ไฟหวนตอนที่ 2
เพชรกับพลอย กำลังไหว้ทักทายคุณหญิงมณีกับนายพลเทพอย่างนอบน้อม ผู้ใหญ่ทั้งสองรับไหว้แล้วเยื้อนยิ้ม
คุณหญิงมณีและนายพลเทพคุ้นเคยกับพลอย เพื่อนรักของลูกสาวดีอยู่แล้ว แต่ไม่ค่อยได้พบกับเพชร เพราะไปเรียนอยู่เมืองนอกหลายปี
“แหม..ไม่เห็นไม่กี่ปี พ่อเพชรโตเป็นหนุ่มเต็มตัวเลยทีเดียว นี่ถ้าไปพบกันข้างนอก หรือไม่ได้พบพร้อมหนูพลอย ป้าคงจำพ่อเพชรไม่ได้” คุณหญิงว่า
“จบนายร้อยมาจากอังกฤษรึ” ท่านนายพลถาม
“ครับคุณลุง พอกลับมาถึงเมืองไทย..ผมก็รีบกลับมาไหว้ผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ รวมทั้งคุณลุง คุณป้าด้วย เพื่อรายงานตัวว่ากลับมาแล้ว..นี่ล่ะครับ” เพชรบอก
นายพลเทพยิ้ม “ดีๆ คนหนุ่มร่ำเรียนจบมาจากเมืองนอกเมืองนา จะได้เอาความรู้กลับมาช่วยกันพัฒนาประเทศ”
“พี่เพชรก็ตั้งใจอย่างนั้นเต็มที่เลยค่ะคุณลุงเทพขา…”
ทุกคนยิ้มแย้มชื่นมื่นให้กัน เพชรหันมามองมัทนา ด้วยแววตาหลงใหล คุณหญิงมณีเห็นแววตานั้นของเพชรก็นิ่งไป ดูออกว่าไม่ชอบใจนัก แต่ไม่แสดงอะไรออกมา เก็บอาการตามมารยาทสังคม
ทางด้านไอศูรย์กำลังเอายาแก้อักเสบให้บุปผาและอธิบายวิธีการใช้ให้
“ยานี่ต้องกิน 3 เวลาหลังอาหารนะครับ แล้วก็ต้องทำความสะอาดแผลทุกวัน วันแรกๆมาทำที่โรงพยาบาลนี่ก็ได้ แต่พอแผลแห้งแล้ว จะทำแผลเองที่บ้านก็ได้ครับ”
“ค่ะหมอ” บุปผามองไอศูรย์ตาไม่ยอมกระพริบ
แต่ไอศูรย์ไม่ได้สนใจนอกเหนือกว่าที่ควรจะเป็น
“เรียบร้อยแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
บุปผาไหว้ไอศูรย์อย่างชดช้อย และมองตามไอศูรย์ไปจนลับตา
ไม่นานต่อมาแลเห็นบุปผาเดินกลับเข้ามาที่หอพร้อมของกินมากมาย สีหน้าร่าเริงมาก คนอื่นๆ หันมามองอย่างสนใจ
“ไปไหนมาแต่เช้าเลยลูก” ผกาถาม
บุปผาชูมือให้ดู “ฉันทำมีดบาดมือน่ะแม่ เลยไปให้หมอเย็บ”
ผกาตกใจ “ถึงขั้นต้องเย็บเชียวเหรอลูก ไปทำอีท่าไหนถึงได้โดนมีดบาดขนาดจะต้องเย็บกันเลยทีเดียว”
บุปผาตัดบท “จะท่าไหนก็ช่างมันเถอะแม่” ชูของที่ซื้อกลับมาให้ดูอีก “แต่ฉันซื้อของกินอร่อยๆมาฝากแม่กับทุกคนเลยนะ”
บุปผาเอาของกินที่ซื้อมาเปิดให้ทุกคนดู คนอื่นๆ ฮือฮาชอบใจ ยกเว้นมุก
“ต๊าย! น่ากินจัง” เดือนวี้ดว้ายตามเรื่อง
“ขอบใจนะบุปผา”
พิกุลว่าแล้วรีบหยิบของกินเข้าปาก จากนั้นหยิบชิ้นหนึ่งเดินเอามาส่งให้มุกอย่างหวังดี มุกรับขนมมามองแล้วเบ้หน้าใส่
“ฉันไม่กินหรอก นังบุปผามันแอบใส่ยาพิษมาด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้”
พูดจบมุกก็เอาของกินในมือปาใส่หน้าบุปผา บุปผาร้อง “โอ๊ย” รีบเอามือเช็ดของกินที่เลอะเต็มหน้าแล้วโดดขึ้นชี้หน้ามุกอย่างโกรธแค้น
“ฉันอุตส่าห์ซื้อของกินอร่อยๆมาฝาก ทำไมพี่มุกมาทำยังงี้ล่ะ”
แล้วบุปผาก็คว้าของกินมาปาใส่มุกบ้างอย่างไม่ยอมแพ้ ของนั่นเข้าเต็มๆ หน้ามุกเลย มุกโมโห โดดเข้าตบบุปผา แต่บุปผาหลบทัน แล้วตบกลับจนมุกเซถลาเสียหลัก แต่พอตั้งหลักก็โดดเข้าใส่บุปผาอีกครั้ง สองนางตบกันไปมา คนที่เหลือต้องเข้าช่วยแยกกันเป็นที่โกลาหล
ที่บ้านเทพบริบาลเวลานั้น มัทนา คุณหญิงมณี นายพลเทพ เดินออกมาส่งเพชรกับพลอยขึ้นรถกลับ เพชรและพลอยยกมือไหว้ลาผู้ใหญ่ทั้งสอง มัทนาไหว้เพชร คุณหญิงจับตามองดูทั้งคู่อย่างจะจับสังเกต เพชรกับพลอยขึ้นรถแล้วขับออกไป ทันทีที่รถแล่นออกไป คุณหญิงมณีก็พูดขึ้นทันที
“มัทไม่ได้ชอบพออยู่กับพี่ชายของยายพลอยนี่ใช่ไม๊ลูก”
“โธ่..คุณแม่ขา มัทเห็นพี่เพชรมาตั้งแต่เด็กๆ คิดแต่ว่าเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งเท่านั้นแหละค่ะแม่”
“จริงนะ แม่เห็นสายตาที่พ่อเพชรเค้ามองมัท แม่ไม่สบายใจเลย”
มัทนาเงียบ ดูออก และรู้อยู่เหมือนกันว่าเพชรคิดยังไงกับเธอ
“คุณจะไม่สบายใจไปทำไม ถ้าเขามารักมาชอบยายมัทก็ดีสิ ลูกคนดีๆ มีการศึกษา อนาคตมีแววก้าวหน้าอย่างนี้ ดูไว้เผื่อๆสักคน..ก็ไม่เลวนะคุณ” นายพลเทพบอก
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ดูใครเอาไว้เผื่ออีกแล้ว ดิฉันมั่นใจว่าลูกชายของคุณหญิงแจ่มจันทร์เหมาะกับยายมัทที่สุด” พูแล้วนึกขึ้นได้ “ว่าแต่..ทำไมคุณหญิงกับลูกชายยังไม่มาสักทีนะ” พลางชะเง้อคอมองไปหน้าบ้าน
สร้อยเข้ามาพอดี “คุณหญิงขา..คุณหญิงแจ่มจันทร์โทร.เข้ามา จะขอเรียนสายด้วยค่ะ”
คุณหญิงมณีสีหน้าแปลกใจ
ครู่ต่อมาคุณหญิงมณีเพิ่งวางสายโทรศัพท์ลงแป้น แล้วหันมาบอกนายพลเทพกับมัทนาด้วยสีหน้าผิดหวัง
“คุณหญิงแจ่มจันทร์โทร.เข้ามาขอโทษว่าวันนี้มาไม่ได้แล้ว เพราะลูกชายติดงานกะทันหัน”
“ก็ไม่เป็นไร ถ้าลูกเรากับลูกเขาตักบาตรร่วมขันกันมา ยังไงเสียก็ต้องได้เจอกันจนได้นั่นแหละคุณหญิง”
คุณหญิงทำหน้าผิดหวังไม่หาย แต่มัทนาแอบโล่งอก ใจเหม่อลอยคิดไปถึงหมอไอศูรย์
เวลาเดียวกัน ผกากับเดือนช่วยกันลากตัวบุปผากลับมาที่ห้องอย่างยากลำบาก
“แม่ปล่อยฉันนะ! ฉันจะกลับไปตบพี่มุกให้มันหายบ้าเสียที แม่ก็เห็น พี่มุกหาเรื่องฉันก่อนนะ”
“เออ! เห็น” ผกาตะคอก “แต่พอได้แล้ว”
บุปผาชะงัก เมื่อเห็นผกาสีหน้าเด็ดขาด
“พี่มุกหาเรื่องฉันก่อน แม่ต้องลงโทษพี่มุกด้วยละ”
แล้วบุปผาก็กุมมือข้างที่เป็นแผลมีดบาด ทำหน้าโอดโอยไม่ส่งเสียงออกมา ผกามองอย่างสงสัย แล้วโบกมือไล่เดือนออกไป เดือนออกไปแล้ว ผกาจึงค่อยพูด
“เรื่องลงโทษนังมุกน่ะ แม่ทำแน่ ว่าแต่..เล่าเรื่องมีดบาดจนต้องเย็บให้แม่ฟังสิบุปผา มันไม่ใช่อุบัติเหตุใช่ไม๊”
บุปผาชะงักแล้วยิ้มออกมา “แม่รู้ทันฉันเสมอเลย ก็ฉันเคยบอกแม่แล้วนี่นะ..ว่าผัวฉันในอนาคตน่ะ เขาเป็นหมอ”
ผการู้สึกกังวล “เขาเป็นถึงหมอ แล้วเขาจะ...” ผกาทอดเสียงค้างคำเหมือนลำบากใจที่จะพูด
บุปผาพูดต่อคำเสียเอง “มาเอาผู้หญิงหากินอย่างฉันเป็นเมียรึเปล่า..แม่จะพูดอย่างนี้ใช่ไม๊”
ผกาพยักหน้า
“ฉันก็จะไม่ให้เขารู้สิว่า..ฉันเป็นผู้หญิงหากิน”
“แล้วบุปผาดูดีๆรึยังว่าเขามีลูกมีเมียแล้วหรือยัง
“ฉันไม่รู้หรอกว่าเขามีลูก มีเมียแล้วหรือยัง แต่ถึงจะมีแล้ว ฉันก็ไม่สน มีได้ก็เลิกได้”
ผกาขมวดคิ้ว พูดเสียงจริงจัง “บุปผา ผู้หญิงอาชีพอย่างเรานี่ เกิดมาก็มีกรรมมากแล้วนะลูก ไม่งั้นเราคงไม่ต้องมามีอาชีพที่ผู้คนในสังคมเขารังเกียจเรากันยังงี้หรอก แม่ไม่อยากให้บุปผาทำบาป ทำกรรมอะไรให้มากไปกว่านี้อีก แย่งผัวแย่งเมียคนอื่น มันบาปนะลูกนะ”
บุปผาทำสีหน้าไม่ยี่หระ “ฉันไม่กลัวบาปหรอกจ้ะแม่ มัวแต่กลัวบาป ก็คงต้องขายตัวไปจนตาย ฉันบอกแม่แล้วไงจ๊ะว่า..จะไม่ยอมขายตัวไปจนหมดสภาพอย่างพี่มุกพี่พิกุลหรอก คนอย่างอีบุปผามันจะต้องได้ดีกว่านี้”
บุปผาพูดด้วยสีหน้าแววตามั่นใจในตัวเองเป็นอย่างยิ่ง ในขณะที่ผกามีสีหน้ากังวล
ไอศูรย์กลับถึงบ้านแล้ว กำลังไหว้ขอโทษคุณหญิงแจ่มจันทร์อยู่ โฉมนั่งขัดเครื่องเงินอยู่ใกล้ๆ
“ผมต้องขอโทษคุณแม่ด้วยจริงๆ ครับที่วันนี้ผิดนัด แต่บังเอิญมีคนไข้ด่วนเข้ามาตอนที่กำลังออกเวรพอดี”
“ถ้ามีคนไข้จริง แม่ก็ไม่ว่าอะไรหรอกจ้ะ” แจ่มจันทร์บอกอย่างจริงจัง “แต่ นัดคราวหน้า ห้ามเลื่อนอีก ธุระของแม่ครั้งนี้สำคัญมาก แม่อยากให้ต้นไปเป็นเพื่อนแม่จริงๆ”
“ผมรับปากครับแม่..ว่านัดคราวนี้ ไม่มีพลาดแล้วครับ”
แจ่มจันทร์ยิ้มออก “ดีจ้ะ เอ้า! เพิ่งกลับมาถึงบ้านเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเถอะลูก เดี๋ยวแม่จะให้โฉมเอาของว่างขึ้นไปให้”
“ขอบคุณครับแม่” ไอศูรย์ออกไป
คุณหญิงแจ่มจันทร์มองตามไอศูรย์ไปด้วยแววตาชื่นชมลูกชาย โฉมขยับเข้ามาใกล้
“คุณหญิงจะไม่เกริ่นบอกคุณไอศูรย์สักหน่อยหรือคะว่าจะให้ไปธุระอะไร”
แจ่มจันทร์ยิ้ม “ไม่ละ ให้ต้นไปแล้วรู้เอง”
“แล้วคุณหญิงไม่กลัวว่าคุณต้นเธอจะปฏิเสธเหรอคะ”
“ฉันรู้จักลูกชายฉันดีจ้ะแม่โฉม เรื่องอะไรที่ฉันบอกให้ลูกทำ ลูกไม่เคยขัดคำสั่งฉันสักที”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ มีสีหน้ามั่นใจมาก
ด้านไอศูรย์กำลังเตรียมตัวจะอาบน้ำ โฉมถือของว่างเข้ามา
“ขอบคุณมากครับป้า เออ..ป้าโฉมครับ รู้ไม๊ครับว่าคุณแม่จะให้ผมไปเป็นเพื่อนเรื่องธุระอะไร”
“เอ่อ...” โฉมหลบตา “ไม่ทราบค่ะ”
ไอศูรย์ไม่เอะใจอะไร หมกมุ่นกับเรื่องที่กำลังคิดอยู่ แล้วเลยตัดสินใจถามโฉม “เออ..ป้าโฉมรู้จักคนในตระกูล “เทพบริบาล” บ้างไม๊ครับ”
โฉมตาโตตกใจ “คุณต้นถามทำไมคะ”
“เผอิญว่าเมื่อวันก่อนมีคนในตระกูล “เทพบริบาล” พาคนไข้เข้ามารักษาที่โรงพยาบาลน่ะครับ ตกลงป้ารู้จักคนบ้านนั้นใช่ไม๊ครับ”
โฉมพยักหน้ารับ “แล้วใครกันคะ คนของเทพบริบาลที่คุณต้นได้พบ”
“เธอชื่อมัทนาครับ มัทนา เทพบริบาล”
โฉมยิ้มกว้างออกมาทันที “ป้ารู้จักค่ะ”
ไอศูรย์ยิ้มท่าทางตื่นเต้น โฉมเองก็เช่นเดียวกัน
เช้าวันต่อมา เพชรขับรถมาส่งพลอยที่มหาวิทยาลัย ลงจากรถเดินมาส่งพลอยถึงโต๊ะคณะที่มัทนานั่งรออยู่
“น้องมัทมาแต่เช้าเลยนะ ยายพลอยสู้ไม่ได้เลย มัวแต่โน่นนี่ เลยออกสายทุกวัน”
พลอยค้อนเพชรขวับ ประชด “ค่า..น้องนี่..ผิดเสมอแหละค่า”
เพชรยื่นหนังสือเล่มหนึ่งให้มัทนา “พี่มีเล่มนี้ติดกลับมาจากอังกฤษด้วย ตอนซื้อเห็นปกมันสวยดี แต่พอเปิดเห็นตัวหนังสือแล้วตาลาย ท่าจะอ่านไม่ไหว เลยว่าน่าจะเอามาให้น้องมัทอ่านแทน..ท่าจะดีกว่า”
มัทนายกมือไหว้ “ขอบคุณนะคะพี่เพชร” พลางยื่นมือออกไปรับ
จังหวะนี้มือมัทนากับมือเพชรแตะโดนกันเมื่อยื่นหนังสือให้แก่กันโดยไม่ได้ตั้งใจ
มัทนาหน้าเก้อๆ แต่เพชรยิ้มชอบใจ พลอยแอบค้อนพี่ชาย
“มัทไปเรียนก่อนนะคะ”
มัทนาไหว้เพชรแล้วดึงตัวพลอยเดินไป เพชรมองตามแล้วยิ้มชื่น
เวลาต่อมาสองสาวเดินมาด้วยกันตรงทางเดินในมหาวิทยาลัย พลอยมองหนังสือของเพชรที่ยังอยู่ในมือมัทนาอย่างชั่งใจ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจพูดออกมา
“เธอรู้ใช่ไม๊ว่าทำไมพี่เพชรเขาถึงให้หนังสือเล่มนี้กับเธอ”
