ไฟหวน ตอนที่ 3
ขณะเดียวกัน ภายในห้องพักคนไข้ที่ไอศูรย์ให้อิ่มอาศัยอยู่ อิ่มยังคงหลับอยู่ และกำลังฝันร้าย ฝันถึงเหตุการณ์ตอนที่อิ่มเห็นสร้อยแทงอุ่นผุดขึ้นมาหลอกหลอน ตามมาด้วยเหตุการณ์ตอนที่อิ่มอุ้มเด็กทารกมาแล้วถูกรถของแขกผกาชนจนสลบไป
นั่นคือความจำสุดท้ายของอิ่มกับเด็กทารกน้อย อิ่มไม่เคยเจอเด็กอีกเลย จึงไม่รู้ว่าเด็กเติบโตและได้กลายเป็นบุปผาไปแล้วในวันนี้ ภาพจำในใจของอิ่ม มีแต่ภาพเด็กทารกเพียงอย่างเดียว
สักครู่หนึ่งอิ่มสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ แล้วมองสำรวจไปรอบๆ งงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วเลยตัดสินใจเดินออกจากห้องไป
อิ่มเดินงงๆ มาตามทางในโรงพยาบาล แลเห็นหมอ พยาบาล คนไข้ทั่วไป เดินกันอยู่ขวักไขว่ อิ่มเดินเข้าไปหาคนเหล่านั้น
“แก...แก...เห็นหลานฉันไม๊”
คนที่ถูกถาม ส่ายหน้าปฏิเสธ มองอิ่มอย่างแปลกๆ อิ่มไม่สนใจ เดินไปถามกับอีกคน
“แกเห็นหลานฉันไม๊ หลานฉันเพิ่งเกิดได้แค่วันเดียว ตัวยังแดงๆ อยู่เลย ตัวแค่นี้เอง” อิ่มทำมือให้ดูประกอบ
คนที่อิ่มถามก็ส่ายหน้าไม่เห็นอีก อิ่มทำหน้าขัดใจ ออกเดินหาหลานต่อไป
อิ่มเดินมาจนถึงแผนกสูติฯ แลเห็นแม่เด็กคนหนึ่งกำลังอุ้มเด็กทารกอยู่ อิ่มมองเขม็งไปยังเด็กทารกที่อยู่ในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่
อิ่มตาโต เข้าใจว่าเป็นหลานตัวเองที่หายไป “หลานฉัน”
แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด อิ่มก็วิ่งเข้าไปกระชากเอาตัวเด็กทารกนั้นมาจากอ้อมอกแม่ แล้ววิ่งหนีไปเลย แม่เด็กตกใจร้องโวยวาย
“ช่วยด้วยค่ะ ช่วยด้วย คนขโมยเด็ก”
แม่เด็กวิ่งตามอิ่มไป แต่กระย่องกระแย่งเต็มทีเพราะเจ็บแผลคลอดอยู่เลยล้มลง พยาบาลวิ่งออกมาดูเหตุการณ์
“ช่วยฉันด้วยค่ะ มีคนขโมยลูกฉันไป วิ่งไปทางโน้น”
แม่เด็กชี้ไปทางที่อิ่มวิ่งหนีไป พยาบาลส่วนหนึ่งวิ่งตามอิ่มไป พยาบาลอีกส่วนดูอาการแม่เพิ่งคลอด
อิ่มวิ่งอุ้มเด็กหนีมา พอหันไปเห็นว่าพยาบาลวิ่งตามมา อิ่มก็ตัดสินใจวิ่งไปซ่อนหลังพุ่มไม้ ทำให้พยาบาลไม่เห็นวิ่งเลยไป พอพยาบาลวิ่งผ่านไป อิ่มก็อุ้มเด็กวิ่งไปอีกทาง คนละทางกับพยาบาล
ครู่ต่อมา อิ่มวิ่งอุ้มเด็กมา พอเจอคนอื่น อิ่มก็หยุดวิ่ง แล้วพยายามทำหน้าให้เป็นปกติเรียบเฉย เหมือนไม่ได้ทำอะไรผิดมา แล้วอิ่มก็ทำท่าว่าจะเดินออกนอกประตูโรงพยาบาล กำลังจะออกนอกโรงพยาบาลได้อยู่แล้วเชียว พอดีเด็กเกิดร้องไห้จ้าขึ้นมา อิ่มเลยชะงัก แล้วพยายามกล่อมให้เด็กหยุดร้อง
“โอ๋ๆๆๆ อย่าร้องนะลูก เดี๋ยวป้าจะพากลับไปหาแม่ แม่อุ่นไง จำได้ไม๊ หนูเป็นลูกแม่อุ่นไง”
แต่เด็กกลับยิ่งร้องไห้จ้าหนักกว่าเดิม อิ่มเริ่มจะคลั่งอีกพยายามแกว่งเด็กแรงขึ้นเพื่อที่จะให้เด็กหยุดร้อง แต่ยิ่งแกว่งเด็กก็ยิ่งร้อง พยาบาล 2 คนที่วิ่งตามหาอิ่มอยู่ก็วิ่งเข้ามา
พยาบาล 1 ร้องเรียก “หยุดนะ อย่าทำอะไรเด็กนะ”
“ฉันเปล่าทำอะไรเด็ก นี่มันหลานฉันแท้ๆ ฉันจะทำร้ายมันได้ยังไง”
พยาบาลไม่เชื่อ พุ่งเข้าไปยื้อยุดเด็กจากอิ่ม จนอิ่มโมโห ผลักพยาบาลกระเด็นไป แล้วก็อุ้มเด็กวิ่งออกจากโรงพยาบาลไป
อิ่มยังคงวิ่งอุ้มเด็กออกมา แต่แล้วก็ปะทะเข้ากับไอศูรย์อย่างจังจนอิ่มเซไป ไอศูรย์รีบคว้าตัวไว้ ทำให้อิ่มไม่ล้ม ไอศูรย์มองหน้าอิ่ม
“อ้าว..คุณ...” ไอศูรย์มองสิ่งที่อิ่มอุ้มมาเห็นเป็นเด็กทารก
ไอศูรย์ขมวดคิ้วทันที “ไปเอาเด็กที่ไหนมาเนี่ย...”
อิ่มไม่ตอบ พยายามบิดข้อมือให้หลุดจากการจับกุมของไอศูรย์ให้ได้ แต่ไอศูรย์ก็ไม่ยอมปล่อย ยึดข้อมืออิ่มไว้แน่น
“นี่หลานฉัน หลานฉันเอง”
แต่ไอศูรย์ไม่เชื่อ และไม่ยอมปล่อยอิ่ม พยาบาล 2 คนวิ่งเข้ามา
“คุณหมอจับไว้ค่ะ อย่าปล่อยเชียวนะคะ คุณคนนี้ขโมยเด็กมาจากแม่เขาค่ะ”
ไอศูรย์จ้องหน้าอิ่มเขม็ง ไม่อยากจะเชื่อว่าอิ่มทำเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ แต่อิ่มส่ายหน้าเป็นทำนองว่า ไม่ได้ขโมย
“ฉันไม่ได้ขโมย นี่มันหลานฉัน หลานฉันจริงๆ”
อิ่มสีหน้าเชื่อมั่นอย่างนั้นจริงๆ ไอศูรย์นึกเวทนาอิ่มจับใจ
ด้านบุปผากำลังจัดข้าวของเข้าที่ เห็นบุปผาเปิดกล่องที่มีกุญแจล็อคแน่นหนาออกดูราวกับว่าบุปผาได้เอาของมีค่าทุกอย่างมาจากหอโคมแดงหมดเลย ไม่ได้คิดจะกลับไปอีกแล้ว
ภายในกล่อง แลเห็นของจำพวกเครื่องประดับมีค่าที่ได้มาจากแขกที่เคยใช้บริการเธออยู่มากมาย และมีเงินปึกหนึ่ง
บุปผาตรวจความเรียบร้อยเสร็จก็ล็อคแน่นหนาอย่างเก่า แล้วหันไปเห็นพวกขวดน้ำหอมที่เอามาด้วย บุปผายิ้ม หยิบขึ้นมาจะเอามาฉีดใส่ตัวอย่างเคย แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ควร เดี๋ยวคนอื่นจับได้ว่าเด็กที่เพิ่งมาจากบ้านนอกมีน้ำหอมใช้ได้ยังไง
บุปผาจำใจโยนขวดน้ำหอมกลับลงในกระเป๋าเสื้อผ้าล็อคทุกอย่างแน่นหนา เช็คความเรียบร้อยซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ก่อนจะเอากระเป๋าซุกใต้เตียง ในจุดที่บุปผาคิดว่าคนไม่ค่อยสังเกต แล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ไม่นานต่อมาบุปผาเดินสำรวจบริเวณบ้านเทพบริบาลอย่างสนใจ แล้วชะงักเมื่อเห็นมัทนากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในสนามหญ้า บุปผาอิจฉาแอบเบ้ปากใส่มัทนา แล้วนึกอะไรขึ้นได้ รีบปรับสีหน้าแล้วเดินเข้าไปหามัทนาด้วยท่าทีเรียบร้อย
“อ้าว..บุปผา มีอะไรรึเปล่าจ๊ะ”
“ไม่มีค่ะคุณหนู แต่ตอนอยู่ที่บ้านนอก บุปผาต้องทำงานตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางจนดึกทุกวัน บุปผาเลยไม่อยากอยู่เฉยๆ คุณหนูมีงานอะไรจะใช้บุปผาไม๊คะ” บุปผาฉอเลาะ
“ยังไม่มีหรอกจ้ะ ต้องรอให้คุณแม่กลับจากไปธุระที่เชียงใหม่ก่อน คุณแม่คงจะจัดสรรหน้าที่ให้บุปผาเอง”
บุปผาพยักหน้ารับรู้ แล้วมองว่ามัทนาอ่านอะไรอยู่
“คุณหนูท่าจะเรียนเก่งนะคะ มีแต่หนังสือฝรั่งทั้งนั้น”
มัทนายิ้มให้ “ฉันชอบเรียนหนังสือจ้ะ รู้สึกว่ามีอะไรให้เรียนรู้มากมายในโลกนี้ บุปผาล่ะ ได้เรียนหนังสือถึงชั้นไหน”
“ก็เรียนมาแค่พออ่านออก เขียนได้ เท่านั้นแหละค่ะ พ่อกับแม่บอกว่าคนโง่ๆ อย่างบุปผา เรียนไปก็เท่านั้น ออกมาช่วยกันทำนาทำไร่ดีกว่า”
มัทนามองบุปผาจับสังเกต “แต่บุปผาท่าทางไม่เหมือนคนทำไร่ไถนาเลยนะ ผิวออกจะสวยผ่องทีเดียว”
บุปผาชะงักไปนิดหนึ่ง แต่ยังไม่ทันจะตอบอะไร สวิงก็เข้ามา
“คุณหนูขา คุณหญิงกลับมาแล้วค่ะ”
มัทนายิ้มดีใจ จะวิ่งไป แล้วนึกได้หันกลับมาหาบุปผา จนบุปผารีบทำหน้าแบ๊วแทบไม่ทัน
“ไปด้วยกันสิบุปผา ฉันจะได้แนะนำเธอกับคุณแม่”
ไม่นานนัก มัทนาวิ่งเข้ามากอดคุณหญิงมณีอย่างดีใจ
“ดีใจจัง คุณแม่กลับมาสักที”
คุณหญิงมณีกอดมัทนาตอบอย่างรักใคร่
“แล้วธุระที่ไปหาคุณชไม เรียบร้อยไม๊คุณหญิง”
มณีหน้าเปลี่ยนไป ตอบสั้นๆ “ค่ะ”
พอดีคุณหญิงมณีเห็นบุปผาที่ตามมา นั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่ก็ชะงัก มัทนาหันไปมองตามสายตาแม่ก็รีบบอก
“นั่นบุปผาค่ะแม่”
คุณหญิงมณีมองบุปผาเขม็ง ในขณะที่บุปผาทำหน้าแบ๊วใสซื่อยกมือไหว้อย่างนอบน้อม โดยมีมัทนากับนายพลเทพยืนอยู่ตรงกลาง มีสร้อยนั่งห่างออกไป และมองบุปผาอย่างไม่ไว้ใจ
สองคนอยู่ในห้องนอนด้วยกัน นายพลเทพถามขึ้น
“คุณหญิงไม่โกรธใช่ไม๊ที่ผมรับน้องสาวนายสินมันเข้ามาอยู่ในบ้านเพิ่มอีกคนหนึ่งน่ะ”
“ไม่หรอกค่ะ ถ้าเป็นน้องสาวนายสินจริงๆ ก็ดีค่ะ จะได้เข้ามาช่วยกันทำงาน แล้วเดี๋ยวดิฉันจะดูเรื่องเงินเดือนเงินดาวให้เขาบ้าง”
เทพยิ้มแล้วถามต่อ “ตกลงว่าคุณชไมให้ฤกษ์หมั้นลูกมัทกับตาต้นมาเมื่อไหร่จ๊ะ”
มณีตอบด้วยสีหน้าเป็นปกติ “คุณชไมให้พายายมัทกับพ่อต้นขึ้นไปหาที่เชียงใหม่ก่อนค่ะ เธอจะต้องผูกดวงให้เจ้าตัวโดยตรงค่ะ”
นายพลเทพพยักหน้ารับรู้ ไม่ติดใจอะไร ขณะที่คุณหญิงมณีสีหน้าแอบกังวล
ส่วนในครัว สร้อยจดสายตาจ้องมองหน้าบุปผาเขม็ง
“น้องแกจริงๆ เหรอนายสิน”
สินหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง “โธ่..บอกว่าน้องก็น้องสิพี่สร้อย”
สร้อยไม่เชื่อ คว้ามือบุปผามาดู
“เนี่ยเรอะ มือคนทำไร่ทำนา มือไม่ด้าน เล็บก็ยาว บอกฉันมาตามตรงนายสิน นังนี่เป็นเมียแกใช่ไม๊”
สินอึกอัก คิดคำโกหกไม่ทัน บุปผารีบตอบแก้สถานการณ์แทน
“คือว่าฉันหยุดทำนามาพักใหญ่แล้วจ้ะ เพราะพ่อกับแม่คิดจะเอาฉันไปขายซ่อง เขาว่าจะได้เงินดีกว่าทำนา พี่สินรู้เรื่องเข้าก็เลยรีบไปพาตัวฉันมาที่นี่ ก่อนจะถูกขายซ่องน่ะจ้ะ”
สร้อยนิ่งไป เรื่องของบุปผาดูมีน้ำหนักอยู่
“นังสร้อย แกมันขี้ระแวงเกินไปแล้วมั๊ง ไอ้สินมันบอกว่าน้องก็น้องสิ แล้วรูปร่างหน้าตาอย่างนังบุปผานี่มันก็น่าจับขายซ่องจริงซะด้วย แกเลิกสงสัยได้แล้ว” ทับทิมบอก
“เออๆๆๆๆ”
แม้สร้อยจะเชื่อ แต่ก็มีลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ไม่ชอบหน้าบุปผาเอาเสียเลย จ้องหน้าบุปผาเขม็ง บุปผาพยายามทำหน้าเรียบร้อยใสซื่อสุดชีวิต
ด้านไอศูรย์นั่งมองหน้าอิ่มอย่างครุ่นคิด อิ่มมองไอศูรย์ ด้วยแววตาเว้าวอน
“หลานฉันจริงๆนะคุณ มันเพิ่งเกิดได้วันเดียว แต่ตอนเกิดมันไม่ร้อง ฉันก็เลยจะอุ้มมันไปหาหมอ คุณเป็นหมอใช่ไม๊ ช่วยดูอาการให้มันหน่อยสิ ดูให้หน่อยว่าหลานฉันมันเป็นอะไร มันถึงไม่ร้องน่ะ”
“น้าครับ เด็กนั่นไม่ใช่หลานน้าหรอกครับ”
อิ่มกรี๊ดทันที “ทำไมจะไม่ใช่ ต้องใช่สิ ก็ฉันอยู่กับมันตอนมันคลอด ฉันเห็นกับตา ตอนมันออกมาจากท้อง นังอุ่นน่ะ หลานฉันแน่ๆ หลานฉันจริงๆ”
แล้วอิ่มก็ร้องไห้ออกมา
“เอาหลานฉันคืนมานะ เอาหลานฉันคืนมา...”
