xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 10

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดมทอง ตอนที่ 10

บรรยากาศของงานเลี้ยงยังคงดำเนินไป โดยกลุ่มท่านรัฐมนตรีพจน์ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพแข็งขัน โดยพิชญ์ และพิณทองต่างฝืนทำตัวสดชื่นคุยกับบรรดาแขกเหรื่อในงาน

ส่วนภูไทรอวิรงรองนานจนเริ่มกังวล เอียงหน้าไปกระซิบบอกกับลานนา
“อยู่นี่นะ...พี่จะไปตามหาวิรงรอง”
“ค่ะ”
ภูไทเดินออกไป พอดีกับที่อนิรุทธิ์เดินเข้ามาจากอีกทาง
“ไม่รู้ว่าวิหายไปไหน ทางโน้นก็ไม่มี”
“คงอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอกน่า” ลานนาว่า
“นี่คุณไม่ห่วงเพื่อนคุณหรอกเรอะ...ที่นี่มัน “โดมทอง” นะ” อนิรุทธิ์ชักฉุน
“ก็ “โดมทอง” น่ะซิ! ฉันก็ไม่ได้บอกว่า “โดมเงิน” สักหน่อย” ลานนาย้อนเอา
อนิรุทธิ์เกาหัว พออ้าปากจะพูดโต้ ลานนาก็เดินไปคุยกับหญิงสาววัยไล่เลี่ยกัน 2-3 คน ใกล้ๆ

ส่วนที่ป่าละเมาะ ใกล้น้ำตก อดิศวร์ไล่ต่อยพันธุ์สูรย์ ในขณะที่พันธุ์สูรย์ก็สู้สุดฤทธิ์ จนต่างบาดเจ็บกันทั้งคู่ โดยที่ 2 สาวพยายามห้าม แต่ก็ไม่มีใครยอมฟัง
ในที่สุด วิรงรองคว้าแขนอดิศวร์ไว้ ในขณะที่อุษาคว้าตัวพันธุ์สูรย์ได้
“พอทีเถอะค่ะ คุณอดิศวร์”
“พันธุ์สูรย์คะ...กลับไปก่อนเถอะค่ะ...ขอร้องละ”
พันธุ์สูรย์บีบมืออุษาเบาๆ พูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ใจเย็นๆ คุณอุษา...เป็นตายยังไง วันนี้ผมต้องพูดกับคุณลบให้รู้เรื่องให้ได้...ท่านผู้หญิงเลี้ยงเขา...อบรมสั่งสอนเขามา...ถ่ายทอดความเกลียดชัง...ความหยิ่งยโสทั้งหมด”
“เพ้อเจ้อ แกมาเคยเห็นคุณปู่ของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“คุณพ่อผมเล่าให้ฟัง ท่านเคยเห็นคุณปู่ของคุณ”
คำพูดพันธ์สูรย์ทำเอาอดิศวร์อึ้งไป
“คุณลบ คุณไม่รู้ตัวหรอกว่า คุณตกเป็นเครื่องมือแก้แค้นให้ท่านผู้หญิงตลอดมา ท่านยัดเยียดความเกลียดชังคุณพ่อและผมใส่หัวคุณ! ทำให้คุณจงเกลียดจงชังเรา พาลหาเรื่องว่าผมไม่เจียมกะลาหัวที่เผยอหน้ามารักคุณอุษา บีบคั้นให้ผมอยู่ใน “โดมทอง” ไม่ได้ เพราะอะไรรู้ไหม”
ใบหน้าแต่ละคนมองหน้าพันธุ์สูรย์เขม็งเป็นจุดเดียวราวกับถูกสะกด
“เพราะท่านกลัวว่า ผมจะเล่าความลับให้คุณฟัง”
“ความลับบ้าบออะไร”
“ความลับที่ว่า คุณย่าของคุณเป็นผู้หญิงที่อำมหิตโหดเหี้ยมที่สุดน่ะซิ”
อดิศวร์สะอึกทะยานจะเข้าหา แต่วิรงรองรีบดึงไว้ “ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
พันธุ์สูรย์พูดต่อ “คุณรู้หรือเปล่าว่า คุณย่าน้อยหายไปไหน”
อดิศวร์เลือดขึ้นหน้า “ฉันบอกให้แกกลับไป ไอ้พันธุ์สูรย์ ไป! อุษา กลับบ้าน”
อุษาดูลังเลตัดสินใจไม่ถูก
“เลือกเอาก็แล้วกันว่าจะกลับโดมทองกับพี่ หรือว่าจะไปกับไอ้คนเนรคุณนี่! ถ้าเธอเลือกมัน ก็ไม่ต้องมาเหยียบ “โดมทอง” อีกเลย”
พันธุ์สูรย์โต้ “ผมไม่ใช่คนเนรคุณ”
อุษาอัดอั้นจนร้องไห้พลางหันมาทางวิรงรอง
“น้องวิ...”
วิรงรองบอกอย่างอ่อนโยน “อยู่ที่พี่อุษาแล้วละค่ะว่าจะใช้สมองหรือหัวใจเป็นฝ่ายเลือก...และหลังจากนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น...พี่อุษา ก็จะต้องยอมรับการตัดสินใจของตัวเอง”
อุษายิ่งร้องไห้สะอึกสะอื้นหนัก สีหน้าแต่ละคนมองมาอย่างแน่วแน่ และต่างคนต่างลุ้น

ไม่นานต่อมาที่ชายหาด เกลียวคลื่นม้วนตัวทยอยสาดซัดฝั่งเป็นระลอก ท่ามกลางสายลมเย็น วิรงรองอยู่ในชุดราตรีเดินหิ้วรองเท้าส้นสูงมาตามพื้นทรายบริเวณนั้น ผมเผ้าปลิวค่อนข้างยุ่งจากลมทะเลที่พัดมา ไม่แรงมากนัก
วิรงรองเดินมาเรื่อยๆ แล้วทรุดตัวลงนั่ง วางรองเท้าลงข้างๆ ตัว มองไปยังท้องทะเล อย่างเซ็งๆ ซึมๆ นึกถึงเรื่องราวที่ป่าละเมาะเมื่อสักครู่นี้

เวลานั้นอุษาร้องไห้ตัดสินใจไม่ถูก อดิศวร์มองมาอย่างเคร่งขรึม ส่วนพันธุ์สูรย์มองอย่างรักใคร่วิงวอน ขณะที่วิรงรองมองด้วยสีหน้าลุ้นระทึก
กระทั่งอดิศวร์หันหลังให้ แล้วก้าวเดินออกไปช้าๆ
อุษาผวา ตกใจแล้วรีบตาม “คุณลบ! รออุษาด้วยค่ะ”
พันธุ์สูรย์ใจแป้ว คอตกมองตามด้วยสีหน้าเสียใจ แกมผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
วิรงรองเองก็มองอุษาด้วยความผิดหวัง แล้วเบือนหน้ามามองพันธุ์สูรย์อย่างเห็นอกเห็นใจและพลอยเศร้าไปด้วย
อดิศวร์โอบเอวอุษาเดินไปโดยไม่ได้หันมามอง ราวกับวิรงรองและพันธุ์สูรย์ไม่มีตัวตน มีเพียงอุษาที่หันมามองพันธุ์สูรย์อีกครั้งอย่างเจ็บปวด แล้วตัดใจหันกลับเดินเคียงอดิศวร์ไป
พันธุ์สูรย์หันหลังกลับ เดินคอตกไปจากที่นั้นอย่างอ่อนระโหย
วิรงรองมองตาม น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความเศร้าใจกับความรักของสองคน

ภาพเหล่านั้นเลือนหาย วิรงรองกระพริบตาถี่ๆ เสียงพันธุ์สูรย์ตอนโต้เถียงกับอดิสูรย์ ดังก้องในหู
“ผมจะเล่าความลับให้คุณฟัง”
“เพราะท่านกลัว ผมจะเล่าให้คุณลบฟัง”
“ความลับบ้าบออะไร”
“ความลับที่ว่าคุณย่าของคุณเป็นผู้หญิงที่อำมหิตโหดเหี้ยมที่สุดน่ะซิ”
ขณะที่วิรงรองทอดถอนใจครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงเจ้าภูไทดังขึ้น
“น้องวิมาอยู่ที่นี่เอง”
วิรงรองสะดุ้งเงยหน้ามอง ภูไททรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“ทำไมมานั่ง อยู่ที่นี่คนเดียว อากาศเย็นๆ อย่างนี้ เดี๋ยวก็เป็นหวัดหรอก”
“วิอยากให้งานเลิกเสียก่อนค่อยกลับ ว่าแต่พี่ชายทราบได้ยังไงคะว่าวิอยู่ที่นี่”
“พี่โทร.ถามคุณพันธุ์สูรย์...เขาบอกว่า คงไม่มีใครอยูที่ป่าละเมาะแล้ว...พี่...ก็เลยเดาว่าน้องวิน่าจะมาอยู่ที่นี่” ภูไทเว้นนิดจึงถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
วิรงรองส่ายหน้า น้ำตาคลอขึ้นมาอีก
ภูไทแตะหลังมือวิเบาๆ อย่างปลอบโยน “ยังไม่สบายใจก็อย่าเพิ่งพูด”
ภูไทลุกขึ้น แล้วส่งมือให้วิรงรอง
“พระจันทร์สวยๆ บรรยากาศสงบๆอย่างนี้ เราเดินเล่นกันดีกว่า”
วิรงรองมองชั่งใจครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปจับมือภูไท พลางลุกขึ้น
ทั้งสองก้าวเดินไป โดยที่วิรงรองไม่ลืมหิ้วรองเท้าไปด้วย

ฟากแสงแขเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยสีหน้าท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“คุณย่าขา...คุณลบมาแล้วค่ะ”
ท่านผู้หญิงขยับทันที
“พาฉันไปที่โต๊ะเครื่องแป้งหน่อย”
“ค่ะ”
แสงแขและอุไรช่วยกันพยุงท่านลุกขึ้นแล้วพาไปนั่งที่โต๊ะเครื่องแป้ง
“แต่งใหม่ให้สวยเชียวนะ”
แสงแขแปรงผมให้ท่านผู้หญิงอย่างเบามือ

ส่วนที่ชายหาด 2 คนเดินกันมาเรื่อยๆ ท่ามกลางบรรยากาศเย็นสบาย
“พี่จำได้ว่าที่ตรงโน้นมีซากเรือเก่าๆ อยู่ ถ้าน้องวิไม่อยากกลับเราไปนั่งเล่น …”
วิรงรองรีบพูดสวนทันที “กลับกันเถอะค่ะ”
ภูไทมีสีหน้าแปลกใจ แต่ก็ลุกขึ้นตามแต่โดยดี ทั้ง 2 เดินกลับเงียบๆ
“ไม่ใส่รองเท้าล่ะคะ”
“เท้าวิเปื้อนค่ะ เดี๋ยวร้องเท้าเสียหมด”
พอทั้งสองเดินเข้ามา เห็นสมยืนรออยู่ที่รถกอล์ฟ
“ลุงสมรู้ได้ยังไงจ้ะว่า...” วิรงรองแปลกใจ
“คุณลบท่านสั่งให้ผมมารับคุณหนูที่นี่ครับ” สมบอก
2 คนขึ้นรถ สมขับออกไป

อดิศวร์กำลังคุยกับกลุ่มพจน์อยู่ ส่วนลานนาหน้างอง้ำอยู่กับคู่กัด...อนิรุทธิ์
“ไหนเจ้าบอกว่า พี่ชายของเจ้ากำลังกลับมากับวิไง...ป่านนี้ยังไม่เห็นเลย”
“ก็บอกว่า กำลังมา ไม่ใช่มาถึงแล้ว กรุณาฟังให้ดีๆ ด้วย”
ขณะอนิรุทธิ์จะตอบ แสงแขเข็นท่านผู้หญิงสรรักษ์เข้ามา แล้วหยุด ทุกคนหันไปมอง ท่านผู้หญิงลุกขึ้น อดิศวร์รีบเดินตรงมาที่ย่า แล้วช่วยพยุงคนละข้างกับแสงแข ซึ่งหญิงชรามีสีหน้าชื่นบานเต็มที่
“ฉันมีเรื่องราวอันเป็นมงคลของหลานชายคนเดียว มาแจ้งให้ทุกคนทราบ”
อดิศวร์มีสีหน้าผิดปกติไปนิดหนึ่ง ขณะที่แสงแขผินหน้ามาสบตาอายๆ ทุกคนในที่นั้นตั้งใจฟังเต็มที่
“อย่างที่รู้...งานนี้จัดขึ้นด้วยเหตุผล 2 อย่าง...อย่างแรก...ฉลองการแต่งงานให้หลานพิณทอง ส่วนอย่างที่สอง เป็นการประกาศหมั้นระหว่างตาลบหลานชายฉันกับ...”
สีหน้าแต่ละคนตั้งอกตั้งใจฟัง จนเงียบสนิทไปหมดทั้งงาน แสงแขยิ้มกว้างอย่างมีความสุขและประกาศชัยชนะเต็มที่ ขณะกวาดตามองไปยังทุกคน
“อย่าเพิ่งครับ… คุณย่า...ว่าที่คู่หมั้นของผมยังไม่มาเลย” อดิศวร์พูดอย่างเนียนๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม
ท่านผู้หญิงงุนงง “ตาลบ”
สีหน้าแสงแขค่อยๆ หุบยิ้มลง ขณะที่ทุกคนพึมพำ หันไปซุบซิบถามกัน
“ผู้หญิงที่ผมจะหมั้นด้วยชื่อ วิรงรอง นกุล ครับ”
พิชญ์หน้าซีด ขณะที่พิณทอง พจน์ แก้ว และวัชรี ต่างแปลกใจงุนงง
แก้วและวัชรี หันมาซุบซิบนินทากันทันที
อนิรุทธิ์เองถือแก้วไวน์จ่อปากค้าง ส่วนลานนานั่งมึนงง
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หายตกตะลึง กรีดร้องขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ท่ามกลางความตกใจของทุกคน
อดิศวร์รับร่างหมดสติของท่านผู้หญิงไว้ทันท่วงที บรรยากาศดูชุลมุนวุ่นวายไปหมด

ครู่ต่อมา แขกเหรื่อเริ่มทะยอยกลับ เดินออกมาหน้าบ้าน จังหวะนั้นสมขับรถมาจอด วิรงรองและภูไทก้าวลง โดยที่วิรงรองยังไม่ได้หยิบรองเท้าลงมาด้วย เท้าเปื้อนดินทราย ส่วนผมเผ้าถูกลมแรงพัดจนยุ่ง
“พี่ชายเข้าไปก่อนก็ได้ค่ะ...วิขอไปล้างหน้า”
วิรงรองชะงักด้วยความแปลกใจที่แขกเหรื่อบริเวณนั้นต่างหันมามองแล้วซุบซิบ นอกจากนี้แขกคนหนึ่งเข้ามาจับมือไม้แสดงความยินดี
“คุณวิรงรองใช่ไหมคะ ขอแสดงความยินดีค่ะ”
ภูไทชักหน้าเสีย
“อะ...อะไรคะ” วิรงรองงวยงง
“คุณลบเพิ่งประกาศหมั้นกับคุณวิรงรองเมื่อกี้นี้เอง” แขกอีกคนบอก
“ท่านผู้หญิงดีใจจนเป็นลมแน่ะคะ” แขกรายนี้เยาะนิดๆ
วิรงรองฟังด้วยอาการมึนงงจนพูดอะไรไม่ออก จากนั้นแขกต่างกล่าวคำร่ำลา บางคนจับไม้จับมือขณะที่วิรงรองยืนตัวแข็งทื่อ
แขกอีกคนหันไปนินทากับเพื่อนเบาๆ “ดูซิ เจ้าสาวของคุณอดิศวร์...รองเท้าก็ไม่มีจะสวม ผมเป็นกระเซิง” จากนั้นก็พากันหัวเราะคิกคักขณะเดินไปขึ้นรถ

