โดมทอง ตอนที่ 3
พิธีการในงานดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย พิชญ์และพิณทองออกมาส่งแขกหน้าห้องจัดงาน มีการอวยชัยให้พรจากแขกผู้ใหญ่ และท่าทีกระเซ้าเย้าแหย่จากหนุ่มสาววัยใกล้เคียงกัน
สักพักพักหนึ่ง อดิศวร์เดินออกมาทักทายกับแก้ว วัชรี และ รัฐมนตรี ซึ่งกำลังส่งแขกผู้ใหญ่ แล้วเดินมาที่บ่าวสาว พิชญ์และพิณทองรีบเดินไปหาอดิศวร์
“จะกลับแล้วหรือคะ...น้าลบ” พิณทองยิ้มแย้ม
อดิศวร์พยักหน้า “พรุ่งนี้ ...น้าลบมีนัดกับลูกความแต่เช้า”
“แล้วน้าลบจะกลับไปโดมทองเมื่อไหร่คะ”
“น่าจะเป็นมะรืนนี้ ว่าแต่เราเถอะ เปลี่ยนใจแล้วหรือยัง”
“เปลี่ยนใจ” พิณทองฉงน
“น้าลบคงหมายถึงไปฮันนีมูนที่โดมทองไง”
“แน่ะ...พิชญ์จำได้ด้วย ไม่เปลี่ยนแน่นอนค่ะ...พิชญ์เองก็อยากไป”
“พิณเล่าให้ฟังจนเห็นภาพเลยครับ”
อดิศวร์พูดทีเล่นทีจริง “ไม่แน่...พอไปถึงแล้วจริงๆ คุณพิชญ์อาจจะผิดหวังก็ได้”
พิชญ์ผินหน้ามาสบตาพิณทองอย่างอ่อนโยน “พิณทองคงไม่ทำให้ผมผิดหวังหรอกครับ”
พิณทองหลบตาพิชญ์อายๆ
“น้าลบกลับก่อนละ....ขอให้คุณพิณกับสามี มีความสุขที่สุดตลอดไป”
พิณทองกอดอดิศวร์อย่างตื้นตัน “ขอบคุณมากค่ะ น้าลบ...อย่าลืมว่าก่อนกลับ “โดมทอง” น้าลบต้องไปทานข้าวกับพิณแล้วก็พิชญ์นะคะ”
“ตกลงครับ”
2 คนไหว้ลา อดิศวร์รับไหว้ แล้วเดินออกไป พิณทองและพิชญ์มองตาม แล้วเดินไปส่งแขก
ไม่นานหลังจากนั้นคุณหญิงแก้ว กับท่านรัฐมนตรี กลับถึงบ้าน เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สาวใช้ถือของตามมา
“เสื้อผ้าในถุงนั่น เอาส่งซักแห้งพรุ่งนี้นะ” แก้วสั่งสาวใช้
“ค่ะ”
แก้วเดินตาม สามีขึ้นไปข้างบน ขณะสาวใช้ปิดประตูหน้าต่าง
ท่านรัฐมนตรีอยู่ในห้องแล้ว ถอดเสื้อสูทออก ขณะเดินไปเปิดแอร์ แก้วเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง
“โล่งใจไปที นี่ยังแอบคิดกับพี่วัชว่า ถ้าแฟนเก่าตาพิชญ์มา จะทำยังไง”
“ใครเขาจะมา” สามีว่า
“อ้าว ไม่แน่นะคะตาพิชญ์น่ะทั้งหล่อทั้งรวย ผู้หญิงที่ไหนก็อยากได้”
“ยกเว้นแฟนเก่า” ท่านรัฐมนตรีบอก
แก้วชักฉุน “เอ๊ะ! คุณ”
“ก็ไม่จริงเรอะ พอเขารู้ว่าตาพิชญ์มีคู่หมั้นแล้ว...เขาก็ยอมเลิกทันที ผมถึงว่ามันแปลกๆ ถ้าผู้หญิงเขาไม่รักศักดิ์ศรีเหนือสิ่งใดละก็...ตาพิชญ์อาจจะมีอะไรผิดปกติ” ท่านรัฐมนตรีว่า ด้วยความชื่นชม
“ฉันว่าตาพิชญ์เขาต้องเปรียบเทียบแล้ว ถึงได้เลือกลูกเรามากกว่า” คุณหญิงไม่ยอมแพ้
“อวยกันเข้าไป ผมไปอาบน้ำละ”
ท่านรัฐมนตรี เดินหนีเข้าห้องน้ำไป
ด้านอดิศวร์อยู่ในห้องพักที่คอนโด ซึ่งเวลานั้นอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว เดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
อดิศวร์มองไปที่โทรศัพท์ครู่หนึ่ง แล้วหยิบขึ้นมาจะกด แต่มือชะงักค้าง แล้ววางมือถือกลับที่เดิม ก่อนจะเอนตัวลงนอน นัยน์ตาจับจ้องมองเพดานครุ่นคิด
ขณะเดียวกันที่โดมทอง ดวงจันทร์ข้างแรมลอยเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทาเหนือยอดโดม วิรงรองนอนหลับสนิทอยู่ในห้องพัก จู่ๆ มีเสียงวงมโหรีดังแว่วเข้ามา ตามด้วยเสียงเพลง นางครวญ
วิรงรองลืมตาขึ้น นอนนิ่งแล้วเงี่ยหูฟัง เสียงเพลงยังคงดังแว่วๆ มา ฟังดูเศร้าสร้อยโหยหวน นิ่งฟังครู่หนึ่งแล้ววิรงรองจึงตัดสินใจลุกขึ้น เดินไปหยิบเสื้อคลุมมาสวมและคว้าไฟฉาย เดินออกจากห้องไป
วิรงรองก้าวออกมาหน้าห้อง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วเดินไปที่บันได ฉายไฟกราดส่องนำทาง
“ทำไมไม่มีใครได้ยินบ้างหรือไง”
วิรงรองก้าวลงบันไดอย่างระมัดระวัง โดยฉายไฟส่องให้เห็นทาง
สักครู่หนึ่งวิรงรองเดินเข้ามาภายในห้องโถงกลาง ท่ามกลางความมืดสลัว เสียงเพลงยังคงดังแว่วมาจากที่สูง วิรงรองฉายไฟขึ้นไปบนเพดาน
“เสียงเหมือนดังมาจากข้างบน”
ขณะที่วิรงรองเหลียวหน้าเหลียวหลัง เหมือนกำลังตัดสินใจว่าจะทำยังไงดี จู่ๆ มีเงาใครคนหนึ่งวูบวาบเดินไปที่ประตู
“ใครคะ”
เงียบ ไม่มีเสียงตอบ ร่างนั้นเดินไปที่ประตูซึ่งเปิดออกอย่างง่ายดาย แล้วเดินออกไป
“เดี๋ยวค่ะ! รอด้วย”
วิรงรองรีบเดินแกมวิ่งตามออกไป
วิรงรองก้าวตามผีนางพิศออกมา ซึ่งเดินช้าๆ ราวกับลอยได้ แต่วิรงรองกลับตามไม่ทัน ต้องเร่งฝีเท้าเต็มที่ สีหน้าพิศยามนี้หากใครจะต้องรู้สึกหลอนๆ เพราะน่ากลัวมาก
“ป้า! รอด้วยค่ะ”
ผีนางพิศยังคงเดินนำไปเรื่อยๆ วิรงรองเร่งฝีเท้าตาม ปากก็พยายามชวนคุย
“ป้าอยู่ที่นี่หรือคะ”
พิศไม่ตอบ เดินนำวิรงรองไปไกลเรื่อยๆ ทันใดเสียงเพลงที่ดังแว่วๆ กลับดังขึ้นราวกับมาบรรเลงอยู่ใกล้ๆ
พิศหยุดชะงัก เช่นเดียวกับวิรงรองหันกลับไปแหงนหน้ามองยังทิศที่มาของเสียง
หญิงสาวแลเห็นยอดโดมสว่างวับแวมด้วยแสงเทียนที่ราวกับจุดไว้หลายเล่ม วิรงรองมองด้วยความพิศวงครู่หนึ่ง
“คุณหนู” เสียงสมดังขึ้น
วิรงรองสะดุ้งเฮือกหันขวับมา
“ลุงสม โอย...หนูตกใจหมดเลย”
“คุณหนูออกมาทำอะไรป่านนี้ครับ”
“หนูตามป้าคนนึงมาค่ะ” วิรงรองหันไปมองโดยรอบ “เอ๊ะ! หายไปไหนแล้ว”
“ผมไม่เห็นมีใคร นอกจากคุณหนูคนเดียว”
“เป็นไปไม่ได้”
“กลับเข้าบ้านเถอะครับ”
วิรงรองเงยหน้าดูยอดโดม “เอ๊ะ”
บนยอดโดมยามนี้มืดสนิทไม่มีวี่แววของแสงเทียน หรือสิ่งมีชีวิตเลย
“แปลกจัง เมื่อกี้หนูยังเห็นแสงเทียนลอดออกมาจากข้างบนนั้น”
“เป็นไปไม่ได้หรอกครับ...บนยอดโดมนั่น ปิดตายมาตั้งนานมากแล้วละครับ ดูเหมือนจะไม่เคยเปิดใช้เลย ตั้งแต่สมัยยังสร้างไม่เสร็จใหม่ๆด้วย...อันนี้ฟังผู้ใหญ่เขาเล่ากันมาน่ะครับ”
สมพูดยาวที่สุด เท่าที่วิรงรองเคยได้ยิน แล้วออกเดินนำวิรงรองตรงไปยังตัวบ้าน
“แล้วลุงออกมาทำอะไรหรือคะ”
“คุณลบท่านสั่งให้ผมคอยออกมาเดินดูบริเวณบ้านครับ โดยเฉพาะตอนที่ท่านไม่อยู่ เพราะทางป่าละเมาะด้านโน้นไม่ได้มีรั้วกั้น ...คนภายนอกอาจจะเข้ามาได้”
วิรงรองพยักหน้า ขณะที่สมหยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู อย่างแปลกใจ
“เอ๊ะ! เมื่อกี้คุณหนูออกมาได้ยังไงครับ”
“หนูก็ตามป้าคนนั้นออกมาไงคะ”
สมมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ขณะเปิดประตูออกให้วิรงรองเข้าตึกไป
รุ่งเช้า บรรยากาศรายรอบอาณาเขตอันงดงามของโดมทอง แสนสดชื่น
ภายในครัวฝรั่งซึ่งอยู่ในบ้าน เห็นโอบอ้อมตักโจ๊กกุ้งใส่ชาม แล้วเหลือบตามองซ้ายขวาหน้าหลังอย่างเจ้าเล่ห์
แล้วหยิบเกลือเทลงในชามนั้น
“เทลงไป เทลงไป เทลงไปให้มันเค็มปี๋”
โอบอ้อมวางชามทั้ง 3 ลงบนถาด โดยทำสัญลักษณ์โรยผักลงไปเพียงชามเดียว
“ขอให้รับประทานให้อร่อยนะคะ นังคุณวิรงรอง”
โอบอ้อมยกถาดเดินลอยหน้าร่าเริงออกไป
วิรงรอง และอุษากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องอาหาร
“เอ๊ะ พี่ไม่เคยเห็นนะคะ”
“หรืออาจจะเป็นคนข้างนอกเข้ามา” อุษาว่า
โอบอ้อมยกถาดมาวาง แล้วหยิบชามโจ๊กจากถาดวางให้ อุษา และ วิรงรอง และอีกที่สำหรับแสง ซึ่งยังไม่ลงมา
วิรงรองทำหน้าตาย ช่วยเลื่อนชามวางให้ โดยสลับชามของตนกับชามแสงแข
โอบอ้อมตกใจ “อุ๊ย ชามไม่มีผักของคุณวิรงรองค่ะ”
“เอาไว้ให้คุณแสงแขดีกว่า คุณแสงแขยังไม่ลงมา ใส่ผักลงไปเดี๋ยวเหี่ยวหมด” วิรงรองว่า
โอบอ้อมท้วง “แต่ว่า”
อุษาดุ “มันอะไรนักหนาหรือโอบ คุณวิเขาก็พูดถูกแล้ว”
วิรงรองตักโจ๊กชิม แล้วเงยหน้ามองโอบอ้อม
“วันนี้รสชาติดีนี่”
แสงแขเดินเข้ามา แล้วลงนั่งที่ของตน
“โจ๊กกุ้งเหรอ...น่ากินจัง...แต่จะน่ากินกว่านี้ถ้าไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย”
“ออกไปได้แล้ว โอบ” อุษาบอก
“คุณ...คุณแข จะเปลี่ยนชามใหม่มั้ยคะ”
“ฉันบอกว่ายังไง โอบ” อุษาย้ำ
โอบอ้อมหันหน้าหันหลังขยับเดินออกไป ขณะที่แสงแขตักโจ๊กเข้าปาก แล้วทิ้งช้อนลงทันที
“นังโอบ”
โอบอ้อมค่อยๆ หันมา “ขา...”