ไอศูรย์มองแล้วถอนใจด้วยความเวทนา แล้วมองไปที่หน้าห้องทำงาน เห็นหมอปรีชามายืนมองผ่านกระจกห้องเข้ามา
ไอศูรย์พยักหน้ารับเป็นเชิงว่าเห็นหมอปรีชาแล้ว
จากนั้นจึงหันไปพยักหน้าให้พยาบาลเข้ามาคุมตัวอิ่มไว้ ก่อนจะเดินออกไป
ไอศูรย์เดินออกจากห้องมาหาหมอปรีชาที่ยืนรออยู่ที่หน้าห้อง
“คนไข้จำชื่อตัวเองไม่ได้ และแยกไม่ออกระหว่างความจริงกับจินตนาการครับ พี่ปรีชาช่วยดูแลคนรายนี้ให้ผมหน่อยนะครับ” ไอศูรย์เหลียวกลับไปมองอิ่มอีกครั้ง เห็นอิ่มนั่งคอตกอยู่
ไอศูรย์หันกลับมาคุยกับหมอปรีชาต่อ
“ผมว่า..แกน่าสงสารออก จำอะไรไม่ได้อย่างงี้ คงจะหาตัวญาติพี่น้องไม่เจอหรอกครับ แล้วขืนปล่อยแกไป ผมก็กลัวว่าแกจะเป็นอันตรายน่ะครับ”
ปรีชายิ้ม ตบบ่าไอศูรย์ “ต้นใจดีเสมอ เอ้า พี่จะดูแลเคสนี้ให้ต้นอย่างดีที่สุด”
ไอศูรย์ดีใจยกมือไหว้ปรีชา “ขอบคุณครับพี่”
ไอศูรย์หันมองอิ่มอีกครั้งด้วยแววตาเวทนา เห็นอิ่มมองออกอย่างเลื่อนลอย ไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ที่หอโคมแดงเวลานั้น กำพลโมโหหนัก กำลังเอะอะ อาละวาดใส่ผกาเสียงดังลั่น คนอื่นๆ พากันเกร็งไปหมด
“คุณผกาบอกผมมาเดี๋ยวนี้ ว่าบุปผาไปอยู่ไหน”
“ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ”
“ผมไม่เชื่อ ! ว่าคุณผกาจะไม่รู้ว่าบุปผาย้ายไปอยู่ที่ไหน”
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะคุณกำพล บุปผาไม่ได้บอกไว้”
“แล้วคุณผกาติดต่อกับบุปผาได้ไม๊”
ผกาส่ายหน้า “ต้องรอให้บุปผาติดต่อกลับมาเองค่ะ”
“ถ้าบุปผาติดต่อกลับมา คุณผกาโทร.บอกผมด้วย”
ผการับคำ แต่กำพลยังฮึดฮัดขัดใจ มุกเดินเข้ามาเกาะแขนกำพลประจบประแจงยั่วยวน
“บุปผาไม่อยู่ แต่มุกอยู่นะคะคุณกำพลขา”
กำพลหันไปทางมุก มองไล่ตั้งแต่หัวจรดเท้า วกกลับขึ้นมามองหน้าใหม่ แล้วเดินออกไปอย่างไม่แยแส มุกได้แต่ร้องกรี๊ดๆ ด้วยความเจ็บใจและอับอาย
“อีบุปผานะอีบุปผา ขนาดแกไม่อยู่แล้ว แกยังทำฉันเจ็บได้อีก อี๊ๆๆๆ เจ็บใจๆๆๆ”
คนอื่นๆ ต่างเอามืออุดหูกันใหญ่ ผกาส่ายหน้าเหนื่อยใจกับมุกเต็มที
กำพลนั่งหน้าเซ็งรออยู่ในบ้าน เพชรเพิ่งกลับจากที่ทำงานเดินเข้ามา
“อารมณ์เสียอะไรมากำพล”
กำพลส่ายหน้าแบบไม่อยากตอบ
“เอ้า ไม่อยากตอบก็อย่าตอบ”
มีเสียงรถแล่นเข้ามา เพชรเดินไปชะโงกหน้าต่างดูแล้วยิ้ม
“ยายพลอยกลับมาพอดี เดี๋ยวฉันมานะ”
เพชรเดินออกไปรับพลอยที่หน้าตึก แล้วพากันเข้ามา
“พลอย..นี่กำพล เพื่อนพี่เอง”
พลอยยกมือไหว้ กำพลรับไหว้ มองพลอยอย่างสนใจ เพชรรู้สึกสะกิดใจ
“พลอยขอตัวไปทำการบ้านก่อนนะคะพี่เพชร”
“จ้ะๆ ไปเถอะ”
พลอยออกไป กำพลมองตาม ท่าทีสนใจ ถ้าจะแต่งงานก็ต้องเลือกลูกสาวคนดีๆ มีสกุล แต่เรื่องบนเตียงนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“สนใจยายพลอยเหรอ”
“น่ารักดี มีคู่รักรึยังล่ะ”
“เฮ้ยๆ บอกก่อนนะ ห้ามแกทำเล่นๆ กับน้องสาวฉันเป็นอันขาดนะ ไม่งั้นฉันเอาแกตายแน่ ชีวิตนี้ฉันมีกันแค่สองคนพี่น้องกันเท่านั้นนะโว๊ย”
“เออ..รู้น่า...” เพชรมองตามพลอยไปจนลับตา
พลอยเข้ามาในห้อง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อย หยิบหนังสือเรียนออกมา เหมือนว่าจะทำการบ้านจริงอย่างที่บอกเพชร แต่พอเปิดหนังสือที่มีกระดาษคั่นอยู่นั้น แท้จริงแล้วคือรูปถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่ง
รูปถ่ายใบนั้น เป็นรูปถ่ายของเพชรที่ถ่ายคู่กับไอศูรย์สมัยเด็กๆ
แท้จริงแล้วพลอยเองก็ยังตัดใจจากไอศูรย์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดแย่งชิงมาจากมัทนา
มัทนาตาโต เมื่อสวิงมาบอก
“คุณหมอไอศูรย์มาค่ะคุณหนู”
มัทนายิ้มแล้วรีบเดินออกไปทันที สวิงยิ้ม เป็นปลื้มเห็นคุณหนูแสนดีมีความรัก
เย็นนั้น สร้อยสีหน้าตื่นเต้นเช่นกัน
“ต๊าย คุณหมอไอศูรย์มาเหรอ”
บุปผาที่กำลังล้างผักอยู่ ชะงักไปทันที สีหน้าตื่นเต้นแต่ระงับอาการไว้
“ป้าทับทิมมีของว่างอะไรรับแขกบ้างล่ะเนี่ย”
“สาคูไส้หมูกำลังจะเสร็จพอดี”
บุปผารีบอาสา “ให้ฉันยกขึ้นไปรับแขกให้ไม๊จ๊ะ”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวนังสวิงมาก็ลงมาเอาขึ้นไปเสิร์ฟแขกเอง แกเพิ่งมาจากบ้านนอก เดี๋ยวทำอะไรขายหน้าแขก”
บุปผานิ่งงันไป ไม่ชอบสร้อยเอาเสียเลย แต่คิดจะหาทางไปดูหาไอศูรย์ให้ได้
“งั้นฉันขอไปห้องน้ำหน่อยนะจ๊ะ”
สร้อยพยักหน้า ไม่ทันสนใจ เพราะวุ่นวายจัดของว่างต้อนรับไอศูรย์ บุปผาออกไป
มัทนาฟังเรื่องที่ไอศูรย์เล่าจบ มีสีหน้าสลดลง ด้วยความเวทนาอิ่ม
“โถ..ป้าคนนั้นแกคงเสียใจมากนะคะที่หลานหาย ก็เลยเสียสติไป แล้วพี่ต้นพอรู้ไหมคะว่าหลานแกหายไปไหน”
ไอศูรย์ส่ายหน้า “เราไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับป้าคนนี้เลย คงต้องรอให้พี่ปรีชา รุ่นพี่ของพี่ ที่เป็นจิตแพทย์ช่วยดูแลรักษาอาการให้แกจนกว่าจะดีขึ้น ก็อาจจะพูดจากันรู้เรื่องขึ้นได้บ้างน่ะ”
“น่าสงสารจริง งั้นพรุ่งนี้ตอนเย็นมัทเลิกเรียนแล้ว มัทจะแวะไปเยี่ยมคุณป้าคนนี้ดีไม๊คะ”
“ก็ดีเหมือนกันจ้ะ บางที...ถ้ามีใครไปเยี่ยม ไปพูดไปคุยกับแกบ้าง บางที..อาการแกอาจจะดีขึ้นบ้างก็ได้”
“งั้นพรุ่งนี้มัทจะไปค่ะ”
สองหนุ่มสาวมองหน้ากันแล้วยิ้ม ถูกใจกันเป็นอย่างยิ่ง คุณหญิงมณีกับสร้อยแอบมองดูอยู่
คุณหญิงมณียิ้มปลื้มใจ ทุกอย่างดูราบรื่นดังใจ ไม่มีอะไรน่ากังวล
เวลาเดียวกัน บุปผามาแอบมองมัทนานั่งคุยกับไอศูรย์อยู่ บุปผาทำหน้าชิงชังมัทนา แล้วพอบุปผาขยับตัวจะออกจากที่ซุ่มซ่อนตัวไปหาไอศูรย์กับมัทนา
แต่ยังไม่ทันจะเดินไปก็มีมือใครคนหนึ่งโดดเข้าปิดปากบุปผาไว้ บุปผาดิ้นสู้สุดฤทธิ์ แล้วหันไปข่วนหน้าคนๆ นั้นอย่างแรง จนคนๆ นั้นต้องปล่อยมือออกจากปากบุปผาร้องลั่น
“โอ๊ย” เป็นแสงนั่นเอง
บุปผาหันไปมองเห็นเป็นแสง ก็หน้าบูดบึ้งขึ้งโกรธ หน้าแสงมีรอยเล็บบุปผาข่วนเป็นแถบ
“โหย..ล้อเล่นแค่นี้ เล่นกันเสียแรงเลยนะจ๊ะบุปผา”
“ฉันไม่ชอบให้เล่นอย่างนี้ ไม่ชอบให้ใครถูกเนื้อต้องตัว”
“โอ๊ะโอ้ว...หวงเนื้อหวงตัวซะด้วย รู้ไม๊..ยิ่งหวงตัว ผู้ชายยิ่งชอบ บุปผาคงไม่เคยต้องมือชายมาก่อนล่ะสิ”
“ใช่ เพราะฉะนั้นพี่แสงรู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่ามาเล่นอะไรอย่างนี้กับฉันอีก ไม่อย่างนั้นฉันจะฟ้องพี่สิน”
พูดจบบุปผาก็เดินอารมณ์เสียออกไป แสงมองตาม สีหน้ามุ่งมั่น ขณะบอกกับตัวเอง
“ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์เท่าไหร่ ไอ้แสงคนนี้ก็ยิ่งชอบโว๊ย” -----
ขณะที่บุปผาเดินห่างออกมาจากแสง สีหน้ายังโมโหแสงอยู่
“แกรู้จักอีบุปผาคนนี้น้อยเกินไปแล้ว”
บุปผาจะหาทางเข้าไปหาไอศูรย์อีก แต่แล้วสร้อยก็เดินช่วยสวิงถือถาดของว่างจะเอาขึ้นบนบ้าน สร้อยเห็นท่าทางบุปผาก็ขมวดคิ้ว สวิงเดินเลยขึ้นบ้านไป สร้อยกับบุปผาคุยกันสองคน
“แกมาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไหนว่าไปส้วม”
“เอ้อ..ฉันนึกว่าฉันได้ยินเสียงคุณหนูเรียกหาน่ะจ้ะ แต่ฉันคงหูฝาดไป เอ่อ...” มองถาดสำรับของว่างในมือสร้อย “ให้ฉันช่วยนะจ๊ะ”
สร้อยตวัดเสียงใส่ “ไม่ต้อง กลับไปล้างผักในครัวต่อไป๊ อย่าให้ฉันเห็นว่าแกมาสาระแน ด้อมๆมองๆ อะไรอยู่แถวนี้อีก ! ไป”
บุปผาพยักหน้ารับจ๋อยๆ แล้วเดินกลับครัวไป สร้อยมองตาม แววตาไม่ไว้ใจเอาเลย
บุปผาเดินเข้ามาสีหน้าเจ็บใจ
“โฮ้ย อุปสรรคเยอะจริงโว๊ย เอาเถ๊อะ ถึงไม่ได้พบหน้าหมอไอศูรย์วันนี้ แต่วันหน้า...ยังไงอีบุปผาคนนี้ก็ต้องได้เจอหมอไอศูรย์แน่”
บุปผาสีหน้ามั่นใจมาก
ตกกลางคืนไอศูรย์กลับมาจากบ้านเทพบริบาล เดินเข้ามาในห้องโถง คุณหญิงแจ่มจันทร์ทัก
“มีคนไข้ด่วนอีกเหรอลูก ถึงได้กลับค่ำเชียว”
ไอศูรย์ยิ้ม “เปล่าครับ ผมแวะไปหาน้องมัทมาครับ”
แจ่มจันทร์ยิ้มชอบใจ “น้องน่ารักใช่ไม๊”
ไอศูรย์ยิ้มเขิน “ครับ”
แจ่มจันทร์พูดจริงจังขึ้น “อาทิตย์หน้าแม่อยากให้ต้นไปเชียงใหม่ด้วยกัน หมอดูที่แม่ไปหาที่เชียงใหม่เขาอยากจะผูกดวงให้ต้นกับหนูมัท ดูฤกษ์พานาทีวันหมั้นให้กับตัวน่ะลูก”
“ได้ครับแม่ เอาทางแม่กับทางบ้านโน้นสะดวกเมื่อไหร่ก็บอกผมล่วงหน้าสักวัน สองวันก็ได้ครับ ผมจะได้สั่งงานที่โรงพยาบาลไว้ก่อน ก็ไปกันได้เลยครับ”
แจ่มจันทร์เยื้อนยิ้ม “ไปอาบน้ำเถอะลูก”
ไอศูรย์พยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นห้องไป คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมมองตามไอศูรย์ไปอย่างชื่นชมและปลาบปลื้ม
“เฮ้อ..เลี้ยงมาแต่เล็กแต่น้อย เผลอแผล็บเดียว กลาย เป็นหมอหนุ่ม และจะแต่งงานซะแล้ว” โฉมว่า
“ฉันดีใจนะที่ตาต้นจะได้แต่งงงานกับเด็กดีอย่างหนูมัท ท่านนายพลเทพกับคุณหญิงมณีเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ ครอบครัวเราจะได้ดองกับครอบครัวของคนดีๆ ฉันก็ถือว่าเป็นบุญอย่างหนึ่งนะ จริงไม๊โฉม”
“จริงค่ะคุณหญิง”
สองนายบ่าวยิ้มชื่นอย่างมีความสุข ไม่สังหรณ์เลยสักนิดว่าครอบครัวคุณหญิงมณีมีเบื้องหลังดำมืดอยู่มากมาย
เวลาเดียวกันนั้นเห็นสร้อยกำลังส่งถ้วยเครื่องดื่มให้คุณหญิงมณีที่หน้าห้อง เพื่อเอาไปให้นายพลเทพดื่มเช่นทุกคืน
“ขอบใจจ้ะสร้อย”
สร้อยส่งให้แล้วก็ยังยืนรออยู่ที่เดิม มองคุณหญิงนิ่งๆ คุณหญิงมณีมองหน้าสร้อยอย่างแปลกใจ แต่ไม่พูดอะไร รับถ้วยเครื่องดื่มมา แล้วเดินเอาไปให้สามีดื่ม นายพลเทพก็รับไปดื่มอย่างคุ้นเคยเหมือนเช่นทุกคืน คุณหญิงมณีรับถ้วยเครื่องดื่มกลับมาจากนายพลเทพ ก้มดูเห็นถ้วยเครื่องดื่มเกลี้ยงสนิทก็ยิ้มอย่างพอใจ เดินเอาถ้วยเปล่ากลับไปส่งให้สร้อยที่ยังยืนรออยู่ที่หน้าห้องอย่างสงบ แล้วเดินออกไปนอกห้อง ปิดประตูห้องลงจนสนิท
สองนายบ่าวอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องนอน คุณหญิงมณีเดินนำสร้อยให้ห่างจากห้องนอนเพราะกลัวนายพลเทพจะได้ยินเรื่องคุยกัน
“มีอะไรรึสร้อย”
“น้องสาวนายสินน่ะสิคะคุณหญิง สร้อยว่าท่าทางไม่น่าไว้ใจเลย สร้อยรู้สึกว่ารูปร่างหน้าตามัน ไม่เห็นเหมือนคนที่เพิ่งมาจากบ้านนอกเลยค่ะ แต่มันว่ามันหยุดทำนามาพักใหญ่แล้ว เพราะพ่อแม่จะเอามันไปขายซ่อง สินรู้เรื่องเข้าก็เลยรีบไปพาตัวมาที่นี่ ก่อนจะถูกขายน่ะค่ะ” สร้อยร่ายยาว
“มันก็เป็นไปได้นี่ แล้วสร้อยติดใจสงสัยอะไรเหรอ” มณีว่า
“นายสินทำงานกับเรามาตั้งนาน ทำไมเราไม่เคยรู้เลยละคะว่ามีน้องสาว น้องสาวจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะคะ”
“ก็เพราะนายสินทำงานกับเรามานานน่ะสิ ฉันถึงไม่คิดว่านายสินมันจะมาโกหกเราเพื่ออะไร”
สร้อยขัดใจที่คุณหญิงมณีไม่ร้อนใจไปด้วย “แล้ววันนี้ตอนที่คุณต้นมาหาคุณหนู สร้อยก็เจอมันมาแอบดูอยู่ด้วยค่ะ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นชอบก๊ล”