มัทนาไม่ตอบ แต่มองตาพลอยไม่หลบ พลอยยิ้ม
“นึกแล้วว่าเพื่อนฉันไม่โง่ เธอรู้ว่าพี่เพชรมาชอบเธอ ว่าแต่เธอละจ๊ะ..ชอบพี่เพชรบ้างหรือเปล่า”
มัทนานิ่งงันไป ไม่รู้จะบอกเพื่อนยงไงดี ทั้งเรื่องไอศูรย์ และคนที่แม่จะให้หมั้นด้วย“มัทรู้ไม๊ แค่เห็นหน้าเธอเพียงครั้งเดียว พี่เพชรก็หลงใหลได้ปลื้มเธออย่างหัวปักหัวปำเลย พี่เพชรน่ะ..เขาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อนเลยนะ และเมื่อเธอก็ยังไม่มีใคร ก็ช่วยเปิดใจรับพี่ชายฉันหน่อยนะ” พลอยเชียร์อัพ
มัทนาไม่ตอบ มองข้ามไปข้างหลังพลอย แล้วก็หน้าตื่นตะลึงขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หมอ”
พลอยหันขวับไปมองบ้าง พอเห็นว่าเป็นไอศูรย์ที่ยืนยิ้มอยู่ พลอยก็ตะลึงไปด้วยอีกคน
“พี่ต้น”
ทั้งสามต่างมองกันไปอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายรู้จักกันได้ยังไง
ที่หอโคมแดง เวลาเดียวกัน มุกนั่งขัดพื้นอยู่ด้วยอาการกระแทกกระทั้น พิกุล เดือน สิรีนั่งแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่ใกล้ๆ
“นี่ใจคอแกจะไม่ช่วยฉันทำงานบ้างเลยเรอะ ! นังพิกุล”
พิกุลตอบซื่อๆ “อ้าว..ก็ฉันไม่ได้ถูกแม่ผกาทำโทษอย่างแกนี่”
มุกโมโห กระแทกแปรงขัดดังปังจนพิกุลสะดุ้ง
“อ๋อ..นังพิกุล เดี๋ยวนี้แกเป็นพวกนังบุปผามันแล้วเรอะ”
“เปล่า ฉันก็แค่พูดไปตามเรื่องที่มันเกิด ก็แกหาเรื่องนังบุปผามันก่อนจริงๆ นี่ แกก็ต้องถูกลงโทษ ความจริงฉันก็อยากจะช่วยแกขัดพื้นหรอกนะ จะได้เสร็จเร็วๆ แต่เดี๋ยวต้องรับแขก”
มุกทำท่าฮึดฮัดๆ สักครู่บุปผาแต่งตัวสวยเดินเข้ามา เดือนกับสิรีเห็นก็ทัก
“จะออกไปไหนเหรอบุปผา” เดือนทักก่อน
“ไปหาหมอ ทำแผล”
“ให้ฉันไปเป็นเพื่อนไม๊” สิรีอาสา
บุปผาลืมตัว เสียงห้วนใส่ “ไม่ต้อง” แล้วนึกได้ เสียงอ่อนลง “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไปเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับแล้ว”
บุปผาจะเดินออกจากบ้านไป แต่พอเห็นมุกขัดพื้นอยู่ บุปผาก็แกล้งเดินเฉียดจนปลายกระโปรงระหัวมุก แล้วหัวเราะคิกคักๆ ออกไป มุกทนไม่ไหว เอาแปรงขัดพื้นเขวี้ยงตามหลังบุปผาไป แต่บุปผาเดินออกไปลับตัวแล้ว แปรงนั้นเขวี้ยงไปโดนพิกุลแทน
ไอศูรย์นั่งอยู่กับมัทนา และพลอยหน้าคณะในมหาวิทยาลัย
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะพี่ต้นว่า..โลกมันจะกลมขนาดนี้”
“นั่นสิ” ไอศูรย์มองมัทนาแล้วยิ้ม
พลอยมองเห็นสายตาที่ไอศูรย์มองมัทนาก็เริ่มนึกรู้อะไร สีหน้าเคร่งขรึมลง
“แล้วนี่พี่ต้นมาที่นี่ทำไมคะ”
ไอศูรย์หน้าเก้อๆ พูดปดออกไป “พี่ก็แค่..ผ่านๆ มา แล้วบังเอิญเห็นน้องพลอยกับคุณมัทนาเดินมาพอดี ก็เลยเข้ามาทักน่ะ”
พลอยไม่เชื่อ “แหม..โลกกลมๆ ของเราสามคนนี่ยังเต็มไปด้วยความบังเอิญอีกนะคะ บังเอิญยายมัทรู้จักกันพี่ต้น บังเอิญพี่ต้นก็รู้จักกับพลอย แถมพลอยบังเอิญเป็นเพื่อนสนิทกับยายมัทอีก ต้องเอาเรื่องนี้กลับไปเล่าให้พี่เพชรฟังสักหน่อยแล้ว”
พูดจบพลอยก็เห็นมัทนากับไอศูรย์มองตากัน
พลอยลอบถอนใจด้วยความกังวล
ด้านบุปผาเดินถือกระเช้าใส่ผลไม้เข้ามาที่เค้าน์เตอร์โรพยาบาล
“ฉันมาพบหมอไอศูรย์ค่ะ”
พยาบาลคนเดิมจำบุปผาได้ “คุณจะมาทำความสะอาดแผลใช่ไม๊คะ เชิญทางนี้เลยค่ะ ประเดี๋ยวดิฉันจะทำความสะอาดแผลให้คุณเอง”
“อ้าว..แล้วหมอ”
“ทำความสะอาดแผล..เป็นหน้าที่ของพยาบาลค่ะ ไม่ต้องถึงมือหมอหรอกค่ะ เชิญค่ะ”
พยาบาลเดินนำไป บุปผาเดินตามพลางทำหน้าเซ็ง ที่ไม่ได้เจอไอศูรย์
พยาบาลทำแผลใหม่ให้บุปผาเสร็จเรียบร้อยแล้ว บุปผาเอากระเช้าผลไม้ส่งให้พยาบาล
“งั้นฉันฝากผลไม้นี่ให้หมอไอศูรย์ทีนะคะ”
“ค่ะ”
บุปผามีสีหน้าเซ็งสุดๆ
บุปผาเดินอารมณ์เสียออกมาจากโรงพยาบาล เพราะผิดหวังที่ไม่ได้เจอไอศูรย์
สวนกับหญิงชาวบ้าน 2 คน บุปผาจำชาวบ้าน 2 คนนี้ได้ เป็นคนเดียวกับที่นินทาหล่อนวันก่อน
“ดูนั่นสิ..ท่าทางจะเป็นผู้หญิงอาชีพอย่างว่า”
“อย่าเดินเข้าไปใกล้ๆ ประเดี๋ยวเสนียดจะโดดมาติดตัวเรา”
บุปผาซึ่งกำลังอารมณ์เสียอยู่ เลยนึกหมั่นไส้ หาเรื่องระบายอารมณ์ เหลียวซ้ายแลขวา เห็นรถเข็นถาดยาของโรงพยาบาล จึงเดินไปผลักรถเข็นถาดยานั้นให้พุ่งเข้าใส่ชาวบ้านทั้งสองอย่างแรง ชาวบ้านทั้งสองไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถูกรถเข็นถาดยาพุ่งเข้าชนเลยล้มลง ส่งเสียงร้องวี้ดว้ายทั้งตกใจและเจ็บตัว
เสียงดังอึกทึกครึกโครมไปทั่วบริเวณ บุปผาหัวเราะชอบใจแล้วรีบชิ่ง เดินออกไปก่อนที่ใครจะมาเห็นว่าเป็นฝีมือตน
บุปผาเลยไม่ได้เห็นไอศูรย์ที่เดินเข้ามาจากอีกทาง ไอศูรย์รีบเข้าช่วยเหลือชาวบ้าน 2 คนนั้นอย่างกุลีกุจอ
บุปผาเดินจะกลับหอโคมแดง สินขับรถผ่านมา เห็นบุปผาเดินอยู่ข้างถนน ก็ดีใจรีบจอดรถ แล้ววิ่งเข้ามาหา
“บุปผา” สินยิ้มแป้นดีใจมาก
บุปผาหันมามองสิน
“มาทำอะไรแถวนี้จ๊ะ” สินมองเห็นมือที่มีผ้าพันแผลของบุปผา ก็มีสีหน้าตกใจ เป็นห่วง) “มือเป็นอะไรไปจ๊ะบุปผา”
บุปผาตอบอย่างไม่แคร์ความรู้สึกสินเลย “ถ้าไม่เป็นอะไรแล้วจะต้องพันผ้าพันแผลไว้อย่างเรอะ ถามอะไรโง่ๆ”
สินหน้าเจื่อนไปนิดหนึ่ง แล้วก็รีบเอาใจบุปผาต่อ
“แล้วนี่บุปผาจะไปไหนจ๊ะ ให้ฉันไปส่งนะ ฉันมีรถมาด้วย” สินชี้ไปยังรถที่จอดอยู่
บุปผาชะเง้อมองตาม เห็นรถที่สินขับมาหรูหรามาก จึงมีท่าทีสนใจ
“ฉันเพิ่งไปส่งคุณหนูที่มหาวิทยาลัยมาน่ะ เย็นๆ ถึงค่อยไปรับ บุปผาจะไปไหน ให้ฉันไปส่งนะ”
บุปผามองหน้าสินนิ่ง ส่วนสินพยายามยิ้มประจบเอาใจบุปผาเต็มที่ แล้วบุปผาก็
ยิ้มหวานให้สิน เพราะเห็นแก่ประโยชน์ สินเนื้อเต้นดีใจสุดๆ
ฟากสองสาวกำลังนั่งเรียนอยู่ในห้อง พลอยลอบมองมัทนาอยู่บ่อยๆ จนในที่สุดมัทนาก็กระซิบถามพลอยโดยไม่ละสายตาจากอาจารย์ที่สอนอยู่หน้าห้อง
“อยากจะถามอะไรก็ถามมาเลยพลอย เธอจะได้เลิกแอบมองหน้าฉันสักที”
พลอยถอนใจ “เธอชอบพี่ต้นไม๊”
มัทนาหันมามองหน้าพลอยท่าทีฉงน “ถามทำไม”
“ก็ฉันอยากรู้ว่าพี่ชายฉันจะมีความหวังไม๊น่ะสิ”
มัทนาถอนใจบ้าง หน้าสลดลง “ฉันจะชอบหรือไม่ชอบเขา มันก็ไม่มีความหมายอะไรหรอก”
พลอยงง “ทำไม”
“ก็เพราะ..แม่ฉันกำลังจะให้ฉันหมั้นกับลูกชายเพื่อนแม่น่ะสิ”
พลอยหน้าเหวอไปเลย
เวลาเดียวกันภายในห้องทำงานไอศูรย์ที่โรงพยาบาล แลเห็นไอศูรย์กำลังนั่งเขียนงานอยู่ สักครู่จึงมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญครับ”
เพชรเปิดประตูเข้ามาแล้วยกมือไหว้ไอศูรย์
“สวัสดีครับพี่ต้น”
“เพชร มีใครที่บ้านเป็นอะไรหรือเปล่า ถึงมาหาพี่ถึงที่นี่”
“ไม่มีใครเป็นอะไรหรอกครับ แต่ผมอยากจะหาเพื่อนคุยด้วยหน่อยน่ะครับ พี่ต้นว่างรึเปล่าครับ”
ไอศูรย์ดูนาฬิกา “พี่มีเวลาว่างสักชั่วโมง ก่อนจะเข้าเวรน่ะ เพชรอยากคุยกับพี่เรื่องอะไรล่ะ”
เพชรยิ้มเขินๆ “ผม..ไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้าครับพี่ต้น”
ไอศูรย์ยิ้มนิดๆ “ใครล่ะ”
“เธอเป็นเพื่อนกับน้องสาวของผมเองครับเรียนอยู่ด้วย กันที่คณะอักษรศาสตร์ เธอชื่อมัทนา..”
ไอศูรย์ชะงักไป “มัทนา”
“มัทนา เทพบริบาล ลูกสาวคนเดียวของนายพลเทพ กับคุณหญิงมณีน่ะครับ” เพชรบอก
ไอศูรย์อึ้งไปทันที
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวนตอนที่ 2 (ต่อ)
ด้านสินขับรถมาจอดส่งบุปผาที่หน้าหอโคมแดง พอจอดรถเสร็จ สินก็หันมาคว้ามือบุปผาขึ้นมาจูบอย่างหลงใหล
“บุปผา..คราวหน้า..ขึ้นห้องกับฉันนะ นะ”
บุปผาหันมามองหน้าสิน ด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วกระชากมือออกจากมือสิน ไม่พูดอะไรสักคำแต่เดินลงจากรถไปเลย ไม่แยแสแม้จะเอ่ยปากขอบคุณ เพราะเห็นว่าตอนนี้สินหมดประโยชน์แล้ว สินหน้าเศร้าไปเลย
เย็นนั้น สินเดินคอตกกลับเข้าบ้านมาด้วยสีหน้าเศร้าซึม สร้อย แสง และคนใช้ อื่นๆ กำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน สร้อยมองสินอย่างสงสัย
“เป็นอะไรไปน่ะไอ้สิน เดินคอตกอย่างกับคนอกหักมาอย่างงั้นแหละ”
สินตอบซึมๆ “ก็ทำนองนั้นแหละ”
“เอ้ย..จริงเหรอ! ไอ้สิน แกไปรักผู้หญิงที่ไหนเข้าล่ะเนี่ยอย่าบอกนะว่าแกใฝ่สูงไปแอบรักดอกฟ้าที่ไหนเข้า เขาถึงได้หมางเมินเอากับแกอย่างนี้น่ะ” สร้อยซักใหญ่
“ถึงเขาจะไม่ใช่ดอกฟ้าจริงๆ แต่เขาก็เป็นดอกฟ้าสำหรับฉันละ ดอกฟ้าที่อยู่ไกลเกินจะเอื้อมไม่ถึง”
แสงผู้เป็นหลานชายหัวเราะก๊าก “โฮ้ย ! น้าสินนี่น้ำเน่าจังเลยนะแม่นะ มิน่า..ผู้หญิงเขาถึงไม่รัก”
“แกก็อย่าไปทับถมคนอื่นเขาหน่อยเลยว๊าไอ้แสง แกไม่โดนกับตัวเข้าบ้าง ก็ยังไม่รู้สึกหรอก”
“คนอย่างฉันน่ะเหรอ ถ้ารักถ้าชอบผู้หญิงคนไหนแล้วถ้าเล่นตัวนัก ฉันก็ฉุดมาทำเมียซะเลย ง่ายดีออกแม่”
“ไอ้ลูกบ้า” สร้อยคว้าตะหลิวไล่ตีแสง
แสงหัวเราะอย่างไม่เกรงกลัวแล้ววิ่งวนรอบตัวสร้อย ก่อนจะฉวยจังหวะกระตุกเอากระเป๋าตังค์แม่ไปหน้าตาเฉย
“เอ้ย! เอากระเป๋าเงินแม่คืนมานะ ฉันรู้นะว่าแกจะเอาเงินไปเข้าบ่อน ลูกเอ๊ย แม่บอกกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าไอ้บ่อนเนี่ยมันจะทำแกหายนะ ทำไมไม่เชื่อไม่ฟังกันบ้าง”
แสงพูดไป หยิบเงินออกจากกระเป๋าไป “ไม่หายนะหรอกน่า แค่เล่นสนุกๆ เท่านั้น ขอยืมตังค์ไปก่อนนะ ฉันไปละ”
พูดจบแสงก็โยนกระเป๋าเงินคืนให้สร้อย แล้ววิ่งออกไป สร้อยก้มเก็บกระเป๋าเงินแล้วบ่นบ้าไปตามประสา
“มีลูกกับเขาคน ไม่ได้อย่างใจเล้ย ! รู้งี้เอาขี้เถ้ายัดปากให้มันตายเสียตั้งแต่เกิดก็ดีหรอก”สร้อยบ่นต่อไปเรื่อย
ในขณะที่สินเองเอาแต่นั่งเงียบ สีหน้าเศร้าซึม หลงรักบุปผาเต็มหัวใจ แต่บุปผาไม่เคยเหลียวแลเลย
ดูเหมือนจะเป็นกรรมอย่างหนึ่งของสร้อยที่มีลูกไม่ดีสักคน เพราะสร้อยเป็นคนมือสกปรก ทำงานสกปรกให้คุณหญิงมณีตลอดมา แม้กระทั่งฆ่าคนตาย!
