วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 10
เวลานั้นที่หน้าโรงแรม มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา อสุนีอยู่ในชุดยีนส์ มีแจ็คเก็ตแบบฮิพฮอพ สวมหมวกแก๊ปและสะพายเป้ใบใหญ่ข้างหลัง รองเท้าผ้าใบหุ้มข้อ เดินมาหยุดหน้าโรงแรม มองขึ้นไปที่ป้ายโรงแรมเทียบกับกระดาษที่อยู่ในมือ พยักหน้าเบาๆ อสุนีเก็บกระดาษใส่เป้ แล้วรีบเดินเข้ามาด้านในโรงแรมทันที
อสุนีชะงักกับประตูอัตโนมัติ และตื่นตาตื่นใจกับความหรูหราข้างใน อสุนีเดินผ่านที่มุมนึงของล็อบบี้ในส่วนที่มีการแสดงนิทรรศการคีรีรัฐไป อสุนีเห็นด้วยหางตาจึงถอยหลังกลับมา หันรีหันขวาง แล้วรีบเข้าไปดูอย่างสนใจ
อสุนีเดินดูนิทรรศการนั้นไปมารอบๆ หน้าขรึมเครียด เห็นรูปศิขรนโรมที่อยู่ในนิทรรศการ ตรงเข้าไปดู ชื่นชม ขณะดูไปเรื่อยๆ อสุนีก็ทำตัวแบบแอบๆ ลับๆ ล่อๆ ชะเง้อดูโน่นนี่ กลัวคนที่มากับคณะคีรีรัฐจะมาเจอ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มผู้หญิงผู้ชายพุ่งตรงออกมาจากในงานเพื่อมาดูนิทรรศการ
“นี่ๆ อยู่นี่ไง”
“ไหนๆ”
อสุนีตกใจ ดึงหมวกปิดหน้า รีบก้มหน้าก้มตาหาทางหลบออกไป
“รูปนี้ไง รูปนี้ ที่ฉันบอกว่าสวย น่าไปเที่ยวกันนะเธอ”
“จริงด้วยๆ”
อสุนีเดินทะเล่อทะล่าชนซุ้มดอกไม้ หันซ้ายหันขวา รีบจัดให้เข้าที่ อสุนีพยายามชะเง้อเข้าไปดูในงาน ทำตัวดูแปลกแยกกว่าคนในโรงแรมทั่วไป มีผู้คนเดินผ่านมามองจ้องอสุนี อสุนีรีบหลบตา ประหม่า และรีบเดินหลบไปอีกทางไม่กล้าสบสายตา
รปภ.คนหนึ่ง แอบจับตาดูอสุนีอยู่นานแล้ว รีบหยิบเอาว. ขึ้นมาแอบพูดเบาๆ
“พบผู้ต้องสงสัยหน้างาน ทุกคนเตรียมพร้อม ทราบแล้วเปลี่ยน”
อสุนียังเหลียวหน้าแลหลัง ดูมีพิรุธ กำลังจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างในงาน
จ้าวซันพยายามอุ้มประคองร่างศิขรนโรดมให้ขึ้นมาอยู่บนโซฟาอย่างทุลักทุเล จ้าวซันประคองให้ศีรษะของศิขรนโรดมนอนพาดกับพนักพิงอย่างทะนุถนอม ศิขรนโรดมขยับ เริ่มรู้สึกตัวเล็กน้อย จ้าวซันเอาผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋า รีบเดินไปที่เหยือกน้ำ รินน้ำใส่ผ้าเช็ดหน้าของตนแล้วกลับมาที่ศิขรนโรดม จ้าวซันเอาผ้าเช็ดชุบน้ำเช็ดหน้าศิขรนโรดมเบาๆ
ศิขรนโรดมค่อยๆ ฟื้น ลืมตาขึ้นช้าๆ จึงเห็นใบหน้าจ้าวซันมองดูด้วยความเป็นห่วง จ้าวซันเห็นศิขรนโรดมรู้สึกตัวก็โล่งใจ ยิ้มกว้าง
“เจ้าน้อง ได้ยินว่าป่วย คงยังไม่หายดีสินะ”
ศิขรนโรดมเอื้อมมือมาจับแขนจ้าวซันที่กำลังเช็ดหน้าออก แล้วจะรีบลงไปนั่งกับพื้นข้างล่าง
“ขอบพระทัยเจ้าพี่”
จ้าวซันประคองตัวไว้ไม่ให้ศิขรนโรดมขยับไปไหน
“วางองค์ตามสบายเถิด รู้สึกพระองค์ดีขึ้นหรือยัง”
“รับสั่งกับหม่อมฉันเหมือนเดิมก็ได้พะยะค่ะ ไม่ต้องทรงมีพิธีรีตอง”
“เจ้าน้องก็เช่นกัน”
ทั้งคู่มองหน้ากันอีกครั้ง มองเหมือนให้หายคิดถึง แล้วเอ่ยชื่อออกมาพร้อมกัน
“ศิขรนโรดม”
“น่านปิงนรเทพ”
ทั้งสองต่างขำกันเอง หัวเราะออกมา
ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนกลับมาอีกครั้ง ป่าดิบชื้นที่คีรีรัฐในอดีต มีต้นไม้ใหญ่สีเขียวชอุ่มมากมายกว่าปัจจุบัน ภูเขาเรียงรายเป็นทิวสวยงาม ศิขรนโรดมในวัย 7 ขวบอยู่ในชุดลำลองยืนที่หน้าผา ข้างหน้าคือเหวลึก แล้วป้องปากตะโกน
“น่านปิงนรเทพพพ วู้” เสียงเล็กใสกังวานสะท้อนไปทั้งหุบเขา “น่านปิงนรเทพพ...พี่อยู่หนายย”
น่านปิงนรเทพในวัย 8 ขวบที่มอมแมมไม่แพ้กัน โผล่พรวดขึ้นมาจากโขดหินอีกก้อน ยิ้มกว้าง
“ศิขรนโรดมมม ข้าอยู่นี่”
เด็กทั้งสองสนุกกับเสียงสะท้อนที่ก้องไปทั้งหุบเขา หันมาหัวเราะกัน เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังสะท้อนกลับไปกลับมา
“ไป รีบไปเรียนกันได้แล้ว ไปสายเดี๋ยวโดนครูเอ็ดเอาอีก” น่านปิงนรเทพบอกพร้อมกับเดินนำไป
“ทำไมจะต้องเรียนก็ไม่รู้ ไม่เห็นสนุกเลย สู้ไปเล่นอย่างอื่นก็ไม่ได้”
“ต้องเรียนสิ วิชาเป็นสิ่งสำคัญ เธอเป็นเจ้าชาย เธอต้องรู้ อยากเป็นเจ้าชายโง่ๆ เหรอ”
ศิขรนโรดมทำปากเบ้ ส่ายหัว
“เป็นเจ้าชายก็จริง แต่เจ้าพี่เป็นรัชทายาทนะ อีกหน่อยก็เป็นเจ้าหลวง ไม่ใช่หม่อมฉันสักหน่อย”
“พี่เป็นเจ้าหลวง เธอก็ต้องเป็นอุปราช ถ้าเธอไม่รู้เรื่องจะช่วยพี่ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเธอก็ต้องเรียนรู้ให้มากเท่าพี่”
กลับมาปัจจุบัน ทั้งสองต่างมองกัน ทึ่งๆ ประทับใจ
“หม่อมฉันคงตื่นเต้นดีใจมากเกินไป นานมากแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน”
“ขอโทษ ที่พี่จากมาโดยไม่ได้บอกกล่าว”
“หม่อมฉันต่างหาก ที่ต้องขอประทานอภัย ที่ไม่อาจ...”
“องค์เจ้าหลวงและพระเทวีทรงสบายดี”
ศิขรนโรดมมองหน้าจ้าวซัน รีบลุกขึ้นจากโซฟา แต่หน้ามืด ยืนทรงตัวไม่ได้ ร่วงล้มลงไปอีก จ้าวซันรับไว้ทัน ประคองแบบเก้กัง มิถิลาเปิดประตูเข้ามาเห็นพอดี
“ทรงทำอะไรองค์รัชทายาทน่ะ”
“เจ้าน้องทรงเป็นลม”
มิถิลารีบวิ่งเข้าไปปัดมือจ้าวซันออก แล้วรีบประคองศิขรนโรดมแทน
“ฝาบาทไม่เคยเป็นลมมาก่อน ท่านทำอะไรองค์ชายของเรา”
มิถิลาประคองศิขรนโรดมนั่งลงบนโซฟา
“มิถิลา” ศิขรนโรดมยังไม่ได้สตินัก
ภูสินทรรีบพุ่งเข้ามาจากประตู
“เกิดอะไรขึ้น”
“องค์ชายทรงเป็นอะไรไม่รู้”
มิถิลามองหน้าจ้าวซัน ภูสินทรมองตาม
“ไม่มีอะไร แค่หน้ามืดไปเท่านั้น” จ้าวซันบอก
ภูสินทรพยักหน้า และรีบเข้าไปดูศิขรนโรดม ควักยาดมออกมาจากกระเป๋า ยื่นส่งไปที่จมูกศิขรนโรดม มิถิลามองระแวง รีบฉวยเอายาดมมาจากมือภูสินทร
“อะไรน่ะ”
“ยาดมไงล่ะ องค์ชายจะได้รู้สึกดีขึ้น”
มิถิลาเอาขึ้นมาดม เบ้หน้าเพราะความฉุน และเขวี้ยงไป
“ทุกคนออกไปก่อน” บราลีเดินเข้ามาพอดี ชะงัก มิถิลาเห็นบราลี “ถอยออกไปทุกท่าน ไม่ต้องเข้ามา เราดูแลองค์ชายเอง”
“อะไรกัน”
มิถิลามองบราลีหัวจรดเท้า
“เจ้าคือใคร สวมเสื้อผ้าและเครื่องประดับเยี่ยงเจ้านางชั้นสูงในราชสำนัก แต่ไม่ใช่คนคีรีรัฐ แบบนี้มันมีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝง”
“เกินไปแล้วนะ ในห้องนี้มีแต่คนที่จงรักภักดีด้วยกันทั้งนั้น”
“มีอะไรพิสูจน์ได้ ทุกคนคือผู้ที่มีความแค้นต่อเจ้าหลวงทั้งสิ้น”
มิถิลาแอบชำเลืองมองไปทางจ้าวซัน
“กล้าดียังไงถึงพูดแบบนี้”
“ม่านฟ้า” จ้าวซันปรามบราลี
ศิขรนโรดมขยับตัว ได้สติขึ้นมา ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“ฉันแน่ใจว่าในห้องนี้ คุณชายจ้าวซันคือคนที่รักและภักดีต่อองค์ศิขรนโรดมมากที่สุด และก็ไม่มีวันที่จะคิดไม่ดีต่อองค์ชายโดยเด็ดขาด” บราลีบอก
“คุณก็พวกเดียวกันทั้งนั้น”
ภูสินทรโกรธ ลุกขึ้นจะเดินไปหามิถิลา
“สามหาวเกินไปแล้ว นังนี่...เดี๋ยวเถอะ”
จ้าวซันรีบยกมือขึ้นปรามไว้ ค่อยๆ เดินเข้าไปหามิถิลา
“ผมเข้าใจนะว่าคุณเป็นห่วง...”
ทันใด มิถิลาควักปืนสั้นออกมา
“ถอยไป ทุกคนออกจากห้องไปให้หมด นี่เป็นคำสั่ง”
ศิขรนโรดมมองมิถิลา ยังงงๆ อยู่ จ้าวซันมองมิถิลาอึ้ง บราลีมองจ้าวซันด้วยความเป็นห่วง
ภายในห้องจัดงาน ราชิดและโกศิน ชนแก้วกับฉินเจียงด้านนึง พวกทหารคีรีรัฐอื่นๆ ยืนรุมปรึกษาอะไรกัน งงๆ ซุบซิบ เครียดๆ มีปัญหาบางอย่าง
“องค์ชายหายไปไหน”
“แน่ใจหรือว่าคนของทางโรงแรมถวายการดูแลอยู่ ไม่ใช่ว่า...”
“ทหารของพวกคุณ มีปัญหาอะไรกันหรือ” ฉินเจียงถามอย่างแปลกใจ
“อ๋อ เปล่าๆๆ คง อยากกลับบ้านกันเต็มทีแล้วนั่นแหละ”
“องค์ชายของพวกท่านล่ะ ยังไม่หายประชวรอีกหรือ ป่านนี้ยังไม่เสด็จออกเสียที”
ราชิด โกศิร มองหน้ากัน อึกอัก อ้ำอึ้ง
“ทรง...ยังแต่งพระองค์ไม่เสร็จมากกว่า แต่ก็น่าจะประทับอยู่แถวๆ นี้”
“ยังไม่มีใครเห็นเลยหรือ” โกศินเป็นกังวล
“คงประทับอยู่กับ เจ้ามินองครักษ์ประจำพระองค์นั่นแหละ”
“หมายความว่ายังไง พวกท่านไม่ทราบหรือ ว่าพระองค์จะเสด็จออกมาเมื่อไหร่”
“ทำไมจะไม่ทราบ ก็บอกแล้ว ว่ายังแต่งพระองค์ไม่เสร็จ”
“แต่ทรงพระอนามัยดีพร้อมที่จะเสด็จกลับคีรีรัฐพรุ่งนี้เช้าใช่ไหม อย่าลืมสิครับ ว่าของๆ พวกเรา ไม่ควรจะตกค้างอยู่ในฮ่องกงนานเกินไป”
“ทำไม มีใครระแคะระคายอะไรหรือ ไท้เผ่ง”
“เปล่า แต่พี่ชายของผมชักจะสงสัยอะไรนิดหน่อย คือพี่ชายผมเขา ชอบยุ่งเรื่องธุรกิจของผม เขาชอบขัดแข้งขัดขาผมเรื่อย ไม่มีอะไรก็อิจฉานั่นแหละ”
“พี่ชายคุณประสบอุบัติเหตุไม่ใช่เหรอ เขาหายดีแล้วเหรอ”
“เออ นั่นสิ เรายังไม่เคยเห็นหน้าเขาเลย”
ซูหลิงแอบมองฉินเจียงขรึมๆ ห่วงๆ ผู้กองเหลียงโฉบเข้ามา
“แปลกนะครับ ดูไท้เผ่งสนิทสนมกับพวกทหารต่างชาตินี้มาก ไม่ทราบรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ” ผู้กองเหลียงถาม ซูหลิงดูมีพิรุธทันที
“ไม่นะคะ ไม่...ไม่รู้จักอะไรกันเลย แต่...ไท้เผ่งเค้าเป็นคนที่ชอบรับแขกบ้านแขกเมืองน่ะค่ะ”
ผู้กองเหลียงมองซูหลิงอย่างสงสัย เหม่ยอิงเดินมาเลียบๆ เคียงๆ แล้วเข้ามาได้ยินพอดี
“ใช่ค่ะ พี่ชายรองของดิฉันเป็นคนมนุษยสัมพันธ์ดีมาก พวกเราภูมิใจในตัวเขามาก เห็นเขาคุยกับท่านนายพลสองคนนั่นแบบนี้ ดิฉันก็ขอทำนายเลยว่าอีกไม่นาน เขาจะต้องล่มหัวจมท้ายด้วยกันแน่ๆ ค่ะ” เหม่ยอิงหัวเราะเยาะ
“ล่มหัวจมท้ายหรือครับ แปลว่าอะไรครับ”
ซูหลิงมองอย่างระแวง
“อ๋อ ดิฉันหมายถึง การลงทุนในประเทศนั้น หรือการลงหุ้นส่วนทำธุรกิจข้ามชาติอะไรซักอย่างน่ะค่ะ ว่างั้นไหมจ๊ะ ซูหลิง”
คุณนายหวังเข้ามา
“เหม่ยอิง คุณชายจ้าวหายไปไหนซะล่ะ แล้วแม่ เอ๊ย...คุณบราลีแสนเก๋คนนั้นก็หายไปด้วยกัน คุณไม่ควรจะปล่อยให้คลาดสายตาไปนะคะ”
“พี่ชายใหญ่ของชั้น เขาเป็นคนที่ใครๆ ก็คาดเดาไม่ได้เสมอแหละ”
“จริงครับ ผมเห็นด้วย คุณชายจ้าวซัน ช่างเป็นคนที่ทำให้ผมเซอร์ไพรซ์ได้เสมอเลยล่ะครับ”
เหม่ยอิงฝืนยิ้ม ปวดใจ แล้วหัวเราะออกมาแบบไม่มีเหตุผล พอดีบริกรถือถาดเครื่องดื่มผ่านมา รีบหยิบมาหนึ่ง แก้ว แล้วกระดกรวดเดียวหมด ผู้กองเหลียง คุณนายหวัง และซูหลิง มองแบบแปลกใจ
มิถิลาถือปืนหันไปทางทุกคนที่อยู่รอบห้อง แล้วค่อยๆ เดินเข้าไปประคองศิขรนโรดมที่นั่งอยู่บนโซฟา
“ทรงได้สติแล้ว เชิญเสด็จข้างนอกดีกว่า”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
จ้าวซันค่อยๆ เดินไปหามิถิลา
“ไม่มีอะไร ทรงวางพระทัยได้ พอดีน้องทหารคนนี้เขาเข้าใจผิดนิดหน่อย”
จ้าวซันทำเนียนๆ เดินเข้าไปใกล้ๆ ทันใดนั้นก็รีบไปคว้าปืนจากมือมิถิลา มิถิลาไหวตัวทัน รีบชักมือกลับ จ้าวซันคว้าพลาด รีบเข้าไปแย่งต่อ ทั้งคู่ประมือกันชุดใหญ่ โดยใช้เพลงมวยคีรีรัฐ
“มิน...พอได้แล้ว”
จ้าวซันรุกเขยิบเข้าไปเรื่อยๆ จนมิถิลาไม่มีที่ยืน มิถิลาจึงกระโดดข้ามโซฟาที่ศิขรนโรดมนั่งอยู่ไปอีกทาง
“ขออภัยฝ่าบาท”
จ้าวซันรีบอ้อมเดินตามไป ภูสินทรจะยื่นมือเข้ามาช่วย
“ไม่ต้อง เราเอง”
บราลียืนมองการต่อสู้แบบคีรีรัฐ อย่างตื่นตาตื่นใจ จ้าวซันเข้ามาซัดไปที่ข้อมือของมิถิลาจนปืนหลุดมือ ร่วงลงมา มิถิลาใช้อีกมือปัดให้ปืนลอยขึ้นมาอีก จ้าวซันเอื้อมมือเข้าไปแย่ง มิถิลาปัดมือจ้าวซันออก ปืนร่วงลงพื้น จ้าวซันเตะปืนไปทางที่บราลียืนอยู่
“เก็บไว้”
บราลีก้มลงไปเก็บ มิถิลาพุ่งตัวรีบเข้าไปแย่งจากมือบราลี
“ปล่อยสิ”
จ้าวซันรีบตามมิถิลาไป มิถิลาจะยกเท้าขึ้นเตะจ้าวซัน ศิขรนโรดมรีบกระโดดเข้ามาขวาง
“มิถิลา! หยุดเดี๋ยวนี้นะ”
มิถิลาชะงัก ชักเท้ากลับ จ้าวซันชะงัก
“มิถิลา ชื่อผู้หญิงนี่ หรือว่า...”