“เด็กบ้านนอกน่ะ ก็คงจะอยากรู้อยากเห็นไปตามประสาละ ฉันว่าไม่มีอะไรหรอก แต่ถ้าสร้อยยังไม่ไว้ใจก็คอยตามดูมันหน่อย ถ้ามีอะไรผิดปกติ ค่อยมาบอกฉัน”
“ค่ะ”
สร้อยสงสัยในตัวบุปผาไม่คลาย
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวน ตอนที่ 3 (ต่อ)
ฝ่ายบุปผาเดินย่องเข้ามาตรงโถงบนตึกใหญ่ เหลียวซ้ายแลขวา เห็นว่าไฟในบ้านส่วนใหญ่ปิดมืดหมดแล้ว บุปผามองหาอะไรบางอย่าง
จนเมื่อเห็นโทรศัพท์เครื่องหนึ่งวางอยู่ที่โต๊ะเล็กบุปผายิ้มออกมา
ที่หอโคมแดงเวลาเดียวกัน ทั้ง 6 กำลังล้อมวงคุยกันอยู่
เดือนเอ่ยขึ้น “ฉันอยากรู้จริงจริ๊ง..ว่านังบุปผามันออกไปอยู่ที่ไหนน๊า”
ผกานิ่ง ไม่พูดอะไรเลย
“ฉันว่า..นังนี่มันต้องมีผู้ชายมาหลอกว่าจะเอาไปเลี้ยงดู มันก็หลงเชื่อ เลยเก็บกระเป๋าหนีตามผู้ชายไปแน่ๆ เลย” มุกแดกดัน
“แหม..พี่มุก คนอย่างบุปผาน่ะมันไม่โง่ถูกผู้ชายหลอกเอาง่ายๆ หรอก มันสิ..จะเป็นฝ่ายหลอกผู้ชายละไม่ว่า”
มุกเบ้ปาก “ฮึ..แต่เชื่อเถอะว๊า..ไม่นานหรอกมันต้องซมซานกลับมาขายตัวที่นี่อย่างเดิม”
พิกุลพูดอย่างซื่อๆ ตามเคย “อ้าวๆๆๆๆ พี่มุก ก็ถ้านังบุปผามันจะไปได้ดีจริงๆ ทำไมพี่ไม่ยินดีกับมันล่ะ พี่อิจฉามันเหรอ อายุเยอะแล้วนะ ไม่ควรขี้อิจฉา..รู้ไม๊”
มุกโมโห คว้าของใกล้มือเขวี้ยงใส่ พิกุลร้องวี้ด แล้วคว้าของใกล้มือเขวี้ยงกลับจากนั้นจึงกลายเป็นการเปิดฉากขว้างของใส่กันอย่างไม่มีใครยอมแพ้ใคร คนอื่นๆที่โดนลูกหลงร้องวี้ดว้ายกันใหญ่ ผกาทนไม่ไหว ร้องห้ามเสียงเฉียบขาด
“หยุด”
ทุกคนชะงักค้าง
“กัดกันยังกับหมา ทั้งๆ ที่กินข้าวหม้อเดียวกันแท้ๆ”
“ก็นังบุปผานั่นแหละแม่..ต้นเหตุ” มุกฟ้อง
ผกาถลึงตาดุมุก มุกหน้าคว่ำไปเลย เพ็ญวิ่งเข้ามาบอก
“คุณผกาขา..บุปผาโทร.มา”
ผกาดีใจ วิ่งไปรับโทรศัพท์ทันที คนอื่นๆ รีบตามไปเพราะอดใจอยากรู้เรื่องบุปผาไม่ได้
“บุปผาเหรอลูก”
บุปผากำลังแอบใช้โทรศัพท์บ้านเทพบริบาลโทร.กลับมาหาผกา จึงต้องพูดเสียงค่อยๆ “จ้ะแม่ นี่บุปผาเอง”
“ตกลงนั่นบุปผาอยู่ที่ไหนลูก”
“นายสินพาบุปผาเข้ามาอยู่ในบ้าน...” บุปผาหยุดพูดกะทันหัน เมื่อเห็นสร้อยเดินลงมาจากชั้นบน
สร้อยสังหรณ์ใจ มองไปที่โต๊ะโทรศัพท์ เห็นเป็นเงาดำๆ ของบุปผา แต่เห็นไม่ชัดว่าอะไร
สร้อยตัดสินใจเดินไปดู บุปผาแอบชะโงกมองสร้อยอีก เห็นสร้อยกำลังเดินตรงมาที่โต๊ะโทรศัพท์
บุปผาคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินใจวางหูโทรศัพท์ลงแป้นไปเลย
ผกางง ที่สายโทรศัพท์ถูกตัดไปเสียเฉยๆ อย่างงั้น
“บุปผา บุปผา”
เดือนยื่นหน้าเข้ามาถาม “บุปผาทำไมเหรอจ๊ะแม่”
“วางสายไปเสียเฉยๆ อย่างนั้นแหละ”
ด้านสร้อย เดินมาถึงโต๊ะโทรศัพท์ กวาดตามอง แต่ไม่เห็นใครเลย สร้อยงุนงง นึกว่าตัวเองคงตาฝาด จึงเดินออกจากตึกใหญ่ไป
ที่แท้บุปผายืนแอบอยู่ที่นอกหน้าต่าง ทำตัวลีบเล็กแทบไม่หายใจ เพราะกลัวสร้อยเห็น พอสร้อยไปแล้ว บุปผาก็ถอนใจโล่งอก จะปีนกลับเข้ามา แล้วพลาด ล้มลง เจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า แต่ไม่ยอมร้องสักแอะ พยายามกัดฟันจะลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ขึ้น แล้วทันใดนั้นก็มีใครบางคนเข้ามาประคองบุปผาไว้ บุปผาเงยหน้าขึ้นมอง
“พี่สิน”
สินประคองบุปผากลับมานั่งที่เตียงในห้อง แล้วคุกเข่าลงสำรวจข้อเท้าของบุปผา
“เจ็บมากไม๊จ๊ะบุปผา”
สินขยับข้อเท้าบุปผาไปมาเพื่อดูว่าบาดเจ็บตรงไหน บุปผาสะดุ้ง เจ็บแต่ก็ไม่ร้องสักแอะ
“คิดว่าแค่แพลงน่ะ แต่ไม่ถึงกับหัก คืนนี้บุปผาทายาแล้วเอาผ้าพันไว้ พรุ่งนี้เช้าก็น่าจะทุเลาลงหรอกจ้ะ เอ้า..เดี๋ยวฉันไปเอายามาทาให้บุปผาก็แล้วกันนะ”
สินจะลุกไป บุปผาคว้าแขนไว้ บอกเสียงแข็ง
“ไม่ต้อง” แล้วนึกได้ เสียงอ่อนลง “ฉันมียามาจากบ้านจ้ะพี่สิน เดี๋ยวฉันทำเองได้ พี่สินรีบออกไปจากห้องนี้ก่อนเถอะ ประเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” รีบผลักไสนายสินให้ออกไป “ออกไปก่อนนะ”
สินมองบุปผาอย่างรักใคร่ จะหอมแก้มลา แต่บุปผายันอกไว้ แล้วจิกตาดุใส่ สินยิ้มแหย บอก “จ้ะๆๆๆ” แล้วรีบออกไปจากห้องทันที
บุปผาตามไปล็อคห้อง แล้วยืนพิงประตูถอนใจเฮือกใหญ่ ด้วยความโล่งอก
สินเดินออกจากห้องบุปผา จะกลับไปที่ห้องตัวเอง โดยไม่ทันเห็นว่าแสงยืนซุ่มอยู่ที่มุมมืดไกลๆ เอามือลูบแก้มตรงที่ถูกบุปผาข่วนเอาไว้ แสงสงสัยในท่าทางแปลกๆ ระหว่างสินกับบุปผาเป็นอย่างมาก
แสงตัดสินใจจะตามจับตาดูให้รู้ความจริงให้ได้สักวันหนึ่ง
ฟากคุณหญิงมณีที่กำลังนอนอยู่ในห้อง ยังลืมตาโพลงนอนไม่หลับ ขณะที่นายพลเทพหลับสนิทไปแล้ว
เหตุการณ์ตอนตอนที่ชไมบอกคุณหญิงมณีเรื่องมัทนาดวงร้าวผุดขึ้นมาในมโนนึก
“สองคนนี้..เป็นเนื้อคู่กันมาหลายภพหลายชาติแล้วค่ะ แต่ในชาตินี้..ดิฉันยังไม่เห็นดวงชะตาว่าจะลงเอยกันได้ หนำซ้ำหนูมัทนายังดวงร้าวอีกต่างหาก เพราะจู่ๆ ก็มีดาวมฤตยูมาทับลัคนา”
คิดแล้วคุณหญิงมณีนอนหน้าเครียด กังวลเรื่องมัทนาเป็นที่สุดข่มตาหลับไม่ลงจนเช้า
เช้าวันต่อมาสร้อยกำลังปรึกษากับคุณหญิงมณีเรื่องบุปผาอยู่ คุณหญิงมณีมีท่าทางเพลียๆ ไม่สดใสเหมือนเคย เพราะเมื่อคืนนอนไม่หลับทั้งคืน
“ตกลงคุณหญิงจะให้แม่บุปผา น้องสาวนายสินทำหน้าที่อะไรในบ้านบ้างคะ”
“เพิ่งมาจากบ้านนอกคงยังไม่ค่อยรู้อะไร เอางี้ เช้านี้ให้บุปผาช่วยงานในครัวไปก่อน”
“ค่ะคุณหญิง”
จังหวะนี้นายพลเทพเดินโอบบ่ามัทนาในชุดนิสิตเข้ามาอย่างอารมณ์ดี คุณหญิงมณีเห็นก็ยิ้มให้
“แม่ขา..เย็นนี้เลิกเรียนแล้ว มัทจะแวะไปหาพี่ต้นที่โรงพยาบาลหน่อยนะคะ”
“จะนัดกัน ทำไมไม่ที่บ้านโน้น หรือบ้านนี้ล่ะลูก”
“คือว่ามัทจะไปเยี่ยมคนไข้พิเศษของพี่ต้นน่ะค่ะ”
เทพแปลกใจ “คนไข้พิเศษ…ใครกันลูก”
ขณะเดียวกันอิ่มกำลังอุ้มตุ๊กตาเด็ก ห่อผ้าแบบเดียวกับที่เคยห่อลูกของอุ่นตอนคลอด โยกตัวพลางฮัมเพลงกล่อมเด็กเบาๆ เห็นปรีชากับไอศูรย์ยืนมองอยู่อย่างเวทนา
“พี่ตั้งชื่อคนไข้พิเศษคนนี้ของต้นว่า รุ่ง เพื่อสะดวกแก่การเรียกชื่อ ตอนนี้พี่ให้ยากล่อมประสาทไว้ เธอเลยอยู่ในอาการสงบลงได้ อย่างที่เห็นนี่แหละ”
“พี่ปรีชาว่าเธอเป็นอย่างนี้เพราะอะไรครับ”
“พี่คิดว่าที่เป็นอย่างนี้ คงเป็นเพราะเธอสูญเสียหลานไปด้วยเหตุใดเหตุหนึ่ง เด็กอาจจะตายหรืออาจจะถูกขโมยตัวไปก็ได้ เธอถึงได้หมกมุ่นอยู่กับการตามหาเด็กยังงี้” ปรีชาบอก
“แล้วพี่ปรีชาคิดว่า ป้ารุ่ง นี่จะมีโอกาสหายเป็นปกติไม๊ครับ ความจำกลับมาเหมือนเดิมได้ไม๊ครับ”
“ตอนนี้ยังเร็วไปที่จะบอก แต่ถ้าแกกินยาที่พี่จัดให้โดยไม่ขาด แกก็คงจะไม่อาละวาดแล้วละ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับทราบ แล้วมองอิ่มอย่างเวทนา ไอศูรย์เพ่งมองดูอิ่มนั่งกล่อมตุ๊กตาเด็กที่เธอหลงคิดว่าเป็นหลานที่หายไป สีหน้าอิ่มนิ่งสงบผิดกว่าวันอื่น ที่แล้วๆ มา
ขณะเดียวกันพลอยในชุดนิสิตเดินลงบันไดมาจากชั้นบน
“เอ้า..เร็วจ้า..แม่นิสิตอักษรศาสตร์ เดี๋ยวก็ไปเรียนสายอีกหรอก”
“ก็รีบอยู่นี่แหละค่า”
พลอยรีบจนทำหนังสือที่หอบอยู่หล่นลงพื้น เป็นหนังสือเล่มเดียวกับที่คั่นรูปวัยเด็กของไอศูรย์กับเพชร
“เอ๊า ยายซุ่มซ่าม” เพชรก้มลงเก็บ
พลอยพยายามรีบแย่งเก็บก่อน แต่ไม่ทัน เพชรไวกว่า พอเพชรก้มหนังสือได้ กระดาษอะไรบางอย่างก็ร่วงออกมาจากหนังสือ เพชรหยิบขึ้นมาดู
เห็นว่ามันคือรูปถ่ายของเพชรกับไอศูรย์ตอนเด็กที่พลอยแอบเอามาเก็บไว้ดูส่วนตัวนั่นเอง
เพชรหันไปมองหน้าน้องสาว พลอยซ่อนหน้าหลบตา
“ตัดใจจากพี่ต้นเสียเถอะพลอย รักเขาต่อไปก็มีแต่จะเจ็บปวด น้องสาวพี่ ควรจะได้สมหวังกับความรัก ไม่ควรต้องมาเจ็บปวดเพราะผู้ชายคนเดียวอย่างนี้”
พลอยดึงรูปนั้นจากมือเพชร เอามาสอดกลับเข้าเก็บในหนังสือตามเดิม
“บอกให้พลอยตัดใจจากพี่ต้น แล้วพี่เพชรละคะ พี่เพชรตัดใจจากยายมัทได้รึยัง”
เพชรนิ่งงันไปในทันที
ด้านกำพลมานั่งเซ็งอยู่ที่ห้องโถงหอโคมแดง โดยมีเดือนกับสิรีคอยปรนนิบัติบีบนวดเอาใจ แต่กำพลก็ไม่ได้สนใจจะขึ้นห้องกับใคร แค่อยากมานั่งเซ็งและผิดหวังที่ไม่ได้เจอบุปผา
“ทำยังไงฉันถึงจะติดต่อบุปผาได้”
สองสาวส่ายหน้า
“เมื่อคืนบุปผาก็โทร.กลับมานะคะคุณกำพล แต่ยังไม่ทันจะพูดกันรู้เรื่อง สายก็ตัดไปเสียก่อน เลยไม่ทันได้พูดกันว่าบุปผาย้ายไปอยู่ที่ไหนน่ะค่ะ” สิริรายงาน
กำพลส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
ครู่ต่อมากำพลเดินหน้าเซ็งๆ ออกมาจากหอโคมแดง แล้วก็ต้องชะงักเมื่อมีใครคนหนึ่งเดินมาดักหน้าไว้ กำพลเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นมุกที่มายืนดักรออยู่
สองคนพากันมาอยู่ในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง
“มุกรู้ว่าคุณกำพลน่ะชอบอี..เอ้อ..แม่บุปผามาก อุตส่าห์เอาอกเอาใจมันสารพัด แต่ดู๊..อยู่ๆมันก็หายไปไหน ไม่บอกไม่กล่าวคุณกำพลเลย”
กำพลฉุน “ไม่ต้องตอกย้ำได้ไม๊ เธอพาฉันมาที่นี่ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“มุกเชื่อว่าบุปผาต้องบอกแม่ผกาแน่ว่าย้ายไปอยู่ที่ไหน”
“แล้วไง”
“มุกจะคอยช่วยสืบจากแม่ผกาให้เอาไม๊ละคะว่าบุปผามันย้ายไปอยู่ที่ไหน”
“ถ้าเธอช่วยสืบเรื่องบุปผาให้ฉัน แล้วเธอได้อะไร”
มุกแบมือตรงหน้ากำพลแล้วกระดิกๆ
“เงินไงละคะ ผู้หญิงขายตัวอย่างมุก จะอยากได้อะไรละคะถ้าไม่ใช่เงิน”
กำพลนิ่งคิด “ตกลง ถ้าเธอสืบจนรู้ว่าบุปผาย้ายไปอยู่ที่ไหนได้จริง ฉันจะให้เธอหมื่นนึง”
มุกตาโตด้วยความตื่นเต้น “หมื่นนึง”
มุกรีบพยักหน้าตกลงทันที
เวลาเดียวกัน ภายในครัวบ้านเทพบริบาล สร้อยกับทับทิมตาโต
“วันนี้คุณหญิงจะลงครัวเองเลยหรือคะ ความจริงอยากรับประทานอะไร สั่งสร้อยมาก็ได้ค่ะ”
มณียิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก นานๆ ลงครัวเองซะบ้าง..ก็ดีเหมือนกัน แล้วพอดีเมื่อเช้าท่านนายพลบ่นๆ ว่าอยากทาน ยำแตงกวา น่ะ”
“งั้นอิฉันจะเตรียมเครื่องให้นะคะคุณหญิง” ทับทิมบอก
“ไม่ต้องจ้ะ ป้าทับทิมทำอะไรค้างอยู่ก็ทำไปเถอะ” มณีหันไปเห็นบุปผา “ให้แม่บุปผานี่ช่วยฉันก็ได้”
บุปผายิ้มใส่ซื่อให้คุณหญิงมณีทันที
เวลาต่อมาคุณหญิงมณีกำลังคั่วพริกชี้ฟ้า คั่วไป ก็อธิบายให้บุปผาฟังไปด้วย
“พริกคั่วแห้งนี่ เป็นเครื่องอย่างหนึ่งของยำแตงกวา แม่บุปผา หล่อนทำกับข้าวเป็นบ้างไม๊”
“ไม่ค่อยเป็นค่ะคุณหญิง”
สร้อยพยายามซักไซ้ “แล้วตอนอยู่บ้านนอก เธอไม่ต้องทำกับข้าวกินหรอกเรอะ”
“ตอนอยู่บ้าน แม่เป็นคนทำกับข้าวค่ะ”
“เอาละ เอาละ แม่บุปผาทำกับข้าวไม่เป็นก็มาดูวิธีทำไว้ ฉันจะสอนให้”
บุปผาทำท่าสนอกสนใจมาก “ค่ะ”
คุณหญิงมณีคั่วพริกได้สักครู่ ก็เกิดวิงเวียนเพราะอดนอนจนตะหลิวกระแทกกับกระทะ