ยามเย็น
ไอศูรย์เดินกลับเข้าบ้านมา สีหน้าครุ่นคิด ยังคิดติดใจถึงเรื่องที่เพชรมาคุยด้วยเมื่อบ่าย
“ผม...ไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้าครับพี่ต้น”
“ใครล่ะ”
“มัทนา เทพบริบาล ลูกสาวคนเดียวของนายพลเทพ กับคุณหญิงมณีน่ะครับ”
คิดแล้วไอศูรย์ถอนใจใหญ่ด้วยความกลุ้มใจ แล้วโฉมเข้ามา
“คุณต้น...คุณหญิงรอพบอยู่ค่ะ”
ไอศูรย์สีหน้าแปลกใจ
ไอศูรย์เดินมาอีกมุมในบ้านไอศูรย์ คุณหญิงแจ่มจันทร์รออยู่ โฉมปลีกตัวคอยดูแลใกล้ๆ
ไอศูรย์ตกใจหลังฟังผู้เป็นมารดาเล่าจบ
“อะไรนะครับ ! แม่จะให้ผมหมั้นกับลูกสาวเพื่อนแม่”
แจ่มจันทร์พยักหน้ารับ “ใช่ ก็ทีแรกที่แม่ชวนต้นไปธุระกับแม่ แต่ไม่ได้บอกต้นว่าจะไปไหน ก็คือแม่จะพาต้นไปพบน้อง จะได้รู้จักกัน แต่วันนั้นเราก็ต้องยกเลิกนัดไป แม่เลยร้อนใจกลัวว่ากว่าต้นจะได้พบกับน้อง ต้นอาจเผลอไปคว้าพยาบาลสาวๆ มาเป็นสะใภ้ให้แม่ซะก่อนน่ะสิ”
“โธ่..แม่ครับ แม่ก็รู้ว่าผมไม่ใช่ผู้ชายใจเร็วสักหน่อย”
“จะไปไว้ใจได้เรอะ ผู้หญิงกับผู้ชายน่ะ ลงอยู่ใกล้กันบ่อยๆ มันก็เหมือนน้ำตาลใกล้มด มันอดใจไม่ค่อยได้หรอก แล้วแม่ดูแล้ว เด็กคนนี้ เป็นเด็กดี มีชาติตระกูล กิริยามารยาทเรียบร้อย เหมาะกับต้นที่สุด”
“แต่...” ไอศูรย์พูดไม่ออก
“อย่าบอกแม่นะว่าต้นไปชอบใครอยู่น่ะ”
ไอศูรย์ถามวัดใจ “ก็ถ้าผมมีคนที่ผมชอบพออยู่แล้วละครับแม่”
แจ่มจันทร์บอกอย่างเผด็จการ “ต้นก็ต้องตัดใจจากผู้หญิงคนนั้นซะ เพราะลูกสะใภ้ของแม่ จะต้องเป็นลูกสาวของคุณหญิงมณีคนเดียวเท่านั้น”
ไอศูรย์ อึ้ง “แม่ว่า..ลูกสาวใครนะครับ”
แจ่มจันทร์พูดอย่างเน้นคำ “ลูกสาวคุณหญิงมณีกับท่านนายพลเทพ แม่จะให้ต้นหมั้นกับหนูมัทนา หนูมัทนาเรียนจบเมื่อไหร่ ก็จะให้แต่งงานกันเลยทันที”
ไอศูรย์ อึ้ง ตะลึง อ้างปากค้าง ไปในทันที
ฟากเพชรอ้าปากค้างอาการเดียวกับไอศูรย์เมื่อครู่นี้เปี๊ยบ
“อะไรนะ น้องมัทจะหมั้น กับใคร”
พลอยส่ายหน้าไม่รู้ เพชรมีสีหน้าร้อนใจมาก
เช้าวันนี้ไอศูรย์เดินอารมณ์ดีเข้ามาในโรงพยาบาล พยาบาล 2 คนเห็นก็ทักแซว
“แหม..วันนี้ดูคุณหมออารมณ์ดีจังนะคะ”
ไอศูรย์ไม่ตอบ แต่ยิ้มอย่างอารมณ์ดี)
“ยิ้มอย่างนี้..สงสัยจะมีข่าวดี..รึเปล่าคะคุณหมอ”
ไอศูรย์ไม่ตอบอีก แต่ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม แล้วเดินเข้าห้องทำงานไป พยาบาลหันไปเม้าท์กันทันที
“ยิ้มอย่างนี้ ต้องกำลังจะมีข่าวดีแน่ๆ”
สองพยาบาลเม้าท์กันต่ออย่างสนุกสนาน เพชรเดินเข้ามา สีหน้าไม่ดี
“หมอไอศูรย์เข้ามารึยังครับ”
“เข้ามาแล้วค่ะ”
เพชรเดินดุ่มตรงไปที่ห้องทำงานของไอศูรย์ทันที
ไอศูรย์เดินเข้ามาในห้องทำงาน แต่ยังไม่ทันจะทำอะไร เพชรก็พรวดพราดตามเข้ามา “พี่ต้น”
ไอศูรย์เห็นหน้าเพชรก็ชะงักไปทันที
“เพชร มีอะไรเหรอ”
“พี่ต้น...น้องมัทนาจะหมั้น หมั้นกับใครก็ไม่รู้”
ไอศูรย์หน้าเครียดขึ้นมาทันที
ครู่ต่อมาเพชร ลุกพรวดขึ้น ไม่พูดอะไรเลย แต่จ้องหน้าไอศูรย์อย่างแค้นเคืองสุดขีด
ไอศูรย์ร้อนใจ “เพชร ฟังพี่ก่อน พี่ก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าแม่พี่จะให้พี่หมั้นกับคุณมัทนา”
“แต่พี่ต้นก็รู้ว่าผมชอบน้องมัทนาอยู่ ถ้าพี่ต้นไม่ได้ชอบอยู่กับน้องมัทนา พี่ต้นก็ควรจะปฏิเสธการหมั้นสิครับ”
เห็นไอศูรย์นิ่ง เพชรเลยอึ้ง รู้แล้วว่าอาการนิ่งของไอศูรย์นั้นคือการยอมรับว่าไอศูรย์ก็ชอบมัทนาเหมือนกัน เพชรพยักหน้าเข้าใจอย่างช้าๆ แววตาเจ็บปวดจะเดินออกไป ไอศูรย์เรียกไว้
“เพชร”
เพชรหยุด แต่ไม่หันมามองหน้าไอศูรย์เลย
“ถึงจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น แต่เราสองคน..ก็ยังจะเป็นพี่น้องกันได้อยู่ใช่ไม๊”
เพชรไม่ตอบ เดินออกไปเลย ไอศูรย์ถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
ที่หอโคมแดง ตอนสาย บุปผากำลังนอนหลับสบายอยู่ มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“บุปผา...ตื่นรึยังลูก…”
บุปผาเริ่มขยับตัวอย่างขี้เกียจ เสียงเคาะประตูยังคงดังอยู่ บุปผาค่อยๆ ลุกขึ้น และเดินไปเปิดประตูห้องอย่างขี้เกียจ เจอผกา
“คุณศักดิ์ชัยมาแน่ะ”
บุปผาเบ้ปาก “แม่ให้คนอื่นรับแขกไปแทนฉันทีเถอะ ขอฉันนอนต่อก่อนนะแม่นะ” บุปผาจะเดินกลับไปนอนต่อ
“แต่บุปผาก็รู้..คุณศักดิ์ชัยเขาขอแต่บุปผา คนอื่นเขาก็ไม่เอา”
“งั้นแม่ก็ไล่เขากลับไปก่อน วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์อยากจะรับแขก”
ผกาทำหน้ากลุ้ม บุปผาจะกลับเข้าห้อง แต่ยังไม่ทันจะเข้า ศักดิ์ชัยก็เดินพรวดพราดเข้ามาแล้วกระชากแขนบุปผาไว้ เดือนกับสิรีวิ่งตามเข้ามา พยายามรั้งตัวศักดิ์ชัยไว้ไม่ให้ถึงตัวบุปผา แต่ก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้
“บุปผา คุณปฏิเสธผมหลายครั้งแล้วนะ ทำไม ผมมีอะไรน่ารังเกียจนักเหรอ”
บุปผาไม่สนใจ “ปล่อยฉันนะคุณศักดิ์ชัย”
“ไม่ปล่อย วันนี้คุณต้องขึ้นห้องกับผม”
แต่บุปผาไม่เล่นด้วย สะบัดตัวออก ศักดิ์ชัยยิ่งเคือง ยื้อยุดตัวบุปผาไว้ บุปผาโมโหผลักศักดิ์ชัยอย่างไม่ทันคิดอะไร ศักดิ์ชัยเสียหลัก ผงะหงายเงิบแล้วกลิ้งตกบันไดไปท่ามกลางเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดของเหล่าผู้หญิง
มุก พิกุล เพ็ญ วิ่งเข้ามาดูเหตุการณ์ พอเห็นศักดิ์ชัยนอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่ที่เชิงบันได มุกกับพิกุลก็พลอยร้องวี้ดว้ายไปด้วย
มุกกรี๊ด “อ๊าย... นังบุปผา แกผลักคุณศักดิ์ชัยตกบันไดเรอะ พ่อเขามาเอาเรื่องแกตายแน่”
บุปผาหน้าเสียไปเลย
ร่างศักดิ์ชัยถูกเข็นเข้าห้องฉุกเฉินไป โดยมี 4 หญิงมายืนรออยู่ที่ทางเดิน ทุกคนสีหน้าไม่ดี โดยเฉพาะบุปผา
“ทำไมต้องเอาคุณศักดิ์ชัยมาส่งที่โรงพยาบาลนี้ด้วยแม่”
“ก็ที่นี่เป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุด หมอเก่งที่สุดน่ะสิ บุปผาเอ๊ย คุณศักดิ์ชัยเขาเป็นถึงลูกพ่อค้าใหญ่ พลัดตกบันไดลงไปขนาดนั้น ไม่คอหักตายคาบ้านเราก็บุญถมไปแล้ว ยังไงๆ เราก็ต้องพาเขามาหาหมอที่เก่งที่สุดละ”
บุปผาหน้าไม่ดีมองไปรอบๆตัว บุปผา เห็นไอศูรย์กำลังถูกตามตัวให้เข้าไปในห้องฉุกเฉิน
พอบุปผาเห็นไอศูรย์ กับพยาบาล 2 คน บุปผาก็รีบหลบหลังผกาทันที
ผกาสงสัย “เป็นอะไรไปบุปผา”
“ฉันกลับไปรอฟังผลที่บ้านได้ไม๊แม่”
“ไม่ได้ เราน่ะเป็นตัวต้นเหตุ ก็ควรจะอยู่รอดูอาการคุณศักดิ์ชัยเขาที่นี่ เดี๋ยวพ่อคุณศักดิ์ชัยเขาก็คงจะมา บุปผาจะหลบหน้าพ่อเขาไม่ได้หรอกนะ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ไปกว่าเดิม”
“ฉันไม่ได้จะหลบหน้าพ่อคุณศักดิ์ชัยสักหน่อย”
“แล้วจะหลบหน้าใคร” ผกาชักเอะใจ เปลี่ยนเป็นกระซิบถามบุปผาส่วนตัว “อย่าบอกนะว่าหมอที่บุปผาเคยพูดถึงให้แม่ฟัง เขาทำงานอยู่ที่นี่น่ะ”
“ไม่ใช่แค่ทำงานที่นี่ เขาเป็นเจ้าของโรงพยาบาลนี้เลยละแม่ แล้วถ้าเขารู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงหากิน เขาก็จะไม่เอาฉันน่ะสิ แม่ให้ฉันกลับบ้านนะ แล้วเรื่องคุณศักดิ์ชัยจะเอายังไงค่อยว่ากัน”
ผกานิ่งคิดไปครู่ก่อนจะพยักหน้ารับอย่างจำใจ เห็นแก่อนาคตของบุปผา บุปผายิ้มดีใจ แล้วรีบผลุบออกไปจากโรงพยาบาลทันที
บุปผาเดินกลับเข้าหอโคมแดงมาอย่างร้อนใจ มุก พิกุล เพ็ญ เห็นบุปผากลับมาคนเดียวก็สงสัย
“ทำไมกลับมาคนเดียวละยะนังบุปผา นี่..อย่าบอกนะว่าคุณศักดิ์ชัยตายแล้วน่ะ” มุกทำเป็นตกใจ
“บ้า เขายังไม่ตายย่ะ หมอกำลังรักษาอยู่”
“แล้วนี่หล่อนกลับมาบ้านทำไม แล้วคนอื่นๆล่ะ”
บุปผาไม่สนใจจะตอบมุก ตรงไปยังโทรศัพท์ ยกหูแล้วหมุนโทรออก มุก พิกุล เพ็ญ แอบฟังอย่างอยากรู้ แต่บุปผาหันหลัง เอาตัวบัง ไม่ให้ใครรู้ว่าเธอกำลังโทร.หาใคร
ส่วนทางด้านมัทนายืนรอพลอยอยู่ในบ้าน พอเห็นหน้าเพื่อนก็ยิ้มดีใจ แต่พอเห็นว่าพลอยหน้าบึ้ง ก็แปลกใจ พลอยพุ่งเข้ามาหามัทนาก็เปิดฉากต่อว่าไม่ยั้ง
“นี่เรายังเป็นเพื่อนกันอยู่รึเปล่านี่ยายมัท”
มัทนาเหวอ “เป็นสิ ทำไมถามยังงี้ล่ะพลอย”
“แล้วทำไมเธอต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้ด้วยว่า..คนที่คุณแม่เธอจะให้เธอหมั้นด้วย คือพี่ต้น”
มัทนางงมาก “พี่ต้น หมอไอศูรย์น่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ เธออย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้น่ะ”
ไม่นานนัก คุณหญิงมณีเยื้อนยิ้มเมื่อบอกกับมัทนา
“ใช่จ้ะ พ่อต้น เป็นลูกชายคนเดียวของคุณหญิงแจ่มจันทร์ คนที่แม่อยากให้มัทหมั้นด้วยนั่นแหละจ้ะ”
สีหน้ามัทนางวยงง และทำหน้าไม่ถูก ด้วยคาดไม่ถึง
ส่วนที่หอโคมแดง บุปผานั่งไม่ติดที่ มุก พิกุล และเพ็ญ มองบุปผาอย่างสนใจอยากรู้ สักครู่ ผกาก็พาเดือนกับสิรีกลับเข้าบ้านมา บุปผารีบถลาเข้าไปหาผกาทันที
“แม่..คุณศักดิ์ชัยเป็นยังไงบ้าง”
“พ้นขีดอันตรายแล้ว…”
บุปผาถอนใจโล่งอก
“แต่...”