“รีบกราบขอพระราชทานอภัยต่อองค์น่านปิงนรเทพเดี๋ยวนี้”
ศิขรนโรดมรีบเดินเข้ามาขวาง สั่งอย่างดุๆ และมองมิถิลาอย่างโกรธๆ มิถิลาหงุดหงิดไม่พอใจ เมินหน้าหนี ฮึดฮัดๆ บราลีก้มลงไปเก็บปืนแล้วส่งให้จ้าวซัน
“นี่ค่ะ”
บราลีมองมิถิลาและจ้าวซัน งงๆ
ขณะนั้นอสุนีเดินดุ่มๆ เข้าไปทางที่จัดงาน ตามที่บอกไว้ในบอร์ดนิทรรศการ รปภ.ตามไปห่างๆ ทันใดนั้นหมวดเจียง จ่าหมง โผล่มาจากคนละมุม เข้าประกบ
“เฮ้ ยู”
“ไฮ...มาทางนี้ครับ กรุณาให้ความร่วมมือด้วย”
“มีปัญหาอะไร”
“คุณจะไปที่ไหนครับ”
“ผมเป็นชาวคีรีรัฐ ทราบว่าองค์ชายของประเทศผมเสด็จมาที่นี่ ผมก็อยากไปชมพระบารมี ไม่ได้หรือครับ”
“งั้น ขอดูไอดีการ์ดหน่อยสิครับ”
“พาสปอร์ต หรือใบทำงาน หรือใบต่างด้าว ถ้ามี”
อสุนีอึ้ง งงงัน ซีดเผือด อเล็กซ์เดินมาเห็นพอดี
“อะไรมีอะไรกัน”
“ชายคนนี้บอกว่าเขาเป็นคนคีรีรัฐ จะเข้าไปในงาน แต่ไม่น่าไว้วางใจ”
“ต้องเป็นไอ้พวกก่อการร้ายแน่ๆ ดูหน้าก็รู้” อเล็กซ์เข้ามากระชากคออสุนี “ไหน เอามาซิ แกมีอะไรในนี้” อเล็กซ์กระชากเป้มา ค้นๆๆ อสุนีผงะ ตกใจ โกรธ
มิถิลาก้มกราบเท้าจ้าวซันอย่างกระด้างกระเดื่องเห็นได้ชัด ยังมองแบบไม่ยอมไว้ใจ
“หม่อมฉันขอประทานอภัยที่ล่วงเกินฝ่าบาท”
จ้าวซันมองอย่างคลางแคลง
“ลุกขึ้นเถอะ เราไม่ถือเจ้าหรอก ดีเสียอีกที่ได้รู้ว่ามีคนที่จงรักภักดีต่อเจ้าน้องถึงเพียงนี้”
มิถิลาค่อยๆ ลุกขึ้น และถอยไปยืนข้างๆ ศิขรนโรดม
“ขอบพระทัย”
ศิขรนโรดมอึดอัดใจ
“มิถิลา แท้จริงเป็นหญิง นางคือนางกำนัลของเจ้าแม่ และนางคือธิดาของจอมพลราชิด”
ทั้งจ้าวซัน ภูสินทร แทบสะดุ้ง
“ฝ่าบาท นี่มันเรื่องราวอะไร”
“หม่อมฉันเข้าใจ ว่า...มันคือเรื่องที่เข้าใจได้ยากสักหน่อย แต่มิถิลาเลือกอยู่ข้างน้อง เธอเสี่ยงชีวิตเพื่อหม่อมฉันมาแล้ว ในประเทศไทย” ศิขรนโรดมบอกจ้าวซัน
“นึกไม่ถึงว่าลูกสาวของราชิดจะโตขึ้นมากและเก่งกาจขนาดนี้ นับว่าน้องเราตาถึงไม่เบา” มิถิลาสะบัดหน้า
“เอ่อ เจ้าพี่ คือ...ไม่ใช่อย่างนั้น” มิถิลาผงะ
“เราก็ไม่ได้หมายความอยากนั้นสักหน่อย เราว่าเจ้าตาถึงที่เลือกมิถิลามาเป็นทหารคนสนิทต่างหาก”
“ทั้งหมด คือพระกรุณาของเจ้าแม่ ทรงจัดการให้ทุกสิ่ง” มิถิลาขมวดคิ้ว
บราลีสบตากับภูสินทรซีเรียส อย่างไม่ตั้งใจ
“ช่วงเวลาอย่างนี้เราไม่ควรจะมาขัดแย้งกันเองแล้ว เรามีเวลาเหลือไม่มากนัก”
“เรื่องสำคัญที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่อยู่ในตอนนี้ ที่หม่อมฉันอยากทูลให้เจ้าพี่ช่วยคือการลักลอบซื้ออาวุธสงคราม”
“เจ้าน้องก็ทราบ”
“มิถิลาคือคนที่บอกให้น้องทราบว่าท่านราชิดกับพวก...”
จ้าวซันหันมองหน้ามิถิลา เกรงใจว่าควรจะพูดดีหรือเปล่า
“หม่อมฉันไม่เคยเห็นด้วยกับเรื่องนี้ อย่าทรงทอดเนตรหม่อมฉันเช่นนั้น”
ทั้งหมดมองหน้ากันไปมา เครียด
“เจ้ามิน พอเถอะ”
“ถ้าเจ้าน้องรู้แล้ว ก็ดี พี่จะได้ทำงานสะดวกขึ้น”
“เจ้าพี่ทรงทราบหรือไม่ ว่ามันใช้เครื่องบินที่เช่ามาให้เป็นเครื่องส่วนตัวของน้อง เป็นพาหนะขนอาวุธ”
จ้าวซัน ภูสินทร บราลีต่างตกใจ
ที่ห้องจัดงาน เทเรซ่าหน้าตาจริงจัง เดินมาโผล่มุมงาน เทเรซ่ามองหาพวกทหารคีรีรัฐแล้วเดินจะเข้าไปหาเหม่ยอิงเห็น รีบปรี่เข้าไป
“เทเรซ่า พี่ชายใหญ่ กับอีนังแพศยาอยู่ไหน”
“เอ่อ คุณเหม่ยอิงคะ”
“บอกมา เค้าอยู่ไหน”
“คุณ กรุณาช่วยรับแขกอยู่ตรงนี้ก่อน”
“เธออวดดียังไง กล้ามาใช้งานฉัน”
“ไม่ใช่ดิฉันค่ะ แต่เป็นคุณชายจ้าวซัน ขอร้องให้คุณ ช่วยดูแลงานนี้ให้ท่านด้วย ท่านมีธุระด่วนที่ต้องทำ”
“ธุระด่วนอะไร ขึ้นห้องไปกะอีนังแต่งชุดพื้นเมืองนั่นน่ะเหรอ”
“ดิฉันขอร้องล่ะค่ะ” เทเรซ่ามองอย่างหนักใจ คุณนายหวังเห็นท่าทาง เดินเข้ามาหา
“มีอะไร เหม่ยอิง”
“ไม่มีอะไร”
เทเรซ่า คุณนายหวัง มองตามเหม่ยอิงอย่างหนักใจ แล้วเทเรซ่าก็ตัดใจ รีบเดินไปหาทางพวกราชิด-ฉินเจียง
“เอ่อ คุณชายรองคะ ขอโทษนะคะ ท่านราชิดและท่านโกศินคะ องค์ชายศิขรนโรดมให้ดิฉันมาเชิญท่านทั้งสองไปพบค่ะ”
“ไปพบ ประทับอยู่ที่ไหน”
“ห้องรับรองส่วนพระองค์ ข้างหลังนี้แหละค่ะ”
“ทรงมีปัญหาอะไรหรือ”
“ค่ะ ทรงอยากจะปรึกษาท่านทั้งสอง...ด่วนค่ะ” ฉินเจียงมอง แปลกๆ ใจ ราชิด โกศินสบตากัน แล้วพยักหน้า
“เชิญค่ะ” พวกทหารอื่นเห็น รีบตามมาสมทบ “เอ่อ...ท่านอื่นๆ กรุณารอที่นี่นะคะ องค์ชายทรงมีพระประสงค์ จะคุยราชการลับกับท่านนายพลทั้งสองเท่านั้นค่ะ”
ทุกคนลังเล
“รออยู่นี่ ถ้ามีอะไรจะเรียก”
ราชิดบอก ทุกคนจำยอม
“เร็วๆ เถอะค่ะ” เทเรซ่ารีบนำไป ราชิด โกศินรีบตาม ฉินเจียงมองตาม งง ชักไม่สบายใจ หันมามองซูหลิง ซูหลิงรีบเดินมาหา
เทเรซ่าเปิดประตูห้องรับรองนำพวกราชิดและโกศินเข้าไปในห้องนั้น จ้าวซันนั่งหันหลังอยู่บนเก้าอี้หมุนตัวใหญ่ มีโต๊ะประชุมยาวตั้งขวางอยู่กลางห้อง
“จอมพลราชิดและนายพลโกศินมาแล้วค่ะ”
“ขอบคุณมากเทเรซ่า”
เทเรซ่าปิดประตู เดินออกไป จ้าวซันยังไม่หันเก้าอี้กลับมา ราชิดกับโกศินเดินไปนั่งที่โซฟา มองหน้ากันงงๆ สงสัย
“ฮ่องกงเป็นอย่างไรบ้างครับ”
“ก็ เอ่อ...อากาศดี อาหารอร่อยมาก แล้วองค์ชายล่ะ อยู่ที่ไหน”
“เทียบกับคีรีรัฐล่ะครับ” จ้าวซันถามต่อ
“ก็ ไม่เหมือนกัน ตอบลำบาก เทียบกันไม่ได้ องค์ชาย...”
“ถ้าเลือกได้ อยากได้ที่ไหนมากกว่ากันครับ”
“หมายความว่ายังไง”
“ขอโทษครับ ภาษาอังกฤษผมไม่ดี อาจทำให้คุณเข้าใจผิด เดี๋ยวผมถามเป็นภาษาคีรีรัฐก็ได้” จ้าวซันค่อยๆ หมุนเก้าอี้หันหน้ามาช้าๆ “ถ้าเลือกได้ อยากครอบครองที่ไหนมากกว่ากันหรือครับ เกาะฮ่องกงหรือนครคีรีรัฐ” ราชิดและโกศินเห็นจ้าวซันครั้งแรก ตะลึง ตกใจตาค้าง มองหน้ากันไปมา “ไม่ได้เจอกันซะนานนะครับ เผลอแป๊ปเดียวเป็นถึงจอมพลแล้ว ยิ่งใหญ่น่าดู”
“แก”
“ผม...จ้าวซัน เจ้าภาพงานนี้ไงครับ”
“จ้าวซัน”
“นี่หรือ จ้าวซัน ทำไมอวดดีนัก”
“เดี๋ยว นี่มัน ทำไมชั้นถึงรู้สึกว่า...”
