีกล่องไม้ข้างใน ที่ซุกไว้อยู่ข้างเตียงแล้วยื่นส่งให้น่านปิงนรเทพ
“ตรา-ประจำตัวเจ้าหลวงแห่งคีรีรัฐ ... เก็บ-ไว้-ให้ดี... ไปได้-แล้ว”
น่านปิงนรเทพเข้าไปรับไถ้ผ้าไหมนั้นมา มองดูกล่องไม้ข้างใน แล้วเอามาคล้องกับตัว ปิดฝาไถ้ผูกมือไม้สั่น
อินปงอุ้มร่างพระเทวีศุลีมาน ดวงตามีแต่น้ำตา จ้องแน่วแน่ที่เจ้าหลวงพีริยเทพ
“แล้วกระหม่อมจะตามไปถวายการรับใช้ฝ่าบาท เหมือนดังเช่นในภพนี้”
น่านปิงนรเทพมองท่านพ่อและอินปง อย่างสงสัยในความหมาย เจ้าหลวงพีริยเทพเริ่มแสดงอาการให้เห็น กระอักออกมาเป็นเลือด ทุรนทุราย
“รีบ...ไป...”
อินปงรีบอุ้มพาพระเทวีศุลีมานออกไป น่านปิงนรเทพรีบตาม แต่ยังไม่ละสายตาจากเสด็จพ่อ อินปงเดินออกจากประตูไปแล้ว น่านปิงนรเทพมายืนเกาะอยู่ตรงขอบประตูเพื่อมองดูบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงทหารและผู้คนดังเข้ามาใกล้ เท้าทหารชายฉกรรจ์ย่ำมาตามบันไดตึกพระราชวัง เจ้าหลวงพีริยเทพมีอาการทุรนทุราย ทรุดลงมาคุกเข่าอยู่กับพื้น เจ้าหลวงพีริยเทพหันมามองน่านปิงนรเทพ นัยน์ตาดุ ชี้มือ ให้น่านปิงนรเทพรีบไป น่านปิงนรเทพตกใจ อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก รีบวิ่งออกไป
อินปงอุ้มพระเทวีศุลีมานมาตามทาง ด้านหลังมีดาบสะพายอยู่ 2 เล่ม อินปงวิ่ง หันซ้ายหันขวาระแวดระวัง
น่านปิงนรเทพที่มีไถ้ห่อตราประจำพระองค์คล้องตัว วิ่งตามออกมาไม่ไกล แต่เสื้อผ้ารุ่มร่ามทำให้วิ่งได้ไม่สะดวกนัก
“เราต้องไปให้พ้นชายแดนในคืนนี้พระเจ้าค่ะ”
อินปงบอก น่านปิงนรเทพวิ่งไปพร้อมหันกลับไปมองด้านหลังตลอด
“อินปง ทำไมเราพาเจ้าพ่อไปด้วยไม่ได้”
อินปงหยุด หันกลับมาพูดกับน่านปิงนรเทพให้เข้าใจ
“เจ้าหลวงคีรีรัฐจะต้องประทับใต้เศวตฉัตรของคีรีรัฐ ไม่ว่าจะยังทรงพระชนม์หรือสิ้นพระชนม์ เวลาเหลือน้อยแล้ว หากช้าพระเทวีรู้สึกพระองค์เราจะหมดหนทาง”
เสียงเอะอะดังเข้ามาใกล้ เท้าเหล่าทหารมากมาย วิ่งมาตามทาง อินปงรีบออกเดินเร็วขึ้น น่านปิงนรเทพวิ่งตามไป ไม่หันมองข้างหลังอีกต่อไปแล้ว
อินปงวิ่งนำหน้าไปสักพัก น่านปิงนรเทพก็สะดุด ล้มลง
“อินปง รอก่อน”
น่านปิงนรเทพล้มลงอยู่บนพื้น อินปงหยุดชะงัก ละล้าละลัง อุ้มพระเทวีศุลีมานอยู่จึงไม่ถนัดที่จะมาช่วย
“เสด็จได้ไหมพระเจ้าค่ะ”
เสียงเอะอะดังเข้ามาใกล้กว่าเดิม น่านปิงนรเทพค่อยๆ พลิกตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก และต้องนิ่วหน้า รู้สึกเจ็บแปลบไปทั่วข้อเท้า
“ขาเราแพลงเสียแล้ว”
อินปงเดินกลับมาหาน่านปิงนรเทพ
“แข็งพระทัยหน่อยพระเจ้าค่ะ”
น่านปิงนรเทพพยายามลุกขึ้นยืน แต่แล้วก็ล้มลงอีกครั้ง อินปงตัดสินใจวางพระเทวีศุลีมานลงกับพื้น แล้วรีบปรี่เข้าไปดูน่านปิงนรเทพ ทันใดนั้นก็มีทหารสี่คนวิ่งตามมาจากทางด้านหลัง เงื้อดาบขึ้นหมายจะฟันอินปง
“อินปง”
น่านปิงนรเทพร้องบอก อินปงเบี่ยงตัวหลบทัน พร้อมกับดึงดาบออกจากฝักที่เหน็บไว้ที่หลังออกมาทั้งสองเล่ม
อิงปงฟันเข้าไปที่ทหารที่เข้ามาประชิดตัว ล้มลงกองกับพื้น ทหารอีกสามคนวิ่งเข้ามา พร้อมตะโกนบอกเพื่อน
“พบแล้วๆ ทางนี้ๆ”
อิงปงเขยิบออกไปตั้งหลัก หันมองให้แน่ใจว่าห่างจากพระเทวีศุลีมานและน่านปิงนรเทพ ทหารอีกสามคนเข้ามารุม อินปงพยายามต่อสู้ อินปงถีบทหารอีกคนล้มลงไป ทหารอีกคนเดินตรงเข้ามาฟันอินปง อินปงหลบแล้วฟันไปที่หลังของทหารคนนั้นล้มลงตายต่อหน้าต่อตาน่านปิงนรเทพ น่านปิงนรเทพตกใจ มองตาค้าง หันไปมองหาท่อนไม้ใหญ่แถวนั้น ถือกำไว้แน่นเพื่อเตรียมป้องกันพระเทวีศุลีมาน
อินปงกำลังเข้าไปจัดการกับทหารคนที่สี่แต่พลาดท่าโดนตวัดดาบหลุดมือไปหนึ่งเล่ม ทหารคนที่สองที่เพิ่งล้มลงไป เดินเข้ามาทางด้านหลังของอินปง เงื้อดาบหมายจะฟันให้ตาย น่านปิงนรเทพเห็น รีบลุกเอาท่อนไม้ตีเข้าไปที่ท้ายทอยจากทางด้านหลัง
แต่ทหารไม่สะท้านสะเทือน หันกลับมาและเดินตรงเข้ามาจะทำร้ายน่านปิงนรเทพ
อิงปงเห็นไม่ได้การ รีบต่อสู้กับทหารคนที่สี่อย่างดุเดือด แต่ยังติดพันไม่สามารถละมือจากตรงนั้นได้ ทหารคนที่สองกำลังเงื้อดาบเพื่อฟันน่านปิงนรเทพ
อิงปงหันกลับไปมอง หาจังหวะรีบถีบทหารคนที่สี่เซออกไป อินปงหยิบดาบที่ตกที่พื้น เงื้อแล้วขว้างไปปักที่กลางหลังทหารคนที่สอง ทหารคนที่สองทรุด ล้มลงขาดใจตาย
ทหารคนที่สี่ลุกขึ้นมาเห็นว่าอินปงหันหลังให้และกำลังมีช่องโหว่จึงถือดาบก้าวไปกะจะฟันอินปงให้ตาย อินปงหันกลับไป รู้ตัวว่าหลบไม่ทัน รีบเบือนหน้าหนี ทันใดนั้นก็มีลูกธนูพุ่งแหวกมาจากอากาศปักทะลุกลางอกทหารคนที่สี่ล้มลงตายคาที่
ชายชุดดำเดินออกมาจากทางด้านหลัง ชายคนนั้นตวัดชายผ้าคลุมหน้าไปข้างหลัง เผยให้เห็นหน้าดุดัน หนวดเฟิ้ม เคราครึ้ม คิ้วหนาเป็นปื้นรก ผิวหน้าเข้มคล้ำ ตาลึก อินปงร้องออกมาด้วยความสยดสยองหวาดกลัว
“ภูสินทร”
“องครักษ์ตำหนักหน้า คนของเสด็จลุง”
น่านปิงนรเทพบอกออกมา ภูสินทรก้มศีรษะทำความเคารพให้น่านปิงนรเทพ
“เจ้ามันเป็นคนของพระเชษฐาทรราชย์” อินปงบอก
“ข้าได้รับคำสั่ง จากพระเทวีพี่นาง ให้มาคอยติดตามระวังหลังให้ท่าน จงเชื่อใจข้า เร็วเข้าเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
“งั้นรีบไปที่ประตูหลังวัง เมียข้ารออยู่ที่นั่นแล้ว”
อินปงตรงเข้าไปช้อนตัวพระเทวีศุลีมานอุ้มขึ้นมา ภูสินทรคุกเข่าช้อนตัวน่านปิงนรเทพอุ้มไว้ในวงแขนอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดรีบพุ่งไปอย่างจดจ่อ ไม่มีใครพูดอะไร สีหน้าเคร่งเครียด
น่านปิงนรเทพซบหน้าแนบที่ไหล่ของภูสินทร สายตาน่านปิงนรเทพมองด้านหลัง ไกลออกไปเห็นยอดปราสาทเป็นสีทองหม่นๆ น่านปิงนรเทพนัยน์ตาเศร้าแต่แล้วก็ตกใจนัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นทหารอีกคนโผล่จากพุ่มไม้ด้านหลัง กำลังเล็งธนูมาทางนี้
“ระวัง”
ไม่ทันสิ้นเสียง ภูสินทรก้มตัวหลบไปอีกทาง พร้อมวางน่านปิงนรเทพไว้แล้วผลักให้กลิ้งไปที่พงหญ้าใกล้ๆ อินปงซึ่งรุดหน้าไปก่อนแล้วหยุด หันกลับมามอง ภูสินทรชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม
“รีบไป ทางนี้ข้าจัดการเอง”
น่านปิงนรเทพลุกขึ้นมาหลบหลังต้นไม้ แอบดูอยู่ห่างๆ ราชิดและโกศินเดินออกมาจากกลุ่มทหารนั้น
“ไอ้ราชิด ไอ้โกศิน”
“บังอาจ เจ้าเรียกท่านผู้พันราชิดว่ากระไร”
“ไอ้ราชิด ไอ้กบฏ”
“ฆ่ามัน”
ทหารทั้งหมดเข้าไปรุมต่อสู้กับภูสินทร ภูสินทรมีความสามารถในการต่อสู้ดีกว่า ฟันทหารร่วงลงไปสองสามคน แต่ทหารมีจำนวนมากมายนัก
“หนีไปๆ”
ภูสินทรพยายามต่อสู้ถ่วงเวลาไม่ให้ทหารตามอินปงและน่านปิงนรเทพต่อไปได้ อินปงรีบตะโกนเรียกน่านปิงนรเทพ
“องค์ชาย เร็ว...ทางนี้”
น่านปิงนรเทพเดินกระเผลกเจ็บปวด แล้วแข็งใจฝืนวิ่งตามอินปงไป ปล่อยให้ภูสินทรต่อสู้อยู่คนเดียว น่านปิงนรเทพหันกลับไปมองเห็นภูสินทรต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย และเห็นว่าภูสินทรก็โดนฟันตามลำตัวและแขนอยู่หลายแผล จวนเจจะล้มลง แต่ก็ฮึดลุกขึ้นสู้ต่อ
ในเรือแบบที่มีประทุนจอดแอบในพงหญ้า พระเทวีศุลีมานร้องไห้ท่ามกลางอ้อมกอดของน่านปิงนรเทพ
“นี่...หมายความว่า เจ้าพ่อของลูก เสด็จสู่สวรรคาลัยแล้วใช่ไหม น่านปิง”
น่านปิงนรเทพน้ำตาไหล พยักหน้า
“เจ้าพี่ ทรงพระทัยดำนัก แล้วเราสองคนจะอยู่ต่อไปอย่างไร เมื่อไร้พระองค์”
คนถือไต้ให้แสงสว่าง คือคำฝายที่ยืนรอผลักเรือ แช่น้ำที่ลึกเหนือเข่านิดๆ ที่ท้ายเรือมีคนเรือ ที่เตรียมจะออกเรือทุกขณะ อินปงถือดาบ คอยเฝ้าระวัง หันรีหันขวางอยู่บนฝั่ง
“ทรงทำตามพระประสงค์ของเจ้าหลวงเถิด พระเทวี...ต้องเสด็จณบัดนี้ และกระหม่อมขอฝากลูกสาวของกระหม่อมให้ตามเสด็จด้วยพะย่ะค่ะ”
จันทร์แรมตัวเล็กบอบบาง อายุน้อย หน้าตาน่าเอ็นดู คุกเข่าบนตลิ่งติดเรือ วางห่อผ้าที่ข้างใน คือเด็กทารก ลงตรงหน้าพระเทวีศุลีมาน
น่านปิงนรเทพชะโงกดูหน้าเด็กทารกที่ตากลมโต มองรอบๆ ไปมา ปากแดงเหมือนยิ้ม ขยับแขนขายุกยิกๆ น่านปิงนรเทพยื่นมือออกมาแตะที่แขนเล็กๆ ของเด็ก
เด็กจับนิ้วน่านปิงนรเทพไปกำไว้ ตามองตาน่านปิงนรเทพเป๋ง
น่านปิงนรเทพมองตอบ ตาโต ยื่นหน้าเข้าไปมองเด็กอย่างสนใจ
“พระเทวี” จันทร์แรมน้ำตาไหลพราก มองพระเทวีศุลีมานอย่างวิงวอน “จันทร์แรมฝากม่านฟ้าด้วยเพคะ”
“จันทร์แรม” พระเทวีศุลีมานมองจันทร์แรม งงๆ แล้วมองทารก กระพริบตาแล้วเช็ดน้ำตา “ม่านฟ้า” พระเทวีศุลีมานมองทุกคน ตั้งสติ ค่อยๆ เข้าใจชัดเจน “จริงสินะ หน้าที่ของเราคือปกปักรักษาและทำนุบำรุงน่านปิงนรเทพ... จันทร์แรม” พระเทวีศุลีมานน้ำตาไหล ยื่นมือไปประคองใบหน้าจันทร์แรมแล้วเงยไปมองสบตาอินปงแน่วแน่ “อินปง ข้าให้สัญญาว่าจะดูแลม่านฟ้าของเจ้า ให้เหมือนกับเลือดเนื้อของข้า เพื่อตอบแทนความภักดีของเจ้าทั้งสองคน เจ้ามอบชีวิต ให้ข้ากับลูกชาย เพราะฉะนั้น ข้าขอสาบานชีวิตของข้ากับน่านปิงนรเทพจะเป็นของม่านฟ้าด้วย”