แลเห็นพริกคั่วกำลังจะกระเด็นหกใส่คุณหญิงมณี บุปผารีบกระโดดเข้าผลักคุณหญิงให้พ้นจากกระทะอย่างว่องไว บุปผาจึงโดนพริกคั่วร้อนๆ จากกระทะหกใส่ขาเสียเอง
บุปผามีสีหน้าเจ็บปวด
มณีตกใจ “บุปผา”
บุปผานั่งพังพาบอยู่ที่พื้นครัว สีหน้าปวดแสบปวดร้อนที่ขาเป็นอย่างมาก
ส่วนเพชรกำลังทำงานอยู่ที่กรมทหาร กำพลเดินหน้าเซ็งเข้ามานั่งในห้องเพชร ไม่พูดไม่จาอะไร
“เป็นอะไรไปวะกำพล”
กำพลส่ายหน้าไม่ตอบ
“เมื่อวานก็ไปนั่งหน้าบูดอย่างงี้ที่บ้านฉันมาทีนึงแล้ว วันนี้ก็เป็นอีก แกมีเรื่องอะไรเบื่อโลกนักหนาวะ”
กำพลส่ายหน้าอีก เพชรถอนใจ มองกำพลอย่างพิจารณา
“เย็นนี้ว่างไม๊” เพชรถาม
“ถามทำไม”
“จะชวนแกไปรับยายพลอยที่มหาวิทยาลัยด้วยกันน่ะ”
กำพลยิ้มออกมาได้
ฟากมณีกำลังเอายาสีฟันทาที่ขาบุปผาตรงที่โดนพริกแห้งคั่วร้อนๆ ราดเอา
บุปผาแสบแต่ก็ทน ไม่ปริปากร้องสักแอะ
“ยาสีฟันสมุนไพรเนี่ย..ใช้ทาแผลถูกของร้อน หายเร็วกว่ายาอย่างอื่นนะ”
คุณหญิงมณีมองบุปผาที่อดทนมาก แล้วชอบใจนึกเอ็นดู
“ทนเอาหน่อยนะ เดี๋ยวเดียวก็คงค่อยยังชั่วแล้ว” แล้วมณีก็ส่ายหน้า ท่าทีกลุ้มๆ “เป็นเพราะเมื่อคืนฉันนอนคิดอะไรดึกไปหน่อยน่ะ วันนี้เลยหน้ามืด”
สร้อยสบตากับคุณหญิง เข้าใจทันทีว่ามณีนอนคิดเรื่องอะไร
“นี่ถ้าบุปผาไม่ผลักฉันออก พริกคั่วร้อนนั่นก็คงหกราดฉันแทนแน่ๆ ขอบใจนะบุปผา เธอเจ็บตัวแทนฉันจริงๆ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณหญิง”
คุณหญิงมณีหันไปหยิบเงินจากกระเป๋าจำนวนหนึ่งมาส่งให้บุปผา
“เอ้า..ฉันให้..เป็นสินน้ำใจที่หล่อนช่วยฉัน รับไว้สิ”
บุปผายกมือไหว้มณีแล้วรับเงินไว้
“แล้วเย็นนี้หล่อนก็ติดรถไปกับนายสินที่จะออกไปรับคุณหนูที่มหาวิทยาลัยด้วย ไปแวะซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ตามใจชอบ ก่อนไปรับยายมัทนะ”
บุปผายิ้มตาใสซื่อ ทำหน้าดีใจเหมือนเด็กๆ ได้รางวัล คุณหญิงมณีมองอย่างเอ็นดู ในขณะที่สร้อยยังมีสีหน้ากังวลและระแวงไม่คลาย
ฝ่ายมัทนากำลังนั่งอ่านหนังสือเรียนอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าคณะ พลอยเดินเข้ามาหา
“เอ้าๆ จะขยันไปถึงไหนจ๊า...คุณหนูมัทนาจ๋า แค่นี้เกียรตินิยมก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้วล่ะจ้า”
มัทนายิ้ม “แหม..พลอยก็”
พลอยเจ็บปวดแต่พยายามฝืนยิ้มให้เพื่อน “ตกลงเธอจะหมั้นกับพี่ต้นเมื่อไหร่เหรอ”
เวลาเดียวกันนายพลเทพกำลังนั่งคุยกับคุณหญิงมัทนีอยู่ด้วยเรื่องเดียวกัน
“อาทิตย์หน้าดิฉันจะพายายมัทขึ้นเชียงใหม่ไปหาคุณชไม จะไปด้วยกันไม๊คะ”
“คงจะไปไม่ได้ละคุณ เห็นว่าจะมีประชุมจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลช่วงอาทิตย์หน้าพอดี” เทพบอกพลางทอดสายตามองไปหน้าบ้าน
เห็นบุปผากำลังจะขึ้นนั่งรถสินออกไปข้างนอก
“นั่นคุณใช้น้องสาวนายสินมันไปไหนเหรอ”
มณีชะเง้อมองตาม “อ๋อ..ดิฉันให้มันออกไปซื้อเสื้อ ซื้อผ้าใส่ตามประสาผู้หญิงน่ะค่ะ เด็กคนนี้ใช้ได้นะคะคุณ มีน้ำอดน้ำทนดีทีเดียว”
“ดูคุณจะชอบใจเด็กคนนี้มากอยู่นะ”
“ค่ะ ชอบ” มณีมองไปนอกบ้านอีกครั้ง
สองคนเห็นบุปผานั่งรถออกไปกับสิน
บุปผานั่งมาในรถที่สินเป็นคนขับ
“คุณหญิงให้รางวัลบุปผามาตั้งเยอะ บุปผาอยากจะไปไหน อยากซื้ออะไรจ๊ะ”
บุปผายิ้ม ไม่ยอมตอบ
ไม่นานต่อมา บุปผากำลังจ่ายเงินซื้อเสื้อเชิ้ตผู้ชายตัวหนึ่ง สินมองแล้วขมวดคิ้ว กระชากแขนมาถาม
“บุปผาซื้อเสื้อให้ใคร”
บุปผายิ้ม แล้วส่งเสื้อที่เพิ่งซื้อนั้นให้สิน เอาใจเพราะยังต้องหลอกใช้อีกนาน
“ฉันก็ซื้อให้พี่สินน่ะสิ พี่สินดีกับฉัน เมตตาฉัน ฉันก็อยากจะตอบแทนน้ำใจพี่สินบ้างน่ะสิ” สินดีใจจนหน้าแดง “จริงเหรอบุปผา บุปผาน่ารักจริง” บุปผายิ้มให้ สินดูเวลา
“ไปรับคุณหนูที่มหาวิทยาลัยกันสักทีดีกว่า ประเดี๋ยวช้า คุณหนูจะรอ”
บุปผาพยักหน้ารับ ทั้งคู่เดินไป บุปผาเดินคู่กับสินตรงไปที่จอดรถ บุปผาแอบทำหน้าเบื่อๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ สินก็ไม่รู้เรื่องอะไร ยังยิ้มปลื้มอกปลื้มใจที่บุปผามีน้ำใจซื้อเสื้อให้ตน
จังหวะนี้ เดือนซึ่งเดินควงมากับแสงมาจากอีกทาง ชะงักกึก เห็นด้านหลังบุปผา
เดือนดีใจ “เฮ้..บุปผา”
แต่บุปผากับนายสินเดินลับตัวไปแล้ว แสงชะเง้อตาม
“เดือนเรียกใครน่ะ”
“เพื่อนจ้ะ..ชื่อบุปผา”
แสงขมวดคิ้วทันที “ชื่อ บุปผา เหรอ”
แสงสงสัยบุปผามากขึ้นไปอีก
ด้านสินขับรถมากับบุปผา เพื่อจะมารอรับมัทนากลับจากมหาวิทยาลัย พอจอดรถ บุปผาก็เปิดประตูรถจะลงไป
“จะไปไหนน่ะบุปผา”
“ขี้เกียจนั่งรอในรถเฉยๆ น่ะสิ คุณหนูจะออกมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันก็เลยจะลงไปเดินดูอะไรแถวนี้หน่อยน่ะ”
สินทำท่าจะไปด้วย บุปผาหันมาทำตาเขียวใส่
“ไม่ต้องตามฉันไปหรอก ฉันไปแค่นี้ ไม่ได้หนีหายไปไหนสักหน่อย”
สินหน้าจ๋อย ลงนั่งรอในรถตามเดิม บุปผาเดินออกไป แต่แอบทำหน้าเบื่อสินเต็มแก่ แต่สินไม่รู้ตัว
บุปผาเดินมาตามทางเดินในมหาวิทยาลัย มองดูนิสิตที่อยู่ในเครื่องแบบอย่างริษยา อิจฉาทุกคนที่สถานภาพสูงกว่า แต่แล้วบุปผามองไป เห็นอะไรบางอย่างก็ชะงัก หล่อนเห็นเพชรเดินมากับกำพล
บุปผาตาโต ตกใจ ไม่นึกว่าจะเจอสองหนุ่ม ลูกค้าเก่าที่นี่ ยิ่งตกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อบุปผาเห็นกำพลมองมา และเห็นเธอเช่นกัน แต่เพชรไม่เห็น แล้วกำพลก็เดินตรงมาหาบุปผา
บุปผาตัดสินใจโกยแนบ วิ่งหนีทันที
บุปผาวิ่งหนีมา มองหาที่ซ่อน บุปผารีบซ่อนตัว สักครู่กำพลก็วิ่งตามมาถึง แต่หาบุปผาไม่เจอ บุปผาทำหน้างง เพชรวิ่งตามมาอีกคน
“แกวิ่งมาทำไมวะ กำพล”
“ฉันคิดว่า..ฉันเห็น...” กำพลนึกได้ว่าไม่ควรบอกเพชรว่าเห็นบุปผา “...คนรู้จักน่ะ”
“ใคร คงไม่ใช่ผู้หญิงหรอกนะ ถ้าใช่ ฉันจะไม่ช่วยแกเรื่องยายพลอยอีก”
“ไม่ใช่ผู้หญิงหรอก ผู้ชายน่ะ แต่ช่างเถอะ ฉันคงตาฝาดไปเอง”
“ไปๆ ป่านนี้ยายพลอยเลิกเรียนแล้วมั้ง เดี๋ยวออกมาไม่เห็นเรา จะบ่นเอาอีก” เพชรลากกำพลเดินไป
สองหนุ่มเดินออกไป บุปผาจึงโผล่ออกมาจากที่ซ่อน แล้วถอนใจโล่งอกที่กำพลไม่เห็นเธอ แต่แล้วบุปผาก็ต้องสะดุ้งเมื่อใครคนหนึ่งมาจับแขนเธอ
“บุปผา มาทำอะไรอะไรอยู่ตรงนี้”
บุปผาหันไปมอง “คุณหนู” รีบหาข้อแก้ตัว “บุปผาก็มาเดินดูตึกเรียนน่ะค่ะ มัวแต่ดูเพลิน บุปผาเลยหลงทาง” พร้อมกันนี้บุปผาแสร้งทำหน้ายิ้มแห้งๆ มัทนายิ้มขำอย่างเอ็นดู
เพชรกับกำพลยืนรอพลอยอยู่ที่รถ สักครู่พลอยก็เดินเข้ามา พอเห็นว่ากำพลก็มาด้วย พลอยก็แปลกใจ ยกมือไหว้
“พี่กำพล...วันนี้จะไปไหนกับพี่เพชรเหรอคะ”
“จะไปไหน ก็มารับพลอยน่ะสิ เอ้า...พี่กับกำพลมารอพลอยตั้งนานแล้ว หิวจะตาย ไปหาอะไรกินกันเถอะ ไป”
ทั้งสามขึ้นรถไป กำพลเอาอกเอาใจพลอยเป็นพิเศษ เปิดปิดประตูรถให้
มัทนาเดินกลับมาที่รถพร้อมบุปผา สินยืนรออยู่อย่างเป็นห่วงที่บุปผาหายไปนาน พอเห็นว่าเดินมาด้วยกัน สินก็ทำหน้างงๆ
“อ้าว..คุณหนู ไปเจอตัวบุปผาที่ไหนล่ะครับเนี่ย”
“หลังตึกนี่เองจ้ะ บุปผาเขาหลงทางน่ะ”
สินหัวเราะด้วยความเอ็นดูบุปผา แล้วแกล้งพูดล้อ “เพิ่งมาจากบ้านนอกก็ยังงี้ละครับคุณหนู กลับบ้านกันนะครับคุณหนู”
“ยังจ้ะ วันนี้ฉันขออนุญาตมาคุณแม่แล้วว่าจะไปธุระก่อนกลับบ้าน”
สินถามด้วยสีหน้าแปลกใจ “คุณหนูจะไปธุระที่ไหนหรือครับ”
สินขับรถพามัทนากับบุปผามาที่โรงพยาบาล พอรถมาจอดที่หน้าโรงพยาบาล บุปผาก็ตาโตด้วยความตื่นเต้น แล้วยิ้มกว้างด้วยความดีใจเมื่อรู้ว่ามัทนาจะมาธุระที่ไหน มัทนาลงจากรถ บุปผาจะตาม สินร้องทัก
“บุปผารออยู่ที่รถนี่แหละ ไม่ต้องตามคุณหนูไปหรอก คุณหนูแวะมาหาว่าที่คู่หมั้นน่ะ”
แต่บุปผาไม่สนใจสิน จะตามมัทนาให้ได้
“ให้บุปผาเดินไปเป็นเพื่อนนะคะคุณหนู ขอบุปผาเดินดูโรงพยาบาลหน่อย ที่บ้านนอกมีแต่อนามัยสุขศาลา บุปผาไม่เคยเข้าโรงพยาบาลใหญ่ๆ ยังงี้มาก่อนเลยค่ะ”
มัทนายิ้มขำ “เอ้า...ตามใจจ้ะ”
บุปผายิ้มร่า แล้วเดินตามมัทนาไปติดๆ
มัทนาเดินนำหน้าบุปผาเข้ามาในโรงพยาบาล แวะถามที่เคาน์เตอร์
“ดิฉันมาขอพบหมอไอศูรย์ ศรัทธาธร ค่ะ”
พยาบาล 1 “นัดไว้รึเปล่าคะ”
“นัดค่ะ ดิฉันชื่อมัทนาค่ะ”
“มัทนา” พยาบาล 2 อุทาน ท่าทีตื่นเต้น “ว่าที่คู่หมั้นของคุณหมอใช่ไม๊คะ” มัทนาพยักหน้ายิ้มเขินๆ
“เชิญทางนี้เลยค่ะคุณมัทนา” พยาบาล 2เดินนำไป
มัทนาเดินตามพยาบาล 2 ไป บุปผาตามติด พยาบาล 1 มองตามบุปผาแล้วขมวดคิ้วสงสัย คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็น แต่เพราะตอนนี้บุปผาไม่ได้แต่งหน้าจัด เลยไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่า
“หน้าคุ้นๆ แฮะ” พยาบาล 1 พึมพำ
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 3 (ต่อ)
พยาบาล 2 พามัทนากับบุปผามาถึงห้องทำงานไอศูรย์ เคาะประตูเบาๆ แล้วเปิดเข้าไป
“คุณมัทนามาค่ะคุณหมอ” แล้วพยาบาลก็เดินออกไป
ไอศูรย์มีสีหน้าดีใจ เดินมารับมัทนาที่หน้าห้อง
“น้องมัท”
มัทยายกมือไหว้ไอศูรย์ บุปผาไหว้ตาม ไอศูรย์รับไหว้ แล้วชะงักเมื่อเห็นบุปผาที่มองหน้าเขาอย่างดีใจ มัทนาเลยแนะนำบุปผา
“บุปผาค่ะพี่ต้น เป็นน้องสาวนายสิน คนขับรถที่บ้านน่ะค่ะ นายสินเพิ่งไปรับตัวมาจากบ้านที่ต่าง จังหวัด มาอยู่ที่บ้านน้องมัทได้ 2 วันเองค่ะ”
“งั้นหรือครับ หน้าคล้ายๆ คนไข้พี่คนหนึ่งเลย ชื่อบุปผาเหมือนกันด้วย” ไอศูรย์มองบุปผาอย่างพิจารณาอีกครั้ง “แต่คนไข้พี่คนนั้น...ท่าทางจะเป็นคนในพระนครนี่มากกว่า”
“งั้นคงไม่ใช่จริงๆแหละค่ะพี่ต้น เพราะบุปผาเพิ่งมาจากต่างจังหวัดได้ 2 วันนี่เองค่ะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับรู้ บุปผายิ้มให้ แต่ไอศูรย์หมดความสนใจบุปผาแล้ว แค่สนใจว่าเป็นคนที่มากับมัทนาเท่านั้น ไอศูรย์หันกลับไปคุยและสนใจแต่มัทนาคนเดียว บุปผาเลยยิ้มเก้อ
“ไหนคะ..คุณป้าคนที่พี่ต้นเล่าให้ฟัง”
“ตามมาสิ พี่จะพาน้องมัทไปพบ”
ไอศูรย์เชื้อเชิญ มัทนาเดินนำไป ไอศูรย์ตามหลัง บุปผารั้งท้าย เมื่อบุปผาเห็นไอศูรย์เทคแคร์มัทนาดีเหลือเกิน ยิ่งอิจฉามัทนาอย่างแรง
อิ่มนั่งหลับอยู่ในสวน อุ้มตุ๊กตาเด็ก กอดอยู่ในอ้อมอกเหมือนอุ้มเด็กทารกจริงๆ
ใครบางคนเดินเข้าหาอิ่มและเรียกอิ่ม
“พี่อิ่ม...พี่อิ่ม”
อิ่มลืมตาตื่นขึ้นมาตามเสียงเรียก เห็นเป็นอุ่นที่เดินเข้ามาหา
“นังอุ่น”
“ลูกฉัน” อุ่นเอ่ยขึ้น
อิ่มยกตุ๊กตาในอ้อมแขนให้ผีอุ่นดู “นี่ไง...ลูกแก...ฉันดูแลลูกให้แกอย่างดีเลย”
“ไม่ใช่...นี่ไม่ใช่ลูกฉัน ลูกฉันกำลังมา”
อิ่มทำหน้าไม่เข้าใจ ก้มลงมองดูตุ๊กตาในอ้อมแขนอีกที แล้วพออิ่มเงยหน้าขึ้นมา ผีอุ่นก็หายไปแล้ว อิ่มลุกขึ้นเดินตามหาผีอุ่น
“นังอุ่น...นังอุ่น...”