“คุ้นหน้าหรือ ราชิด หน้าชั้นคงเหมือนเจ้าหลวงพีริยเทพหรือพระเทวีศุลีมานบ้างล่ะ”
“หา”
“ยี่สิบปีมานี่ ทุกคืนนอนหลับสบายกันดีไหมครับ”
“น่านปิงนรเทพ”
“แปลกนะที่คุณยังจำผมได้ สงสัยเราคงมีภาพติดตาเหมือนๆ กัน”
ภาพเหตุการณ์ในอดีตหวนกลับมา น่านปิงนรเทพซบหน้าแนบที่ไหล่ของภูสินทร น่านปิงนรเทพมองด้านหลัง ไกลออกไปเห็นยอดปราสาทเป็นสีทองหม่นๆ น่านปิงนรเทพนัยน์ตาเศร้า แต่แล้วก็ตกใจ นัยน์ตาเบิกโพลงเมื่อเห็นทหารอีกคน โผล่จากพุ่มไม้ด้านหลัง กำลังเล็งธนูมาทางนี้
“ระวัง”
ไม่ทันสิ้นเสียง ภูสินทรก้มตัวหลบไปอีกทาง พร้อมวางน่านปิงนรเทพไว้แล้วผลักให้กลิ้งไปที่พงหญ้าใกล้ๆ อินปงซึ่งรุดหน้าไปก่อนแล้วหยุด หันกลับมามอง ภูสินทรชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อม
“รีบไป! ทางนี้ข้าจัดการเอง”
น่านปิงนรเทพลุกขึ้นมาหลบหลังต้นไม้ แอบดูอยู่ห่างๆ ราชิดและโกศินเดินออกมาจากกลุ่มทหารนั้น
“ไอ้ราชิด ไอ้โกศิน”
“บังอาจ! เจ้าเรียกท่านผู้พันราชิดว่ากระไร”
“ไอ้ราชิด ไอ้กบฏ”
“ฆ่ามัน”
ทหารทั้งหมดเข้าไปรุมต่อสู้กับภูสินทร ภูสินทรมีความสามารถในการต่อสู้ดีกว่า ฟันทหารร่วงลงไปสองสามคน แต่ทหารมีจำนวนมากมายนัก
“หนีไปๆ”
ภูสินทรพยายามต่อสู้ถ่วงเวลาไม่ให้ทหารตามอินปงและน่านปิงนรเทพต่อไปได้ อินปงรีบตะโกนเรียกน่านปิงนรเทพ
“องค์ชาย เร็ว...ทางนี้”
น่านปิงนรเทพเดินกระเผลกเจ็บปวด แล้วแข็งใจฝืนวิ่งตามอินปงไป ปล่อยให้ภูสินทรต่อสู้อยู่คนเดียว น่านปิงนรเทพหันกลับไปมองเห็นภูสินทรต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย และเห็นว่าภูสินทรก็โดนฟันตามลำตัวและแขนอยู่หลายแผล จวนเจจะล้มลง แต่ก็ฮึดลุกขึ้นสู้ต่อ
ปัจจุบัน ราชิด โกศินถอยไปติดกันโดยอัตโนมัติ หน้าซีดสุดๆ เหมือนผีหลอกจ้าวซันลุกยืนอย่างสง่า
“ถึงตอนนี้คุณคงนึกเสียใจสินะที่ปล่อยให้ผมหลุดมือไปได้วันนั้น”
“แก...พระองค์...ฝ่าบาท... ต้องการอะไร...” ราชิดตะกุกตะกักถาม
“ผมต่างหากที่ควรจะถามพวกคุณ ต้องการอะไร ยังไม่พออีกเหรอ”
“แก... แกทำอะไรองค์รัชทายาท แกเอาองค์รัชทายาทไปไว้ไหน”
“ไม่ได้ทำอะไร อย่าคิดว่าทุกคนจะเหมือนคุณสิ”
“ออกไปตามทหารข้างนอกมาเร็ว”
โกศินรีบลุกไป ทำตามคำสั่งราชิด โกศินไปที่ประตู พยายามเปิด แต่เปิดไม่ออก เหมือนถูกล็อคจากด้านนอก
โกศินหันกลับมาหน้าเสีย
“องค์ชายสบายดีไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้ถ้าจะเป็นห่วง ห่วงชีวิตตัวเองก่อนน่าจะดีกว่า”
ราชิด โกศินมองหน้ากัน หวาดๆ
มุมหนึ่งภายในห้องจัดงานพวกทหารคีรีรัฐกำลังจับกลุ่มคุยกัน สงสัย
“พวกเราจะเอายังไงกันดี”
“องค์ชายหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้ท่านราชิดกับโกศินก็มาหายตัวไปอีก”
“พวกเราเกาะกลุ่มกันไว้แบบนี้นะ”
“ใช่ๆ ไม่งั้นเดี๋ยวโดนลักพาตัวไปกันหมดแน่”
“น่ากลัวจริงๆ”
ทหารอีกคนรีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“เฮ้ยๆๆ โทรศัพท์มือถือของท่านราชิด กดแมสเสจสัญญาณด่วนเข้ามา”
“ต้องมีเรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นแน่ๆ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงฮือฮา แขกหลายคนลุกขึ้นจากเก้าอี้ ชะเง้อมอง บราลีในชุดสวยงามเดินนำเสด็จ ศิขรนโรดมและมิถิลาออกมา มีเทเรซ่าคอยเดินคุมคิวอยู่ห่างๆ
“เชิญเสด็จทางนี้เพคะ”
ศิขรนโรดมเดินเคียงคู่มากับมิถิลา ใบหน้ามิถิลาดูกังวลและกลัดกลุ้ม ในขณะที่ศิขรนโรดมพยายามฝืนยิ้มให้กับแขกทุกคน
“ไม่รู้ว่าองค์ชายน่านปิงนรเทพจะจัดการกับบิดาของหม่อมฉันยังไงบ้าง”
ศิขรนโรดมมองตามิถิลาให้สงบ แววตาห่วงใย ขณะเดินมาด้วยกันศิขรนโรดมเอานิ้วก้อยไปแตะนิ้วก้อยของมิถิลาไว้ แล้วแอบเกี่ยวมือมิถิลาเข้ามาจับไว้เพื่อเป็นกำลังใจ และใช้ตัวกับชายเสื้อบังไม่ให้คนอื่นเห็น มิถิลาตกใจ มองหน้าศิขรนโรดม
“อย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย ตอนนี้ไม่อาจจะคาดเดาอะไรได้ เราคงต้องเล่นละครต่อไปพยายามทำตัวให้ปกติ”
แล้วศิขรนโรดมก็พยายามฝืนยิ้มแกนๆ ให้กับแขกที่มาในงานอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด มิถิลามอง ตลก
“ดูฝ่าบาทก็ดูกังวลอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน”
ศิขรนโรดมหันมาพูดกับมิถิลาแบบยิ้มค้างไว้
“เจ้าดูออกหรือ?” มิถิลาแอบขำ พยักหน้าเบาๆ “แต่เราเชื่อมั่นในตัวเจ้าพี่”
“ทรงพบเขา ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ”
“แต่เรารู้จักท่านดี”
“เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน หม่อมฉันไม่แน่ใจ”
ท่านผู้ว่าการแห่งเกาะฮ่องกงเดินมา เทเรซ่าผายมือแนะนำองค์ชาย
“องค์ชายศิขรนโรดม รัชทายาทแห่งนครคีรีรัฐ นายโดนัล จาง ผู้ว่าราชการฮ่องกง”
ผู้ว่าคำนับอย่างนอบน้อม และยื่นมือไปจับทักทายกับศิขรนโรดม บราลี พร้อมกับเชิญไปนั่งที่โต๊ะ
“เชิญประทับที่โต๊ะเสวยพะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมและบราลีเดินตามผู้ว่าไป มิถิลาและเทเรซ่าตามอยู่ห่างๆ กลุ่มพวกทหารยืนงงๆ ชะเง้อมองหา
“แล้วมีใครเห็นท่านราชิดไหม”
ทันใดนั้นก็มีคนของภูสินทรหลายคนเข้ามาประกบพวกทหารแต่ละคนไว้ คนของภูสินทรคนหนึ่งเดินเข้ามากระซิบภายในกลุ่ม
“ท่านราชิดสั่งให้พวกเจ้านั่งกินอาหารไปตามปกติ ตอนนี้มีปัญหานิดหน่อย”
“ปัญหาอะไรเหรอ”
“เอ๊ะ...พวกท่านพูดภาษาคีรีรัฐได้นี่ หรือว่าเป็นคนคีรีรัฐเหมือนกัน”
“ใช่”
“ค่อยยังชั่ว อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อน”
“ตามพวกเรามาทางนี้”
คนของภูสินทร รีบพาพวกทหารคีรีรัฐไปนั่งโต๊ะที่แยกออกมาอยู่ด้านหลัง พวกทหารเดินผ่านโต๊ะที่ฉินเจียงนั่งอยู่กับซูหลิง ฉินเจียงมองตาม งงๆ สงสัย
“หายไปไหนของเขา นั่งอยู่นี่ก่อนนะเดี๋ยวผมขอไปถามอะไรทหารพวกนั้นหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น”
ซูหลิงดึงมือฉินเจียงให้นั่งลง
“เดี๋ยวค่อยไปไม่ได้เหรอคะ นั่งเป็นเพื่อนซูหลิงก่อน ไม่อยากนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว”
ฉินเจียงถอนใจ แต่ก็ยังไม่วายกังวล อีกมุมผู้กองเหลียงและหมวดจาง เดินป้วนเปี้ยนมองเมียงไปรอบๆ งาน
ตำรวจฮ่องกงหลายคน ที่ตรงมุมนั้นมุมนี้ ทุกคนหน้าเครียด บางคนยกว. คุยกัน ฉินเจียงเริ่มนั่งไม่ติด มองไปรอบๆ งานอย่างว้าวุ่นใจ
เหม่ยอิงที่มุมหนึ่งของงาน ยืนยิ้มสะใจ แววตาอาฆาตดุดัน
“แกโดนผู้กองเหลียงซิวแน่ จ้าวฉินเจียง”
โกศินเดินกลับมาจากประตูมาหาจ้าวซัน
“เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
จ้าวซันลุกขึ้นจากเก้าอี้ ค่อยๆ เดินไป พูดไป จนมาหยุดอยู่หน้าราชิด
“มีสุภาษิตจีนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปียังไม่สาย แต่นี่มันก็ตั้งยี่สิบปีมาแล้ว ท่านว่ามันสายไปหรือยัง” ราชิดหลบตา ไม่กล้าสู้หน้า “องค์ชายศิขรตกอยู่ในกำมือของเราแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแต่พวกเจ้า อย่าหวังเลยว่า
จะออกไปจากที่นี่ได้ง่ายๆ”
จ้าวซันอ้อมไปตบบ่าราชิดที่นั่งอยู่ ราชิดปัดมืออก รีบลุกขึ้นประหมัดคีรีรัฐกันหนึ่งชุด โกศินรีบเข้ามาสบทบ รุมจ้าวซัน จ้าวซันกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะ โกศินกระโดดขึ้นตาม ราชิดคอยโจมตีช่วงล่าง จ้าวซันใช้ขาแตะป้องกันตัวตลอด
ราชิดและโกศินปล่อยหมัดบุกและรุกจ้าวซันอย่างไม่ยั้ง จ้าวซันเกือบเสียหลักตกโต๊ะ จ้าวซันรีบกระโดดลงไป กระชากผ้าม่านที่ข้างผนังออก แล้วโยนคลุมร่างราชิดไว้
ราชิดดิ้นรนมองไม่เห็นทาง จ้าวซันได้โอกาสผลักราชิดเข้าใส่โกศิน โกศินหลบ ราชิดล้มลงไปกองกับพื้น โกศินเข้ามาสู้กับจ้าวซันต่ออีกชุด แต่ตกเป็นรองตลอด ถูกจ้าวซันถีบเซไปชนผนัง ราชิดออกจากผ้าม่านได้เหลือบไปเห็น รีบคว้าเอาเชิงเทียนสแตนเลสแบบสามง่ามที่อยู่ใกล้ตัวออกไปสู้ จ้าวซันหลบเกือบไม่ทัน กระชากเอารูปภาพที่แขวนผนังออกมาเป็นโล่กำบัง ราชิดฟาดเชิงเทียนลงบนรูปภาพอย่างจัง ผ้าใบขาดกระจุย กรอบไม้แตกออกเป็นสี่ท่อน จ้าวซันใช้ไม้สองท่อนจากกรอบรูปเป็นอาวุธ สู้กับเชิงเทียนของราชิด
จ้าวซันกลับตัวใช้เท้าเตะเชิงเทียนหลุดจากมือราชิดได้ กำลังจะเข้าไปซ้ำ ราชิดควักปืนออกมา
“เก่งนักใช่ไหม”
จ้าวซันยกมือขึ้นสองข้าง ปล่อยไม้ลง ถอยไปตั้งหลัก ราชิดเดินย่างสามขุมเข้าไปหา โกศินรีบเข้ามาล็อกตัวจ้าวซันจากทางด้านหลัง
“ยี่สิบปีก่อนเราพลาดเองที่ไม่ได้กำจัดเสี้ยนหนามให้หมดไป แต่วันนี้เราจะไม่พลาดอีกแล้ว”
ราชิดขึ้นไกปืน
ในห้องจัดงาน ผู้ว่าหัวเราะสนุกสนานอยู่ที่โต๊ะ ในขณะที่บริกรกำลังเดินเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะ
“ที่แรกผมก็นึกว่าคุณมาจากคีรีรัฐกับคณะเสด็จเสียอีก ไม่รู้หรอกว่าเป็นคนของบริษัทจ้าวฉินเย่ว์”
“แค่มาช่วยในงานนี้เฉยๆ ค่ะ จริงๆ ดิฉันก็เป็นคนคีรีรัฐ”
บราลีบอก มิถิลาตกใจ หันไปมองบราลี
“อ้าวว มิน่าถึงแต่งชุดประจำชาติได้สวยงามนัก นี่ผมคงต้องหาโอกาสไปเยือนคีรีรัฐให้ได้สักทีแล้ว”
“ทางคีรีรัฐยินดีต้อนรับท่านผู้ว่าและครอบครัวเสมอครับ”
ที่โต๊ะวีไอพีข้าง ๆ เหม่ยอิง คุณนายหวังมองมาด้วยแววตาอิจฉา
“ยัยคนนี้มันมาไกลเกินไปละ ดูหัวร่อต่อกระซิกกับท่านผู้ว่า น่าหมั่นไส้ มันควรเป็นหน้าที่ของคุณไม่ใช่หรือ เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงมอง เบ้ปาก แล้วเชิดใส่
“แล้วนี่พี่ใหญ่ไปไหนล่ะ ปล่อยให้แม่นั่นออกงานตามลำพังได้ยังไง”
“จะไปรู้เหรอ”
“สงสัยหายไปกับทหารชั้นผู้ใหญ่ที่คุณชายรองไปคุยด้วยตอนนั้น” ซูหลิงบอก
“รู้ดีจริงนะ” เหม่ยอิงพูดขึ้นลอยๆ
ซูหลิงเมินหน้าไปอีกทาง ไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย
“เออ จริงสิ” ฉินเจียงร้อนรน มองหาราชิด และโกศิน ไม่มี หันไปเห็นเทเรซ่าเดินไปเดินมาอยู่ในงาน “เดี๋ยวผมมานะ”
ฉินเจียงรีบลุกขึ้นไป ซูหลิงจะห้ามไว้ก็ไม่ทัน เหม่ยอิงมองตามฉินเจียงที่ลุกออกไป แล้วหันกลับมาเขม่นใส่ซูหลิง
“โอ๊ย ทำไมฉันต้องจัดให้ฉันมานั่งตรงนี้ก็ไม่รู้ อึดอัด”
“จริงด้วยค่ะ ให้มานั่งปนกับอะไรก็ไม่รู้”
ซูหลิงทนไม่ไหว วางส้อมมีด กระแทกและลุกขึ้นเดินสะบัดไป
“หนอย อีๆๆ ต่ำ! ไม่มีมารยาท”
ราชิดเดินถือปืนตรงมายังจ้าวซัน ทันใดนั้นภูสินทรก็โหนเชือกถีบกระจกหน้าต่างบานใหญ่ที่จ้าวซันดึงม่านออกไปแล้ว ถีบเข้ามาในห้อง กระจกแตกกระจาย จ้าวซันอาศัยจังหวะที่โกศินเผลอ พลิกตัวหลุดออกมา ราชิดรีบหันปืนไปทางภูสินทร ภูสินทรม้วนตัวหลบ จ้าวซันพุ่งเข้าไปใช้เท้าแตะปืนในมือราชิดกระเด็นไปไกล ภูสินทรควักปืนออกมาเล็งไปที่ราชิดบ้าง โกศินรีบควักปืนออกมาจากระเป๋าบ้างเล็งไปที่จ้าวซัน ทั้งหมดนิ่ง ตามดูเชิงกันไปมา
“ทิ้งอาวุธซะ ไม่งั้นไอ้แก่นี่ตาย”
ราชิดกลัว เหงื่อแตก
“ก็ลองดู จะแลกกับชีวิตจ้าวซันก็เอา”
ทันใดนั้นประตูห้องถูกถีบให้เปิดออก พวกภูสินทรถือปืนวิ่งเข้ามาเพียบ ตามด้วยผู้กองเหลียงและหมวดจางเดินถือปืนเข้ามา
“อย่าขยับ ทิ้งอาวุธซะ”
โกศินและราชิดตะลึง มองหน้ากัน
“สงสัยคงต้องแลกกับชีวิตนายพลโกศินแทนแล้วล่ะมั้ง”
ภูสินทรบอก โกศินทิ้งปืนลง อเล็กซ์ จ่าหมงเข้ามาในห้อง ลากคออสุนีที่ถูกใส่กุญแจมือมาผลักลงกับพื้น
“นี่ก็พวกแกด้วยใช่ไหม”
อสุนีค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองราชิดและโกศิน
ราชิดตกใจหน้าซีดเผือด “อสุนี”
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ในห้องจัดงาน นักร้องหญิงคนหนึ่งกำลังร้องเพลงสากล เพลงลาวดวงเดือนแบบโมเดิร์นกับวงอยู่บนเวที
“โอ้ดึกแล้วหนอ พี่ขอลาล่วง อกพี่ เป็นห่วง รักเจ้าดวงเดือนเอย ขอลาแล้ว เจ้าแก้ว โกสุม...”
แขกในงานมองอย่างสนใจชื่นชม ที่โต๊ะศิขรนโรดม ผู้ว่ากำลังคุยกับศิขรนโรดม
“นักร้องคนนี้ดังมากที่ฮ่องกงตอนนี้พะย่ะค่ะ”
ศิขรนโรดมกำลังกังวลถึงกับสะดุ้ง
“ครับ ว่าไงนะครับ”
“นักร้องคนนี้ดังมากพะย่ะค่ะ เอ่อ แต่ไม่ทราบว่าโปรดหรือเปล่า คุณชายจ้าวซันแจ้งมาว่าฝ่าบาทโปรดเพลงไทยเดิม สำเนียงทางเหนือของไทยเป็นพิเศษเลยจัดเพลงแบบนี้มาถวาย”
“อะ อ๋อ เปล่า ไพเราะมากๆ ขอบใจมาก ที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ”
มิถิลากระวนกระวาย ศิขรนโรดมมองด้วยสายตาเป็นห่วง
“คุณชายจ้าวซันคงยังไม่เสร็จธุระ”
ทุกคนมองหน้ากัน เครียด บราลีรีบยิ้ม แก้บรรยากาศ
“แต่ไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยากค่ะ ท่าน” บราลีบอกกับผู้ว่าแล้วหันมาสบตากับศิขรนโรดม “ฝ่าบาท อย่าทรงกังวลเลยเพคะ คุณชายจ้าวซันได้วางแผนทั้งหมดไว้อย่างดี และทรง...เอ๊ย .และท่านมีจิตใจกว้างขวางมากพอที่จะให้ความ เมตตากับทุกคน” บราลีปรายตาไปหามิถิลา ต้องการสื่อว่า พ่อเธอก็จะปลอดภัย มิถิลาก้มหน้า ไม่หายร้อนใจ
ศิขรนโรดมเหลือบไปเห็นผู้กองเหลียงกับหมวดจางเดินเลียบๆ เคียงๆ มาข้างโต๊ะ หันไปมอง ระแวงๆ มิถิลาที่ยืนอารักขาอยู่ห่างๆ มองเห็น รีบขยับออกมาขวาง พอดีผู้ว่าและบราลีหันไปเห็นพอดี
“มิน” ศิขรนโรดมปรามมิถิลา
“ตำรวจฮ่องกงน่ะ กระหม่อม” ผู้ว่าบอก ผู้กองเหลียงและหมวดจางรีบตรงเข้ามาถวายความเคารพแก่ศิขรนโรดม “ขอประทานวโรกาส แนะนำ 2 คนนี้พะย่ะค่ะ นี่ผู้กองเหลียงและหมวดจาง ตำรวจฮ่องกงพะย่ะค่ะ”
มิถิลาถอยหลังกลับไป แต่สายตามองตำรวยอย่างระแวง
“ทรงพระเจริญพะเจ้าค่ะ”
“ด้วยความยินดีและเป็นเกียรติสูงสุดครับ ฮิสมาเจสตี้”
“ไม่ทราบ คุณมีธุระอะไรกับผมด้วย...ใช่ไหม”
ผู้ว่าถาม ผู้กองเหลียงเดินเข้ามาพูดข้างๆ หูผู้ว่าเบาๆ
“คุณชายจ้าวซันเชิญท่านครับ”
ผู้ว่าหน้าเครียดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ถอนหายใจ แล้วมองศิขรนโรดม ผู้กองเหลียงพยักหน้าเป็นสัญญาณ ผายมือเชิญผู้ว่า แววตาจริงจัง
“ฝ่าบาท กระหม่อม มีภารกิจราชการกับผู้กองเหลียงสักครู่พะย่ะค่ะ”
“เชิญ”
ผู้ว่าตัดสินใจ ลุกขึ้นตามผู้กองเหลียงและหมวดจางไป บราลีมองตามผู้กองเหลียงและผู้ว่าไป อย่างสงสัยใคร่รู้
ผู้กองเหลียงเดินไป แล้วหันหลังกลับมามองศิขรนโรดมอีก ทั้งคู่สบตากัน ผู้กองเหลียงหลบตา
“ตำรวจฮ่องกงมาจับพวกนั้นหรือเปล่า” ศิขรนโรดมถามขึ้น
“ทรงวางพระทัยเถอะเพคะ”
“เขามีสิทธิ์คิดใช่ไหม ว่าผมร่วมมือในการซื้ออาวุธเถื่อนกับพวกนั้นด้วย”
บราลีนิ่ง ไม่ตอบ ศิขรนโรดมกับมิถิลามองหน้ากันหน้าซีด
ผู้ว่าเดินออกมาจากงานเข้ามายังสวนหย่อมด้านนอก ผู้กองเหลียงและหมวดจางตามมาติดๆ ด้านนอกถูกตกแต่งด้วยดอกไม้และดวงไฟเล็กๆ สวยงาม จ้าวซันยืนรออยู่ด้านนอก หันกลับมา
“ผมต้องให้ท่านผู้ว่าช่วย”
“ว่ามา”
“เราจะมีการจับและยึดอาวุธจากโรงเก็บเครื่องบินเช่าเหมาลำของคีรีรัฐ ที่พวกมันอ้างว่าเป็นเครื่องส่วนพระองค์ แต่ที่จริงมันเพิ่งทำการเช่ามาจากเอกชนจากประเทศเพื่อนบ้านของคีรีรัฐ ขอให้ท่านประสานงาน ให้เราเข้าไปจัดการในเขตท่าอากาศยานอย่างสะดวกและลับที่สุดด้วย”
“คุณชายจ้าว ผมรู้ว่าคุณเป็นคนดีและก็ทำประโยชน์ให้กับประเทศของเรามาไม่น้อย และนี่ก็จะเป็นประโยชน์แก่เมืองของเราอีกเช่นกัน”
“ทางตำรวจ และผม จะร่วมมือกัน ช่วยกำจัดอาชญากรต่างชาติ ที่มาใช้เมืองของท่านเป็นที่ทำการค้าอาวุธสงครามให้สิ้นซาก ไม่ให้ฮ่องกงต้องเสื่อมเสีย แล้วตำรวจฮ่องกงก็จะได้ตัวผู้ก่อการร้ายคีรีรัฐ ที่กำลังจะเอาอาวุธไปก่อสงครามกลางเมือง ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเสียเลือดเนื้อด้วย เท่ากับเราได้ช่วยกันตัดไฟแต่ต้นลม เพื่อสันติสุขของประเทศบ้านเกิดของผม”
“ผมยินดียิ่ง ที่จะได้มีส่วนช่วยให้เกิดสันติสุข กับทุกๆ ดินแดนครับคุณชาย”
“เรื่องฉินเจียง”
“อันนี้ขอผมพูดหน่อย ความผิดของจ้าวฉินเจียง ได้สำเร็จไปแล้ว เมื่อเขาทำตัวเป็นนายหน้าค้าอาวุธให้พันหงปิง”
“โทษของจ้าวฉินเจียง ผมขอให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายเถอะครับ”
“แต่...ฉินเจียงเป็นน้องชายผม”
ผู้ว่านิ่ง มองแววตาขอร้องของจ้าวซัน เริ่มใจอ่อน
“ยกให้เป็นหน้าที่ของตำรวจก็แล้วกัน”
“อ้าว...”