จันทร์แรมช็ดน้ำตา แล้วยื่นมือมาจับที่เท้าน่านปิงนรเทพ
“เจ้าอ้าย” น่านปิงนรเทพเงยมองหน้าจันทร์แรม จันทร์แรมพยายามยิ้มออกมา “หม่อมฉัน...ฝาก เมย..ให้เป็นข้ารองพระบาทเพคะ”
“อินปง จันทร์แรม ทำไมพวกเจ้าไม่มากับเรา”
อินปงเหลียวหน้าหลัง พูดแบบหนักแน่น แต่ระวังไม่ให้เสียงดัง
“หม่อมฉันถวายเมยไปแทนแล้ว เจ้าอ้าย รีบเสด็จไปดีกว่า” อินปงมองไปทางบนเนินอย่างไม่สบายใจ แล้วนั่งลง กราบลากับพื้นดิน จันทร์แรมกราบบ้าง พระเทวีศุลีมานเอาทารกไปอุ้ม กอดแน่น มองไปทางบนเนิน อินปงหันไปทางคนเรือ “เดินทางได้แล้ว ส่งไฟมาให้ข้า คำฝาย”
คำฝายส่งไต้ให้อินปง ทันใด มีเสียงฝีเท้าม้าเป็นหมู่จนพื้นสะเทือนดังใกล้เข้ามา
“รีบไป”
คำฝายผลักเรือออกที่ลึกแล้วโดดขึ้นเรือ คนเรือรีบลงมือแจวเรือ คำฝายไปช่วยคัดท้ายเรืออีกแรง พระเทวีศุลีมานอุ้มทารก กระถดถอยเข้าไปในประทุน แต่น่านปิงนรเทพยังนั่งคุกเข่าชะเง้ออยากรู้อยากเห็นอยู่หัวเรือ มองไปตามทิศทางเสียงม้า
“น่านปิงนรเทพ เข้ามาข้างใน”
พระเทวีศุลีมานดุลูกชาย ขณะที่เรือเรือแล่นตามแรงน้ำ พุ่งฝ่าไปในความมืดรวดเร็ว
บนฝั่ง จันทร์แรมเอาผ้าคลุมหัวมาคลุมไว้ แล้วนั่งลง เปิดสวิทช์ตะเกียงแบบไฟหลอดฟลูโอเรสเซนท์สว่างมากแสงสีขาว ใช้พลังแบตเตอรี่ที่เตรียมไว้
ขณะที่อินปงกระชับดาบมั่น แล้วพากันวิ่งย้อนไปอีกทางหนึ่ง เพื่อการลับลวงพราง
ราชิด โกศิณ ควบม้า นำพวกอีก 5 นาย ขี่ม้าพร้อมอาวุธครบมือ เป็นธนูสะพายและดาบ ถือไต้ให้แสงสว่างกันมา จนมาถึงจุดลงเรือแต่แรก แล้วหยุด ยกไต้ส่องดูรอบๆ ราชิดโดดลงมาดู
“นั่น รอยพวกมัน”
โกศิณโดดตาม ลงมาดู โกศิณนั่งลง ส่องไต้ดูใกล้ๆ พื้นดิน
“พวกมันมีกันหลายคนนี่นา ทั้งชายทั้งหญิง”
ราชิดก้าวไปริมน้ำ มองไปในตามลำธาร ซ้าย ขวา สายตาเห็นแต่ความมืด เงียบ ลำธารไหลแรง ราชิดเพ่งไปตามตลิ่ง หาร่องรอยเพิ่ม ทันใดทหารบนม้า มองสูงขึ้นไปแล้วตาโต
“นั่น..อยู่บนนั้น ท่านราชิด ท่านโกศิณ ดูสิครับ”
ทุกคนเงยขึ้นไปดู บนผาเหนือฝั่งนั้นขึ้นไปเห็นแสงตะเกียงสว่างขาวจ้า ส่องลอดแนวไม้ออกมาวูบวาบๆๆ
“ใช้ตะเกียงของในวัง แบบนี้ไม่ใช่ชาวบ้าน นายพราน หรือทหารชายแดนแน่ๆ หนอย คิดจะหนีไปไหน นึกว่าจะพ้นข้าหรือ” ราชิดโดดขึ้นม้า “ตามไป ฆ่าให้หมด”
ราชิดควบนำ ทุกคนควบตาม
ในเรือที่ไหลแล่นไปตามน้ำเร็วขึ้นๆ ในความมืด น่านปิงนรเทพมุดออกมาจากประทุนท้ายเรือ มองไปข้างหลังจึงเห็นขบวนม้าของราชิด โกศิณ ที่สว่างด้วยไต้ในมือแต่ละคน พุ่งเป็นแนวขึ้นไปสู่หน้าผา
บนผานั้น เห็นชัด สองร่างคืออินปง และจันทร์แรมที่มีผ้าคลุมหน้า ที่ถือตะเกียงสว่าง ล่อเป้า พากันวิ่ง สูงขึ้นไป น่านปิงนรเทพหงายเงยมอง เรือไกลจากภาพนั้นออกไปๆ ภาพสุดท้ายที่น่านปิงนรเทพเห็น คือพวกทหารม้าตามไปทัน แล้วจันทร์แรม โดนธนูล้มลง แล้วพวกราชิดเข้าไปรุม ฟันๆๆ อินปงสู้ๆๆ แล้วแสงสว่างจากตะเกียงนั้นพลันดับมืด ทำให้ภาพทั้งหมดมืดลง
น่านปิงนรเทพมองไม่เห็นอะไรแล้ว แต่ตาเบิกกว้าง น้ำตาไหลพรั่งพรู น่านปิงนรเทพนั่งคุกเข่าอยู่ที่ประทุนเรือ ที่สองแรงพาย พาไหลไปตามกระแสน้ำ เชี่ยวกราก และความมืดมิด
น่านปิงนรเทพกำมือทั้งสองแน่นวางบนตัก บีบมืออย่างคับแค้น ที่นิ้วชี้ มีแหวนทอง หัวพลอยแหวนสีน้ำเงินเข้มเม็ดใหญ่รูปไข่มีวาวแสงสตาร์แซฟไฟร์เปล่งวาบเรืองรองในความมืด
สิบกว่าปี ผ่านไป ที่ฮ่องกง
มือของจ้าวซันกำลังบังคับพวงมาลัยเรือเร็ว ที่กำลังแล่นไปอย่างสุดแรงม้าในทะเล แหวนที่นิ้วนางขวามี พลอยสีน้ำเงินเข้มรูปไข่ แต่อยู่ในเรือนทองขาวที่ทันสมัย ต่างออกไปจากในอดีต พลอยเปล่งแววสตาร์แซฟไฟร์วาบจ้าในแดดกล้า
จ้าวซันแต่งชุดสูทสากลสีดำ ใส่แว่นดำ ขบกรามเครียด จ้องตรงไปข้างหน้า เร่งความเร็วเรือตัดน้ำกระจาย ไกลออกไป กลางทะเลกว้างมีเรือเร็วสองลำจอดสุมหัวกันอยู่ เกาเฟยส่งถุงพลาสติกใส ใส่เงินปึกนึงให้กับมือคนค้ายา
กระเป๋ายาที่เป็นกระเป๋าเดินทางแบบเป้ขนาดใหญ่ สีดำ ถูกส่งให้เกาเฟย เกาเฟยส่งกระเป๋ายาให้ฉินเจียง ข้างๆ ฉินเจียง มีซูหลิง ทั้งสองแต่งชุดขาว ใส่แว่นดำ ซูหลินดูเป็นสาวมาดซุป’ตาร์ สวมหมวกกว้าง เสื้อแขนยาว คอเต่า ถุงมือ กับกางเกงขายาว ชนิดไม่ยอมโดนแดดเลย
ฉินเจียงเปิดเป้ เช็คดูของในเป้ เป็นห่อกระดาษฟอยล์ซีลด์มาแน่นหน้า ฉินเจียงเอามือจิกแหกฉีกฟอยล์ออก มีถุงพลาสติกใสหลายๆ ถุงเบียดแน่น ใส่ยาไอซ์ขาวใสเป็นประกาย เกาเฟยชะโงกหน้ามาดูด้วย พยักหน้าเป็นสัญญาณว่าใช้ได้
ฉินเจียงมองหน้าคนค้ายา นึกเอะใจ ล้วงมือลงไปตรวจเช็คจำนวนห่อกระดาษอีกทีอย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้าขึ้นมาแววตาดุดัน
“เฮ้ย...ของไม่ครบ”
เกาเฟยยื่นมือจะกระชากถุงเงินกลับ คนค้ายาที่ถือถุงเงินไว้รีบดึงมือกลับ เกาเฟยเงื้อมือหมายจะชกไปที่หน้า คนค้ายาก้มตัวลงเบี่ยงหลบไปอีกทาง คนค้ายาอีกคนที่นั่งประจำอยู่ในเรือพยายามจะสตาร์ทเครื่องแล้วรีบขับเรือออกไป เกาเฟยทำท่าจะกระโดดตามขึ้นไปบนเรือ คนค้ายายกปืนขึ้นมาขู่และยิงสกัดไว้ เกาเฟยก้มหลบไปอีกทาง กระสุนปืนพลาดไปโดนกราบเรือ ซูหลิงตกใจ
“ว้าย”
ฉินเจียงรีบเข้าไปโอบซูหลิง ไปท้ายเรือ
“ไปเร็ว”
เรือคนค้ายาค่อยๆ แล่นออกไป เกาเฟยรีบไปสตาร์ทเครื่องและขับตาม ฉินเจียงเห็นว่าซูหลิงอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว ก็รีบควักปืนออกมายืนขึ้นยิงสวนไป คนค้ายาช่วยกันยิงกลับมาเป็นชุด เกาเฟยก้มตัวหลบอยู่หลังพวงมาลัย แล้วควักปืนขึ้นมายิงตอบโต้ พร้อมกับพยายามขับเรือตามไปติดๆ กระสุนปืนกระหน่ำมา ลูกหนึ่งเฉียดไปโดนกระจกหน้าของเรือฉินเจียงแตกเป็นทาง เกาเฟยรีบหักเรือตีโค้งหลบด้วยความเร็ว
เป้ใส่ยาที่ฉินเจียงเผลอวางไว้ไหลไปเกือบตกขอบเรือ ฉินเจียงเห็นรีบพุ่งตัวลงมา เอื้อมมือคว้าไว้ได้อย่างสุดแขน คนค้ายาเห็นฉินเจียงเสียท่าจึงหันกระบอกปืนเล็งมาที่ฉินเจียง
“ไท้เผ่ง! ระวัง”
เกาเฟยร้องเตือน ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น คนค้ายาโดนปืนยิงเข้าที่มือ สะบัดปืนตกด้วยความเจ็บปวด
“กูโดนยิง”
ซูหลิงมองตาโต
“มีใครมายิงมัน”
ทั้งหมดหันไป
“รีบไป พวกมันมีคนมาช่วยแล้ว”
คนค้ายาบอกเมื่อเห็นเรือจ้าวซันกำลังพุ่งมา ฉินเจียงเงยหน้าขึ้นมามอง
“จ้าวซัน”
“คุณชายใหญ่มาได้ยังไง”
พวกคนค้ายายิงขู่กลับมาประปราย และรีบขับเรือหนีไปทันที
“ไอ้เกาเฟย ตามไปเร็วสิวะ”
เกาเฟยเร่งเรือสุดๆ จ้าวซันตีโค้งเร่งตาม
เรือทั้งสามแล่นอ้อมอ่าว ตามกันไป จ้าวซันแล่นเข้ามาตีคู่ใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
“ว้าย...คุณชายใหญ่ไล่มาทันแล้ว” ซูหลิงบอกอย่างตกใจ ฉินเจียงหันกลับไปมอง
“พี่ชายใหญ่มันจะเอายังไงกับชั้นนักหนาวะ ไอ้เกาเฟย มึงไปเร็วที่สุดได้แค่นี้เองเหรอ”
“เรือคุณชายใหญ่ มันแรงกว่าลำนี้มากครับ ไท้เผ่ง”
“ไอ้ห่วยแตกเอ๊ย”
จ้าวซันเร่งเรือตีคู่มา กำลังจะแซงขึ้นไป เกาเฟยสุดเซ็ง เร่งไม่ขึ้น จ้าวซัน ชี้มาแล้วตะโกนสั่ง
“หยุดเดี๋ยวนี้ ฉินเจียง ชั้นสั่งให้หยุด”
ในที่สุดเรือฉินเจียงแป้ก มีอาการน็อค สำลัก ดับ
“เอาไงครับ ไท้เผ่ง เจ๊งแล้วครับ”
“เวรเอ๊ย”
ฉินเจียงตัดสินใจคว้ากระเป๋ายา กัดฟัน เสียดาย แล้วตัดใจแอบหย่อนทิ้งน้ำไป เรือฉินเจียงดับ ลอยลำ จ้าวซันตีวงมา แล่นวนรอบๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร
“เต๋อเป่า รีบส่งคนมาช่วยไท้เผ่งด้วย เรือเร็วเสีย เออ..เร็วเข้า อยู่ที่...”
จ้าวซันมองรอบๆ กะพิกัด เกาเฟยสุดเซ็ง ฉินเจียงมองจ้าวซันที่ขับเรือวนดูรอบๆ ตน ดุจฉลามล้อเล่นกับเหยื่อ
ฉินเจียงมีสีหน้าแค้นจัด
อ่านต่อหน้า 2
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ฉินเจียงเดินเหวี่ยงวีนกลบความเสียฟอร์มขึ้นท่าเรือมา
“ก็ไอ้พวกนั้นมันก็มาหาเรื่องผมก่อน ผมพาแฟนมานั่งเรือเล่นของผมอยู่ดีๆ”
“ถ้าคิดจะโกหกกันล่ะก็ หัดสร้างเรื่องให้มันฉลาดกว่านี้หน่อย”
“เว้ย จะอธิบายยังไง พี่ใหญ่ก็ไม่เชื่ออยู่ดีนั่นแหละ”
“ฉินเจียง...ถ้าเต้ยังมีชีวิตอยู่” ฉินเจียงหันขวับ
“เต้ตายไปนานแล้ว แล้วหลังจากที่เต้ตาย คนที่เต้เก็บมาจากถังขยะหน้าโบสถ์ก็ทำทุกอย่าง เพื่อทำลายลูกชายคนเดียว ลูกชายที่แท้จริงของเต้”
จ้าวซันส่ายหน้า ถอดแว่นออก
“จ้าวฉินเจียง ไม่มีใครทำลายแก มีแต่ตัวแก ที่จะทำลายตัวเอง แกคบคนชั่ว ที่ชักพาแกไปในทางหายนะ”
ซูหลิงที่ตามมาหน้าซีด
“คุณชายใหญ่คะ...”