ด้านอุษานั่งอยู่ในห้อง มองแสงแขที่ร้องห่มร้องไห้ตีอกชกหัวเหมือนคนบ้า อย่างพูดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูก
“สะใจพี่อุษาละซีที่เห็นน้องตัวเองต้องกลายเป็นผู้แพ้”
“แสงแข พี่เสียใจด้วยจริงๆ”
“ไม่ต้องมาทำมารยาเสียอกเสียใจ ฉันรู้เช่นเห็นชาติพี่อุษาหมดแล้วพอกันที เลิกนับถือกันที”
แสงแขลุกเดินไปที่ประตู หันกลับมาชี้หน้า
“ฝากบอกอีนังนั่นด้วยว่า อย่าลืมที่ฉันพูดคืนนั้น...มันผิดสัญญา และฉันจะปกป้องของรักของฉันด้วยชีวิต ฉันไม่ได้คุณลบ...มันก็จะไม่มีวันได้คุณลบเหมือนกัน”
พูดจบแสงแขเปิดประตูออกไป แล้วเหวี่ยงปิดดังปัง! จนอุษาสะดุ้ง
“นี่มันอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น”

อดิศวร์ พาท่านผู้หญิงไปส่งโรงพยาบาล ส่วนในบริเวณบ้าน แขกพากันกลับหมดแล้ว มีเพียงที่ทั้ง 4 คนนั่งอยู่ ลานนา ภูไท และอนิรุทธิ์ ต่างมองวิรงรองราวกับจะค้นหาความจริง
วิรงรองมองสบตาแต่ละคน “เป็นความจริง วิไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย”
ลานนาคว้าข้อมือวิรงรอง “งั้นไปถามคุณอดิศวร์ด้วยกัน”
“คุณอดิศวร์พาท่านผู้หญิงไปโรงพยาบาล” ภูไทบอก
“วินะวิ ตัวเองรักใคร่ชอบพอกับคุณอดิศวร์ก็ไม่บอก ปล่อยให้เรานินทากันอยู่ได้…เราเลยกลายเป็นตัวตลก” ลานนาฮึดฮัด
ภูไทปราม “ยัยน้อง...ก็วิรงรองบอกแล้วไงว่าไม่รู้เรื่อง”
“ผมเชื่อวิ” อนิรุทธิ์บอก
“แต่ฉันไม่อยากจะเชื่อ” ลานนาโมโหกรุ่นๆ อยู่
วิรงรองน้ำตาไหล “ลานนา...ฉันเคยโกหกอะไรเธอหรือเปล่า...ลองคิดดูแล้วเรื่องอย่างนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะโกหกด้วย”
ลานนามองเพื่อนอย่างเพ่งพิศครู่หนึ่ง “ถ้าวิพูดจริง...อีตาอดิศวร์ก็เป็นผู้ชายที่โหดร้าย...ใจดำ เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก อย่าไปยอมนะวิ”
“ข้อนี้ผมเห็นด้วยกับคุณ” อนิรุทธิ์ว่า
ลานนาพาลอย่างเก่า “คิดเองเป็นบ้างมั้ยฮึ! ไม่ต้องมาเห็นด้วยกับฉัน”
ภูไทตัดบท “เรากลับกันก่อนดีกว่า น้องวิจะได้พักผ่อน...พรุ่งนี้เช้าค่อยคิดกันว่าจะทำยังไง...น้องวิเจอเรื่องแย่ๆ มาเกือบตลอดทั้งวันแล้ว”
อุไรเดินเข้ามาลับๆ ล่อๆ
“วิขอตัวก่อนนะคะ ขอบคุณทุกคนที่อยู่เป็นเพื่อน”
“อย่าคิดมากนะคะ...นอนให้หลับด้วย” ภูไทปลอบ
“ค่ะ”
วิรงรองเดินมาที่อุไร ทั้งสองพากันเดินเข้าไปข้างใน 3 คนมองตาม

อุไรพาวิรงรองเดินขึ้นบันไดมาเงียบๆ ทั้งสองชะงัก เมื่อเห็นแสงแขยืนจังก้า ตาขวางอยู่ที่บันไดโดยมีโอบอ้อมเป็นสมุนลูกคู่
“แกโกหกฉัน”
“ไม่จริงค่ะ ดิฉันไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน”
“โกหกซ้ำซาก”
“ถ้าไม่เชื่อ...”
วิรงรองพูดไม่ทันจบ แสงแขขัดขึ้นทันที
“เออ! กูไม่เชื่อ” พร้อมกับชี้หน้า “จำไว้เลยนังวิรงรอง! นังหน้าด้าน! ฉันไม่มีวันยอมแพ้เด็ดขาด แกระวังตัวไว้ให้ดี”
แสงแขถลึงตาใส่วิรงรอง แล้วเดินแยกไป โอบอ้อมสะบัดหน้าใส่ เดินตามนายไป
“อย่าไปสนใจเลยค่ะ คุณวิ! คนมีปากก็สักแต่ว่าพูด”
วิรงรองเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ อุไรตามด้วยความเป็นห่วง

อุไรเปิดประตูให้วิรงรองเดินเข้าห้องมา และตัวเองเดินตามมาจัดที่นอนให้ วิรงรองเดินไปที่หน้าต่าง
...เหม่อมองผ่านความมืดออกไป
“คุณวิหิวไหม ตั้งแต่เย็น ป้าอุไรยังไม่เห็นคุณวิทานอะไรเลย”
วิรงรองหันกลับมา “ไม่หิวค่ะ” พลางถอนใจยาว “วิขออาบน้ำก่อน...เหนียวตัวจัง”
วิรงรองเดินไปที่ห้องน้ำ เดินเข้าไป อุไรเปิดตู้หยิบชุดนอนออกมาเตรียมให้

บริเวณสวยงามกว้างขวางของอาณาเขตบ้านเจ้าภูไท ที่เรือนหลังเล็กน่ารัก ภายนอกตกแต่งมีระเบียบ ส่วนภายในห้อง พันธุ์สูรย์ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง สีหน้าแววตาเคร่งเครียด
ภาพที่อุษาเดินจากไปกับอดิศวร์ผุดเข้ามาในห้วงความคิด พันธุ์สูรย์เศร้าหนัก
พร้อมๆ กับที่ภาพเลือนหายไป เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พันธุ์สูรย์ปล่อยให้เสียงดังครู่หนึ่ง ก่อนเบือนหน้าไปมอง แล้วชะงักหยิบมารับ
“เจ้า...มีอะไรหรือครับ”

บริเวณเทอเรซหน้าบ้าน ลานนายืนอยู่ที่นั่น ซึ่งเปิดไฟสว่างพอสมควร ประตูเปิดออก พันธุ์สูรย์เดินออกมาทัก
“นอนไม่หลับหรือครับ”
ลานนาหันกลับมา “แล้วพี่พันธุ์สูรย์ล่ะ นอนหลับหรือเปล่า”
พันธุ์สูรย์ถอนใจยาว
“นั่งก่อนซิ” ลานนาลงนั่ง พันธุ์สูรย์ลงนั่งตาม
ลานนามองพันธุ์สูรย์อย่างเพ่งพิศ
“เรื่องของพี่พันธุ์สูรย์คงจบไม่ค่อยดี ลานนาแอบเห็นคุณอุษาตาแดงเดินเข้า “โดมทอง” กับคุณลบ”
พันธุ์ไหวไหล่น้อยๆ “คุณอุษาเป็นคนดี...เธอเลือกความกตัญญูรู้คุณ และผมก็เคารพการตัดสินใจของเธอ”
“ก็หมายความว่า ฟาวล์ไปหนึ่งราย! ...ทำไปทำมา ท่าทางพี่ชายก็คงจะฟาวล์ไปด้วย”
พันธุ์สูรย์ชะงัก “หมายความว่ายังไงครับ”
“คุณอดิศวร์น่ะซิคะ...ประกาศหมั้นกับยัยวิของเรากลางงานเลี้ยงทั้งๆ ที่วิไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วยสักหน่อย”
พันธุ์สูรย์ตกใจ “ไม่ได้เด็ดขาด! เจ้าต้องบอกคุณวิว่าอย่ายอมตกอยู่ในวังวนคำสาปนั่น ... เจ้าต้องบอกให้เธอออกมาจาก “โดมทอง” โดยเร็วที่สุด”
“บอกน่ะบอกได้! แต่เขาจะฟังหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เจ้าต้องพูดให้เธอฟังให้ได้ ไม่งั้นประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย”
ลานนามองพันธุ์สูรย์อย่างสงสัยแปลกใจ
พันธุ์สูรย์สบตาลานอย่างจริงใจ “คุณวิรงรองกำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างมากเพราะเธอเป็นคนที่คุณลบรัก”
ลานนาตกใจ สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

เวลาผ่านไปอีกสักระยะแล้ว สมขับรถตู้เข้ามาจอดหน้าตึกโดมทอง อดิศวร์ และพจน์ พิชญ์ พิณทอง วัชรี และแก้ว เดินลงมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ขณะเดินเข้าบ้าน
สมซึ่งปิดประตูเสร็จ เดินมาขับรถไปเข้าที่จอด

ทุกคนเดินเข้ามาในโถงใหญ่
“ขอบคุณมากนะครับที่ช่วยกันไปเป็นกำลังใจให้คุณย่า...”
พจน์ตบไหล่ “เฮ่ย! เราเป็นญาติกันอยู่แล้ว...คุณลบเองก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย...ไม่ต้องกังวลเรื่องคุณย่ามาก เพราะคุณหมอก็บอกว่า ท่านปลอดภัยแล้ว”
“ครับ...เชิญทุกคนขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ”
ทุกคนต่างยิ้มให้กำลังใจอดิศวร์ โดยพิชญ์นิ่งๆ แล้วแยกย้ายกันขึ้นไป
อุษาซึ่งหลบอยู่มุมหนึ่งเดินออกมา
“อ้าว! อุษา”
“คุณย่าเป็นยังไงบ้างคะ” อุษาถาม
“ปลอดภัยแล้ว...” อดิศวร์เว้นระยะไปนิดแล้วถอนใจ “เป็นความผิดของพี่เองที่ทำให้ท่านผิดหวังและเสียใจจนเครียดขนาดนั้น”
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ...เรื่องอย่างนี้ คุณลบไม่ควรตามใจท่าน”
อดิศวร์นิ่งชั่วครู่หนึ่ง แล้วเดินไปที่ห้องทำงาน แต่นึกยางอย่างได้ แล้วหันมา
“อุษาโกรธพี่หรือเปล่า ที่พี่ห้ามติดต่อกับพันธุ์สูรย์”
“ไม่ค่ะ อุษาเข้าใจคุณลบดี”
อดิศวร์พยักหน้า “ขอบใจ”
อดิศวร์เดินไป อุษามองตาม แล้วเดินขึ้นห้องไป

ฝ่ายพจน์เปิดไฟในห้อง ขณะที่แก้วเดินไปทรุดตัวลงนั่ง
“เฮ้อ”
พจน์ถอดสูทหันมาถาม “เป็นอะไรอีกล่ะ”
“อย่างแรก...แก้วดีใจที่ลูกพิณของเราหมดคู่แข่งไป...ถ้าเด็กนั่นหมั้นและแต่งกับคุณลบ...ก็เท่ากับว่า จะหวนกลับมาหาพิชญ์อีกไม่ได้”
พจน์ดักคอ “แต่...”
“แต่ก็อดเสียดายคุณลบไม่ได้! เขาควรจะได้ผู้หญิงที่ดีกว่านี้... แม่วิรงรองจับเสียอยู่หมัด”
“ผมก็ไม่เห็นว่า หนูวิแกจะเสียหายตรงไหน! แล้วที่ว่าหนูวิจับคุณลบน่ะ คงไม่ยุติธรรมนัก เพราะคุณลบเป็นคนประกาศหมั้นทั้งๆ ที่หนูวิไม่ได้อยู่ด้วย”
พจน์พูดแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
“ผมพูดความจริง! ลองไปถามใคร…ใครเขาก็ต้องว่าอย่างนี้กันทั้งนั้น!...ถ้าไม่มีอคตินะ”
พจน์ปิดประตูห้องน้ำ
แก้วส่งเสียงดังตามไป “ฉันสงสารหนูแสงแข! …ฮึ”

ด้านพิชญ์ยืนอยู่ที่ระเบียงหน้าห้อง ทอดสายตามองไปข้างหน้าเศร้าๆ
ภาพเหตุการณ์ที่อดิศวร์ประกาศหมั้นวิรงรอง ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
พอภาพเลือนหาย พิชญ์มีสีหน้าเศร้าหมอง

วิรงรองเอนตัวลงนอน แล้วเอื้อมมือไปปิดไฟโคม โดยไฟกลางห้องปิดแล้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วิรงรองเปิดไฟโคมอีกครั้ง แล้วหยิบมาดู เป็นอนิรุทธิ์โทร.มาจากห้องพักในโรงแรม
“รุทธิ์...วิไม่รู้เรื่องอะไรเลย! นายอดิศวร์จัดการมองทุกอย่าง”
“ถ้าอย่างนั้นคุณอย่ายอม คุณไม่ใช่ตุ๊กตามีชีวิตจิตใจที่ใครจะยึดเอาไปครอบครองง่ายๆ ผมจะเคียงข้างคุณตลอดเวลาที่คุณกระชากหน้ากากไอ้ผีดิบนั่น”
“เอาไว้ค่อยคุยกันวันหลังได้ไหม ตอนนี้วิเหนื่อยมาก...ทั้งเหนื่อยทั้งเพลีย”
อนิรุทธิ์อึ้งไปครู่หนึ่งอย่างน้อยใจ “โอเค ผมต้องขอโทษด้วยที่โทร.มารบกวน”
อนิรุทธิ์ปิดโทรศัพท์ แล้ววางลงด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

วิรงรองปิดไฟโคมหัวเตียง นอนหลับไปอย่างเหนื่อยล้า

โดมทอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

แลเห็นบรรยากาศ ตลอดจนวิวทิวทัศน์ ไม้ดอกไม้ใบเบ่งบานสวยงามยามเช้า ทำให้ทั่วบริเวณในคุ้มภูไทแสนสดใส แต่เจ้าภูไทกลับนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าอย่างเศร้าๆ