ผกายังไม่ทันจะพูดอะไรต่อ พงษ์ศักดิ์พ่อของศักดิ์ชัยกับลูกน้องจำนวนหนึ่งก็เดินกร่างพรวดพราดเข้ามาในหอโคมแดง แล้วโวยวายเสียงดัง พวกผู้หญิงตื่นตระหนกหน้าซีดกันไปหมด
“ไหน อีคนไหนวะ ที่มันผลักลูกชายอั๊วตกบันได อั๊วจะเอามันส่งตำรวจ” พงษ์ศักดิ์มองกราด
มุกรีบชี้บุปผาทันที “คนนี้เลยค่ะ”
ผกาเอ็ดเอา “มุก”
มุกหดมือ หน้าม่อย แต่ก็หันไปมองบุปผาเป็นเชิงว่า..คราวนี้หล่อนซวยแน่
“ลื๊อเองเหรอที่ผลักลูกชายอั๊วตกบันไดน่ะ” พงษ์ศักดิ์หันไปพยักหน้าให้สัญญาณลูกน้องที่มาด้วย
ลูกน้องทั้งสองพุ่งเข้าจับตัวบุปผาไว้ ผกาหน้าเสีย แต่ยังไม่ทันที่ลูกน้องของพงษ์ศักดิ์จะลากตัวบุปผาไปไหน กำพลก็เดินเข้ามาเสียก่อน
“ใจเย็นๆสิครับเจ้าสัว เรื่องที่เกิดขึ้นน่ะ มันเป็นอุบัติเหตุ บุปผาไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย”
บุปผาพอเห็นกำพลมาก็ยิ้มร่า
“ลื้อเป็นใครวะ มาสาระแนเรื่องของคนอื่น รู้ไม๊ อั๊วเป็นใคร”
“ผมรู้ว่าเจ้าสัวเป็นใคร และผมก็เชื่อว่าเจ้าสัวก็รู้จักพ่อผมดีเหมือนกัน พ่อผม พลเอกสมพล ปิยะศักดิ์ไงครับ”
พงษ์ศักดิ์นิ่งไปทันที
“ผมคิดว่า...เรื่องที่เกิดขึ้นนี่ เราคงตกลงกันอย่างเงียบๆ ได้นะครับเจ้าสัว”
พงษ์ศักดิ์เม้มปากแน่น ในขณะที่บุปผายิ้มอย่างผู้มีชัย
ตกเย็นวันนั้น บุปผากราบที่อกกำพลในท่าทีชดช้อย
“บุปผาต้องกราบขอบคุณ คุณกำพลมากนะคะ ที่มาช่วยบุปผา นี่ถ้าไม่ได้คุณกำพล บุปผาคงต้องแย่แน่ๆ”
มุกที่ยืนนินทาบุปผาอยู่อีกมุมหนึ่งกับพิกุล มุกแอบมองบุปผาด้วยความชิงชัง ในขณะที่ผกา เพ็ญ เดือน และสิรี ช่วยกันหาน้ำ หาของว่างมาต้อนรับกำพลอย่างเอิกเหริก
“หนอย นังนี่ ! ที่แท้โทรไปตามให้คุณกำพลมาช่วย”
พิกุลพูดอย่างซื่อๆ “ฉันว่าบุปผามันเก่งนะที่คิดได้ว่าต้องโทร.หาคุณกำพลน่ะ เพราะพ่อค้าคนไหนๆ ก็ต้องกลัว ต้องเกรงใจพวกทหารทั้งนั้นแหละ คุณกำพลเขาเป็นลูกนายทหารใหญ่”
มุกอารมณ์เสียกระแทกเสียงใส่ “เออ ไม่ต้องพูดแล้ว”
ด้านบุปผา ยิ้มหวานให้กำพล
“งั้นวันนี้บุปผาจะ “รับใช้” คุณกำพลอย่างเต็มที่เลยนะคะ”
กำพลหัวเราะชอบใจ “บุปผาน่ารักกับฉันเสมอ แต่วันนี้ฉันอยากให้บุปผา “ดูแล” เพื่อนคนหนึ่งให้ฉันหน่อยได้ไม๊ มันกำลังเครียดๆ เรื่องผู้หญิงอยู่”
“ได้สิคะ แล้วเพื่อนคุณกำพลอยู่ที่ไหนละคะ”
“ฉันบอกให้มันตามมาที่นี่” กำพลมองไปที่ทางเข้าหอโคมแดง “อ้ะ มาพอดี”
ขาดคำเพชรก็เดินเข้ามา ท่าทางเมาๆ ไม่สนใจใคร หมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องของตัวเอง บุปผามองเพชรอย่างสนใจ
ขณะเดียวกันคุณหญิงมณี นายพลเทพ และมัทนา กำลังยืนรอรับไอศูรย์ และคุณหญิงแจ่มจันทร์ อยู่ที่หน้าตึก พอรถไอศูรย์แล่นเข้ามาจอด มัทนาก็มีสีหน้าประหม่า แต่พยายามระงับอาการไว้ ไอศูรย์ลงจากรถเปิดประตูให้แม่อย่างสุภาพ ทั้งหมดทักทายกัน
“ในที่สุด...พ่อต้นก็ได้เจอกับน้องสักที” มณีเอ่ยขึ้น
ไอศูรย์กับมัทนามองหน้ากัน แล้วยิ้มให้แก่กันอย่างตื่นเต้นและดีใจ
ส่วนด้านในครัวบ้านเทพบริบาล ทุกคนง่วนอยู่กับการเตรียมอาหารคาวหวาน และของว่าง สร้อยเดินกลับเข้ามาถาม
“ป้าแย้ม ของว่างเสร็จรึยัง แขกมาแล้ว”
“เสร็จแล้วๆ” แย้มกุลีกุจอจัดสำรับให้สวยงาม
“ใครมาน่ะแม่ ขับรถหรูเชียว” แสงถาม
“ว่าที่คู่หมั้นของคุณหนู วันนี้เขามาดูตัวกัน”
สภาคนใช้ที่เหลือพากันร้อง “เหรอๆ” เป็นแถว แล้วรุมซักถามสร้อยกันเป็นการใหญ่ในทำนองเดียวกันว่า...ไอศูรย์หน้าตายังไง จะหมั้นกันเมื่อไหร่ เสียงดังเซ็งแซ่
ฟากเพชร นั่งซึมๆ อยู่ที่เตียงในห้องรับแขกของบุปผา ยังมีอาการเมาอยู่ ท่าทีไม่สนใจบุปผาแม้แต่จะมองหน้า บุปผาพยายามเคล้าเคลียปรนนิบัติเอาใจ
เพชรเมาหนักเพราะดื่มดับกลุ้ม เสียใจเรื่องไอศูรย์กับมัทนา จึงไม่สนใจใครหน้าไหน
“คุณชื่ออะไรคะ” บุปผาถามเสียงหวาน
เพชรตอบห้วนๆ “เพชร”
“ชื่อดีจริง”
เพชรถามไปงั้นๆ “แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”
“จะชื่ออะไรก็ได้ค่ะ ตามแต่คุณอยากจะเรียก”
เพชรนิ่งไปชั่วครู่ก่อนบอก “มัทนา”
บุปผานิ่วหน้า แปลกใจ “คุณอยากเรียกฉันว่า “มัทนา” หรือคะ” บุปผายิ้มหวานเอาใจ “ก็ได้ค่ะ ฉันชื่อ...มัทนา”
บุปผายื่นหน้าไปชิดหน้าเพชร ขณะที่เพชรยังหมกมุ่นจมจ่อมอยู่กับความคิดตัวเอง จนไม่สนใจจะมองหน้าบุปผาเลย
“จูบ “มัทนา” หน่อยสิคะ”
เพชรนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หันไปตะโบมจูบและไซ้ซอกคอบุปผาอย่างหื่นหิว คล้ายกับจะใช้บุปผาเป็นที่ระบายอารมณ์แค้นในใจแทนมัทนาตัวจริง แล้วโถมใส่ดาราเด่นของหอโคมแดงทั้งตัว
บุปผาหัวเราะคิกคัก ชอบอกชอบใจ
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวนตอนที่ 2 (ต่อ)
คุณหญิงมณี คุณหญิงแจ่มจันทร์ และนายพลเทพ แยกตัวมาคุยกันตามลำพังผู้ใหญ่ ทั้งสามหันไปมองดูไอศูรย์กับมัทนาที่นั่งคุยกันอยู่ไกลๆ สองคน
ในสายตาของผู้ใหญ่ทั้งสาม แลเห็นไอศูรย์กับมัทนาคุยกันอยู่สองคนด้วยสีหน้าชื่นมื่น สามคน ยิ้มอย่างพึงใจ
“เห็นเด็กสองคนนั่นเข้ากันได้ ดิฉันก็สบายใจแล้วล่ะค่ะคุณหญิง” มณีเอ่ย
“นั่นสิคะ ทีแรกดิฉันก็กลัวว่าพ่อต้นจะปฏิเสธ แต่ที่ไหนได้” แจ่มจันทร์ยิ้มชอบใจ “ท่าทางจะหลงเสน่ห์หนูมัทนาเข้าเสียแล้ว แหม..ถ้าทุกอย่างราบรื่นอย่างนี้ เห็นทีดิฉันจะต้อง รีบจัดการเรื่องหมั้นหมายอย่างเป็นทางการแล้วล่ะค่ะ”
มณีหันไปหาสามี “คุณว่ายังไงคะ”
นายพลเทพละสายตาจากการมองมัทนากับไอศูรย์ หันกลับมาตอบคุณหญิงมณีด้วย
สีหน้าสบายใจ
“เห็นลูกมัทกับพ่อต้นคุยถูกคออย่างนี้ ผมก็ไม่ขัดข้องอะไร”
“งั้นก็ดีแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันว่าจะชวนคุณหญิงแจ่มจันทร์ให้ขึ้นไปหาหมอดูที่เชียงใหม่กับดิฉัน ให้เธอดูฤกษ์มงคลให้ลูกของเรา” มณีว่า
แจ่มจันทร์สีหน้าแปลกใจ “เธอ”
“ค่ะ หมอดูของดิฉันคนนี้ เธอมีญาณทิพย์ค่ะ ถึงได้ดูหมอแม่นราวกับจับวาง เธอชื่อ คุณชไม ค่ะ”
คุณหญิงแจ่มจันทร์พยักหน้ารับเป็นเชิงว่าตกลง ผู้ใหญ่ทั้งสามยิ้มชื่นมื่น แล้วหันกลับไปมองที่ไอศูรย์กับมัทนาอีกครั้ง
ฝ่ายไอศูรย์กับมัทนา คุยกันอย่างมีความสุข
“ผมไม่นึกเลยว่า..โชคชะตาจะเล่นตลกกับเราอย่างนี้”
มัทนามีสีหน้าเก้อเขิน “นั่นสิคะหมอ”
“เลิกเรียกผมว่า หมอ ได้ไม๊” ไอศูรย์มองหน้า
“แล้วจะให้เรียกว่ายังไงละคะ”
ไอศูรย์บอกเสียงนุ่มนวล “พี่ต้น กับ น้องมัท”
มัทนายิ้ม เขินมากขึ้นไปอีก “ค่ะ พี่ต้น”
สองหนุ่มสาว มองตากันอย่างแช่มชื่น
ส่วนบุปผาเดินเข้ามาที่โรงพยาบาล เพื่อมาทำแผล ก่อนจะเดินเข้าด้านในก็หยุดสำรวจเสื้อผ้า หน้า ผม ให้เป๊ะ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินเข้าไปแจ้งที่เคาน์เตอร์
“ดิฉันมาขอพบหมอไอศูรย์ค่ะ”
เจ้าหน้าที่ตรงหน้าเคาน์เตอร์ถาม “พบหมอเรื่องอะไรคะ พอดีคุณหมอจะออกเวร
เร็ว กำลังจะกลับบ้าน พบคุณหมอท่านอื่นแทนได้ไม๊คะ”
บุปผายังไม่ทันจะตอบก็ได้ยินพยาบาล 2 คน เจ้าเก่า ซุบซิบกันเรื่องไอศูรย์
“นี่ๆๆๆ เธอ รู้ข่าวรึยังว่าคุณหมอไอศูรย์จะหมั้นน่ะ” พยาบาล1 เปิดประเด็น
คำพูดนั้นกระแทกเข้าที่ใบหน้าของบุปผาทันที หล่อนมีสีหน้าตื่นตะลึง ไปกับข่าวที่ได้ยิน
พยาบาล 2 ซัก “หมั้นกับใครเหรอเธอ”
พยาบาล 1 บอกทันที “กับลูกสาวคุณหญิงมณี นายพลเทพ ชื่อ คุณมัทนา”
บุปผาขมวดคิ้วฉับทันที และทันใดนั้นไอศูรย์ก็เดินออกมาจากห้องข้างใน พยาบาลหยุดปาก ก้มหน้าก้มตาทำงาน บุปผาเห็นไอศูรย์ก็ยิ้มร่า รีบเดินเข้าไปดักหน้าแล้วยกมือไหว้ท่าทีชดช้อย
“สวัสดีค่ะคุณหมอ”
ไอศูรย์ยกมือรับไหว้ มองบุปผา พยายามทบทวนความจำว่าเคยเจอที่ไหน บุปผายกมือที่ยังมีผ้าพันแผลอยู่ให้ดู ไอศูรย์จึงจำได้
“อ๋อ..คุณนั่นเอง ขอบคุณนะครับสำหรับกระเช้าผลไม้ ความจริง..ไม่จำเป็นเลย เพราะถึงยังไงผมก็ต้องทำแผลให้คุณอยู่แล้ว”
“แต่ฉันก็อยากจะขอบคุณน่ะค่ะ”
ไอศูรย์พยักหน้าเข้าใจ “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ แล้วผมก็ขอตัวก่อน” พลางก้มหัวลาบุปผาแล้วเดินออกไป
บุปผาทำท่าจะตาม แต่พยายาบาล 1 มาขวางไว้
“เชิญพบหมอประสงค์ทางนี้เลยค่ะ”
บุปผาได้แต่ทำหน้าเจ็บใจ เข้าถึงตัวไอศูรย์ไม่ได้สักที
ไม่นานต่อมา บุปผาเดินออกมาจากโรงพยาบาลหลังทำแผลที่มือใหม่เสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่บุปผาอารมณ์เสียเรื่องไอศูรย์มาก เลยไม่ได้สนใจใคร แล้วจู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาจับตัวบุปผาเขย่าแล้วถามระรัว
“แก แกเห็นหลานฉันไม๊ เห็นหลานฉันไม๊”
บุปผากำลังอารมณ์เสียอยู่ เลยสะบัดอิ่มออกไปสุดแรง
“ไป๊ อีบ้า”
หญิงบ้าถูกบุปผาผลักเซล้มลง เมื่อบุปผามองเต็มตา จึงเห็นเป็นคนบ้าเสื้อผ้ามอมแมมสกปรก
“อี๊ บ้าจริงๆ นี่หว่า”
หญิงบ้าลุกขึ้นมาแล้วพุ่งเข้ามาถามบุปผาอีก
“แกไม่เห็นหลานฉันเหรอ หลานฉันเพิ่งเกิดได้วันเดียว ตัวเล็กเท่านี้เอง” หญิงบ้าทำมือขนาดเด็กทารกให้บุปผาดู แล้วเบะปากร้องไห้ “ไม่รู้หลานฉันหายไปไหน ฮือๆ หลานฉันหาย ๆ”
“ฉันไม่รู้ ไปถามหาที่อื่นไป๊ ในโรงพยาบาลนั่นไง” บุปผาตัดรำคาญชี้ไปในโรงพยาบาล “หลานแกอาจจะอยู่ในนั้นก็ได้”
หญิงบ้าหันไปมองในโรงพยาบาลที่บุปผาชี้ไป บุปผาฉวยจังหวะนั้นจะเดินหนี หญิงบ้าไม่ยอมหันกลับมายื้อยุดฉุดมือบุปผาไว้
“ไปดูด้วยกันสิ ไปช่วยหาหลานฉันหน่อย นะ ๆๆ”
บุปผาอดรนทนไม่ไหว ร้องฮึ่ย แล้วผลักไสอิ่มออกไปสุดแรง อิ่มล้มหงายก้นจ้ำเบ้าไป บุปผาเดินหนีเร็วๆ ออกไปเลย อิ่มลุกขึ้นได้ บุปผาหายไปแล้ว
อนิจจา โลกกลมอะไรเช่นนี้ เพราะหญิงบ้าคนนั้น ที่แท้คือ อิ่ม พี่สาวของอุ่น แม่ของบุปฝานั่นเอง