ไอศูรย์ มัทนา และบุปผาเดินเข้ามา ไอศูรย์เห็นอาการของอิ่มที่เหมือนเดินหาอะไรบางอย่างอยู่ก็แปลกใจ เลยเดินเข้าไปจับตัวไว้
“ป้ารุ่งครับ”
อิ่มหันมามองไอศูรย์ งงๆ แต่จำได้ และรับรู้ว่าเป็นคนที่อ่อนโยนกับตัวเองเสมอมา จึงมีอาการสงบลง
มัทนาถามไอศูรย์ “คุณป้าชื่อรุ่งหรือคะพี่ต้น”
“เปล่าครับ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าแกชื่ออะไร ก็เลยตั้งชื่อให้ใหม่ว่า “รุ่ง” จะได้เรียกกันได้สะดวก”
มัทนายิ้ม แล้วเดินเข้าไปหาอิ่ม พูดทักทายด้วยอย่างอ่อนโยน
“ป้ารุ่งขา..หนูชื่อมัทนานะคะ”
อิ่มมองมัทนา แล้วยิ้มให้อย่างงงๆ ไม่คุ้ยหน้า ไม่เคยเห็น แต่รับรู้ความอ่อนโยนของ
มัทนาได้ แล้วอิ่มก็มองเลยไปข้างหลังมัทนา
เห็นหน้าบุปผา แล้วจู่ๆ จากหน้าบุปผา ก็กลายเป็นหน้าของอุ่นซ้อนขึ้นมา เหมือนผีอุ่นพยายามจะมาบอกอิ่มว่าบุปผานี่แหละคือลูก
“อุ่น”
อิ่มตาโต ทิ้งตุ๊กตาในมือแล้ววิ่งเข้าไปกอดบุปผาแน่น
“อุ่น! แกยังไม่ตายเหรอเนี่ย ฉันดีใจจริงๆ เลยที่แกยังไม่ตาย ฉันดีใจจริงๆ”
บุปผาตกใจ พยายามดิ้นหนี
“อะไรกันคะเนี่ยคุณหมอ”
“ผมก็ไม่ทราบ ป้าแกไม่เคยมีอาการอย่างนี้มาก่อนเลย”
ไอศูรย์พยายามรั้งตัวอิ่มออกจากบุปผา แล้วกวักมือเรียกพยาบาล 2 คน ให้เข้ามาช่วยเอาตัวอิ่มออกไปให้ห่างจากบุปผา พยาบาล 2 คน มาเอาตัวอิ่มออกไป อิ่มร้องโวยวายไปตลอดทาง จะไม่ยอมปล่อยมือจากตัวบุปผา
“นังอุ่น”
พยาบาล 2 คน ลากตัวอิ่มที่โวยวายเสียงดังออกไป มัทนามองตามด้วยความสงสาร ขณะที่บุปผามองอย่างรำคาญ แต่พยายามทำตัวเรียบร้อยอยู่จึงต้องระงับอาการไว้อย่างเต็มที่
มัทนานึกสงสัยจึงถามขึ้น
“ใครคือ “อุ่น” คะพี่ต้น”
“พี่ก็ไม่ทราบเหมือนกันครับน้องมัท ตั้งแต่รับตัวป้ารุ่งมารักษาตัวอยู่ที่นี่ แกไม่เคยเอ่ยชื่อใครเลย แม้แต่ชื่อของตัวแกเอง ก็เพิ่งจะมีวันนี้ละครับ ที่แกเรียกชื่อ...” ไอศูรย์หันไปมองหน้าบุปผา “…อุ่น”
“สงสัยบุปผาจะหน้าเหมือนคนที่ป้าแกเคยรู้จักนะคะ” มัทนาว่า
“เป็นไปได้ครับ” ไอศูรย์มองหน้าบุปผานิ่ง ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “ถ้าไม่เป็นการรบกวนจนเกินไป พี่อาจจะต้องขอตัวคนของน้องมัทให้มาช่วยพี่หมอปรีชาทำการรักษาป้ารุ่งบ้างได้ไม๊ครับ เผื่อว่าความจำของป้ารุ่งอาจจะดีขึ้น หรือกลับมาจำความได้เหมือนอย่างเดิม”
มัทนายินดี “เอาสิคะ แต่ทั้งนี้ต้องแล้วแต่เจ้าตัวเขาด้วยนะคะ ไงจ๊ะ บุปผา...ยินดีจะช่วยงานหมอไอศูรย์บ้างได้ไม๊”
พลางมัทนาหันไปมองหน้าบุปผา บุปผายิ้มอ่อนโยน
“ได้สิคะ ช่วยคนถือว่าได้บุญกุศลเยอะนี่คะคุณหนู เผื่อว่าบางทีบุญกุศลส่งให้บุปผาสมหวังกับใครเขาบ้างในชาตินี้นะคะ”
มัทนายิ้มขำ เพราะไม่รู้นัยยะที่แท้จริงของอีกฝ่าย บุปผามองไอศูรย์อย่างหมายมั่น
แต่ไอศูรย์กับมัทนาไม่เอะใจเลยว่า บุปผานี่แหละจะเป็นตัวปัญหาใหญ่บนเส้นทางความรักของเขาและเธอในอนาคตข้างหน้านี้
คืนนั้นเดือนกลับมาถึงหอโคมแดงก็เล่าเรื่องที่เจอบุปผาให้ผกาฟัง
“จริงนะจ๊ะแม่ ตอนที่ฉันออกไปเที่ยวกับแขกที่ตลาด ฉันว่า..ฉันเห็นนังบุปผาจริงๆ มันไปกับผู้ชาย แต่ว่าฉันเห็นแว้บเดียว เห็นแต่ข้างหลังด้วย ก็เลยไม่รู้เป็นใคร”
ผกานิ่ง มุกมีสีหน้าครุ่นคิด พยายามปะติดปะต่อเรื่องราว
“อย่างนี้ก็แสดงว่า...นังบุปผามันยังอยู่ในพระนครนี่น่ะสิ”
ด้านบุปผาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ และจะเดินกลับห้อง จู่ๆ แสงก็พุ่งเข้ามาคว้ามือไว้แล้วถาม
“วันนี้เธอไปที่ตลาดมาใช่ไม๊”
“ถ้าใช่ แล้วพี่แสงจะทำไม”
แสงหรี่ตามองบุปผา “เธอไม่ใช่น้องสาวพี่สินใช่ไม๊ ฉันรู้นะว่าเธอไม่ใช่น้องสาวพี่สิน เธอไม่ได้เพิ่งจากบ้านนอก ไม่งั้นเธอจะรู้จักกับผู้หญิงที่อยู่หอโคมแดงได้ยังไง บอกมานะว่าเธอเป็นใครกันแน่บุปผา”
บุปผาสะบัดตัวหลุดออกจากแสง แล้วหันไปตบหน้าแสงสุดแรงเสียงดังผัวะ แสงโมโห มาก รวบแขนบุปผาบีบอย่างแรง บุปผาเจ็บ ดิ้นสู้แต่ก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้
“ปล่อยฉันนะ ฉันบอกให้ปล่อย”
คนอื่นๆ วิ่งเข้ามาเมื่อได้ยินเสียงเอะอะ พอบุปผาเห็นคนอื่นๆ วิ่งเข้าก็รีบตะโกนบอก
“พี่สินช่วยฉันด้วย พี่แสงจะปล้ำฉัน”
สินโมโหหึง พุ่งเข้าไปชกแสงทันที แสงล้มหงายลงไป พอลุกขึ้นได้ก็กลับมาชกสู้สินใหม่ สองคนเลยชกกันอุตลุด คนอื่นๆ ได้แต่ร้องกรี๊ดกร๊าดห้ามปราม แต่ก็ห้ามไม่อยู่ จนกระทั่งมีน้ำถังใหญ่สาดใส่ผู้ชาย 2 คนโครม เหตุการณ์ชุลมุนจึงชะงักค้างไป ทุกคนหันไปมองคนสาดน้ำใส่
ที่แท้เป็นสร้อยนั่นเองที่เป็นคนสาดน้ำใส่ยุติเหตุการณ์
ทุกคนรวมตัวอยู่ในครัว แสงปฏิเสธลั่น
“ฉันไม่ได้ปล้ำบุปผาจริงๆ นะแม่”
“ถ้าไม่ได้ปล้ำ แล้วทำไมบุปผาถึงต้องโวยวายเพราะตกใจขนาดนั้นด้วย ไอ้แสง ฉันเห็นสายตาที่แกมองบุปผาตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาอยู่ในบ้านนี้แล้ว ฉันรู้ว่าแกคิดอะไรอยู่ ฮึ่ย” สินพุ่งเข้าไปชกแสงอีก
แสงชกกลับ คนอื่นๆ ต้องช่วยกันแยกตัวออกอย่างโกลาหล
สร้อยตะโกนลั่น “พอได้แล้ว ไม่งั้นฉันจะฟ้องคุณหญิงให้ตัดเงินเดือนพวกแกคนละ 3 เดือนเลย”
สินกับแสงชะงักไปทันที
“ไม่มีใครอยู่ในเหตุการณ์กับพวกแก 2 คน เพราะฉะนั้นก็มีแต่พวกแกเท่านั้นที่รู้ความจริงว่าแกมีเรื่องอะไรกัน เอาเป็นว่า..เรื่องวันนี้ให้เลิกแล้วต่อกันไป แล้วไอ้แสง ถ้าไม่จำเป็นแกก็อยู่ห่างๆ นังบุปผามันไว้ ไอ้สินมันหวงน้องสาวมัน แกก็อย่าไปยุ่ง เข้าใจไม๊”
แสงเม้มปาก จำใจพยักหน้ารับคำสั่งแม่ แสงมองจ้องหน้าบุปผา ตั้งใจว่าสักวันมันจะต้องเปิดโปงให้ได้ว่าบุปผาคือใครกันแน่
สินพาบุปผากลับมาส่งที่ห้อง
“ต่อไปนี้บุปผาต้องระวังไอ้แสงให้ดีนะ ฉันรู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ แต่บุปผาเป็นเมียฉัน ฉันจะไม่มีวันยอมให้มันแตะต้องบุปผาเป็นอันขาด”
บุปผาพยักหน้ารับคำ “พี่สินไปนอนเถอะ”
สินพยักหน้าแล้วออกไป แต่ก็ไม่วายเหลียวกลับมามองบุปผาจนประตูห้องปิดลง บุปผารีบล็อคห้อง แล้วถอนใจใหญ่ด้วยความเครียด
“ไอ้แสงนี่มันชักจะรู้มากเกินไปแล้ว” ตาบุปผาลุกวาวด้วยความโกรธ “ว่าแต่...ไอ้แสงมันรู้เรื่องหอโคมแดงได้ยังไง”
บุปผาสีหน้าเป็นกังวล กลัวความลับแตก
กลางดึกคืนนั้นผกากำลังพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“บุปผา เป็นยังไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยไม๊ลูก”
ที่แท้บุปผาแอบมาโทรศัพท์คุยกับผกาโดยนั่งซุกตัวอยู่ข้างโต๊ะโทรศัพท์ พูดไปก็เหลียวหน้าเหลียวหลังไป กลัวใครมาเห็น บุปผาพูดเสียงกระซิบ
“เรียบร้อยจ้ะแม่ ตอนนี้ฉันเข้ามาอยู่ในบ้านเทพบริบาลแล้ว แต่แม่..ฉันมาพูดโทรศัพท์กับแม่บ่อยๆ ไม่ได้นะ เพราะถ้าใครมาเห็นจะสงสัยเอาได้ แต่ฉันจะพยายามหาทางส่งข่าวถึงแม่เป็นระยะๆ นะจ๊ะ”
“จ้ะๆ แม่เข้าใจ”
“เออนี่แม่ ที่ฉันโทร.มานี่ ฉันมีเรื่องอยากจะขอให้แม่ทำอะไรให้ฉันอย่างนึงด้วยจ้ะ”
เช้าวันต่อมาผกากำลังประกาศคำสั่งให้ทุกคนในบ้านรับรู้พร้อมกัน
“ต่อไปนี้นะ ถ้ามีลูกค้าเก่ามาถามถึงบุปผา ทุกคนต้องบอกว่าบุปผาย้ายออกไปแล้ว ไม่รู้ไปไหน”
พิกุลบอกอย่างพาซื่อ “เราก็ไม่รู้จริงๆนี่จ๊ะแม่ว่านังบุปผามันออก ไปอยู่ที่ไหน อยู่ๆ มันก็เก็บกระเป๋าหายไปเลย ไม่ล่ำลาคนในบ้านสักคน ทั้งๆที่เคยกินเคยนอนอยู่ด้วยกันทุกวัน”
มุกท้วง “แต่คุณกำพลเขาก็คงจะอยากรู้อยู่ละนะจ๊ะแม่...ว่านังบุปผามันไปอยู่ที่ไหน วัวเคยค้า ม้าเคยขี่ มันตัดกันไม่ขาดหรอก แม่จ๋า..นังบุปผามันไปเป็นเมียเก็บใครเหรอ มันถึงต้องเป็นความลับนักว่ามันไปอยู่ที่ไหนน่ะ”
ผกาตัดบท “เออน่า แกไม่ต้องรู้หรอก แล้วถ้าเป็นคนอื่นมาถามหา นังบุปผาละก็ ให้บอกไปเลยว่าไม่เคยมีคนชื่อ บุปผา อยู่ที่นี่”
เดือนกะพิกุลร้อง “อ้าว”
สิรีงง “ทำไมล่ะจ๊ะแม่”
“เถอะน่า...แม่สั่งให้พูดยังงี้ ก็พูดไปสิ อย่าถามมากได้ไม๊”
ทุกคนเลยหุบปากกันไปหมด ยกเว้นมุกคนเดียวที่มีสีหน้าครุ่นคิด
มุกเดินควงกำพลเข้ามาในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ท่าทางร่าเริงมาก
“คุณกำพลรู้ไม๊คะว่า อีพวกที่หอโคมแดงน่ะมันตื่นเต้นกันใหญ่ที่คุณกำพลไปรับมุกออกมาจากบ้านน่ะค่ะ”
“ก็เธอบอกว่ามีเรื่องบุปผาจะบอกฉัน ฉันก็ต้องรับเธอออกมาน่ะสิ ตกลงรู้แล้วเหรอว่าบุปผาอยู่ที่ไหน”
มุกส่ายหน้า กำพลอารมณ์เสีย สีหน้าผิดหวังอย่างแรง
“อ้าว...แล้วเธอตามฉันมาทำไมล่ะนี่ เสียเวลาจริง”
“ถึงมุกจะไม่รู้ว่านังบุปผาไปอยู่ที่ไหน แต่ก็รู้ล่ะค่ะว่ามันยังอยู่ในพระนครนี่ละ เพราะมีคนเห็นมันเดินอยู่ในตลาด แล้วเมื่อเช้าแม่ผกายังสั่งแปลกๆ เรื่องนังบุปผาอีกด้วยว่าถ้ามีใครมาถามหามัน ให้บอกว่าไม่เคยมีคนชื่อบุปผาอยู่ที่หอโคมแดง”
กำพลพยักหน้ารับรู้
“ไหนละคะคุณกำพล..หมื่นนึงที่ว่าจะให้มุกน่ะ ถ้ามุกเอาข้อมูลเรื่องนังบุปผามาบอก”
กำพลส่ายหน้าปฏิเสธ “ตราบใดที่ฉันยังไม่เจอตัวบุปผา เธอก็ยังจะไม่ได้เห็นเงินหมื่นนึงนั่นหรอก”
พูดจบกำพลก็เดินออกไปทันที มุกกระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ
เวลาเดียวกันบุปผากำลังยกสำรับเสิร์ฟคุณๆ บนเรือน โดยมีสร้อยควบคุมการทำงานอยู่อย่างใกล้ชิด
“วางจานลงบนโต๊ะค่อยๆ อย่าให้มีเสียง”