บัวคำซึ่งใส่หมวกกันน็อค ที่กันกระแทกหัวเข่าและข้อศอก เข็นรถวางกาแฟ และไข่ดาวไส้กรอก 2 ชุดตรงมายังภูไท ลานนาเดินออกมา แล้วร้องลั่น
“ว้าย พี่ชาย จับเอาไว้ด้วยค่ะ”
ภูไทหันมามอง เห็นรถเข็นถลามาชนเก้าอี้ล้มลง ไข่ดาวลอยมาตกลงบนโต๊ะ ตามด้วยไส้กรอก ตรงหน้าภูไทพอดิบพอดี
“บัวค้ำ...า .....” ลานนาลากเสียงลงอย่างหงุดหงิด
“ตกลงตรงหน้าเจ้าภูพอดีเลยค่ะ” บัวคำเหวออยู่
“ไม่ต้องมาพูดดีเลย เดือนนี้จานแตกไปกี่ใบแล้ว”
“จาน 26 ชาม 24 น้อยกว่าจานค่ะ แก้วอีกโหล ช้อนส้อมไม่มีเสียหายเลย” สาวใช้ว่า
“แน่ละย่ะ ก็ช้อนส้อมไม่ได้เป็นกระเบื้องนี่”
“แล้ว...แล้วเจ้าจะหักเงินเดือน เดือนนี้เท่าไหร่คะ”
“ห้าร้อย”
บัวคำร้องเสียงดัง “ห้าร้อย! โอ๊ย! แล้วบัวจะเอาอะไรกิ๊น...น”
“หยุด”
บัวคำหยุดร้องทันที แล้วทำเสียงกระซิบกระซาบ
“เจ้าลานนากับเจ้าภูคะ! ป่านนี้คุณพันธุ์สูรย์ยังไม่ตื่นเลยค่ะ นอนงี้.....เงียบ...บ.... เชียว”
ภูไทและลานนามองหน้ากัน แล้วรีบเดินไปทันที

ภูไทและลานนารีบเดินตรงมาที่เรือนพักของพันธุ์สูรย์ แล้วช่วยกันทุบประตูเรียก
“พันธุ์สูรย์ พันธุ์สูรย์”
“พี่พันธุ์สูรย์! อกหักแค่นี้จะจะฆ่าตัวตายเรอะไง! คนโง่!”
บัวคำเจ๋อแหลมขึ้น “คุณพันธุ์สูรย์! คุณพันธุ์สูรย์! ไปที่ชอบๆ นะคะ! ชอบที่ไหนก็ไปที่นั่น”
ภูไทและลานนาหันหน้ามามองตาเขียว
บัวคำยิ้มแห้งๆ “กันเอาไว้ก่อนน่ะคะ”
“พี่พันธุ์สูรย์ พี่พันธุ์ ...” ลานนายังพูดไม่ทันจบ
ประตูห้องเปิดออก พันธุ์สูรย์หน้าตางัวเงียยืนอยู่ ภูไทและลานมองหน้ากันอย่างโล่งใจ

ที่เทอเรซบ้านภูไท ลานนาเดินถืออาหารมาเสิร์ฟให้ตัวเอง พันธุ์สูรย์ และภูไท เอง โดยมีบัวคำมองตาปริบๆ
“เจ้าลานนาขา...ให้บัวทำเถอะค่ะ”
“ขืนให้ทำอีก เดือนนี้เงินเดือนจะไม่เหลือ เอาไว้เริ่มทำเดือนหน้าก็แล้วกัน”
บัวคำเดินจ๋อยกลับเข้าไปด้านใน
“ผมสงสารคุณวิรงรอง” พันธุ์สูรย์เอ่ยขึ้นหน้าจริงจังมาก
“สงสารตัวนายเองเถอะ”
“ผมพูดจริงๆนะ ท่านผู้หญิงรักและหวงคุณลบมาก คุณวิอาจมีอันตราย”
“ผู้หญิงแก่อายุตั้ง 80 จะทำอะไรผู้หญิงสาวแข็งแรงอย่างวิรงรองได้” ภูไทท้วง
พันธุ์สูรย์ทำท่าจะพูด แต่แล้วกลับนิ่ง
ลานนาคอยจับสังเกตอยู่ “มีอะไรหรือคะ พี่พันธุ์สูรย์”
“ไม่มีอะไรครับ...ขอโทษด้วยที่ทำให้เป็นห่วง”
พันธุ์สูรย์ลงมือทานอาหาร ภูไทและลานนาสบตากัน แล้วหันไปมองพันธุ์สูรย์อย่างแปลกใจ

บรรยากาศสลัวด้วยหมอกยามเช้าปกคลุมทั่วโดมทอง อุษากำลังเตรียมอาหารให้ท่านตามปกติ
สักครู่วิรงรองเดินเข้ามา หยุดมองอุษาแว่บหนึ่ง แล้วเดินเข้ามานั่งใกล้ๆ
“พี่อุษา”
อุษาสะดุ้งนิดหนึ่ง แล้วหันมามอง ก่อนจะหันกลับไป
ทั้งสองคนนิ่งกันไป เหมือนไม่รู้จะพูดอะไรดี
วิรงรองพูดขึ้นในที่สุด “วิจะกลับบ้าน”
“บอกคุณลบหรือยังคะ”
“ยังเลยค่ะ...” วิรงรองนิ่งคิด “...วิไม่อยากให้พี่อุษาพูดเหมือนต้องให้คุณอดิศวร์รับรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับวิ”
อุษาชะงักไปนิดหนึ่ง “ขอโทษค่ะ ถ้าพี่ทำให้น้องวิคิดอย่างนั้น”
“พี่อุษา...ไม่พอใจอะไรวิหรือเปล่าคะ”
“เปล่าค่ะ...พี่ ....เอ้อต้องรีบทำอาหารเช้าของคุณย่า...เดี๋ยวต้องเอาไปให้ที่โรงพยาบาล”
“งั้นวิขอโทษค่ะ ที่เข้ามารบวน”
วิรงรองน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจขณะพูด แล้วรีบหันหลังกลับเดินออกไป
อุษาขยับจะหันมาเรียก แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

วิรงรองเดินผ่านมุมหนึ่งแล้วสะดุ้ง เห็นโอบอ้อมก้าวออกมาจากหลังเสาต้นใหญ่ แล้วมายืนจ้องวิรงรองอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
วิรงรองเดินจะเลี่ยงไปอีกทาง
“ทำไมไม่ไปจากบ้านนี้เสียที ไม่เห็นมีใครเขาอยากให้อยู่สักนิด”
วิรงรองอ่อนอกอ่อนใจ เกินกว่าจะตอบโต้ จึงเดินไป โอบอ้อมมองตามตาขวาง

วิรงรองเดินตรงมาใกล้ประตูจะออกไปข้างนอก แต่ต้องชะงักนิดหนึ่ง เมื่อแสงแขมองมาอย่างประสงค์ร้าย
วิรงรองลอบถอนใจ
“ออกไปแล้วก็ไม่ต้องกลับเข้ามาอีก”
“ดิฉันขอบอกให้ทราบตรงนี้เลยว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ดิฉันไม่ได้รับรู้ด้วย”
“ตอแหล” แสงแขด่า
วิรงรองสะอึก “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตามใจ” แล้วขยับจะเดินไป
“แกมันร้ายกว่าที่ฉันคิด วางแผนให้คุณลบประกาศหมั้นตัดหน้าฉัน...คิดหรือว่า คุณย่าจะยอมง่ายๆ ต่อให้ฝืนแต่งงานกับคุณลบ แกก็ไม่มีความสุขแน่ ยิ่งถ้าคุณย่าเป็นอะไรไป ทุกคนก็จะโทษแก แกจะถูกสาปแช่งให้ทุกข์ทรมานไปตลอดชีวิต”
เสียงพจน์ดังขัดขึ้น “อ้าว หนูวิ...รอลุงนานแล้วเรอะ ลุงขอโทษที่ลงมาช้าไปหน่อย”
สองคนหันมามอง เห็นพจน์แต่งตัวลำลอง สะพายกล้อง เดินมาด้วยสีหน้าแจ่มใส
พจน์หันมาทางแสงแข “ไปถ่ายรูปด้วยกันไหม...หนูแสงแข”
“ไม่ค่ะ”
แสงแขเดินหนีไป สีหน้ายังบึ้งตึง
วิรงรองไหว้พจน์ที่ช่วยไว้ “ขอบคุณค่ะ คุณลุง”
“เฮ่ย! ขอท่งขอโทษทำไม...ไป ไปถ่ายรูปกัน”
พจน์เดินออกนำวิรงรองไป วิรงรองมีสีหน้าดีขึ้น

สองคนอยู่ด้านนอก ท้องฟ้าขมุกขมัว ราวกับฝนจะตก บรรยากาศเหมือนครึ้มฟ้าครึ้มฝน
วิรงรองและพจน์เดินกันมาเรื่อยๆ พจน์ชำเลืองมองสีหน้าว้าเหว่เคร่งขรึมของวิแว่บหนึ่ง
“เป็นคู่หมั้นคุณลบทั้งที ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ”
“คุณลุงจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หนูไม่รู้เรื่องนั้นมาก่อนเลย ไม่รู้ตัวสักนิด แต่แล้วก็กลับกลายเป็นว่าหนูคือคนผิด ทุกคนรุมเกลียดชังหนูไปหมด แม้แต่...แม้แต่พี่อุษาที่เคยดีกับหนู”
วิรงรองอัดอั้นจนน้ำตาคลอขณะพูด
พจน์มองอย่างเวทนา “ความจริงย่อมหนีความจริงไปไม่พ้น”
“ช่างความจริงซิคะ” วิรงรองน้ำตาไหลพรากๆ “หนูไม่อยู่รอหรอก หนูจะกลับบ้านแล้ว”
“ใจเย็นๆ น่า คุณลบเขาคงไม่ยอมให้หนูไปหรอก” พจน์ปลอบ
“เขาไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาห้ามค่ะ”
“มาคุยกันเรื่องที่หนู เล่าให้ลุงฟังดีกว่า เรื่องที่หนูรู้สึกว่าตัวเองเป็นใครอีกคนที่กำลังจะลงไปหาคนที่กำลังรออยู่ตอนนั้นหนูรู้สึกยังไง”
สีหน้าวิรงรองเหมือนพยายามทบทวนความทรงจำ “มันเบลอๆ เหมือนตกอยู่ในความฝันค่ะ”
พจน์ฟังวิรงรองอย่างตั้งใจ

ขณะเดียวกันพิณทองเดินเข้ามาในห้องทำงานอดิศวร์ แล้วมองน้าอย่างเพ่งพิศ
“อะไรกัน พอเข้ามาก็มองน้าลบตาไม่กระพริบเลย”
“ก็พิณไม่แน่ใจนี่คะว่า จะต้องแสดงความยินดีกับน้าลบหรือว่าจะขอบคุณน้าลบ ที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยรักษาชีวิตสมรสของพิณดี”
“อาจจะทั้งสองอย่างเลยมั้ง” อดิศวร์พูดทีเล่นทีจริง
พิณทองยิ้มออกอย่างตื่นเต้น “หมายความว่า น้าลบรักคุณวิรงรองจริงๆ ใช่ไหมคะ”
อดิศวร์โยกหัวหลานอย่างเอ็นดู “ดูแลพิชญ์ให้ดี น้าลบรู้ว่าเขาไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำหรือไม่มีหัวใจที่จะรู้สึกรู้สมกับความดีความน่ารักของคุณพิณ”
พิณทองตัดสินใจบอก “พิณจะหย่ากับเขา...”
“อย่ามีทิฐิกับความรัก...น้าลบอยากให้คุณพิณมีความสุข” อดิศวร์ โอบไหล่หลานพาเดิน “น้าลบจะไปเยี่ยมคุณทวด ...ไปด้วยกันไหม”
“ไปซิคะ...พิณยังไม่ได้ขอบคุณท่านเรื่องงานเลี้ยงเลย”
สองคนเดินออกไปด้วยกัน

บรรยากาศของโรงพยาบาลด้านนอก ไม้ดอกไม้ใบสวยงามร่มรื่น แตกต่างจากโรงพยาบาล ในกรุงเทพฯ
อดิศวร์ ศิโรดม เดินเข้ามาภายในห้องพักพิเศษ คนเดียวก่อน พยาบาลที่เฝ้าไข้ไหว้ แล้วลุกขึ้น ขณะที่ท่านผู้หญิงสรรักษ์หลับตาลงทันที
“ท่านเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไม่มีไข้แล้วค่ะ...ความดันก็ปกติ”
อดิศวร์พยักหน้า พยาบาลเดินออกไป
อดิศวร์ลงนั่งข้างเตียง “คุณย่าครับ...” พร้อมกับจับมือมาบีบเบาๆ “มีคนมาเยี่ยมคุณย่าเยอะเลย...คุณย่าจะอนุญาตให้เข้ามาไหมครับ”
“ไสหัวกลับไปให้หมด รวมทั้งแกด้วย ฉันจะอยู่คนเดียว ไม่อยากเห็นหน้าใครทั้งนั้น”
“คุณย่ายังโกรธผม”
ท่านผู้หญิงน้ำตาคลอแค้นใจ “ลบนะลบ! เสียแรงย่าอุตส่าห์เลี้ยงมาด้วยความรักความหวัง ไม่คิดเลยว่าลบจะกล้าหมั้นกับศัตรูของย่า ทำไมลูก...ผู้หญิงในโลกนี้ไม่มีแล้วหรือไง ลบถึงต้องเลือกนังพลับพลึง”
“คุณย่าน้อยกับวิรงรองเป็นคนละคนกันครับ”
“วิรงรองก็แปลว่าดอกพลับพลึง” หญิงชราเถียง
“มันเป็นเรื่องบังเอิญครับ”
“มันจงใจต่างหาก มันจงใจจะตามมาแก้แค้นย่า”
“คุณย่าทำอะไรล่ะครับ...คุณย่าน้อยถึงจะกลับมาแก้แค้น”
ท่านผู้หญิงนิ่งอึ้งไป

ด้านสองคนเดินกันมาเรื่อยๆ โดยพจน์ยังคงถ่ายภาพสวยอยู่
“คุณลุงคิดว่า วิคิดหรือไม่ก็ฝันไปเองหรือเปล่าคะ”
“ถ้าจะให้หนูสบายใจ ลุงก็ต้องตอบว่าใช่! แต่ลุงเลือกจะตอบตามความจริงว่า...ไม่ใช่”
วิรงรองถอนใจเฮือก “ค่อยยังชั่ว”
“อ้าว”
“ไม่อย่างนั้น หนูอาจจะคิดว่าตัวเองเป็นบ้าที่เห็นโน่น เห็นนั่นอยู่คนเดียว” วิรงรองยิ้มขันๆ “ถูกผีหลอกก็ยังดีกว่าเป็นบ้า!” สีหน้ายิ้มแย้มโล่งใจของวิรงรองกลับขรึมลงไปเหมือนเดิม
“ระยะหลังๆ มานี่ มีบางอย่างที่ทำให้หนูแน่ใจว่า สิ่งที่เห็นไม่ได้ตั้งใจจะมาหลอกหรือทำอันตรายหนู...แต่เขาต้องการจะสื่ออะไรถึงใครบางคน” วิรงรองหันมามอง “คุณลุงคะ...คุณลุงพอจะทำให้คุณอดิศวร์เปิดห้องใต้โดมได้ไหมคะ! หนูเชื่อว่า...”
พจน์ส่ายหน้า “น่าจะยาก... แต่...ลุงจะลองดู”
วิรงรองไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ คุณลุง”