“แกทำเกลือหกลงไปเรอะไง”
วิรงรองทำหน้าตาย แต่แววตาสะใจขณะตักโจ๊กเข้าปาก
“เอ๊ะ ไม่เห็นเค็มอะไรนี่คะ...กำลังอร่อยเลย...อร่อยกว่าทุกวันด้วย”
แสงแขรู้ทันที นิ่งอึ้ง แต่แววตามองวิรงรองอย่างเกลียดชัง
แสงแขเลื่อนชามโจ๊กออกห่าง “ไม่กงไม่กินมันแล้ว ไปคั้นน้ำส้มมาให้ฉันแก้วนึง”
“ค่ะ” โอบอ้อมเดินไป
วิรงรองร้องบอก “อย่าใส่เกลือเยอะนักนะ โอบ เดี๋ยวคุณแสงแขจะดื่มไม่ได้อีก”
วิรงรองยิ้มใสซื่อกับแสงแขซึ่งหันขวับมามอง ต่างคนต่างรู้ทัน
เวลาต่อมาสองสาวอยู่อีกมุมหนึ่งของบ้าน
“มันจงใจเปลี่ยนชาม” แสงแขบอกในท่าทีฉุนเฉียว
“งั้นก็แสดงว่า เธอจงใจจะแกล้งเขา...คงจะหลายครั้งแล้วด้วย คราวนี้เขาถึงได้เอาคืน”
“พี่อุษาเข้าข้างมันเรอะ”
“พี่พูดกลางๆ ไม่ได้เข้าข้างใคร พี่จะไปดูอาหารเช้าให้คุณย่า เธอจะไปทำอะไรก็ไป”
อุษาเดินไป แสงแขมองตาม แล้วนัยน์ตาเป็นประกายขึ้นมา นึกแผนร้ายได้
ขณะเดียวกัน อุไรกำลังซ้อนหมอนให้ท่านผู้หญิงสรรักษ์นั่งพิงสบายๆ
“พรุ่งนี้แล้วใช่มั้ย ที่ตาลบจะกลับ”
“เห็นว่าอย่างนั้นเจ้าค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ แล้วเห็นแสงแขเปิดเข้ามา ก่อนจะคลานอย่างเรียบร้อยที่หน้าเตียง แล้วหันไปทางอุไร
“จะไปทำธุระส่วนตัวก็ไป...ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณย่าเอง"
อุไรเหลือบมองท่านผู้หญิงสรรักษ์
“ไม่ต้องไป” ท่านผู้หญิงหันมาทางแสง “มันเรื่องอะไรของแก นังแสงแข แกนั่นแหละออกไป”
แสงแขฝืนยิ้มอย่างใจเย็น “แขจะมาชวนคุณย่าไปเก็บดอกมณทาค่ะ กำลังออกเต็มต้นเลย”
“สาระแนดีนัก”
แสงแขก้มหน้าลง ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“แกพยายามสอพลอฉันเพื่อจะได้ตาลบใช่ไหมล่ะ” ท่านผู้หญิงแดกดัน
“แขไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยค่ะ แขทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจ”
“ตอแหล”
แสงแขสะอึก
“ตราบใดที่ฉันยังอยู่ แกไม่มีวันได้ตาลบไปหรอก แกไม่คู่ควรกับหลานของฉัน”
“แล้วแม่วิรงรองคนนั้นล่ะคะ” แสงแขจงใจบอก
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ชะงักบ้าง “หมายความว่ายังไง”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ” แสงแขมีนัยน์ตาสะใจผุดขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ท่านผู้หญิงตวาดลั่น “ต้องมี บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าแกหมายถึงใคร ใครที่ชื่อวิรงรอง”
“ก็คนที่คุณย่าเรียกว่า พลับพลึงไงคะ” แสงแขบอก
ท่านผู้หญิงนั่งตัวแข็ง แล้วนัยน์ตาค้างท่าทางเหมือนหายใจไม่ออก
อุษาเดินถือถาดอาหารมาจนถึงบริเวณหน้าห้อง แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงดังโครมครามมาจาก
ข้างในพร้อมเสียงท่านผู้หญิงสรรักษ์กรีดร้องโวยวายลั่น
“ออกไป อีนังแสงแข...ออกไป”
ประตูเปิดออก แสงแขออกมา หน้าตาตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น แสงแข”
“จะอะไรเสียอีกล่ะ นอกจากอีแก่มันอาละวาด โอม...เพี้ยง ขอให้มันเส้นเลือดแตกตายไปเลย”
อุษาตกใจ “แสงแข”
“ไม่ต้องมาทำเป็นตกอกตกใจหรอก แขรู้ว่าพี่อุษากับทุกคน เว้นคุณลบก็แช่งชักหักกระดูกมันอยู่ทุกวัน”
ตลอดเวลาที่สองคนคุยกันนั้น เสียงท่านผู้หญิงกรี๊ดๆตลอด
“นังพลับพลึง ขอให้แกตกนรกหมกไหม้ไม่ต้องไปผุดไปเกิด”
อุษารีบเปิดประตูเดินเข้าไป มีเสียงแสงแขด่าไล่หลัง
“อีนังหลานคนโปรด ลองอีแก่นั่นรู้ว่าลอบติดต่อไอ้พันธุ์สูรย์ซิ มีหวังไล่ออกไปแทบไม่ทัน”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองอุษาตาขวาง “มาแล้วเรอะ นังตัวดี ฉันสั่งไม่รู้กี่หนแล้วว่าห้ามปล่อยนังแสงแขเข้ามา”
อุษาวางถาดอาหารลงบนโต๊ะเข็นซึ่งอยู่ห่างออกไป “คุณย่ารับประทานโจ๊กร้อนๆ ก่อนนะคะ”
“ไม่กิน” ท่านผู้หญิงตวาดลั่น
อุไรสะดุ้งเฮือก ขณะที่อุษามีสีหน้าท่าทางปกติด้วยความเคยชิน
“แกสมคบกับนังแสงแขใส่ยาพิษมาให้ฉันใช่มั้ย...พอฉันตาย นังแสงแขก็จะได้ครอบครองตาลบ ส่วนแกก็สบายไม่ต้องมาหลังขดหลังแข็งรับใช้ฉัน”
อุไรค่อยๆ คลานไปที่ประตู ท่านผู้หญิงสรรักษ์หันขวับมามองตาขวางแล้วตวาดลั่น
“จะไปไหน”
อุไรตกใจสุดขีด แล้วตอบด้วยเสียงดังลั่น “ไปข้างนอกเจ้าค่ะ”
“ไม่ให้ไป”
อุไรจะร้องไห้เสียให้ได้ ยังคงตอบเสียงดังแบบบ้าจี้ “ไม่ไปก็ไม่ไปเจ้าค่ะ”
“อุษา”
“คะ คุณย่า”
“นังแสงแขมันบอกว่านังพลับพลึงยังอยู่ใช่มั้ย ทำไมตาลบไม่ไล่ มันออกไป! โธ่! ตาลบนะตาลบ! ทำไมถึงได้ขัดคำสั่งย่า”
หญิงชราเริ่มจะคร่ำครวญ
“คุณย่าน้อยไม่ได้อยู่ที่นี่ค่ะ”
“ใครบอก นังพลับพลึงมันยังอยู่ที่นี่ อยู่ที่โดมทอง” ถึงตรงนี้นัยน์ตาเริ่มเลื่อนลอยพร่ำเพ้อ “มันถึงได้คอยตามหลอกหลอนฉัน...มันแย่งตาลบไปนะ”
ท่านผู้หญิงเอนพิงหมอนอย่างอ่อนแรง หลับตาลง อุษาคลานเข้ามาคลี่ผ้าห่มออก ห่มให้จนถึงอก
มือท่านผู้หญิงสรรักษ์คว้าข้อมืออุษาหมับจับไว้แน่น นัยน์ตาขวางกร้าว อุษาสะดุ้งเฮือก
“ได้ยินมั้ย นังอุษา”
“ได้...ได้ยินค่ะ”
“ไล่นังพลับพลึงออกไป! หาหมอผีเก่งๆ มาจับมันใส่หม้อถ่วงน้ำไปเลย”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์แหงนหน้าหัวเราะเหมือนคนบ้า
อุษามองอย่างสลดใจ ในขณะที่อุไรหวาดกลัวสุดๆ
บรรยากาศในโดมทองดูสวยเหงาๆ ภายในห้องแสงแขเวลานั้น อุษามองน้องอย่างเข้มงวด ในขณะที่แสงแขทำเป็นมองออกไปภายนอกอย่างไม่รู้ไม่ชี้
“พี่ถามว่า เธอเข้าไปพูดอะไรกับคุณย่า”
“ก็แขบอกแล้วไงว่าเปล่า”
“พี่ไม่เชื่อ”
“งั้นก็ช่วยไม่ได้”
อุษาก้าวเข้ามาใกล้ จับแขนให้น้องสาวหันกลับมา
“บอกความจริงมา”
แสงแขสะบัดออกอย่างแรง ผลักอุษาจนเซ “อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ฉันจะไม่ยุ่ง ถ้าเธอไม่ไปวุ่นวายกับคุณย่า เธอทำให้ท่านโกรธ”
“ตายซะก็ดี”
อุษาปราม “แสงแข”
“ไม่รู้จะอยู่เป็นมารความสุขคนอื่นไปทำไม มิน่า มีผัว...ผัวก็ทิ้ง มีน้อง...น้องก็หนี ไม่มีใครรัก ไม่มีใครเขาอยากจะอยู่ด้วย พี่อุษาก็เหมือนกัน รับใช้ใกล้ชิดอีแก่นั่น ระวังจะติดนิสัยเลวๆ มาจนหาใครรักไม่ได้”
ขาดคำ อุษาตบหน้าน้องเปรี้ยงทันที แสงแขหน้าหัน แล้วค่อยๆ เบือนหน้ากลับมา แสยะยิ้มเยาะ
“อ้อ แสดงว่ายังมีความรู้สึก ไม่ตายด้านเย็นชา”
“ขอโทษ...พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“อ้อ ขนาดไม่ตั้งใจยังหน้าชาขนาดนี้”
“แสงแข...พี่ไม่อยากให้เธอทะเลาะกับคุณย่า...ไม่รักไม่ชอบก็อย่าเข้าไปใกล้”
แสงแขนิ่ง แต่นัยน์ตาเป็นประกายกร้าว
“แล้วก็ลืมเรื่องคุณลบไปได้เลย”
แสงแขหันขวับมามอง “อ้อ! จะเก็บไว้ให้นังวิรงรองใช่มั้ยล่ะ เห็นถูกคอกันดีนี่ เป็นพี่ประสาอะไร แย่งผู้ชายที่น้องรักไปให้คนอื่น เห็นมันดีกว่าน้อง”
“พี่ไม่เคยทำอย่างนั้น...ถ้าไม่รักไม่หวังดีกับเธอจริงๆ พี่จะเตือนเธอให้พยายามอดทนเอาใจคุณย่าเรอะ”
“ออกไป”
“เก็บไปคิดดูดีๆ ก็แล้วกัน”
อุษาเดินออกไป แสงแขมองตามอย่างเกลียดชัง
ครู่ต่อมาท่านผู้หญิงสรรักษ์เบือนหน้ามาทางอุไร แล้วจ้องเขม็ง
“ทำไมนังแสงแขถึงได้พูดถึงนังพลับพลึงขึ้นมา”
“ไม่...ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“อย่าโกหก แกต้องรู้”
“โถ! ท่านผู้หญิงเจ้าขา อุไรเป็นคนโง่เจ้าค่ะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น อุไรลอบถอนใจเฮือก เห็นอุษาเปิดประตูเข้ามา
“คุณย่าไม่ได้นอนหรือคะ”
“แกมาก็ดีแล้ว ทำไมนังแสงแขมันถึงพูดเรื่องนังพลับพลึงขึ้นมา”
“อุษาไม่ทราบค่ะ”
“พวกแกสุมหัวกันปิดบังฉัน ...นังพลับพลึงมันยังอยู่ใช่มั้ย”
“คุณย่าน้อย” อุษาแกล้งถาม
“ฉันไม่ได้หมายถึงผีนังพลับพลึง”
อุษาและอุไร ก้มหน้าลง
“ฉันหมายถึงนังพลับพลึงที่ตาลบพามา มันยังอยู่ที่นี่ใช่มั้ย”
อุษาตัดสินใจเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้หญิง แล้วสบตาแน่วแน่
“เปล่าค่ะ...เขาไปตั้งนานแล้ว”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองอุษานิ่งๆ
อุษาเบือนหน้าไปทางอุไร “อุไร...เลื่อนโต๊ะมาให้คุณย่าซิ”
“ฉันไม่หิว”
“รับประทานสักหน่อยเถอะนะคะ...คุณลบสั่งเอาไว้ว่า ต้องพยายามให้คุณย่ารับประทานอาหารได้มากๆ”
ยินดังนั้น ท่านผู้หญิงกระตือรือร้นขึ้นมาทันที “งั้นเรอะ! ตาลบสั่งไว้ยังงั้นเรอะ”
“ค่ะ คุณลบเป็นห่วงคุณย่ามากที่สุด”
“งั้นเอามา”
อุไรเลื่อนโต๊ะอาหารมาที่เตียง อุษาจัดการปรนนิบัติคล่องแคล่ว แล้วหันไปสั่งอุไร
“อุไร...ไปปั่นน้ำผลไม้มาซิ”
อุไรโล่งใจ “ค่ะ” แล้วรีบออกไป
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
บรรยากาศที่บ้านพิณทอง แสนสดใส เช้่านี้ สมาชิก 2 ครอบครัว และแขกพิเศษ อดิศวร์ ศิโรดม ร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน มี 2 สาวใช้คอยเสิร์ฟ
“ตกลง คุณพิณจะไปโดมทอง เมื่อไหร่” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
พิณทองหันมาทางพิชญ์ด้วยสีหน้าสดใส “เราจะไปเมื่อไหร่กันดีคะ พิชญ์”
วัชรีและแก้วสบตากันอย่างพอใจในท่าทีระหว่างพิชญ์และพิณทอง
“แล้วแต่คุณซิครับ”
“งั้นอาทิตย์หน้าได้ไหมคะ” พิณทองว่า
“ได้อยู่แล้วละ เราเป็นเจ้าของธุรกิจเอง...ไม่ต้องไปร่ำลาใคร..เป็นอันว่าตกลงจ้ะ หนูพิณ อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า”
วัชรีเจื้อยแจ้วสีหน้าระรื่น พิชญ์นิ่วหน้า ขณะที่อดิศวร์เหลือบมองยิ้มๆ
“เดี๋ยวกลับไปสั่งงานเลย” วัชรีพูดต่อ
พิชญ์สบตายิ้มๆ ของอดิศวร์โดยบังเอิญและร้อนตัวเล็กๆ “มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้นซิครับ...คุณแม่”
“แม่ก็ไม่เห็นว่าจะยากเย็นเข็ญใจอะไรนักหนานี่ เอาอย่างนี้...แม่จะช่วยดูให้” วัชรีว่า
“น้าแก้วจะไปช่วยอีกคนนึง” แก้วเสริม
“มีหวังเจ๊งกันพอดี” ผู้เป็นสามีว่า
แก้วชะงัก “เอ๊ะ! นี่คุณหาว่า ฉันไม่มีความสามารถหรือค่ะ”
“มี” ท่านรัฐมนตรีพูดเสียงสูง “แต่มีแบบอื่น”
แก้วจ้องสามีเขม็ง “เช่น...”
