ไฟหวน ตอนที่ 6
นาฬิกาในห้องบุปผาบอกเวลา 4 ทุ่มแล้ว บุปผาหยิบผ้าเช็ดหน้าไอศูรย์ขึ้นมาดู ยิ้มพอใจ เอายัดใส่อกเสื้อไว้ แล้วเปิดประตูห้องโผล่หน้าออกไปดูก่อนว่ามีใครไม๊ เมื่อไม่มีใครเห็น หล่อนก็รีบเดินย่องออกจากห้อง ไปหาตามเถาตามเวลานัด
นาฬิกาในบ้านตาเถาบอกเวลาเกือบ 5 ทุ่ม ตาเถาส่งผ้านุ่งสีดำผืนหนึ่งให้บุปผา
“เอ็งออกไปอาบน้ำที่ลานกลางแจ้งหลังบ้านโน่น แล้วเอ็งเอาน้ำที่ราดผ่านตัวเอ็ง เอากลับมาให้ข้า 1 ขัน เข้าใจไม๊”
“จ้ะ”
บุปผารับผ้านุ่งจากตาเถา แล้วเดินออกไปลานหลังบ้านอย่างว่าง่าย
บุปผาถอดเสื้อผ้าแล้วนุ่งผ้านุ่งตามที่ตาเถาสั่ง เอาขันใบหนึ่งวางลงที่พื้นระหว่างเท้าสองข้าง ก่อนจะเริ่มตักน้ำขึ้นอาบอย่างบรรจง แลเห็นน้ำที่ราดผ่านตัวบุปผาไหลลงในขันตรงพื้น
จังหวะนี้เหมือนมีสายตาของใครคนหนึ่ง แอบมองบุปผาอาบน้ำอยู่ ซึ่งไม่ใช่ใคร แต่เป็นตาถิ่นที่จดสายตามองบุปผา หายใจแรง และกลืนน้ำลายลงคออย่างมีอารมณ์
ครู่ต่อมาบุปผาเอาขันที่ใส่น้ำที่ราดผ่านตัวหล่อนมาส่งให้ตาเถา ตาเถารับไป ตาถิ่นที่ยืนอยู่ข้างหลังตาเถาเพื่อคอยช่วยเหลือในการทำพิธี ยังคงมองบุปผาไม่วางตา แต่บุปผาไม่สนใจ ใจจดจ่ออยู่แต่การทำเสน่ห์ แล้วตาเถาก็เริ่มทำพิธี อย่างชำนาญ
เริ่มจาก...ตาเถาเอาหุ่นรูปผู้ชายกับหุ่นรูปผู้หญิงสีดำ ตัวเล็กๆ 2 ตัว ขึ้นจากการแช่น้ำในขันน้ำที่บุปผาใช้อาบ มาสะเด็ดน้ำจนแห้ง
จากนั้นตาเถาเอาผ้าเช็ดหน้าของไอศูรย์มาตัดเป็นเส้นบางยาว แล้วเอามามัดเข้ากับหุ่นผู้ชาย
ต่อมาบุปผาฉีกชายผ้าถุงของตัวเองส่งให้ตาเถา ตาเถารับไปตัดให้เป็นเส้นยาวบาง เหมือนเมื่อครู่ แล้วเอามัดเข้ากับหุ่นผู้หญิง
ต่อจากนั้นตาเถาจึงเอาหุ่นผู้ชายและหุ่นผู้หญิง 2 ตัวนั้น หันหน้าประกบกัน แล้วเอาชายผ้าเช็ดหน้าของไอศูรย์ กับชายผ้าถุงของบุปผา ที่เหลืออยู่ มัดหุ่นทั้ง 2 ตัวนั้นให้ประกบกันอย่างแน่นหนา จนหลุดออกจากกันไม่ได้ ตลอดระยะเวลานี้ตาเถาทำปากขมุบขมิบบริกรรมคาถาด้วยภาษาที่บุปผาฟังไม่ออกสักคำ
ครู่ต่อมาตาเถาเอาหุ่นเสน่ห์ที่ผ่านการทำพิธีเรียบร้อยแล้ว ส่งให้บุปผา
“เอ็งเอาหุ่นเสน่ห์นี่...” ตาเถาเริ่มอธิบายเป็นฉากๆ จนเห็นเป็นภาพ
โดยในเวลานั้นบุปผาเดินเข้ามาในห้องนอนของไอศูรย์อย่างระมัดระวัง ทำเสียงเบาที่สุด แล้วบุปผาก็ตรงไปยกฟูกที่นอนบนเตียงไอศูรย์ขึ้น
“ไปใส่ไว้ใต้ที่นอนของไอ้ผู้ชายที่เอ็งคิดจะเอาเป็นผัว แต่ห้ามให้ใครเห็นนะ” เสียงตาเถาอธิบาย
หุ่นเสน่ห์ถูกวางลงที่แผ่นไม้กระดานฐานเตียง แล้วบุปผาก็เอาฟูกที่นอนปิดลง ดูแลให้ผ้าคลุมเตียงอยู่ในสภาพปกติเหมือนเดิม