“ผมไม่ได้หมายถึงคุณ ซูหลิง”
เกาเฟยเดินเข้ามา
“คุณชายใหญ่หมายถึงผมมากกว่า ใช่ไหมครับ? คุณชายใหญ่ก็ “สั่ง” ให้คุณชายรองไล่ผมออกเลยสิครับ”
จ้าวซันไม่สนใจเกาเฟย
“ฉินเจียง เข้าไปประชุมที่ฉินเย่ว์กรุ๊ปบ้าง ฉันมีเรื่องสำคัญจะปรึกษา แกควรจะสนใจธุรกิจของครอบครัวมากกว่าธุรกิจต้องห้ามพวกนี้”
“อะไรคือธุรกิจต้องห้าม” ฉินเจียงย้อนถาม จ้าวซันก้าวมาเผชิญหน้า
“ค้ายา ค้าคน ค้าอาวุธ 3 ธุรกิจต้องห้าม ที่เต้สั่งไว้เด็ดขาด ว่าไม่ให้คนตระกูลจ้าวเข้าไปข้องเกี่ยว แกจำไม่ได้หรือ”
“พี่คิดว่าตัวเองเป็นใคร ถึงได้ตามจิกผมนัก นึกว่าตัวเองเป็นตำรวจหรือไง”
“ถ้าเมื่อกี้ฉันมาช้ากว่านี้...”
“จะบอกว่าผมเป็นหนี้บุญคุณพี่ใช่ไหม”
“ก็ดีแค่ไหนแล้ว ที่ชั้นเป็นคนมาเจอแกแทนที่จะเป็นตำรวจ”
“แล้วมันมีอะไรไหมล่ะ พี่ก็ค้นเรือผมแล้ว เจออะไรบ้างล่ะ”
“ฉินเจียง ถ้าขนาดชั้นยังรู้ ว่าแกทำอะไร อยู่ที่ไหน แล้วแกคิดว่าตำรวจเขาจะไม่รู้หรือไง”
“ใครมันจะเป็นคนไปบอกตำรวจล่ะ”
“ชั้นจะไปรู้เหรอ อาจจะเป็นแหล่งข่าวคนเดียวกับที่ส่งข่าวให้ชั้นก็ได้”
“โอเคๆ ผมมันพลาดไปแล้ว ขอบคุณครับๆ คุณชายใหญ่ ที่มาช่วยชีวิตผมจากพวกโจร พอใจหรือยัง” ฉินเจียงประชด
เต๋อเป่า วิ่งรีบร้อนเข้ามา เห็นเกาเฟย ฉินเจียง แล้วหันมามองดูจ้าวซันห่วงๆ
“คุณชายใหญ่ ไม่น่าจะมาคนเดียว”
“ขืนรอแก แล้วจะทันไหม”
จ้าวซันดุเต๋อเป่า ฉินเจียงจ้องเขม็ง เต๋อเป่าหันมา ก้มหัวให้
“เอ่อ...คุณชายรองครับ เรียบร้อยแล้วนะครับ อาฉีบอก ขอเวลาซ่อมเรือ 2 วัน”
“เฮอะ”
“ขอบใจ เต๋อเป่า”
“คุณชายใหญ่ครับ ใกล้ถึงเวลานัดแล้วนะครับ” จ้าวซันดูนาฬิกา
“ยังทัน” จ้าวซันหันมามองฉินเจียง แล้วก้าวเข้าไปหา พูดแบบสำทับ “หวังว่าประชุมบริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ปคราวหน้า ไท้เผ่งคงเข้ามาเป็นประธานในที่ประชุมนะครับ เทเรซ่าบอกว่า แจ้งไปแล้ว คอนเฟิร์มแล้วด้วย อย่าอ้างว่าไม่มีใครเชิญ”
ฉินเจียงผงะ จ้าวซันหันกลับเดินจากไปแบบเท่ๆ เต๋อเป่าหันมากวาดตามองอีกที แล้วรีบประกบหลังจ้าวซันไป
ฉินเจียงมองตาม ทั้งแค้นทั้งเสียหน้า ซูหลิงเข้ากอดแขน แต่ฉินเจียงไม่สน เกาเฟยแอบถอนหายใจ โล่งอก ปนสะใจ
รถส่วนตัวจ้าวซัน ขับโดยเต๋อเป่า แล่นขึ้นเขาไปตามทาง ด้านนึงเป็นอ่าว อีกด้านนึงคือเชิงเขาและบ้านสวยๆ ป่าสน จ้าวซันกดโทรศัพท์ ฟังรอสายซักพัก
“อาหลี่ เครื่องลงตามกำหนดหรือเปล่า ไม่เลทนะ...ดี...แกจัดการดูแลให้เรียบร้อยตามที่สั่งด้วย อย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาดเลยนะ”
“ที่จริง คุณชายตั้งใจจะไปรับเองนี่ครับ”
“ใช่ แต่บังเอิญมันมีอะไรเข้ามาแทรกหลายอย่าง ไม่งั้นชั้นควรจะได้ดูแลเขาด้วยตัวเอง”
จ้าวซันหน้าขรึม ครุ่นคิด แววตาอ่อนโยนลง
จ้าวซันคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตตอนที่อยู่หมู่บ้านล้านนาไทยริมน้ำ อีกด้านหนึ่งของหมู่บ้านมีโบสถ์คริสต์เล็กๆ
ลานหน้าโบสถ์คริสต์ มีต้นไม้เขียวสวยงาม เด็กอนุบาลหญิงในชุดฟ้อนแบบล้านนา เกล้ามวย ติดดอกไม้ห้อยชาย กำลังฟ้อนน้อยไจยากันอยู่
ส่วนด้านหนึ่งมีวงสะล้อซอซึงและนักร้อง กำลังขับร้องและบรรเลงสด และด้านหนึ่งคือพวกผู้ปกครอง รวมทั้งพระเทวีศุลีมาน คำฝายและน่านปิงนรเทพในวัย 12 ปี ซึ่งก็คือจ้าวซันนั่นเอง ทุกคนแต่งตัวปกติกลมกลืนกับชาวบ้าน แต่ดูผู้ดีกว่า ด้านนึงมีครู หลวงพ่อโยเซฟ
ในหมู่เด็กทั้งหมด 7 คน มีม่านฟ้า หรือเมย ฟ้อนเป็นตัวกลาง สวย เด่น รำเก่ง พระเทวีศุลีมาน คำฝาย และน่านปิงนรเทพ ปลาบปลื้ม ตื้นตัน
ม่านฟ้าฟ้อน เอียงขวาซ้าย โปรยยิ้มอย่างสวยงาม น่านปิงนรเทพมองแล้วขำ ยิ้ม หัวเราะออกมา หลวงพ่อโยเซฟมองมาทางพระเทวีศุลีมาน พระเทวีศุลีมานพยักหน้าตอบ หลวงพ่อก้มหัว เป็นเชิงรับคำ
ม่านฟ้าและเพื่อนๆ รำกันจนจบเพลง ผู้ปกครองทั้งหลายตบมือกราว บางคนที่มีกล้อง เข้าไปถ่ายรูปเด็กๆ กัน
หลังการแสดงเสร็จ ม่านฟ้ากำลังเดินแกมวิ่งกลับบ้าน โดยมีคำฝายจูง มือนึงถือไอติมแท่งที่เป็นหวานเย็นแทะไปพลาง สลับกับร้องเพลงที่ตัวเองเพิ่งรำไปพลาง
“ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยไจยา...”
หลวงพ่อโยเซฟ พระเทวีศุลีมาน น่านปิงนรเทพเดินคุยกันไปอย่างขรึมๆ ตามหลัง
“เลี้ยงเขามาตั้งแต่แบเบาะ รักเขาเหมือนลูกในไส้ แต่ใครจะรู้ ว่าเราจะมีชีวิตยืนยาวเพียงใดที่จะคอยดูแลเขา ฉันไม่ต้องการให้เขาต้องหมกตัวอยู่ในป่าดอย”
“แต่ลูกดูแลเมยได้ แล้วที่นี่ พวกเราก็อยู่กันอย่างสุขสงบพอแล้วนะครับ เจ้าแม่”
“สุขสงบนั่นก็จริง แต่วันหนึ่งน่านปิงก็ต้องไปเรียนต่อ แม่ต้องการให้ลูกมีความรู้ความสามารถ แล้ววันนึง...หากแม่เป็นอะไรไป ตอนที่น่านปิงก็ไม่อยู่ แล้วจะให้เมยเป็นเด็กผู้หญิงโง่เง่า เยี่ยงข้าทาสที่รอคอยเจ้านายอยู่กับบ้านอย่างนั้นหรือ ให้เขาไปเสียตอนนี้ ก่อนจะจดจำอะไรต่อมิอะไรได้มากกว่านี้”
“ทำไมครับ ทำไมเจ้าแม่ไม่อยากให้เมย...จดจำอะไรๆ”
พระเทวีศุลีมานถอนใจ จับมือน่านปิงนรเทพมาบีบ
“ชีวิตของเมย ควรจะมีความสุขมากกว่าชีวิตของลูกไงล่ะ น่านปิงแม่เพิ่งไปอธิษฐานกับพระเจ้า บอกกล่าวให้อินปงกับจันทร์แรม พ่อแม่ของเมยให้รับรู้ว่าเราจะทำให้เมยได้มีชีวิตที่มีความสุขที่สุด สมบูรณ์แบบที่สุด และมั่นคงยั่งยืน ไม่โลดโผนหรือต้องเสี่ยงอะไรอีก”
“เจ้าไม่ต้องห่วง คนที่จะเลี้ยงดูเมย เป็นคนมียศถาบรรดาศักดิ์ ไว้ใจได้ สามีเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ภรรยาเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ และเป็นทายาทตระกูลเจ้าทางเหนือของไทย ที่เป็นเจ้าของกิจการโรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าไหมที่ลำพูนด้วย” หลวงพ่อโยเซฟบอก
“แล้วลูกจะได้เจอกับเมยอีกไหม”
ม่านฟ้าไม่รู้เรื่องกินไอติมอย่างเอร็ดอร่อย พลางร้องเพลง
“มวลดอกไม้ มีเสน่ห์...ที่เกสร...ฝูงภมร...”