บุปผาเดินอารมณ์เสียสุดขีดกลับเข้ามาในหอโคมแดง เหล่าสาวๆ กำลังนั่งอยู่ในโถงกลาง กินของว่างที่เพ็ญทำมาเสิร์ฟบ้าง ทำเล็บกันอยู่บ้าง บุปผาเดินมากระแทกเท้าปังๆ แล้วเดินเข้าห้องไปเลย
ทุกคนมองหน้ากันเหวอๆ ไม่รู้บุปผาเป็นอะไร ในขณะที่มุกทำท่าจะหยิบอะไรเขวี้ยงตามหลังบุปผาไปด้วยความหมั่นไส้ พิกุลรีบยกมือขึ้นปิดหัว เพราะคราวที่แล้วเขวี้ยงกันพลาดมาโดนหัวพิกุลทีหนึ่งแล้ว พอพิกุลลืมตามาเห็นว่ามุกไม่ได้เขวี้ยงจริง เพราะยังเกรงใจผกาอยู่ พิกุลก็พูดขึ้นอย่างซื่อๆ
“สงสัย...วันนี้พยาบาลทำแผลให้บุปผาเจ็บน่ะ”
มุกหันมามองพิกุลด้วยสีหน้าเอือมระอาในความซื่อปนโง่ของพิกุล ผกาสีหน้าครุ่นคิด แล้วเดินตามบุปผาไปที่ห้อง
ฝ่ายบุปผาเดินมาทิ้งตัวลงนอนบนเตียงอย่างอารมณ์เสียอยู่ นอนมองเพดาน คิดอะไรอยู่
บุปผาพึมพำชื่อ “มัทนา” ที่พยาบาลพูดถึงกัน
ผกาเข้ามาพอดี
“อารมณ์เสียเรื่องอะไรมาลูก หรือว่า คุณหมอรู้แล้วว่าบุปผาเป็น...” ผกาพูดไม่จบ ถูกตัดบทเสียก่อน
“ยังหรอกแม่ หมอเขายังไม่รู้หรอกว่าฉันเป็นใคร”
“อ้าว...งั้นบุปผาอารมณ์เสียเรื่องอะไร”
“คุณหมอเขากำลังจะหมั้นกับลูกสาวคุณหญิง พ่อเป็นนายพล”
ผกานึกรู้ทันที ค่อยๆ สอนอย่างใจเย็น “บุปผาเอ๊ย..แม่จะบอกอะไรให้นะ แข่งเรือแข่งพายน่ะมันอาจจะแข่งกันได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนาน่ะ ลูกไปแข่งกับเขาไม่ไหวหรอกนะ”
บุปผาบอกอย่างดื้อดึง “ไม่แม่ ฉันไม่เชื่ออย่างที่แม่พูดหรอก ใช่ ฉันอาจจะเลือกเกิดไม่ได้ เกิดมาก็ถูกแม่ทิ้ง แม่เก็บฉันมาเลี้ยงในซ่อง ฉันถึงโตมาเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากผู้หญิงขายตัว นั่นคือสิ่งที่ฉันเลือกไม่ได้ แต่ทางเดินชีวิตข้างหน้า ฉันเชื่อว่าฉันเลือกได้ ฉันจะต้องแต่งงานกับหมอไอศูรย์ให้ได้ ไม่เชื่อแม่คอยดูสิ”
ผกาอดถามขึ้นไม่ได้ “บุปผาจะแต่งกับเขาได้ยังไง ในเมื่อเขามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้วน่ะ”
บุปผาไม่ตอบ แต่คิดแผนอะไรบางอย่างขึ้นมา
วันต่อมา บุปผากำลังหัดขับรถของกำพลอยู่ตรงถนนละแวกหน้าหอโคมแดงนั้นเอง โดยมีกำพลนั่งอยู่ข้างๆ กำลังสอนขับรถให้บุปผา
“บุปผาเหยียบคลัชก่อน แล้วค่อยๆ เปลี่ยนเกียร์นะ ผ่อนคลัชช้าๆ ให้รถจะได้ไม่กระตุก”
บุปผาทำตามที่กำพลสอนเป๊ะ
ผกา และบรรดาสาวๆ มายืนออดูบุปผาหัดขับรถอย่างตื่นเต้น
“บุปผาเก่งเนอะแม่เนอะ คุณกำพลหัดให้เดี๋ยวเดียว บุปผาขับรถเป็นเลย” พิกุลว่า
ผกายิ้มภูมิใจในตัวบุปผา มุกเบ้ปาก ค้อนขวับๆ อย่างหมั่นไส้
ไม่นานนักบุปผากับกำพลนั่งในรถ บุปผาทำได้ดี กำพลยิ้มพอใจขณะถาม
“บุปผานึกยังไงถึงได้อยากหัดขับรถน่ะ”
บุปผายิ้มหวานใส่กำพลโปรยสเน่ห์ “ก็บุปผาอยากเป็นผู้หญิงเก่งอย่างคนอื่นเขาบ้างน่ะสิคะคุณกำพล”
กำพลทำตาเจ้าชู้ “แต่ถึงบุปผาจะขับรถไม่เป็น แต่บุปผาก็เก่ง เรื่องอื่น ชนิดที่ผู้หญิงอื่นสู้บุปผาไม่ได้เลย...รู้ไม๊”
บุปผาแสร้งค้อนกำพลอย่างมีจริต แล้วมองนาฬิกา ดูเวลา แววตามีแผน
“บุปผาพอจะขับคล่องแล้ว เราลองขับออกไปไกลๆ กว่านี้ดีไม๊คะ” บุปผาฉอเลาะ
“เอาสิ บุปผาอยากขับไปแถวไหนก็ไปเลย ฉันตามใจบุปผาทุกอย่างเลยจ้ะ”
บุปผายิ้มมีแผน
ด้านพวกผกา ทุกคนเห็นรถบุปผาเริ่มขับรถแล่นออกไปไกลจากหน้าหอโคมแดง
เดือนงง “อ้าว..นั่นบุปผาจะขับรถไปไหนน่ะ”
ผกาพอจะเดาได้ว่าบุปผาจะทำอะไร
จริงดังที่ผกาคิด บุปผาขับรถมาแถวหน้าโรงพยาบาล แล้วขับวนไปวนมา ตาสอดส่ายมองไปแถวหน้าโรงพยาบาลตลอดเวลา
กำพลชักแปลกใจ “ทำไมบุปผาขับมาแถวโรงพยาบาลนี่ล่ะจ๊ะ”
“อ้าว..คุณกำพลไม่รู้หรือคะ แถวโรงพยาบาลเนี่ย คนขับรถไม่เร็ว เพราะเป็นเขตโรงพยาบาล บุปผาเพิ่งขับรถเป็นใหม่ๆ ออกถนนใหญ่ทั้งที ก็ต้องมาแถวที่รถไม่เร็วก่อนสิคะ คล่องกว่านี้แล้ว ค่อยไปที่ถนนอื่น” บุปผาตอแหล
กำพลพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ บุปผาแอบเหลือบมองนาฬิกา รอเวลาไอศูรย์ออกเวร
ไม่นานนักบุปผา ก็แลเห็นไอศูรย์เดินออกมาจากโรงพยาบาลตรงตามเวลาที่เคยปฏิบัติเป๊ะ
บุปผายิ้มสมใจ พอเห็นไอศูรย์ขึ้นรถขับออกไป บุปผาก็ค่อยๆ ขับตาม โดยหันมาพูดทีเล่นทีจริงกับกำพล
“คุณกำพลระวังให้ดีนะคะ ทีนี้บุปผาจะลองขับให้เร็วขึ้นแล้ว”
กำพลหัวเราะชอบใจ ยังไม่รู้เรื่องอะไร
รถบุปผาขับตามรถไอศูรย์ไปห่างๆ
ไม่นานหลังจากนั้น บุปผาขับรถตามไอศูรย์มาจนถึงบ้านหลังใหญ่โต และเห็นไอศูรย์เลี้ยวรถเข้าประตูบ้านไป
บุปหาเห็นป้ายชื่อบ้านเขียนว่า “บ้านเทพบริบาล” บุปผาชะเง้อมองตาม
แล้วสายตาของบุปผา ก็เห็นนายสินมาช่วยเปิดประตูรถให้ไอศูรย์
บุปผาตื่นเต้นตาโต พึมพำออกมา “นายสินเป็นคนรถอยู่ที่บ้านนี้เหรอเนี่ย”
กำพลงง “บุปผาว่าอะไรนะจ๊ะ”
บุปผารู้สึกตัว รีบหันไปอ้อนกำพล “โอ๊ย..คุณกำพลคะ บุปผาชักเหนื่อยแล้วสิคะ สงสัยจะขับรถกลับไม่ไหว คุณกำพลช่วยขับแทนบุปผาทีเถอะค่ะ”
“อ้ะ ได้จ้ะ ๆ”
บุปผาจอดรถแถวหน้าบ้านเทพบริบาล แล้วลงจากรถ เดินช้าๆ ถ่วงเวลา สอดสายตามองเข้าไปในบ้านตลอดเวลา
สายตาของบุปผา แลเห็นไอศูรย์เดินขึ้นตึก ที่มีมัทนา คุณหญิงมณี และนายพลเทพยืนรอรับอยู่
บุปผาไม่รู้เลยว่า นี่เป็นครั้งแรกที่หล่อนได้เห็นนายพลเทพ พ่อแท้ๆ ของตน
บุปผามองดูต่อเห็นมัทนายกมือไหว้ไอศูรย์ และไอศูรย์รับไหว้มัทนา ก่อนจะหันไปไหว้คุณหญิงมณี กับนายพลเทพ แล้วทั้งหมดก็เดินเข้าบ้านไป สีหน้าชื่นมื่นกันถ้วนหน้า
บุปผาสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ด้าน 4 คน นั่งสนทนากันอยู่ในห้องรับแขก โดยมีสร้อยยกน้ำมาเสิร์ฟอย่างรู้หน้าที่
“มี หมอ แวะเวียนมาหาบ่อยๆอย่างงี้ ลุงค่อยสบายใจหน่อย” นายพลเทพเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
“ทำไมล่ะครับ คุณลุงเทพก็ดูสุขภาพแข็งแรงดีนี่ครับ”
“ลุงน่ะห่วงคุณหญิงเขาต่างหาก เขาไม่ค่อยแข็งแรงตั้งแต่สมัยท้องยายมัทแล้ว ตอนนั้นเกือบจะเสียยายมัทไปแล้วด้วยซ้ำ เพราะครรภ์เป็นพิษ ดีว่าไปส่งถึงมือหมอทัน เลยรอดมาได้ทั้งแม่ทั้งลูก แต่ก็นี่แหละ..มันทำให้ลุงกับป้า ถึงมียายมัทได้คนเดียว”
เทพส่ายหน้า แววตาเศร้า มณีแอบเหลือบไปสบตากับสร้อย เพราะรู้นัยกันดีว่าทั้งสองแอบเอายาสมุนไพรของ ตาเถา ให้เทพกินจนเป็นหมัน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เทพมีลูกกับใครได้อีก ตลอดระยะ เวลาหลายปีที่ผ่านมา
“เอ้าๆ ลุงนี่ก็พูดอะไรไม่รู้ ประเดี๋ยวหนุ่มๆ สาวๆ จะหมดสนุกกันซะก่อน ลุงไปอ่านหนังสือที่ห้องโน่นดีกว่า พ่อต้นกับยายมัทจะได้คุยกัน”
เทพพูดจบก็ลุกขึ้นเดินไป มณีกับสร้อยตามไป เหลือเพียงไอศูรย์กับมัทนา
เมื่ออยู่กันลำพัง มัทนาก็มีสีหน้าเก้อเขินไอศูรย์ ด้วยยังไม่คุ้นเคยกันมากเท่าไหร่
“ท่าทางคุณลุงคงอยากมีลูกหลายๆ คน” ไอศูรย์เย้า
“ค่ะ...” มัทนาค้างคำ ยังไม่คุ้นที่จะเรียกชื่อเล่นไอศูรย์สักเท่าไหร่ “...พี่ต้นคุณพ่ออยากมีลูกหลายคน แต่ก็มีมัทได้เพียงคนเดียวคุณพ่อจะบ่นทุกครั้งที่มีโอกาส แต่ไม่ค่อยบ่นต่อหน้า
คุณแม่สักเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะเกรงว่าคุณแม่จะเสียใจ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับทราบแล้วมองหน้ามัทนาซึ้งๆ มัทนาออกอาการขวยเขิน ไอศูรย์ยิ้มอย่างเอ็นดู
ในอีกมุมของคฤหาสน์ คุณหญิงมณีกับสร้อยยังแอบยืนดูไอศูรย์กับมัทนาอยู่ ไม่ได้เดินตามนายพลเทพไปที่ห้องนั่งเล่น คุณหญิงมณียิ้มย่องปลื้มใจ
“เห็นพ่อต้นกับลูกมัทเข้ากันได้อย่างนี้ ฉันก็สบายใจแล้วละนังสร้อย”
แล้วคุณหญิงมณีก็นึกอะไรได้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“ไปรับยาที่ตาเถามาเรียบร้อยไม๊”
สร้อยทำหน้าบูดบึ้งนึกโมโห “ตาเถานี่ชักร้ายขึ้นทุกวันแล้วค่ะคุณหญิงแกจะขอขึ้นค่ายาอีกค่ะ”
“อะไรนะ” มณีทำหน้าหงุดหงิด “เฮ้อ! คนพรรค์นี้ ได้คืบจะเอาศอก ฉันละเกลียดจริงๆ แต่ยังไงๆ ฉันก็ต้องพึ่งเขา ตาเถาเรียกเงินอีกเท่าไหร่ก็เห็นจะต้องยอมจ่าย แต่ต้องได้ยามาเพราะฉันจะไม่ยอมประมาทในเรื่องนี้เป็นอันขาด หัวเด็ดตีนขาดยังไง ฉันจะไม่ยอมให้ท่านนายพลไปแอบมีลูกที่ไหนได้อีก ยายมัทจะต้องเป็นลูกคนเดียวของท่านนายพลอย่างนี้ตลอดไป”
สีหน้าคุณหญิงมณีมุ่งมั่นมาดหมายเอามากๆ
ครู่ต่อมานายพลเทพเดินมาอีกห้อง แต่มองเห็นห้องที่ไอศูรย์กับมัทนานั่งอยู่ ในสายตาของเทพ เห็นไอศูรย์กับมัทนานั่งคุยกันอยู่ด้วยท่าทางถูกคอกันเป็นอย่างยิ่งก็ยิ้มดีใจ ที่ลูกกับไอศูรย์ชอบกันจริงๆ ไม่ต้องคลุมถุงชนอย่างที่ตนกลัว
แล้วเวลานั้นท่านนายพลก็เผลอเหม่อคิดถึงอดีตขึ้นมา
เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นที่บ้านอุ่น เวลาตอนกลางวัน นายพลเทพกำลังเอามือลูบท้องอุ่น ที่กำลังท้องแก่อยู่ด้วยความดีใจ
“อยากเห็นหน้าลูกคนนี้จริง อยากรู้นักว่าจะเป็นลูกผู้หญิง หรือลูกผู้ชาย”
“ถ้าเป็นลูกผู้หญิง ท่านนายพลจะผิดหวังไม๊คะ” อุ่นถาม
“ไม่ จะลูกผู้หญิง หรือลูกผู้ชายก็ได้ ฉันยินดีทั้งนั้นแหละ ฉันชอบเด็ก อยากให้ที่บ้านมีเด็กๆ หลายๆ คน”
อุ่นมีสีหน้าวิตกกังวล “ท่านขา...ท่านจะบอกเรื่องของเรากับคุณหญิงเมื่อไหร่คะ อุ่นกลัวว่า..ถ้าคุณหญิงรู้เรื่องของอุ่นกับลูกแล้วท่านจะโกรธ”
“ไม่หรอกแม่อุ่น คุณหญิงเขาเป็นใจเย็น ฉันเชื่อว่า เมื่อคุณหญิงรู้ว่าเธอเป็นเมียฉัน และกำลังจะมีลูกให้ฉันอีกคน คุณหญิงเขาก็คงจะยอมรับได้แหละน่า” เทพปลอบ
“จริงหรือคะ”
“จริงสิ อุ่นอย่าเพิ่งคิดอะไรให้มากความไปเลย รักษาตัวให้ดีก่อน อีกไม่กี่วันก็จะคลอดแล้ว วันคลอด ฉันจะหาโอกาสมาอยู่เป็นเพื่อนเธอ”