บุปผาทำตามทุกอย่างได้อย่างดี จนกระทั่งถึงตรงหน้านายพลเทพ ทันทีที่ท่านนายพลเงยหน้ามองหน้าบุปผา
บุปผาเองก็มองหน้าตอบ เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้เข้าใกล้พ่อบังเกิดเกล้าอย่างนี้ บุปผาจึงเกิดอาการชะงัก ขึ้นมาอย่างกะทันหัน รู้สึกแปลกๆ โดยไม่รู้สาเหตุ จนเผลอทำชามแกงหกใส่นายพลเทพ
สร้อยร้องเอ็ดตะโร “ตายแล้ว นังบุปผา ทำไมซุ่มซ่ามอย่างนี้”
“บุปผาขอโทษค่ะท่าน บุปผาขอโทษ”
มณีไม่โกรธ เพียงแค่หัวเราะเบาๆ “เฮ้อ..เด็กบ้านนอกก็อย่างงี้นะคะคุณ ยังหยิบจับอะไรไม่ค่อยถูก อย่าถือสาเลยนะคะ”
เทพพูดอย่างเมตตา “ช่างเถอะ ฉันไม่ถือสาหรอก”
สร้อยเอ็ดเบาๆ “รีบเก็บเข้าสิ..นังบุปผา”
“ค่ะๆ” บุปผารีบเก็บ รีบเช็ดของสกปรกจากตัวเทพ
“แม่ขา..มัทขออนุญาตแม่พาบุปผาไปที่โรงพยาบาลพี่ต้นได้ไม๊คะ คือมีคนไข้ความจำเสื่อมคนหนึ่งคิดว่าบุปผาเป็นคนรู้จัก พี่ต้นเลยคิดว่า บางทีถ้าเขาได้เห็นหน้าบุปผาบ่อยๆ ก็อาจจะจำความขึ้นมาได้อีกน่ะค่ะ”
“เอาสิ บุปผาไปช่วยเขาได้ไม๊”
บุปผายิ้มซื่อตาใส “ได้ค่ะ”
“งั้นแม่ก็อนุญาตจ้ะ”
มัทนากับบุปผายิ้มดีใจ แต่ด้วยความคิดกันคนละอย่าง
ไม่นานหลังจากนั้น ไอศูรย์ขอบอกขอบใจบุปผาเป็นการใหญ่
“ฉันต้องขอบคุณบุปผามากนะที่อุตส่าห์มาช่วย”
“บุปผาดีใจค่ะที่จะได้ช่วย จะให้บุปผาทำอะไรบ้างคะ”
ไอศูรย์หันไปหาปรีชาเพื่อให้ช่วยอธิบายแทน
“หมอต้นบอกผมว่า ป้ารุ่งดูจะถูกชะตากับคุณมากกว่าใคร หมอเลยอยากให้คุณค่อยๆ คุยกับเขา เรื่องสัพเพเหระอะไรก็ได้ ให้เขาคุ้นเคยกับคุณเสียก่อน แล้วค่อยขยับไปการรักษาขั้นต่อไปทีหลัง”
บุปผามีท่าทางเต็มอกเต็มใจมาก “ได้ค่ะหมอ”
ทุกคนรู้สึกดีมองบุปผาอย่างชื่นชม
ไม่นานต่อมาบุปผาค่อยๆ นั่งลงตรงหน้าอิ่ม ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน คนอื่นๆ ยืนมองอยู่ห่างๆ
“ป้ารุ่งจ๋า...ฉันชื่อบุปผานะจ๊ะ”
อิ่มส่ายหน้าพึมพำ “อุ่น”
“ไม่ใช่อุ่นจ้ะ บุปผาต่างหาก”
อิ่มยังยืนยัน “อุ่น”
“เอ้า..อุ่นก็อุ่น…”
อิ่มยิ้มแล้วจับมือบุปผาไว้ ดีใจเหมือนได้เจอคนคุ้นเคย ขณะที่ไอศูรย์ มัทนา และปรีชา ที่ยืนมองอยู่ห่างๆ ทุกคนยิ้มดีใจที่เห็นอิ่มมีท่าทางเป็นมิตรกับบุปผาอย่างดี
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ป้ารุ่งแกยอมพูดกับใครดีๆ อย่างนี้ ไม่งั้นนะ..ถ้าไม่อาละวาด ก็ไม่ยอมพูดกับใครเลย” ปรีชาว่า
“ป้ารุ่งคงจะถูกชะตากับบุปผาน่ะค่ะ”
“ขอบคุณนะครับน้องมัทที่อุตส่าห์ให้บุปผามาช่วยเรา”
มัทนาบอก “แต่มัทคงต้องยกความดีนี้ให้บุปผาค่ะ เพราะถ้าบุปผาเขาไม่อยากมา มัทก็คงบังคับเขาไม่ได้ บุปผาเป็นคนดีจริงๆ เลยนะคะพี่ต้น”
สองคนยิ้มให้แก่กัน บุปผาเหลียวมามอง เห็นสองคนยิ้มให้กันก็อิจฉา เลยคิดแผนชั่วอะไรบางอย่างขึ้นมา หันไปกระซิบกระอิ่ม โดยไม่ให้ใครได้ยิน
“ฉันได้ยินมาว่าหลานป้ารุ่งหายไปใช่ไม๊จ๊ะ”
“ใช่ๆ หลานหาย...หายไป”
“ป้าจ๋า...ฉันรู้นะว่าใครเอาหลานป้าไป”
อิ่มตาโต “ใคร...เอา...หลานไป”
บุปผาชี้ไปที่มัทนา อิ่มมองตาม เห็นมัทนาคุยอยู่กับไอศูรย์และปรีชาอยู่
และโดยที่ไม่มีใครคาดคิด อิ่มก็พุ่งเข้าไปบีบคอมัทนาอย่างรวดเร็ว
“เอาหลานฉันคืนมานะ”
ทุกคนตกตะลึงไปตามๆ กัน อิ่มบีบคอมัทนาแรงขึ้นๆ จนมัทนามีสีหน้าเจ็บปวด
“เอาหลานฉันคืนมา” อิ่มตะโกนก้อง
อ่านต่อตอนต่อไป
อิ่มตั้งหน้าตั้งตาบีบคอมัทนา พร้อมกับเขย่าๆ อย่างแรง
“แกเอาหลานฉันไปไว้ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้นะ”
มัทนาพูดไม่ออก พยายามจะผลักอิ่มออกไป แต่เรี่ยวแรงอิ่มมากมายกว่าคนธรรมดา
มัทนาเริ่มหน้าเขียวเหมือนจะขาดใจ ไอศูรย์กับปรีชาได้สติ รีบพุ่งเข้าไปดึงตัวอิ่มออกมาจากมัทนาอย่างสุดกำลัง ปรีชาเรียกบุรุษพยาบาลให้มาช่วยกันตัวอิ่มออกไป บุปผาได้โอกาสเข้าไปประคองมัทนาไว้ ทำทีเป็นห่วงใย
“คุณหนูเป็นยังไงบ้างคะ เจ็บมากไม๊คะ”
มัทนายังพูดอะไรไม่ออก ไอศูรย์เข้ามาอีกคน
“น้องมัท..เป็นยังไงบ้าง”
มัทนายังเสียขวัญอยู่ “พี่ต้น”
ไอศูรย์ตัดสินใจรวบตัวมัทนามากอดไว้ บุปมามองอย่างอิจฉา
“โอ๋ๆ ขวัญเอ๊ยขวัญมานะจ๊ะน้องมัท ไม่มีใครทำอันตรายน้องมัทได้แล้วล่ะจ้ะ ไปนั่งก่อนเถอะจ้ะ”
ไอศูรย์ประคองมัทนาไปนั่งทีท่าทะนุถนอม ไม่มีใครสนใจบุปผาเลย บุปผามองตามไอศูรย์ที่ประคองมัทนาไปแล้วแอบเบ้ปากด้วยความริษยาอย่างแรง อดรนทนไม่ได้ เข้าไปแทรก
“คุณหมอไปดูอาการป้ารุ่งเถอะค่ะ เดี๋ยวบุปผาดูแลคุณหนูเอง”
ไอศูรย์ปฏิเสธ “ไม่เป็นไร บุปผาตามไปดูป้ารุ่งเถอะ ผมจะดูน้องมัทเอง”
บุปผาแอบทำหน้าไม่พอใจอย่างแรง จำต้องเดินไป แต่ไม่วายหันกลับมามองไอศูรย์ที่ดูแลมัทนาอย่างดี ด้วยความอิจฉาอย่างที่สุด
ด้านหมอปรีชากำลังฉีดยาระงับประสาทให้อิ่มอยู่ โดยมีบุรุษพยาบาลอยู่ช่วยด้วย อิ่มหลับลงอย่างรวดเร็วเพราะฤทธิ์ยา บุปผาเดินมาดูที่หน้าห้อง ไม่ได้แคร์อิ่มเลย เบ้ปากอย่างเบื่อๆ บ่นบ้ากับตัวเอง
“ฮึ! อีป้าบ้า! แกน่าจะบีบคอนังคุณหนูขี้แยนั่นให้คอหักตายไปเลยรู้ไม๊ ฮึ่ย”
บุปผาเซ็งสุดๆ
ไม่นานหลังจากนั้น ไอศูรย์เดินมาส่งมัทนากับบุปผาขึ้นรถกลับบ้าน สินรออยู่ที่รถอยู่แล้ว
“น้องมัทแน่ใจนะจ๊ะไม่เป็นอะไร”
มัทนาจับตรงคอตัวเองตรงที่ถูกอิ่มบีบคอ “ค่ะ เจ็บไม่มากหรอกค่ะ แต่ตกใจมากกว่า”
“ก็น่าตกใจอยู่หรอกที่อยู่ๆ ป้ารุ่งแกก็ลุกขึ้นมาทำร้ายคนอย่างนี้ ทั้งๆ ที่ระยะหลังมานี่ ป้ารุ่งแกสงบลงมากแล้ว”
บุปผาขัดขึ้น “ลงว่าเป็นคนบ้า เราเดาใจเขาไม่ออกหรอกค่ะคุณหมอ”
มัทนาแก้แทน “ป้ารุ่งแกไม่ได้บ้าสักหน่อยบุปผา แกความจำเสื่อมต่างหาก” มัทนาบอกกับไอศูรย์ “แล้วป้ารุ่งแกก็คงไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายน้องมัทหรอกค่ะ พี่ต้นอย่าบอกเรื่องนี้กับคุณพ่อคุณแม่น้องมัทนะคะ น้องมัทไม่อยากให้ท่านกังวล”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ ในขณะที่มัทนาสีหน้ากังวล ส่วนบุปผา คิดอะไรบางอย่างได้
ตกตอนเย็น ทับทิมออกอาการตาโตด้วยความตกใจ
“ว้าย ตายจริง แล้วคุณหนูเป็นยังไงมั่งล่ะนังบุปผา”
บุปผาเป็นคนเอาเรื่องนี้มาเล่าให้เหล่าคนใช้ฟัง ทุกคนกลุ้มรุมฟังกันอย่างตื่นเต้นมาก
“ก็เจ็บน่ะสิจ๊ะป้า นี่ถ้าคุณหมอไอศูรย์เข้าไปช่วยไม่ทัน มีหวังคุณหนูเรา..โดนป้าบ้านั่นหักคอไปแล้วล่ะจ้ะ”
เหล่าคนใช้อื่นๆ ต่างฮือฮา วิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับมัทนากันยกใหญ่ บุปผาแอบมองหน้าสร้อย เห็นสร้อยสีหน้าวิตกกังวลเป็นห่วงมัทนา บุปผาแอบยิ้มสมใจ
ด้านคุณหญิงมณี กอดมัทนาด้วยท่าทางเป็นห่วงสุดชีวิต
“เกิดเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ขึ้น ทำไมมัทไม่เล่าให้แม่ฟัง”
“แล้วคุณแม่รู้เรื่องนี้มาจากที่ไหนคะ”
“แม่จะรู้เรื่องมาจากไหนมันก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า..เกิดเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ ทำไมมัทไม่เล่าให้แม่ฟัง”
“ก็มัทไม่อยากให้คุณแม่ตกใจนี่คะ”
“แล้วมัทเป็นอะไรมากรึเปล่าลูก”
“มัทไม่เป็นอะไรหรอกค่ะคุณพ่อ แค่ตกใจเท่านั้น”
มณีนิ่งคิด “แม่จะไม่ให้มัทไปช่วยงานที่โรงพยาบาลอีก” รีบดักคอทันที “ห้ามเถียง แม่ไม่อยากให้มัทต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับคนบ้าคนหนึ่งอีก”
มัทนามีสีหน้าร้อนใจ หันไปหาพ่อให้ช่วย แต่นายพลเทพกลับพูดหน้าตาเฉย
“พ่อเห็นด้วยกับแม่เขานะลูก”
มัทนาหน้าเสียทันที บุปผาได้โอกาส
“ถ้างั้นให้บุปผาไปช่วยคุณหมอไอศูรย์คนเดียวก็ได้ค่ะ เพราะปกติป้ารุ่งแกก็พูดแต่กับบุปผาคนเดียวอยู่แล้วค่ะ”
สร้อยระแวง ไม่ไว้ใจบุปผา และไม่อยากให้ไปใกล้ชิดกับไอศูรย์
“ไม่ดีมั้ง ฉันว่าให้พวกหมอๆ เขารักษาอียายป้าบ้านั่นกันไปเองเถอะ อย่างแก..จะไปช่วยอะไรเขาได้”
บุปผานิ่งไปทันที นึกโกรธสร้อย แต่ไม่แสดงออก แต่มัทนากลับเห็นดีด้วย
“ถ้าคุณแม่ไม่ให้มัทไป ก็ให้บุปผาไปเถอะนะคะ มัทไม่อยากให้พี่ต้นรู้สึกว่ามัทรับปากเขาแล้วไม่รับผิดชอบ”
มณีนิ่งไปครู่หนึ่ง “เอ้า..ก็ได้จ้ะ”
มัทนากับบุปผายิ้มออก แต่สร้อยทำหน้าไม่พอใจ บุปผาหันไปเห็นสีหน้าสร้อยก็นิ่งไป
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวน ตอนที่ 3 (ต่อ)
บุปผาเดินกลับมาที่ห้อง สีหน้าแค้นเคืองใจมาก
“ฮึ อีสร้อย คิดจะกีดกันฉันจากคุณหมอเรอะ แกรู้จักอีบุปผาคนนี้น้อยเกินไปเสียแล้ว”
บุปผาแค้นจัดคิดหาทางเอาคืนสร้อย
ค่ำแล้วทับทิมกำลังนึ่งไข่ตุ๋นอยู่ เป็นถ้วยเล็กๆ หลายๆ ถ้วย บุปผาเดินเข้ามา
“ฉันช่วยนะจ๊ะป้า”
ทับทิมไม่เงยหน้าจากงานที่ทำอยู่ “เออ เอาสิ ช่วยเอาลังถึงไข่ตุ๋นนั่นขึ้นตั้งบนเตาทีก็แล้วกัน”
บุปผายิ้ม หันไปมองดูว่าทับทิมไม่สนใจตนแน่แล้ว บุปผาก็ล้วงหยิบเอาแปรงสีฟันออกมาจากกระเป๋า แล้วเอาถูๆๆๆๆ ฟันตัวเอง แล้วเอาลงไปกวนๆๆๆๆ ในถ้วยไข่ตุ๋นใบหนึ่ง ก่อนจะเอาลังถึงไข่ตุ๋นทั้งหมดขึ้นตั้งบนเตา บุปผายิ้มสะใจ
สร้อยคัดค้านเรื่องบุปผา หัวชนฝา
“จะดีรึคะคุณหญิง ที่จะให้แม่บุปผานั่นไปที่โรงพยาบาลตามลำพังน่ะค่ะ สร้อยกลัวค่ะ ปล่อยให้ผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ใกล้ชิดกันมากๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้นะคะคุณหญิง”