ท่านรัฐมานตรียิ้มขันๆ “อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ”
แก้วทิ้งช้อนโครมผุดลุกขึ้นยืน “จะหาเรื่องกันใช่มั้ย”
“คุณแม่ขา...ใจเย็นๆ ค่ะ” พิณทองบอก
“ทานข้าวเสร็จแล้วค่อยทะเลาะกันใหม่” อดิศวร์ว่า
“จริงด้วยค่ะ..นั่งลงก่อนนะคะ คุณแม่” พิณทองดึงแก้วลงนั่ง “นะคะ..คุณแม่ขา”
แก้วกระแทกตัวลงนั่งหงุดหงิด วัชรีพยายามเปลี่ยนบรรยากาศ
“คุณลบคงรัก หนูพิณมากนะคะ”
“ครับ..พิณทองเป็นหลานสาวคนเดียว แต่ก็แปลกนะครับที่แกไม่เคยไปโดมทองเลย”
อดิศวร์มองหลานสาวอย่างเอ็นดูขณะพูด
พิณทองงอนเล็กๆ “ก็น้าลบไม่เคยชวนนี่คะ น้าลบไม่ชวนพิณก็ไม่ไป”
“น้าเห็นว่ามันไม่ใช่สถานที่ ที่เด็กวัยรุ่นจะชอบ..แต่เรื่องฮันนี่มูนนี่มันคนละเรื่องกัน”
“ตกลงจะไปเมื่อไหร่กันดีคะ พิชญ์”
พิณทองหันมาถามพิชญ์อ่อนหวาน
ไม้ดอกไม้ใบอวดความสวยงามอยู่ในสวนสวย พิชญ์กำลังยืนดูอย่างสนใจ อดิศวร์เดินเข้ามาในมือถือถ้วยกาแฟมา 2 ถ้วย
“ถ้าชอบดอกไม้สวยๆ ก็ต้องไปโดมทอง”
พิชญ์หันมา อดิศวร์ส่งถ้วยกาแฟให้
“ขอบคุณครับ...” รับถ้วยกาแฟมา “น้าลบโปรโมท เสียจนผมอยากไปเร็วๆ”
“รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง..โดยเฉพาะ ดอกไม้บางชนิดที่คุณไม่ค่อยพบในกรุงเทพฯ แต่คุณจะพบเป็นทุ่งที่นั่นเลย”
“แบบทุ่งทานตะวันน่ะหรือครับ” พิชญ์ทาย
นัยน์ตาอิดศวร์เวลานี้มีร่องรอยยิ้มเยาะๆ ขึ้นมาแว่บหนึ่งขณะพยักหน้า “ใช่”
“ผมเดาเอาว่า น่าจะเป็นทุ่งกุหลาบ”
“อย่าเดาเลย...ไม่มีทางถูกหรอก”
พิชญ์เบือนหน้ามามอง เห็นอดิศวร์จิบกาแฟ สีหน้ายิ้มๆ มีเลศนัยลึกๆ
สองคนอยู่ในห้องด้วยกัน พิณทองหันมาทางพิชญ์กังวล
“พิชญ์คงคิดมากไปมั้งคะ เท่าที่รู้จัก..น้าลบไม่ใช่คนมีลับลมคมในอย่างนั้น”
พิชญ์ส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ! ผมว่าน้าลบของคุณไม่ค่อยชอบขี้หน้าผม!”
“ฮื้อ...” พิณทองเข้ามากอดด้านหลังอย่างอ่อนโยนรักใคร่ “ไม่เห็นจะมีเหตุผลเลยค่ะ”
พิชญ์มีสีหน้ายังคงเคร่งขรึม “ผมรู้...แต่ความรู้สึกผมบอกว่าอย่างนั้น..ช่างเถอะ ใครไม่ชอบอย่าชอบ...พิณชอบคนเดียวก็พอ”
พิณทองยิ้ม ซบหน้าและหลับตาอย่างมีความสุข ขณะที่พิชญ์สีหน้ายังคงใคร่ครวญครุ่นคิด
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ภายในห้องนอนท่านผู้หญิงสรรักษ์ เห็นท่านผู้หญิงขยับตัว ผินหน้ามาทางอุไร
“อุไร! ไปตามนังแสงแขมาซิ”
อุไรแปลกใจ “อะ.อะไรนะเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงหงุดหงิดทันที ตวาดเสียงเข้ม “ไปตามนังแสงแขมา”
“แต่ว่า...”
ท่านผู้หญิงถลึงตามองอุไรด้วยแววตาแทบจะลุกเป็นไฟ
อุไรกลืนน้ำลาย “เจ้าค่ะ”
อุไรคลานไปที่ประตูแล้ว ท่านผู้หญิงเอ่ยขึ้นอีกคำ
“อย่าให้นังอุษามันรู้ด้วย”
อุไรลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไป
ด้านอุษาเดินมาหน้าประตูห้องวิรงรองและเคาะเบาๆ สักครู่หนึ่งประตูเปิดออก วิรงรองมองจ้องด้วยสีหน้าแปลกใจ
“คุณอุษา”
“ขอเข้าไปข้างในหน่อยได้ไหมคะ”
“เชิญค่ะ”
วิรงรองเปิดประตูกว้างขึ้น เบี่ยงตัวให้อุษาเดินเข้าไป แล้วปิดประตูลง วิรงรองมองตามอุษานิ่งๆ ในขณะที่อุษาเดินมาทรุดตัวลงนั่ง
“เมื่อกี้ น้าสมมาพบพี่”
วิรงรองพยักหน้าช้าๆ อย่างรับทราบและเข้าใจ
“ค่ะ”
“เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าเรื่องมันเป็นยังไง”
“ค่ะ”
วิรงรองเล่าเรื่องราวแปลกๆ ที่เจอกับตัวเองเมื่อคืนนี้
ด้านแสงแขเปิดประตูเข้ามา ตามด้วยอุไร ท่านผู้หญิงสรรักษ์พยักหน้ากับอุไร
“แกออกไปก่อน”
“เจ้าค่ะ” อุไรออกไปและดึงประตูปิดตาม
แสงแขเดินมาช่วงหนึ่ง แล้วทรุดตัวคลานสงบเสงี่ยมมาตรงเตียงท่านผู้หญิง ก้มหน้ารอฟัง
“อย่าได้คิดว่าฉันพิศวาสแกขนาดเรียกมาพูดคุยด้วย”
ใบหน้าแสงแขที่ก้มอยู่ ปรากฎรอยยิ้มเยาะ แต่คำตอบสงบเสงี่ยม
“ค่ะ”
“ทำไมอยู่ดีๆ แกเข้ามาพูดถึงนังพลับพลึง”
แสงแขแสร้งทำมายาก้มหน้าลงไปอีก พลางบีบมือที่จับกันแน่น ประมาณว่าถูกบีบคั้นอย่างหนัก
“แสงแข” เสียงท่านผู้หญิงเข้มดุ
“แข...เอ้อ..ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“ต้องมี”
“แข...กลัวพี่อุษา..กลัวคุณลบ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองมาด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาววับ น่ากลัว “กลัวมากกว่าฉันอีกเรอะ” สุ้มเสียงที่เปล่งออกมาฟังดูเหี้ยมโหดและเยือกเย็นนัก
แสงแขเงยหน้ามอง เห็นความโหดเหี้ยมอำมหิตในดวงตาคู่นั้น ทำให้แสงแขถึงกับหน้าซีด ตัวสั่นนิดๆ
“ฉันทำอะไรได้มากกว่าที่แกคิดเยอะ!
แสงแขกลืนน้ำลาย
“อีนังคนนั้นมันยังอยู่ที่โดมทองนี่ใช่ไหม”
ส่วนในห้องวิรงรอง ช่อดอกพลับพลึงสีขาวอวดความงามในแจกัน หญิงสาวเจ้าของห้องถอนใจยาว เมื่อเล่าจบ
“วิมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด หรือว่าตาฝาดแน่นอนค่ะ”
“พี่ไม่ได้ว่า คุณวิโกหกนะคะ..แต่พี่อยู่ที่นี่มาตั้งเกือบ 20 ปีแล้ว...ไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรอย่างที่คุณวิบอกเลย”
“มันก็เหมือนวิโกหกนั่นแหละค่ะ...” วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วนัยน์ตาเป็นประกายตื่นเต้นขณะบอก “เราขึ้นไปดูบนยอดโดมกันไหมล่ะค่ะ”
อุษาปฎิเสธทันที “ไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมล่ะคะ”
“เพราะเป็นคำสั่งของคุณย่าค่ะ”
“เราก็ไม่ต้องให้ท่านทราบ”
“ยังไงก็ไม่ได้! คำสั่งของคุณย่าเป็นเหมือนคำประกาศิตที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม”
“ไม่มีเหตุผลเลยค่ะ” วิรองรองบอกในท่าทีดื้อรั้น
“ที่นี่คำสั่งของคุณย่าและคุณลบคือเหตุผล” อุษาบอก
“ถ้าทั้ง 2 คนนั่นสั่งให้ไปตายล่ะคะ” วิรวรองแดกดัน
สีหน้าแววตาของอุษาเหมือนไม่พอใจวูบขึ้นมา
วิรงรองรู้สึกตัว เสียงอ่อนลง “ขอโทษค่ะ วิไม่ควรพูดอย่างนั้น”
อุษาลุกขึ้น เดินไปที่ประตู แล้วเบือนหน้ามาช้าๆ
“โดมทอง…เคยเป็นยังไง ก็ปล่อยให้เป็นอย่างนั้นเถอะค่ะ พวกเราทุกคนเคยชินกับวิถีชีวิตที่นี่...ถึงคุณจะมองว่ามันเชย..ล้าหลัง แต่ก็มีความสงบร่มเย็น...อย่างที่หาไม่ได้ภายนอก”
อุษาเดินออกไป วิรงรองพึมพำกับตัวเอง
“แล้วทำไมเราถึงได้สัมผัสแต่ความโศกเศร้า ความว้าเหว่...ความน่ากลัว...ความลึกลับ”
อุษาเผชิญหน้ากับแสงแข ขณะที่กำลังจะลงบันไดมา แสงแขยิ้มหยันนิดๆ
“มาสุมหัวกันอยู่ที่นี่เอง”
“พูดให้มันดีๆ หน่อย แล้วเธอล่ะ...จะมาหาเรื่องคุณวิเขาอีกหรือ”
แสงแขยักไหล่ “คุณย่าให้มาตาม”
อุษาตกใจ “ทำไม…เธอไปพูดอะไรกับคุณย่า”
“ไปถามเอาเองซิ”
แสงแขเดินเลยไปอุษากระชากแขนไว้ “ทำไมไม่บอกท่านว่า คุณวิไม่อยู่”
แสงแขสะบัดแขน “ฉันโกหกไม่เป็น”
แสงแขเดินไปเคาะประตู อุษารีบลงบันไดไปทันที
อดิศวร์อยู่ภายในออฟฟิศสำนักงานทนายความ กำลังประชุมพนักงานอยู่ มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อดิศวร์หยิบขึ้นมาดู แล้วเงยหน้าบอกทุกคน
“ขอโทษนะ”
อดิศวรเปิดประตูออกไป พนักงานหยิบแฟ้มเปิดอ่านตั้งอกตั้งใจ
อุษาอยู่ในห้องทำงานอดิศวร์ที่โดมทอง อดิศวร์คุยโทรศัพท์กับอุษา
“มีอะไรหรืออุษา”
“คุณย่าให้คุณวิรงรองไปพบค่ะ...อุษาก็ไม่ทราบว่าท่านรู้ได้ยังไงว่า คุณวิยังอยู่”
อดิศวร์ตกใจ “ไปเรียนคุณย่าว่า พี่ไม่อนุญาตให้วิรงรองไปไหน! ถ้าท่านไม่เชื่อรีบโทร.หาพี่ทันที”
“ค่ะ”
“บอกวิรงรองว่า...อย่าฉวยโอกาส” อดิศวร์บอกอีก
อุษารับปากงงๆ “ค่ะ”
“เท่านั้นแหละ..รีบไปได้แล้ว”
อดิศวร์ปิดโทรศัพท์ สีหน้าดูร้อนอกร้อนใจมาก
อ่านต่อตอนต่อไป
ส่วนที่โดมทองทุกคนอยู่ในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ซึ่งเวลานั้นหญิงชราจ้องมองมายังวิรงรองอย่างเกรี้ยวกราด ขณะที่แสงแขซึ่งนั่งข้างล่างใกล้ท่าน มองวิรงรองอย่างเยาะเย้ย
“หน้าด้าน”
วิรงรองสะอึก ขณะที่แสงยิ้มเยาะ
“จนเจ้าของบ้านเขาไล่แล้ว ทำไมยังไม่ไปอีก”
วิรงรองบอกด้วยสีหน้าราบเรียบ “คุณอดิศวร์ไม่ให้ไปค่ะ”
“โกหก! อีเนรคุณ! ฉันรู้จักผู้หญิงอย่างแกดี กินบนเรือนขี้บนหลังคาจ้องแต่จะแย่งของ ของคนอื่น”
วิรงรองพยายามซ่อนอารมณ์โดยก้มหน้าลง
“เงยหน้าขึ้น อีพลับพลึง”
วิรงรองค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ท่านผู้หญิงสรรักษ์เห็นเป็นใบหน้าของพลับพลึง ค่อยๆ คลี่ยิ้มเยือกเย็นน่าขนลุก
ท่านผู้หญิงผงะ “อีพลับ....พลึง! แสงแข! ไล่มันออกไปเดี๋ยวนี้ ไล่มันออกไป”
พลับพลึงเรียกเสียงแผ่วเบาและเยือกเย็น “คุณพี่...”