ตาเถาอธิบายต่อ
“แล้วพอผู้ชายมันนอนบนที่นอนที่มีหุ่นเสน่ห์นี่อยู่ข้างใต้ มันก็จะต้องมนต์ดำ หลงรักเอ็งหัวปักหัวปำ ตราบใดที่หุ่นเสน่ห์สองตัวยังอยู่ในลักษณะนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะรักจะหลงเอ็งตลอดไป”
บุปผายิ้มอย่างตื่นเต้นและพอใจ
ในวันต่อมา ชไมกำลังทำพิธีแก้ดวงร้าว เริ่มต้นด้วยการจุดเทียนที่ตั้งอยู่หน้าโต๊ะหมู่บูชา เสร็จแล้วก็จุดธูป 6 ดอก ส่งให้มัทนากับไอศูรย์คนละ 3 ดอก สองหนุ่มสาวรับมาแล้วพนมมือขึ้นจบไหว้อยู่สักครู่ก็เอาธูปปักลงในกระถาง แล้วเขยิบถอยออกมา ชไมก็อธิบายวิธีแก้ดวงร้าวให้คุณหญิงมณีและคุณหญิงแจ่มจันทร์ฟัง
“ก่อนอื่น..ดิฉันจะทำพิธีเสริมดวงชะตาให้กับหนูมัทนาก่อน ดิฉันจะลอกทองบางส่วนออกจากองค์พระประธาน” ชไมชี้ไปที่โต๊ะหมู่บูชาตรงพระพุทธองค์ที่เป็นพระประธาน
“แล้วเอามาตีเป็นแผ่น เพื่อให้หนูมัทนาเขียนชื่อ วัน เดือน ปีเกิด ลงบนแผ่นทอง ที่ถือว่าเป็นของมงคลชนิดหนึ่ง แล้วดิฉันจะจารึกคาถากำกับดวงลงบนแผ่นทองแผ่นนั้น แล้วให้หนูมัทนากับพ่อไอศูรย์เอาไปใส่ไว้ใต้ฐานพระที่วัด เพื่อให้อำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัยปกป้องคุ้มครองนะคะ”
มัทนากับไอศูรย์หันมามองหน้าแม่ๆ ด้วยความงุนงง ไม่รู้ว่านี่คือการมาทำพิธีแก้ดวงร้าว คิดว่ามาผูกดวงหาฤกษ์หมั้นธรรมดา คุณหญิงแจ่มจันทร์รีบอธิบาย
“พิธีเสริมดวงน่ะลูก จะได้เป็นมงคลแก่ตัวลูกทั้งสองไงจ๊ะ เสร็จแล้วคุณชไมก็ถึงจะค่อยดูฤกษ์ยามวันหมั้นให้น่ะจ้ะ”
มัทนากับไอศูรย์พยักหน้าเข้าใจ แล้วทุกคนก็หันไปมองชไมต่อ ชไมเริ่มทำพิธี โดยการนำองค์พระประธานจากบนโต๊ะหมู่บูชาลงมาแล้วใช้มีดอาคมขูดเอาทองจากบริเวณฐานพระออกมาจำนวนหนึ่ง ทุกคนต่างมองพิธีกรรมของชไม ทั้งทึ่งและตื่นเต้น
เวลาเดียวกัน บุปผากำลังมองหุ่นเส่นห์นั้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาก บอกกับตัวเอง
“หมอไอศูรย์จะต้องเป็นของฉัน”
ทางด้านชไมกำลังเอาทองที่ขูดออกมาได้จากองค์พระ ใส่ลงในเบ้าหลอมเพื่อให้กลายเป็นแผ่นทองบางๆ
ฝ่ายบุปผามีสีหน้ามุ่งมั่นมากๆ
“อีบุปผาคนนี้จะต้องไม่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงหยำฉ่าไปตลอดชีวิต” บุปผาประกาศก้อง “ฉันต้องชนะนังคุณหนูมัทนานั่นให้ได้”
ระหว่างที่พิธีของชไมดำเนินอยู่ จู่ๆ หน้าต่างบ้านก็ปิดดังปัง! เชิงเทียนที่จุดไว้ล้มหล่นลงจากแท่นวางตกใส่ตักมัทนาโดยไม่ทันตั้งตัว มัทนาหวีดร้องด้วยความตกใจ ทุกคนตะลึง ไฟจากเทียนลุกติดกระโปรงมัทนาทันที มัทนาพยายามปัดไฟออกด้วยมือตามสัญชาติญาณ