คำฝายที่พูดไม่ได้ พยายามส่งภาษาใบ้ ว่าเวลากิน อย่าร้องเพลงๆ ม่านฟ้าทำหน้าดื้อใส่ น่านปิงนรเทพมองตามม่านฟ้าไปอย่างเศร้าๆ
วันต่อมาม่านฟ้าอยู่ในชุดพร้อมเดินทาง โดยมีคำฝายวิ่งตาม พยายามจะเอามาลัยมะลิล้อมผมที่เกล้าเป็นมวยกลางกระหม่อมให้ พูดแบบใบ้ๆ ว่าอยู่นิ่งๆ หน่อย อย่าซนนัก จะได้สวยๆ ม่านฟ้าวิ่งมาหาน่านปิงนรเทพที่ยืนหงุดหงิดอยู่
“พี่เจ้า พี่เจ้า เมยจะไปแอ่วแล้วเน่อเจ้า”
น่านปิงนรเทพดึงแขนไว้ แกล้งพูด
“พี่ไม่ให้เมยไป”
ม่านฟ้าสะบัด แล้วถอยมา ก่อนจะแลบลิ้นให้
“แบร่ พี่เจ้าไม่ได้ไป สมน้ำหน้า กะลาหัวเจาะ พี่เจ้าต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว กุ๋ยๆๆๆ”
พระเทวีศุลีมานเดินขึ้นเรือนมา
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง เมย คำฝาย พาไปได้แล้ว คุณพ่อมารอนานแล้ว”
ม่านฟ้ารีบเข้าไปจูงมือคำฝาย
“เร็วๆๆ คำฝาย เราไปหาคุณพ่อกัน วันนี้คุณพ่อจะพาเมยไปแอ่วเวียง ไปกินไอติม ไปดูการ์ตูนเรื่องซินเดอริลล่าโตยเน่อ” ม่านฟ้าพูดอวด เพื่อยั่วให้น่านปิงนรเทพอิจฉา
“ซินเดอเรลล่า ไม่ใช่ริลล่า ริลล่านั่นมันกอริลล่าแล้ว” น่านปิงนรเทพบอก ม่านฟ้าหันมา แล่บลิ้น
“เจ้าพี่น่ะสิ กอริลล่า” ม่านฟ้าทำหน้าลิง แล้ววิ่งไปลากมือคำฝาย พาวิ่งลงเรือนไป น่านปิงนรเทพลุกขึ้น จะตามไป
“เมย”
พระเทวีศุลีมานเข้ามาจับมือไว้
“เราพูดกันแล้วนะลูก เพื่ออนาคตของน้องเราต้องให้เขาไป อีกอย่างลูกก็รู้ว่าไม่ใช่เรื่องอนาคตอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยด้วย..แม่ยอมรับ..ว่าแม่มีความสามารถพอที่จะ..ปกป้องเมยได้ ถ้าหากว่า...พวกมัน...” พระเทวีศุลีมานเงียบไป “สำหรับลูก แม่ไม่ห่วง แต่ชีวิตม่านฟ้า แม่ต้องตอบแทนความดีของพ่อแม่เขา ด้วยการทำให้ชีวิตม่านฟ้ามีแต่ความสุข”
น่านปิงนรเทพฟังอย่างยอมรับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งตามลงเรือนไป
น่านปิงนรเทพวิ่งลงมาจากเรือน แล้วตรงไปที่ท่าเรือริมแม่น้ำ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหลวงพ่อโยเซฟจูงม่านฟ้าที่กระโดดลั้นลาร่าเริง กำลังก้าวลงเรือไป
น่านปิงนรเทพหยุดยืน น้ำตาคลอ พยายามกลั้นน้ำตา คำฝายเดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลง จับมือน่านปิงนรเทพมากุมไว้ ขณะเงยหน้า พยายามพูดประสาคนใบ้
“ถ้าเจ้ากับเมยมีวาสนาต่อกัน จะต้องได้พบกันอีก” น่านปิงนรเทพพยายามแปล
“ถ้าเรากับเมย มีวาสนาต่อกัน จะต้องได้พบกันอีก”
“จะไม่มีสิ่งใดในโลก ที่จะมาขวางกั้นเราได้”
“จะไม่มีสิ่งใดในโลก ที่จะมาขวางกั้นเราได้”
“เราจะต้องรอ รอจนกว่าจะถึงวันนั้น”
น่านปิงนรเทพตีความอย่างมั่นใจ
“เราจะต้องรอ รอจนกว่าจะถึงวันนั้น”
คำฝายพยักหน้า ยิ้มทั้งน้ำตา ดีใจ ที่น่านปิงนรเทพเข้าใจภาษาใบ้ของตน คำฝายจับมือน่านปิงนรเทพมาจูบและทูนบนหัว แหวนที่นิ้วชี้น่านปิงนรเทพหัวสตาร์แซฟไฟร์สีน้ำเงินเข้มวาบแสง
จ้าวซันนั่งอยู่ในรถ แววตามุ่งมั่น เต็มไปด้วยความตั้งใจแน่วแน่ เปี่ยมพลัง จ้าวซันนึกได้ดูนาฬิกาแล้วทำหน้าตื่นเต้น
“ได้เวลาแลนดิ้งแล้ว”
ที่สนามบินเช็ค แลบ ก๊อก เครื่องบินสายที่มาจากลอสแองเจลิสกำลังลดระดับลงแลนดิ้ง เสียงบราลีดังขึ้น
“อะไรนะ...หลินจื้อเหม่ย เธอล้อชั้นเล่นหรือเปล่า เธอบอกเองนะว่าให้ชั้นมาเที่ยว เธอจะเป็นคนดูแลทุกอย่าง”
บราลี มีผมยาวหยักศกฟู รวบไว้หลวมๆ หน้าใสสะอาด โชว์ผิวสวยผ่องของสาวรุ่น สะพายกระเป๋าเก๋ มีสไตล์ ดูเป็นของมีดีไซน์ แต่ไม่ใช่ของแบรนด์ดัง ดูเป็นสาวมาดอาร์ททิสต์ มีความเซอร์ มีแคแร็คเตอร์เชื่อมั่นสูง ไม่ใช่หญิงบ้าแฟชั่น อีกมือลากกระเป๋าแบบมีล้อ ใบขนาดกลางๆ แบบใช้สำหรับการไปเที่ยวไม่กี่วัน บราลีเดินฉับๆ อย่างปราดเปรียว ไม่เกรงกลัวใคร พลางพูดโทรศัพท์สมาร์ทโฟนไปพลาง ด้วยน้ำเสียงแสดงถึงความมั่นใจมาก แต่ไม่ใช่แบบเปรี้ยว และไม่ก้าวร้าว มีความนุ่มนวลพอควร
“แล้วนี่เธอว้อทสแอ๊พมาบอกว่าเธอไม่อยู่ฮ่องกงแล้วเนี่ยนะ แล้วดันว้อทสแอ๊พมาตอนชั้นกำลังบิน แล้วให้ชั้นมาเปิดเครื่องเจอตอนแลนดิ้งมาแล้วเนี่ยนะ ยัยหลินจื้อเหม่ย! ชั้นจะฆ่าเธอ” บราลีฟังคำชี้แจง แล้วอึ้ง เสียงอ่อนลง
“อะไรนะ ไปเยี่ยมคุณย่าที่เฉิงตู...คุณย่าป่วยหนักกะทันหันเหรอ แล้วเธอจะให้ชั้นทำยังไง...ให้ชั้นเที่ยวคนเดียวรอเธอก่อน 2-3 วันเหรอ..ยัยบ๊องเอ๊ย...เออๆๆ โอเคๆๆ แค่นี้นะ”
บราลีกดวางสายแล้วทำหน้าปลอบใจตัวเอง ว่าไม่เป็นไร ฮึดสู้ แล้วกดอีกเบอร์ที่เม็มไว้ รอคนรับ
สุริยะนั่งอ่านหนังสือพิมพ์พลางจิบกาแฟ ที่หน้าร้านกาแฟ สุริยะชะงักนิดนึงเมื่อเสียงโทดัง ท่าทางคาดอยู่แล้ว ว่าจะโดนโทรหาจึงไม่ได้แปลกใจอะไร สุริยะดูนาฬิกาแล้วเอาบลูทูธมาใส่หู กดรับ
“บรีหรือลูก พ่อรู้เรื่องหมดแล้วนะ”
บราลี ที่หยุดยืนพูดแบบแปลกใจ
“พ่อรู้เรื่อง”
สุริยะลุก เดินไปเดินมาวนๆ ระบายความยุ่งยากใจนิดหน่อย
“ก็เรื่องหลินจื้อเหม่ยไปรับลูกที่แอร์พอร์ทไม่ได้น่ะสิ”
“หลินจื้อเหม่ยบอกพ่อหรือคะ”
“พ่อโทรไปหาเค้า ก่อนลูกจะถึงซัก 2 ชั่วโมงที่แล้วนี่เอง ถามเค้าเรื่องลูกว่าจะอยู่เที่ยวกันกี่วัน จะไปไหนอะไรยังไงบ้าง...ก็พ่อห่วงลูกนี่นา หลินจื้อเหม่ยก็เลยบอกพ่อแล้ว ทั้งหมด”
“แล้วเค้าบอกพ่อหรือเปล่าคะ ว่าเค้าจะให้หนูเที่ยวคนเดียว แบบนี้หนูหาไฟลท์กลับไปหาพ่อที่กรุงเทพวันนี้เลยดีกว่า ฮ่องกง กรุงเทพ ไม่น่าจะหาตั๋วยากนะคะ” บราลีหันหลังกลับจะไปหาเคาน์เตอร์ขายตั๋ว
“ใจเย็นๆ บรี บ้านเราที่กรุงเทพฯมันไม่หนีลูกไปไหนหรอกจ้ะ พ่อจัดการแก้ปัญหาให้ลูกแล้ว ลูกออกมาข้างหน้าสนามบินเลยนะ จะมีรถมารอรับลูก อยู่แล้ว”
“รถมารอรับ รถใคร รับไปไหน อะไรยังไงคะพ่อ” บราลีถามเป็นชุดแล้วหันไปทางด้านหน้า
“เพื่อนของพ่อ เขารับอาสาจะดูแลลูกอย่างดี ตลอดเวลาที่ลูกรอหลินจื้อเหม่ย...ทั้งที่พัก...แล้วก็...ทุกอย่าง เขาจะเป็นคนพาลูกไปเที่ยวที่ๆ สนุกๆ พาไปกินอะไรอร่อยๆ ลูกไม่ต้องเกรงใจเลย เพื่อนพ่อคนนี้ เขาเป็นคนดีมาก” สุริยะทำเสียงร่าเริง
“เพื่อนพ่อ! เพื่อนพ่อเหรอคะ จะพาลูกเที่ยว ตายแล้ว พ่อขา จะให้ลูกเที่ยวกะพวกอาแปะอาเจ่กที่ไหนก็ไม่รู้ ลูกจะสนุกเหรอคะ”
“สนุกสิ บรี เพื่อนพ่อคนนี้เค้าไม่ใช่คนธรรมดา พ่อรับประกันว่าลูกจะชอบฮ่องกงมากๆ เลย อ้อ คนรถที่จะมารับลูก ชื่ออาหลี่นะ พูดภาษาอังกฤษได้ หน้าตาเหมือนคนรถไทยๆ บ้านๆ เรานี่แหละ กิริยามารยาทดี สุภาพเรียบร้อย have a good time in hongkong นะลูก” สุริยะกดวาง แล้วยืนอึ้งๆ นิดนึง รู้สึกห่วงเหมือนกัน แต่ตัดใจในที่สุด
บราลีอึ้งๆ เดินไป บ่นไป ออกมาหน้าประตูอาคารพอดี
“อะไรกัน ยังพูดไม่ทันรู้เรื่องเลย พ่อนะพ่อ...โธ่”
บราลีมองไปข้างหน้าแล้วชะงัก เมื่อเห็นอาหลี่ยืนอยู่ ในมือถือป้ายเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า WELCOME MISS BARALI BHIMAMONTRI ยืนยิ้มแฉ่ง มองมาทางบราลีเป๋ง เหมือนรู้จักกันดี บราลียืนอึ้งๆ ยิ้มแบบมึนๆ
อาหลี่เข้ามาหาบราลี ทำท่าพนมมือศอกฉากแบบเก้งก้าง
“สวัสดีครับ มายเนมอิสอาหลี่ มาสเตอร์จ้าวซันให้ผมมารับคุณไปโฮเต็ลครับ มิสบาราลี ภีมามนตรี”
“บราลี ภีมะมนตรีค่ะ” บราลีพูดแก้อย่างยิ้มแย้ม ไม่ซีเรียส “แต่คุณคงออกเสียงลำบาก”
“ให้ผมบริการกระเป๋าเองครับ เชิญที่รถเลยครับ”
“ขอบคุณค่ะ” บราลีมองหารถ “ ไหนคะ รถ”
“นี่ไงครับ”
อาหลี่ผายมือมาที่รถ ที่จอดตรงหน้าประตูนั้นอย่างไม่เกรงใจใคร มันคือรถหรูประจำตำแหน่งงานของจ้าวซัน บราลีมองรถ ตาโต อึ้ง ทึ่ง อาหลี่กุลีกุจอมาดึงคันจับลากกระเป๋าจากมือบราลี แล้วลากไป เปิดท้ายรถ แล้วยกกระเป๋าเข้าไปวางอย่างตั้งใจ
บราลีกระพริบตาถี่ ยังงงไม่หาย
รถหรูแล่นมาตามถนน บราลีนั่งอย่างสบาย แล้วมองดูข้างทาง บราลีดูนั่นนี่อย่างสนใจ อาหลี่แอบมองอย่างสนใจ แต่ทำท่าสงบ สักพัก กระแอมขึ้น
“อีก 10 นาทีจะถึงโฮเต็ลครับผม มาสเตอร์จ้าวซันเลือกโรงแรมนี้ เพราะเห็นทิวทัศน์ของฮ่องกงที่สวยมาก”
บราลีดูนาฬิกาข้อมือ
“มาสเตอร์จ้าวซัน...ท่าน...รออยู่ที่โฮเต็ลหรือคะ”
“มิได้ขอรับ มาสเตอร์จ้าวซันทำงานอยู่ ท่านขอให้คุณพักผ่อนตามสบาย แล้วเลิกงานท่านจะมารับออกไปข้างนอกขอรับ”
“มาสเตอร์ จ้าวซัน...ท่านทำงาน อะไรหรือคะ”
“หลายอย่างครับ”
“หลายอย่าง เช่นอะไรบ้างล่ะ”
“ก็...ค้าขายบ้าง อะไรบ้าง”
บราลีชักรู้สึกแปลกๆ
“ค้าขาย...สินค้าอะไรล่ะคะ”
“ก็...สินค้า...นั่นบ้าง นี่บ้าง...ครับ”
บราลีอึ้งๆ สีหน้าตึง แล้วเมินไป เงียบกริบ ระงับอารมณ์ที่ชักขุ่นขึ้นมา อาหลี่ลอบมอง รู้สึกว่าคนนี้ไม่ธรรมดา ทึ่งๆ แล้วเอามือถือมากดส่งอะไรบางอย่าง
อีกด้านหนึ่งที่ถนนบนเขา รถจ้าวซันแล่นขึ้นสูงมาเรื่อยๆ จนเห็นทะเลอยู่ต่ำลงไปมาก จ้าวซันมองดูมือถือ เห็นสติ๊กเกอร์การ์ตูนโอเคที่อาหลี่กดมา จึงดีใจและโล่งอก
“อาหลี่รับแขกของชั้นออกมาเรียบร้อยแล้ว”
จ้าวซันหมดห่วงไปเปลาะนึง สวมแว่นดำตามเดิม เอนพิงเบาะอย่างผ่อนคลาย ทันใดเต๋อเป่ามองในกระจกหลังแล้วทำหน้าผงะ
“เจ๊ยยย”
จ้าวซันมองบ้าง จึงเห็นรถสปอร์ตสีแดง ขับตามมา
“อะไรกันนักหนา”
รถสปอร์ตแดงพุ่งมา
“เอาไงดีครับ”
จ้าวซันส่ายหัว ไม่ตอบ เต๋อเป่ากดคันเร่งหนี รถสีแดงตามขึ้นมาอีก จ้าวซันทำหน้าเหนื่อย กอดอก ถอนใจ เบื่อๆ ปลงๆ เต๋อเป่าขับเลี้ยวลัดไปตามไหล่เขา
ภายในรถสีแดงเหม่ยอิงเป็นคนขับ เหม่ยอิงเป็นสาวมาดธุรกิจ เสื้อผ้าจะเป็นยี่ห้อแบรนด์เนมดังแบบโก้เรียบสูงค่า มินิมั่ลลิสซึ่ม และสปอร์ต เหม่ยอิงขับรถตามจ้าวซันไปอย่างต้องจิกเอาชนะให้ได้ ไม่ยอมให้หนีซึ่งหน้า
รถจ้าวซันแซงรถตู้ที่วิ่งอืดๆ ไป รถเหม่ยอิงจะแซงบ้าง พอดีมีรถสวนลงมา เหม่ยอิงจำต้องหลบเข้ามารอ พอรถที่สวนมานั้นพ้นไป เหม่ยอิงกดเต็มรีบแซงปรู๊ดปรี๊ดปร๊าด รถจ้าวซันยังแล่นพุ่งหนีไปอย่างเร็ว เหม่ยอิงทำหน้าไม่ยอมแพ้ ซิ่งตามสุดๆ
ที่ถนนใกล้ถึงโบสถ์ จ้าวซันมองกระจกหลัง เห็นเหม่ยอิงตามไม่ลดละ
“เต๋อเป่า พอเถอะ ชั้นไม่อยากมีปัญหา จอดคุยกะเค้าหน่อย”
เต๋อเป่าเบารถ ชะลอ แล้วเลี้ยวหักหัวเข้าจอดหน้าทางเข้าโบสถ์
จ้าวซันเปิดประตูรถลงไป ยืนรอแบบเอาไงเอากัน
อ่านต่อหน้า 3
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 1 (ต่อ)
เหม่ยอิงเห็นรถจ้าวซันจอด จึงตบเกียร์ ลดความเร็ว แล้วพุ่งจอด แกล้งเฉียดๆ ตัวจ้าวซันไปนิดเดียว แล้วเปิดประตูพุ่งปรี๊ดลงไป
“เต๋อเป่า แกออกมาเลย”