ท่านผู้หญิงกรีดร้องสุดเสียงและเป็นลมพับไปบนเตียง อุษาเข้ามาในขณะที่วิรงรองคลานเข้าไปใกล้
“ท่านผู้หญิงคะ”
แสงแขผลักวิรงรองจนหงายหลัง “ไปให้พ้น”
“คุณวิรงรองออกไปก่อน” อุษาบอก
วิรงรองลุกเดินไปที่ประตู หันมามองแว่บหนึ่ง แล้วเดินออกไป
“คุณย่าคะ...คุณย่า..แสงแข..ขอยาดมหน่อย”
แสงแขหยิบยาดมที่หัวโต๊ะส่งให้
“ไปโทรศัพท์ตามคุณหมอประเวศด้วย”
แสงแขพยักหน้าและรีบเดินออกไป ขณะที่อุษาปฐมพยาบาลท่านผู้หญิงอย่างร้อนใจ
วิรงรองเดินออกมาบริเวณภายนอกโดมทอง เหมือนเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา แล้วทรุดตัวลงนั่ง
“นี่มันอะไรกัน”
วิรงรองหลับตาลง แต่กลับเห็นภาพท่านผู้หญิงสรรักษ์กรีดร้องและเป็นลมขณะที่จ้องมองตน
ภาพเลือนหายไป วิรงรองลืมตาขึ้น..นั่งนิ่งๆ ครู่หนึ่ง ระหว่างนี้เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังมองลงมาที่วิรงรองจากที่สูง
วิรงรองเหมือนรู้สึกตัว จึงหันไปช้าๆ เงยหน้าขึ้นมองยอดโดม ทว่าบริเวณนั้นเป็นปกติ
วิรงรองห่อตัว กอดอกเหมือนเกิดหนาวขึ้นมาเฉยๆ สายตายังคงจับจ้องมองยอดโดม อย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
ปรางกำลังนั่งอ่านหนังสือพระอยู่ในห้องนอนที่บ้าน มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
สาวใช้เปิดประตูเข้ามาและทรุดตัวลงเรียบร้อย
“มีแขกมาขอพบคุณค่ะ”
ปรางฉงน “ใคร”
แขกที่ว่าคือ อดิศวร์ ศิโรดม ซึ่งเวลานี้ยืนหันหลังให้อยู่ในห้องรับแขก ท่าทางเหมือนกำลังมองรูปวิรงรองซึ่งถ่ายคู่กับแม่ ปรางเดินเข้ามา ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“มาพบฉันหรือคะ”
อดิศวร์หันกลับมา ยกมือไหว้ ปรางรีบรับไหว้แทบไม่ทัน ด้วยกำลังมองอย่างทึ่งๆ
“ผมชื่อ อดิศวร์ เป็นเจ้าของโดมทอง ที่คุณวิรงรองไปทำงาน” ชายหนุ่มแนะนำตัวเอง
ปรางตื่นเต้น “หรือคะ เชิญนั่งค่ะ...แม่หนูเป็นยังไงบ้าง! ตายจริง! นี่เด็กยังไม่ได้หาอะไรมาต้อนรับคุณเลย”
“ไม่เป็นไรครับ เผอิญผมมาธุระที่กรุงเทพฯ แล้วเลยแวะมาส่งข่าวว่า วิรงรอง สบายดี”
ปรางถอนใจยาว “ค่อยหมดห่วงหน่อย”
“วิรงรองบ่นอะไรให้ฟังหรือครับ” อดิศวร์ถามด้วยสีหน้าระแวงขึ้นมาแว่บหนึ่ง
ปรางยิ้ม “บ่นว่าที่นั่นสวยมากค่ะ แล้วทุกคนก็ใจดีกับแกมาก...ต้องขอบคุณคุณอดิศวร์ด้วยนะคะ”
สีหน้าอดิศวร์เจื่อนไปเล็กน้อย “ไม่เป็นไรครับ”
“แม่หนูน่ะเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ยังไงก็ต้องฝากคุณอดิศวร์ช่วยดูแลตักเตือนด้วย คิดว่าแกเป็นน้องเป็นนุ่งก็แล้วกันค่ะ”
สีหน้าอดิศวร์เหมือนละอายใจขึ้นมา แต่คุณปรางไม่ทันสังเกต ด้วยกำลังดีใจ ที่ได้คุยกับเจ้านายลูก
วิรงรองเดินมาเรื่อยๆ ตามริมทะเล หาดทรายเบื้องหน้าทอดตัวยาวไปสุดสายตา จนมาถึงซากเรือเก่าซึ่งค่อนข้างใหญ่โต จึงทรุดตัวลงนั่งทอดสายตามองไปข้างหน้า
“คุณวิขา...คุณวิรงรอง”
วิรงรองผินหน้าไปมองตามเสียง เห็นอุไรกำลังเดินป้องปากตะโกนเรียกตน พลางเหลียวซ้ายแลขวา
วิรงรองลุกขึ้น “ป้าอุไร ฉันอยู่ทางนี้” ตะโกนป้องปากตอบไป
อุไรหันมามอง รีบเดินแกมวิ่งตรงมา หอบเหนื่อย “โอย...เหนื่อย”
“เหนื่อยก็นั่งพักก่อน”
“ไม่ได้ค่ะ...คุณอุษาให้อุไรมาตามหาคุณวิ”
“คงไม่ใช่คุณอุษาละมั้ง” วิรงรองยิ้มเหมือนเยาะนิดๆ
อุไรไม่รู้เรื่องลึกซึ้ง “ใช่ซิคะ...ก็คุณอุษาเป็นคนบอกให้อุไรมาตาม”
วิรงรองออกเดินย้อนกลับ อุไรรีบตาม
“คุณหมอกลับไปหรือยัง”
“กลับไปแล้วค่ะ...ท่านผู้หญิงก็ฟื้นแล้ว...พอฟื้นก็ถามว่า คุณพลับพลึงไปหรือยัง”
วิรงรองยังคงเดินไปเรื่อยๆ
“แปลกจังนะคะ ทำไมท่านผู้หญิงถึงได้คิดว่าคุณวิรงรองเป็นคุณพลับพลึงทุกที”
“คุณพลับพลึงนี่หน้าตาเป็นยังไง...ในห้องโถง มีรูปหรือเปล่า”
“ไม่มีค่ะ รูปท่านเจ้าคุณก็ไม่มี สงสัยท่านผู้หญิงจะเผาทิ้งหมด” อุไรว่า
วิรงรองพูดเหมือนรำพึงกับตัวเอง “ถ้ารู้จักปล่อยวาง ท่านอาจจะมีความสุขกว่านี้”
ทั้ง 2 คนเดินไปกันเรื่อยๆ
ขณะนั้นแสงแขและอุษากำลังยืนเถียงกันอยู่ ตรงมุมหนึ่งในบ้าน
“คุณย่าท่านไล่มัน พี่อุษาจะขัดคำสั่งคุณย่าเรอะ” แสงแขว่า
“แต่คุณลบสั่งให้เขาอยู่ ยังไงก็ต้องให้คุณลบกลับมาก่อน”
“แขจะฟ้องคุณย่า”
“แล้วเธอจะให้พี่บอกกับคุณลบว่ายังไง”
มีเสียงกระแอมดังขึ้น ทั้ง 2 หันมามอง เห็นวิรงรองยืนอยู่
“คุณวิรงรอง” อุษาทัก
“เก็บเสื้อผ้าเรียบร้อยหรือยัง ฉันจะได้ให้นายสมไปส่ง”
วิรงรองเบือนหน้าไปมองอุษา “อ้าว คุณอุษาไม่ได้บอกกับคุณแสงแขหรอกหรือคะ”
2 สาวทำหน้างงๆ
วิหันมามองแสงแข “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันบอกเองก็ได้ คุณอดิศวร์สั่งนักสั่งหนาไม่ให้ฉันไปจากโดมทอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”
“แต่คุณย่าไล่แก” แสงแขแว้ดใส่
“ท่านผู้หญิงจะไม่ทราบว่าดิฉันยังอยู่ที่โดมทองเลย ถ้าไม่มีใครคาบไปบอก”
อุษาสะดุ้ง ขณะที่แสงแขโกรธจัด ชี้หน้าวิรงรองมือไม้สั่น
“แก...แกว่าฉันเป็นหมาเรอะ”
“โอ๊ะ...ดิฉันน่ะหรือจะกล้าขนาดนั้น” พูดถึงตอนนี้วิรงรองเบือนหน้ามาทางอุษา “คุณอุษา”
“เชิญทางนี้ค่ะ”
อุษาพาวิรงรองเดินออกไป แสงแขมองตามเกลียดชังมากขึ้นๆ
ค่ำแล้วคฤหาสน์โดมทอง ตกอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์มัวหม่น แสงแขเดินกลับไปกลับมาอยู่ในห้องอย่างใช้ความคิด ปากก็บ่นพึมพำ
“เอามันไว้ไม่ได้ ยังไงก็เอามันไว้ไม่ได้”
เสียงเคาะประตู ตามด้วยเสียงโอบอ้อมดังขึ้น
“คุณแสงแขขา...หลับหรือยังเอ่ย คุณลบกลับมาแล้วค่ะ...”
แสงแขฟังยังไม่ทันจบด้วยซ้ำ รีบเดินไปเปิดประตูทันที
“แหม รวดเร็วทันใจดีจัง” โอบอ้อมว่า
“เมื่อกี้แกว่าคุณลบกลับมาแล้วเรอะ”
“ค่ะ...อยู่ที่ห้องท่านผู้หญิง...”
แสงแขรีบถลาวิ่งออกไปทันที ขณะที่โอบอ้อมยังพูดไม่ทันจบคำ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กำลังกอดหลานชายอย่างรักใคร่ดีใจสุดๆ
“ลบกลับมาหาย่าแล้ว...ย่ารู้ว่า ลบรักย่า เป็นห่วงย่าใช่ไหมลูก”
“ครับ...ผมถึงได้รีบกลับมาไงครับ”
“ขอบใจนะลูก...ขอบใจมาก”
อุษามองภาพนั้นด้วยความโล่งใจ
จู่ๆ ท่านผู้หญิงถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “ทำไมลบถึงไม่ไล่นังคนนั้นออกไป”
อดิศวร์ชะงักขณะที่อุษาสะดุ้ง
ท่านผู้หญิสรรักษ์มองหลานชายเขม็ง “ทำไมไม่ตอบย่า”
อดิศวร์เหลือบมองนาฬิกา “จะ 4 ทุ่มแล้ว คุณย่าควรนอนได้แล้วครับ”
ท่านผู้หญิงน้ำตาคลอด้วยความแค้นใจ “ลบปกป้องมัน”
ทั้งห้องเงียบกริบ
“เหมือนปู่ของลบไม่มีผิด คอยปกป้องนังพลับพลึงตลอดเวลา...แล้วเป็นไง นึกเรอะว่าจะปกป้องได้ สมน้ำหน้า! คนทรยศทุกคนต้องโดนแบบนี้” หญิงชราหัวเราะสะใจ
อุษาขยับตัว “คุณย่าขา...ทานยาก่อนนะคะ”
“ไม่ แกจะทำให้ฉันนอนหลับละซี ฉันไม่โง่หรอก นังอุษา แกมันก็ไฝ่ต่ำเหมือนกัน ถ้าฉันไม่ขัดขวางไว้ ป่านนี้แก...”
อดิศวร์ดึงยาจากอุษาซึ่งหน้าซีด มาส่งให้ย่าเอง “ทานยานะครับ แล้วพรุ่งนี้ผมจะพาไปเดินเล่น”
ท่านผู้หญิงจ้องหน้าอดิศวร์
“ถ้าคุณย่ารักผม ก็ทานยานะครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ รับยาจากลบมาใส่ปากรับน้ำมาดื่ม
“แล้วก็นอนได้แล้ว”
อดิศวร์ตบหมอนแล้วค่อยๆ ประคองย่าลงนอนอย่างอ่อนโยน
โดมทอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
สักครู่ต่อมาแสงแขซึ่งนั่งรออยู่ รีบลุกขึ้นทันที เมื่อเห็นอดิศวร์เดินออกมาจากห้อง
“อุไร...เดี๋ยวเข้าไปเปลี่ยนเวรกับคุณอุษานะ”
“ค่ะ”
“ทำไมคุณลบกลับก่อนกำหนดล่ะคะ”
“ก็แค่วันเดียว...ไปนอนเถอะ ดึกแล้ว”
“คุณลบล่ะคะ”
“เดี๋ยวพี่ก็จะนอนเหมือนกัน”
อดิศวร์เดินไปเลย แสงแขรีบตาม “คุณลบหิวมั้ยคะ...แขจะ...”