เวลาผ่านไปอีก พอสมควร พจน์นั่งดูรูปที่ถ่ายมาอยู่ในห้องนั่งเล่น อดิศวร์เดินเข้ามา
“อ้าว! พี่พจน์มาอยู่นี่เอง”
“คุณย่าเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“อีก 2-3 วันก็กลับบ้านได้แล้วครับ...พี่พจน์ไม่ได้ไปด้วยก็ดีแล้ว เพราะคุณย่าไม่ให้ใครเข้าไปเยี่ยมเลย! ขนาดผมยังถูกไล่ออกมา”
พจน์มองอดิศวร์ด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่จะพูดอะไรบางอย่าง คุณลบอย่าโกรธพี่นะ”
“ครับ”
“พี่รู้สึกว่า คุณย่าท่านทุกข์ทรมาณด้วยความลับบางอย่าง”
อดิศวร์มีสีหน้าขรึมลง
“ทางเดียวที่จะให้ท่านพ้นจากความรู้สึกเหล่านั้นก็คือ ให้ท่านยอมเผชิญหน้ากับความจริง”
“ความจริงอะไรหรือครับ”
“นั่นเป็นหน้าที่ของลบ ซึ่งเป็นหลานที่ท่านรักมากที่สุด จะหว่านล้อมให้ท่านพูดออกมา...ไอ้สิ่งที่หนักหน่วงอยู่ในใจท่านจะได้คลายลง...อาจจะต้องใช้เวลาบ้าง แต่เชื่อเถอะว่า ท่านก็อยากจะระบายออกมาบ้าง”
อดิศวร์หนักใจ “คุณย่าไม่เหมือนคนอื่น”
“ก็ลองเริ่มจากทำบุญบ้านซิ...ทำให้ทั่วทั้งบ้านเลย โดยไม่เว้นแม้แต่ห้องใต้โดม”
ได้ยินคำว่าห้องใต้โดม สีหน้าอดิศวร์เปลี่ยนไปทันที เต็มไปด้วยความระแวงแคลงใจ

ด้านวิรงรองกำลังพูดโทรศัพท์กับอนรุทธิ์ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เสียงทุบประตู และเสียงอดิศวร์ดังขึ้นเหมือนคนหงุดหงิดมาก
“วิรงรอง เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
“แค่นี้ก่อนนะรุทธิ์ เดี๋ยวโทร.กลับไปใหม่”
วิรงรองปิดโทรศัพท์ แล้วเดินไปที่ประตู
“มีธุระอะไรหรือคะ”
“ฉันบอกให้เปิดประตู”
“คุณต้องบอกก่อนว่ามีธุระอะไร”
“เธอไปคุยอะไรกับพี่พจน์”
วิรงรองเปิดประตูออก
“ฉัน...”
อดิศวร์เดินเข้ามา แล้วปิดประตู “ถึงกับพูดไม่ออกเลยเรอะ”
“ฉัน...” วิรงรองทำหน้าแบบนึกหาคำพูดไม่ทัน
“ถึงกับแก้ตัวไม่ได้เลยเรอะ”
“ฉันแค่เล่าความฝันกับเรื่องเมื่อคืนนั้นให้คุณลุงฟัง”
“เธอไม่ควรเอาเรื่องในบ้านเราไปเล่าให้คนฟัง”
วิรงรองสวนคำทันที “กรุณาอย่าใช้คำว่า “เรา” เพราะฉันเป็นเพียงแค่คนอาศัย ข้อสอง...คุณลุงเป็นญาติของคุณ ...ไม่ใช่คนอื่น และข้อสุดท้ายคนในบ้านนี้ไม่มีใครฟังฉันเลย”
อดิศวร์ย้อนเอา “ข้อแรก...เธอเป็นคู่หมั้นฉัน...ฉันจึงใช้คำว่า “เรา” ได้ ข้อสอง...พี่พจน์เป็นแค่พี่เขย...ไม่ใช่พี่ชายแท้ๆ และข้อสามฉันฟังเธอ...แต่สิ่งที่เธอเล่ามันไม่น่าเชื่อ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ทำตามที่คุณลุงท่านแนะนำซิ ! เลี้ยงพระ”
“ถามจริง เธอคิดว่า มีความลับอะไรอยู่ในห้องใต้โดม”
“คุณถึงต้องไปเปิดดูไง อ้อ! แล้วเรื่อง...เอ้อ...คู่หมั้นบ้าบออะไรนั่น ...ฉันไม่รู้เรื่อง แล้วก็จะไม่รับด้วย”
อดิศวร์ล้วงกระเป๋าหยิบกล่องแหวนขึ้นมา วิรงรองมองอ้าปากค้าง
อดิศวร์เข้ามาใกล้ วิรงรองถอยกรูดไปติดมุมห้อง นายจ้างหนุ่มคว้ามือซ้ายเธอขึ้นมา
วิรงรองพยายามบิดมือ “อย่านะ”
อดิศวร์ใส่จนได้ แล้วจับมือซ้ายนั้นชูให้วิรงรองดู
“เธอเป็นคู่หมั้นฉันโดยสมบูรณ์แล้ว”
วิรงรองกระชากมือมา แล้วทำท่าจะถอดออก อดิศวร์รู้ทัน
“อย่าได้คิดถอดออกทีเดียว”
วิรงรองชะงัก เงยหน้ามองอดิศวร์
“คุณจะทำไม”
“อยากรู้ก็ลองถอดดู”
วิรงรองมีสีหน้าลังเลแกมหวาดๆ
“เอาไว้ให้คุณย่าหายดีแล้ว ฉันจะลองพูดเรื่องทำบุญดู”
วิรงรองมองอดิศวร์ด้วยสีหน้าดีขึ้น แกมประหลาดใจ
อดิศวร์ดึงมือวิรงรองมาจูงไป “ออกไปข้างนอกกันเถอะ”
วิรงรองเดินตามอดิศวร์ไปอย่างงงๆ

แสงแขกำลังสั่งงานโอบอ้อมอยู่ โอบอ้อมเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง แสงแขหันไปมองตาม สองคนเห็นอดิศวร์จูงมือวิรงรองตรงไปยังห้องโถง แสงแขมองตามอย่างเคียดแค้น

อดิศวร์เปิดบานประตูห้องโถงออก แล้วจูงวิรงรองเข้ามายืนหน้ารูปท่านเจ้าคุณและคุณพลับพลึง
วิรงรองมองรูปทั้งสองท่านนั้น แล้วเบิกตากว้าง
“รูปคุณปู่กับคุณย่าน้อยพลับพลึง” อดิศวร์บอก
วิรงรองอึ้งไปครู่หนึ่ง “คุณอดิศวร์ไปเจอที่ไหนคะ”
“ในห้องเก็บของ”
วิรงรองหันขวับมามองที่สองรูปอีกครั้ง
อดิศวร์มองรูปพลับพลึง “น่าแปลกที่เธอเหมือนท่านจริงๆ เหมือนราวกับคนๆ เดียวกัน”
วิรงรองดึงมือออกจากอดิศวร์ แล้วก้าวไปใกล้รูปพลับพลึงยิ่งขึ้น
“แน่ใจนะว่า เธอไม่ได้เป็นญาติหรือมีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณย่าน้อย”
“ถ้ามี...คุณแม่ของฉันก็ต้องเล่าให้ฟังบ้างซิคะ...ฉันมั่นใจว่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย น่าแปลกเหลือเกิน”
“นี่คงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมคุณย่าถึงไม่ต้อนรับเธอ...ท่านไม่ได้เกลียดตัวเธอหรอก แต่เกลียดความเหมือนของเธอกับคุณย่าน้อย”
“หรือว่า...คุณพลับพลึงจะมาเกิดเป็นดิฉัน” วิรงรองคิดไปโน่น
“ถ้าเป็นอย่างนั้น...ทำไมเธอถึงได้ฝันเห็นท่านล่ะ”
วิรงรองหันขวับมามอง “หมายความว่า คุณเชื่อที่ฉันเล่าให้ฟังใช่ไหมคะ”
“เปล่า”
วิรงรองมีสีหน้าเหมือนผิดหวัง แล้วเดินไปที่ประตู
“จะไปไหน”
“ไปห้องค่ะ...ฉันคุยกับเพื่อนค้างไว้”
“เพื่อนอนิรุทธิ์...เพื่อนภูไท...หรือว่าเพื่อนพิชญ์” อดิศวร์ถามพาลๆ
วิรงรองไม่ตอบเปิดประตูเดินออกไป อดิศวร์มองตามตาขวาง โกรธๆ

วิรงรองเดินจะไปที่บันได เห็นพิณทอง แก้ว วัชรี และแสงแขยืนคุยกันอยู่พอดี ทุกคนมองตรงมาเป็นตาเดียว วิรงรองเลยขยับจะเลี่ยงไป
แต่แสงแขทำเป็นพูดเปรยๆ ขึ้น
“ไม่รู้ว่าบาปกรรมอะไรของแข...บ้านก็ออกกว๊าง ...กว้าง...แต่ทำไมถึงได้ต้องเจอคนที่แขเกลียดขี้หน้าอยู่เรื่อยเลย”
วิรงรองเม้มปาก
วัชรีเสริม “หนูแขคนเดียวเมื่อไหร่ น้าเองก็เหมือนกัน”
“โบราณเขาถึงว่าเกลียดอะไรก็จะได้สิ่งนั้นไงคะ...อุ๊ยต๊าย พูดแล้ว นึกได้…พี่วัชอาจจะได้เขาเป็นสะใภ้” แก้วแดกดันต่อ
พิณทองหน้าซีด
“ไม่มีวันค่ะ ถ้าผิดจากพิณทองแล้ว พี่ยอมตายเสียดีกว่าที่จะได้นังดอกอุตพิดนั่นมาเป็นสะใภ้”
วิรงรองก้าวยาวๆ ออกไป
“รอด้วยค่ะ...คุณวิรงรอง”
พิณทองรีบตามวิรงรองไป
“พิณทอง กลับมานี่” แก้วเรียก
“ปล่อยแกเถอะค่ะ หนูพิณอาจจะตามไปเอาเรื่องมันก็ได้ นี่แกคงจะหมดความอดทนแล้วนั่นแหละ”

วิรงรองหยุดเดินหันมา “คุณพิณทองมีธุระอะไรกับดิฉันคะ”
“ไปพูดในห้อง คุณได้ไหมคะ”
วิรงรองมองพิณทองครู่หนึ่ง แล้วออกเดินนำไป พิณทองเดินตามอย่างโล่งใจ

วิรงรองเปิดประตู แล้วเบี่ยงตัวให้พิณทองเดินเข้ามา พิณทองเดินเข้ามา แล้วทำจมูกเหมือนได้กลิ่นบางอย่าง
“หอมจัง...” พิณทองชะงักเมื่อมองไปที่แจกันปักพลับพลึงช่อใหญ่ “กลิ่นดอกพลับพลึงนี่เอง...พิณไปเห็นมาแล้ว...แปลกนะคะ...พิณไม่เคยเห็นดอกพลับพลึงที่ไหนขึ้นมากมายเท่าที่นั่นมาก่อน”
“ดิฉันก็เพิ่งเคยเห็นเหมือนกัน”
ทั้ง 2 นิ่งกันไปครู่หนึ่ง แล้วพิณทองพูดขึ้นก่อน
“พิณมาขอแสดงความยินดีกับคุณวิ น้าลบเป็นคนดีมาก พิณเคยนึกอยากเห็นผู้หญิงโชคดีที่สามารถเอาชนะใจน้าลบได้...ซึ่งตอนนี้พิณก็ได้เห็นแล้ว”
พิณทองมองมาที่นิ้ว
วิรงรองรีบหมุนหัวแหวนเข้าข้างใน ทำท่าเหมือนพยายามจะซ่อนมือข้างนั้น
“พิณดีใจด้วยจริงๆ นะคะ แล้วก็ไม่ใช่เพราะเรื่องพิชญ์ด้วย”
“ดิฉันขอยืนยันว่า...เรื่องของดิฉันกับพิชญ์จบไปนานแล้ว...สำหรับดิฉัน จบก็คือจบ! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดิฉันจะไม่มีวันลงเอยกับพิชญ์เด็ดขาด”
“เพื่อความยุติธรรม...พิณจะบอกความจริงกับคุณวิรงรอง...ตอนนี้พิณกับพิชญ์แยกกันอยู่แล้ว ครบ 1 ปีเมื่อไหร่เราจะหย่ากันเงียบๆ ที่ต้องเว้นระยะ 1 ปี ก็เพื่อจะให้ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายสบายใจ”

วิรงรองชะงัก นัยน์ตากลมโตคู่งามทั้งแปลกใจและตกใจ

โดมทอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

บรรยาภายในห้องนั่งเล่นกลางวงสนทนาเวลานั้นแสนเศร้า วัชรี และแก้ว เบิกตากว้างสบตากัน แล้วหันมาทางแสงแข ซึ่งกำลังเช็ดน้ำตา สีหน้าท่าทางทั้งเจ็บปวดและแค้นใจ

“มิน่าล่ะ! คุณย่าท่านถึงได้เป็นลมไป! โธ่เอ๊ย! คุณลบนะคุณลบ...ไม่น่าหักหาญน้ำใจคนแก่เลย”
“พี่ไม่เข้าใจ นังนั่นมันมีอะไรดี...พวกผู้ชายถึงได้ไปรุมรักมันเป็นบ้าเป็นหลัง” แก้วว่า
“มันเป็นทำว่าไม่สน...ไม่แคร์ใครไงคะ...แล้วพวกผู้ชายก็อยากจะเอาชนะ” แสงแขใส่ไฟวิรงรอง
วัชรีตบเข่าฉาด “ใช่เลย ต้องเป็นอย่างนั้นเลย...ตาพิชญ์ของน้าถึงได้จะเป็นจะตายอีตอนที่มันตัดรักหักสวาท!…โถ ...แล้วผู้หญิงดีๆ อย่างหนูแสงแขหรือหนูพิณทองที่ไหนจะทันมัน”
แสงแขยิ่งสะอึกสะอื้นใหญ่ เพื่อเรียกร้องความสงสารและเห็นใจจากสองคุณหญิงที่ชิงชังวิรงรองอยู่แล้ว

ส่วนพิณทองเดินไปที่ประตู แล้วนึกได้ หันกลับมา
“พิณอยากรู้นิดเดียว”
วิรงรองเงยหน้าซึ่งสับสนอยู่กับคำพูดของพิณทอง ตอนที่แล้วขึ้นมามอง รอฟัง
“คุณวิยังรักพิชญ์อยู่หรือเปล่า”
วิรงรองรีบส่ายหน้าปฏิเสธ โดยไม่ต้องคิด
“อย่าเพิ่งปฏิเสธค่ะ...พิณอยากให้คุณวิรงรองคิดให้ดี เพราะถ้าคุณวิยังรักพิชญ์ มันก็ไม่ยุติธรรมกับน้าลบ ที่คุณวิใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ลืมหรือว่าประชดพิชญ์”
“ไม่จริงค่ะ! ดิฉันไม่ใช่คนซับซ้อนอย่างนั้น!”
“ถ้าอย่างนั้นคุณวิก็รักน้าลบ”
วิรงรองสวนทันที “ไม่”
พิณทองมองวิรงรองเป็นเชิงตำหนิกลายๆ “ถ้าน้าลบมาได้ยินเข้า คงเสียใจมาก...”
วิรงรองนิ่งงันไป
“พิณขอแนะนำให้คุณวิรงรองคิดให้ดี...ถ้ายังรักพิชญ์...ก็รอเขาจนกว่าจะครบปี หรือจะให้พิณหย่าเดี๋ยวนี้...วันนี้ก็ได้ แล้วปล่อยน้าลบไป” พิณทองทอดคำ “อย่างที่บอก...น้าลบเป็นคนดี...เขาควรจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่รักเขาจริง”
พิณทองมองวิรงรองราวกับจะมองทะลุให้ถึงหัวใจ แล้วเดินออกไป
วิรงรองมองตาม แล้วยกมือขึ้นดูแหวนหมั้น พลางทำท่าจะกอด แต่เสียงขู่ของอดิศวร์ดังก้องในหู
“อย่าได้คิดถอดออกทีเดียว”
“คุณจะทำไม”
“อยากรู้ก็ลองถอดดู”
วิรงรองปล่อยมือที่กำลังจะถอดแหวนด้วยสีหน้าขัดอกขัดใจ