เต๋อเป่าเดินตัวงอ
“คุณหนูใหญ่”
“ไอ้ขี้ข้า แกจะลองดีกับชั้นเหรอ”
เหม่ยอิงเงื้อจะตบ เต๋อเป่าทำคอย่น ไม่หลบ กะโดนเต็มๆ ข้อมือเหม่ยอิงโดนมือจ้าวซันคว้าไว้ทันซะก่อน
“เหม่ยอิง เต๋อเป่ามันทำตามพี่สั่ง”
เหม่ยอิงสะบัดมือ หันขวับ
“พี่ชายใหญ่หนีน้องทำไม”
“พี่ไม่ได้หนี พี่กำลังรีบก็เลยต้องให้เต๋อเป่าขับมาให้ถึงที่ให้ทันเวลา”
“ที่โบสถ์ เนี่ยเหรอคะ”
“ใช่ พี่ก็มาที่โบสถ์นี้เป็นประจำอยู่แล้ว น้องก็ทราบ”
“นี่มันไม่ใช่เวลาทำมิซซาซะหน่อย”
“พี่ไม่ได้มาทำมิซซา พี่มีธุระกับหลวงพ่อ พี่มาประชุมกิจกรรมของโรงเรียนเด็กกำพร้าที่เต้ของเราอุปถัมภ์มาตั้งแต่ต้น เธอตามพี่มาขนาดนี้ จะเข้าไปร่วมประชุมด้วยไหมล่ะ แต่อาจจะนานหน่อยนะ แต่ถ้าเธอไม่เบื่อปัญหาของเด็กๆ”
“แหม...น้องไม่ได้ตามจับผิดพี่ชายใหญ่ขนาดนั้นหรอกค่ะ น้องเชื่อพี่ชายใหญ่ทุกอย่างอยู่แล้ว ก็แค่วันนี้น้องพยายามตามหาพี่ใหญ่ทั้งวัน โทรศัพท์พี่ก็ไม่รับ ถามเทเรซ่า ก็บอกว่าติดต่อพี่ใหญ่ไม่ได้ แล้วอยู่ๆ ขับมาเจอกันโดยบังเอิญ แต่พี่ใหญ่ให้เต๋อเป่าขับหนีน้องซะงั้น”
“แล้วตอนนี้เข้าใจหรือยัง ว่าไม่ได้หนี”
เหม่ยอิงค้อนแบบตัดพ้อเล็กๆ
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“ไม่เอาน่า อย่างอนสิจ๊ะ” จ้าวซันหัวเราะนิดๆ รักษาน้ำใจ “ตามหาพี่ มีอะไรหรือเปล่า”
เหม่ยอิงมองรอยยิ้ม และดวงหน้าจ้าวซันอย่างดื่มด่ำ หลงรัก
“ไม่มีอะไรซีเรียสหรอกค่ะ” เหม่ยอิงเปิดประเป๋า หยิบตั๋วที่เป็นการ์ดพลาสติกออกมา “น้องได้ตั๋วรอยัลบาลเลท์มาแล้ว พี่ชายไปดูกับน้องนะคะ คืนนี้ 1 ทุ่ม”
จ้าวซันพิจารณาตั๋วสองใบนั้น สักพัก ส่งคืน
“ขอบใจมาก ที่นึกถึงพี่ น้องชวนผิงอันไปดีกว่า พี่ไม่ว่าง มีนัดแล้ว” เหม่ยอิงตาวาว
“มีนัด...กับใครคะ” จ้าวซันชะงัก
“พี่คงไม่ต้องตอบน้องทุกคำถามหรอกนะ เหม่ยอิง ขอโทษนะจ๊ะ” จ้าวซันดูนาฬิกา “พี่ต้องเข้าไปประชุมแล้วล่ะ น้องจะไปดูบัลเล่ท์คืนนี้ ก็ควรจะไปเตรียมตัวทำผม ทำเล็บ อะไรต่ออะไรได้แล้ว ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
เหม่ยอิง เชิด เมิน แล้วสะบัด เดินไปขึ้นรถ ปิดประตูโครม ถอยเอี๊ยดออก พอดีมีรถแล่นมา รถนั้นเบรกเอี๊ยดลั่นเหม่ยอิงมองตอบคนขับรถคันนั้นแบบไม่แคร์ แล้วสาวพวงมาลัย ตีวงกลับรถ ขับปี๊ดปร๊าด จี๊ดจ๊าดลงเขาไปแบบทำเสียงเอี๊ยดอ๊าดไปตลอดทาง จ้าวซันนิ่ง มองหน้ากับเต๋อเป่า เพลียๆ
บราลีเดินเข้ามาที่ล็อบบี้ของโรงแรม พลางมองดูความหรูโก้รอบๆ อย่างทึ่ง ตื่นตาตื่นใจ ที่ล็อบบี้ พนักงานฝรั่งปรี่มาต้อนรับ ยิ้มให้อาหลี่อย่างกันเอง
“โอ..ไฮมิสเตอร์หลี่ ผมกำลังรออยู่พอดี” พนักงานฝรั่งหันมา ยิ้ม แล้วยื่นมือมาให้บราลี “เวลคัมทูฮองคองครับ มิสภีมะมนตรี โรงแรมของเรายินดีมาก ที่ได้รับใช้คุณ ผมชื่อโทมัส ดีใจที่ได้พบคุณ เป็นยังไงบ้างครับ การเดินทางเรียบร้อยดีหรือเปล่า”
บราลีอึ้งๆ แต่ก็ยิ้มให้ตามมารยาท
“เรียบร้อยดีค่ะ ขอบคุณ”
“คุณเพิ่งมาถึง คงเหนื่อย เชิญขึ้นไปพักผ่อนดีกว่าครับ”
พนักงานที่พร้อมอยู่แล้ว ปรี่เข้ามารับกระเป๋าบราลีจากอาหลี่
“เชิญครับ มิส”
“ขอให้พักผ่อนให้สบายนะครับ” พนักงานฝรั่งโค้งและยิ้มให้บราลี
“ขอบคุณค่ะ”
อาหลี่ผายมือให้ พนักงานพาบราลีไป อาหลี่ตามมาด้วย บราลีมองทุกคน และยังมองสถานที่อันหรูเว่อร์ ด้วยความรู้สึกพิลึกๆ แต่ก็ยังวางท่าทางมั่นใจ ไม่กลัวอะไร ไม่ยอมเสียฟอร์ม
พนักงานเปิดห้อง ยกกระเป๋ามาวาง ห้องเปิดแอร์ เปิดม่าน สว่างไสวรออยู่แล้ว อาหลี่ก้าวเข้าไปก่อน บราลีมอง งงๆ ภายในห้องจัดดอกไม้ไว้อย่างสวยงาม บราลีมองซ้ายขวาอย่างตื่นตา
ห้องพักของบราลีเป็นห้องชุด แบ่งเป็นห้องนอน ห้องน้ำขนาดใหญ่ พร้อมมุมแต่งตัว ตู้เสื้อผ้า ห้องรับแขกกว้าง โต๊ะทำงาน ระเบียงชมวิว อาหลี่เดินปรี่ไปดูห้องน้ำ มองซ้ายขวา ห้องนอน เปิดม่านดูทุกซอกมุม เปิดไปชะโงกระเบียง ออกไปตรวจรอบๆ ท่าทางราวกับบอดี้การ์ดของวีไอพี บราลีมองท่าทีของอาหลี่ขำๆ
อาหลี่ตรวจดูทุกอย่าง เรียบร้อย หันมา
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ เชิญคุณหนูตามสบาย”
บราลีหันไปหาพนักงาน ที่กำลังจะเดินออก หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาจะเปิด
“เดี๋ยวค่ะ คุณคะ”
ทุกคนหันมา อาหลี่รีบยกมือห้าม
“คุณหนู ไม่ต้องครับ มาสเตอร์จ้าวซันของเราจัดการทุกอย่างแล้ว เดี๋ยวสักพัก มาสเตอร์จ้าวซันคงโทรมาคุยกับคุณหนูด้วยตัวท่านเองครับ” อาหลี่โค้งให้ แล้วออกไปกับพนักงาน
“มาสเตอร์จ้าวซันๆๆ”
บราลีทำเสียงล้อๆ หยันๆ แล้วหันไป เห็นดอกไม้สวย อดเข้าไปดู ดม จับต้องไม่ได้
จ้าวซันหยุดยืนหน้าโบสถ์ ยิ้มแล้วพนมมือไหว้ เต๋อเป่ายืนเยื้องไปข้างหลัง โค้งให้ หลวงพ่อโยเซฟเดินลงมาจากบันไดตอนหน้าของโบสถ์คาทอลิคที่สวยงามรับไห้วจ้าวซัน และรับการก้มหัวของเต๋อเป่า
“เป็นไงบ้าง ตกลงเจอม่านฟ้าแล้วใช่ไหม”
หลวงพ่อโยเซฟถามจ้าวซัน
“ยังเลยครับ”
“หลายปีแล้วสินะ เห็นแต่ในรูปที่เธอส่งมาให้ดูอยู่บ่อยๆ”
“ครับ ตอนนี้เรียนจบแล้ว น่าจะเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง”
“เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆ นะ พ่อยังจำภาพเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เต้นเร่าๆ ร้องไห้จะกลับบ้าน จะหาแม่ หาพี่เจ้า ได้อยู่เลย”
จ้าวซันยิ้มอ่อนโยน
“ผมก็ยังจำได้ไม่ลืม”
ทั้งสองสบตากัน
บราลียังอยู่ที่ห้องพัก นั่งดื่มน้ำสีสวยที่วางต้อนรับ ยืนชมวิวที่ระเบียง แล้วถอยเข้ามาในห้อง เข้ามาดูโทรศัพท์ตนที่วางอยู่ แล้วหันไปดูโทรศัพท์ของห้อง
“แล้วท่านมาสเตอร์จ้าวซันผู้ยิ่งใหญ่ จะโทรมาหาเราที่เบอร์ไหนเนี่ย” บราลีคิดๆ แล้วยักไหล่ “เฮอะ ไม่รอแล้วนะ”
บราลีเดินเข้าห้องน้ำ บราลีเปิดก๊อกอ่างน้ำ ฝั่งร้อนและเย็น เอามือวัด ระดับอุณหภูมิน้ำ จากนั้นบราลีก็นั่งลงที่เก้าอี้โซฟา ถอดรองเท้าบูตแล้วลุกขึ้น ถอดเสื้อแจ็คเก็ต...ที่พนักเก้าอี้ เสื้อของบราลี โดนวางลงมา...ที่พื้น หน้าห้องน้ำ เสื้อยืด ถูกทิ้งลงมา...ที่พื้นในห้องน้ำ กางเกงขาสั้นของบราลี ถูกโยนลงมา...ที่อ่างน้ำ น้ำมีระดับพอแล้ว เกลือหอมถูกเทลงมา เจลอาบน้ำถูกเทลงมา มือบราลียื่นลงไปในน้ำ ตีๆๆๆ ฟองฟูขึ้นเต็มอ่าง...หน้าบราลีเกยอยู่ข้างอ่าง นั่งมองดูฟองที่ฟูขึ้น แขนพาดขอบอ่าง ลงมาตีๆๆ น้ำ แล้วมือหยิบฟองมาดูแล้วเอามาเป่าเล่น ดวงตาบราลี ดูผุดผ่อง อารมณ์ดีขึ้น
เวลาผ่านไป บราลีนอนในอ่างน้ำ ฟองฟูปกคลุม ทำหน้าอิ่มสุข ทิ้งศีรษะนอนพิงขอบอ่างอย่างสบายใจ ลืมความขุ่นข้องใจทั้งหมด
จ้าวซันยืนสงบนิ่งอยู่ภายในโบสถ์ มองดูพระเยซูด้วยแววตาอธิษฐาน สักพักจึงหันมาหาหลวงพ่อที่ยืนมองอยู่ เต๋อเป่ายืนสงบอยู่ห่างๆ
“ผมต้องขอบพระคุณจริงๆ ที่คุณพ่ออนุญาต ให้ใช้สถานที่นี้เป็นที่นัดพบกับแขกพิเศษ”
“แขกพิเศษของเธอ ก็คือแขกพิเศษของพ่อ”
“หลวงพ่อไม่ถามซักคำ ว่าเขาเป็นใคร”
“พ่อไม่รู้เสียดีกว่า ไม่ใช่เหรอ แต่อย่างไร พ่อก็มั่นใจว่าลูกจะไม่ทำอะไรที่ขัดกับแนวทางของพระเจ้า และสันติภาพ”
“แน่นอนครับ”
จ้าวซันดูนาฬิกาอีก
“ได้เวลาแล้วสินะ เชิญเถอะ”
จ้าวซันหันไปพยักหน้าเรียกเต๋อเป่า
“ตามมา”
จ้าวซันก้าวไปอย่างรวดเร็ว ผ่านออกทะลุไปด้านหลังโบสถ์ เต๋อเป่ารีบเดินตาม หลวงพ่อยืนสงบมองพระเยซู แล้วก้มหน้าต่อหน้ากางเขน
จ้าวซันเดินสง่าออกมาจากโบสถ์ พลางสวมแว่นดำ มุ่งสู่สนามเขียวกว้าง หลังอาคารโบสถ์ เต๋อเป่าตามไป
-ลมแรงพัดหมุนวนทั่วบริเวณป่าสนนั้นคล้ายสลาตัน เสื้อผ้าของทั้งสองพัดสะบัดอย่างสวยงาม เสียงดังกระหึ่มของเฮลิคอปเตอร์ดังใกล้เข้ามา
จากเหลี่ยมเขาสูง เขียวขจีริมทะเล เฮลิคอปเตอร์แล่นโผล่ออกมาจากหลังเหลี่ยมเขานั้น เฮลิคอปเตอร์ตีวง มุ่งมายังบริเวณโบสถ์ ที่มีอาคารสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า โรงพยาบาลพักฟื้นคนชรา และสนามเขียวกับป่าสนด้านหลัง
จ้าวซัน เต๋อเป่า ยืนรอในสนาม ห่างออกมาจากจุดวงกลมที่มีตัวอักษร H อยู่กลางสนามนั้น จ้าวซันเงยหน้ามองด้วยท่าทางสบายใจ ยิ้มมาอย่างสดใส
เครื่องเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ ร่อนลงพอดี จ้าวซันก้าวออกไป เต๋อเป่าตามติดๆ เต๋อเป่าล้วงเอาปืนที่คาดหน้าอกซ่อนไว้อยู่ใต้สูทเอาออกมาถือเตรียมพร้อมไว้ ใบพัดหมุนเริ่มอ่อนแรงลงเป็นลำดับ จ้าวซันและเต๋อเป่าเดินก้าวเข้าไปใกล้ขึ้น ประตูเครื่องเฮลิคอปเตอร์เปิดออก ชายคนหนึ่งกระโดดลงมายืนข้างล่าง ภูสินทรซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นเมืองเทพ ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาหาจ้าวซัน จ้าวซันเพ่งมองชายที่อยู่ตรงหน้าอย่างพิจารณา
“ภูสินทร”
ภูสินทรเดินก้าวเข้ามาทรุดตัวลงกราบแทบเท้าจ้าวซัน ภูสินทรยิ้ม มองจ้าวซันด้วยความคิดถึงปลาบปลื้ม
“ฝ่าบาท”
เต๋อเป่ามองอากัปกิริยานั้นอย่างงงๆ
ภูสินทรกราบเท้าจ้าวซันแล้วเงยหน้าขึ้น น้ำตาปริ่ม จ้าวซันยิ้มให้
“มีเพียงดวงตาของเจ้าเท่านั้น ที่ยังมีประกายที่เราคุ้นเคย”
“หม่อมฉันจำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าเพื่อความสะดวก หากจะกลับไปที่นั่น”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมาตอนนี้อินปงกำลังพาพระเทวีศุลีมานกับน่านปิงนรเทพหนี แล้วทันใดนั้นมีลูกธนูพุ่งแหวกมาจากอากาศปักทะลุกลางอกทหาร ล้มลงตายคาที่ ชายชุดดำเดินออกมาจากทางด้านหลัง ชายคนนั้นตวัดชายผ้าคลุมหน้าไปข้างหลัง เผยให้เห็นหน้าดุดัน หนวดเฟิ้ม เคราครึ้ม คิ้วหนาเป็นปื้นรก ผิวหน้าเข้มคล้ำ ตาลึก อินปงร้องออกมาด้วยความสยดสยองหวาดกลัว
“ภูสินทร”
“องครักษ์ตำหนักหน้า คนของเสด็จลุง”
ภูสินทรก้มศีรษะทำความเคารพให้น่านปิงนรเทพ
“เจ้ามันเป็นคนของพระเชษฐาทรราชย์”
“ข้าได้รับคำสั่ง จากพระเทวีพี่นาง..ให้มาคอยติดตามระวังหลังให้ท่าน จงเชื่อใจข้า เร็วเข้าเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
กลับมาปัจจุบัน จ้าวซันพิจารณาหน้าตาภูสินทรที่เปลี่ยนไป
“เราเกือบจำเจ้าไม่ได้”
“แม้ใบหน้าจะเปลี่ยนไป แต่จิตใจของกระหม่อมยังจงรักภักดีต่อเจ้าหลวงและองค์รัชทายาทไม่เสื่อมคลาย”
จ้าวซันยิ้ม ส่งมือให้ภูสินทร
“ลุกขึ้น”
จ้าวซันประคองภูสินทรให้ยืนขึ้นแล้วโอบกอดกันไว้ชั่วอึดใจ
“กระหม่อมคิดว่าไม่สมควรกราบทูลทางโทรศัพท์ จึงตัดสินใจมาเข้าเฝ้าเสียเอง”
“ว่ามา...”