อุ่นยิ้มแล้วกอดนายพลเทพไว้อย่างรักใคร่ ท่านนายพลกอดตอบ
แต่แล้วก็เกิดเรื่องร้าย บ้านอุ่นถูกไฟไหม้ คืนนั้นนายพลเทพวิ่งหน้าตื่นพร้อมชาวบ้านเข้ามา บ้านทั้งหลังเหลือแต่ตอตะโก เทพเห็นสภาพบ้านก็เข่าอ่อน รีบถามชาวบ้าน
“แล้วอุ่นล่ะ อุ่นอยู่ที่ไหน”
ชาวบ้านส่ายหน้าพลางบอก “เห็นตำรวจเขาบอกว่า..ถูกไฟครอกตายอยู่ในบ้านครับท่าน”
เทพตะลึง “รวมทั้งลูกในท้องด้วยงั้นหรือ”
“ก็คงอย่างนั้นครับท่าน เพราะนังอุ่นมันยังไม่ถึงกำหนดคลอด ลงถูกไฟครอกตายอย่างงี้ ก็คงตายหมดทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละครับท่าน”
เทพสะเทือนใจแทบจะร้องไห้ออกมาตรงนั้นเลยทีเดียว
ท่านนายพลดึงตัวเองกลับมา ทอดถอนลมหายใจยาวด้วยความเศร้าเมื่อนึกถึงการสูญเสียลูก-เมียอีกบ้านหนึ่งไปเมื่อในอดีต
จากบ่ายคล้อยเป็นมืดค่ำ นายพลเทพไม่รู้ว่าตัวเองคิดผิด เพราะยังมีบุปผาอีกคนที่เป็นลูกของเขา และยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ยังไม่มีใครรู้
เวลานี้บุปผานอนคิดอะไรอยู่บนเตียง สีหน้าเคร่งเครียด ผกาเข้ามาหา
“คุณกำพลกลับไปตั้งนานแล้ว ทำไมบุปผายังไม่ลงไปกินข้าวอีกล่ะลูก เป็นอะไร แล้ววันนี้บุปผาหลอกพาคุณกำพลขับรถไปถึงไหนกันมา”
บุปผาอดยิ้มไม่ได้ “แหม..แม่นี่รู้ทันฉันเสมอเลยนะ”
“ก็แม่..เป็นแม่ ถึงจะไม่ได้เบ่งออกมาเอง แต่ก็เลี้ยงมาตั้งแต่แบเบาะละ เอ้า ว่ามา..วันนี้หลอกพาคุณกำพลไปไหนมา”
“ไปดักดูหมอไอศูรย์ที่โรงพยาบาลจ้ะแม่ ทีแรกกะว่าจะขับตามไปดูบ้านเขา ฉันอยากรู้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน แต่เขาไม่ได้กลับบ้าน หมอเขาไปที่บ้าน...เทพบริบาล” พูดถึงตรงนี้บุปผาหน้าบูดบึ้งขึ้นมา “คงจะเป็นบ้านว่าที่คู่หมั้นของหมอเขาละ ฉันเห็นหน้าแล้วนะแม่ สะสวยทีเดียว”
“ก็ในเมื่อเขาสวยหล่อ ชาติตระกูลสมกันดี แล้วกำลังจะหมั้นกันด้วย แม่ว่าบุปผาอย่าไปยุ่งกับเขาเลยดีไม๊ เขากับเราคงไม่ใช่คู่บุญ คู่วาสนาต่อกันหรอก”
บุปผาเสียงแข็ง “แม่อยากอยู่ในซ่องอย่างนี้ไปจนตายเหรอ”
ผกาเงียบไปทันที
บุปผาบอกต่อ “แต่ฉันไม่ เพราะฉะนั้นฉันจะไม่ยอมรามือเรื่องนี้ง่ายๆ เขายังไม่ได้หมั้นกันสักหน่อย แต่ถึงหมั้นแล้ว ก็ถอนหมั้นกันได้” แววตาบุปผาวาววับ แสดงความร้ายกาจออกมา “และฉันนึกออกแล้วด้วยว่า..ฉันจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
บุปผาเริ่มรู้ตัวว่า พูดแรงๆ ใส่ผกา เลยหันไปกอดเอวอ้อนอย่างเด็กๆ พูดให้ความหวังแก่ผกา
“แม่จ๋า จำไว้นะ วันไหนที่ฉันได้ดีขึ้นมา แม่ก็จะต้องได้ดีไปกับฉันด้วย ฉันจะพาแม่ออกจากซ่องนี่ ไปเป็นคนมีเกียรติในสังคมเหมือนอย่างคนอื่นๆ ให้ได้ แม่เชื่อฉัน”
บุปผากอดเอวผกาประจบเอาไว้ แล้วยิ้มร้าย มีแผนอะไรบางอย่างอีกแล้ว
ส่วนผกาสีหน้าก็มีความหวังว่าชีวิตบั้นปลายคงจะสุขสบายอย่างที่บุปผาให้ความหวังเสียที
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวนตอนที่ 2 (ต่อ)
เช้าวันต่อมา แลเห็นสวิงเข้ามารายงานมัทนาซึ่งเตรียมตัวจะไปเรียน ว่าสินไม่สบาย
“นายสินป่วยอีกแล้วเหรอเนี่ย” มัทนาแปลกใจ
“ค่ะคุณมัท วันนี้ก็คงจะขับรถไปส่งคุณมัทที่มหาวิทยาลัยไม่ได้”
มัทนานึกเป็นห่วง “ตายจริง นายสนเป็นอะไรมากรึเปล่าจ๊ะสวิง”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่เห็นว่าเดี๋ยวจะออกไปหาหมอ”
“งั้นก็ตามคนอื่นมาขับรถแทนก็แล้วกัน”
สวิงมีสีหน้าไม่สู้ดี “ไม่มีใครอยู่เลยค่ะคุณมัท”
มัทนาหน้าเสีย “อ้าว..แล้วฉันจะไปมหาวิทยาลัยได้ยังไงกันล่ะเนี่ย”
จังหวะนี้คุณหญิงมณีเดินเข้ามาหา
“ไปได้สิจ๊ะลูกมัท แม่โทร.ไปตามคนขับรถพิเศษมาให้แล้ว”
มัทนาทำหน้างง แต่คุณหญิงไม่ทันต้องตอบ ไอศูรย์ก็เดินยิ้มเข้ามาหา
“พร้อมจะไปมหาวิทยาลัยหรือยังครับน้องมัท”
มัทนายิ้มทั้งขำทั้งเซอร์ไพรส์ แล้วหันไปมองแม่ คุณหญิงมณีก็ยิ้มชื่น ทุกอย่างดูราบรื่นและเป็นไปตามทางที่เธอกำหนดทุกอย่างแล้ว
เหตุการณ์ที่หอโคมแดง วันนี้มุกแต่งตัวสวยพิเศษ พร้อมจะรับแขกที่ผกานัดให้ คนอื่นนั่งทำโน่นนี่ บุปผาวิ่งเข้ามาหาผกา
“แม่จ๋า..วันนี้ฉันเห็นนายสินนัดจะเข้ามาใช่ไม๊จ๊ะแม่”
ผกาพยักหน้า “แม่จะให้มุก เป็นคนรับแขก”
มุกได้ยินทำยืดสีหน้าภูมิใจ ดีใจ จะได้ทำงาน
“วันนี้ฉันขอเป็นคนขึ้นห้องกับนายสินนะแม่”
ทุกคนอ้าปากค้าง เพราะรู้ดีว่าบุปผาไม่เคยยอมขึ้นห้องกับคนชนชั้นล่าง เลือกขึ้นห้องแต่กับคนรวยเท่านั้น มุกทนไม่ได้ พุ่งเข้ามาผลักบุปผาด้วยความโมโห
“อ๊าย นังบุปผา นี่มันเรื่องอะไรกันยะ อยู่ๆ ก็จะมาแย่งแขกของฉัน ทำยังงี้ คิดจะมีเรื่องกับฉันใช่ไม๊”
เดือนก็งง “นั่นสิ บุปผาไม่เคยยอมขึ้นห้องกับนายสินเลยนี่นา”
สิรีพยายามเกลี้ยกล่อม “ยกให้พี่มุกเขารับแขกนายสินไปเถอะนะบุปผานะ”
“แต่วันนี้ฉันจะขึ้นห้องกับนายสินเอง ฉันมีเหตุผลของฉัน” บุปผาบอก
“เหตุผลของแกก็คือ..แกจะแกล้งฉันใช่ไม๊นังบุปผา” มุกแค้น
“ฉันบอกไปแล้วว่าฉันมีเหตุผลของฉัน หรือว่าพี่มุกจะให้นายสินเป็นคนเลือก ว่าจะขึ้นห้องกับใครก็ได้นะ” บุปผาพูดท้าทายอย่างถือดี
“ขืนให้เขาเลือก เขาก็เลือกแกน่ะสินังบุปผา นายสินน่ะขอขึ้นห้องกับแกไม่รู้กี่หนแล้ว แกก็เล่นตัวตลอด มาคราวนี้แกคิดจะแกล้งฉัน เห็นนานๆ ฉันถึงจะได้รับแขกสักที แกก็จะมาแย่ง ยังงี้มันต้องเจอกันหน่อยโว๊ย”
พูดจบมุกก็พุ่งเข้าตบบุปผาด้วยความโมโห ผการู้ทัน พุ่งเข้าขวางทางก่อนแล้วคว้ามือมุกเอาไว้
“เอาเถอะๆ ในเมื่อนังบุปผามันมีเหตุผลของมัน แม่ก็จะให้บุปผาขึ้นห้องกับนายสิน”
มุกกรี๊ดแตก “แอร๊ย แม่”
“เอาน่าๆ มุก อย่ากรี๊ด แม่ปวดหัว เอาเป็นว่าวันนี้แม่จะให้บุปผาขึ้นห้องกับนายสิน แล้วแม่จะจัดแขกอื่นขึ้นห้องกับแก ทั้งรอบเช้า รอบบ่าย เอาให้หนำใจแกเลย ตกลงไม๊”
มุกพูดไม่ออก ได้แต่เดินสะบัดสะบิ้งไปกระแทกตัวนั่งห่างออกไป บุปผายิ้มพอใจ
“ขอบคุณจ้ะแม่ ฉันรับรองว่า ฉันจะไม่ทำให้แม่ผิดหวังเลยที่ตัดสินใจให้ฉันขึ้นห้องกับนายสินครั้งนี้”
บุปผายิ้มร่า ในขณะที่ผกามองอย่างสงสัยว่าบุปผากำลังคิดจะทำอะไร
ไอศูรย์ขับรถมาส่งมัทนาที่มหาวิทยาลัย มัทนายกมือไหว้ไอศูรย์
“ขอบคุณนะคะพี่ต้น ที่มาส่งมัท”
“ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้...เล็กน้อยมาก”
“รีบไปเถอะค่ะ มัทไม่อยากให้พี่ต้นไปเข้าเวรที่โรงพยาบาลสาย”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ “พี่ไปนะ”
มัทนายกมือไหว้ไอศูรย์อีกครั้ง ขณะเดียวหันนั้นเพชรก็ขับรถมาส่งพลอยที่มหาวิทยาลัยเช่นกัน ทั้งสี่เจอกัน เพชรมีอาการปั้นปึ่งใส่ไอศูรย์ ในขณะเดียวกันพลอยก็ไม่พูดกับมัทนา
“เพชร” ไอศูรย์ทัก
เพชรไม่มองหน้าไอศูรย์ หันมาบอกพลอย
“ตั้งใจเรียนนะ เดี๋ยวตอนเย็นพี่มารับ”
แล้วเพชรก็ขึ้นรถขับออกไปเลย ไอศูรย์หน้าเครียด หันมาพยักหน้าเป็นลามัทนา แล้วขึ้นรถขับตามรถเพชรไป มัทนามองพลอย เห็นพลอยจะขึ้นตึกเรียนโดยไม่รอเธอ จึงเรียกไว้
“พลอย”
แต่พลอยไม่สนใจ ขึ้นตึกเรียนไปเลย โดยไม่พูดกับมัทนา มัทนาถอนใจเซ็ง
ด้านไอศูรย์ขับรถตามเพชรมา แล้วพยายามจะให้เพชรจอด ในที่สุดเพชรยอมจอดรถ แต่นั่งปึ่งอยู่ในรถไม่ยอมลง ไอศูรย์ลงจากรถ วิ่งไปหาเพชรที่ด้านคนขับ
“เพชร พี่ว่าเราควรจะต้องคุยกัน”
“แต่ผมไม่มีอะไรจะต้องคุยกับพี่ต้นนี่ครับ ขอโทษนะครับ ผมต้องรีบไปทำงาน”
พูดจบเพชรก็ขับรถพรืดออกไปเลย ปล่อยให้ไอศูรย์ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมด้วยความกลุ้มใจที่ต้องมาผิดใจกันเพราะเรื่องมัทนา
ส่วนพลอยเดินมาตามทางเดินในอาคารเรียนของมหาวิทยาลัย โดยไม่สนใจมัทนา ที่วิ่งตามมาดึงแขนพลอยไว้
“พลอย หยุดพูดกันก่อนสิ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูด”
“แต่ฉันมี” มัทนาดึงพลอยไว้สุดแรงจนพลอยต้องหยุด แต่ก็ยังไม่ยอมมองหน้ามัทนาอยู่ดี “พลอย ฉันไม่รู้จริงๆว่าแม่จะให้ฉันหมั้นกับพี่ต้น ฉันรู้แต่ว่าแม่จะให้ฉันหมั้นกับลูกชายเพื่อนของแม่”
“แล้วเธอก็ไม่เคยถามเลยงั้นสิ”
“จริง ฉันไม่เคยถาม เพราะฉันไม่เคยขัดใจแม่ แม่จะให้ฉันทำอะไร ฉันก็ทำตามที่พ่อกับแม่บอกให้ทำมาตลอด ในเมื่อแม่จะให้ฉันหมั้น ฉันก็จะหมั้นตามใจท่าน”
“แล้วเธอชอบพี่ต้น พอที่จะยอมรับหมั้นเขารึเปล่าล่ะ” พลอยถาม
มัทนาพยักหน้าช้าๆ พลอยอึ้งไปชั่วขณะ แล้วในที่สุดก็ถอนใจใหญ่ พูดเสียงอ่อนลง
“สรุปว่า..พี่ชายฉันหมดหวังละสิ”
“ฉันขอโทษนะพลอย แต่เรื่องแบบนี้..มันบังคับใจกันไม่ได้น่ะ ฉันชอบพี่เพชร เหมือนอย่างพี่ชายคนหนึ่ง”
“เอาละๆ สรุปว่า..พี่เพชรฉันก็ต้องอกหักไปตามระเบียบ ก็ไม่ต่างอะไรไปจากฉัน” พลอยเสียงแผ่วลง
มัทนารู้ได้ทันที “เธอชอบพี่ต้น”
พลอยพยักหน้า
“โธ่..ฉันขอโทษ”
“ทำไมเธอต้องขอโทษ เธอไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย ก็อย่างที่เธอบอกนั่นแหละ เรื่องแบบนี้มันบังคับใจกันไม่ได้ ในเมื่อพี่ต้นเขาไม่ได้ชอบฉัน แต่เขาชอบเธอ ฉันก็ควรจะดีใจไปกับเธอมากกว่า ที่กำลังจะมีความรักที่สมหวังและลงตัว”
“ขอบคุณนะพลอย ขอบคุณที่เข้าใจฉัน ฉันคงจะหาเพื่อนที่ดีอย่างเธอไม่ได้อีกแล้ว”
สองสาวเพื่อนซี้ จับมือและมองตากัน แล้วยิ้มให้กันอย่างเข้าใจ มัทนาดีใจมากๆ
ด้านไอศูรย์เดินหน้าขรึมๆ เข้ามาที่โรงพยาบาล ไม่สบายใจเรื่องเพชรอยู่ แล้วจู่ๆ อิ่มก็วิ่งเข้ามาเกาะแขนไอศูรย์
“เห็นหลานฉันไม๊”
ไอศูรย์ตกใจ “หลานป้าหายไปเหรอครับ”
“หาย มันหายไป” อ่มทำท่าอุ้มเด็กแกว่งไปมา “ฉันอุ้มของฉันมาดีๆ อยู่ๆ มันก็หายไป” พูดแล้วอิ่มก็ตาเหลือกขึ้นมากะทันหัน “หรือว่า..มันจะถูกฆ่าให้ตายตามแม่มันไปแล้ว ไม่ ม่าย...”