“ผมจะต่อสายประสานงานไปทางท่าอากาศยาน ผู้กองก็ต้องทำหมายค้น และหมายจับเข้าไปด้วยให้ถูกต้องก็แล้วกัน” ผู้ว่าหันหลังเดินกลับเข้าไปภายในงาน แล้วหันกลับมา “อย่าให้ฮ่องกงต้องเสียชื่อเสียงก็แล้วกัน”
ผู้ว่าเดินเข้าไปในงาน ผู้กองเหลียงมองจ้าวซันด้วยความเห็นใจ
“รู้สึกว่าพระเชษฐาทั้งสองขององค์ชายกำลังตกที่นั่งลำบากกันทั้งคู่เลยนะพะยะค่ะ”
“ผู้กองเหลียง”
“พวกเรารู้ความจริงกันหมดแล้วครับ” หมวดจางบอก
“กลุ่มจอมพลราชิดเป็นนักโทษของเรา เพราะพวกเขาเข้ามาทำผิดกฎหมายฮ่องกง เราต้องดำเนินคดีกับพวกเขาที่นี่ก่อนพะย่ะค่ะ แล้วเรื่องจะให้ส่งตัวไปรับโทษที่คีรีรัฐ คงต้องรอเป็นลำดับต่อไป”
“พูดจาไม่สมกับเป็นผู้กองเหลียงเลย คุยกับผมเหมือนปกติเถอะ” จ้าวซันเดินไปที่ระเบียง ถอนหายใจ มองไกลออกไป “ผมอยากให้ทางการช่วยปิดข่าว หลังจากที่ยึดอาวุธจากเครื่องบินส่วนพระองค์ไปแล้ว อย่าให้พรรคพวกของมันที่คีรีรัฐ แพร่งพรายเหตุการณ์ในคืนนี้ได้”
“หมายความว่า...”
“ผมกับศิขรนโรดม เราต้องร่วมปราบกบฏในคีรีรัฐให้ได้ ก่อนที่พวกมันจะไหวตัวทัน”
คืนนั้นที่หน้าโกดังเก็บเครื่องบิน มีรปภ.ท่าอากาศยานเฝ้า ทันใดมีโทรศัพท์สายด่วนมา รปภ.รับสาย
“เหวย...” รปภ.ตาโต ตื่นเต้น “เยสเซ่อร์ ๆๆ”
รปภ.วางหู เดินมาบอกเพื่อนๆ ทุกคนมองหน้ากัน แล้วหันไปดูที่หน้าโรงเก็บเครื่องบิน ทหารคีรีรัฐยืนเฝ้ายามอยู่ 5 คน รปภ.พยักหน้ารู้กัน
ทันใดนั้นมีรถตำรวจฮ่องกง เปิดไซเรน วิ่งเข้ามา รปภ.ไปรับหน้า อเล็กเดินลงมาแล้วเอาหมาย 2 ใบ ให้รปภ.ดู แล้วพูดจากัน แบบเป็นพวกเดียวกัน พวกทหารคีรีรัฐมองมา สงสัยว่ามีอะไรกัน รปภ.ทำความเคารพอเล็กซ์ ให้อเล็กซ์เซ็นต์เอกสารของพวกตนแล้วรีบเปิดที่กั้น รถตำรวจ 2 คัน เปิดไซเรน พุ่งเข้าไป พวกทหารคีรีรัฐตกตะลึง
พวกตำรวจฮ่องกงวิ่งลงมาจากรถ อาวุธครบมือ รปภ.สนามบินมาสมทบ อาวุธครบเช่นกัน ล้อมทหารคีรีรัฐไว้
ทหารคีรีรัฐวางอาวุธ ยกมือ อเล็กซ์นำพวกตำรวจไปค้นเครื่องบิน หีบบางอันที่เป็นรูปปั้น ผ้าไหม ถูกรื้อออก ภายใต้ของที่ดูเป็นของที่ระลึก ของแต่งบ้านแบบจีน มีเม็ดโฟมบังไว้มิด อเล็กซ์โกยๆๆๆ โฟมออก อาวุธดำมะเมื่อมโผล่ออกมา
ที่บ่อน พันหงปิงกำลังเล่นไพ่กับพวกลูกน้องฉินเจียง
“โอ๊ย เสียอีกแล้ว วันนี้ดวงไม่ดีจริงๆ เลิกๆๆ”
“เลิกด้วย อะไรกันเนี่ย เฮียพันหงปิง เฮียกินเอาๆ แบบนี้ รางวัลที่พวกอั๊วได้มาจากคุณชายรอง ก็เสียกลับคืนให้เฮียหมดล่ะสิ”
“อะไร ยังหนุ่มยังแน่น ใจป๊อดจริงๆ เลย ดูอั๊วะสิ ตอนแรกอั๊วะเสียให้พวกลื้อแทบหมดตัว เพิ่งมาตีตื้นไม่กี่ตานี่เอง อะไรวะ เล่นแบบนี้ไม่สนุกเลย”
จ่าหมงและตำรวจหลายนายกรูกันเข้ามาในบ่อน
“บุก” ตำรวจชักปืนออกมา และพากันวิ่งบุกเข้าไปที่โต๊ะไพ่ทันที “ทุกคนยอมมอบตัวซะดีๆ ตำรวจล้อมที่นี่ไว้หมดแล้ว”
พันหงปิง อาเหา อาสือ และชาวบ่อนทั้งหมดก็ตกใจกันลนลาน ต่างพากันลุกขึ้น วิ่งหนีสุดๆ ชีวิต แต่พวกโต๊ะพันหงปิงไม่ทันการณ์ ตำรวจวิ่งเข้าประกบคนต่อคน เอาปืนจ่อ อาเหา อาสือคลานมอบและสมุนพันหงปิงทิ้งอาวุธลงกับพื้น ยกมือขึ้นยอมแพ้
พันหงปิงไหวตัวทัน เตะมือจ่าหมง ปืนกระเด็นลอย แล้วถีบโต๊ะขวางตำรวจไว้ แล้วตนกลิ้งตัวหลบ แล้ววิ่งไปอีกทางประตูหนีไฟด้านข้างห้อง พันหงปิงเข้าไปข้างหลบในซอก จ่าหมง ที่มีปืนในมือวิ่งตามมา จ่าหมงเดินผ่านพันหงปิงไปเพราะไม่เห็น
พันหงปิงเห็นจ่าหมงคล้อยหลัง วิ่งออกมาจากซอก เผ่นสุดชีวิตไปในซอย จ่าหมงหันมา ยิงเปรี้ยง โดนขาด้านหลัง พันหงปิงผวา จะหนีต่อแต่ไปไม่ไหวล้มลง พวกตำรวจฮ่องกงเข้าล้อม ใส่กุญแจมือ
ในห้องจัดงานขณะนั้นมีการแสดงเชิดสิงโตบนเวที สิงโตสีแดง-สีเหลือง กำลังต่อสู้กัน มีการแสดงประกอบกายกรรมและเสียงรัวกลองอย่างตื่นเต้น คึกคัก ที่โต๊ะเหม่ยอิง คุณนายหวัง ฉินเจียงจูงซูหลิงมานั่งลงที่โต๊ะอีกครั้ง
“ซูหลิง เธอไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น เธอก็มีเกียรติพอๆ กับสุภาพสตรีทุกคนในโต๊ะนี้ แล้วตอนนี้ ฉันก็อยากดื่มอะไรอร่อยๆ เต็มทีแล้ว”
ซูหลิงนั่งลงอย่างกระแทกๆ ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก เหม่ยอิงมอง เชิดใส่ ฉินเจียงรินแชมเปญที่แช่กลางโต๊ะ ให้ตนและซูหลิง สักพักโทรศัพท์ในกระเป๋าถือเหม่ยอิงดังขึ้น เหม่ยอิงเอาออกมา มองดูชื่อคนโทรมา ยิ้มกระหยิ่ม กดรับ
“ว่าไง เหวยๆ ไม่ได้ยินเลย พูดดังๆ สิ”
เหม่ยอิงมองฉินเจียงและซูหลิง แววตาหยันๆ ก่อนสะบัดลุกขึ้นจากโต๊ะไป คุณนายหวังมองตาม แล้วหันไปสนใจการแสดงบนเวทีต่อ เชิดใส่ซูหลิง
เหม่ยอิงเดินออกมาคุยโทรศัพท์ที่มุมหนึ่งอย่างลับๆ ล่อๆ
“ตกลงว่าไง ข่าวดีใช่ไหม”
เกาเฟยเดินลงมาจากโรงพัก มาหามุมสะดวกคุยกับเหม่ยอิง
“อาวุธถูกจับแล้วครับ กำลังโดนลำเลียงออกมาจากสนามบิน เป็นความลับสุดยอด ส่วนพันหงปิง โดนยิงบาดเจ็บเล็กน้อย แต่คงต้องรักษาหลังซี่กรงแหละครับ แค่นี้ก่อนนะครับ ส่วนเรื่องเต๋อเป่า คุณหนูอย่ากลัว มันไม่มีวันฟื้นคืนจากความเป็นผักได้แน่นอน”
เหม่ยอิงยิ้ม หลุดหัวเราะออกมา สะใจ มองไปที่โต๊ะเห็นฉินเจียงกับซูหลิงกำลังดูการแสดงบนเวทีพลางชนแก้ว
แชมเปญกัน ปลอบอกปลอบใจ เหม่ยอิงกดโทรศัพท์วาง สะแหยะยิ้ม
“คุณชายรองกับอินังผู้หญิงจากหอนางโลมยุคใหม่ พวกแกเสวยสุขได้อีกไม่นานหรอก”
เหม่ยอิงเดินเข้าไปที่โต๊ะ อย่างลีลา สง่างาม ค่อยๆ นั่งลงช้าๆ มองหน้าฉินเจียง พอฉินเจียงมองมาก็ฉีกยิ้มให้อย่างหวาน ฉินเจียงมองจ้องกลับมาอย่างสงสัย
“เป็นอะไร”
“เปล่า แต่ฉันคงคิดถึงพี่น่าดู”
“อะไรนะ”
เทเรซ่าเดินเข้ามาหาฉินเจียง
“คุณชายใหญ่ให้มาเชิญคุณชายรองไปพบค่ะ”
“มีเรื่องอะไร ทำไมเขาออกมาพบฉันเองที่นี่ไม่ได้”
“ดิฉันไม่ทราบค่ะ”
“ซูหลิงไปด้วยคนนะคะ” ซูหลิงบอกฉินเจียง
“คุณชายจ้าวซันกำชับว่าอยากคุยกับไท้เผ่งคนเดียว” เทเรเซ่าบอก ฉินเจียงรีบลุกขึ้น
“วางมาด น่ารำคาญ เจ้ายศเจ้าอย่างซะเหลือเกิน...รออยู่นี่แหละนะ เดี๋ยวผมมา” ฉินเจียงบอกซูหลิงแล้วหันมาพูดใส่หน้าเหม่ยอิงกับคุณนายหวัง “ถ้าใครทำให้คุณรำคาญใจอีกล่ะก็ บอกผม ไม่ต้องกลัว ผมไม่เอาไว้แน่ ไป เทเรซ่า เขาอยู่ที่ไหนจะได้คุยๆ ให้มันเสร็จๆ ไปสักที”
เทเรซ่าเดินนำฉินเจียงไป ซูหลิงมองตามด้วยความเป็นห่วง
“ว่าที่สามีของมิสซูหลิง ไปซะแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่นะคะ”
คุณนายหวังมองเหม่ยอิงงงๆ ซูหลิงมองเหม่ยอิงอย่างเคียดแค้น แต่ไม่วายเก็บเอาคำพูดมาคิดเป็นกังวล
เหม่ยอิง มองตามฉินเจียงที่เดินตามเทเรซ่าออกไป แล้วยิ้มออกมาอย่างสะใจ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 10 (ต่อ)
ฉินเจียงเดินนำเทเรซ่าเข้ามาที่สระว่ายน้ำ รอบๆ เป็นสวนสวย ต้นไม้ใหญ่ครึ้ม จ้าวซันพูดโทรศัพท์อยู่
“ขอบคุณครับๆ” จ้าวซันมองฉินเจียง “แล้วผมโทรกลับไปนะครับ...สักครู่” จ้าวซันกดวางสาย
“มีธุระอะไรอีกล่ะ ทำไมไปคุยที่โต๊ะไม่ได้ ต้องนัดมาคุยถึงที่นี่ เกิดอารมณ์อยากว่ายน้ำขึ้นมาหรือไง”
“ดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“ขอบคุณมากเทเรซ่า บอกทุกคนว่าเดี๋ยวผมตามลงไป ไม่เกินห้านาที” จ้าวซันรอให้เทเรซ่าเดินออกไป “ฉินเจียง ฉันขอโทษนะ ยังไงก็ตาม ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ ว่าฉันพยายามเจรจากับแก...กี่ครั้ง...”