อดิศวร์หันกลับมาหา “ไม่หิว” พร้อมกับมองมาด้วยสีหน้าแววตาเย็นชา
แสงแขหลบตาลง
“รู้ตัวใช่ไหมว่าทำอะไรลงไป”
ระหว่างนี้โอบอ้อม อุไร ค่อยๆ หลบฉากออกไป
“พี่สั่งไม่ให้ใครเอาเรื่องวิรงรองไปบอกคุณย่า”
“พี่อุษาฟ้องคุณลบหรือคะ”
“อุษาน่ะไม่มีวันปริปากเรื่องอะไรหรอก...ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอขัดคำสั่งพี่”
อดิศวร์เดินไป แสงแขมองตามอย่างน้อยใจ
บรรยากาศในยามเช้าวันนี้ดูขมุกขมัวด้วยหมอกลงหนัก วิเดินเข้ามาในห้องทานข้าว แล้วชะงักยกมืออุดปากตัวเอง เมื่อเห็นอดิศวร์นั่งหันหลังให้อยู่ วิรงรองค่อยๆ หันหลังจะย่องออกไป
อดิศวร์พูดโดยไม่ได้หันมา “จะไปไหนล่ะ”
วิรงรองสะดุ้ง ทำหน้าเหวอ บ่นเบาๆ “ยังกับมีตาหลัง”
อโศวร์เบือนหน้ามามอง “เชิญนั่ง”
วิรงรองจำใจเดินมานั่งที่โต๊ะ แต่ทำทีเป็นชะเง้อมอง
“คุณอุษากับคุณแสงแขยังไม่ลงมาอีก”
“ขอบใจที่รักษาสัญญา” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
วิรงรองมองหน้านายจ้าง
อดิศวร์ยิ้มนิดๆ “คนทำดีก็ต้องมีรางวัล”
“ฉันไม่ต้องการ”
“อย่าเพิ่งปฏิเสธจนกว่าจะเห็นซิ”
วิรงรองลุกขึ้นจะเดินออกไป อดิศวร์จับแขนไว้ทันที
“นั่งลง”
“ปล่อย” วิรงรองพยายามบิดแขน
อุษาเดินเข้ามากับแสงแข ทั้ง 2 ชะงักกับภาพนั้น โดยเฉพาะแสงแขขบกรามแน่น
วิรงรองดึงแขนออก แล้วลงนั่งอย่างเดิม อุษาและแสงเดินเข้ามานั่งประจำที่
“เอ๊ะโอบยังไม่ยกอาหารออกมาอีก” อุษาว่า
“วิไปดูให้เองค่ะ...โอบชอบใส่เครื่องปรุงหนักมือไปหน่อย”
อุษาพยักหน้าให้ วิรงรองลุกเดินออกไป โดยมีแสงแขชำเลืองมองตามแค้นๆ แว่บหนึ่ง
ด้านโอบอ้อมกำลังบรรจงวางไข่ดาวที่ทอดสวยลงจาน ขณะที่วิรงรองเดินเข้ามา
“คุณอดิศวร์ลงมาแล้ว ยังไม่เสร็จอีกหรือ”
โอบอ้อมหันมามองด้วยแววตาไม่เป็นมิตร “พูดยังกับเป็นเจ้าของบ้าน ที่แท้ก็ไอ้คนอาศัยเหมือนกัน”
“จะให้ฉันไปบอกคุณอดิศวร์อย่างนั้นหรือเปล่า”
“ไม่ต้องมาขู่” โอบอ้อมย้อน
“อ๋อ ฉันพูดจริง ทำจริง ไม่เคยขู่ใคร”
วิรงรองหันหลังจะเดินกลับออกไป
โอบอ้อมรีบเรียกไว้ “เดี๋ยว...ค่ะ”
วิรงรองหันกลับมามอง
โอบอ้อมมีน้ำเสียงอ่อนลง “กำลังจะเสร็จแล้ว”
“แล้วอย่าได้ถ่มน้ำลาย หรือทำอะไรกับจานของฉันล่ะ เพราะฉันจะเปลี่ยนจานกับคุณอดิศวร์ หรือไม่ก็คุณแสงแขเจ้านายของเธอแน่”
วิรงรองเดินออกไป โอบอ้อมมองตามอย่างเข่นเขี้ยว กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะตบ
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ท่านผู้หญิงสรรักษ์กำลังทานอาหารเช้าโดยมีอุไรคอยปรนนิบัติ เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นอดิศวร์เดินเข้ามา
ท่านผู้หญิงดีใจ “ลบ..มานั่งกับย่าซิลูก อุไร..แกออกไปได้ ฉันจะอยู่กับหลานของฉัน”
“เจ้าค่ะ” อุไรออกไป
“ลบไล่นังพลับพลึงไปหรือยัง”
“คุณย่าครับ..เขาชื่อวิรงรอง..ไม่ใช่พลับพลึง”
“ต้องใช่! มันเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน! ถ้าลบรักย่าก็ต้องไล่มันไป”
“ผมรักคุณย่ามาก แต่ก็เกรงใจ คุณป้าสุรภีมากด้วยเหมือนกัน เพราะผมเป็นคนขอร้องให้ท่าน...ช่วยพาคนมาดูแลคุณย่า...ท่านก็อุตส่าห์ส่งลูกบุญธรรมของท่านมา..แต่ไม่ทันไรจะส่งคืนด้วยเหตุผลที่ว่าวิรงรองหน้าตาเหมือนคุณย่าน้อย..ผมคิดว่ามันฟังไม่ขึ้น”
ท่านผู้หญิงนั่งน้ำตาไหลด้วยความคับแค้นใจ
“เวลามันผ่านมานานมากแล้ว คุณย่าอาจจะจำผิด คงไม่มีใครที่เหมือนกันได้ราวกับคนๆ เดียว โดยไม่ได้เป็นญาติพี่น้องกันหรอกครับ”
“ลบไม่เชื่อย่า”
“เชื่อซิครับ...แต่ก็อย่างที่บอก...เวลามันผ่านมานานมากแล้ว..เอาอย่างนี้ ผมจะให้วิรงรองอยู่แต่ทางปีกโน้น ไม่ให้มาให้คุณย่าเห็นเด็ดขาด”
ท่านผู้หญิงมองหน้าอดิศวร์ พูดด้วยน้ำเสียงกร้าวแข็ง “ลบรัก...มัน...จริงๆ”
อดิศวร์ชะงัก อึ้งไปด้วยยังไม่ทันตั้งเนื้อตั้งตัว
“ทุกอย่างกำลังจะย้อนไปสู่รอยเดิม ลบรักมัน..แล้วมันก็จะแย่งลบไปจากย่า นังพลับพลึงมันส่งอีนังหน้าเหมือนมาเพื่อจะเอาชนะย่า”
ท่านผู้หญิงน้ำตาไหลพรากๆ
“แล้วย่าก็จะถูกทิ้งให้อยู่โดดเดี่ยวตลอดไป” จากนั้นก็สะอึกสะอื้น
อดิศวร์โอบกอดท่านไว้อย่างอ่อนโยน “ผมไม่มีวันทิ้งให้คุณย่าอยู่อย่างโดดเดี่ยวแน่นอน...คุณย่าไม่ต้องกังวลนะครับ”
สีหน้านัยน์ตาของท่านผู้หญิงสรรักษ์ ดูออกว่าเจ็บปวดรวดร้าวสุดๆ
อดิศวร์เปิดประตูออกมา อุไรซึ่งนั่งรออยู่ขยับตัว
“ไปตามคุณวิรงรองให้ไปพบฉันที่ห้องทำงาน”
“แล้ว...แล้วท่านผู้หญิงล่ะค่ะ”
“เพิ่งจะหลับไป”
อดิศวร์เดินออกไป อุไรมองตามแล้วรีบทำตามคำสั่ง
อดิศวร์ยืนพิงหน้าต่าง ทอดสายตามองออกไป เสียงคุณย่าดังก้องในหู
“ลบรักมันจริงๆ”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ อดิศวร์ขยับตัว
“เข้ามา...”
วิรงรองเปิดประตูเดินเข้ามาและปิดเบาๆ แล้วยืนอยู่ตรงนั้น
“นั่งซิ”
“ไม่เป็นไรค่ะ...เดี๋ยวดิฉันก็ไปแล้ว”
“ธุระฉันค่อนข้างยาว”
“คงไม่ถึงขนาดเป็นชั่วโมงมั้งคะ” วิรงรองตีฝีปาก
“ก็ไม่แน่ บางทีอาจจะเป็นวัน”
วิรงรองตวัดสายตามองอดิศวร์อย่างขัดใจแว่บหนึ่ง “ดิฉันคงไม่อยู่ฟังขนาดนั้นหรอกค่ะ”
“ถ้าฉันไม่อนุญาต เธอก็ยังไปไม่ได้!” อดิศวร์ว่า
“ก็ลองดูซิคะ” วิรงรองท้า
“เธอก็ลองดูก่อนซิ” อดิศวร์ย้อน
สีหน้าแววตาของ อดิศวร์ ศิโรดม ยามนี้เอาจริงมาก จนวิรงรองชะงักไป
“ธุระเรื่องแรก ฉันไปบ้านเธอมา”
วิรงรองเบิกตากว้าง มองลบเหมือนไม่เชื่อสายตา
“คุณแม่เธอฝากของมาให้..อยู่ในถุงบนโต๊ะนั่น”
วิรงรองมองตามสายตา พบว่ามีถุงใบค่อนข้างใหญ่ 2-3 ใบใส่ของวางอยู่ หญิงสาวดีใจรีบเดินไปด้วยสีหน้าแจ่มใสอย่างลืมตัว แล้วเปิดถุงดู ในมีน้ำพริกต่างๆ และมาการองที่แม่ชอบทำ
วิรงรองถึงกับน้ำตาคลอ “โถ...คุณ” พร้อมกับหยิบถุงทั้งหมดจะเอาออกไป
มืออดิศวร์วางทาบถุงของไว้ทันที วิรงรองสะดุ้งหันไปมองชะงักงันไป เพราะเวลานี้อดิศวร์ยืนอยู่ใกล้เธอมาก
“ยังไม่ทันขอบอกขอบใจสักคำก็จะไปแล้ว”
วิรงรองก้มหน้าลง พึมพำออกมา “ขอบคุณค่ะ”
อดิศวร์ยังคงอยู่ในอิริยาบถนั้น ขณะที่วิรงรองขยับตัวอย่างอึดอัด ทั้ง 2 อยู่ในบรรยากาศนั้นครู่หนึ่ง แล้วอดิศวร์จึงเดินห่างออกไป วิรงรองค่อยๆผ่อนลมหายใจโล่งเบาๆ
อดิศวร์พูดด้วยสุ้มเสียงกลับเป็นงานเป็นการขึ้น “เรื่องที่ 2...อันนี้ค่อนข้างสำคัญ อาทิตย์หน้าจะมีแขกมาพักที่โดมทอง...ฉันอยากให้เธอคอยดูแลอำนวยความสะดวกสบายให้เขาหน่อย”
วิรงรองแปลกใจนิดๆ “แต่ดิฉัน”
“ฉันเชื่อว่าเธอทำได้...” อดิศวร์ยิ้มมีเลศนัย ขณะพูดต่อ “แล้วก็จะเต็มใจทำอย่างสุดฝีมือด้วย”
วิรงรองมองสีหน้าและรอยยิ้มนั้น ด้วยท่าทีมึนงง
แสงแขคลานเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ แล้วนั่งก้มหน้า
“แกคงสงสัยว่าฉันเรียกแกมาทำไม”
แสงแขยังคงก้มหน้านิ่ง
“ฉันจะสนับสนุนให้แกได้กับตาลบ” ท่านผู้หญิงว่า
แสงแขเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเบิกกว้าง ทั้งประหลาดใจสุดๆ เหมือนไม่เชื่อหูตัวเอง
ท่านผู้หญิงสรรักษ์จ้องเขม็งด้วยตาเป็นประกายวาว “แกได้ยินถูกแล้ว! ฉันจะสนับสนุนให้แกได้กับตาลบ ทั้งๆ ที่ฉันเกลียดแกนี่แหละ! เพราะยังไง แกก็ยังดีกว่าอีนังพลับพลึง”
“คุณย่า” แสงแขพึมพำ
“พยายามใกล้ชิดตาลบเข้าไว้ ผู้ชายทุกคนมันสันดานมักง่ายเหมือนกัน ปู่เป็นยังไง...หลานมันก็คงไม่ต่างกันนักหรอก”
แสงแขซาบซึ้ง ก้มกราบ “ขอบพระคุณมากค่ะ”
“ฉันจะเปลี่ยนให้แกเข้ามาอยู่ใก้ลชิดฉันแทนนังอุษา ตาลบเข้ามาหาฉัน ก็จะได้เจอแกทุกครั้ง”
“ค่ะ”
“อ้อ! แล้วก็อย่านึกว่าจะวางยาพิษฉันได้ เพราะเรื่องข้าวปลาอาหารนังอุษาจะเป็นคนดูแลตามเดิม”
แสงแขเจื่อนไป “แขไม่เคยแม้แต่จะคิดร้ายกับคุณย่าค่ะ”
“ตอแหล” ท่านผู้หญิงสรรักษ์ด่าต่อหน้า
แสงแขก้มหน้า..นัยน์ตาเป็นประกายวาวขึ้นแว่บหนึ่ง
“ทำไมฉันจะไม่รู้ว่าแกแช่งชักหักกระดูกให้ฉันตายเร็วๆ ทุกวัน…จำใส่กะลาหัวเอาไว้ว่า ถ้าฉันตาย แกจะไม่มีวันได้เข้าใกล้ตาลบแน่นอน”
แสงแขเงยหน้าขึ้นพยายามจะพูดแก้ตัว “คุณย่าขา...”
ท่านผู้หญิงตวาด “ไม่ต้องมาสาระวอน! ไสหัวออกไปได้แล้ว”
“ค่ะ”
แสงแขหันหลังคลานออกไป เหมือนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ทว่าสีหน้าแววตาแสงแขกลับเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ส่วนภายในห้องทำงานอดิศวร์ วิรงรองขอตัว
“คุณอดิศวร์หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ”
“ทำไม! เกลียดขี้หน้าฉันนักรึไง” สีหน้าแววตาขณะถามของอดิศวร์ดูพาลๆ
วิรงรองสวนทันที “ก็คงพอๆ กับที่คุณอดิศวร์เกลียดขี้หน้าดิฉันนั่นแหละค่ะ”
อดิศวร์ฮึดฮัดเหมือนไม่รู้จะพูดอย่างไร
วิรงรองหยิบถุงบนโต๊ะ “ขอบคุณนะคะ ที่อุตส่าห์เป็นธุระขนของพวกนี้มาให้”
อดิศวร์ตอบเหมือนไม่ใส่ใจ “ฉันแค่อยู่ว่างๆ”
วิรงรองเดินไปที่ประตูแล้ว อดิศวร์เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
วิรงรองหยุด แล้วหันมามอง
“ไม่อยากรู้หรือว่าใครจะมาเป็นแขกของฉันที่โดมทอง”
“ไม่ค่ะ! เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร ดิฉันก็ต้องทำหน้าที่ต้อนรับให้คุ้มกับเงินเดือนอยู่ดี”
แล้ววิรงรองเปิดประตูออกไป
“อวดดี” อดิศวร์เว้นจังหวะไปนิดหนึ่ง “อยากให้ถึงวันนั้นเร็วๆ นัก”
ฟากสองพี่น้องคุยกันอยู่ในมุมหนึ่งของบ้าน อุษาตกใจมากพอได้ฟังจบ
“อย่านะ! แสงแข! เชื่อพี่เถอะ”
แสงแขหัวเราะเสียงเจื้อยแจ้ว “อิจฉาความสุขฉันละซิ! ฉันกำลังจะสมหวังกับคุณลบในขณะที่พี่อุษากับไอ้พันธุ์สูรย์นับวันก็จะยิ่งห่างกัน”
“เธอกำลังจะตกเป็นเหยื่อของคุณย่า คุณย่าใช้เธอเป็นเครื่องมือแยกคุณลบมาจากวิรงรอง”
“ซึ่งฉันก็เต็มใจ” เสียงแสงแขหนักแน่นมาก
“แต่เธอจะหาความสุขไม่ได้เลย การแต่งงานกับคนที่ไม่ได้รักเธอจะมีแต่ความทุกข์...ดูตัวอย่างคุณย่าซิ! ท่านต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน!”
“แขมั่นใจว่า แขสามารถทำให้คุณลบรักแขได้…แขไม่เหมือนคุณย่า”
“แสงแข” อุษาเรียกเสียงอ่อนโยน
แสงแขยกมือห้าม “หยุด! ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว! ชีวิตของแข...แขจะรับผิดชอบเอง”
แสงแขเดินออกไปจากที่นั่น ขณะที่อุษามองตามอย่างเป็นกังวล
วิรงรองเดินเข้ามาในห้องและวางของลงบนโต๊ะ รีบหยิบโทรศัพท์มือถือมาโทร.ด้วยสีหน้าแจ่มใส
“คุณขา...ขอบพระคุณมากเลยค่ะ”
ปรางอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ยิ้มด้วยสีหน้าเป็นสุขสบายใจ
“ทีแรกแม่ก็เกรงใจไม่กล้าฝาก แต่คุณอดิศวร์คะยั้นคะยอ...เจ้านายหนูนี่ใจดีมากเลยนะ ทั้งใจดีทั้งสุภาพเหมือนที่คุณป้าสุรภีเล่าไม่มีผิด”
“โอ๊ย! อย่าไปเชื่อค่ะ คุณ” วิรงรองโพล่งออกมา
ปรางแปลกใจ “ทำไมหรือลูก...