ทางด้านอดิศวร์อยู่ในห้องทำงาน เดินกลับไปกลับมาช้าๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด คิดถึงคำพูดของพจน์
“ทางเดียวที่จะให้ท่านพ้นจากความรู้สึกเหล่านั้นก็คือ...ให้ท่านเผชิญหน้ากับความจริง !
“ความจริงอะไร”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร!”
“พิณเองค่ะ”
อดิศวร์เดินไปเปิดประตูรับพิณทองเข้ามา
“มีอะไรหรือคุณพิณ”
พิณทองจับมืออดิศวร์ไว้ สบตาแน่วนิ่ง “น้าลบอย่าโกรธนะคะ...อย่าหาว่าพิณเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องของน้าลบนะคะ”
อดิศวร์ยิ้ม พูดเย้า “มาถึงก็มีข้อแม้เลยทีเดียว”
“เท่าที่พิณทำลงไปก็เพราะพิณรักน้าลบ...น้าลบรักและหวังดีกับพิณยังไง...พิณก็รักและหวังดีกับน้าลบอย่างนั้นเหมือนกัน”
“เท่าที่อารัมภบทมาทั้งหมดนี่ ก็เพื่อจะบอกน้าลบว่า...”
“น้าลบอย่าเสียใจนะคะ...คุณวิรงรองเขาไม่ได้รักน้าลบเลย”
อดิศวร์มีสีหน้าขรึมลง “เขาบอกคุณพิณอย่างนั้นหรือ”
“ค่ะ”
อดิศวร์ดึงมืออกจากมือพิณทอง แล้วเดินมานั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม โดยพิณทองมองตามด้วยสีหน้าห่วงใย

เวลาผ่านไปอีก 2-3 วันแล้ว วันนี้ท่านผู้หญิงสรรักษ์มีกำหนดออกจากโรงพยาบาล
อดิศวร์ไปรับ กำลังขับรถเข้ามาที่โดมทอง โดยมีแสงแข นั่งคู่ด้านหน้า ส่วนท่านผู้หญิงนั่งด้านหลังกับโอบ
รถแล่นเข้ามาในอาณาเขตโดมทอง ท่านผู้หญิงมองไปที่ยอดโดมโดยไม่ได้ตั้งใจ
มือท่านผู้หญิงที่จับมือโอบอ้อมอยู่ จิกแน่นจนเลือดซิบๆ โอบอ้อมเจ็บจนต้องนิ่วหน้าร้องออกมาเบาๆ เพราะไม่กล้าร้องดัง
นัยน์ตาท่านผู้หญิงเบิกกว้าง เมื่อเห็นหน้าต่างห้องใต้โดมเปิดอยู่
“ใครเปิดหน้าต่างห้องใต้โดม” ท่านผู้หญิงถามขึ้น
“เปล่านี่ครับ” อดิศวร์ตอบ
“ต้องมีซิ”
อดิศวร์จอดรถ แล้วชะโงกออกไปดู เช่นเดียวกับแสงแขและโอบอ้อม
ทุกคนเห็นหน้าต่างปิดสนิทไม่มีอะไรผิดปกติ
“ยังปิดอยู่นี่ครับ”
ท่านผู้หญิงค่อยๆ ผินหน้ากลับไปมอง เห็นหน้าต่างห้องปิดสนิท
“คุณย่าคงตาฝาดไปน่ะค่ะ” แสงแขว่า
“อย่าสาระแน นังแสงแข”
นัยน์ตาแสงแขเป็นประกายวูบหนึ่งด้วยความไม่พอใจ
ท่านผู้หญิงยังคงมองดูหน้าต่าง ขณะอดิศวร์ขับรถไปจอดหน้าตัวตึก

ไม่นานต่อมา อดิศวร์เข็นรถท่านผู้หญิงมาที่บริเวณหน้าบันไดเวียนประตูทางขึ้นโดมทอง ติดตามด้วย แสงแข อุษา อุไร โอบอ้อม และสม ทั้ง 5 คนเข้ามาในบริเวณนั้น
ประตูถูกคล้องด้วยโซ่ ซึ่งขึ้นสนิมด้วยกาลเวลาเช่นเดียวกับกุญแจดอกใหญ่
“ไม่เคยมีใครเปิดเข้าไปเลยขอรับ...ท่าน” สมบอก
ท่านผู้หญิงตวาด “เอ็งรู้ได้ยังไง ไอ้กุญแจที่เอ็งน่ะอาจถูกขโมยไปก็ได้”
“กระผมเอาไว้กับตัวเองตลอดเวลาตามคำสั่งท่านขอรับ” สมบอกอีก
“ยังจะมาเถียงอีก”
ท่านผู้หญิงหันมาชี้หน้ากราด
“อย่าให้รู้เชียวนะว่าใครบังอาจขัดคำสั่งฉัน! ลบ เข็นย่ากลับห้องได้แล้ว”
อดิศวร์เข็นท่านผู้หญิงกลับไป ทั้ง 5 คนเดินแยกย้ายกันไปเงียบๆ

สักครู่หนึ่ง อดิศวร์เข็นท่านผู้หญิงเข้ามาในห้อง แล้วช่วยประคองลงจากรถขึ้นเตียง ในขณะที่อุษาเริ่มจัด
ข้าวของที่นำมาจากโรงพยาบาล
“ไปตามนังพลับพลึงมา! ย่ารู้ว่าต้องเป็นมัน มันจะแกล้งให้ย่ากลัว”
“วิรงรอง...” อดิศวร์พยายามจะอธิบาย
“อย่าแก้ตัวแทนมัน...ทำไมย่าจะไม่รู้ว่ามัน เที่ยวสาระแนค้นนั่นค้นนี่ไปทั่วทั้งบ้าน”
“บนนั้นมีอะไรหรือครับ” อดิศวร์โพล่งขึ้นมา
อุษาสะดุ้ง ท่านผู้หญิงจ้องหน้าหลานรักเขม็ง
“ไปถามนังพลับพลึงมันดูซิ” สุ้มเสียงที่เย้ยอยู่ในที
อดิศวร์นิ่งไปครู่หนึ่ง “ผมว่าจะทำบุญบ้าน”
ท่านผู้หญิงนิ่งเหมือนจะรอฟัง
“ระยะหลังๆ มานี่ คุณย่าดูออดแอด...บางครั้งก็หงุดหงิด ถ้าได้ทำบุญบ้าน อะไรๆอาจจะดีขึ้น...คุณย่าจะว่ายังไงครับ”
“ก็ดีเหมือนกัน ผีมันกลัวพระ...มันจะได้เตลิดไปไกลๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย...ผมจะได้ไปนิมนต์พระ แล้วก็ให้อุษากับแสงแขจัดการเรื่องอาหาร”

เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่ง วันนี้มีเสียงพระเจริญพุทธมนตร์จากพระ 9 รูป ดังมาจากห้องโถงรับแขก และดังไปทั่วคฤหาสน์ “โดมทอง”
พระเจริญพุทธมนต์เสร็จ อดิศวร์ช่วยท่านถวายภัตตาหาร พระให้พร
ทุกคนในที่นั้นกรวดน้ำ บรรยากาศในบริเวณนั้นดูสงบร่มเย็นอย่างประหลาด

หลวงพ่อเจ้าอาวาสเจิมหน้าห้องให้ท่านผู้หญิงเสร็จ หันมาถาม
“ยังมีห้องไหนอีกไหม”
“ก็มีห้องหลานๆ เจ้าค่ะ” ท่านผู้หญิงบอก
“คุณย่าครับ...ผมอยากให้ท่านขึ้นไปบนห้องใต้โดม”
ท่านผู้หญิงเสียงดัง “ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะ โยม” หลวงพ่อถาม
“เพราะห้องนั้นมันมีแต่ความชั่วร้ายเจ้าค่ะ”
“ถ้าโยมคิดอย่างนั้น ก็ยิ่งต้องทำให้ความชั่วร้ายหายไป”
“ผมคิดจะให้คนขึ้นไปทำความสะอาด...ห้องปิดตายอยู่อย่างนั้นมานานหลายสิบปีแล้ว” อดิศวร์ว่า
ท่านผู้หญิงเสียงขุ่น “ตาลบ...อย่าขัดใจย่า ปล่อยมันไว้อย่างนั้นแหละ ต่อให้ย่าตาย ก็ห้ามใครเปิด...เข้าใจไหม”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด
“โยม ...โยมจะพบกับความสงบสุขสงบในชีวิต ถ้ารู้จักปล่อยวาง...อย่าให้ความเกลียดชังอาฆาตแค้นมาเกาะกินใจ ...โยมจะรู้สึก เบาสบาย ถ้ารู้จักให้อภัย และมีเมตตา”
“ปล่อยวาง! ให้ภัย! มีเมตตา! ทุกคนก็พูดได้ เพราะไม่มีใครมาเป็นฉัน...ไม่มีใครเข้าใจฉัน! ลบ...ให้สมขับรถไปส่งพระที่วัดได้แล้ว” ท่านผู้หญิงยกมือไหว้หลวงพ่อ “ดิฉันกราบขอประทานโทษเจ้าค่ะ ท่าน”
พูดจบท่านผู้หญิงยกมือขยับล้อรถเข็น เข็นไปเอง อุษาเปิดประตู แล้วเข็นรถเข้าห้องไปแสงแขรีบตาม
“สม...ไปเตรียมรถไป”
“ครับ” สมออกไป
อดิศวร์ไหว้หลวงพ่อ “ผมต้องขอประทานโทษแทนคุณย่าด้วยครับ”
“ไม่เป็นไร โยมท่านผู้หญิงยังปล่อยวางไม่ได้...จึงยังต้องทุกข์ใจอยู่”
ทั้งสองสนทนากันเบาๆ ขณะเดินออกไปจากที่นั้น

วิรงรองอยู่ในห้อง ผละจากหน้าต่างเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง พร้อมกับทอดถอนใจ
“เหมือนเป็นส่วนเกินยังไงก็ไม่รู้...แม้แต่เขาทำบุญก็ยังไปร่วมไม่ได้”
วิรงรองยกมือขึ้นมาดูแหวนที่นิ้ว เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใครคะ”
“ป้าอุไรค่ะ”
วิรงรองรีบเดินไปประตู อุไรยกถาดอาหารเดินเข้ามา
“ป้าอุไรเห็นคุณวิไม่ลงไปทานอะไร ก็เลยยกเอาขึ้นมาให้”
วิรงรองน้ำตาคลอ “มีป้าอุไรคนเดียวมั้งที่คิดว่าวิยังมีตัวตนอยู่ในบ้านนี้”
“โถ...แม่คุณ...อย่าน้อยใจไปเลยค่ะ”
คราวนี้วิรงรองเลยสะอื้นออกมา อุไรจึงกอดไว้อย่างปลอบใจ
“ใครจะคิดอย่างนั้นได้ล่ะคะ อย่างน้อยก็ยังมีคุณลบ คุณอุษา”
“ไม่จริงหรอกค่ะ คุณอดิศวร์ก็แค่อยากเอาชนะ ส่วนพี่อุษาก็นึกว่าวิรู้เรื่อง...เอ้อ...หมั้น...แต่ไม่ยอมบอก วิไม่รู้อะไรเลยจริงๆ นะคะ”
อุไรลูบหลังปลอบ “ป้าอุไรเข้าใจค่ะ”
“วิเหมือนไม่มีตัวตน”
“มีซิคะ...ที่คุณลบเธอไม่ได้ชวนคุณวิลงไป ก็เพราะท่านผู้หญิงออกมาร่วมงานด้วย”
“ในเมื่อท่านผู้หญิงรังเกียจวิ คุณอดิศวร์ก็ไม่ควร...ทำอย่างนี้”
“คุณลบเธอรักคุณวิค่ะ” อุไรบอก
“ไม่จริง! เขาประกาศหมั้นวิ เพราะกลัวว่าวิจะไปแย่งสามีหลานสาวเขาต่างหาก”
“ไปกันใหญ่แล้ว ป้าน่ะอยู่ที่ “โดมทอง” มานานมากพอที่รู้ดีว่า คุณลบไม่เคยรักใคร่ใยดีผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย ขนาดคุณแสงแขที่แสดงออกอย่างเปิดเผยตลอดเวลาว่าเธอรักคุณลบ คุณลบก็ไม่เคยมีท่าทีด้วย เธอถึงอิจฉาคุณวิไงคะ”
“ป้าอุไรยังไม่รู้ลึก...รู้จริงเท่าวิหรอก” วิรงรองเถียง
“เอาเถอะค่ะ...ป้าอุไรไม่มีเวลามาเถียงกับคุณวิหรอก เพราะต้องลงไปช่วยเขาดูแลเก็บข้าวเก็บของ...คุณวิทานข้าวก่อนนะคะ เดี๋ยวป้าอุไรว่างแล้วค่อยมาเถียงกันต่อ”
“ค่ะ” สีหน้าวิรงรองเริ่มดีขึ้น “ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”
อุไรกอดวิรงรองอีกที แล้วเดินออกไป วิรงรองลงมือทานข้าวด้วยเริ่มหิว

อุไรออกมาหน้าห้อง เดินมานิด แล้วชะงักเมื่อเห็นอดิศวร์เดินตรงมา อุไรประสานมือบอกอย่างนอบน้อม
“อุไร ยกข้าวขึ้นมาให้คุณวิรับประทานค่ะ”
“ใครถาม” อดิศวร์เสียงเขียว
“ไม่มีค่ะ...อุไรตอบเอง”
“ทีหน้าทีหลังไม่มีใครถามก็ไม่ต้องตอบ”
“อุไรนึกว่าคุณลบอยากจะทราบน่ะค่ะ”
“จบมั้ย”
อุไรยิ้มแห้งๆ “จบค่ะ”
อดิศวร์เดินตรงไปยังห้องวิรงรอง อุไรเหลียวมองตามยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อดิศวร์หันมามองท่าทีเย็นชา อุไรสะดุ้ง หุบยิ้มแทบไม่ทัน รีบหันหลังเดินแทบเป็นวิ่งกลับไป

ขณะที่วิรงรองกำลังทานข้าวอย่างอร่อย มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
วิรงรองรีบเดินไปเปิดขณะพูด “อะไรอีกล่ะคะ...ป้าอุไร...เอ้อ...”
แต่แล้ววิรงรองต้องชะงักเมื่อเห็นเป็นอดิศวร์ยืนยู่ พอตั้งสติได้ก็ทำสีหน้าเคร่งขรึม
“มีธุระอะไรคะ”
“พรุ่งนี้! เราจะไปพบคุณแม่เธอที่กรุงเทพฯ กัน”
“คุณไม่จำเป็นต้องไป ดิฉันไปคนเดียวได้”
“ไม่ได้ เพราะฉันต้องไปสู่ขอเธอกับคุณแม่...ไม่อย่างนั้นมันจะเหมือนหนีตามกัน”
“ดิฉันไม่ได้อยากจะหมั้น”
“อยากหรือไม่อยากก็หมั้นกันแล้ว...6 โมงเช้า เตรียมตัวให้พร้อม”
อดิศวร์หันตัวเดินกลับไป
วิรงรองหงุดหงิดสุดๆ
“จอมเผด็จการฮิตลบ”