“อะไรกัน”
จ้าวซันไม่ตอบ มองรอบๆ ฉินเจียงมองบ้าง แล้วอึ้งไป
“ต่อไปนี้ จะพูดอะไร ให้ผ่านทนายของเราก่อน อย่าคิดเอง พูดเอง”
ฉินเจียงระเบิดหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ไอ้เกาเฟย เกาเฟยมันทำใช่ไหม แต่มันขอยืมชื่อแกไปออกหน้า”
จ้าวซันแอบลอบมองผู้กองเหลียงที่ซุ่มตัวอยู่ในสวนรอบๆ
“เปล่า”
จ้าวซันหมดหวัง
“พี่อยากช่วยแกนะฉินเจียง บอกความจริงมา ว่าแกไม่รู้จักพันหงปิง แกแค่อยากยั่วพี่ โดยให้เกาเฟยเอาชื่อแกไปอ้างแค่นั้นเอง”
“ออกมากันได้แล้ว” ฉินเจียงตวาด ไฟที่สวนรอบๆ สระว่ายน้ำสว่างขึ้น เผยให้เห็นผู้กองเหลียง หมวดจาง และตำรวจอีกหลายคนยืนรายล้อมอยู่รอบๆ สระ “จะจับฉินเจียงแค่คนเดียว แต่ขนคนมาทั้งโรงพัก ผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆ”
ผู้กองเหลียงกับหมวดจางเดินออกไป ใส่กุญแจมือฉินเจียง ฉินเจียงยื่นมือให้ใส่แต่โดยดี
“ขอโทษด้วย ผมทำตามหน้าที่”
จ้าวซันมองภาพนั้นอย่างปวดใจ
“ผู้กองครับ ไม่ต้องใส่กุญแจมือ ได้ไหม” จ้าวซันบอก ฉินเจียงหันมามองหน้าจ้าวซัน
“ไม่ต้อง พอได้แล้ว ไม่ต้องมาทำจริตมารยาว่าพี่แคร์อะไรผมอีก พี่ก็คิดสินะ ว่าพี่จะชนะผมได้อีกตามเคย”
“ฉินเจียง ฉันไม่เคยคิด ไม่เคยคิดเลยสักครั้งเดียว”
“ฟังแล้วขนลุก ไม่ต้องสร้างภาพคุณชายโลกสวย ให้ใครดูหรอก มันคลื่นไส้” ฉินเจียงเดินตรงเข้าไปประจันหน้ากับจ้าวซันแล้วพูดใกล้ๆ ฉินจียงยกมือที่ใส่กุญแจขึ้นตรงหน้า “พี่รู้ไหม เกมนี้ผมเดิมพันด้วยชีวิตผมเลย เพราะตั้งแต่ที่ผมรู้ว่าพี่รู้เรื่องที่ผมค้าอาวุธ ผมก็คิดจะวางมืออยู่หลายที แต่ผมอยากวัดใจพี่” ฉินเจียงเดินดูหน้าตำรวจรอบๆ “ผมอยากรู้ว่าพี่จะจัดการผมยังไง จะบอกพวกตำรวจไหม และก็อยากรู้ว่าจะมีสักครั้งไหมที่ผมจะเอาชนะพี่ได้”
“แกไม่ควรมาเสี่ยงกับพี่”
“พี่ก็รู้ว่าผมชอบเสี่ยง”
“ถ้าพี่ไม่ทำ เต้ก็คงสาปแช่งพี่”
“ใช่ เต้ก็รักแต่พี่ พี่มันเทวดา ผมมันซาตาน เต้กับพี่ ชอบบอกใครๆ ว่าทนไม่ได้กับเรื่องสกปรก แต่ผมจะทำเรื่องพวกนี้ให้พี่กับเต้ดูกันให้เต็มตา ผมเปิดเผย โปร่งใส ไม่เหมือนพี่กับเต้ที่โชว์ให้โลกเห็นว่าตัวเองทำแต่ความดีงาม แต่ที่จริงมันก็แอบเลวกันทั้งนั้น”
“หยุดล่วงเกินเต้”
จ้าวซันเดินตามฉินเจียงไปรอบสระ
“พี่ลองถามตัวเองสิว่าไอ้ธุรกิจแบบที่พี่กะเต้ทำ มันมีใครบ้างที่มือสะอาด ไม่โกงกิน ไม่ติดสินบน ไม่เล่นพรรคเล่นพวก ไม่ใช้เส้นสายเพื่อแลกกับข้อมูลลึกๆ บางครั้งเราจะไม่อยากทำ แต่มันก็มีอะไรสักอย่างยั่วยุให้เราลงมือจนได้” ฉินเจียงเข้าไปหาจ้าวซัน ยิ้มใส่หน้า หน้าแทบจูบกัน “เกมนี้พี่เอาชนะผมไม่ได้หรอก ถ้าผมโดนจับเข้าคุก พี่ก็ต้องทนทุกข์ทรมานใจไม่แพ้กัน ทุกๆ วันพี่ก็จะต้องมานั่งเสียใจที่ทำให้วิญญาณของเต้ไม่มีความสุข เต้เลี้ยงดูพี่มา แต่พี่กลับทำให้ลูกชายคนเดียวของเต้ต้องไปนอนในคุก ผมต่างหากที่เป็นผู้ชนะ”
“เลิกคิดถึงเรื่องแพ้ชนะสักที งานนี้เราแพ้ด้วยกันทั้งคู่”
“ผมรู้ แต่อย่างน้อย ผมก็เป็นคนทำให้คุณชายจ้าวซันรู้จักคำว่าแพ้ในที่สุด” ฉินเจียงเดินไปกับผู้กองเหลียงโดยมีหมวดจางและตำรวจคนอื่นๆ คุมตัวออกไป ฉินเจียงหยุด หันกลับมาพูดกับจ้าวซัน “ไพ่ตาสุดท้ายเราก็ทิ้งไปกันหมดแล้ว แต่พี่อย่าลืมว่าผมมันเซียนไพ่เก่า ยังมีไพ่ที่ผมซ่อนเอาไว้อีกใบ พี่คอยดูก็แล้วกัน”
ในห้องจัดงาน บนเวทีมีการแสดงฟ้อนนกยูงของคีรีรัฐ แขกในงานต่างดูกันอย่างตั้งใจ ศิขรนโรดม บราลี ผู้ว่า มองหน้ากัน เครียดๆ มิถิลาดูนาฬิกา เหม่ยอิงที่พยายามชะเง้อคอมองหาจ้าวซัน และซูหลิงที่มองหาฉินเจียงอย่างกังวลใจ
จ้าวซันเดินเข้ามาในงาน เหม่ยอิงรีบลุกขึ้นไปหา เหม่ยอิงกำลังจะเดินมาถึงตัวจ้าวซันแล้ว
“พี่ชายใหญ่”
จ้าวซันไม่เห็น ไม่สนใจ รีบเดินมุ่งหน้าไปที่โต๊ะศิขรนโรดมทันที จ้าวซันถวายคำนับและนั่งลงข้างผู้ว่า เหม่ยอิงกระฟัดกระเฟียด เดินกลับมานั่งที่โต๊ะกับคุณนายหวัง
“เป็นอย่างไรบ้าง”
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีฝ่าบาท”
จ้าวซันและศิขรนโรดมต่างมองกันอย่างเข้าใจ
“เฮ้อ ได้ยินแบบนี้ค่อยเบาใจขึ้นหน่อย”
มิถิลาก้าวขึ้นมาถามจากด้านหลัง
“จอมพลราชิดล่ะ ท่านสบายดีไหม” มิถิลาถามด้วยแววตาท้าทาย ดุดัน
“มิ...มิน ทำตัวให้ดีหน่อย กับคุณชายท่านนี้” ศิขรนโรดมปราม มิถิลาก้มหน้า กล้ำกลืน ชักสับสนมากขึ้นจ้าวซันมองมิถิลาอย่างใจดี
“อย่าทรงตำหนิ ท่านราชองครักษ์ท่านนี้เลยฝ่าบาท เขาสมควรวิตกแทนผู้บังคับบัญชาของเขา ท่านราชิดสบายดี ทหารทุกคน ได้รับการดูแลอย่างสมเกียรติ”
มิถิลากลับไปยืนที่เดิม แต่ยังไม่หายกังวลใจนัก
“องค์ชาย เอ่อ...คุณชาย หายไปตั้งนาน มีเรื่องยุ่งยากอีกหรือคะ” บราลีถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วง บรี ผมโอเค เสียดายก็แต่ไม่ได้นั่งทานอาหารอร่อยๆ กับชมการแสดงบนเวที”
“จริงด้วย การแสดงชุดนี้ก็เป็นชุดสุดท้ายแล้ว”
“อะไรกัน จะเที่ยงคืนแล้วหรือนี่” จ้าวซันเหลือบไปโต๊ะข้างๆ เห็นเหม่ยอิงมองมาค้อนขวับ แล้วทำเชิดใส่ ไม่สนใจ จ้าวซันลุกขึ้น เดินไปที่โต๊ะเหม่ยอิง “เดี๋ยวผมมา”
บราลีมองตาม คุณนายหวังสะกิดบอกเหม่ยอิง
“คุณชายมา คุณชายมา”
จ้าวซันเดินไปที่โต๊ะเหม่ยอิง แต่ไปหยุดอยู่ตรงซูหลิง เลื่อนเก้าอี้ออกมานั่งข้างๆ
“คุณชาย เห็นไท้เผ่งบ้างหรือเปล่าคะ”
“ผมตั้งใจจะเดินมาบอกคุณอยู่พอดี คืนนี้ไท้เผ่งเขามีธุระต้องไปทำต่อ” ซูหลิงหน้าถอดสี เศร้า เอามือจับที่แหวนหมั้นที่นิ้ว หมุนไปมา จ้าวซันมองตาม “แต่คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ เอ่อ...เดี๋ยวผมจะให้เทเรซ่าพาคุณไปส่งที่บ้าน งานเลิก แล้วเดี๋ยวคุยกัน”
เหม่ยอิงมองเหล่ แค้นสุดๆ หยิบกระเป๋าลุกขึ้น แล้วโครมครามเดินเลี่ยงออกจากโต๊ะไป ไม่หันมามองอีกเลย
คุณนายหวังงง
“อ้าวๆ คุณน้อง จะกลับแล้วเหรอ รอพี่ด้วยสิคะ”
การแสดงฟ้อนคีรีรัฐบนเวทีจบลง แขกในงานปรบมือกันอย่างเกรียวกราว ศิขรนโรดมลุกขึ้นปรบมืออย่างชื่นชม แขกทุกคนลุกขึ้นปรบมือตาม แล้วนั่งลง
“จบการแสดงบนเวทีแล้ว การแสดงข้างล่างก็คงสิ้นสุดเช่นกัน ต่อไปนี้ก็ต้องเตรียมรับกับความเป็นจริงกันล่ะ มิน ขอให้เจ้าวางใจ ข้าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อสันติที่แท้จริง”
ศิขรนโรดมบอก จ้าวซันเดินกลับมาที่โต๊ะ ศิขรนโรดมลุกขึ้น ทุกคนลุกตาม เตรียมส่งเสด็จ จ้าวซันเข้ามาสนทนากับศิขรนโรดมอย่างเป็นทางการ
“ได้พบฝ่าบาทในงานเลี้ยงต้อนรับองค์รัชทายาททั้งที กระหม่อมกลับไม่ได้มีโอกาสได้สนทนาอะไรมากนัก”
“เราเข้าใจว่าท่านงานยุ่ง และมีหลายอย่างที่ต้องตระเตรียม เรื่องที่จะคุยกันหลังจากนี้เรายังมีเวลาอีกตั้งมากมาย”
“ทรงพระกรุณาต่อกระหม่อมยิ่งนัก”
ศิขรนโรดมยื่นมือออกมา จ้าวซัน ยื่นมืออกมาจับ ศิขรนโรดมดึงมือจ้าวซันเข้ามา แล้วยื่นหน้าเข้าไปพูดกับจ้าวซันใกล้ๆ ไม่ให้ใครได้ยิน
“ขอบพระทัยเจ้าพี่ หม่อมฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ที่เจ้าพี่ทรงอยู่ใกล้ๆ และปกป้องคุ้มภัยหม่อมฉันตลอดเวลา ไม่ต่างจากตอนที่เรายังเยาว์”
“เจ้าน้อง พี่อยากให้เจ้ารับรู้ว่า พี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกน้องเด็ดขาด ใครที่มันคิดร้าย มันจะต้องได้รับกรรม”
ทั้งสองจับมือกันแน่น มองตากันอย่างลึกซึ้ง บราลีมองอย่างชื่นชมในขณะที่มิถิลาดูสับสนมากขึ้น
ภูสินทรพาคนของตนเองสี่คนเดินเข้ามาที่โต๊ะ ทำความเคารพศิขรนโรดมและจ้าวซัน ทุกคนหันไปทางภูสินทร
“กระหม่อมจะให้คนของคุณเมืองเทพไปส่งเสด็จขึ้นที่พัก และดูแลความเรียบร้อยจนกว่าฝ่าบาทจะกลับคีรีรัฐ”
“ขอบใจๆ”
ศิขรนโรดมเดินนำเสด็จกลับขึ้นห้องพักโดยมีภูสินทร มิถิลา และคนคีรีรัฐ ดูแลคุ้มกันออกไป แขกทุกคนยืนขึ้นถวายความคำนับ
จ้าวซัน บราลี เทเรซ่า ยืนจับมือกับผู้ว่าอยู่หน้างาน
“ขอบคุณมาก ยินดีด้วย ที่งานของเราประสบความสำเร็จไปได้ด้วยดี” ผู้ว่าเข้ามากระซิบใกล้ๆ “ผมได้รับรายงานแล้ว ว่าทุกอย่างจบลงอย่างสวยงามไม่แพ้งานนี้ ขอยืนยันว่าข่าวทั้งหมดจะถูกปิด ทั้งสื่อ สถานทูตคีรีรัฐ และทุกๆ ส่วน เพราะนี่เป็นเรื่องของความมั่นคงของประเทศอื่นด้วย”
“ผมจะตอบแทนท่านผู้ว่าอย่างสุดความสามารถ ในทุกๆ เรื่อง”
ผู้ว่าพยักหน้า ตบไหล่จ้าวซันและขอตัวกลับ แขกในงานออกมาเกือบจะหมดแล้ว จ้าวซันหันมาพูดกับเทเรซ่าและบราลี
“ขอบใจมากนะเทเรซ่า งานนี้ถ้าไม่ได้คุณ...”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉันอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ฉันขอลาพักร้อนสักอาทิตย์นึงนะคะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“ก็บรรดาแขกเหรื่อและเครือญาติของคุณมันธรรมดากันซะที่ไหนล่ะคะ”
“ได้ผมให้คุณหยุดสองอาทิตย์เลย พอใจไหม”
“ดีค่ะ งั้นดิฉันขอตัวกลับก่อน คุณซูหลิงรอนานแล้ว”
“ฝากบอกขอโทษซูหลิงด้วยนะที่ผมไม่ได้ไปส่ง”
เทเรซ่ารับคำ หอบข้าวของแล้วเดินออกไป จ้าวซันหันกลับมาหาบราลี เห็นบราลีมองจ้าวซันอย่างกังวล
“ขอโทษนะเพคะ ขอพูดเรื่องของตัวเองหน่อย พ่อโจเซฟรับปากหม่อมฉันว่าจะช่วยเรื่องพ่อ...”
“สุริยะ”
“เพคะ”
จ้าวซันหยิบโทรศัพท์มากด เทเรซ่าเดินไปยังไม่ทันพ้นล็อบบี้
“เหวย คุณชาย อย่าบอกนะคะ ว่าจะเอาวันหยุดดิฉันคืน” จ้าวซันหัวเราะ
“เคลียร์หนี้ของคุณสุริยะ ที่บ่อนของฉินเจียงให้ก่อน แล้วดูแลพาเขามาพบผมที่บ้านพรุ่งนี้เช้า ไม่งั้น ห้ามลา”
“ใจร้าย รับทราบค่ะ บอสสส”
“ไนท์ๆ”
“ไนท์ๆ ค่ะ”
จ้าวซันวางสายหันมายิ้มให้บราลี
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องรบกวนหลวงพ่อหรอก”
บราลีพนมมือ ไหว้
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
“ไม่ต้องขอบใจอะไร...ม่านฟ้า ถ้าสุริยะเขาดีกับน้อง และเลี้ยงดูเธอมาดี จนทำให้น้องสำนึกบุญคุณ กตัญญูห่วงใยเขาก็แปลว่าเขาควรจะได้รับความห่วงใยและความกตัญญูจากพี่ด้วยเหมือนกัน”
บราลีมองจ้าวซัน แววตาเปี่ยมความซาบซึ้ง
จ้าวซัน บราลี เดินคุยกันมา พนักงานโรงแรมที่กำลังเก็บเคลียร์ข้าวของ โค้งให้ ทั้งสองต่างมองกันและกัน จนทุกคนผ่านไป
“หน้าที่ดูแลสุริยะให้ดี เป็นหน้าที่ของพี่มาตั้งนานแล้ว โชคดี ที่เขา...เอ่อ ท่านดูแลน้องได้ดี”
“เพราะ ฝ่าบาทได้ทรงเลือกแล้ว ให้พ่อสุริยะให้มารับหน้าที่เป็นพ่อ..ให้หม่อมฉัน”
“คุณพ่อโยเซฟต่างหาก ที่เป็นคนเลือก ตอนนั้นชั้นยังเด็ก ไม่รู้อะไรมากหรอก ได้แต่รอ รอวันที่ตัวเองดีพอ วันที่ตัวเองจะพร้อมที่จะทำทุกอย่าง”
“ซึ่งก็คือวันนี้นี่เอง ที่พระองค์เฝ้ารอคอย”
“ใช่ วันนี้...ที่ชั้นรอคอย ในที่สุดมันก็มาถึง” จ้าวซันมองบราลี ดื่มด่ำ “พี่ยังไม่ได้บอกน้องใช่ไหม ว่าวันนี้น้องสวยมาก สวยเหลือเกิน” บราลีเขิน
“แหม ทรงบอกหรือยัง หม่อมฉันก็ไม่แน่ใจหรอกเพคะ เพราะใครๆ ก็ชม จนหูชาไปหมดแล้ว แม้แต่ตัวเองหม่อมฉันยังชมตัวเองเลย ว่าแต่งชุดนี้แล้ว...รู้สึกว่า ได้เป็นตัวของตัวเองที่สุด อย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นชุดที่สวยมาก แล้วก็ชอบตัวเองในชุดนี้มากๆ จนอยากจะสวมทุกวัน”
จ้าวซันมองไปรอบๆ
“ถ้าไม่กลัวว่านี่คือสถานที่สาธารณะ และอาจมีกล้องซีซีทีวีจับจ้องอยู่ น้องพูดแบบนี้ พี่ต้อง...กอดซักที หรืออาจจะ...จูบซักครั้ง” บราลีหน้าแดง
“หม่อมฉันก็อยากจะกอดฝ่าบาท” อยู่ๆ น้ำตาก็ซึมออกมา “เพราะ...หม่อมฉันเห็นว่า วันนี้ทรงเผชิญเรื่องราวมากเหลือเกิน ล้วนแต่เรื่องยากลำบากทั้งกายและใจ แต่ก็ทรงฝ่าฟันอุปสรรคทุกอย่าง จนสำเร็จลุล่วง ทรงควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดได้ อย่างดี”
“เพราะมีคนช่วยพี่เยอะแยะต่างหาก รวมทั้งน้องด้วย แต่...ม่านฟ้า น้องเข้าใจผิดแล้วนะ ที่คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีแล้วน่ะ พี่ว่า...ยัง”
“นี่แค่การเริ่มต้นเท่านั้น ใช่ไหมคะ”
“ใช่ เรายังมีอะไรต้องรีบทำให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกมากมายนัก” ดวงตาจ้าวซันเปี่ยมความมุ่งมั่น บราลีมองอย่างศรัทธา
ที่ห้องประทับของศิขรนโรดม ศิขรนโรดมกำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง ใบหน้าเรียบเฉย ภูสินทรยืนเฝ้าระวังอยู่ที่ประตู มองสังเกตอาการด้วยความเป็นห่วง
“ใครๆ ก็ต้องห่วงพ่อแม่ตัวเองทั้งนั้น แม้ว่าท่านจะ เป็นยังไงก็เถอะ” มิถิลาพูดขึ้นมา
“บิดาเจ้า เวลานี้ทางตำรวจฮ่องกงดูแลอยู่ อย่างสมเกียรติ” ภูสินทรบอก
“เจ้าอยากไปพบ จอมพลราชิดสินะ” ศิขรนโรดมถามมิถิลา
“แต่...หม่อมฉันกลัวว่า หากพ่อทราบว่าหม่อมฉันคือ...”