“สายของเรารายงานมาว่า องค์รัชทายาทศิขรนโรดมกำลังจะเสด็จเยี่ยมประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีและทรงทอดพระเนตรตลาดงานหัตถกรรม ซึ่งเวลานี้กำลังเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของคีรีรัฐ”
“ศิขรนโรดม น้องชายของข้า...ราชบุตรแห่งเจ้าลุง และเจ้าป้าของข้า”
“หลังจากองค์รัชทายาทเสด็จไปประเทศไทยแล้ว จะเสด็จต่อมาที่ฮ่องกงเป็นการส่วนพระองค์”
“ตามคำเชิญของสภาหอการค้าฮ่องกง ซึ่งผู้อยู่เบื้องหลัง ก็คือ...”
ภูสินทรมองจ้าวซันอย่างทึ่ง
“เป็นฝ่าบาทเอง” จ้าวซันยิ้มเยือกเย็น “กระหม่อมก็แอบคิด ว่าอาจจะเป็นฝ่าบาท แต่อีกใจหนึ่ง ก็ยังหวั่นว่าจะทรงเสี่ยงเกินไป”
จ้าวซันอึ้ง
บราลีเปลี่ยนชุดใหม่เป็นกางเกงขาสั้นกับบูตคู่เดิม แต่เปลี่ยนเสื้อ จากแจ็คเก็ตกับเสื้อตัวใน เป็นเสื้อนิตติ้งกับคาร์ดิแกนตัวเล็ก สั้น เอวลอยนิดๆ บราลีหวีผมลวกๆ ส่องกระจกคร่าวๆ แล้วเดินมาดูโทรศัพท์ ปรากฏว่าแบตหมด
“อ้าว...battery ‘s over”
บราลีรีบเปิดกระเป๋า หยิบแบตและสายออกมาจัดการเสียบชาร์ทที่โต๊ะทำงานของห้องแล้วเดินไปเปิดดูระเบียงเดินออกไปวัดความหนาวร้อนของอากาศ
“อืม...ก็ไม่หนาว ไม่ร้อน เย็นนิดๆ สบายๆ”
บราลีบิดแขนขา ยืดเส้นสายไปมา
จ้าวซันกับภูสินทรมองหน้ากัน ต่างเครียด
“พระองค์อย่าทรงประมาท ข้าเชื่อว่าพวกมันก็ยังคงตามหาตัวพระองค์อยู่ เพราะปราศจากตราประจำพระองค์เจ้าหลวงก็มิอาจครองราชย์ได้อย่างถูกต้อง”
“เจ้าเองก็ควรระวังตัวเช่นกัน ถึงแม้อยู่เมืองไทยเจ้าจะใช้ชื่อใหม่หรือมีหน้าใหม่แล้วก็ตาม แต่นัยน์ตาของพวกมันก็แหลมคมนัก ไว้ใจไม่ได้ แล้วจะมีใครตามเสด็จมาบ้าง”
“พลเอกราชิด”
“เป็นพลเอกแล้วหรือ”
ภูสินทรพยักหน้ารับ
“พวกมันทุกคน เวลานี้ใหญ่โตคับประเทศ กอบโกยทรัพย์แผ่นดิน และมีบัญชีฟอกเงินอยู่ในต่างประเทศทุกคน”
“ราชิด จัตุรัส...”
“กระหม่อมรอ...วันที่จะได้เผชิญหน้ากับพวกมันอีกครั้ง”
ภูสินทรหน้าเหี้ยมเกรียมขึ้นเมื่อนึกถึงอดีต
ภาพในอดีตที่ผาห่มดอกนครคีรีรัฐ ผาห่มดอกเป็นหอคอยศิลาแลง ส่วนบนสุดของหอคอยเป็นห้องวงกลมใช้คุมขังนักโทษ
เวลานั้นภูสินทรที่มีบาดแผลทั่วตัว หน้าแตก หัวแตกเลือดกรัง รอยฟกช้ำ รอยเฆี่ยน มือเท้าที่โดนนาบด้วยเหล็กร้อนเป็นรอยไหม้ ร่างกายอ่อนแอ หมอบแทบเท้าราชิดที่เขี่ยๆไปมา
“ไอ้องครักษ์ตำหนักหน้าทรยศ ทรมานมันทุกวิถีทางแล้ว มันก็ยังไม่ร้องสักแอะ”
นายพลจัตุรัสเดินเข้าไป จิกหัวภูสินทรขึ้นมา ตบฉาดๆๆๆ
“พระเทวีกับองค์รัชทายาทน่านปิงนรเทพหนีไปที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้ ไอ้ภูสินทร จะบอกหรือไม่บอก” ภูสินทรเงียบกริบ ตาลอย “ยังจะมามองหน้าอีกเออ หรือเราลองจับเอานางบายศรีเมียมัน มาทรมานให้มันดูดีไหม”
ภูสินทรผงะ ดวงตาไหวระริก แล้วพอราชิดเข้ามาจ้องหน้า ภูสินทรก็รีบทำตาเหลือก เหมือนคนไร้สติ เสียงหมอดังมาจากด้านหน้า
“หัวสมองมันคงถูกกระทบกระเทือนจนเลอะเลือนน่ะท่านนายพล”
ทุกคนหันไป หมอเดินเข้ามา
“ท่านแพทย์สิงหะ”
“ท่านนายพันเอกราชิด ขอข้าตรวจอาการมันหน่อย”
“จะตรวจทำไม”
“หรือท่านอยากให้มันตาย แล้วความลับเรื่องพระเทวีก็จะตายไปกับมัน”
ราชิด จัตุรัสสบตากัน แล้วราชิดพยักหน้าให้จัตุรัส
“เข้ามาดูมันหน่อยก็ดี หมอช่วยให้มันได้สติสัมปชัญญะเร็วๆ ด้วย”
หมอสิงหะเข้ามาทำทีเหมือนตรวจสภาพศรีษะ หน้าตา เนื้อตัวภูสินทรสักพัก ราชิด จัตุรัส ถอยไปดูห่างๆ หมอสิงหะจับข้อมือภูสินทรขึ้นมา แอบกดแรงๆ แบบส่งสัญญาณบางอย่าง ตาของภูสินทรขยับนิดนึง อย่างแปลกใจ
“ข้ามียาบำรุงมาด้วย ลองให้มันกินสักสองสามวันก่อน เผื่ออาการจะดีขึ้น” หมอสิงหะล้วงเอาซองเล็กๆ สีขาวออกจากอกเสื้อ แล้วเทยาใส่มือตน โชว์ให้ราชิดกับจัตุรัสเห็น “กินยาซะ “ทุกคน” อยากให้เจ้าหายป่วย”
สายตาหมอสิงหะมองตรงเข้าไปในดวงตาภูสินทร และมีแววตาบังคับอยู่ในที ขณะที่มือก็กดข้อมือแรงๆ อีกที ซึ่งราชิดและจัตุรัสมองไม่เห็น หมอสิงหะจับปากภูสินทรอ้า แล้วหย่อนยาลงไป
“กลืนซะ ยาที่เหลือข้าจะวางไว้ตรงนี้ พรุ่งนี้เช้าต้องกินอีกหน”
หมอสิงหะเอาซองยาไปวางไว้ข้างๆ คนโท หมอสิงหะเก็บข้าวของแล้วเดินนำออกจากกรงขังไป หันมาสบตากับภูสินทรอีกครั้ง
“หวังว่ามันจะยอมพูด ให้เร็วที่สุด”
ราชิด จัตุรัสเดินออก ทหารยามลั่นกุญแจ ภูสินทรมองตามด้วยสายตาเคียดแค้น
แสงจันทร์ส่องลอดลูกกรงเหล็กเหนือศีรษะเป็นลำแสงเข้ามาภายใน ภูสินทรนอนสำลัก ไอๆๆแล้วคลานเอื้อมไปหยิบคนโทมารินน้ำใส่แก้ว โดยไม่ทันระวัง ซองยาที่วางไว้ตกลงมา ภูสินทรหยิบซองยามาพลิกดูแล้วนึกถึงคำพูดหมอสิงหะ
“กินยาซะ “ทุกคน” อยากให้เจ้าหายป่วย”
ภูสินทรสงสัย รีบเทดูข้างในยังมียาอีกสองเม็ด ภูสินทรเทออกใส่มือเพื่อพิจารณาแล้วก็มีกระดาษชิ้นหนึ่งถูกพับเป็นชิ้นเล็กๆ หลุดออกมาด้วย ภูสินทรตกใจรีบหันไปมองยามหน้าประตูเห็นว่าหลับอยู่ก็โล่งใจ ภูสินทรรีบแอบคลี่กระดาษหันเข้าแสงจันทร์แล้วอ่านในใจ
“วันเพ็ญลอยพระประทีปเตรียมตัวให้พร้อม ทหารยามจะถูกวางยา จงตามคนที่เปิดประตูให้ ทำตามคำสั่งโดยไม่ต้องถาม ขอให้โชคดี”
ภูสินทรรีบฉีกกระดาษเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หยิบกระดาษเข้าใส่ปากแล้วกินน้ำตาม นัยน์ตาภูสินทรมีความหวังขึ้นอีกครั้ง
ปัจจุบัน ภูสินทรมีสีหน้าดุดัน แน่วแน่
“กระหม่อมทราบมาว่าราชิดจะใช้การตามเสด็จครั้งนี้เป็นเครื่องมือบังหน้าลักลอบซื้ออาวุธ”
“ซื้ออาวุธเพื่อ?...” จ้าวซันตกใจ “เพื่อการกบฏ ยึดอำนาจจากเสด็จอาหรือ”
“คาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้นกระหม่อม”
“ศิขรนโรดม จะเป็นเพียงตุ๊กตาเสียกบาลของพวกมันเท่านั้น”
“ข่าวว่า ผู้ที่จะค้าอาวุธให้มัน คือคนมีอิทธิพลในฮ่องกง” จ้าวซันผงะ
“คนมีอิทธิพล...ในฮ่องกง”
“ตอนนี้สายของเรายังไม่มีข้อมูลแน่ชัด ถ้ากระหม่อมกลับเมืองไทยแล้วได้ข่าวอะไร จะรีบแจ้งให้ฝ่าบาททราบอีกที”
“ดี...ทางนี้จะช่วยสืบหา “คนมีอิทธิพลในฮ่องกง” ด้วยอีกแรง” ต่างนิ่งไปพักนึง “ทางเมืองไทย เป็นอย่างไรบ้าง คำฝายสบายดีหรือ”
“เป็นพระกรุณาที่ทรงถามถึง ทุกคนสบายดี”
“พระเจดีย์...ของเจ้าแม่ อีกไม่นานเราคงได้กลับไปเยี่ยมถวายบังคม บอกคำฝาย ม่านฟ้าของเรากลับมาแล้วตอนนี้อยู่ที่นี่ เป็นแขกของเรา”
“พระองค์ทรงหมายถึง...”