สุดท้ายอิ่มก็ร้องกรี๊ดๆ ไอศูรย์พยายามกอดปลอบใจ อิ่มกอดไอศูรย์แล้วร้องไห้อย่างบ้าคลั่ง
ที่หอโคมแดง เวลานั้น สินใจดีใจจนเนื้อเต้น
"บุปผาจะขึ้นห้องกับผม จริงๆเหรอเนี่ย”
บุปผาพยักหน้ายิ้มๆ
“ผมดีใจจังเลยที่บุปผายอมขึ้นห้องกับผม”
“ฉันก็ดีใจที่จะได้ขึ้นห้องกับนาย”
สีหน้าบุปผา ยิ้มมีเลศนัย
ฟากคุณหญิงมณี เอาเงินส่งให้สร้อยจำนวนมาก
“เอ้า..เอาเงินไปให้ตาเถาซะ แล้วรีบเอายากลับมา ฉันไม่ต้องการให้ยาที่ให้ท่านนายพลมันขาดช่วง ป้องกันความผิดพลาดเอาไว้ก่อน รีบไปรีบกลับนะนังสร้อย”
“ค่ะคุณหญิง” สร้อยนับเงินที่ได้จากคุณหญิงมณีง่วน
สองคนไม่รู้ว่าแสงยืนแอบมองอยู่ที่มุมบ้าน ด้วยสีหน้าฉงนสงสัย
ขณะที่สร้อยเดินออกจากบ้าน แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อแสงโผล่พรวดเข้ามา
“ฮั่นแน่ ! แม่จะไปไหนน่ะ”
“ฮุ้ย ไอ้แสงนี่ โผล่เข้ามาไม่ให้สุ้มให้เสียง เกิดแม่หัวใจวายตายไปกะทันหัน แกจะว่ายังไงฮึ”
“คนอย่างแม่น่ะ ฉันรู้ ไม่ตายง่ายๆ หรอก” แสงหรี่ตามอง “แม่จะไปไหนน่ะ”
“ไปธุระ”
“ธุระให้คุณหญิงใช่ไม๊”
“แกรู้ได้ไง”
“ก็ฉันเห็นคุณหญิงเอาเงินตั้งเยอะให้แม่ คุณหญิงให้แม่เอาเงินไปทำอะไรเหรอ”
“ไปซื้อของ”
“ของอะไร”
“แกอย่ารู้เลย”
“งั้นแสดงว่า ของที่แม่จะออกไปซื้อให้คุณหญิงเนี่ย มันต้องเป็นของไม่ดีใช่ไม๊ แม่ถึงไม่อยากให้ใครรู้ แม้แต่ลูกของตัวเอง”
“เอ๊ะ ไอ้แสงนี่ แกจะมาถามเซ้าซี้แม่ทำไมเนี่ย”
แสงแบมือขอเงินแม่หน้าตาเฉย พลางพูดขู่
“ถ้าแม่ไม่ให้ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ท่านนายพลฟัง แล้วท่านนายพลก็คงจะไปถามคุณหญิงเอาเองแหละว่า คุณหญิงใช้ให้แม่ไปซื้ออะไร”
“อย่านะ”
แสงยิ้ม แล้วกระดิกมือ สร้อยมองมือลูกที่แบและกระดิกอย่างยียวน ชักสีหน้า แล้วกัดฟันหยิบเงินจำนวนหนึ่งส่งให้ แสงรับเงินไปจูบ สร้อยมองค้อน โมโหลูกมาก
สองคนอยู่ในห้อง สินเพิ่งพลิกตัวลงจากตัวบุปผา แล้วนอนแผ่ หลับตาพริ้มอย่างหมดแรง แต่สีหน้าอิ่มเอมใจมาก
“บุปผาจ๋า...เธอพาฉันขึ้นสวรรค์จริงๆ”
บุปผาเบ้ปาก อย่างรังเกียจ แต่พอสินลืมตาขึ้นแล้วหันมามองเธออย่างหลงใหล บุปผาก็รีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มหวานเอาใจสินผิดกว่าเคยทันที
“บุปผารู้ไม๊..ฉันคอยเวลาที่จะได้อยู่กับเธออย่างนี้มานานแค่ไหน แต่บุปผาไม่เคยยอมขึ้นห้องกับฉันเลย จนฉันไม่นึกเลยว่า จู่ๆ วันนี้ฉันมีโชควาสนาได้มาอยู่ที่นี่กับบุปผาจริงๆ ถามหน่อยเถอะจ้ะ ทำไมวันนี้บุปผาถึงได้ยอมมาขึ้นห้องกับฉันได้ล่ะจ๊ะ”
“ก็ฉันชอบนายสินน่ะสิ”
สินตกใจ “บุปผาพูดอะไรนะ ! พูดใหม่อีกทีสิ”
บุปผาพูดช้าๆ “ฉันชอบนายสิน” แล้วแสร้งทำหน้าเศร้า “แต่แม่ผกาบอกฉันว่าให้ฉันเลือกขึ้นห้องแต่กับพวกเศรษฐีไปก่อน เพราะอีกหน่อยพอฉันแก่ หมดความสาวความสวยแล้ว ฉันก็คงจะเลือกมากอย่างนี้ไม่ได้อีก” บุปผาสำทับด้วยการแสร้งร้องไห้ “นายสินรู้ไม๊ว่าพวกเศรษฐีน่ะ เขาจ่ายหนักก็จริง แต่เขาก็ เล่น ฉันหนักหนาเหมือนกัน บางครั้งนะ..ฉันถึงกับจับไข้เลยทีเดียว”
“จริงเหรอ” สินแสนสงสารบุปผา
“ใจจริง ฉันอยากจะเลิกอาชีพนี้แล้ว อยากจะออกไปจากที่นี่ ไปใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา แต่แม่ผกาไม่ยอม อ้างบุญคุณที่เลี้ยงดูฉันมาแต่แบเบาะ มันก็เลยทำให้ฉันไม่กล้าไปไหน หรือทำอะไรที่ขัดใจแม่”
สินฟังแล้วตื้นตัน “โถ..แม่คุณ”
“นายสินรักฉันบ้างรึเปล่า”
“รักสิ รักมาตั้งนานแล้ว และฉันก็ไม่เคยรังเกียจเลยว่าเธอเป็นใคร ทำอาชีพอะไร”
“ถ้านายสินรักฉันจริง นายสนพาฉันหนีไปจากที่นี่นะ”
สินตกตะลึง “หา อะไรนะ”
สินยังคงตะลึงค้างอยู่อย่างนั้น ในขณะที่บุปผาสีหน้าจริงจัง ไม่พูดเล่น
เย็นนั้นไอศูรย์กับพยาบาล 2 คน ยืนมองดูอิ่มนั่งกินข้าวอย่างหิวโหยและมูมมาม
“คนบ้าขนานแท้เลยค่ะหมอ” พยาบาล 1 ว่า
“พูดไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ ค่ะ เอาแต่ถามว่า..เห็นหลานฉันไม๊ เห็นหลานฉันไม๊” พยาบาล 2 บอก
พยาบาล 1 เสริม “สงสัยจะทำหลานหาย เลยเสียใจจนเป็นบ้าไปอย่างนี้นะคะหมอ”
ไอศูรย์ถอนใจ “น่าสงสารจริง”
“แล้วเราจะเอายังไงต่อไปดีคะหมอ” พยาบาล 1 ถาม
“หาเสื้อผ้าสะอาดๆ ให้ใส่ แล้วให้นอนที่เตียงคนไข้ว่างๆ ไปก่อน ผมไม่อยากปล่อยแกไปเดินเร่ร่อนอีก เดี๋ยวเป็นอันตราย”
ไอศูรย์ยืนมองดูอิ่มกินข้าวด้วยความสงสาร อิ่มหันมามองไอศูรย์ รับรู้ถึงความเมตตาที่ไอศูรย์มีให้ อิ่มยิ้มกว้างให้ไอศูรย์จนเห็นข้าวที่กำลังเคี้ยวอยู่เต็มปาก แล้วตะโกนถาม
“ตกลงแกเห็นหลานฉันไม๊”
ไอศูรย์ส่ายหน้า อิ่มหน้าสลดลงทันที
คืนนั้น สองคนอยู่ในห้องนอนแล้ว คุณหญิงมณีเอ่ยขึ้น
“มะรืนนี้..ดิฉันจะขึ้นเหนือกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ ไปหาคุณชไมนะคะ”
“จะให้ผมไปด้วยไม๊”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ดิฉันไปกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ได้ค่ะ”
มีเสียงเคาะประตู มณีเดินไปเปิด เป็นสร้อยที่มาเคาะประตู และส่งถ้วยยาให้คุณหญิงมณีอย่างรู้กัน มณีรับถ้วยยามาจากสร้อย ปิดประตูห้อง แล้วเดินเอาถ้วยยาไปให้นายพลเทพ
“ยาบำรุงค่ะคุณ”
เทพมองถ้วยยาอย่างเบื่อๆ “เฮ้อ..ผมชักเริ่มเบื่อกินยาบำรุงนี่แล้วละคุณ แปลกนะ..คุณแท้ๆ ที่เจ็บออดแอด จนมีลูกอีกไม่ได้ ไม่ยักกะเป็นคนกินยา กลับกลายเป็นผมเสียนี่ที่ต้องเป็นคนกินยาบำรุง ผมเลิกกินเสียทีดีไม๊”
มณีแว้ดออกมาอย่างลืมตัว “ไม่ได้นะคะ” แล้วนึกขึ้นได้จึงเปลี่ยนเสียงเป็นอ่อนลง “ดิฉันอยากให้คุณแข็งแรง อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของลูกของเมียไปนานๆหรอกค่ะ ถึงสรรหายาบำรุงมาให้คุณกิน กินซะค่ะ จะได้แข็งแรง อยู่ต่อไปด้วยกันนานๆ เป็นตาเป็นยายช่วยกันเลี้ยงลูกของยายมัทกับตาต้นไปด้วยกัน”
นายพลเทพนึกถึงการได้ชีวิตอยู่เลี้ยงเด็กอีกครั้ง ก็ดื่มยาบำรุงจนหมดถ้วยด้วยความเต็มใจ ในขณะที่คุณหญิงมณีก็จับตามองดูอย่างพอใจ
วันต่อมา ที่หอโคมแดง ผกาตกใจเมื่อบุปผามาบอก
“อะไรนะ บุปผาจะไปจากที่นี่”
“ใช่จ้ะแม่ ฉันจะไปอยู่กับนายสิน”
ผกางงมาก “ก็..ก็ไหนว่าอยากจะได้ผัวหมอ ไหงมาคว้าเอาคนขับรถเอาง่ายๆอย่างงี้เล่าบุปผา”
บุปผาหัวเราะ “แม่ยังไม่เข้าใจ นายสินน่ะ..มันเป็นแค่บันไดที่ฉันจะใช้ก้าวเดินไปหาผัวหมอต่างหากเล่า”
“อธิบายสิ”
“นายสินเป็นคนขับรถอยู่ที่บ้านว่าที่คู่หมั้นของหมอไอศูรย์ เพราะฉะนั้นหมอก็จะต้องไปมาหาสู่ที่บ้านนั้นไม่ขาด การที่ฉันเข้าไปอยู่ในบ้านนั้นกับนายสิน มันจะทำให้ฉันมีโอกาสเข้าถึงตัวหมอไอศูรย์ง่ายกว่าที่อื่น”
ผกายักหน้า “อืม..แม่ชักเริ่มเข้าใจละ แต่เอ๊ะ ถ้าบุปผาไป ที่นี่ก็จะขาดรายได้น่ะสิ บุปผาก็รู้อยู่ว่า แกน่ะเป็นดาราของที่นี่”
บุปผากอดประจบผกา พูดเสียงหวาน “แม่อย่าห่วงเลย ถึงฉันจะไม่อยู่ แต่ฉันก็จะหาทางหาเงิน ส่งกลับมาให้แม่ ให้แม่มีรายได้เหมือนตอนที่ฉันอยู่เลย”
ผกายังดูเป็นกังวล “แน่นะ”
“แน่สิจ๊ะ”
“แล้วบุปผาจะไปอยู่กับนายสิน ในฐานะอะไร”
บุปผาไม่ตอบ แต่ยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
เช้าวันต่อมา บุปผาที่ยามนี้แต่งตัวมิดชิดเรียบร้อย หน้าไม่แต่ง เพิ่งเงยหน้าขึ้นจากการกราบนายพลเทพ และมัทนา โดยมีนายสินนั่งอยู่ข้างๆ สีหน้าและท่าทางของบุปผาเวลานี้เรียบร้อยผิดตาไปจากตอนที่อยู่ที่หอโคมแดงลิบลับ
“น้องสาวผมครับท่าน มันเพิ่งมาจากบ้านนอกเพราะทนแล้งไม่ไหว เลยจะมาขออาศัยอยู่ด้วยน่ะครับท่าน มันว่าไม่ต้องมีเงินดาวเงินเดือนอะไรให้มันก็ได้ ขอแค่ให้มันได้มีที่ซุกหัวนอนที่นี่ มีข้าวกิน มันก็พอใจแล้ว”
“แหม..มาวันนี้..คุณหญิงเขาก็ไม่อยู่เสียด้วย เขาขึ้นไปหาหมอดูให้ดูฤกษ์ดูยามหมั้นให้ยายมัทที่เชียงใหม่โน่น แล้วเรื่องงานในบ้านนี่..ฉันก็ไม่กล้าตัดสินใจ กลัวคุณหญิงจะว่าเอา”
สินหน้าเสีย บุปผาก็แสร้งทำเป็นหน้าเสียไปด้วย
ครู่หนึ่งสินยกมือไหว้ท่วมหัว “ท่านรับมันไว้รับใช้ในบ้านสักคนเถอะนะครับ ขืนส่งมันกลับบ้านนอก มีหวังมันกลับไปอดตายแน่ นะครับ ผมขอร้อง…”
นายพลเทพมีสีหน้าอึดอัดไม่กล้าตัดสินใจ มัทนาเป็นฝ่ายใจอ่อนเสียเอง
“รับไว้เถอะค่ะคุณพ่อ สงสารเขานะคะ แล้วบ้านเราออกจะกว้างขวาง มีคนเพิ่มขึ้นอีกคนเดียว คงไม่กระไรนักหนาหรอกค่ะ ถ้ายังไงมัทจะช่วยพูดกับคุณแม่เอง”
บุปผาหันมายิ้มซื่อๆ ให้มัทนาคล้ายสำนึกบุญคุณ มัทนาเลยยิ่งใจอ่อนใหญ่
“นะคะคุณพ่อ”
“เอ้าๆ เอาอย่างนั้นก็ได้”
บุปผายิ้มร่า สีหน้าดีใจอย่างใสซื่อ ก้มลงกราบแทบเท้านายพลเทพกับมัทนาทันที
“ขอบพระคุณค่ะท่าน ขอบพระคุณค่ะคุณหนู” บุปผาแสร้งทำเป็นไหว้ปลกๆ ไม่เลิกรา
“เอ้า...พอๆๆ ไม่ต้องไหว้แล้ว ว่าแต่เราน่ะ..ชื่ออะไรล่ะ”
“ฉันชื่อ “บุปผา” จ้ะ” บุปผาแนะนำตัว
มัทนาทวนชื่อ “บุปผา”
บุปผา มัทนา และนายพลเทพ พ่อกับลูกสาวต่างแม่สองคน มองหน้ากันไปมา ต่างยังไม่มีใครรู้ความจริงนี้สักคน แม้แต่ตัวบุปผาเอง!