วิรงรองรู้สึกตัว “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
“คุณอดิศวร์เล่าว่า หนูน่ะน่ารัก...ขยันขันแข็ง...แม่ฟังแล้วก็ปลื้มใจ”
วิรงรองกัดฟัน “โกหกทั้งเพ”
ปรางได้ยินไม่ถนัด “อะไรนะ”
“อ๋อ...เปล่าค่ะ คุยเรื่องเราดีกว่า หนูคิดถึงคุณมาก”
“แม่ก็คิดถึงหนูมากเหมือนกัน”
“คุณคะ...พิชญ์เขาแต่งงานแล้ว” วิรงรองเอ่ยขึ้น
ปรางอุทาน “แม่หนู”
จังหวะนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“มีใครมา...เดี๋ยวหนูโทร.กลับไปใหม่นะคะ”
วิวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินไปเปิดประตู วิรงรองประหลาดใจ เมื่อเห็นอดิศวร์ยืนอยู่
“ลืมเอาของฝากให้เธออีกอย่าง”
อดิศวร์ส่งของชำร่วยในมือให้
“ของชำร่วยงานแต่งงานพิชญ์กับพิณทอง”
มือของอดิศวร์จับมือวิรงรองขึ้นมา และวางของนั้นลงไป
“ไม่ต้องขอบใจฉันก็ได้” อดิศวร์ยิ้มนิดๆ แล้วเดินไป
วิรงรองยังคงมองของชำร่วยนั้น ด้วยนัยน์ตาพร่าพราวไปด้วยน้ำตา
วิรงรองเดินเข้ามาในห้องพัก วางของชำร่วยไว้บนโต๊ะ มองจ้องข้าวของเหล่านั้นแล้วถอนสะอื้นออกมาด้วยความเจ็บปวด
“พิชญ์...พิชญ์แต่งงานไปแล้วจริงๆ พิชญ์เป็นของคนอื่นไปแล้วจริงๆ”
วิรงรองสะอึกสะอื้น เสียใจเหลือแสน ภาพจำหวานๆ ระหว่างพิชญ์และวิรงรอง ผุดขึ้นมาในห้วงความคิด
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไปสิ้น วิรงรองทรุดตัวลงบนเตียงอย่างหมดแรง
ส่วนอดิศวร์อยู่ในห้องนอน กำลังยืนเพ่งมองของชำร่วยที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพซ้อนเหตุการณ์ตอนตนส่งของชำร่วยให้วิรงรองผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“ของชำร่วยงานแต่งงานพิชญ์กับพิณทอง”
วิรงรองตกตะลึง
ภาพนั้นเลือนหายไปแล้ว อดิศวร์มีสีหน้าเหมือนสำนึกผิดขึ้นมาแว่บหนึ่ง แล้วกลับเป็นแข็งกร้าวตามเดิม
ด้านวิรงรองกำลังล้างหน้าชำระคราบน้ำตาอยู่ในห้องน้ำ โทรศัพท์วิรงรองที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งดังขึ้น
วิรงรองหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดหน้า ดวงตายังคงแดงก่ำ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาใหม่ๆ ที่จอโทรศัพท์ปรากฏชื่อ “อนิรุทธิ์”
วิรงรองเดินออกมาอย่างไม่รีบร้อน แล้วหยิบขึ้นมาดูด้วยสีหน้าบึ้งตึง ด้วยนึกว่าเป็นนายจ้างหนุ่ม แต่ต้องชะงัก สีหน้าแช่มชื้นขึ้นทันที แล้วรีบรับ
“รุทธิ์ ขอโทษ...วินึกว่า...” พูดแล้วชะงักไป
“นึกว่าใคร”
“ช่างเถอะ”
“ช่างไม่ได้ นายพิชญ์ใช่ไหมล่ะ โธ่เอ๊ย นี่วิยังติดต่อกับ...”
“เปล่า...ว่าแต่รุทธิ์เถอะ หายไปไหนตั้งหลายวัน”
“อบรม พออบเสร็จก็ระเห็จมาที่นี่เลย”
วิรงรองชะงัก “ที่นี่น่ะที่ไหน อย่าบอกนะว่า...”
“พรุ่งนี้เช้า ผมจะไปหาวิที่โดมทอง”
“เฮ้ย! อุ๊ย! ขอโทษ อย่ามาเลย”
“แล้วไม่เกรงใจผมบ้างเรอะ พออบรมบ่มนิสัยเสร็จก็รีบถ่อสังขารมาหา แต่กลับโดนไล่กลับ น้อยใจนะเนี่ย”
“เออ เออ จะมาก็มา ว่าแต่...มาถูก...”
“ปราสาทผีดิบนั่นน่ะนะ ทำไมจะไปไม่ถูก ใครๆ เขาก็รู้จักทั้งนั้น แต่ก็ไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้เข้าไป แต่พรุ่งนี้เรือโทอนิรุทธิ์รูปหล่อ จะได้เข้าไปเห็นเป็นขวัญตาแล้ว...10 โมงเช้าพบกันนะครับ”
“จ้ะ”
วิรงรองวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าลำบากใจ
อดิศวร์ยืนทอดสายตามองบรรยากาศยามเช้าอันเยือกเย็น แต่สวยซึ้งของโดมทอง แววตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในอาณาจักรของตน จนสักพักหนึ่ง มีเสียงกระแอมเล็กๆ ดังขึ้นทางข้างหลัง
อดิศวร์พูดโดยไม่ได้หันมา “มีธุระอะไรก็พูดไป...ไม่ต้องมากระแอมกระไอให้เสียงหรอก”
วิรงรองมองเหมือนจะค้อนให้ อดิศวร์หันมาทันเห็นพอดี สีหน้าและแววตาเหมือนจะเผลอไผลไปกับกิริยาน่ารักนั้นอยู่ครู่หนึ่ง
จนกระทั่งรู้สึกตัว “ว่าไงล่ะ”
“คือ...วันนี้จะมีเพื่อนแวะมาเยี่ยมดิฉันค่ะ”
“ชื่ออะไร”
วิรงรองเม้มปากนิดหนึ่ง “ไม่ได้ชื่อพิชญ์แน่นอนค่ะ”
“ฉันถามว่าเพื่อนเธอที่จะมานี่ชื่ออะไร รู้ละว่าพิชญ์น่ะคงไม่มาหรอกเพราะเขาเพิ่งจะแต่งงาน”
วิรงรองเบือนหน้าไปอีกทาง “ชื่ออนิรุทธิ์ค่ะ”
“อ้อ มีแต่เพื่อนผู้ชาย!” อดิศวร์เหน็บ
วิรงรองหันขวับมาทันที “ขอโทษ! ไม่เกี่ยวกับคุณ”
“เกี่ยว! เพราะคุณแม่เธอฝากฝังให้ฉันคอยดูแลลูกสาว”
“นั่นเป็นเพราะท่านไม่รู้ว่า คุณเป็นคนยังไง” วิรงรองย้อนเอา
“งั้นเธอช่วยบอกหน่อยซิว่า ฉันเป็นคนยังไง”
“ใจร้าย! ใจดำ! เห็นแก่ตัว! เผด็จการ! ชอบดูถูกคน!”
อดิศวร์พยักหน้าช้าๆ “เลวเต็มขั้นเลย”
วิรงรองหันหลังเดินไป
“ฉันอนุญาต” อดิศวร์บอก
วิรงรองชะงัก หันกลับมามอง
“แล้วก็ขอเชิญทานข้าวกลางวันด้วย”
“ไม่จำเป็นค่ะ! เพราะดิฉันคิดว่าออกไปพบกันข้างนอกดีกว่า! ดิฉันไม่ชอบถูกคนตีหัวแล้วมาลูบหลัง”
สีหน้าอดิศวร์หงุดหงิดขึ้นมาทันที มองดูวิรงรองเดินตัวตรงจากไป พลางบ่นงึมงำคำเดิมๆ
“อวดดี !”
อดิศวร์มีสีหน้าประหลาดใจเมื่อขณะที่เปิดประตูเข้าห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์มา แล้วเห็นแสงแขกำลังบีบนวดให้ย่า
“อ้าว!...แสงแข...อุษาล่ะ” อดิศวร์ทัก
“ย่าเป็นคนเปลี่ยนเอง...อยากให้อุษาได้พักผ่อนบ้าง ปรนนิบัติย่ามานานแล้ว”
แสงแขกลับมานวดท่านผู้หญิงอย่างตั้งอกตั้งใจแกมสงบเสงี่ยม
“ลบมานั่งใกล้ๆ ย่าซิลูก”
อดิศวร์ยกเก้าอี้มานั่งข้างเตียงย่า
“ย่าเพิ่งรู้ว่าแสงแขนวดเก่ง...ลบล่ะ ปวดเมื่อยบ้างไหม จะได้ให้เขาช่วยนวด”
“ไม่หรอกครับ...คุณย่าสบายก็ดีแล้ว”
“พาย่าออกไปเดินเล่นหน่อยได้ไหม”
“วันนี้อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น...ผมกลัวคุณย่าจะไม่สบาย...เอาไว้ให้อุ่นกว่านี้หน่อย ดีกว่านะครับ”
“ได้” ท่านผู้หญิงสรรักษ์จับมือหลานรักไว้ “ลบอยู่เป็นเพื่อนย่า จนกว่าย่าจะหลับนะ”
“ได้ครับ”
อดิศวร์นั่งจับมือท่านผู้หญิงอยู่อย่างนั้น ขณะที่แสงแขนวดให้ด้วยสีหน้าแววตามีความสุข แล้วคอยลอบ
มองอดิศวร์เป็นระยะๆ
เวลาผ่านไปอีกพักหนึ่ง ประตูห้องค่อยๆ เปิดออก อดิศวร์ก้าวออกมา โดยแสงแขตามออกมาส่ง
“ขอบใจมากนะที่ช่วยเสียสละดูแลคุณย่า”
“ไม่เป็นไรค่ะ แขน่ะเต็มใจแล้วก็อยากจะมีส่วนช่วยดูแลท่านมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ได้แต่อิจฉาพี่อุษาที่ได้รับใช้ตอบแทนพระคุณท่าน...พอมีโอกาส แขก็จะทำอย่างดีที่สุด”
อดิศวร์พยักหน้ารับ “ถ้าจะไปทำธุระอะไร ก็ให้คนอื่นมาเปลี่ยนนะ”
“ค่ะ”
พออดิศวร์เดินไป แสงแขมองตามสีหน้าสงบเสงี่ยมเปลี่ยนเป็นเซ็งๆ แล้วเดินกลับเข้าห้องท่านผู้หญิงไป
แสงแขปิดประตูลง แล้วหันมาท้าวสะเอวมองท่านผู้หญิงสรรักษ์ที่กำลังนอนหลับสนิทอย่างเกลียดชัง
“นี่ถ้าไม่ใช่เพราะคุณลบ แม่ไม่มานั่งดักดานอยู่กับยายแก่สารพัดพิษนี่หรอก เมื่อไหร่จะตายซักทีก็ไม่รู้” แล้วนึกบางอย่างได้ “อุ๊ย! ลืมไป! ยังตายไม่ได้จนกว่าฉันจะได้แต่งงานกับคุณลบก่อน”
ฟากอุษากำลังนั่งปักผ้าปูโต๊ะอยู่มุมหนึ่งของคฤหาสน์ อดิศวร์เดินเข้ามาหา อุษารีบลุกยืน
“คุณลบมีอะไรจะใช้อุษาหรือคะ”
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เอ้อ...กลางวันนี้พี่จะมีแขกมาทานข้าวด้วย... อุษาช่วยจัดการเรื่องอาหารหน่อยได้ไหม”
“ได้ค่ะ แขกคุณลบจะมากี่คนคะ”
อดิศวร์ลังเลเล็กน้อย “น่าจะคนเดียวนะ”
อุษามีสีหน้าประหลาดใจ แต่ไม่พูดอะไรออกมา
“อ้อ...เขารู้จักกับวิรงรอง...เธอเตรียมเป็น 3 ที่ก็แล้วกัน”
“ค่ะ”
อดิศวร์หันหลังกลับเดินไป แล้วหยุดหันมาอย่างนึกได้
“อีกเรื่องนึง อาทิตย์หน้า พิณทองกับสามีเขาจะมาฮันนีมูนที่นี่ ...เธอช่วยจัดห้องทางปีกเดียวกับวิรงรองให้พักด้วย ....” ประโยคต่อไปเหมือนจะพูดแก้ตัวกับตัวเองที่รู้สึกไม่ดีนัก “ทางนั้นวิวสวย”
“ได้ค่ะ”
อดิศวร์เดินไปแล้ว อุษามองตามพึมพำออกมาด้วยความแปลกใจ
“วันนี้คุณลบมีท่าทางแปลกๆ”
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลานั้นอนิรุทธิ์ขับรถเข้ามาจอดหน้าประตูใหญ่ แล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจะกด สมซึ่งอดิศวร์สั่งให้มาคอยอยู่ก่อนแล้ว รีบเปิดประตู และกวักมือเรียกให้เข้าไป อนิรุทธิ์กดกระจกหน้าต่างลงขณะที่สมเดินเข้ามา
“เชิญข้างในเลยครับ”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมมารับเพื่อน เขาบอกให้รอข้างนอกนี่” อนิรุทธิ์บอก
“แขกของคุณวิรงรองก็ถือว่าเป็นแขกของโดมทองด้วย...เชิญข้างใน”
ว่าแล้วสมเดินเข้าไปรอปิดประตูโดยไม่รอให้รุทธิ์พูดต่อ อนิรุทธิ์ปิดกระจก แล้วขับรถเข้าไป สมปิดประตู
ขณะเดียวกันวิรงรองแต่งเนื้อแต่งตัวเตรียมออกไปลุยข้างนอกด้วยท่าทาง กระปรี้กระเปร่า สีหน้าแจ่มใส แต่พอมาถึงหัวบันไดด้านล่าง ก็ค่อยๆ หุบยิ้มลง ท่าทางกระปรี้กระเปร่ากลับเป็นเซ็งๆ เมื่อเห็นใครยืนอยู่
เป็นอดิศวร์ ศิโรดม นั่นเอง ที่เวลานี้ยืนกวาดสายตามองวิรงรองทั่วตัวแว่บหนึ่ง
“ไม่ต้องไปไหนแล้ว”
“เอ๊ะ” วิรงรองงงก่อน
“โดมทองมีที่เที่ยวเยอะแยะ บางที..วันเดียวอาจจะไปไม่ทั่วด้วยซ้ำ”
“แต่ฉัน...” และทำท่าจะไม่ยอม
“อีกอย่าง ฉันเชิญคุณเพื่อนเธอทานข้าวกลางวันเรียบร้อย”
“เผด็จการ”
“ฉัน! เชิญ ไม่ได้บังคับ! ตอนนี้เขารออยู่ที่ห้องรับแขก...”