“ใช่ ม่านฟ้า... บราลี...ลูกสาวคนเดียวของอินปงและจันทร์แรม องครักษ์ที่ยอมสละชีวิตเพื่อเราและเสด็จแม่ บอกคำฝาย ว่าม่านฟ้าสบายดี คำฝายคงดีใจ”
“รับด้วยเกล้า” สีหน้าจ้าวซัน และภูสินทร ต่างอ่อนโยนลง “เช่นนั้น หม่อมฉันทูลลา”
ภูสินทรทำท่าจะก้มลงกราบลาที่พื้น แต่จ้าวซันรีบจับไว้ไม่ให้ก้มลงไป ภูสินทรโค้งแทน เฮลิคอปเตอร์เริ่มสตาร์ท ภูสินทรวิ่งกลับไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นฟ้าไป
จ้าวซันมองส่ง แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น แน่วแน่ โดยมีเต๋อเป่าเฝ้าคุ้มกัน มองรอบๆ
อ่านต่อหน้า 4
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่ห้องพักบราลีเวลานั้น บราลีกำลังนั่งดูสารคดีท่องเที่ยวฮ่องกงจากทางทีวี บราลีนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาพร้อมกับกินแอปเปิลที่ทางโรงแรมจัดไว้ต้อนรับไปด้วย
“ตลาดสแตนลีย์เหรอ...ว้าวๆๆ”
บราลีลุกขึ้น หยิบผ้ามาเช็ดปากเช็ดมือ วางลงในจาน แล้วหยิบกระเป๋า ดูนาฬิกาอีกที หยิบการ์ดกุญแจมา แล้วรีบวิ่งออกไปจากห้อง ประตูปิดลง จังหวะนั้นโทรศัพท์มือถือที่เสียบชาร์จไว้ดังขึ้น แต่บราลีเดินร่าเริงไปไกลแล้ว
โทรศัพท์มือถือดังอีกสักพักก็ดับไป แล้วโทรศัพท์ในห้องก็ดังอีก
รถจ้าวซันแล่นมาตามถนน ระหว่างนั้นเต๋อเป่าใช้บลูทูธรอฟัง จ้าวซันนั่งที่นั่งข้างหลัง ลุ้นๆ
“อ้อ...ครับผมๆ ขอบคุณครับผม” จ้าวซันตื่นเต้น ลุ้นๆ เต๋อเป่าเหลือบตาดูจ้าวซัน อึ้งๆ นิดๆ “ครับ ขอบคุณครับ” เต๋อเป่ากดวางสายแล้วบอกจ้าวซัน “โอปะเรเตอร์บอกว่าโทรศัพท์ในห้องไม่มีคนรับครับ...คุณชายใหญ่”
จ้าวซันหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“ฉันบอกให้เขารอรับโทรศัพท์ แต่ฉันไม่มีเวลาโทรเข้าไปซักทีนี่นา”
“นั่นสิครับ”
“แล้วนี่ เค้าไม่ยอมรับทั้งมือถือส่วนตัว ทั้งโทรศัพท์ในห้อง จะเป็นเพราะเค้าโกรธ งอน หรือไม่พอใจหรือเปล่า”
“ไม่น่านะครับ”
“ไม่แน่หรอก ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนคนนึงเลยล่ะ” จ้าวซันกลุ้มใจ กระสับกระส่าย “แกขับให้เร็วกว่านี้ได้ไหม”
ประตูลิฟต์เปิด บราลีเดินออกมาจากลิฟต์ ขณะที่พนักงานกำลังสุมหัว คุยๆ กัน ชี้ดูเอกสารบางอย่าง บราลีเข้าไป ยืนรอๆ อยากจะฝากบอกบางอย่าง พวกพนักงานดูจริงจัง ชี้ให้ดูตารางตัวเลขกัน พอดีนักท่องเที่ยวฝรั่งกลุ่มนึงเพิ่งมาถึง มีปัญหาประมาณโวยวายว่ากระเป๋าหายไปใบนึงตอนเอาลงจากรถแท็กซี่ พวกพนักงานโรงแรมรีบเข้าไปคุยเคลียร์ เพื่อจะช่วยติดตามคืน
บราลีเห็นทุกคนกำลังวุ่นวายเลยเกรงใจ ไม่อยากรบกวน ตัดสินใจ ไม่สั่งอะไรแล้วก็เดินผ่านไป บราลีเดินออกไป โดยไม่มีคนสังเกต
หน้าโรงแรม คนเปิดประตูเปิดให้ บราลีเดินออกมา ข้างหน้ามีรถแท็กซี่จอดเรียงราย บราลีเดินเข้าไป คนขับออกมาต้อนรับ บราลีบอกที่ที่ต้องการไปคือตลาดสแตนลีย์ คนรถเชื้อเชิญ บราลีขึ้นนั่ง รถแท็กซี่ที่บราลีนั่งขับออกไปที่สวนกับรถจ้าวซัน ที่แล่นเข้ามา
ในรถแท็กซี่ บราลีหยิบแผนที่ที่เสียบอยู่ในรถมากางเปิดดู เต๋อเป่าขับมาจอดเทียบหน้าโรงแรม คนเปิดประตูรีบปรี่มาเปิดประตูรถของจ้าวซัน จ้าวซันรีบก้าวลงไป แล้วเดินลิ่วเข้าไปในโรงแรมอย่างร้อนใจ
“อ้อ ที่ที่เราอยู่นี่ เรียกว่าเกาลูนครับคุณ ถ้าคุณจะไปตลาดสแตนลีย์ คุณต้องข้ามเรือไป”
คนขับรถแท็กซี่บอกบราลี
“มีเรือข้ามตลอดเวลาไหมคะ”
“มีครับ ผมจะไปส่งที่ท่าเรือ ง่ายมากครับคุณ”
บราลีพอใจ หยิบกระเป๋ามาเปิดแล้วชะงัก
“เอ้า...ลืมโทรศัพท์ ว้า...ช่าง ช่วยไม่ได้”
ที่ห้องพักบราลี โทรศัพท์ของบราลียังเสียบที่ชาร์จคาไว้ จ้าวซันยืนดู อึ้งๆ แม่บ้านเดินออกมาจากห้องน้ำ
“อ่างน้ำยังเปียกอยู่ค่ะ เสื้อผ้าข้าวของ กระเป๋าเดินทาง ยังอยู่ครบหมด” แม่บ้านบอก
“ทุกอย่างปกติครับ”
“เธอคงออกไปเดินเล่นน่ะครับ เดี๋ยวก็คงกลับมา”
อาหลี่วิ่งหน้าตื่นๆ เข้ามา ลนลานๆ กลัวโดนด่า
“คุณชายใหญ่ครับ ผมบอกคุณหนูบาราลี ภีมามนตรี ตามที่คุณชายสั่งทุกอย่างแล้วนะครับ และเธอก็เข้าใจที่ผมพูดทุกอย่างด้วยครับ”
จ้าวซันปรายหางตาดู ทำเสียงเอือมๆ
“ฉันไม่ได้โทษว่าแกพูดไม่รู้เรื่อง”
จ้าวซันถอยมา แล้วเดินมาที่เก้าอี้ แล้วมองเห็นแจ็คเก็ตขนาดพอดีตัว ดูตัวเล็กๆ ที่บราลีถอดพาดไว้ จ้าวซันเข้าไปลูบๆ แล้วอดไม่ได้ หยิบมาดู แล้วพับๆ เหมือนพับผ้าให้เด็ก แววตาอ่อนโยนแกมเศร้า
“เดี๋ยวผมจะคอยดูให้เองครับ ถ้าเธอกลับมา จะให้ผมโทรไปเรียนคุณชายที่เบอร์ส่วนตัวไหมครับ”
“ไม่ต้องครับ ผมจะรออยู่แถวนี้”
จ้าวซันวางเสื้อตัวนั้นลง แล้วเดินออกไป ทุกคนมองหน้ากันทึ่งๆ เพราะเห็นว่าจ้าวซันเครซี่หญิงคนนี้มากมาย
ภายในเรือข้ามฟาก ผิงอันที่อยู่ในชุดแบบคุณหนูจีนๆ แบบตามขนบยุคเก่ามากๆ กระโปรงยาวคลุมเข่า เสื้อคอจีนคลุมตะโพก ถัก 2 เปียยาว เดินออกมารับลมที่ระเบียงเรือด้านหน้าแล้วชะงักเมื่อเห็นบราลียืนใช้กล้องถ่ายรูปวิวชายฝั่งอยู่อย่างเอาจริงเอาจัง
บราลีดูเก๋สุดๆ ในกางเกงขาสั้นกับบูต และเสื้อถักกับคาร์ดิแกนเอวสั้น เห็นหน้าท้องสวยงาม ผิงอันถึงกับอ้าปากค้าง
“โอ้โห”
อาม่าที่แต่งชุดแบบเก่าเช่นกัน เดินต้วมเตี้ยมตามมา ไปได้ช้าๆ เพราะเรือเร็วมาก และคลื่นแรง
“ซายหมุย เข้าไปข้างในเถอะ อยู่ข้างนอกลมแรง เดี๋ยวไม่สบายนะ”
“อาม่า ดูผู้หญิงคนนั้นสิ”
อาม่ามองไปที่บราลีแล้ว ตาเหลือก
“ตายจริง ก๋ากั่นที่สุด น่าอายจังเลย ซายหมุยอย่าดู”
“อะไรกันเนี่ย...ม่า คอยดูนะ เมื่อไหร่หนูได้ไปเรียนเมืองนอก หนูจะแต่งตัวแบบนี้มั่ง”
บราลีหันมาพอดี เห็นผิงอัน ที่มองตน บราลียิ้มให้ มั่นใจ แล้วบราลีก็มองชุดของผิงอันอย่างสนใจมาก ผิงอันยิ้มให้อายๆ บราลีเดินเข้ามาทักผิงอัน
“ฮัลโหล”
“ฮัลโหล” ผิงอันทักกลับเขินๆ บราลีหันมาที่อาม่า ยิ้มให้
“ฮัลโหล”
“หะ หะ โหลๆ”
“คุณสองคนแต่งตัวสวยมากค่ะ ขอฉันถ่ายรูปคุณสองคนหน่อย ได้ไหมคะ”
“อุ๊ย ไม่” อาม่าจะปฏิเสธแต่ ผิงอันยิ้มกว้าง ดีใจรีบตอบรับ
“ได้ค่ะๆๆๆ แล้วขอหนูถ่ายรูปกับพี่ได้ไหมคะ แล้วพี่ส่งมาให้หนูทางอีเมล์ ได้ไหมคะ”
บราลี หัวเราะ ดีใจ
ที่ตลาดสแตนลีย์ มีข้าวของราคาถูกวางขายเกลื่อนกลาด ผู้คนพลุกพล่าน มีนักท่องเที่ยว กรุ๊ปทัวร์ เดินไปมาตามถนน รอบข้างเป็นบ้านแบบเก่าบนเนินเขาสูง เห็นเวิ้งอ่าวที่มีเรือสัญจรอยู่ไกลออกไป บราลีกำลังเดินชมร้านรวงต่างๆ อย่างมีความสุข จนมาหยุดที่หน้าร้านเครื่องประดับเก๋ๆ ผิงอันกับอาม่าเดินดูร้านค้าๆ ตามมาข้างหลัง แวะมาหยุดที่ร้านนี้ด้วย บราลีหยิบกำไลที่ทำจากเปลือกหอยขึ้นมา
“สวยไหม ผิงอัน”
“น่ารักดี อุ๊ย อันนี้ก็สวย”
ผิงอันหยิบกิ๊บติดผมอันหนึ่งขึ้นมา
“ชอบไหม พี่ซื้อให้”
บราลีส่งของทั้งสองชิ้นแล้วหยิบเงินส่งให้แม่ค้าทันที
“เอ่อ พี่บรี ไม่เป็นไร”
ผิงอันหันมองอาม่า อาม่าส่ายหัวเป็นเชิงตำหนิไม่ให้รับ
“ไม่เป็นไรเหมือนกัน ก็เธออุตส่าห์พาฉันมาเที่ยว” แม่ค้าเอาของใส่ถุงแล้วส่งให้ บราลีรับมาแล้วยื่นกิ๊บให้ผิงอัน
“อะ... ติดเลยสิ” ผิงอันรับของมายิ้มๆ อาม่ามองค้อน “ไปไหนต่อกันดี”
บราลีเดินถอยออกไป ไม่ได้มองทาง จึงไปชนกับฉินเจียงที่เดินมากับเกาเฟย อาเหา
“เฮ้ย”
บราลีหันไปมองตามเสียง ฉินเจียงเห็นบราลีก็ตะลึง
“พี่ฉินเจียง”
“คุณชายรอง”
ผิงอันกับอาม่าทักฉินเจียง ฉินเจียงมองบราลีไม่วางตา ผิงอันรีบเข้ามาแทรกปกป้องบราลี
“พี่รองคะ นี่...เพื่อนหนู”
ฉินเจียงคว้ามือบราลีไปจับเฉยเลย เพื่อทักทาย บราลีตกใจเล็กน้อย งงๆ แต่ก็ยอมให้จับ
“ผมฉินเจียง... ไท้เผ่งของฉินเย่ว์กรุ๊ป ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ค่ะ... บรี...บราลีค่ะ”
“ไม่ใช่คนฮ่องกงใช่ไหมครับ”
“ไม่ใช่ค่ะ คนไทย”
“ผมรู้จักผู้หญิงไทยหลายคน แต่ไม่เคยเห็นใครเหมือนคุณเลย” ฉินเจียงยิ้มโลมเลียม บราลีสะบัดมือออก
“อ้าว...ผู้ชายฮ่องกงก็ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับฉันเหมือนคุณ”
บราลี เกาเฟย อาเหาสบตากัน มองหน้าดูอารมณ์ฉินเจียง แล้วขยับตัวเข้ามาทำท่าเหมือนจะสั่งสอน บราลีหันมามองท้าทายแบบไม่ยี่หระใดๆ
“พี่บรี! เราไปกันเถอะ ไปนะ คุณชายรอง” ผิงอันรีบบอก
“เดี๋ยว... ผิงอัน แล้วเธอมาทำอะไรแถวนี้! ไม่ไปโรงเรียนหรือไง คอยดู ชั้นจะฟ้องแม่ใหญ่” ฉินเจียงกวาดตามาที่อาม่า “ใครทำหน้าที่ดูแลผิงอัน ก็คอยตอบคำถามแม่ใหญ่ไว้ให้ดี”
“คุณชายรอง อิฉันขอร้องล่ะค่ะ”
“ไม่นึกเลย ว่าวันนี้จะโชคร้ายแบบนี้” ผิงอันรีบฉุดมือบราลีออกไป อาม่ารีบเดินตามมา
ฉินเจียง เกาเฟย และอาเหามองตามไปจนลับสายตา
บริเวณย่านคอสเวย์เบย์ มีร้านรวงมากมาย หรูหราและไฮโซ ผู้คนแต่งตัวดีเดินจับจ่ายซื้อของกันไปมา เหม่ยอิงเดินอารมณ์เสียมาหยุดที่ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าหรูแห่งหนึ่ง เหม่ยอิงเปิดประตูเข้าไป ถอดแว่นกันแดดออกมาเหน็บไว้ที่เสื้อ พนักงานและเจ้าของร้านรีบเดินออกมาต้อนรับ
“ฉันอยากได้ชุดราตรีแบบใหม่ๆ เก๋ๆ”
“คุณเหม่ยอิงอยากจะเอาไปใช้ในโอกาสพิเศษอะไรคะ” พนักงานถาม
“เปล่า...แค่ใส่เล่น จะใส่ดูบัลเล่ท์คืนนี้”
“จะเอาชุดบัลเล่ท์ไหมล่ะยะ” เจ้าของร้านพูดกับตัวเองเบาๆ แล้วรีบเปลี่ยนสีหน้า เดินเข้าไปต้อนรับอีกแรง “แหม...คุณเหม่ยอิงหายไปตั้งนาน มีอะไรให้รับใช้คะ”
ทันใดนั้นประตูร้านก็เปิดออก แมสเซนเจอร์เดินเข้ามา
“คุณชายจ้าวซันให้มารับชุดที่สั่งตัดไว้ครับ”
เหม่ยอิงหันขวับไปมอง
“อุ๊ยตายจริง สักครู่นะคะ ขอประทานโทษ”
เจ้าของสั่งให้พนักงานไปหยิบของมาจากหลังร้าน พนักงานกำลังเดินไปเอากล่องใบใหญ่ที่วางเตรียมไว้บนเคาน์เตอร์ แล้วส่งให้แมสเซนเจอร์
“เดี๋ยว! จะไปส่งให้ใครนะ”
เหม่ยอิงถาม เจ้าของร้าน พนักงาน มองหน้ากันอึกอัก แมสเซนเจอร์หันมองงงๆ
“คุณชายจ้าวซันครับ”
“ขอฉันดูหน่อย”
เหม่ยอิงเดินเข้าไปคว้าถุงมาจากพนักงานขาย
“ว้าย...คือ...”