“น่าสงสารราชิด แค่นี้เขาก็ไม่ทราบว่าจะคิดอย่างไรแล้ว เราต้องขอบใจอาการเซอร์ไพร้ส นึกไม่ถึง ที่ทำให้เขาวุ่นวายใจจนไม่มีแรงจะต่อต้านการจับกุมอีก”
“อะไรกัน ราชิดมีอะไรที่ทำให้เขาเซอร์ไพร้ส วุ่นวายใจได้ด้วยหรือ”
“หรือพวกคุณไปบอกพ่อแล้ว ว่าฉันคือ...”
“เปล่าๆ ไม่ใช่เรื่องของคุณหรอก ที่ทำให้พ่อตัวเองช็อก”
“หมายความว่าไงคะ”
“เรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอีกคน ที่ทำให้ราชิดสูญเสียความมั่นใจไปอย่างสิ้นเชิง”
“ใครกัน” ศิขรนโรดมอยากรู้มากๆ
ที่ออฟฟิศรักษาความปลอดภัยของโรงแรม อสุนีนั่งเอามือปิดหน้าอยู่อย่างหมดอาลัยตายอยาก เงยขึ้น แล้วผงะ เมื่อเห็นศิขรนโรดมกับมิถิลายืนอยู่ตรงหน้า ต่างมองอสุนี ตกตะลึง นึกไม่ถึง
“ฝ่าบาท หม่อมฉันตามมา เพื่อช่วยพระองค์ แต่ไม่คิดว่า...” ทีแรกอสุนีมองมิถิลา เพราะอยากรู้ว่าทหารคนนี้ไว้ใจได้แค่ไหน แต่พอเห็นเต็มตาก็ผงะ พุ่งเข้ามาจับตัวกระชากทันที “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน”
ตำรวจที่คุมอยู่สองนายตกใจ รีบเข้ามา
“ทำอะไรน่ะ”
ตำรวจกระชากอสุนีกลับ
“ไหนว่ายูไม่ได้คิดร้ายต่อใครไง แบบนี้มันต้องใส่กุญแจมือแล้ว”
ตำรวจสองคน ล็อกตัวอสุนีแน่น
“ขอโทษนะครับ ไม่มีอะไรอันตรายหรอก คุณสองคนปล่อยเขาเถอะ” ภูสินทรบอก ตำรวจมองหน้ากัน แล้วปล่อย
“มิถิลา ทำไม แล้วยังไงเนี่ย ฝ่าบาท”
“ก็พ่อไม่ให้พี่มา ข้าก็เลยต้องมาทำหน้าที่แทน”
“ได้ยังไง ฝ่าบาท แล้วพ่อว่าไง”
“พ่อจำข้าไม่ได้”
“ทำไมจะจำไม่ได้ พี่ยังจำได้ ใครๆ ก็ต้องจำได้”
“ใช่ เว้นพ่อ แปลกไหมล่ะ”
“ไม่แปลกหรอก บิดาเจ้าเห็นเฉพาะเจ้าเวลาทำตัวสงบเสงี่ยมเป็นนางใน แต่เรากะอสุนีเห็นเจ้าเสมอ เวลาไปเรียนวิชายุทธกัน เคยเห็นแม้เวลาเจ้าแต่งตัวอย่างชาย จึงรู้กันได้ทันที อีกอย่างจอมพลราชิดคงนึกไม่ถึงด้วย ถึงสายตาจะเห็นความละม้ายบ้าง แต่ใจปิดรับสัญญาณที่แท้จริงโดยสิ้นเชิง ก็เลยบอกสายตา ไม่ให้มองเห็นความจริงไปด้วย” ศิขรนโรดมบอก
“รับสั่งอะไรซับซ้อนเสมอ”
“อสุนี ข้าดีใจที่ได้เห็นเจ้า”
“หม่อมฉันดีใจยิ่งกว่า ที่รู้ว่าทรงปลอดภัย แคล้วคลาดจากแผนการเลวร้าย และเหล่าศัตรูได้แพ้ภัยไปอย่างราบคาบ”
“นั่นสิ ข้าโชคดีเกินฝันจริงๆ”
“ระหว่างเดินทาง หม่อมฉันครุ่นคิดเสียใจเพียงว่า หม่อมฉันตัดสินใจช้าไป และออกเดินทางมาช้าไป ถ้าหม่อมฉันมาถึงไม่ทัน มาถึงแล้วพบว่า...สายไปแล้ว...หม่อมฉันคงทนไม่ได้ คงต้องตายเสียดีกว่า”
“แล้วทำไมพี่ถึงเพิ่งคิดได้ล่ะ ฝ่าบาทก็เกือบแย่ไปจริงๆ ที่เมืองไทยนะ”
“โชคดี ที่มิถิลาช่วยข้าไว้ ข้าเป็นหนี้ชีวิตน้องสาวเจ้า”
“เจ้านี่มันเก่งนัก คงจะเก่งเกินข้าทุกอย่างจริงๆ ด้วย ใช่สิ ข้ามันเลวเอง”
“ไม่เอาน่า อสุนี เจ้าไม่สบายไม่ใช่เหรอ” อสุนีหน้าชา
“เอ่อ...ก็..ความจริง...” มิถิลารีบตัดบท
“ความจริงก็คือ พี่มันขี้โรคไงล่ะ ร่างกายอ่อนแอออดแอด ต้องนอนเฝ้าบ้านน่ะ สมควรแล้ว ให้ฉันออกมาเปิดหูเปิดตาบ้าง”
“พวกท่านคงไม่ต้องกักตัวชายคนนี้ไว้แล้วล่ะครับ เขาเป็นคนสนิทของเราเองที่ตามมาเพื่อปกป้องเรา” ศิขรนโรดมบอกกับตำรวจแล้วหันไปหารปภ. “พวกท่านจะปล่อยตัวเขาได้ไหม เราขอเอาเกียรติของเราเป็นประกัน ว่าอสุนีเป็นทหารคีรีรัฐที่อยู่ฝ่ายเรา ไม่ได้อยู่ฝ่ายผู้ก่อการร้าย ไม่ได้อยู่ฝ่ายจอมพลราชิด”
คำพูดของศิขรนโรดมทำให้อสุนี มิถิลา สบตากัน อึ้ง
“เดี๋ยวผมจะให้เขาจัดห้องพักที่ปลอดภัย ให้คุณอสุนี และคุณมิถิลา ในโรงแรมนี้ด้วยกันนะครับ” ภูสินทรบอก
“แต่มิน...พักกับข้า” ศิขรนโรดมบอก
“ดึกมากแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อนกันก่อนดีกว่าฝ่าบาท พรุ่งนี้ต้องทรงเสด็จนิวัติคีรีรัฐ ตามกำหนดการเดิม องค์ชายน่านปิงนรเทพได้วางแผนไว้หมดแล้ว กระผม ชาวคีรีรัฐเช่นกัน จะถวายอารักขาฝ่าบาทเอง”
ทุกคนเงียบไป อสุนีผงะ สบตามิถิลาที ศิขรนโรดมที
“น่านปิงนรเทพ”
ทุกคนไม่ตอบ ภูสินทรมองมา สายตาเข้มจริงจัง โหดๆ
ที่บ้านสี่ฤดู บราลีพับชุดนั้นไว้ที่ปลายเตียง ตนเองใส่ชุดนอนแบบผู้ชาย ล้างหน้าจนเกลี้ยงใสและรวบผมไว้หลวมๆ ม้วนๆ เป็นมวยกลางหัวมัดด้วยสายรัดผม เหมือนเด็กสาวธรรมดาๆ บราลีนั่งที่เตียง เก็บของประดับล้ำค่าต่างๆ ใส่กล่องตามเดิม สีหน้าสงบ ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว
ที่ห้องนอนจ้าวซัน จ้าวซันอยู่ในชุดลำลอง กางเกงวอร์ม เสื้อยืดเนื้อหนานุ่ม กำลังจัดกระเป๋าเหมือนจะไปซัก 2-3คืน
“ต้องไป จริงๆ หรือ” อากงถาม
“ใช่ ต้องไป”
“เสี่ยงมากด้วย ใช่ไหม”
“ใช่”
“แม่ใหญ่ก็บอกว่าซักวันนึง วันนี้ก็ต้องมาถึง มันมาถึงจริงๆ แล้วหรือนี่ ไม่น่าเชื่อ ว่าเวลาจะผ่านไปรวดเร็วราวกับลมพัด”
“สำหรับผม มันไม่เร็วเลย แต่พอมันมาถึง ผมกลับงงไปหมด ว่าควรทำอะไรก่อนหลัง”
“ทำทีละอย่าง”
“จริงสิ ต้องทำทีละอย่าง”
จ้าวซันลุกขึ้น มองอากงอย่างซึ้งใจ อากงอ้าแขนออก จ้าวซันเข้าไปกอด ต่างกอดกันแน่น
“เด็กชายตัวเล็ก ที่อากงสอนให้แต่งชุดไปโรงเรียนมัธยมแสนหรูหราของฮ่องกง วันนั้น เด็กคนนั้นโวยวาย...ว่าชุดกางเกงผ้าวูลนั้นมันคันมาก ใส่แล้วผื่นขึ้น และรองเท้าหนังคู่ใหญ่มันกัดเท้าเขาจนเป็นแผลที่ข้อนิ้วเท้าเลือดออก แล้วดูสิ เขาโตขึ้น เป็นชายหนุ่มที่แต่งตัวเก่ง พิถีพิถัน หล่อเหลามาก” อากงจับหน้าจ้าวซันดู “หล่อจริงๆ ยังกับเดวิด เจียง” จ้าวซันหัวเราะ
“โอ้โห รุ่นนั้นเลยหรือกง กงครับ ถึงภายนอกจะเป็นยังไง ในใจผมก็เหมือนเดิมแหละ”
“คุณชายมีหัวใจที่สวยงาม คุณชายอย่าสูญเสียมันไป”
“ผมจะพยายาม รักษามันไว้ แม้ตัวจะตาย”
“พยายามอย่าตาย”
“ครับ ผมจะพยายามไม่ตาย”
สองคนหัวเราะกัน
บราลีเก็บทุกอย่างไปวางหน้ากระจก แล้วนั่งดูเงาตัวเอง คิดหนัก ทันใดมีเสียงเคาะประตูเบาๆ บราลีรีบลุกไปเปิดประตู จ้าวซันก้าวเข้ามา ไม่ต้องพูดว่าคือคิดอะไร ทั้งสองก็ผวากอดรัดกันแน่น
“พี่ต้องไปแล้ว”
“ทำไมรีบจัง”
“พี่อยากไปถึง ก่อนหลายๆ คน”
“ให้น้องไปด้วย ไม่ได้หรือเพคะ”
“ไม่ได้หรอก น้อง...ต้องอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
“น้องอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด ขณะที่พี่ต้องไปในที่ที่อันตรายที่สุด แล้วพี่คิดว่าน้องจะทนอยู่ได้หรือเพคะ”
“น้องต้องทน เราทนกันมาตลอดชีวิต อีกไม่กี่วันเท่านั้น ทำไมจะทนไม่ได้”
“ตลอดชีวิตที่ผ่านมา น้องไม่รู้ว่ามีพี่ น้องอยู่มาแบบคนหลงทาง งุนงง เคว้งคว้าง ไม่รู้ที่มาที่ไป แต่ตอนนี้ น้องรู้แล้ว แล้วจะให้น้องเป็นเหมือนเดิมได้ยังไง”
“อย่าดื้อ”
“น้องไม่ได้ดื้อ เจ้าพี่นั่นแหละ ดื้อ...คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตายนะเพคะ”
“พี่ต้องการความคล่องตัว สถานการณ์อาจต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ถ้ามีน้อง พี่จะห่วง ไม่คล่องตัว ไม่มีสมาธิ”
“เจ้าพี่เห็นน้องเป็นผู้หญิงเหยาะแหยะ บอบบาง เป็นตัวปัญหา เป็นภาระหรือเพคะ เจ้าพี่ทำไมไม่คิดบ้าง ว่าน้องเก่ง เป็นหญิงสมัยใหม่ที่มีความคล่องตัว ที่อาจจะแบ่งเบาภาระ หรือช่วยอะไรพี่ได้มาก”
“นี่พี่ไม่น่าส่งน้องไปเรียนอเมริกาเลยนะ รู้งี้ส่งไปในประเทศที่เขาสอนผู้หญิงให้สงบเสงี่ยมว่านอนสอนง่าย เชื่อฟัง คงจะดี”
“เจ้าพี่เห็นน้องเป็นผู้หญิงที่ตกใจอะไร ก็ร้องกรี๊ดๆ วิ่งหนี แล้วก็ตะโกนว่าช่วยด้วยๆๆ หรือคะ หรือเห็นว่าน้องวิ่งช้า หนีอะไรไม่ทัน หัวสมองก็ทึบ คิดอะไรไม่ออก เปรียบเจ้าพี่เป็นราชสีห์ น้องอาจจะเป็นหนูฟันคมที่พอราชสีห์ถูกบ่วงนายพราน หนูตัวนี้ก็อาจจะใช้ฟันกัดเชือก ช่วยราชสีห์ให้หลุดออกมาได้”
จ้าวซันหัวเราะ เอาหน้ามาคลอเคลีย
“พูดเก่งจัง”
“อย่างอื่นก็เก่ง”
จ้าวซันทำหน้าดุ
“หมายถึงอะไร”
“ทุกอย่าง ฉลาด เก่ง เคยเรียนศิลปะป้องกันตัวด้วย น้องเคยเป็นเทควันโด้สายฟ้าแล้วนะ”
“โหย เก่งตายล่ะ สายฟ้า พี่น่ะ สายดำ จะบอกให้”
“นั่นแหละ แต่น้องก็สู้ได้”
“งั้นขอทดสอบหน่อยนะ”
จ้าวซันดึงตัวบราลีเข้ามา บราลีพลิกหลบ ต่อยใส่ จ้าวซันเบี่ยงหลับ บราลีหมุนตัว จะมาเตะ จ้าวซันจับขาไว้ แล้วตวัดพลิก บราลีล้มลง จ้าวซันรีบพุ่งเข้ามา เอาตัวรองรับไว้ ทั้งสองล้มลงไปบนเตียง บราลีทับข้างบน บราลีหัวเราะ จะดิ้นออก
“ไงล่ะ สายฟ้า”
“เจ้าพี่ขี้โกง แบบนี้ไม่ใช่การต่อสู้แล้ว”
“ที่บอกว่าเก่งทุกอย่าง แปลว่าอะไร ไม่ใช่ไปเรียนอเมริกาแล้วทำตัวเป็นสาวอเมริกันนะ”
“อ๋อ นี่...เจ้าพี่คิดอะไรอยู่เพคะ”
“แล้วเมยล่ะ คิดอะไรอยู่”
บราลีสบตาใกล้ แววตาอ้อนสุดๆ
“ให้น้องไปด้วยนะเพคะ”
“ไม่”
“ให้น้องไปด้วย น้องไม่อยากให้เจ้าพี่ไปคนเดียว”
“ไม่”
“ให้น้อง...”