ขณะที่สินพาบุปผาเดินถือกระเป๋าเสื้อผ้าไปหลังบ้าน โดยมีนายพลเทพยืนมองอยู่จากระเบียงบ้าน สักครู่มัทนาก็เดินเข้ามาหา มองตามสายตาพ่อไป พอเห็นว่าพ่อมองอะไรอยู่ก็เลยถาม
“กลัวว่าคุณแม่จะโกรธหรือคะ ที่เราอนุญาตให้น้องสาวนายสินเข้ามาอยู่ในบ้านด้วยน่ะค่ะ”
“ไม่หรอก แม่เค้าไม่โกรธหรอก มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ด้านบุปผา เหมือนมีเซ้นส์อะไรบางอย่างว่ามีคนมองอยู่ จึงหันมามอง
สายตาของบุปผา เห็นนายพลเทพกับมัทนายืนอยู่ที่ระเบียงบ้านและกำลังมองมายังตน
บุปผายิ้มให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วหันหลังก้มหน้าเดินตามสินต่อไปราวกับคนเจียมเนื้อเจียมตัว
แต่ทันทีที่บุปผาหันหลังให้นายพลเทพกับมัทนา ใบหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที กลายเป็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยไฟอิจฉาริษยามัทนาเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนนายพลเทพ หันมาถามมัทนา
“เรื่องที่จะหมั้นหมายกับพ่อต้น ตกลงมัทเต็มใจใช่ไม๊ลูก”
มัทนายิ้มอายไม่ตอบ ก้มหน้าพยักหน้า เทพยิ้มดีใจแล้วโอบมัทนาไว้อย่างรักใคร่
“พ่อดีใจจริงที่พ่อกับแม่ไม่ได้ฝืนใจลูก เพราะมันหมดยุคคลุมถุงชนแล้ว เฮ้อ...แล้วนี่แม่เขากับคุณหญิงแจ่มจันทร์ไปพบคุณชไมที่เชียงใหม่ ไม่รู้ได้เรื่องว่ายังไงบ้างนะ”
บนเรือนของชไมเวลาเดียวกันนั้น ชไมไหว้คุณหญิงมณีและคุณหญิงแจ่มจันทร์อย่างอ่อนน้อม สร้อย กับ โฉม มาด้วย คอยดูแลรับใช้นายหญิง
แจ่มจันทร์เอ่ยขึ้น “ได้ยินชื่อเสียงทางด้านการมีญาณทิพย์ของคุณชไมมานานแล้วค่ะ แต่เพิ่งมีโอกาสได้พบตัวจริงวันนี้เอง”
“วันนี้มีอะไรจะให้ดิฉันช่วยหรือคะ” ชไมถาม
“ดิฉันอยากให้ช่วยดูดวงลูกชายดิฉันกับหนูมัท ลูกสาวคุณหญิงมณีทีเถอะค่ะ ว่าเขาเป็นเนื้อคู่กันใช่ไม๊ แล้วจะมีฤกษ์มงคลวันไหนสำหรับการหมั้นได้บ้างน่ะค่ะ”
ชไมรับแผ่นดวง 2 แผ่นจากคุณหญิงแจ่มจันทร์เอามา เพ่งจิตอยู่สักครู่
“สองคนนี้..เป็นเนื้อคู่กันมาหลายภพหลายชาติแล้วค่ะ”
สองคุณหญิงดีใจมาก ยิ้มให้กัน แต่แล้วก็ต้องยิ้มค้างเมื่อได้ฟังที่ชไมพูดต่อ
“แต่ในชาตินี้ ดิฉันยังไม่เห็นดวงชะตาว่าจะลงเอยกันได้ หนำซ้ำหนูมัทนายังดวงร้าวอีกต่างหาก เพราะจู่ๆ ก็มีดาวมฤตยูมาทับลัคนา”
มณีตกตะลึง “ดวงร้าว หมายความว่าลูกมัทของดิฉันจะ…จะตายหรือคะคุณชไม”
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นค่ะคุณหญิง แค่ดวงร้าว ยังไม่ถึงกับดวงแตก แต่ก็ไม่ค่อยดีนัก” ชไมบอก
“แล้ว..จะแก้ไขยังไงได้ไม๊คะ” มณีร้อนใจ
ชไมหลับตาไปชั่วครู่ แล้วลืมตาขึ้นมาบอก “พาหนูมัทนาขึ้นมาหาดิฉันที่นี่ ดิฉันจะทำพิธีต่อดวงชะตาให้”
มณีละล่ำละลักรับคำ “ได้ค่ะได้”
ชไมมองมายังคุณหญิงแจ่มจันทร์ “พาลูกชายคุณหญิงขึ้นมาด้วยกันเลยนะคะ เพราะดวงลูกชายคุณหญิงเกื้อหนุนกับดวงหนูมัทอยู่ พาขึ้นมาให้เขาได้ทำบุญร่วมกันที่นี่ จะได้ช่วยค้ำดวงให้หนูมัทอีกแรง”
คุณหญิงแจ่มจันทร์พยักหน้ารับ ในขณะที่คุณหญิงมณีหน้าเครียด
พอคุณหญิงทั้งสองเดินออกมาจากเรือนชไม คุณหญิงมณีก็พูดขึ้นทันที
“ห้ามใครเอาเรื่องวันนี้ไปบอกใครโดยเด็ดขาดนะ…ขอให้เรื่องนี้รู้กันเพียงแค่เราสี่คนเท่านี้พอ”
สร้อยกับโฉมพยักหน้ารับ คุณหญิงมณีหันไปมองหน้าคุณหญิงแจ่มจันทร์
“ค่ะ แต่เราจะบอกลูกๆ หรือท่านนายพล เรื่องฤกษ์หมั้นยังไงกันดีละคะ” แจ่มจันทร์เป็นกังวล
มณีนิ่งคิด “ดิฉันจะบอกว่า...คุณชไมให้พาเจ้าตัวขึ้นมาผูกฤกษ์ด้วยตัวเองค่ะ”
คุณหญิงแจ่มจันทร์พยักหน้าเข้าใจและเห็นด้วย ขณะที่สีหน้าคุณหญิงมณี เครียดเคร่งมากๆ
เวลาเดียวกัน บุปผา กำลังนั่งอยู่ตรงกลางในโรงครัว โดยมีสินและคนใช้อื่นๆล้อมวงมอง บุปผาไหว้ทุกคนด้วยท่าทางอ่อนน้อมเรียบร้อย
“ฉันขอฝากตัวกับทุกคนด้วยค่ะ”
คนอื่นรับไหว้บุปผา
“แกมีน้องสาวกับเขาด้วยเหรอไอ้สิน ทำไมฉันไม่เคยรู้” ทับทิม แม่ครัวใหญ่ถามอย่างแปลกใจ
สินเหลือบมาสบตากับบุปผานิดหนึ่งก่อนจะตอบ “ก็ฉันไม่เคยบอกใครนี่ป้า”
แสงเดินวนรอบตัวบุปผา มองจ้องอย่างสนใจมาก “ทำไมหน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย”
สินเริ่มฉุน “ก็ทำไมต้องหน้าเหมือนกัน”
“แล้วมีกันสองคนพี่น้องแค่นี้เหรอ..สิน” สวิงถาม
“ใช่จ้ะ” สินบอก
“ค่อยยังชั่ว ไม่งั้นอยู่ๆ ไป พี่สินคงพาญาติพี่น้องมาอยู่ในบ้านเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ละ” แสงแขวะ
สินโมโห “ฉันจะพาญาติมาอยู่กี่คน มันก็ไม่ใช่เรื่องของแกไอ้แสง ถ้าคุณข้างบนท่านอนุญาต”
“แหม..พูดแค่นี้ทำโมโห ไปดีกว่า”
แสงเดินออกไป แต่ไม่วายเหลียวมามองดูบุปผาอีกครั้งอย่างติดใจในความสวย
แต่บุปผาไม่สนใจ ขณะที่สินเริ่มไม่พอใจแสง
“แล้วนี่จะให้มันพักที่ไหนล่ะ” ทับทิมถาม
สินพาบุปผามาที่ห้องพัก ดูสะอาดสะอ้านแต่เรียบกริบ ไม่มีการตกแต่งอะไรมากเกินไปกว่าข้าวของจำเป็น บุปผามองไปรอบๆ ห้องแล้วทำหน้าเซ็งๆ สินเดินเข้ามาโอบกอดบุปผาจากทางด้านหลัง แล้วหอมแก้ม บุปผาสะบัดตัวออกจากสินอย่างแรงทันที
“ฮื้อ ทำอะไรเนี่ย”
“ก็จะขอชื่นใจบุปผาหน่อยน่ะสิจ๊ะ บุปผาจะไม่ให้รางวัลฉันบ้างเลยเหรอ ฉันอุตส่าห์พาบุปผาเข้ามาอยู่ในบ้านนี้...อย่างที่บุปผาต้องการแล้วไงจ๊ะ”
บุปผามีท่าทีอ่อนลง เพราะยังต้องหลอกใช้นายสินต่ออีกนาน “ให้รางวัลก็ได้” พลางยื่มแก้มให้สินหอม
สินหอมอย่างดีใจ แล้วบุปผาก็รีบเขยิบออกห่าง
“พอแล้ว ฉันไม่อยากให้ความลับของเราแตกตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ ขืนท่านนายพลรู้ว่าเราโกหก มีหลังโดนไล่ออกทั้งคู่”
“จ้ะๆ แล้วฉันรีบทำงานเก็บเงินให้ได้มากๆ แล้วเราจะได้ออกจากบ้านนี้ไปสร้างครอบครัวด้วยกันสักวันนึงนะ” สินเพ้อ
บุปผาพยักหน้าไปแกนๆ สินดีใจมาก รวบตัวบุปผามากอดอีกครั้ง บุปผายอมให้กอด แต่แอบเบ้ปากรังเกียจ แต่สินไม่รู้ตัวเลย บุปผาเริ่มหลอกถาม
“นายสิน เอ๊ย..พี่สินสิ ต่อไปฉันต้องเรียกพี่สินให้ติดปาก”
“เรียกตลอดไปเลยก็ได้จ้ะ ฉันชอบให้บุปผาเรียกฉันว่าพี่สิน มากกว่าเรียกว่านายสินเป็นไหนๆ”
“คุณหนูนี่ซ๊วยสวยนะ สวยออกอย่างนี้ เธอมีคู่รักรึยัง”
“มีแล้ว เป็นหมอชื่อไอศูรย์ เป็นลูกชายคนเดียวของคุณหญิงแจ่มจันทร์ นี่ก็เห็นว่าอีกไม่นานจะหมั้นกัน”
สินพูดไปเรื่อย ดีใจได้มีเรื่องพูดคุยกับบุปผามากกว่าที่เคย ในขณะที่บุปผาสีหน้าสนใจในข้อมูลเกี่ยวกับตัวไอศูรย์เป็นอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันเดือนและคนอื่นๆ ตกใจมาก พอฟังที่ผกาบอก
“อะไรนะจ๊ะแม่ ! บุปผาไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
สิรีซักต่อ “บุปผาไปไหนเหรอจ๊ะแม่ ทำไมพวกเราไม่รู้เรื่องเลย”
“คุณกำพลรับมันไปเลี้ยงเป็นเมียออกหน้าออกตาเหรอจ๊ะแม่” พิกุลถาม
ผกาส่ายหน้า รู้อยู่แล้วว่าบุปผาไปอยู่ที่ไหน แต่ตกลงกันไว้ว่าจะไม่บอกใครจนกว่า
บุปผาจะไปได้ดีแล้ว
พิกุล เดือน และสิรี ร้อง “อ้าว” พร้อมกัน
“เอาเถอะ พวกแกไม่จำเป็นจะต้องรู้หรอกว่านังบุปผามันไปอยู่ที่ไหน รู้แค่ว่ามันกำลังจะไปได้ดีแล้วก็พอ” ผกาตัดบท
“ให้มันไปได้ดีจริงๆ เห๊อะ” มุกแขวะ
ผกาจิกตาใส่มุก แต่มุกทำไม่เห็น
“แม่...งั้นถ้านังบุปผามันไม่อยู่แล้ว ฉันขอห้องมันนะ”
“ไม่ได้”
“อ้าว...ทำไมล่ะแม่”
“ถึงมันจะไม่อยู่แล้ว แต่แม่ก็จะเก็บห้องมันไว้” ผกามีสีหน้าขรึมลง “เผื่อว่ามันอาจจะต้องกลับมา…”
“แม่พูดอย่างงี้ก็แสดงว่า แม่ก็ไม่มั่นใจเหมือนกันใช่ไม๊ล่ะ...ว่านังบุปผามันจะไปได้ดีจริงๆ”
ผกานิ่งไปเลย
อ่านต่อตอนที่ 3