เหม่ยอิงหยิบกล่องใบใหญ่ขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นชุดราตรีสีดำ โก้หรู ก็อมยิ้ม
“พี่ชายคิดจะง้อฉันด้วยวิธีนี้หรือ หึ”
ร้านคอฟฟี่ช้อป ในล็อบบี้โรงแรม จ้าวซันนั่งคนเดียวที่โต๊ะ จิบชา พลางใช้โทรศัพท์ทำงาน ดูสรุปตัวเลขตลาดหุ้นประจำวัน เทเรซ่าเดินถือแฟ้ม 2-3 แฟ้ม เข้ามาแล้วมองหา อาหลี่ เต๋อเป่า ที่ยืนจิบกาแฟกันเห็นเทเรซ่า รีบยกมือทัก
เทเรซ่าทำหน้าใส่ ประมาณว่า ไหนจ้าวซัน แล้วพอหันมาเห็น ก็รีบปรี่เข้ามา จ้าวซันเงยมาเห็น ชะงัก
“คุณชายใหญ่คะ นึกว่าเมื่อเช้าจะแวะเข้ามาที่ตึกซักครู่”
“ก็ตั้งใจว่าจะเข้าไปเหมือนกัน แต่...” จ้าวซันชะงักไป แล้วเปลี่ยนเรื่อง “มีอะไรล่ะ ตามมาถึงนี่”
“คุณชายไปไหน เทเรซ่าก็ตามถึงนั้นค่ะ เพราะต้องการลายเซ็นคุณชายด่วน สัก 20 ตำแหน่ง”
จ้าวซันขยับที่บนโต๊ะ
“นั่งสิ จะดื่มอะไรก็สั่งเอา”
เทเรซ่ารีบนั่ง
“สี่โมงเย็นนี้ คุณชายมีนัดกับ...” จ้าวซันตัดบท
“เทเรซ่า นัดวันนี้ คุณช่วยยกเลิกไปให้หมดด้วย”
“แต่ท่านประธานบริษัทเซี่ยงไฮ้พอร์ท...”
“เรียนขอประทานโทษท่านอย่างสูงด้วย แต่ผมขอเลื่อนนัดท่านเป็นวันศุกร์แทน...ได้ไหม”
“ก็คง...จะต้องได้ล่ะค่ะ”
เทเรซ่ารีบเปิดแฟ้ม เอาเอกสารที่จะให้เซ็นให้ดู จ้าวซันรีบเอามาดู ตั้งใจอ่าน เทเรซ่ามอง เหนื่อยแทน พอดีบริกรเอาเมนูที่มีรูปเครื่องดื่มสวยงามมาให้ เทเรซ่าขอบใจแล้วรับมา
บราลียังอยู่ที่ตลาดสแตนลีย์ ผิงอันรับแก้วน้ำมะม่วงปั่นมาจากคนขายแล้วส่งให้บราลีกับอาม่า บราลีก้มลงดูด
“ขอบใจจ๊ะ”
“สงสัยพี่รองเขาจะชอบพี่แน่ๆ ทุกทีไม่เห็นจะสนใจหนูขนาดนั้น”
“บ้านเรามีพี่น้องกี่คนเหรอ”
“จริงๆ หนูมีพี่สาวคนเดียว ชื่อเหม่ยอิง สวย เก่ง ดีกว่าหนูทุกอย่าง แต่หนูว่าสู้พี่บรีไม่ได้” บราลีหัวเราะ
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“จริงสิ วันหลังมาเที่ยวบ้านหนูนะ บ้านหนูมีตั้งสี่หลังนะ”
“โห...อยู่เข้าไปได้ยังไงตั้งสี่หลัง”
“ก็พ่อมีเมียตั้งสี่คน ก็เลยให้ไปอยู่กันคนล่ะหลัง ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าบ้านสี่ฤดู หนูกับแม่กับพี่เหม่ยอิงอยู่บ้านชิวเทียน แปลว่าฤดูใบไม้ร่วง”
“เหรอ...แปลกดีนะอยู่ด้วยกันได้ด้วย”
“พี่บรีล่ะ มีพี่น้องหรือเปล่า”
บราลีหันหน้าออกไปที่อ่าว นึก สายตาหม่นเศร้า หันกลับมาตอบอย่างร่าเริง
“ไม่มีหรอก มีแต่พ่อที่รักพี่มาก แต่ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรอกนะ พี่ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก”
“น่าอิจฉา หนูอยากไปเรียนบ้างจัง แต่คงไม่ได้ไปหรอก ที่บ้านไม่ค่อยมีใครสนใจหนูเท่าไหร่ จะมีก็แต่อาม่า” ผิงอันมองไปทางอาม่า “อ๋อ...แล้วก็พี่ชายใหญ่อีกคน ที่น่าคบที่สุดแล้ว ไว้วันหลังหนูจะแนะนำให้รู้จักนะ”
ผิงอันยิ้มให้บราลี บราลียิ้มกลับด้วยความเอ็นดู
ฉินเจียง เกาเฟย อาเหา ที่เดินตาม และคอยมองอยู่ห่างๆ บราลีหันไปมองให้เห็นเต็มตา บราลีเดินไปแอบกระซิบถามผิงอัน
“แล้วพี่ชายเธอคนเมื่อกี้ล่ะท่าทางแปลกๆ นะ”
“เขาไม่ใช่พี่แท้ๆ ของซายหมุยหรอก เป็นลูกของคุณนายที่สามที่เป็นคนอังกฤษน่ะ อาซายหมุยจะกลับกันได้รึยัง” อาม่าบอกแล้วถามผิงอัน ผิงอันหันไปมองเห็นฉินเจียงยังเดินตามมาอยู่ รู้สึกไม่ดี
“เดี๋ยวหนูค่อยเล่าให้ฟัง เรารีบกลับกันดีกว่า ไม่อยากฟังอาม่าบ่น ไป”
ผิงอันรีบพาเดินไปอย่างรวดเร็ว อาม่า และบราลีเดินตามมา
บ้านสี่ฤดู เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่สีขาว อาณาบริเวณกว้างขวาง ด้านหน้ามีสวน ต้นไม้ร่มรื่น มีหินสลัก และประติมากรรมต่างๆ วางเรียงราย ด้านหลังและด้านข้างมีตัวบ้านสร้างต่อออกไปอีกสี่หลัง
เหม่ยอิงที่ทำผมใหม่แล้ว สวยหรู ใส่เสื้อคลุม กดปิดโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด กางตรวจดูเล็บมือ ที่ทำเสร็จแล้วเรียบร้อย มีบ่าวหญิงในชุดเหมดใส่ถุงมือกำลังนั่งเก้าอี้เตี้ย ทาเล็บเท้าให้อย่างประณีตบรรจง คุณนายสี่เดินเข้ามา
“แม่ถามทุกคนแล้วลูก ไม่มีเด็กส่งของมาส่งอะไรให้ลูกทั้งนั้นล่ะจ้ะ เหม่ยอิง”
“ชุดนั้นไม่ได้ส่งมาให้ชั้นเหรอเนี่ย ดูสิ แล้วโทรไปเท่าไหร่ๆ ก็ไม่รับ อะไรของพี่ใหญ่เค้า ที่ออฟฟิศก็ไม่อยู่ ตกลงชั้นต้องไปเองคนเดียวจริงๆ ไม่มีการเซอร์ไพร้ซ์อะไรทั้งนั้นจริงๆ เหรอ”
“ที่จริง แม่ก็ชอบดูบัลเลท์เหมือนกัน ถ้าลูกไม่มีเพื่อน...”
เหม่ยอิงมองแม่หมิ่นๆ
“หนูไม่ได้จะดูบัลเล่ท์อย่างเดียว ดูเสร็จแล้วจะต้องไปซัพเพอร์มื้อดึกที่โฮเต็ลหรู แม่คงไม่อยากไปหรอกค่ะ มันไม่เหมาะกะแม่ หนูหมายความว่าแม่จะง่วงมาก”
คุณนายสี่อึ้ง สลด
ผิงอันกับอาม่าเดินกลับเข้ามาภายในห้องรับแขกของบ้านใหญ่ ดูกิ๊บอันใหม่กันไปมา พอหันมาเห็นพี่สาวก็ สะดุ้งโหยง
“อุ๊ย พี่เหม่ยอิง”
“ไปไหนกันมาล่ะ กลับเอามาป่านนี้ เหลวไหลขึ้นทุกวัน ทั้งนายทั้งบ่าว”
“ก็วันนี้...”
“ไม่ต้องมาเถียง ระวังเถอะ ทำตัวแบบนี้ก็ไม่ต้องไปเรียนต่อเมืองนอกก็แล้วกัน”
ผิงอันก้มหน้าสลด บ่าวทำเล็บเหม่ยอิงเสร็จพอดี
“คุณหนูสีเล็บสวยจัง จะไปไหนหรือคะ” อาม่าประจบถาม
“อาม่า...เดี๋ยวนี้ฉันจะไปไหนต้องรายงานเธอด้วยหรือไง”
อาม่าสลด เหม่ยอิงลุก บ่าวหญิงลุกตามเก็บของ ฉินเจียงเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“คุณชายรอง”
“แม่สี่”
ฉินเจียงมองเหม่ยอิงแบบไม่อยากยุ่งด้วย แต่เหม่ยอิงกลับหยุดมองอย่างหมิ่นๆ
“คุณชายรอง มีเวลามาเหยียบบ้านนี้ได้แล้วหรือ ควรไปพบแม่ใหญ่ซะบ้างนะ”
ฉินเจียงมองเหม่ยอิงหัวจรดเท้า
“บ้านนี้ทั้ง 4 หลัง อีกหน่อยก็เป็นของชั้น แม่ใหญ่อีกไม่นานก็ตาย แกก็เตรียมหาที่อยู่ใหม่ไว้ด้วยล่ะ”
เหม่ยอิงหัวเราะเยาะ ทำเสียงประชด
“ไท้เผ่งคนเก่งแห่งฉินเย่ว์กรุ๊ป มีความฝันอันสูงสุดคือขายสมบัติ...น่าภูมิใจจัง วันๆ ก็หาเรื่องทำแต่อะไรที่เสื่อมๆ โอ...พี่ชายรองของชั้น”
“แกไม่ต้องมานับชั้นเป็นพี่ก็ได้ คนอย่างแกมันก็แค่ลูกสาวเมียน้อย เป็นแค่ผู้หญิงไม่มีความหมายอะไรซักนิด อย่าสะเออะมาข่มทายาทตัวจริงของตระกูลจ้าวดีกว่า ชั้นจะทำอะไรเธอก็ไม่ต้องมาเกี่ยว”
“นึกว่าชั้นอยากเกี่ยวนักเหรอ ชั้นไม่อยากเป็นคนตระกูลจ้าวก็เพราะเธอนั่นหละ”
เหม่ยอิงสะบัด เดินเชิดสง่าขึ้นบันไดไป บ่าวหญิงหอบของตาม เพื่อไปช่วยแต่งตัวต่อ อาม่ามองตาม ส่ายหัว
ผิงอันก้มหน้านิ่ง ฉินเจียงเปลี่ยนหน้า เปลี่ยนอารมณ์กะทันหัน ยื่นตุ๊กตาหมีที่แอบหลังมาให้ผิงอันพร้อมกับยิ้มประจบ
“ผิงอันน้องรักของพี่ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แล้วเราไปรู้จักเขาได้ยังไงหรือจ๊ะ”
ผิงอันกลืนน้ำลาย ทำตัวไม่ถูก
จ้าวซันเดินวนๆ วุ่นวายใจที่ล็อบบี้ในโรงแรม ตอนนี้อาหลี่กับเต๋อเป่าเมื่อยแล้ว จึงนั่งกันแบบหมดแรง มองจ้าวซัน แล้วมองหน้ากันไปมา จ้าวซันเดินกลับมานั่ง ยกชาขึ้นจะจิบ พบว่าชาหมด วางถ้วยลง บริกรเดินเข้ามา
“รับชาอีกไหมคะ”
จ้าวซันมองหน้า อึ้งๆ แล้วดูนาฬิกา พอเงยหน้ากลับขึ้นมาก็เห็นบราลีถือถุงเล็กถุงน้อย เดินเข้ามาทางประตูหน้าของโรงแรม ท่าทางของบราลีดูสบายๆ สดใส น่ารัก บราลีเดินตรงไปยังลิฟต์ของโรงแรม จ้าวซันตกตะลึงครู่นึง แล้วได้สติ
“เอ่อ...ไม่...ไม่ครับ ขอบคุณ”
จ้าวซันรีบลุกขึ้น มีอาการลังเล ประหม่าอย่างที่ใครไม่เคยเห็นมาก่อน จ้าวซันดึงเสื้อสูทและจัดเนคไทให้เรียบร้อย จากนั้นก็รีบเดินตามไป อาหลี่ เต๋อเป่า หันมามองกัน โล่งอก
บราลีเอื้อมมือไปกดปุ่มขึ้นที่ลิฟต์ จ้าวซันเดินมาอย่างรวดเร็วจากล็อบบี้ หลบเบลบอยที่กำลังลากรถขนกระเป๋ามาจากอีกทาง และแขกที่เดินไปเดินมาอยู่แถวนั้นอย่างคล่องแคล่ว ประตูลิฟต์กำลังเปิด บราลีเดินเข้าไป หันหลังกลับมา ลิฟต์กำลังจะปิดจ้าวซันเห็นก็รีบวิ่งไปกดปุ่มไว้
ประตูลิฟต์กำลังจะปิดแต่กลับเปิดออกอีกครั้ง จ้าวซันเอื้อมมือกดไว้จากด้านนอก แล้วรีบแทรกตัวเข้ามา
ประตูลิฟต์ปิดสนิท บราลีอยู่กับจ้าวซันสองคนในนั้น!!
อ่านต่อตอนที่ 2