“ที่โรงพยาบาลนั่น คนออกจะเยอะแยะ แม่บุปผาไม่ได้ไปอยู่กับพ่อต้นตามลำพังสองคนเสียหน่อย แล้วอีกอย่าง ฉันก็มั่นใจว่าผู้ชายอย่างพ่อต้นไม่ใช่ผู้ชายมักง่าย”
สร้อยย้อน “ว่าได้หรือคะ ท่านนายพลก็ไม่ใช่ผู้ชายมักง่ายเหมือนกันล่ะค่ะ แล้วเป็นไงคะ” สร้อยกระซิบบอก “ถ้าตอนนั้นเราไม่ได้สืบจนรู้เรื่องนังอุ่นกับลูกมันเสียก่อน ป่านนี้คุณหญิงคงได้มีลูกเลี้ยงอายุพอๆ กับคุณหนูมัทนาแล้วล่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“เอาเถอะ..เรื่องนั้นมันก็ผ่านมานานแล้ว จะไปพูดถึงมันทำไมอีก แล้วตอนนี้ท่านนายพลก็อยู่กับร่องกับรอย และไม่มีโอกาสมีลูกกับใครได้อีกแล้ว”
คุณหญิงมณีมั่นใจว่าทุกอย่างอยู่ในความควบคุมแล้ว
ด้านนายพลเทพเดินมารับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล ดำเกิงเหรอ โทร.มามีธุระอะไรกับฉันรึ”
ฟังแล้วนายพลเทพก็มีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมาทันทีเมื่อคนจากปลายสายบอกอะไรบางอย่าง)
“พรุ่งนี้เช้า ไปพบฉันที่หลังกรม”
เทพวางสายลง แล้วสีหน้ามีความหวังอย่างยิ่งยวด
คืนนั้นบุปผาถือถาดใส่ถ้วยไข่ตุ๋นเข้ามาเสิร์ฟทุกคน ซึ่งกำลังล้อมวงเตรียมจะกินข้าวกันอยู่ สวิงลุกขึ้นช่วยบุปผาแจกถ้วยไข่ตุ๋นให้แก่คนใช้ทุกคน แต่บุปผาคว้าถ้วยที่เอาแปรงสีฟันลงไปกวนจากมือสวิงไว้ก่อน สวิงมองบุปผาอย่างสงสัย แต่บุปผาทำไม่รู้ไม่ชี้ เอาถ้วยใบนั้นวางตรงหน้าสร้อย ที่เพิ่งเดินเข้ามานั่งร่วมวงกับคนอื่นๆ แล้วบุปผาก็หยิบถ้วยอื่นแจกคนอื่นต่อไป โดยไม่มีใครสังเกตเห็นความจงใจนี้ของบุปผานอกจากแสง
บุปผายังไม่รู้ตัวว่าแสงจับตามองอยู่ เพราะมัวแต่มองดูสร้อยเอาช้อนตักไข่ตุ๋นจากถ้วยที่บุปผาเอาแปรงสีฟันลงไปกวนใส่ปากกินอย่างเอร็ดอร่อย บุปผายิ้มสะใจ
เหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ในสายตาของแสงโดยตลอด
ขณะที่บุปผาเดินยิ้มอารมณ์ดีมา สะใจที่สร้อยกินขี้ฟันของตัวเองโดยไม่รู้ตัว แล้วทันใดนั้นแสงก็โผล่พรวดออกมาจากมุมตึก คว้าข้อมือบุปผาไว้
“บอกมานะ! ว่าแกเอาอะไรใส่ลงไปในถ้วยไข่ตุ๋นแม่ฉัน”
บุปผาตกใจ แต่กลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว สะบัดข้อมือออกจากแสง
“จะบ้าเรอะพี่แสง ฉันจะเอาอะไรใส่ลงไป ไข่ตุ๋นมันก็เหมือนๆ กันหมดทุกถ้วยนั่นแหละ”
“ไม่เหมือน ! ถ้วยที่แม่ฉันกิน มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ สารภาพกับฉันมาเสียดีๆ นะ ไม่งั้นฉันจะไปบอกแม่”
บุปผาลอยหน้าท้า “อยากไปบอก..ก็ไปบอกเลย พี่แสงไม่มีหลักฐานอะไรจะมาปรักปรำฉันได้หรอก”
“พูดอย่างนี้แสดงว่าเธอใส่อะไรลงไปในนั้นให้แม่ฉันกินจริงๆ ใช่ไม๊” แสงคว้าข้อมือบุปผามาบิดอย่างแรง
บุปผาร้องโอ๊ย พยายามจะดึงมือออกแต่สู้แรงแสงไม่ได้ ทันใดนั้นสินก็โผล่พรวดเข้ามากระโดดถีบแสงเปรี้ยง แสงล้มหงายไปเลย บุปผารีบหลบหลังสิน
“พี่สินช่วยฉันด้วย พี่แสงลวนลามฉัน”
“อีกแล้วเรอะ แก”
สินพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อแสงขึ้นมาแล้วจะชกอีก แต่ทันใดนั้นสร้อยก็วิ่งเข้ามาขวางไว้
“หยุด พอที ไอ้แสง แกเลิกยุ่งกับนังบุปผามันสักทีได้ไม๊ แล้วไอ้สิน แกพานังบุปผากลับห้องไปทีไป๊ แล้วอย่าให้ฉันรู้นะว่าพวกแกมีเรื่องแบบนี้กันอีกไม่งั้น...ไม่ใครก็ใคร ต้องได้ระเห็จออกจากบ้านเทพบริบาลนี่แน่”
สินสะบัดหน้าแล้วพาบุปผาออกไปทางหนึ่ง แสงก็ฮึดฮัดๆ ออกไปอีกทางหนึ่ง สร้อยถอนใจใหญ่ด้วยความกลัดกลุ้ม แล้วเดินออกไปทางเดียวกับแสง
แสงเดินมากระแทกตัวนั่งลงบนเตียงอย่างอารมณ์เสีย สร้อยเดินตามเข้ามา
“แกลวนลามนังบุปผามันจริงเหรอแสง”
“ฉันเปล่า”
“แล้วทะเลาะกันเรื่องอะไร”
“ก็ฉันสงสัยว่า..ฮึ่ย พูดไปก็เท่านั้นแหละแม่ ไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่าง แต่ฉันว่านังบุปผานี่มันไม่ได้ใสซื่อบริสุทธิ์อย่างที่มันแสร้งทำตัวหรอกนะแม่”
สร้อยนิ่ง คิดอย่างเดียวกัน แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรพิสูจน์ เลยตัดบท
“เอาเถอะๆ มันจะเป็นคนแบบไหนแน่ สักวันเราก็คงได้รู้ แต่ฉันขอเตือนแกก่อนนะไอ้แสง อยู่ห่างๆนังบุปผาเอาไว้ แกก็รู้ว่าไอ้สินมันหวงน้องสาวมันยังกับอะไรดี เพราะฉะนั้นแกก็อย่าไปยุ่งกับมัน ไม่งั้น..สักวันแกจะต้องเดือดร้อนเพราะมัน เข้าใจไม๊”
แสงพยักหน้ารับ สร้อยไม่ชอบบุปผามากขึ้นทุกทีๆ
ด้านบุปผาจะเดินกลับห้อง สินตามมาแล้วดึงแขนไว้
“ตกลงไอ้แสงมันลวนลามบุปผาจริงๆ ใช่ไม๊”
“ก็ใช่น่ะสิพี่สิน ถามยังงี้... ไม่เชื่อฉันรึไง”
“เชื่อๆๆๆๆๆ สิจ๊า พี่ก็เห็นอยู่ว่าไอ้แสงมันชอบมองบุปผาไม่วางตาเลย พี่ไม่สบายใจเลยรู้ไม๊ พี่กลัวว่า..สักวัน..บุปผาจะเสียท่ามัน”
“คนอย่างฉัน ไม่เสียทีใครง่ายๆหรอก”
สินเปลี่ยนเรื่อง ตาเป็นประกาย “บุปผาจ๋า...พี่พาบุปผาเข้ามาอยู่ที่นี่ก็หลายวันแล้ว บุปผาจะไม่ให้รางวัลพี่หน่อยเหรอ”
บุปผานิ่ง สินเลยเดินเข้าไปกอดบุปผา บุปผาไม่บ่ายเบี่ยง รู้ว่าถ้าเล่นตัวทุกครั้งเดี๋ยวสินจะโกรธแล้วพลอยลำบากไปด้วย บุปผายอมให้นายสินไซ้ซอกคอตามสบาย แต่พอนายสินจะรุกมากกว่านั้น บุปผาก็ยันอกไว้แล้วมองซ้ายมองขวา แล้วฉุดมือนายสินให้ไปที่หลังพุ่มไม้ในมุมมืดของสวนเพราะกลัวว่าใครจะมาเห็น สินยิ้มย่องดีใจมาก
“ชื่นใจจริงบุปผา รู้ไม๊ว่ายิ่งได้เข้ามาอยู่ในบ้านเดียวกันอย่างนี้ แต่แตะต้องไม่ได้ มันทรมานใจพี่ขนาดไหน”
สินผลักบุปผาให้นอนลงแล้วโดดขึ้นคร่อมร่างบุปผา แล้วเริ่มต้นซุกไซ้อย่างคลั่งไคล้)
รุ่งเช้าคุณหญิงมณี นายพลเทพ นั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว มัทนารีบวิ่งเข้ามานั่ง
“ขอโทษค่ะที่มัทลงมาช้า มัวแต่คุยโทรศัพท์กับพี่ต้นเรื่องที่ว่ามัทจะไม่ไปช่วยที่โรงพยาบาลแล้วน่ะค่ะ”
มณีเป็นกังวล “แล้วพ่อต้นเข้าใจใช่ไม๊”
“ค่ะแม่”
สร้อยกับสวิง และบุปผาเข้ามาเสิร์ฟอาหารเช้า
“บุปผาไปคนเดียว ก็อย่าทำอะไรกะเล่อกะล่าให้ขายหน้ามาถึงฉันล่ะ” มณีบอก
บุปผารับคำทำท่าเรียบร้อยมาก “ค่ะคุณหญิง”
“เอ้อ..คุณหญิง วันนี้ผมมีงานราชการถึงช่วงค่ำนะ คงจะกลับบ้านช้าหน่อย”
“ให้นายสินขับรถให้ไม๊คะคุณ” มณีถาม
เทพตอบทันที “ไม่ต้องหรอก ผมขับไปเองสะดวกกว่า เพราะไม่รู้จะเสร็จราชการเมื่อไหร่”
“ค่ะคุณ”
นายพลเทพสีหน้าพอใจ
ทุกคนเดินออกมาส่งนายพลเทพขึ้นรถไปทำงาน นายพลเทพโบกมือลาคุณหญิงมณีแล้วขึ้นรถขับออกไป สีหน้าเคร่งขรึม แต่พอขับออกมาได้หน่อย นายพลเทพก็มองกระจกส่องหลัง
เห็นคุณหญิงมณีกับมัทนายืนมองตามหลังรถมา โดยมีบุปผานั่งอยู่ข้างๆ
นายพลเทพ มีความในใจที่บอกใครไม่ได้
เวลาต่อมา นายพลเทพยืนรอใครบางคนอยู่ที่หลังกรม ด้วยท่าทางกระวนกระวาย สักครู่ดำเกิงก็เดินเข้ามา นายพลเทพรีบเดินเข้าไปหาทันที ร้อนใจไม่รอให้ดำเกิงต้องเดินเข้ามา
“ว่ามาสิดำเกิง ที่ว่ามีข่าวน่ะ ข่าวอะไร”
“ที่ท่านให้กระผมเป็นธุระเรื่องขายที่ดินที่เคยเป็นบ้านของคุณอุ่น กระผมก็เลยได้พบกับชาวบ้านแถวนั้น เขาเล่าให้กระผมฟังว่าคืนที่เกิดไฟไหม้นั้น มีคนเห็นคุณอิ่ม พี่สาวคุณอุ่น วิ่งอุ้มเด็กทารกคนหนึ่งออกจากบ้านแล้วก็หายตัวไปตั้งแต่นั้น กระผมจึงคิดว่าเด็กทารกที่คุณอิ่มอุ้มหายไปคืนนั้น น่าจะเป็นลูกของท่านขอรับ”
เทพตะลึง “ก็ไหนว่าแม่อุ่นตายพร้อมลูกในท้องอย่างไรเล่า”
“แต่ตอนที่พบศพคุณอุ่นหลังจากไฟมอดแล้วนั่น สภาพศพไหม้เกรียมจนไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีลูกอยู่ในท้องหรือไม่นี่ขอรับท่าน”
เทพหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น “หมายความว่า..ลูกฉัน ที่เกิดกับแม่อุ่น ยังอาจจะมีชีวิตอยู่ใช่ไม๊ดำเกิง”
“ก็ถ้าเราสามารถหาตัวคุณอิ่มพบ เราก็คงจะได้รู้ความจริงกันละขอรับท่าน แต่มันอาจจะไม่ง่าย เพราะเรื่องมันผ่านมานานเกือบ 20 ปีแล้วนะขอรับท่าน”
เทพตัดสินใจทันที “ถึงจะไม่ง่าย แต่ฉันก็จะต้องรู้ให้ได้ว่าลูกฉันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ดำเกิง จะต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่ก็เสียไป แต่ต้องสืบให้ได้ว่าแม่อิ่มไปอยู่ที่ไหน และเด็กที่แม่อิ่มอุ้มหายไปในคืนนั้นใช่ลูกฉันหรือไม่”
สีหน้านายพลเทพ ดูตื่นเต้นและมีความหวังกับข่าวใหม่ที่ได้รู้นี่เป็นอย่างยิ่ง
เย็นวันนั้นบุปผาแต่งตัวเรียบร้อยมายืนรออยู่ที่รถแล้ว สร้อยเดินเข้ามา มองสำรวจบุปผาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“แต่งตัวให้สะอาดสะอ้านเรียบร้อยนะแก อย่าให้คุณหมอไอศูรย์เขาดูถูกคนบ้านเราเอาได้”
บุปผารับคำท่าทีสงบเสงี่ยม “ค่ะ”
“แล้วเดี๋ยวให้นายสินเขารอรับแกกลับมาบ้านด้วยนะ” สร้อยบอก
“ค่ะ”
สินเดินเข้ามา ไม่ทันได้ยินว่าสร้อยสั่งอะไรบุปผา
“เอ้า..ไปกันได้แล้ว”
บุปผากับนายสินขึ้นรถแล้วขับออกไป
ไม่นานต่อมาสินขับรถมาจอดที่หน้าโรงพยาบาล
“เดี๋ยวพี่สินกลับบ้านไปได้เลยนะ” บุปผาบอก
“อ้าว..แล้วเดี๋ยวบุปผาจะกลับบ้านยังไงละจ๊ะ”
“ฉันหาทางกลับบ้านได้เองแหละน่า แต่พี่สร้อยสั่งให้ฉันบอกพี่สินว่า..ส่งฉันเสร็จแล้วให้พี่กลับบ้านเลย เพราะวันนี้ท่านนายพลจะกลับดึก พี่สร้อยอยากให้พี่สินกลับไปช่วยเฝ้าบ้านน่ะ”
“เอางั้นเหรอ ก็ได้ๆ แล้วบุปผาเสร็จแล้ว...กลับบ้านทันทีเลยนะจ๊ะ อย่าเถลไถลไปที่ไหนล่ะ”