อดิศวร์เดินไปเลย วิรงรองมองตามอยากจะร้องกรี๊ดๆ ด้วยความขัดใจ
อนรุทธิ์ยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องรับแขก มองออกไปภายนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ อดิศวร์เดินเข้ามา
“คุณอนิรุทธิ์ ขี่ม้าเป็นหรือเปล่า”
อนรุทธิ์หันกลับมา เห็นรอดิศวร์ยืนเด่นเป็นสง่า
“เป็นครับ”
“งั้นดีเลย...เดี๋ยวให้วิรงรองพาขี่ม้าเที่ยวให้ทั่ว! เชิญตามสบายนะ...ผมมีงานต้องสะสาง เดี๋ยวเที่ยงทานข้าวด้วยกัน”
“เลยต้องรบกวนคุณอดิศวร์” อนิรุทธิ์พูดแบบเกรงใจ
อดิศวร์เหยียดยิ้มนิดหนึ่ง “นั่นต้องคิดก่อนตัดสินใจที่จะมา”
อนิรุทธิ์แทบสะอึก มองตามอดิศวร์ซึ่งหันหลังเดินออกไป พอดีวิรงรองเดินเข้ามา แต่แล้วต้องชะงักเมื่อสบตากับอดิศวร์ เห็นนายจ้างจอมเด็จการมองมาเหมือนจะยิ้มเยาะ
“หวังว่าคนนี้คงไม่มีเจ้าของเหมือนนายพิชญ์นะ”
วิรงรองกำมือแน่น
“เชิญตามสบาย” อดิศวร์เดินไปเลย
วิรงรองเดินหน้างอมาที่อนิรุทธิ์
“คุณอดิศวร์พูดอะไรถึงได้หน้างอหงิก”
“พูดไม่เข้าหู”
“เมื่อกี้เขาก็พูดกับผมแปลกๆ”
“แปลกยังไง”
“ผมพูดเป็นทำนองว่าเกรงใจ ที่มารบกวน...เขาตอบว่า ผมควรคิดอย่างนั้นเสียก่อนที่จะตัดสินใจมา! แรงจริง..ไรจริง” อนิรุทธิ์บอก
วิรงรองเม้มปาก ตาวาววับด้วยความไม่พอใจ
อนิรุทธิ์รีบบอกต่อ “แต่เขาก็ดีนะ...บอกให้คุณพาผมขี่ม้าชมอาณาเขตโดมทอง”
“อยากจะอวดน่ะซิ”
วิรงรองยิ่งหมั่นไส้ พูดพลางเดินออกไปอนิรุทธิ์ตาม
บริเวณชายทะเลแลเห็นเกลียวคลื่นม้วนตัวเข้าสู่ฝั่ง ขณะที่วิรงรองขี่ม้าพารุทธิ์ไปตามหาดทราย พลางคุยกันไปด้วยสีหน้าแจ่มใส ก่อนจะขี่ม้ามาชมน้ำตกสวยในบริเวณป่าละเมาะ วิรงรองกับอนิรุทธิ์ลงจากม้าชวนชี้ชม กล้วยไม้ป่าที่ขึ้นบนคาคบไม้ดูสวยเหมือนภาพวาด แล้วลัดเลาะไปดูน้ำตก
สักครู่ต่อมา วิรงรองพาอนิรุทธิ์ชมทุ่งหญ้าเชิงเขา จนในที่สุดก็มาถึงทุ่งพลับพลึง อนิรุทธิ์มองด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ยังกับเขาปลูกไว้ต้อนรับวิแน่ะ”
“ใครที่ไหนเขาจะทำอย่างนั้น นี่วิคิดเองนะ เพราะถ้าถาม ก็คงไม่มีใครบอก...ท่านเจ้าของบ้านคงปลูกเพื่อเป็นที่ระลึกถึงภรรยาน้อย”
อนิรุทธิ์หันมามอง
“ก็ที่เคยเล่าให้ฟังไง ว่าท่านเจ้าคุณสรรักษ์ มีภรรยา 2 คน ภรรยาน้อยชื่อคุณพลับพลึง!
อนิรุทธิ์พยักหน้าช้าๆ สายตามองดอกพลับพลึงที่โอนเอนไปมาตามสายลมเย็น
“ลองปลูกไว้ขนาดนี้ แสดงว่าท่านคงรักคุณพลับพลึงมาก...ชักอยากเห็นหน้าคุณพลับพลึงเสียแล้วซิ”
วิรงรองชี้หน้าตัวเอง “นี่ไง”
อนิรุทธิ์มองวิรงรองงงๆ ขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งขรึม
“จริง! เพราะวันที่ท่านผู้หญิงเห็นหน้าวิครั้งแรก ท่านตะโกนไล่ลั่นเลยว่าออกไป นังพลับพลึง”
เสียงหัวเราะของรุทธิ์ค่อยๆ หายไป สีหน้าจริงจังขึ้นขณะมองเพื่อนสาว
“จริงหรือ”
“ก็บอกแล้วว่าจริง”
“แล้วคนอื่นว่าไง”
“ไม่มีใครว่าไง นอกจากเชื่อว่าท่านผู้หญิงเพ้อ...เพราะไม่มีใครเคยเห็นแม้แต่รูปของคุณพลับพลึง”
“งั้นท่านก็คงจะเพ้อจริงๆ”
“วิก็อยากจะคิดอย่างนั้น แต่มีอะไรบางอย่างในดวงตา..ในน้ำเสียงท่านที่ทำให้วิลังเล”
“เฮ้ย! วิคงไม่คิดว่า...”
วิรงรองถอนใจ “คืนก่อนที่วิจะมาที่โดมทอง...วิครึ่งหลับครึ่งตื่นว่ามาที่นี่...แล้วก็มีผู้ชายคนนึงเรียกวิว่าพลับพลึง”
อนิรุทธิ์เกาหัวเลยทีเดียว พูดขำๆ “ตายละวา นอกจากท่านผู้หญิงซึ่งเป็นคนแล้ว ยังมีผีที่เข้าใจผิดอีก”
“ไม่ขำเลยนะรุทธิ์”
อนิรุทธิ์มีสีหน้าเจื่อนลง “ขอโทษ..ผมไม่อยากเห็นคุณจริงจังกับเรื่อง…เอ้อ…”
วิรงรองต่อให้ “บ้าๆ”
อนิรุทธิ์เสียงอ่อยๆ “ยังไม่ได้พูดอย่างนี้สักหน่อย”
วิรงรองเสยผมที่ปลิวตามลม ขณะมองไปข้างหน้า “ที่ประหลาดก็คือ โดมทองในความฝันเหมือนกับความจริงไม่มีผิดเพี้ยน...ทั้งๆ ที่วิไม่เคยเห็นมาก่อน”
อนิรุทธิ์เริ่มมองเพื่อนรักท่าทางกลุ้มๆ
“ยังมีอีก...”
วิรงรองหันกลับมาสบตาอนิรุทธิ์ด้วยสีหน้าจริงจัง ขณะเล่าเรื่องประหลาดในโดมทองต่อ
ด้านแสงแขเปิดประตูออกมานอกห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ด้วยสีหน้าเบื่อสุดขีด โอบอ้อมซึ่งยืนรออยู่รีบตรงมาหา
“คุณแขคะ”
“โอ๊ย เบื่อ!...หลับยากหลับเย็นเหลือเกิ๊น นี่ขนาดฉันมาเฝ้าวันเดียวยังอ้วกจะแตก ไม่รู้พี่อุษาทนอยู่ได้ยังไง”
“มีแขกมาหา แม่วิรงรองค่ะ” โอบอ้อมรายงาน
“ช่างหัวมัน ...” แสงแขชะงัก “ใคร”
“คงเป็นเพื่อนกันมั้งคะ โอ๊ย คุณลบน่ะต้อนรับขับสู้อย่างดี สั่งให้คุณอุษาเตรียมอาหารต้อนรับเลยล่ะค่ะ”
แสงแขหมั่นไส้เต็มที่ “แล้วพี่อุษาก็คงงกๆ รีบทำให้ละซี...คนอะไร้ไร้ศักดิ์ศรี”
“เพื่อนผู้ชายค่ะ”
แสงแขหันมาจ้องโอบอ้อมเขม็ง สาวใช้ผู้สอพลอยิ้มเจื่อนๆ
“นังโอบ”
โอบอ้อมจ๋อยๆ “ขา...”
“ทำไมไม่เล่าให้หมดทีเดียว ...เก็บไว้ทีละขยักสองขยัก น่ารำคาญ ...พี่อุษาอยู่ที่ไหน”
“ก็อยู่ในครัวน่ะซีคะ”
แสงแขเดินไปอย่างหงุดหงิด
ส่วนในครัวฝรั่งในตึกอุษาและอุไรกำลังเตรียมอาหารกันอยู่ แสงแขเดินเข้ามา
“ทำไมถึงต้องรับใช้มันงกๆ แทนที่จะไปช่วยเปลี่ยนเราเฝ้าคุณย่าบ้าง”
อุษามองมาแว่บหนึ่ง “อ้าว! ก็ไหนอยากเฝ้าไม่ใช่เรอะ”
“ใครจะทนเฝ้าได้ทั้งวันทั้งคืน แขไม่ใช่พี่อุษานี่! ใครสั่งอะไรก็ก้มหน้าก้มตาทำ”
อุษาหันมามองแสงแขเต็มตา “พี่ทำตามคำสั่งของคุณลบ”
“แต่ไอ้คนนั้นมันเป็นแขกของนังวิรงรอง”
“เอามั้ยล่ะ พี่จะบอกคุณลบว่า เธอสั่งไม่ให้ทำ”
แสงแขเม้มปาก
“ไปอยู่กับคุณย่าเถอะ เดี๋ยวท่านตื่นมาไม่เห็นเธอก็โมโหหรอก”
แสงแขหงุดหงิด ระเบิดเสียงออกมา “โอ๊ย...ย...ย”
ฟากวิรงรองขี่ม้าพาอนิรุทธิ์เที่ยวชมรอบๆ คฤหาสน์ จนมาถึงโรงเก็บรถม้า
“นี่ไง”
วิรงรองลงจากม้าเช่นเดียวกับอนิรุทธิ์ หญิงสาวมองลอดเข้าไปตามรอยแตก
“รถม้าอยู่ในนั้น”
อนิรุทธิ์ทำตาม แลเห็นรถม้าเก่าๆ หมดสภาพอยู่ข้างใน
“คันนั้นน่ะหรือ”
“ใช่!”
“เท่าที่เห็น...มันไม่มีทางที่จะ...”
อนิรุทธิ์พูดไม่ทันจบคำ 2 คนชะงัก ด้วยเสียงม้าร้องราวกับตกใจ สองคนหันไปมอง เห็นม้า 2 ตัว ทำท่าตื่นตะกุยตะกายเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
2 คนรีบเข้ามาใกล้ พยายามจะทำให้ม้าสงบ
“ระวังนะวิ”
จังหวะนี้สมขับรถกอล์ฟเข้ามา โดยมีคนงาน 2 คนนั่งมาด้วย
“ผมจัดการเองครับ”
สมและลูกน้องช่วยกันปลอบจนม้าสงบ แต่ม้าดูพยศและตื่นตกใจจนน่ากลัว
“อยู่ดีๆ ก็ทำท่าเหมือนตกใจอะไรขึ้นมา”
“คุณหนูเอารถกอล์ฟไปเถอะครับ...ผมจะเอาเจ้า 2 ตัวนี่ไปเก็บ”
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะลุง ไป รุทธิ์”
สองคนเดินตรงไปที่รถกอล์ฟ
ครู่ต่อมาวิรงรองขับรถมาจอดที่หน้าตึก วิรงรองเบือนหน้ามามองเพื่อน
“พูดอะไรบ้างซิ !
อนิรุทธิ์เกรงๆ ใจอยู่ “ผมไม่รู้ว่าจะพูดอะไร”
“พูดว่าวิบ้าก็ได้”
วิรงรองงอนหน้าหงิกหน้างอลงรถมา
อนิรุทธิ์รีบตามลงมาง้อทันที อย่างสนิทสนม “ผมไม่ได้ว่าอย่างนั้นสักหน่อย...ดีกันนะ”
วิรงรองหันหน้าหนีไปอีกทาง โดยมีอนิรุทธิ์ง้องอนผสมล้อเลียนกันขำๆ
อดิศวร์ยืนมองอยู่ที่ประตู ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เห็นว่าอนิรุทธิ์พูดอะไรบางอย่างจนวิรงรองหัวเราะออกมาได้แล้วตีแขนอนิรุทธิ์เพี๊ยะ
อนิรุทธิ์รวบแขนวิรงรองเอาไว้ ทั้ง 2 ท่าทางสนิทสนมกันมากๆ
“อาหารพร้อมแล้ว” อดิศวรเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังมาก
2 คนชะงัก หันไปมอง อดิศวร์หันหลังเดินกลับเข้าไปแล้ว
“ท่าทางเหมือนจะโกรธเราหรือเปล่า”
“โกรธเรื่องอะไรล่ะ”
“นั่นซิ”
วิรงรองเดินนำอนิรุทธิ์เข้าบ้าน
วิรงรองเดินนำอนิรุทธิ์เข้ามาในห้องรับประทานอาหาร แล้วต้องมีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเห็นแต่อุษากำลังดูแล ให้อุไรจัดโต๊ะ
“เชิญค่ะ” อุษาทักทาย
วรงรองแนะนำให้รู้จักกัน “รุทธิ์...นี่คุณอุษา...คุณอุษาคะ นี่อนิรุทธิ์เพื่อนของวิ”
อุษายิ้มให้อย่างสุภาพขณะที่รุทธิ์ก้มศรีษะให้นิดๆ
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณอุษาครับ”
“เช่นกันค่ะ...เอ้อ เชิญตามสบายนะคะ” อุษาหันมาทางอุไร “อุไร...คอยดูคุณทั้ง 2 คนด้วยนะ”
“ค่ะ”
อุษาขยับจะเดินออกไป วิรงรองเรียกไว้
“เดี๋ยวค่ะ นี่จะให้เราทานกันสองคนหรือคะ”
“พี่ทานเรียบร้อยแล้ว...จะไปเปลี่ยนเวรให้แสงแขออกมาพักบ้าง”
อุษาเดินออกไป อุไรเลี่ยงเข้าไปในครัว สองคนลงนั่ง
“ดีเหมือนกัน จะได้คุยกันตามสบายให้หายคิดถึง” เพื่อนชายผู้มาเยือนบอก
วิรงรองจ้องมองอนิรุทธิ์เขม็ง แต่อีกฝ่ายกลับทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ลงมือกินอาหาร
“อร่อยมั้ย”
“มาก......”