ค่ำนั้นสายหมอกสีขาวลอยอ้อยอิ่งปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณภายนอก “โดมทอง” บรรยากาศ ช่างดูวังเวงและน่ากลัว
นกเค้าแมว บนกิ่งไม้ใหญ่ใบดกหนาส่งเสียง ตามมาด้วยเสียงหมาหอนโหยหวนดังแว่วมาไกลๆ พร้อมๆ กันนั้นเสียงเพลง “นางครวญ” ก็ดังแว่วหวานปนเศร้าตามมา
ส่วนภายในโดมทอง แลเห็นท่านผู้หญิงสรรักษ์เดินตามเสียงเพลงมาด้วยสีหน้าถมึงทึง
“นังพลับพลึง! แกอยู่ที่ไหน” เสียงนั้นสะท้อนก้องไปมา
เสียงเพลงดังกระชั้น ท่านผู้หญิงดุ่มเดินตามมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาหยุดตรงหน้าห้องโถงบรรพบุรุษ
เสียงเพลงหยุดไป กลายเป็นเสียงหัวเราะหยอกล้อกันเป็นที่สนุกสนานมาแทน
ท่านผู้หญิงผลักประตูเข้าไป

แหละพอเท้าเหยียบย่างเข้ามาท่านผู้หญิงก็ต้องเบิกตากว้าง สายตาแข็งกร้าวคู่นั้นแลเห็นว่าชาวคณะมโหฬีกำลังซ้อมเพลงกันอยู่ และหัวเราะหัวใคร่อย่างเยือกเย็นชวนขนลุก
สีหน้าแต่ละคนซีดเซียว แล้วทุกคนค่อยหันมามองตาม นำโดยพลับพลับซึ่งทักทายด้วยเสียงเย็นยะเยือก
“คุณพี่.....”
“ไสหัวออกไปจากบ้านฉันให้หมด” ท่านผู้หญิงแผดเสียงตวาด
“คุณพี่พาพวกเขาเข้ามาเอง” พลับพลึงบอก
“นังพลับพลึง! นึกหรือว่าฉันจะกลัวพวกแก”
พลับพลึงแสยะยิ้ม เนื้อหนังบนใบหน้าซีดสวยค่อยๆ ยุบลงไป นัยน์ตาถลนออกมา กลายเป็นใบหน้าเน่าเฟะหนอนไต่ยั้วะเยี้ยะ
ทุกคนในที่นั้นตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับพลับพลึง หนอนหล่นคลานตรงมาที่ท่านผู้หญิง
พลับพลึงยื่นมือมาหา พร้อมน้ำเสียงชวนสยอง “มาอยู่ด้วยกัน...คุณพี่...มาอยู่ด้วยกัน...”
ท่านผู้หญิงกรีดร้องสุดเสียง ทั้งกลัวและขยะแขยง

ที่แท้ท่านผู้หญิงฝันร้าน เสียงของท่านดังลั่นไปทั่วห้องนอนกลางดึก
“ไป๊! ไปให้หมด! อีผีเน่าผีหนอน! ไป๊”
หญิงชราโบกไม้โบกมือไล่ผีเป็นที่วุ่นวาย
อุษาซึ่งตกใจตื่นเพราะเสียงดังนั้น รีบคลานเข้ามา จับแขนท่านไว้
“คุณย่า...คุณย่าขา...คุณย่าเป็นอะไรไปคะ”
ท่านผู้หญิงลืมตาขึ้นอย่างตระหนก “อีนังพลับพลึงกับพวกของมัน อุตส่าห์เอาพระมาสวดไล่แล้ว ก็ยังไม่ยอมไปอีก”
“ไม่มีใครนี่คะ”
“นังหน้าโง่! มันอยู่ในห้องโถงใหญ่! แกไปไล่พวกมันซิ!”
“คุณย่าฝันร้ายน่ะค่ะ”
“สู่รู้...แกจะมารู้ดีไปกว่าฉันได้ยังไง! ฉันไปเองก็ได้”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉง ด้วยพลังที่เกิดจากความเคียดแค้น
อุษาตกใจรีบพูด “คุณย่านอนเถอะค่ะ...อุษาจะไปดูเอง”
“ฉันจะไปด้วย”
“คุณย่าขา...”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เดินตรงไปที่รถ อุษาจำต้องเข็นรถท่านออกไป

อุษาเปิดประตูห้องโถงเก็บรูปบรรพบุรุษ แล้วเข็นท่านผู้หญิงเข้ามา รูปแต่ละรูปเหมือนจะมองมาด้วยสีหน้าเฉยเมย
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กวาดมองเลยเรื่อยมาจนถึงรูปพลับพลึง ซึ่งมองมาเหมือนจะยิ้มเยาะนิดๆ
“เอารูปมันลงมา”
จู่ๆ ที่ภายนอก เกิดฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา แล้วตามด้วยเสียงฟ้าร้องครืนครันราวกับฝนจะตก
ท่านผู้หญิงตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า “เอารูปมันลงมา”
อุษาว้าวุ่นใจ “แต่...คุณลบ”
“นังอุษา! เอารูปมันลง”
“ค่ะ!”
ภายนอกฝนเริ่มโปรยปราย อุษาเอื้อมหยิบรูปพลับพลึงลงมา
“เอามานี่”
อุษาส่งรูปให้ ท่านผู้หญิงกระชากรูปมา แล้วฟาดลงกับพื้นสุดแรง กระจกแตกกระจาย อุษาสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ
ท่านผู้หญิงกระชากรูปออกมา แล้วฉีกๆๆๆ เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยช้าๆ อย่างเคียดแค้น
เศษกระดาษนั้นลอยลงพื้นช้าๆ อุษามองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“นังพลับพลึง! แกไม่มีวันชนะฉัน”
ภายนอกฝนตกหนัก
ท่านผู้หญิงสรรักษ์หัวเราะราวกับคนบ้าขณะมองรูปท่านเจ้าคุณสรรักษ์ไกรณรรงค์
“รูปนังพลับพลึงไม่มีแล้ว! มีแต่รูปคุณพี่กับดิฉัน...เราจะอยู่คู่กันตลอดไป”
อุษามองย่าด้วยความหวาดกลัว
ท่านผู้หญิงตะโกนแข่งเสียงฝน “ได้ยินมั้ย! เราจะต้องอยู่ด้วยกันตลอดไป”

เสียงฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา แสงวาบขึ้นที่นัยน์ตาของท่านผู้หญิงซึ่งเป็นประกายวาวโรจน์อย่างน่ากลัว

บรรยากาศยามเช้าภายในอาณาเขต “โดมทอง” ซึ่งฝนเพิ่งจะหยุดตก ภายในห้อง วิรงรองเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด เสียงเคาะประตูเบาๆ
วิรงรองสะดุ้งด้วยคิดว่าจะเป็นอดิศวร์ “ใครคะ”
“ป้าอุไรเองค่ะ”
วิรงรองรีบเดินมาเปิด
“คุณอดิศวร์ให้มาตามวิหรือคะ”
“เปล่าค่ะ...คุณลบอยู่ในห้องท่านผู้หญิง...ท่านไม่ค่อยสบาย”
วิรงรองพึมพำด้วยเช้านี้มีนัดกัน “หมายความว่า...วันนี้ไม่ต้องไป”
“ค่ะ...ป้าอุไรไปก่อนนะคะ”
“เดี๋ยวค่ะ...เอ้อ...ท่านเป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ท่านนอนซึม...ไม่ยอมทานอาหาร...ไม่พูดไม่จาค่ะ” อุไรเหลียวซ้ายแลขวาหน้าหลังแล้วพูดด้วยเสียงเบาลง “เมื่อคืน ท่านฉีกรูปคุณพลับพลึงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเลยค่ะ...กระจกแตกกระจาย...คุณอุษาต้องตามป้าอุไรไปช่วยเก็บกวาด ป้าอุไรไปละค่ะ”
อุไรเดินออกไป วิรงรองปิดประตูแล้วเดินมานั่งงงๆ

ภายในห้องท่านผู้หญิง อดิศวร์ลูบแขนคุณย่าอ่อนโยน “คุณย่าครับ”
ท่านผู้หญิงยังคงนอนตาเบิกโพลงจ้องมองเพดานนิ่งๆ
แสงแข และอุษาพากันนิ่งเงียบ
“คุณย่าครับ”
ท่านผู้หญิงยังคงมองเพดานขณะพ่นด่า “ย่าฉีกรูปนังนั่นหมดแล้ว! มันจะไม่มีวันได้เผยอมาเคียงคู่กับท่านเจ้าคุณเด็ดขาด” พลางเหลียวขวับมามองหลานนัยน์ตาเป็นประกาย “ลบก็เหมือนกัน...ลบจะแต่งงานกับนังนั่นไม่ได้เด็ดขาด”
แสงแขลอบชำเลืองมองท่าทีอดิศวร์
“ลบคงเห็นรูปนังพลับพลึงแล้ว...มันเหมือนกันราวกับคนๆ เดียว”
“คงเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าครับ”
“ไม่ใช่! ย่ารู้ว่ามันเป็นคนๆ เดียวกัน! ถ้าลบแต่งงานกับนังนั่นวันไหนก็เท่ากับย่าต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้...ซึ่งย่าจะยอมไม่ได้เด็ดขาด”
อดิศวร์นิ่งไป
อุษาและแสงแขลอบมองอดิศวร์ทั้งคู่ โดยแสงแขสีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวัง
“รับปากกับย่าซิลบ”
“ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว...และทุกคนในงานก็ได้ยินกันหมดว่าผมประกาศหมั้นวิรงรอง”
ท่านผู้หญิงสวนทันที “ได้ยินก็ได้ยินไป เราจะถอนหมั้นเสียอย่าง”
“ผมอยากให้คุณย่าฟังเหตุผล”
ท่านผู้หญิงตวาด “ฉันไม่ฟัง! ถ้าแกยังฝืนแต่งงานกับมัน! ฉันจะมีแต่คำสาปแช่งแทนคำอวยพร”
อดิศวร์อึ้งนิ่งงันไป

สักครู่ต่อมาประตูห้องเปิดออก อดิศวร์ก้าวออกมา แล้วปิดประตูเบาๆ เดินไปได้ 3- 4 ก้าว แสงแขตามออกมา
“คุณลบคะ”
อดิศวร์หันมามอง
แสงแขเล่นบทคนดี “แข เห็นใจแล้วก็เข้าใจคุณลบค่ะ”
“ขอบใจ”
“แต่แขก็ไม่อยากให้คุณย่าท่านเครียดจนไม่สบายอีก...ทางที่ดีคุณลบน่าจะทิ้งระยะไว้สักหน่อย แล้วค่อยคิดเรื่องแต่งงาน”
อดิศวร์หันหลังกลับเดินไปเงียบๆ แสงแขมองตามอย่างน้อยใจ

ตรงมุมสวยๆภายนอกโดมทอง บรรยากาศค่อนข้างขมุกขมัวในบริเวณนั้น ด้วยว่าฝนเพิ่งหยุดตกเมื่อใกล้รุ่ง
แสงแขมามาดใหม่เป็นร้ายแบบหวานๆ เดินชะเง้อ มองแล้วยิ้มเยาะออกมา เมื่อเห็นวิรงรองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เหมือนใช้ความคิด
แสงแขทำเป็นทักด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “วิรงรอง”
วิรงรองหยุดเดินหันมามอง
“อากาศไม่ค่อยดีเลยนะวันนี้” แสงแขเว้นวรรคไปนิด แล้วทำตามีเลศนัย “เหมือนชีวิตของใครบางคน”
วิรงรองยังคงนิ่ง
“เมื่อกี้ฉันอยู่ในห้องคุณย่า...คุณย่ากับคุณลบคุยกันเคร่งเครียดเลย...อยากรู้มั้ยว่าเรื่องอะไร”
วิรงรองหันหลังเดินต่อ “ไม่อยากค่ะ”
แสงแขเดินตามช้าๆ แบบทองไม่รู้ร้อน “ฉันน่ะฟังแล้วสงซ้าน...สงสารเธอกลัวจะเป็นฝ่ายม่ายขันหมาก”
วิรงรองกัดปากโดยไม่รู้สึกตัว
“คุณย่าเสียใจมากที่คุณลบหมั้นกับเธอ ถึงขนาดล้มเจ็บแบบนี้ แล้วคิดหรือว่า คุณลบจะแต่งงานกับเธอ อย่างดีก็ทอดเวลาหมั้นไปจนกว่าคุณย่าจะตาย”
วิรงรองสะดุ้ง
“ซึ่งฉันขอบอกเลยว่า คงจะอีกนานมาก เพราะคนแก่ที่ร้ายกาจอาฆาตแบบคุณย่าน่ะตายยาก! ยังไงก็จะพะงาบๆอยู่ขัดขวางความสุขของลูกหลานไปเรื่อยๆ”
วิรงรองหันมามองแสงแข “คุณใจร้ายมากที่พูดถึงท่านแบบนั้นทั้งๆที่ท่านเมตตาคุณ”
แสงแขหัวเราะหยัน “ยัยแม่มดนั่นน่ะเรอะจะรู้จักเมตตาใครเป็น! ท่านยังบอกคุณลบอีกนะว่า วันไหนที่คุณลบแต่งงานกับเธอ ท่านจะให้คำสาปแช่งแทนคำอวยพร ถ้าฉันเป็นเธอน่ะเรอะ เผ่นไปจาก “โดมทอง” นานแล้ว”
วิรองรองสบตาแสงแขแน่วนิ่ง “แต่ฉันเป็นคนแปลกอยู่อย่างนะคะ...คุณแสงแขเคยได้ยินที่เขาพูดว่า “ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุนะคะ” ฉันเป็นคนแบบนั้น”
“หมายความว่า เธอจะหมั้นกับคุณลบต่อไปทั้งๆ ที่ไม่มีอนาคต”
“คนเราอยู่ด้วยความหวังไม่ใช่หรือคะ...ถ้าคุณอดิศวร์รักฉันจริง...ซึ่งฉันเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น...เขาต้องหาทางแต่งงานกับฉันก่อนที่ท่านผู้หญิงจะมีอันเป็นไปได้แน่! แล้วดิฉันก็ไม่กลัวคำสาปแช่งเสียด้วย”

แสงแขจดสายตาจ้องวิรงรองเหมือนจะฉีกเป็นชิ้นๆ วิรงรองมองสบตาตอบอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ภายในใจเดือดปุดๆ

โดมทอง ตอนที่ 10 (ต่อ)

บรรยากาศสวยๆ บริเวณภายนอกโดมทองเช้านี้ ดูค่อนข้างขมุกขมัว ด้วยว่าฝนเพิ่งหยุดตกเมื่อใกล้รุ่ง แสงแขเดินชะเง้อ มองแล้วยิ้มเยาะออกมา เมื่อเห็นวิรงรองเดินทอดน่องไปเรื่อยๆ เหมือนใช้ความคิด