จ้าวซันจูบปิดปากทันที บราลีหมดโอกาสพูดให้จบ ทั้งสองกอดจูบ นัวเนียกันไป
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 10 (ต่อ)
วันต่อมา อเล็กซ์เดินไปมา มาดกร่างอยู่ในเซฟเฮ้าส์ ราชิดโดนควบคุมตัวแน่นหนา ทั้งตำรวจฮ่องกงมากมาย และคนคีรีรัฐของภูสินทร
“สารภาพมาให้หมด ว่าท่านตั้งใจว่าจะเอาอาวุธพวกนั้นไปทำอะไร”
ราชิดใจลอยๆ เศร้าๆ เหม่อๆ
“ผมไม่รู้เรื่อง”
“แต่ท่านคือคนบัญชาการ ให้ทหารเอาลังอาวุธพวกนั้น ขึ้นไปไว้บนเครื่องบนเช่าเหมาลำๆ นั้น”
“เท่าที่ผมรู้ ลังพวกนั้นคือของขวัญจากคุณชายจ้าวซัน ถวายแด่องค์ชายรัชทายาท ผมก็ได้รับพระบัญชาให้เอาไปเก็บก็เท่านั้น”
อเล็กซ์ถีบโต๊ะข้างหน้า จนโต๊ะบิน
“โกหก”
ผู้กองเหลียงเข้ามาจับแขนอเล็กซ์
“น้อยๆ หน่อย อเล็กซ์ ท่านผู้นี้เป็นถึงจอมพลทหารนะ เกรงใจท่านบ้าง”
“เราจับไอ้พันหงปิงได้แล้ว ไอ้จ้าวฉินเจียงก็โดนจับแล้ว ทุกคนสารภาพหมดแล้ว ทางเดินของเงินตามบัญชีธนาคารของทุกคน เราก็ได้มาแล้ว ยังจะมาทำปากแข็งอีก จะเอายังไงกะกู หา”
อเล็กซ์กระชากคอราชิดมา ผู้กองเหลียงเข้าห้าม ปลดมืออเล็กซ์ออก
“คุณอเล็กซ์ ผมว่าคุณออกไปสงบสติอารมณ์ก่อนดีไหม”
หมวดจางพาโกศินเข้ามา
“ผู้กองครับ ผู้ต้องหารายนี้ มีเรื่องอยากจะขอร้องครับ”
“เรื่องอะไร”
“ผมอยากจะส่งข่าวถึงลูกเมีย ว่าผมไม่ได้กลับไปวันนี้ เพราะอะไร อยู่ที่ไหนทำไม ยังไง กับใคร ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“ไม่ได้เว้ย ห้ามใครติดต่อใครทั้งนั้น ขืนปล่อยให้พวกแกติดต่อคนที่ประเทศได้ แกก็จะไปบอกพวกกบฏด้วยกัน ว่าแผนแตก แกโดนจับแล้ว แล้วพวกนั้นก็จะได้รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหางน่ะสิ”
ภูสินทรเดินเข้ามา
“แต่สำหรับจอมพลราชิด ท่านคงไม่ต้องติดต่อใคร เพราะญาติที่มีทั้งหมดก็อยู่นี่แล้ว” ราชิดมองภูสินทรตาขวาง
“ไอ้ภูสินทร ไอ้งูพิษ กูมันพลาดเอง ที่ตีงูให้หลังหัก”
“จำไว้เลยนะว่าทีหลัง ต้องตีให้ตาย และตายก็ต้องเห็นศพด้วย เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะไม่ตายจริง”
“แล้วแกหมายความว่าไง ญาติอะไรของข้าทั้งหมดอยู่ที่นี่”
“อยากรู้เหรอ อยากรู้ งั้นเชิญ”
ภูสินทรพาราชิดมาอีกห้อง ตำรวจยังตามติด
“ไหนอีกล่ะ ญาติข้า ญาติทางไหนอีกไม่ทราบ”
“เชิญนั่ง รอเดี๋ยว” ภูสินทรหันไปสั่งลูกน้อง “ให้สองคนนั่นเข้ามาได้”
สมุนภูสินทรออกไป แล้วพออสุนีเข้ามา
“พ่อ”
“อสุนี แก...แกมันไอ้ลูกนอกคอก แกมาทำไม แกไม่ควรต้องมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ พ่อปกป้องแกไว้ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ หากพ่อพลาด แกไม่ชอบหรือ แกจะมาให้ตัวแปดเปื้อนทำไม”
“พ่อ ข้าขอโทษ ข้าอยากมาช่วยพ่อ”
“ช่วยเหรอ ช่วยยังไง ช่วยให้พ่อตายเร็วขึ้นงั้นสิ”
“ช่วย ให้พ่อไม่ต้องทำเรื่องนี้ ช่วยให้พ่อไม่ต้องทำร้ายองค์ชาย พ่อจะได้ไม่ต้องมาถูกจับแบบนี้ แต่ข้าก็มาไม่ทัน ไม่ทันที่จะห้ามพ่อได้”
“หยุดพูด หยุดคิดอะไรแบบนี้ แล้วจะมาพูดแบบนี้ตอนนี้เพื่ออะไร ขอให้แกรู้ไว้ ว่าพวกมันไม่ปล่อยพ่อแน่ พ่อ
ต้องตายเพราะพวกมัน แกจะทนดูได้ก็ตามใจ และขอให้แกจำใส่ใจไปตลอดชีวิต แม้พ่อจะตาย ว่าพ่อทำทุกอย่าง ก็เพื่อแก กับน้องสาวของแก”
“พ่ออย่ามาอ้างพวกเราเลยค่ะ”
ราชิด โกศินหันไป มิถิลาเดินเข้ามา ยังอยู่ในชุดทหารแต่กิริยาเป็นหญิง ราชิดถึงกับผงะ
“แก”
“ค่ะ มิถิลา ลูกสาวพ่อเอง หนูเกือบจะตาย แทนองค์ชายไปครั้งหนึ่ง ที่ประเทศไทย เสียดาย ที่หนูไม่ตาย หนู
อยากรู้นัก ถ้าพ่อทราบว่าคนที่ยอมถวายชีวิตแด่องค์ชายรัชทายาท คือลูกของพ่อเอง จะทำให้พ่อคิดอะไรได้ไหมคะ ความตายของหนูตะทำให้พ่อได้สำนึกขึ้นมาบ้างไห หรือไม่เลย”
“ไอ้มิน...ที่แท้ ไอ้มินคือ...”
“ลูกสาวข้า รับใช้องค์ชายและนอนเฝ้าปรนนิบัติองค์ชายทุกคืน ปกป้ององค์ชายทุกวัน มิถิลาลูกสาวข้าเอง ที่รักองค์ชายมากกว่าข้า ข้ารู้แล้ว ที่ข้าพลาดพลั้งคราวนี้ ไม่ใช่เพราะจ้าวซัน ไม่ใช่...เพราะองค์ชายน่านปิงนรเทพ หรือเพราะไอ้หน้าไหนที่เป็นคนอื่น แต่ที่พ่อพ่ายแพ้ ก็เพราะ...ลูก ข้ามีแต่ลูกทรยศๆๆ” ราชิดช็อก หมดสติไป มิถิลารีบเข้ากอดพ่อ
“ช่วยพ่อด้วยๆ พ่อเป็นความดันโลหิตสูง อาจเสียชีวิตได้ คุณเมืองเทพคะ ช่วยพาหมอมารักษาพ่อด่วนด้วย ได้ไหมคะ ข้ากราบล่ะ”
ภูสินทรรีบเข้ามาดูแล ตำรวจรีบโทร.เรียกหมอ
ที่สนามบินฮ่องกง ระหว่างทางเดินไปขึ้นเครื่อง ภูสินทรกับคนของเขา และตำรวจฮ่องกงบางส่วนเดินนำ คอยเคลียร์ทางและระวังความปลอดภัย โดยมีศิขรนโรดมเดินมา ตามด้วย จ้าวซัน บราลี และมิถิลาที่แต่งชุดเป็นองครักษ์ชาย กับอสุนีในเครื่องแบบอยู่ข้างหลัง ก่อนถึงทางเดินเข้าอุโมงค์ขึ้นเครื่อง ศิขรนโรดมหยุดและหันกลับมา
“ส่งกันแค่นี้ก็พอ แล้วน้องจะรอ วันที่เจ้าพี่เสด็จไปคีรีรัฐ”
“พี่จะไปเยี่ยม ตามที่เรานัดกันไว้”
“น้องจะเตรียมดำเนินการทุกอย่างไว้รอ ได้โปรดทรงพระกรุณาเดินทางมาให้เร็วที่สุด”
“พี่ไปตามนัดแน่ อย่าห่วง”
ศิขรนโรดมกับจ้าวซันมองตากันอย่างเข้าใจ อสุนีและมิถิลายืนก้มหน้าสงบด้านนึง บราลียืนข้างหลังจ้าวซัน ทำตัวดุจเป็นราชองครักษ์ของจ้าวซันคนนึง
“ขอบคุณมากสำหรับทุกอย่างและการต้อนรับอันแสนอบอุ่นที่นี่ หวังว่าเจ้าพี่คงไม่ยุ่งยากลำบากกับเรื่องราวมากมายที่ต้องตามล้างตามเช็ดต่อไปที่นี่”
จ้าวซันก้มศีรษะรับคำ
“พี่จะทำให้ดีที่สุด”
“ม่านฟ้า” ศิขรนโรดมหันมาทางบราลี
“เพคะ”
“ฝากดูแลเจ้าพี่ด้วย แล้วถ้ามีโอกาส คีรีรัฐรอต้อนรับชาวคีรีรัฐทุกคนเสมอ”
“หม่อมฉันจะให้คนของผมตามไปถวายอารักขาฝ่าบาทด้วย ดีไหมพะย่ะค่ะ” ภูสินทรถาม
“ไม่เป็นไร คงไม่เกิดอะไรขึ้นแล้วล่ะ อีกอย่างเรามีองครักษ์ฝีมือดีเดินไปกับเราด้วยถึงสองคน”
ศิขรนโรดมมองไปที่มิถิลาและอสุนี
“ท่านอสุนี ท่านมิถิลา” ทั้งสองโค้ง “เรื่องอาการป่วยของจอมพลราชิดนั้น เราจะรับผิดชอบเองอย่างเต็มที่ และจะส่งข่าวให้ทราบตลอดเวลา”
“เป็นพระกรุณา”
“หม่อมฉันจะไม่ลืมน้ำพระทัยอันสูงส่ง”
มิถิลาและอสุนีชำเลืองมองกัน
“ฝากด้วย เจ้าพี่”
จ้าวซันก้มศีรษะรับคำ ศิขรนโรดมหันหลังเดินขึ้นเครื่องไป ตามด้วยมิถิลาและอสุนี จ้าวซัน บราลี และภูสินทรยืนรอส่งจนศิขรนโรดมลับสายตา มิถิลาหันมามองหน้าจ้าวซันอีกที ท่าทางไม่สบายใจ แล้วเดินลับสายตาไป อสุนีกับมิถิลาหันมามองหน้ากัน ครุ่นคิด
บราลีหันไปมองหน้าจ้าวซัน สีหน้าจ้าวซันยังดูไม่ค่อยสบายใจนัก
“ทุกอย่างน่าจะเป็นไปด้วยดีนะคะ”
“ยังบอกไม่ได้หรอก”
เครื่องบินแลนดิ้งที่สนามบินคีรีรัฐ ศิขรนโรดมเดินออกมาจากห้องผู้โดยสารขาออก ทหารคีรีรัฐตั้งแถวต้อนรับประมาณ 10 คน และชาวเมืองที่มายืนมุง รอถวายดอกไม้ป่าและกล้วยไม้ ที่ทำเป็นช่อๆ จัตุรัสและทหารชั้นผู้ใหญ่ 2-3 คนเห็นศิขรนโรดมเดินออกมากับมิถิลา ที่แต่งชาย จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับ
“ฝ่าบาท” จตุรัสมองสังเกตรอบๆ “ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่ไหมพะย่ะค่ะ”
“ก็มีเรียบร้อยบ้าง ไม่เรียบร้อยบ้าง เรื่องอะไรล่ะที่ท่านจัตุรัสอยากทราบ”
“เอ่อ คือ...”
ศิขรนโรดมเดินผ่านแถวทหาร ทหารต่างถวายความเคารพกันพรึ่บพรั่บ
“เราบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าไม่ต้องพาทหารมาต้อนรับให้วุ่นวาย”
“มิได้ฝ่าบาท ทุกอย่างต้องสมพระเกียรติ”
“ขอบใจ เรารู้แล้วล่ะว่าพวกท่านรักเราขนาดไหน”
จัตุรัสมองไปข้างหลัง มองหาราชิด โกศินและทหารคนอื่นๆ
“เอ...แล้วจอมพลราชิด โกศิน และทหารคนอื่นๆ ล่ะพะยะค่ะ ทำไมไม่รีบตามเสด็จออกมา”ศิขรนโรดมหยุดเดิน
“ท่านราชิดป่วยหนัก คงยังเดินทางกลับมาวันนี้ไม่ได้ พวกโกศินและก็ทหารที่เหลือก็เลยต้องเฝ้าดูอาการอยู่ที่ฮ่องกง เราให้คนส่งข่าวมาแจ้งแล้วนี่ ทำไมท่านไม่ทราบ”
จัตุรัสงง ทำหน้าครุ่นคิด ศิขรนโรดมรีบเดินออกไป มิถิลาตาม พวกประชาชนเข้ามาถวายดอกไม้ ศิขรนโรดมรับ จตุรัสมองตามไป มองรอบๆ เหวอๆ
สักพักมีทหารคีรีรัฐวิ่งกระหืดกระหอบมาหาจัตุรัส กระซิบเบาๆ ที่ข้างหูจัตุรัส จัตุรัสรีบตามมาหาศิขรนโรดม และผลักมิถิลาออกไปอย่างแรง จนเซเกือบล้ม
“เอ่อ ฝ่าบาทแล้วของ...”