“ฝีมือคุณอุษา”
“บ้านนี้มีแต่คนแปลกๆ อย่างที่วิบอกจริงๆ ด้วย...บรรยากาศบ้านก็ทึมๆ มึนๆ พูดจริงๆ เลยนะ คุณไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่หรอก”
“วิก็ไม่ได้อยากอยู่เล้ย”
อนิรุทธิ์มองเขม็ง “แล้วทำไมถึงอยู่ล่ะ กลับกรุงเทพฯด้วยกันวันนี้มั้ย”
วิรงรองส่ายหน้า “ยังกลับไม่ได้”
“ทำไม” อนิรุทธิ์งง
นัยน์ตาวิรงรองเหมือนพยายามหาข้อแก้ตัวครู่หนึ่ง “คือ...วิเกรงใจคุณป้าสุรภีน่ะ ท่านอุตส่าห์หางานให้ อีกอย่าง” สุ้มเสียงและสีหน้าเริ่มเศร้าลงขณะพูดประโยคต่อมา “วิไม่อยากเจอ...พิชญ์”
อนิรุทธิ์เข้าใจความรู้สึกทันที ยื่นมือมาจับมือวิรงรองไว้อย่างปลอบโยน
“ผมขอโทษ”
จังหวะนี้โอบอ้อมทำลับๆ ล่อๆ มาแอบดูสองคนตามคำสั่งแสงแข ถึงกับชะงักเขม้นมอง ยกมือปิดปาก
“ไม่เป็นไรค่ะ...ทานต่อเถอะ”
โอบอ้อมค่อยๆ ย่องออกไป 2 คนกินกันต่อเงียบๆ
พอได้ฟังความจากบ่าวจอมสอพลอแสงแขถึงกับชะงัก
“ถึงขนาดจับมือถือแขนกันเลยเรอะ”
“ค่ะ ขนาดโอบเห็นยังอ๊าย...อาย แทบจะแทรกแผ่นดินหนีเลยละค่ะ ผู้หญิงอะไรไม่รักนวลสงวนตัว ต๊าย...ป่านนี้ไม่รู้ทำอะไรไปถึงไหนแล้ว” โอบอ้อมใส่ไฟชุดใหญ่
“แสดงว่านังคนนี้มันคิดจะจับปลา 2 มือ”
“ฟ้องคุณลบเลยค่ะ”
“ฟ้องแน่ เราต้องโจมตีมันให้หายใจหายคอไม่ทันเลย ....โอบ”
“ขา...”
“คืนนี้แกไปเก็บดอกพลับพลึงมา”
โอบอ้อมสะดุ้ง “ที่...ที่...ทุ่งน่ะเหรอคะ”
“เออ! ก็จะที่ไหนเสียอีกล่ะ”
“แต่...แต่พอมันมืดแล้วก็เงียบยังกับป่าช้า”
“เรื่องมาก มืดก็เอาไฟฉายไป เงียบแกก็ร้องเพลง...แค่นั้นก็ไม่มืดไม่เงียบ”
“แต่โอบกลัว..ว...ว..ผี”
“งั้นก็ชวนผีไปเป็นเพื่อน! ไปได้แล้ว! ฉันจะไปฟ้องคุณลบ”
แสงแขเดินออกไป โอบอ้อมตามติด
อดิศวร์ ศิโรดม อยู่ในห้องทำงาน และกำลังนั่งทำงานอยู่ ขณะมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใคร”
“แขเองค่ะ”
“เข้ามาสิ”
ประตูเปิดออก แสงแขเดินเข้ามาแล้วปิดประตู
“คุณย่าเป็นยังไงบ้าง”
“ท่านสบายดีค่ะ...เมื่อคืนก็นอนหลับสบาย...ไม่มีฝันร้าย”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วทำท่าจะทำงานต่อ
“เอ้อ...คุณลบคะ”
ชายหนุ่มรูปงามเงยหน้ามอง เป็นเชิงถาม
“ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องของแข...แต่แขทนให้เกิดเรื่องน่าอับอายในบ้านไม่ได้”
อดิศวร์เอนหลับพิงพนัก “นั่งซิ”
“คืออย่างนี้ค่ะ...เมื่อกี้โอบมันเดินผ่านไปที่ห้องทานข้าว...”
อดิศวร์ยังคงมีสีหน้านิ่งสนิท
“แล้ว...แล้วก็เห็นวิรงรองกับแฟนของเขานั่งจับมือ ส่งสายตากัน...ก็เลยตกอกตกใจรีบมาบอกแข...”
อดิศวร์สวนขึ้น “มันเรื่องส่วนตัวของเขา ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พี่จะทำงาน”
แสงแขไหว้อย่างชดช้อยอ่อนหวาน ทำหน้าสำนึกผิด “แขขอประทานโทษค่ะ...ที่นำเรื่องไม่สบายใจมาเล่าให้คุณลบฟัง ! แขขอตัวไปดูแลปรนนิบัติคุณย่าต่อนะคะ”
อดิศวร์พยักหน้า
แสงแขลุกขึ้น พอหันหลังเดินออกไป แล้วหยุดยิ้มด้วยสีหน้าสะใจ
ด้านวิรงรองพาอนิรุทธิ์เดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ที่มีรูปสาแหรกท่านเจ้าคุณ สองคนมองรูปบรรดาบรรพบุรุษแต่ละคนเหมือนจะมองมาที่ทั้งสองเป็นจุดเดียวด้วยแววตาราวกับมีชีวิต อนิรุทธิ์ลูบแขนตัวเอง
“ขนลุกเลยนะเนี้ย...ท่าทางแต่ละท่านจะไม่ค่อยชอบหน้าผม”
“ไหนเมื่อกี้ว่าวิคิดไปเองไง”
“ตอนนี้ผมก็กำลังคิดไปเองเหมือนกัน”
อนิรุทธิ์เบือนหน้าเลยเรื่อยมาหยุดที่ภาพท่านผู้หญิงสรรักษ์วัยสาว พร้อมกับชี้ที่รูป
“ท่านนี้ดูดีที่สุด สมัยมีชีวิตอยู่คง...”
วิรงรองสวนขึ้นมา “ตอนนี้ก็ยังมีชีวิต”
อนิรุทธิ์ร้อง “ฮ้า”
“รูปท่านผู้หญิงตอนสาวๆ ไง”
อนิรุทธิ์หันไปมองรูปอีกที “เฮ้ย! สวยขนาดสาวๆ สมัยนี้ทำอะไรไม่ได้เลยนะเนี้ย”
“ตอนนี้ก็ยังมีเค้าสวยมาก”
“สวยขนาดนี้ สามีไม่น่ามีเมียน้อยเลย แสดงว่าถ้าเมียน้อยไม่สวยมากๆ ก็ต้องดีมากๆ...ถึงทำให้ท่านเจ้าคุณว่อกแว่กได้”
อนิรุทธิ์หันมามองจ้อง วิรงรองงง
“อะไร”
“ท่านผู้หญิงเรียกวิว่า พลับพลึงใช่ไหม”
“ใช่! วิถึงได้ พยายามจะหารูปคุณพลับพลึงไงล่ะ”
“มันต้องอยู่ที่ใดที่นึงใน “โดมทอง” นี่” อนิรุทธิ์มั่นใจ
“วิก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน! เผลอๆ อาจจะอยู่บนห้องเก็บของที่ยอดโดมก็ได้”
“อย่าบอกนะว่า...”
วิรงรองไม่ตอบ สบตาอนิรุทธิ์ แล้วยิ้มแบบแน่วแน่
สักครู่หนึ่ง วิรงรองพาอนิรุทธิ์มาถึงหน้าห้องทำงานอดิศวร์ แล้วเคาะประตูเบาๆ
“เข้ามา”
วิรงรองค่อยๆ เปิดประตูออกแล้วยื่นหน้าเข้าไป
“รุทธิ์จะกลับแล้วค่ะ...เขามาลาคุณอดิศวร์”
“อ้าว! ก็พาเข้ามาซิ”
วิรงรองเปิดประตูกว้างขึ้น แล้วเบี่ยงตัวให้รุทธิ์เดินเข้าไป ขณะที่อดิศวร์ลุกเดินมายิ้มนิดๆ เหมือนใจดี
“จะกลับแล้วหรือ”
“ครับ ขอบคุณคุณอดิศวร์มากที่กรุณาให้วิพาเที่ยวโดมทอง แถมยังเลี้ยงข้าวกลางวันอีก”
“จะให้เลี้ยงมื้อเย็นอีกมื้อก็ได้นะ” อดิศวร์ว่า
วิรงรองมองอดิศวร์อย่างขวางหูขวางตา ในท่าทางที่เสแสร้งนั้น
“เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่าครับ...ตราบใดที่วิยังอยู่ที่โดมทอง...ผมคงได้มารบกวนคุณอดิศวร์อีก”
“เอาเลย! ผมอนุญาต”
“ขอบคุณมากครับ เลยลาคุณอดิศวร์เลย”
อดิศวร์รับไหว้ อนิรุทธิ์เดินตามวิรงรองออกไป
สีหน้าอดิศวร์ซึ่งระบายยิ้มนิดๆ ค่อยๆ กลับเคร่งขรึมลง
วิรงรองเดินมาส่งอนิรุทธิ์ที่รถ ตรงหน้าตึก อนิรุทธิ์มองไปทางประตูซึ่งสมยืนเปิดคอยแว่บหนึ่ง
“ตาลุงนั่นแกรู้ได้ยังไงว่า ผมจะกลับ”
“ก็บอกแล้วว่าคนที่นี่มีอะไรแปลกๆ”
อนิรุทธิ์เปิดประตูรถ “ผมไปล่ะ จะแวะไปรายงานคุณว่า ลูกสาวสบายดี”
วิรงรองพยักหน้า “ขอบใจ...แต่ไม่ต้องเล่าเรื่องแปลกๆ ให้ท่านฟังนะเดี๋ยวจะไม่สบายใจ”
“รู้แล้วล่ะน่า...แล้วจะมาเยี่ยมอีก”
อนิรุทธิ์พูดพลางขึ้นรถ วิรงรองโบกมือให้
“ขอบใจนะ...รุทธิ์”
อนิรุทธิ์โบกมือตอบแล้วขับรถออกไป ขณะที่วิรงรองมองตามจนรถลับตา
อดิศวร์เดินออกมา
“ท่าทางจะอาลัยอาวรณ์มาก”
วิรงรองหันขวับมามองอย่างโกรธๆ อดิศวร์ทำหน้าตาย
“ทำไม...ฉันพูดอะไรผิดหรือ”
วิรงรองแดกดัน “คุณน่ะทำอะไรก็ไม่มีวันผิดหรอก! แต่ฉันมันตรงกันข้าม ไอแค็กเดียวยังผิดเลย”
สมปิดประตู แล้วขี่จักรยานอ้อมไป
“แล้วไอ้ที่นั่งกินข้าวกันไป จับมือถือแขนหยอกล้อกันไปนั่นน่ะผิดหรือเปล่า”
วิรงรองไม่พอใจมาก “คุณแอบดูฉัน”
“ไม่จำเป็น...ฉันอยู่ของฉันเฉยๆ”
วิรงรองต่อปากทันที “แล้วบรรดาบริวารก็คอยสอดแนมมารายงาน”
“ถ้าเธอไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียด ก็ไม่มีใครเขามารายงานฉันหรอก”
วิรงรองเยาะ “จริงหรือคะ หากเป็นไปได้ ฉันว่าบรรดาบริวารของคุณก็คงเข้าไปสอดแนมในห้องฉันด้วยแล้วละ”
วิรงรองเดินเลี่ยงจะเข้าบ้าน
“บางที ฉันก็เห็นเอง” อดิศวร์บอก
“พวกคุณมันนัยน์ตาหาเรื่อง”
“แล้วเธอล่ะ! ที่เทียวได้สืบสอดแนมไปทั่วบ้านฉันน่ะ เขาเรียกว่าอะไร”
“ลุงสมฟ้องอีกล่ะซิ”
“โทษเขาไม่ได้! เพราะฉันสั่งให้เขาคอยเดินตรวจดูบริเวณบ้าน แล้วเธอออกไปให้เห็นเอง”
วิรงรองเม้มปาก “ฉัน ...” แล้วอึ้งไป
อดิศวร์เยาะ “เจอผีอีกล่ะซี”
วิรงรองสะบัดหน้า แล้วเดินเข้าบ้าน ถูกอดิศวร์ดึงแขนไว้
“เธอจะแก้ตัวว่าเจอผีอีกใช่ไหม”
“ฉันไม่ได้แก้ตัว”
“งั้นก็แปลก...คนที่นี่เขาอยู่กันมาตั้งนาน..ทำไมไม่มีใครเห็น”
วิรงรองยิ้มเยาะ “แน่ใจหรือคะ...อย่างน้อยก็ท่านผู้หญิงคนนึงล่ะ”
วิรงรองกระชากแขนกลับแล้วเดินเข้าไป โดยฉวยโอกาสจังหวะที่อดิศวร์ชะงักงันอยู่อย่างนั้น
อดิศวร์เดินตามเข้ามาคว้าแขนวิรงรองไว้ อีกฝ่ายพยายามบิดแขนตัวเองออก
“ปล่อย”
นอกจากจะไม่ปล่อย อดิศวร์จับไหล่วิรงรองไว้ทั้ง 2 ข้าง
“อย่าเอาคุณย่าฉันมาเกี่ยว”
“ฉันพูดความจริง คุณลองไปถามท่านดูซิคะ ฉันว่า คุณเองก็รู้อยู่แก่ใจ”
อดิศวร์อึ้งไป ขณะที่วิรงรองถือโอกาสสะบัดตัว รีบเดินจากไป
อดิศวร์มองตามอย่างหงุดหงิดเช่นเคย
อ่านต่อตอนที่ 4