แสงแขมามาดใหม่ ทำเป็นทักด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน “วิรงรอง”
วิรงรองหยุดเดินหันมามอง
“อากาศไม่ค่อยดีเลยนะวันนี้” แสงแขเว้นวรรคไปนิด แล้วทำตามีเลศนัย “เหมือนชีวิตของใครบางคน”
วิรงรองยังคงนิ่ง
“เมื่อกี้ฉันอยู่ในห้องคุณย่า...คุณย่ากับคุณลบคุยกันเคร่งเครียดเลย...อยากรู้มั้ยว่าเรื่องอะไร”
วิรงรองหันหลังเดินต่อ “ไม่อยากค่ะ”
แสงแขเดินตามช้าๆ แบบทองไม่รู้ร้อน “ฉันน่ะฟังแล้วสงซ้าน...สงสารเธอกลัวจะเป็นฝ่ายม่ายขันหมาก”
วิรงรองกัดปากโดยไม่รู้สึกตัว
“คุณย่าเสียใจมากที่คุณลบหมั้นกับเธอ ถึงขนาดล้มเจ็บแบบนี้ แล้วคิดหรือว่า คุณลบจะแต่งงานกับเธอ อย่างดีก็ทอดเวลาหมั้นไปจนกว่าคุณย่าจะตาย”
วิรงรองสะดุ้ง
“ซึ่งฉันขอบอกเลยว่า คงจะอีกนานมาก เพราะคนแก่ที่ร้ายกาจอาฆาตแบบคุณย่าน่ะตายยาก! ยังไงก็จะพะงาบๆอยู่ขัดขวางความสุขของลูกหลานไปเรื่อยๆ”
วิรงรองหันมามองแสงแข “คุณใจร้ายมากที่พูดถึงท่านแบบนั้นทั้งๆที่ท่านเมตตาคุณ”
แสงแขหัวเราะหยัน “ยัยแม่มดนั่นน่ะเรอะจะรู้จักเมตตาใครเป็น! ท่านยังบอกคุณลบอีกนะว่า วันไหนที่คุณลบแต่งงานกับเธอ ท่านจะให้คำสาปแช่งแทนคำอวยพร ถ้าฉันเป็นเธอน่ะเรอะ เผ่นไปจาก “โดมทอง” นานแล้ว”
วิรองรองสบตาแสงแขแน่วนิ่ง “แต่ฉันเป็นคนแปลกอยู่อย่างนะคะ...คุณแสงแขเคยได้ยินที่เขาพูดว่า “ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุนะคะ” ฉันเป็นคนแบบนั้น”
“หมายความว่า เธอจะหมั้นกับคุณลบต่อไปทั้งๆ ที่ไม่มีอนาคต”
“คนเราอยู่ด้วยความหวังไม่ใช่หรือคะ...ถ้าคุณอดิศวร์รักฉันจริง...ซึ่งฉันเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น...เขาต้องหาทางแต่งงานกับฉันก่อนที่ท่านผู้หญิงจะมีอันเป็นไปได้แน่! แล้วดิฉันก็ไม่กลัวคำสาปแช่งเสียด้วย”
แสงแขจดสายตาจ้องวิรงรองเหมือนจะฉีกเป็นชิ้นๆ วิรงรองมองสบตาตอบอย่างใจเย็น ทั้งๆ ที่ภายในใจเดือดปุดๆ

วิรงรองเดินเข้ามาในบ้าน ด้วยสีหน้าท่าทางดูเหนื่อยหน่าย ท้อแท้ หลังจากทำเป็นเข้มแข็งใส่แสงแขมาแล้ว
อดิศวร์อยู่ในบริเวณนั้นเหมือนกำลังรออยู่ และถามขึ้นมาลอยๆ
“ไปเดินเล่นมาสนุกไหม”
วิรงรองอัดอั้นตันใจ “สนุกหรือคะ ตั้งแต่ก้าวแรกที่มาถึง “โดมทอง” ฉันก็แทบจะสะกดคำว่า “สนุก” กับ “ความสุข” ไม่เป็นแล้ว! ทุกๆวันมีแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจ ความกดดัน...ความเครียดและความทุกข์ จากทั้งคนทั้งผีให้วุ่นวายไปหมด”
อดิศวร์ยังคงพูดเรื่อยๆ “สุขทุกข์มันอยู่ที่ใจ”
วิรงรองถลึงตามอง อดิศวร์รีบพูดต่อ
“พระท่านว่านะ...ฉันไม่ได้ว่าเอง”
“ฉันอยากกลับบ้าน”
แสงแขตามเข้ามาพอดี ในประโยคนี้ ที่วิรงรองพูดพอดี
“เอาไว้ให้คุณย่าดีขึ้นกว่านี้สักหน่อย ฉันจะพาไปเอง”
แสงแขฝืนทำสีหน้ายิ้มแย้ม
“กำลังเถียงอะไรกันอยู่คะ”
ทั้งสองคนไม่ได้สนใจ เพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตาโต้ตอบกัน
“ฉันไปคนเดียวได้”
“แล้วคุณแม่ของเธอจะว่ายังไง ที่ฉันปล่อยให้เธอไปคนเดียว” อดิศวร์พูดไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใช้อารมณ์
“อ๋อ...ท่านไม่ว่ายังไงหรอกค่ะ เพราะตอนมา ฉันก็มาคนเดียว ...แถมยังนั่งรถไฟมาเสียอีก”
แสงแขพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน ทั้งๆ ที่เลือดเดือดปุดๆ อยู่ข้างใน “ใจเย็นๆ ซิจ๊ะ วิรงรอง...คุณลบเป็นห่วงเธอมากนะ ฉันน่ะ “รู้ใจ” คุณลบดี”
“งั้นก็เชิญคนรู้ใจกับคนรู้ใจคุยกันไปเถอะค่ะ”
วิรงรองเดินเลี่ยงไป อดิศวร์มองตาม
แสงแขทำเป็นกังวลแทน “ท่าทางจะโกรธจริงๆ ด้วยนะคะ...แขว่า น่าจะปล่อยให้กลับไปคลายเครียดที่บ้านสักพัก ...เผื่ออะไรๆ จะได้ดีขึ้น”
อดิศวร์เดินตามวิรงรองไปโดยไม่พูดไม่จา
แสงแขน้ำตาคลอด้วยความน้อยใจในท่าทีหมางเมินเฉยชาของอดิศวร์

ขณะที่อุษานั่งใช้ความคิดด้วยสีหน้าเหม่อๆ อยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน แสงแขเดินเข้ามาน้ำตาไหลพราก
“พี่อุษา”
อุษาหันมามอง “เป็นอะไรแสงแข”
แสงแขโผเข้ามากอดอุษา “แขอยากตาย แขอยากตาย! นี่แขจะต้องเสียคุณลบให้นังนั่นจริงๆ หรือ...พี่อุษา”
อุษาลูบผมแสงแขซึ่งคร่ำครวญสะอึกสะอื้นอย่างเวทนา “ทำใจเสียเถอะแสงแข ของอย่างนี้มันอยู่ที่บุพเพสันนิวาส ถ้าหากเป็นเนื้อคู่กันก็คงได้อยู่ด้วยกัน...แต่ถ้าไม่ใช่...มันก็ต้องมีเหตุให้พลัดพรากจากไป”
“แขทำใจอย่างพี่อุษาไม่ได้หรอก! แขทนเห็นคุณลบแต่งงานกับคนอื่นไม่ได้ แขรักคุณลบ เขาต้องเป็นของแข”
“แต่คุณลบไม่ได้รักเธอ...เธอก็รู้อยู่แก่ใจ”
น้ำเสียงแสงแขแหบโหยด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวสุดๆ “พี่อุษา...พี่อุษา อย่าพูดอย่างนั้น...มันเจ็บปวดเหลือเกิน”
อุษาจับหน้าน้องให้มองสบตา “ฟังพี่นะ แสงแข! การยอมรับความจริงอาจจะทำให้เธอเจ็บปวดในตอนแรกแต่มันจะดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป...ซึ่งดีกว่าที่เธอจะหลอกตัวเองว่ายังมีหวังในตัวคุณลบ แล้วต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมานไปจนตลอดชีวิต”
แสงแขสะอื้นฮักๆ
อุษากอดปลอบแสงแข “เชื่อพี่นะ แสงแข”
แสงแขผลักอุษาออก “ไม่! ฉันไม่เชื่อ! พี่อุษาก็เข้าข้างนังวิรงรองเหมือนกันนั่นแหละ! คุณลบต้องเป็นของฉัน”
แสงแขตาขวาง หน้าตาบิดเบี้ยวอย่างน่ากลัว

ส่วนอดิศวร์ตามเข้าในห้องวิรงรอง มองกระเป๋าเดินทางที่วางอยู่บนเตียง
“จะไปไหน”
“กลับบ้านค่ะ คุณไม่ต้องลำบากให้ลุงสมไปส่งหรอก...ฉันไปเองได้”
“เก่งใหญ่แล้วนี่”
“มันจำเป็นค่ะ”
“อย่าเพิ่งกลับได้ไหม” อดิศวร์มีน้ำเสียงเว้าวอน
“ฉัน...”
“ฉันสัญญาว่าจะพาเธอไปเอง...รอให้คุณย่าแข็งแรงขึ้นอีกหน่อย”
“คุณไม่จำเป็นต้องลำบาก”
“ก็ไม่ได้ลำบากอะไร” อดิศวร์เว้นวรรคนิดหนึ่ง “เมื่อคืนฉันโทร.ไปเรียนเรื่องหมั้นของเราให้คุณแม่เธอทราบแล้ว”
“คุณอดิศวร์” วิรงรองตกใจ
“แล้วก็บอกด้วยว่า ประมาณอาทิตย์หน้า ฉันจะพาเธอไปสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวกับท่านอีกที”
“คุณ...”
“เพราะฉะนั้น อดใจรอไม่กี่วันเอง”
วิรงรองยังคงมองอดิศวร์ด้วยความหงุดหงิดสุดๆ ขณะที่อดิศวร์มองตอบอย่างใจเย็น

ขณะเดียวกัน สองคุณหญิงนั่งอยู่ที่โต๊ะ มุมหนึ่งภายในร้านอาหาร บรรยากาศดี ตกแต่งหรูหรา และค่อนข้างเงียบ บริกรเดินมายกจานอาหารคาวไป แล้วเสิร์ฟของหวานแทน
“คุณแก้วจะว่ายังไงกับแผนการอันแยบยลของพี่” วัชรีเอ่ยขึ้น
“ก็เห็นด้วยน่ะซีคะ คนเราเคยอยู่ด้วยกันมันก็ต้องมีเยื่อใยผูกพันกันบ้างหรอกน่า” แก้วว่า
“งั้นเราก็เริ่มลงมือตามแผนเลย! อ้อ! แล้วคุณแก้วอย่าลืมหาผู้หญิง ดีๆ ให้คุณน้องชายด้วยล่ะ! อย่ายอมให้นังวิรงรองสอยเอาไปได้”
“แน่นอนค่ะ...น้องมีเป้าหมายแล้วด้วย”
สีหน้าทั้งสองคนบ่งบอกความพออกพอใจ

รถราบนถนนหนทางวิ่งขวักไขว่ ต่างคนต่างรีบร้อนเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง
พิชญ์อยู่ภายในห้องทำงานที่ออฟฟิศย่านธุรกิจ จ๊ะจ๋า เลขาฯพิชญ์ เปิดประตูให้วัชรีเดินเข้ามาก่อน โดยตัวเองถือกระเป๋าและถุงขนมเข้ามาให้
พิชญ์ลุกขึ้นทักทายมารดา “อ้าว! คุณแม่”
“แม่มากินข้าวกับเพื่อนแถวๆ นี้ แล้วเลยซื้อขนมมาให้ลูก”
“ผมไม่ทานขนมเวลาทำงาน..คุณแม่ก็ทราบ”
“งั้นจ๊ะจ๋าเอาไปกินเลย”
เลขาฯไหว้ “ขอบคุณค่ะ”
เลขาฯ หยิบถุงขนมที่วางไว้ออกไป หลังจากรินน้ำมาวางให้วัชเรียบร้อย
“คุณแม่มีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
“บอกตามตรงเลยนะ แม่จะมาคุยกับพิชญ์เรื่องหนูพิณ”
พิชญ์ฟังอย่างตั้งใจ
“ถ้าเราไม่รักเขา ก็ให้อิสระเขาไปเถอะลูก”
พิชญ์ชะงัก “ก็ไหนคุณแม่กับคุณน้าแก้วขอเวลาปีหนึ่งไงครับ”
“แม่กับคุณแก้วมาคิดกันดูแล้วว่า จะปีนึงหรือยี่สิบปี ถ้าไม่ได้รักมันก็ไม่รักอยู่นั่นแหละ เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ...อีกอย่าง...หนูพิณยังสาว ยังสวยมาก เขาจะได้มีโอกาสเจอกับผู้ชายดีๆ แล้วก็รักเขา”
พิชญ์นิ่งไป
“พิชญ์เองก็จะได้เริ่มต้นกับผู้หญิงคนใหม่ ซึ่งแม่สบายใจแล้วว่าไม่ใช่แม่วิรงรองแน่ เพราะเขาหมั้นและกำลังจะแต่งงานกับคุณลบ”
พิชญ์ก้มหน้าลง
“แม่จะไม่รั้งให้พิชญ์อยู่กับหนูพิณอีกต่อไป...พิชญ์ไม่ควรทิ้งเวลาให้นานไปนะลูก เพราะมันไม่ยุติธรรมสำหรับผู้หญิงดีๆ อย่างพิณทอง”
พิชญ์ยังคงนิ่งอึ้ง วัชรีลอบมองอย่างพอใจ

คุณหญิงแก้วกำลังโทรศัพท์อยู่ ขณะพิณทองเพิ่งกลับจากทำงาน เดินเข้ามา แล้วยืนฟัง
“โอ๊ย! น้องชายของฉันคนนี้ทั้งหล่อทั้งรวย! เป็นทายาทของเจ้าของคฤหาสน์โดมทองไงล่ะ...คุณย่าเขากลัวจะได้ผู้หญิง ที่ไม่คู่ควร ก็เลยให้ฉันช่วยหาผู้หญิงที่คู่ควรเหมาะสมกันให้หน่อย...จ้ะ...โอเค งั้นคุณลบเข้ากรุงเทพฯคราวหน้าฉันจะนัดให้เธอพาลูกสาวพาแนะนำให้รู้จักกันไว้นะ...แล้วเจอกัน”
แก้ววางโทรศัพท์อย่างสดชื่นในอารมณ์ พิณทองกระแอมเบาๆ แก้วสะดุ้งหันมา
“อ้าว! ยัยพิณ ทำไมกลับเร็วนักล่ะ”
“พิณไม่ค่อยสบายค่ะ” เดินมาวางกระเป๋าลง “คุณแม่จะแนะนำผู้หญิงให้น้าลบหรือคะ”
“ใช่! ลูกสาวคุณหญิงศุภธาเพื่อนแม่ไง...จบโทจากอังกฤษเพิ่งจะกลับมาถึงเมืองไทย ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งดีคู่ควรกับน้าลบของพิณมากที่สุด”
“น้าลบเขาหมั้นกับวิรงรองแล้วนะคะ” วิรงรองท้วง
“แต่งงานแล้วยังหย่ากันได้เลย นับประสาอะไรกับอีแค่หมั้น”
“ไม่รู้ซิคะ...บางที พิณก็คิดว่าน้าลบรักคุณวิรงรอง”
“เขาเรียกว่าหลงผิดไปมากกว่า...แม่ถึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วยไง ว่าแต่เราเถอะ เมื่อไหร่ถึงจะกลับไปอยู่กับตาพิชญ์เสียที อย่าทำเป็นเล่นตัวไปนะลูก...ผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างพิชญ์ ใครก็อยากได้”
พิณทองลุกขึ้น “พิณขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะคะ”
“อ้าว! ยัยพิณ”
พิณทองลุกเดินไป
คุณหญิงแก้วยิ้มย่อง มองตามอย่างพอใจ “ถ้าจะสำเร็จ”