“รู้แล้วล่ะน่า” บุปผาลงจากรถไป
สินมองตามอย่างเป็นห่วง พอเห็นบุปผาเดินเข้าไปในโรงพยาบาลแล้วก็ขับรถกลับบ้านไป บุปผาหยุดเดินแล้วหันไปแอบดู เห็นสินไปแน่แล้วก็เบ้ปากทำหน้าเบื่อ แล้วหยิบเครื่องสำอางที่แอบพกมา เอาขึ้นมาแต่งหน้าบางๆ พอให้มีสีสันสดใสขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ฉูดฉาด
แล้วสำรวจเสื้อผ้าหน้าผมทุกอย่างจนพอใจ
ครู่ต่อมาไอศูรย์กำลังเดินคุยมากับบุปผาตามทางเดิน
“หมอปรีชาก็แปลกใจนะ..ทำไมเมื่อวานป้ารุ่งถึงได้ลุกขึ้นทำร้ายน้องมัทอย่างนั้น ทั้งที่ระยะหลังมานี่ป้ารุ่งอาการดีขึ้นมากแล้ว แม้จะยังจำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่อาละวาดเหมือนแต่ก่อน”
บุปผาทำเป็นพยักหน้ารับรู้ “แล้ววันนี้จะให้บุปผาทำอะไรบ้างคะ”
“ค่อยๆ คุยกับป้ารุ่ง พี่หมอปรีชาอยากให้บุปผาพยายามถามชื่อแก ถ้าแกเริ่มจำชื่อตัวเองได้ บางทีเราอาจจะสามารถตามหาญาติแกได้บ้าง”
บุปผาพยักหน้ารับแล้วยิ้มหวานให้ไอศูรย์ ไอศูรย์มองแว่บเดียวแล้วก็เดินต่อ ไม่ได้สนใจบุปผามากเกินควร บุปผาไม่ยอมแพ้
ทันใดนั้นอิ่มก็วิ่งเข้ามากอดบุปผาไว้แน่น อิ่มเห็นผีอุ่นยืนอยู่ใกล้ๆ ผีอุ่นมองบุปผาอย่างรักใคร่ พยายามจะเรียกลูก แต่สื่อสารกับใครอื่นไม่ได้นอกจากอิ่ม ผีอุ่นจึงต้องใช้ปากอิ่มเป็นสื่อ“ลูก” ผีอุ่นว่า
อิ่มพูดตาม “ลูก”
บุปผายิ้มให้ “ฉันมาแล้วจ้ะป้ารุ่ง”
ผีอุ่นส่ายหน้า อิ่มก็ส่ายหน้าตาม
“ไม่ได้ชื่อรุ่ง ชื่อ...อุ่น” ผีอุ่นบอก
อิ่มพูดตามอุ่นทุกคำ “ไม่ได้ชื่อรุ่ง ชื่อ...อุ่น”
บุปผาเย้า ขำๆ “อ้าว ไหนเคยเรียกฉันว่า อุ่น ไงจ๊ะ ตกลงวันนี้..ป้าชื่อ อุ่น เสียแล้วหรือจ๊ะ”
อิ่มพยักหน้า บุปผาหันไปหัวเราะกับไอศูรย์ ไอศูรย์ก็พลอยขำไปด้วย ต่างเข้าใจว่าเป็นเพราะอาการเลอะเลือนของอิ่ม เลยเรียกชื่อสับสนไปหมด อิ่มกอดบุปผาแน่นอย่างรักใคร่
บุปผาหันไปกระซิบไอศูรย์ “วันนี้ป้ารุ่งฟุ้งไปใหญ่เลยนะคะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ และแล้วอิ่มก็มีท่าทางเหมือนจะเป็นลม ไอศูรย์กับบุปผารีบประคองร่างอิ่มเป็นโกลาหล
สร้อยเห็นนายสินกลับมาบ้านคนเดียวก็แปลกใจ
“อ้าว..ทำไมกลับมาเร็ว แล้วนังบุปผาล่ะ”
สินทำหน้างง “อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิพี่สร้อย ก็บุปผาบอกว่าพอฉันส่งเสร็จก็ให้กลับมาเลย ให้มาช่วยเฝ้าบ้าน ไม่ใช่เหรอ”
สร้อยนิ่งไป แล้วพยักหน้าหงึกหงัก ไม่พูดอะไรอีก แต่สีหน้าครุ่นคิด
หมอปรีชากำลังตรวจดูอาการอิ่มที่นอนอยู่ แล้วหันมาส่ายหน้ากับไอศูรย์และบุปผาที่ยืนรอฟังอาการอยู่ใกล้ๆ
“วันนี้ให้บุปผากลับไปก่อนก็ได้นะต้น ปล่อยให้ป้ารุ่งนอนหลับไปก่อนเถอะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับแล้วพาบุปผาเดินออกไป บุปผาแสร้งทำหน้าเสีย
“แต่พี่สินกลับไปบ้านแล้วน่ะค่ะคุณหมอ อีก 3 ชั่วโมงถึงจะกลับมารับบุปผาใหม่”
“ไม่เป็นไร งั้นฉันจะขับรถไปส่งบุปผากลับบ้านเอง”
บุปผายิ้มร่าออกมาทันที
ไอศูรย์ขับรถพาบุปผากลับบ้าน บุปผานั่งหน้ามาด้วยสีหน้าระรื่น แต่ไอศูรย์มัวแต่คิดเรื่องอิ่ม
“แปลกจริง..ทำไมจู่ๆ ป้ารุ่งก็เป็นลมไปเสียเฉยๆ อย่างนั้น”
บุปผาเหลือบมองไอศูรย์ แล้วคิดแผนได้ เลยทำท่าเหมือนจะเป็นลมขึ้นมาบ้าง
บุปผาร้อง “โอย”
ไอศูรย์หันมามอง
“อ้าว..บุปผา เป็นอะไรไป”
บุปผาไม่ตอบ แต่ทำท่าคอพับคออ่อนพิงประตูรถหลับตาแล้วนิ่งไป ไอศูรย์รีบเบนรถจอดเข้าข้างทางทันที
“บุปผา! บุปผา”
เพชรนั่งรถมากับเพื่อนตำรวจ โดยที่เพื่อนตำรวจเป็นคนขับ แล้วเพชรก็เห็นรถไอศูรย์จอดอยู่ข้างทาง เพชรชะเง้อมอง เห็นไอศูรย์กำลังชะโงกดูอาการบุปผาอยู่ ซึ่งดูเผินๆ เหมือนไอศูรย์กำลังจูบกับบุปผา
เพชรร้อง “เฮ้ย”
“มีอะไรเหรอวะเพชร” เพื่อนสงสัย
เพชรโบกมือเป็นเชิงว่าไม่มีอะไร แล้วเม้มปากหน้าเครียดไปเลย รถเพชรแล่นลับตาไป
ไอศูรย์กำลังร้องเรียกบุปผา
“บุปผา...บุปผา”
บุปผาค่อยๆปรือตาขึ้น “บุปผาเป็นอะไรไปคะหมอ”
“บุปผาเป็นลมน่ะ บุปผาหิวรึเปล่า”
บุปผาทำท่าคิด “คงอย่างนั้นน่ะค่ะ เพราะวันนี้ทำงานวุ่นๆ ทั้ง วัน แล้วก็รีบมาที่โรงพยาบาล เลยยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“โธ่.. งั้นเอาอย่างนี้ ไหนๆ วันนี้ก็กลับเร็วแล้ว ฉันจะพาเธอไปหาอะไรทานก่อนกลับบ้าน เพื่อเป็นการขอบคุณที่เธอมาช่วยงานที่โรงพยาบาลด้วย..ดีไม๊”
บุปผารีบพยักหน้า ยิ้มร่าออกมาทันที
ไม่นานต่อมา ไอศูรย์สั่งอาหารกับบริกรหลายอย่าง บุปผามองอย่างปลาบปลื้ม
“บุปผาอยากสั่งอะไรเพิ่มอีกหรือเปล่า”
บุปผาส่ายหน้า “ที่คุณหมอสั่งไปนั่นก็มากจนจะทานไม่หมดแล้วล่ะค่ะ”
“ก็ฉันเห็นเธอหิว แล้วก็อยากให้เธอได้ทานเต็มที่ แต่ทานได้แค่ไหนก็แค่นั้นละ ถ้าไม่หมดก็ช่างมันเถอะ”
บุปผายกมือไหว้อย่างเรียบร้อย “บุปผาขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะที่เมตตาเด็กบ้านนอกอย่างบุปผา”
“ไม่เป็นไร”
บุปผายิ้ม มองไอศูรย์อย่างปลาบปลื้มมาก
ด้านคุณหญิงมณีกำลังเอาเครื่องเพชรออกมาดูอยู่กับมัทนา
“มัท แม่ว่าแม่จะเอาสร้อยชุดนี้ไปให้ช่างรื้อตัวเรือนออก เอามาทำเข็มกลัดกับตุ้มหูเข้าชุดกัน เผื่อจะเอาไว้ใส่วันงานหมั้นของหนูน่ะ..ดีไม๊ลูก”
“ก็ดีค่ะคุณแม่”
สร้อยเดินเข้ามาหา รายงาน “มีคนมาขอพบคุณหญิงค่ะ”
มณีชะงัก “ใคร”
หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหา
“ดิฉันเองค่ะ”
มณีมองอย่างสงสัย ไม่รู้จัก “เธอเป็นใคร มีธุระอะไรกับฉันเหรอ”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม “ดิฉันชื่อ พิม เป็นลูกสาวของท่านนายพลเทพค่ะ”
มณีผุดลุกขึ้นทันที “ไม่จริง ท่านนายพลมีลูกแค่คนเดียวคือลูกมัทนา แกโกหก”
“ดิฉันไม่ได้โกหก ดิฉันเป็นลูกสาวของท่านนายพลเทพจริงๆ และต่อจากนี้ไป..ดิฉันจะต้องเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพลด้วย จะต้องไม่มีลูกคนอื่นอีก”
พูดจบหญิงคนนั้นก็หันขวับไปจ้องมัทนาอย่างประสงค์ร้าย และโดยที่ไม่มีใครทันได้คิดอะไร หญิงสาวคนนั้นก็ล้วงเอามีดออกมา แล้วพุ่งเข้าจ้วงแทงมัทนา ที่ยืนงงอยู่ใกล้ๆคุณหญิงมณีอย่างไม่ยั้งเลย มัทนาร้องอย่างเจ็บปวด เลือดเปรอะไปทั่ว คุณหญิงมณีเห็นอย่างนั้นก็กรีดร้องสุดเสียง
“ไม่.....”
คุณหญิงมณีผุดลุกขึ้นตะโกนสุดเสียง แล้วนั่งหายใจหอบด้วยสีหน้าตื่นตระหนกสุดขีด สร้อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหญิงเป็นอะไรไปคะ”
มณีเริ่มตั้งสติได้ รู้ตัวว่าฝันไป ก็ถอนใจยาวอย่างโล่งอก
“ฉันฝันร้ายน่ะสร้อย ฝันว่า..จู่ๆ ก็มีคนมาหา มาบอกว่าเป็นลูกสาวอีกคนของท่านนายพล แล้วก็พุ่งเข้าทำร้ายยายมัท โอ๊ย..ภาพมันยังติดตาฉันอยู่เลย”
คุณหญิงมณียกมือขึ้นลูบหน้าอย่างเครียดๆ สร้อยเข้ามาปลอบ
“สร้อยว่าคุณหญิงคงกังวลกับเรื่องที่คุณชไมบอกว่าคุณหนูกำลังดวงร้าวจนเก็บเอามาฝันร้ายน่ะค่ะคุณหญิงอย่าลืมสิคะว่าท่านนายพลไม่มีทางจะมีลูกที่ไหนได้อีกแล้ว”
คุณหญิงมณีพยักหน้ารับอย่างเห็นจริงด้วย พลางถอนใจเฮือกใหญ่ สีหน้าผ่อนคลายลง
ส่วนบุปผากินข้าวคำสุดท้ายเสร็จ ก็พนมมือไหว้จานข้าวท่าทางเรียบร้อย พยายามจะสร้างภาพโชว์ความเป็นคนดีให้ไอศูรย์เห็น
“อิ่มไม๊”
บุปผายิ้มอายๆ “อิ่มค่ะ” พลางยกมือไหว้ไอศูรย์อีกครั้ง “บุปผาต้องขอบคุณคุณหมออีกครั้งนะคะ ถ้าไม่ได้คุณหมอ เด็กบ้านนอกอย่างบุปผาก็คงจะไม่มีโอกาสได้ทานอาหารดีๆ อย่างนี้”
“ฉันสิ ต้องขอบคุณเธอที่อุตส่าห์ไปช่วยงานที่โรงพยาบาล ทั้งๆ ที่ป้ารุ่งก็ไม่ใช่ญาติของเธอ เธอเป็นคนจิตใจดีจริงๆ..บุปผา”
บุปผาแสร้งยิ้มเอียงอาย แล้วก็มองไปที่ทางเข้าร้าน แต่ต้องชะงัก
บุปผาเห็นกำพลกับมุกกำลังจะเดินเข้ามาในร้าน บุปผาตาโตด้วยความตกใจ ผุดลุกขึ้นทันที
“บุปผาขอไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะคะหมอ”
ไอศูรย์พยักหน้า บุปผาลุกไป แต่ยังเหลียวกลับมามอง ก็เห็นว่ากำพลกับมุกมองมาพอดี
“เอ๊ะ..นั่นเหมือน..บุปผาเลยนะคะคุณกำพล”
บุปผาเห็นท่าไม่ดี รีบผลุบไปทางห้องน้ำหลังร้านทันที
บุปผาเดินหนีเร็วๆ เข้ามาที่หลังร้าน
“บ้าจริง ! ทำไมต้องมาเจอคุณกำพลกับอีนังพี่มุกที่นี่ด้วยนะ ไม่ จะให้เจอฉันไม่ได้ ไม่งั้นคุณหมอต้องรู้แน่ว่าฉันเคยอยู่ที่หอโคมแดงมาก่อน” ชะเง้อคอมองไปในร้าน
บุปผาเห็นกำพลกับมุกเดินผ่านโต๊ะที่ไอศูรย์นั่งอยู่ ตรงมาที่หลังร้านอย่างรีบร้อน
บุปผาตาโตด้วยความตกใจ มองไปที่ห้องน้ำ เห็นว่าเป็นทางตัน บุปผาเลยตัดสินใจวิ่งเข้าไปในครัวของร้าน กำพลกับมุกเดินเร็วๆ เข้ามา สายตาของกำพลและมุก เห็นหลังบุปผาวิ่งหายไปทางครัวไวๆ กำพลกับมุกรีบตามไปทันที สองคนมุ่งมั่นว่าวันนี้ต้องจับตัวบุปผาให้ได้
บุปผาวิ่งเข้ามาในครัว เห็นว่าไม่มีทางออกทางอื่นอีก บุปผาพยายามคิดหาทางหนีทีไล่ หันซ้ายหันขวา เห็นหม้อต้มน้ำเดือดใบหนึ่งตั้งอยู่บนเตา บุปผาคิดอะไรได้ ตัดสินใจยืนแอบข้างประตู พอกำพลกับมุกเปิดประตูเข้ามา บุปผาก็กระชากหม้อใบนั้นให้ตกลงพื้น น้ำเดือดหกกระจาย กำพลกับมุกร้องลั่นสะบัดขาเร่าๆ คนในครัวคนอื่นหันมามองเห็นว่าน้ำเดือดหกใส่กำพล และมุกก็รีบวิ่งเข้ามาดู
บุปผาฉวยจังหวะที่ทุกคนกำลังวุ่นวายโกลาหลกันอยู่ ผลุบออกจากครัวไปอย่างว่องไว
อ่านต่อตอนที่ 4