ศิขรนโรดมจ้องมองกลับมาเหมือนจะบอกให้พูดออกมาให้หมด
“ของอะไร”
“คือ ข้าวของทั้งหมด ที่เรา...เอ่อ ซื้อมาจากฮ่องกง”
“สัมภาระทั้งหมดของเราออกมาเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ช็อปปิ้งอะไรเลย ไม่มีเวลา มีอะไรที่เจ้ายังเป็นห่วงอีกไหม”
จัตุรัสมองๆ หาพวกทหารติดตาม
“แล้วทหารตามเสด็จ ทำไมจึงมีไอ้ผอมขี้โรคนี่คนเดียวพะย่ะค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน ท่านจตุรัส อย่าดูถูกมันเด็ดขาด ไอ้เจ้ามินคนนี้มันเป็นทหารคนสนิทของเรา เราต้องการให้มันนั่งข้างๆ ติดตัวตลอดเวลา นอกนั้นก็ทิ้งไว้ให้ดูแลผู้บังคับบัญชามันที่ฮ่องกง”
จัตุรัสพยายามส่องมองหน้า มิถิลาก้ม หลบ พยายามหันหลังให้
“ทำไมข้าไม่เคยเห็นหน้า หากเจ้าเป็นราชองครักษ์คนสนิทในวัง ข้าต้องจำพวกทหารในวังได้ทุกคนสิ ไหน...ขอดูหน้าเจ้าให้ถนัดๆ หน่อย”
มิถิลาตัวแข็ง กำลังจะหันไป ศิขรนโรดมหน้าซีด คิดแก้สถานการณ์ ทันใดนั้นอสุนีในชุดเต็มยศ ก้าวออกมาประสบเหตุพอดี
“ท่านอา”
จัตุรัสหันมา แปลกใจ
“อสุนี” อสุนีรีบเข้ามา ทำความเคารพแบบทหาร “เจ้า ตามเสด็จมาได้ยังไง อสุนี”
“ข้าตามไปถวายอารักขาที่ฮ่องกงไงครับผม”
“อะไรกัน นี่เจ้าออกนอกประเทศไปได้ยังไงโดยไม่รายงานข้า”
อสุนีมองหน้าศิขรนโรดม อึกอักเล็กน้อย
“เป็นคำสั่งลับของท่านพ่อข้า เมื่อท่านมีอาการป่วย ต้องเข้าโรงพยาบาลกะทันหัน จึงเรียกตัวข้าไปแทน”
“จอมพลราชิดสั่งให้อสุนีมาดูแลเราตามความประสงค์ของเราเอง มันเป็นปัญหาใหญ่มากหรือท่านจัตุรัส ท่านคิดว่าตัวเองเป็นใครหรือ ถึงได้มาซักไซ้บรรดาเด็กๆ ของเรา ข้ามหน้าเราไปมากลางสนามบินนี่ เราเหนื่อย อยากกลับไปเฝ้าเจ้าพ่อเจ้าแม่เต็มทนแล้ว ไปกันได้หรือยัง”
จัตุรัสอึ้ง รีบทำความเคารพ
“พระอาญาไม่พ้นเกล้า”
ศิขรนโรดมพยักหน้า ให้อสุนีและมิถิลารีบนำไป
ที่เรือนจำฮ่องกง ตำรวจผู้คุมเรือนจำเดินพาจ้าวซันและทนายเข้าไปในส่วนที่เป็นที่สำหรับเยี่ยมนักโทษ
“คุณชายจ้าวซัน กับคุณทนายโรเบิร์ตคงต้องรอก่อน เพราะจ้าวฉินเจียงตอนนี้กำลังมีคนมาเยี่ยมอยู่เหมือนกัน”
ทั้งหมดเดินไปถึง และหยุดรอ จ้าวซันมองเห็นภาพตรงหน้าสีหน้าอ่อนโยน เพราะซูหลิงกำลังนั่งคุยอยู่กับฉินเจียง ซูหลิงหน้าตาเศร้าซึม ฉินเจียงอยู่ในสภาพอิดโรยและทรุดโทรม หวีผมเสยเปิดหน้า เคราไม่โกน มีผู้คุมยืนคุมเข้มข้างๆ
ซูหลิงซื้อของกินมาฝากฉินเจียงมากมาย วางอยู่บนโต๊ะ ฉินเจียงจิบกาแฟที่ซูหลิงซื้อมาฝาก
“ซูหลิง เธอลำบากหรือเปล่า แล้วร้านเธอ จะทำยังไง”
“ชั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ ก็ทำทุกอย่างไปตามแผนเดิม แต่คุณอดทนรออีกหน่อยนะคะ ไท้เผ่ง เดี๋ยวก็มีคนมาประกันตัวให้แน่ๆ”
“เลิกเรียกชั้นว่าไท้เผ่งได้แล้ว แล้วก็คงไม่มีใครมาประกันหรอก ป่านนี้ใครๆ เขาคงกำลังสะใจ สมน้ำหน้าชั้นอยู่มากกว่า”
จ้าวซันได้ยิน ถอนใจ ทนายกระแอมไอเบาๆ ฉินเจียงกับซูหลิงหันไปมอง พวกจ้าวซันยืนรออย่างสงบเสงี่ยมทางนึง
“คุณชาย”
“จ้าวซัน”
“เชิญค่ะ ฉันกำลังจะกลับพอดี”
ซูหลิงลุก ฉินเจียงไม่สบอารมณ์หันหลังและลุกบ้าง
“ผมไม่ขอรับการเยี่ยม ง่วง...ไปหาที่แอบนอนก่อนนะ” ฉินเจียงบอกผู้คุม
“ไท้เผ่งคะ เดี๋ยวสิ”
“ฉินเจียง”
ฉินเจียงหยุด หันกลับมา
“พี่จะมาที่นี่ทำไม จะต้องมาดูให้เห็นกับตาใช่ไหมมาผมอยู่ในคุกแน่ๆ พอใจหรือยังล่ะ เห็นแล้วใช่ไหมว่าผมมันน่าสมเพชแค่ไหน”
ผู้คุมหลายๆ คน โผล่มามุง มองหน้ากัน เอาไงดี
“ใช่ แกมันน่าสมเพช”
ฉินเจียงตะลึง
“นั่นไงล่ะ คุณชายที่ใครต่อใครชื่นชมว่าดีนักหนา สุดท้ายก็โผล่หางออกมาให้เห็นจนได้”
“ก็แกมันน่าสมเพชจริงๆ ที่ยังฝังความคิดแบบนี้อยู่ในหัว ฉันมาที่นี่ก็เพื่อจะพาคุณทนายโรเบิร์ตมาช่วยแก เราต้องคุยกัน ว่าจะทำได้บ้าง กับคดีที่ร้ายแรงขนาดนี้”
“ใจเย็นๆ นะครับ ไท้เผ่ง คดีนี้มันไปพัวพันกับผู้ก่อการร้าย เราต้องใช้เวลาบ้าง”
“ไม่เชื่อเว้ย ผู้ก่อการร้ายตัวจริงมันยืนอยู่นั่นไง ไม่ใช่คนอื่น จับมันสิ ไอ้จ้าวซันนั่นไง จับมัน”
ผู้คุมรีบขยับมาจับแขนฉินเจียงไว้
“จำเรื่องที่ฉันบอกแกวันนั้นว่าฉันจะไปจากอาณาจักรจ้าวฉินเย่ว์ได้ไหม ฉันกำลังจะไป แกก็ช่วยร่วมมือ ให้ชั้นได้รีบๆ ไปเร็วๆ หน่อยเถอะ”
“ไม่ต้องมาพูดดี ออกไป” ฉินเจียงคว้าถ้วยกาแฟ เขวี้ยงไปที่จ้าวซัน โดนจ้าวซันเต็มๆ ตำรวจรีบมาลากพาตัวฉินเจียงออกไป “ออกไป ไม่ต้องให้มันเข้ามาอีก”
นักโทษคนอื่นมองตาม ซูหลิงรีบเอากระดาษทิชชู่เช็ดกาแฟที่เปื้อนตามตัวจ้าวซัน
“อย่าโกรธฉินเจียงเลยนะคะ ดิฉันต้องขอโทษแทนฉินเจียงด้วย เขาคงยังทำใจไม่ได้”
จ้าวซันหยิบทิชชู่จากมือซูหลิงมาเช็ดเอง
“ผมเข้าใจครับ”
จ้าวซันมองตามฉินเจียงที่ร้องโวยวายและโดนลากออกไป ถอนใจด้วยความระอา
ที่คีรีรัฐ ศิขรนโรดมเดินมาตามทางของด้านหนึ่งในวัง จัตุรัสและทหารผู้ใหญ่เดินสวนมาอีกด้านหนึ่ง ศิขรนโรดมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าห้องทรงงานของเจ้าหลวง จัตุรัสและทหารชั้นผู้ใหญ่หยุดคำนับ
“มาถึงพระตำหนักชั้นใน มีธุระอะไรกับเสด็จพ่อเหรอท่านจัตุรัส”
“เอ่อ...คือ กระหม่อมจะมารายงานว่าองค์ชายเสด็จกลับมาแล้ว”
“เราก็กำลังจะเข้าไปรายงานตัวอยู่พอดี”
“แต่จอมพลราชิดกับโกศินไม่ได้มาด้วย”
“เราก็จะไปบอกเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน”
“และก็มีเรื่องงานราชการ”
“เสด็จแม่บอกว่าเจ้าหลวงมาทยาธรยังไม่ทรงหายดีจากอาการไข้ พวกท่านมาหารือกับเสด็จพ่อวันหลังจะดีกว่า”
จัตุรัสกับพวกทหารมองหน้ากัน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นล่ะก็...”
“รีบไปเถอะ เรามีเรื่องจะรายงานเสด็จแม่มากมายหลายเรื่องอยู่เหมือนกัน”
จัตุรัสและพวกก้มหัวคำนับให้ศิขรนโรดม ศิขรนโรดมเคาะประตูห้องทรงงานสองสามที
“เชิญ”
ศิขรนโรดมผลักประตูเข้าไป ปิดประตูใส่หน้าพวกจัตุรัส จัตุรัสกับพวกทหารชั้นผู้ใหญ่เดินต่อไป คุยกันกระซิบกระซาบ
“เรื่องนี้มันทะแม่งยังไงชอบกล ทำไมเราถึงติดต่อท่านราชิดไม่ได้”
“ขาดการติดต่อแบบนี้แล้วเราจะไปถามความจริงจากใครได้”
“ก็นั่นน่ะสิ”
“เราชักรู้สึกทะแม่งๆ องค์ชายเอง ก็ทรงดูแปลกๆ ไป ขอให้พวกเราทุกคนจับตาดูไว้ให้ดี อย่าได้ประมาท”
ทั้งสามพากันเดินจากไป จัตุรัสหันกลับไปมองที่ห้องทรงงาน สีหน้าครุ่นคิด กังวล
ในห้องทรงงานเจ้าหลวงมาทยาธร ศิขรนโรดมเดินเข้าไปในห้องทรงงาน พระเทวีสิริวารตีนั่งอยู่ที่โต๊ะ เห็นก็รีบลุกขึ้นมา ศิขรนโรดมรีบคุกเข่าถวายความเคารพ พระเทวีสิริวารตีดีใจรีบประคองขึ้นมากอด
“แม่นึกว่าจะไม่ได้กอดเจ้าแบบนี้อีกแล้ว”
“ทำไมเจ้าแม่ถึงพูดอย่างนั้น”
“ยังจะถามอีกเหรอ เรื่องนี้เจ้าก็รู้อยู่เต็มอก ลูกดูซูบไปนะ”
“เจ้าแม่ทรงรู้ไหมว่าลูกไปพบใครมาบ้าง”
“รู้หมดแล้ว”
“สายของเสด็จแม่นี่รายงานข่าวได้รวดเร็วจริงๆ ว่าจะมาเล่าให้เสด็จแม่ฟังเองสักหน่อย งั้นลูกกลับดีกว่า”
ศิขรนโรดมทำท่าจะเดินกลับออกไป
“อยากเล่าก็เล่ามา และแม่ก็อยากรู้ว่าสายของแม่ทำงานขาดตกบกพร่องตรงไหน หรือว่าทำเกินคำสั่งหรือเปล่า”
พระเทวีสิริวารตีมองศิขรนโรดมอย่างจับผิดและรู้ทัน ศิขรนโรดมเมินหนี หน้าแดง
“แล้วเจ้าพ่อทรงเป็นอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ” พระเทวีสิริวารตีอึ้ง
ศิขรนโรดมกับพระเทวีสิริวารตีเดินเข้ามายังที่ประทับของเจ้าหลวงมาทยาธร ในห้องนั้นปิดม่านสลัวๆ เห็นเจ้าหลวงมาทยาธรนอนอยู่ มีนางกำนัลพยาบาลเฝ้าไข้อยู่คนนึง พระเทวีสิริวารตีเดินไปเปิดม่าน ศิขรนโรดมเดินเข้าไปที่เตียงอย่างห่วงใย
“เจ้าพ่อ”
มาทยาธรลืมตา แล้วหันมาเพ่งดู
“ศิขรนโรดม กลับมาแล้วหรือ”
“ทรงมีไข้หรือพะย่ะค่ะ”
“ใช่ เป็นมาสองวันแล้ว ไข้ขึ้นสูงมาก”
“ท่านหมอหลวงเกรงว่าจะเป็นไข้เลือดออก แต่เจาะเลือดดูแล้วไม่ใช่”
“เจ้าพ่อไปทรงทำอะไรมา”
“วันก่อน รู้สึกร้อน เลยให้จัตุรัสพาไปเที่ยวบนเขา”
“เสด็จกลับมาเสียค่ำ แล้วก็โดนฝน”
ศิขรนโรดมฉุนปรี๊ด
“เจ้าพ่อไม่ควรเสด็จไปไหนกับนายพลจัตุรัสอีก ต่อไปนี้ลูกจะไม่ยอมให้เจ้าพ่อพ้นสายตาอีกแล้ว”
“กลับมาถึงก็มาดุพ่อ เจ้าล่ะ เป็นอย่างไร ได้ไปเปิดหูเปิดตา เที่ยวต่างประเทศ ได้พบได้เจอผู้คนและสิ่งต่างๆมากมายสินะ”
“ใช่แล้วพะย่ะค่ะ หม่อมฉันได้พบ บุคคลสำคัญสมใจจริงๆ”
“ใครหรือ บุคคลสำคัญ นักการเมือง ดารา หรือนักกีฬา”
“บุคคล...ในประวัติศาสตร์น่ะพะย่ะค่ะ”
“หมายความว่ายังไง ใครกัน” มาทยาธรพยายามจะลุก พระเทวีสิริวารตีรีบมาประคอง
“ทรงอยากลุกหรือเจ้าพี่ ไหวไหมเพคะ”
“ใคร...ใครคือบุคคลในประวัติศาสตร์”
“ที่ฮ่องกง...บุคคลสำคัญที่ถูกลืม..แต่เขายังอยู่ แล้วเขาก็ช่วยเรา เจ้าพ่อน่าจะทรงทราบว่าพวกที่เจ้าพ่อไว้วางพระทัยวางแผนทำอะไรกับลูก” ศิขรนโรดมหลั่งไหลพรั่งพรู
“เจ้าพูดถึงอะไร”
“ศิขรนโรดม” พระเทวีสิริวารตีปรามลูกชาย ศิขรนโรดมผงะ อึ้ง เสียใจที่หลุดปากออกมา “แม่ว่าเจ้าพ่ออยากจะทรงพักแล้วล่ะ ลูกออกไปก่อน”
“พี่ไม่ได้อยากพัก พี่อยากคุยกับลูก ให้ลูกเล่าเรื่องที่ไปเมืองนอกมาให้หมด เมื่อกี๊ลูกพูดว่าใครช่วยลูก และใครวางแผนจะทำอะไรลูก”
“ไม่มีอะไรพะย่ะค่ะ”
“ศิขร...”
“เอ่อ คือลูกหมายถึง ที่ต่างประเทศมีคนสำคัญมากมาย หลายๆ คน ลูกเคยได้รู้จักแต่ชื่อ ผ่านการศึกษาวิชาต่างๆ เช่นวิชาประวัติศาสตร์ที่เขาอยากช่วยประเทศของเรา ขณะที่คนที่เราเคยคิดว่าดีกลับไม่ดี ลูกหมายความว่าเขาไม่ได้หวังดีกับบ้านเมืองเราจริงๆ อย่างที่เราเคยคิด”
“ลูกพูดอะไร ฟังแล้วงงจริง”
“ลูกคงหมายความว่าคนที่ลูกไปเจอมา คนบางคนก็หวังดี อยากช่วยคีรีรัฐ แต่บางคนที่นึกว่าจะช่วยกลับไม่ช่วยจริง อะไรทำนองนั้น ใช่ไหมลูก”
“ถูกแล้วพะย่ะค่ะ เจ้าแม่”
ศิขรนโรดมแอบสบตาพระเทวีสิริวารตี แล้วก้มหน้าลง มาทยาธรสงสัย
โรงพยาบาลที่ฮ่องกง เต๋อเป่านอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงผู้ป่วยมีสายน้ำเกลือและเครื่องตรวจวัดชีพจรต่างๆ ห้อยระโยงระยาง และบนหน้าเต๋อเป่าก็มีหน้ากากของเครื่องช่วยหายใจครอบอยู่ เท้าผู้หญิงในรองเท้าส้นสูงราคาแพง
ก้าวมาตามทางเดินหน้าห้อง
สักพักประตูห้องพักของเต๋อเป่าค่อยๆ เปิดออก มีคนเดินเข้ามาซึ่งก็คือเหม่ยอิง เหม่ยอิงเดินหน้าเรียบเฉยเข้ามา ยืนข้างๆ เตียงเต๋อเป่า มองเต๋อเป๋าและกราฟหัวใจและคลื่นสมองบนหน้าจอ เห็นกราฟเป็นแค่คลื่นเตี้ยๆ เหม่ยอิงยิ้มอย่างพอใจ
“จุดจบทาสผู้ซื่อสัตย์ของจ้าวซัน มันก็แค่นี้เองหรอกเหรอ ไม่เท่เอาซะเลย” เหม่ยอิงชะโงกหน้าเข้าไปมองเต๋อเป่าใกล้ๆ เสียงกระบอกสูบจากเครื่องช่วยหายใจดังเป็นจังหวะ “คงหายใจลำบากสินะ เดี๋ยวฉันช่วยแล้วกัน”
เหม่ยอิงกระชากสายที่ต่อกับเครื่องช่วยหายใจออก เสียงกระบอกสูบเงียบลง
“หลับให้สบายนะเต๋อเป่าคนดี”
ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก พยาบาลถือถาดเข็มฉีดยาเดินเข้ามา เหม่ยอิงสะดุ้งตกใจ รีบปล่อยสายต่อจากเครื่องช่วยหายใจในมือทิ้ง
“ตายจริง คุณพยาบาลมาพอดี ช่วยด้วยค่ะ คืออยู่ดีๆ ไอ้เครื่องนี่มันก็ดับไป แล้ว...”
พยาบาลตกใจรีบวางถาดยาและวิ่งมาดู
“เครื่องไหนคะ”
จ้าวซันเดินเข้ามาในห้องพอดี เห็นพยาบาลและเหม่ยอิงยุ่งวุ่นวายอยู่กับเครื่องช่วยหายใจ
“เหม่ยอิง? เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
เหม่ยอิงหันไป หน้าถอดสี แต่พยายามทำตัวเป็นปกติ
“พี่ชายใหญ่ คือน้องมาเยี่ยมเต๋อเป่า แล้ว...”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ โชคดีนะคะที่คุณสังเกตเห็น ไม่งั้นคนไข้แย่แน่ๆ”
จ้าวซันฟังพยาบาล แล้วมองมาที่เหม่ยอิงอย่างชื่นชม พยาบาลเดินไปเอาถาดฉีดยามา เติมยาที่ขวดน้ำเกลือ แล้วเดินออกไป
“น้องก็นึกว่าทุกคนคงลืมเต๋อเป่าไปแล้ว ก็เลยมาเยี่ยม”
“ขอบใจมากๆ เหม่ยอิงที่เป็นห่วงเต๋อเป่าแทนพี่”
“ก็รู้ว่าพี่ชายใหญ่ไม่มีเวลา”
จ้าวซันเดินเข้ามาดูเต๋อเป่าใกล้ๆ แล้วถอนหายใจ
“แต่รู้มีน้องคอยดูแลเต๋อเป่าอยู่พี่ก็สบายใจ” จ้าวซันมองเต๋อเป่าด้วยความเป็นห่วง เหม่ยอิงอยู่ข้างหลังเบ้ปาก ทำหน้าหมั่นไส้ จ้าวซันหันกลับมาหาเหม่ยอิง เหม่ยอิงรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นปกติ “ฝากดูด้วยแล้วกันนะ เต๋อเป่ามันมีบุญคุณกับพี่มาก ถ้าเป็นอะไรไป...”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ เต๋อเป่าจะต้องหายเป็นปกติแน่นอน เพราะน้องจะดูแลเขาเป็นอย่างดี”
เหม่ยอิงหันไปมองเต๋อเป่าที่ยังไม่ได้สติ แววตาเปลี่ยนเป็นเหี้ยมเกรียม
อ่านต่อตอนที่ 11