พิณทองเปิดประตูเข้าห้องมา ยืนพิงประตูครู่หนึ่ง แล้วเดินอย่างอ่อนแรงมาที่เตียง วางกระเป๋าลง ทิ้งตัวลงนอนขดตัว หลับตาลงอย่างอ่อนระโหย
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พิณทองปล่อยให้ดังอยู่อย่างนั้น
เสียงโทรศัพท์ดังติดต่อกันเหมือนคนโทร.ไม่ยอมแพ้
ในที่สุด พิณทองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ที่จอเป็นชื่อรูปพิชญ์
พิณทองมองนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วกดปิดไปเลย

ส่วนพิชญ์วางโทรศัพท์อย่างหงุดหงิด
“ไม่รู้จะเล่นตัวไปถึงไหน”
พิชญ์ครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.ใหม่
ภายในห้องรับแขก โทรศัพท์บ้านดังขึ้น ขณะที่แก้วกำลังสั่งสาวใช้
“ไปบอกพี่ชายแกด้วยว่า ต้นพุดซ้อนน่ะรดน้ำวันละหนพอ ...ดอกไม่ทันบานจะร่วงหมด”
“สาวใช้ค่ะ”
แก้วหยิบโทรศัพท์มารับ ขณะสาวใช้เดินออกไป
“ฮัลโหล”
“ผมเองครับ...คุณน้า”
แก้วแกล้งทำหมางเมิน “มีธุระอะไรหรือจ๊ะ”
“เมื่อกี้ผมโทร.ถึงพิณ...แต่เขาไม่รับครับ”
แก้วดราม่าใส่ลูกเขยทันที “โอ๊ย จะรับได้ยังไงล่ะ ในเมื่อเขารันทดห่อเหี่ยวใจจนไม่สบายตั้งแต่เธอทิ้งเขาไป”
“ผมไม่ได้ทิ้งนะครับ! เขาเป็นคนไปเอง!”
“คนเราถ้ามันมีความสุขละก็...คงไม่ไปไหนหรอก...แต่นี่เขาอยู่กับผู้ชายที่ไม่เคยลืมแฟนเก่าได้เลย เท่านั้นยังพอว่า...ผู้ชายคนนั้นยังเอาแต่คร่ำครวญหวนไห้คิดถึงแม่นั่น จนไม่เป็นอันทำอะไร แล้วคิดดูซิว่าผู้หญิงคนไหนจะทนได้”
“คุณน้าครับ”
“น้าน่ะสุดแสนจะสงสารลูก ... ซูบผอมตรอมใจกินน้ำตาต่างข้าว พิชญ์มีธุระแค่นี้ใช่ไหมจ๊ะ”
“เดี๋ยวเลิกงานแล้วผมจะไปหาที่บ้านนะครับ”
“จะมาหรือไม่มาก็ตามใจเธอ เอาละนะ...น้าต้องขึ้นไปดูหนูพิณหน่อย...เมื่อกี้เดินโซซัดโซเซขึ้นไปข้างบน”
แก้ววางโทรศัพท์ แล้วยิ้มอย่างพอใจไอเดียของตนเอง
“มันต้อง ดราม่านิดหน่อยเพื่อเรียกร้องความสนใจ”

หลังจากนั้นไม่นาน แก้วคุยโทรศัพท์กับวัชรีด้วยสีหน้าแช่มชื่นพอใจ “มาแล้วค่ะ...คุณพี่…มาแล้ว”
“เหรอ! แล้วเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่ทราบผลค่ะ แต่น่าจะออกมาแบบเป็นที่น่าพอใจ”
“หนูพิณน่ะใจแข็ง ถ้าแผนแรกไม่สำเร็จ คุณแก้วก็ใช้แผนสองไปเลย” วัชรีบอก
“ค่ะ แค่นี้ก่อนนะคะ...น้องจะคอยฟังข่าวดี”

ตกตอนค่ำ พิณทองอยู่ในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองอยู่กับบ้าน กำลังพยายามตั้งสมาธิจดจ่อ
กับงานตรงหน้า จนมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“เชิญค่ะ”
ประตูเปิดออก พิชญ์เดินเข้ามา พิณทองยังไม่ละสายตาจากจอโน๊ตบุ๊ค
“กับข้าวเสร็จแล้วหรือคะ พิณยังไม่หิวเลย” พิณทองนึกว่าเป็นมารดา
ทุกอย่างเงียบ อย่างผิดสังเกต พิณทองชักเอะใจ หันไปมอง
แล้วต้องแปลกใจแกมตกใจ “พิชญ์”
“ผมมารับไปทานข้าวเย็นด้วยกัน ชวนคุณพ่อคุณแม่ไปด้วยก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ กับข้าวบ้านพิณมี”
“งั้นก็ทานที่บ้านพิณนี่ก็ได้” พิชญ์บอก
พิณทองลุกขึ้นยืน เผชิญหน้ากับพิชญ์
“คุณต้องการอะไร”
“ผมได้ข่าวว่า พิณไม่ค่อยสบาย” พิชญ์มองตลอดทั้งตัว “พิณผอมไปนะ”
“จะผอมจะอ้วนมันก็ตัวของพิณค่ะ”
“พิณทอง” พิชญ์ฉุน
“ขอโทษนะคะ...พิณทำงานค้างอยู่...ไม่มีเวลาจะพูดเรื่องไร้สาระกับใคร”
พิณทองหันไปทำงานต่อ
พิชญ์มองแล้วถอนใจเบาๆ
พิณทองพยายามจะสำรวมสมาธิให้จดจ่อกับงานตรงหน้า

ตอนค่ำวันเดียวกันนั้น วัชรีนอนให้สาวใช้บีบนวดอยู่ในห้องโถง แล้วลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นพิชญ์เดินเข้ามา
“เป็นยังไงบ้างลูก”
พิชญ์ประชดเล็กๆ “อ้าว! คุณน้าแก้วยังไม่ได้โทร.บอกคุณแม่หรือครับ”
“ไม่ต้องมาประชด”
พิชญ์ลงนั่ง “ถึงคุณแม่กับคุณน้าจะพยายามไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกครับ พิณเขาใจแข็งมาก แล้วผมเองก็เหนื่อยหน่ายเกินไปที่จะง้อ”
วัชรีถอนใจเฮือกพลางลุกขึ้น “งั้นก็ตามใจ จะหย่าจะเลิกกัน แม่ไม่ห้ามแล้ว เพราะแม่ก็เหนื่อยเหมือนกัน! ส่วนที่แกหวังว่าจะได้คืนดีกับแม่วิรงรองน่ะ ทำใจได้เลยว่าไม่มีหวัง เพราะคุณลบเขาคงไม่ยอมถอนหมั้นกับมันหรอก แกคอยนับวันรองานแต่งงานมันกับคุณลบได้เลย”
วัชรีเดินขึ้นข้างบนไป
พิชญ์เอนศรีษะพิงพนัก หลับตาพลางถอนใจยาว

แก้วเดินเข้ามาในห้องลูกสาว ขณะที่พิณทองซึ่งเปิดประตูรับแม่ เดินทางมาทรุดตัวลงนั่ง
“คุณแม่จะมากล่อมให้พิณคืนดีกับพิชญ์หรือคะ”
“เปล่า...” แก้วนั่งลงพลางถอนใจ “แม่เองก็เหนื่อยเหมือนกัน คุณป้าวัชก็คงรู้สึกอย่างนั้น...”
พิณทองเงยหน้ามองแม่อย่างแปลกใจ
“แม่ขอโทษที่ความหวังดีของเรากลายเป็นความประสงค์ร้ายและเพื่อขอไถ่โทษ...พิณกับพิชญ์จะหย่ากันเมื่อไหร่ก็ตามใจ...จะพรุ่งนี้เลยก็ได้ ไม่ต้องรอให้เป็นปีหรอก เพราะยังไงผลมันก็ไม่ได้ต่างกัน”
“คุณแม่” พิณทองตกใจระคนแปลกใจ
“แม่ขอสัญญาว่า ต่อไปนี้ แม่จะไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของลูกอีกแล้ว”
พิณทองนิ่งอึ้งไป
แก้วลุกขึ้น “แม่บอกเท่านี้แหละ” แล้วเดินออกไป
พิณทองมองตาม ด้วยสีหน้าแววตาเหมือนจะสับสนงุนงงขึ้นมาแทนที่จะตื่นเต้นดีใจ

วัชรีอยู่ในห้องนอนรับโทรศัพท์แก้วที่โทร.มาจากห้องรับแขก
“หนูพิณว่ายังไงบ้าง คุณแก้ว”
แก้วยิ้มกริ่มถูกใจ “แกไม่ได้ตื่นเต้นยินดีที่จะได้หย่าเลยค่ะ! คุณพี่ ออกจะตกใจเสียด้วยซ้ำ! แล้วตาพิชญ์ล่ะคะ”
“ท่าทางก็เซ็งๆ เหมือนกัน แต่ที่ทำเฉยๆ น่ะ ก็อย่างที่ว่าคนเราแต่งงานอยู่กินกันมา ถึงจะไม่นานเท่าไหร่ ยังไงมันก็ต้องผูกพันกันบ้างหรอกน่า”
“ขอให้เป็นจริง อย่างที่คุณพี่คิดเถอะค่ะ เพราะน้องยังหวั่นๆ อยู่เหมือนกันว่า เขาจะหย่ากันจริงๆ”
“ยังไงเราก็ต้องลองเสี่ยงดู” วัชรีว่า

คืนนั้นพิชญ์นอนก่ายหน้าผาก นอนไม่หลับ พลิกซ้าย พลิกขวา ลุกนั่ง เดินกลับไปกลับมาอย่างว้าวุ่นใจ พิณทองเองก็อยู่ในภาวะนอนไม่หลับเช่นเดียวกัน พลิกตัวซ้าย-ขวาอยู่ไปมา ลุกนั่งในอิริยาบถต่างๆ อยู่อย่างนั้น

ส่วนที่โดมทอง ประตูห้องวิรงรองค่อยๆ แง้มเปิดออก วิรงรองในชุดรัดกุมสีเข้มกลืนกับความมืดสลัวของทางเดินหน้าห้อง ค่อยๆ ย่องออกมา พร้อมไฟฉาย
วิรงรองกราดไฟฉายไปทั่ว และย่องเดินไปที่บันได ย่องให้เบาเป็นพิเศษขณะผ่านห้องอดิศวร์ ย่องมาจนถึงบันได แล้วก้าวลงไปอย่างระมัดระวัง ฉายไฟนำทาง

ที่ห้องโถงกลาง คนละห้องห้องเก็บรูปบรรพบุรุษ ทั้งห้องปิดไฟมืด วิรงรองฉายไฟกราดไปทั่ว แล้วเข้ามาในบริเวณนั้น ล้วงกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มากด แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา
“ลานนา ฉันลงมาแล้ว กำลังจะออกไปนะ เดี๋ยวเจอกันจ้ะ”
วิรงรองรีบก้าวไปที่หน้าต่างที่หมายตาไว้ เอื้อมมือไปเปิดกลอนล่างอย่างเบามือ แล้วเงยหน้ามองกลอนบนซึ่งอยู่สูงขึ้นไป
“ทีนี้ก็ต้องออกแรงนิดหน่อย”
วิรงรองค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนโต๊ะใกล้ๆ ถอดกลอนบนออก ผลักหน้าต่างออกไปอย่างแผ่วเบา
“ลาก่อน...โดมทอง”
วิรงรองจับขอบหน้าต่างด้านข้างไว้ปีน แล้วก้าวเข้าไปเหยียบขอบหน้าต่างล่าง จะออกไป แสงไฟสว่างพรึ่บขึ้นทันที พร้อมเสียงคุ้นหูของอดิศวร์
“ขโมย”
วิรงรองสะดุ้งเฮือก เกือบจะตกลงไป เมื่อหันมามองอดิศวร์ซึ่งยืนมองด้วยสีหน้าดุๆ สุ้มเสียงเหมือนแปลกใจ
ขณะที่ใบหน้าเหมือนรู้ทัน
“เอ๊ะ! นั่นปีนขึ้นไปห้อยโหนอยู่บนนั้นทำไมน่ะ”
วิรงรองเหงื่อแตก พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ได้แต่ยืนอยู่ท่าเดิม
“แล้วจะยืนอยู่ท่านั้นทั้งคืนเรอะ! ลงมาเดี๋ยวนี้”
วิรงรองตั้งสติได้ “ไม่”
“ไม่อะไร”
“ดิฉันจะไปจากที่นี่ ไม่อยากอยู่อีกแล้ว”
“งั้นลงมาก่อน...จะไปไหนก็บอก...ฉันจะไปส่งเธอเอง”
วิรงรองขยับจะลง อย่างทะลักทุเล อดิศวร์ยื่นมือให้จับ “มานี่”
วิรงรองไม่ยอมจับแต่ลงมาเอง ด้วยความประหม่าจึงทำให้ซวนเซลงมา อดิศวร์รับไว้ทันท่วงที ทั้งสองอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง
“จะไปไหนล่ะ...บ้านเจ้าภูไทใช่หรือเปล่า”
วิรงรองไม่ยอมพูด
“ทำไมเงียบไปล่ะ ไปซิ ฉันจะไปส่งให้ อยากจะไปจนตัวสั่นไม่ใช่เรอะ”
วิรงรองเชิดหน้า “ไม่ต้องค่ะ! ฉันไปเองได้...ลานนารออยู่ที่ประตู”
“อ้อ! มิน่า! ว่าแต่คนที่รออยู่น่ะลานนาหรือเจ้าภูไทกันแน่”
อดิศวร์คว้าแขนวิรงรองเดินไปที่ประตู วิรงรองโก่งตัวขืนไว้เต็มที่
“ปล่อย! ฉันเดินไปเองได้!”
“ไปด้วยกันนี่แหละ”
อดิศวร์ดึงตัววิรงรองไปด้วยจนได้

ภูไทและลานนา รออยู่ในรถข้างประตูใหญ่ พยายามมองฝ่าความมืดเข้าไป
“ทำไมยังมาไม่ถึงอีก” ลานนาเริ่มหงุดหงิด
“ใจเย็นๆ ซิครับ จากตัวบ้านมาที่นี่ มันก็ค่อนข้างไกลเหมือนกัน” พันธุ์สูรย์ว่า
ภูไทเห็นบางอย่าง “แสงไฟฉายมาโน่นแล้ว”
ทุกคนเห็นแสงจากไฟฉายส่องตรงมา
“เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่น้องวิคนเดียวนี่”
ลานนาแปลกใจ “คุณอดิศวร์ ทำไมวิพาคุณอดิศวร์มาด้วยล่ะ”
พันธุ์สูรย์ ภูไท และลานนาจ้องเขม็ง
อดิศวร์โอบวิรงรองเดินมาหยุดหน้าประตู ทักทาย

“สวัสดีครับ...เจ้า! จะมารับคู่หมั้นของผมไปไหนกลางดึกดื่นหรือครับ”

อ่านต่อตอนที่ 11
กำลังโหลดความคิดเห็น