ในขณะที่คนอื่นๆ ต่างพากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก แต่ไอศูรย์ได้สติก่อนใครเพื่อน เขาคว้าเอาผ้าปูหน้าแท่นบูชาพระมาตะปบดับไฟให้มัทนาอย่างรวดเร็วจนไฟดับ มัทนาร้องไห้อย่างขวัญเสีย คุณหญิงมณีรีบคว้าตัวลูกสาวมากอดไว้แน่นเป็นการปลอบขวัญ
“โอ๋ๆ ลูกมัทของแม่..ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ ไม่มีอะไรแล้ว”
มัทนาเอาแต่ซุกหน้ากับอแม่อย่างคนเสียขวัญไม่หาย คนอื่นๆ มีสีหน้าไม่ดีกันไปหมด
ไม่นานหลังจากนั้น สองหนุ่มสาวนั่งอยู่ตรงมุมหนึ่งในอาณาบริเวณบ้านชไม ไอศูรย์กำลังบรรจงเอายาทาใส่แผลไฟไหม้ตามแขนให้มัทนา
“วัน สองวันนี่ อาจจะแสบๆ ผิวตรงที่ถูกไฟนิดหน่อยนะครับ แต่พี่รับรองว่าไม่เป็นแผลเป็นแน่”
มัทนาพยายามจะพูดให้ขำ “มัทยังโชคดีนะคะเนี่ยที่มี หมอ มาด้วย”
ไอศูรย์อดขำไม่ได้ จับหัวมัทนาโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู
ภาพที่ไอศูรย์โยกหัวมัทนาเบาๆ อย่างเอ็นดูนั้น อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่สามคน ที่ยืนมองมาจากระเบียงบ้าน ด้วยสีหน้าวิตกกังวล โดยเฉพาะคุณหญิงมณี
“เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น...ดิฉันยิ่งใจคอไม่สบายไปใหญ่เลยค่ะคุณชไม ดิฉันมีลูกอยู่กับเขาคนเดียว ถ้ายายมัทเป็นอะไรไป ดิฉันคงอยู่ไม่ได้”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะคะคุณหญิง ดวงของหนูมัทอาจจะมีเคราะห์ก็จริง แต่ไม่ถึงฆาตหรอกค่ะ” ชไมว่า
“แล้วเราจะทำอะไรได้อีกบ้างไม๊คะคุณชไม เพื่อให้หนูมัทพ้นเคราะห์พ้นโศกไปเร็วๆ น่ะค่ะ” แจ่มจันทร์ถาม
ชไมนิ่งคิด “หลังจากที่หนูมัทกับพ่อต้นเอาแผ่นทองที่ดิฉันทำให้ ไปใส่ไว้ใต้ฐานพระที่วัดแล้ว กลับกรุงเทพฯไปนี่ ให้หนูมัทกับพ่อต้นไปใส่บาตรร่วมกันให้ได้ 9 ครั้ง ทุกครั้งที่ใส่บาตรให้หนูมัทขอน้ำมนต์จากพระเอามาอาบ น้ำมนต์จะช่วยบรรเทาเคราะห์หนักให้เบาลงได้”
แจ่มจันทร์ถามขึ้นอีก “แล้วฤกษ์หมั้นละคะ”
“ต้องข้ามปีนี้ไปก่อนค่ะ” ชไมบอก
ผู้หญิงทั้งสามคนหันกลับไปมองมัทนากับไอศูรย์ด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง โดยเฉพาะคุณหญิงมณี
ฟากแสงกับสร้อยคุยกันอยู่ตรงริมรั้วบ้านเทพบริบาล
“ตกลงวันนี้แม่จะไปหานังผกาที่หอโคมแดงอีกไม๊”
“ไปไม่ได้ ต้องเฝ้าบ้าน ไม่มีใครอยู่ คุณหญิงกับคุณหนูขึ้นไปดูฤกษ์หมั้นที่เชียงใหม่กันหมด”
“อ้าว..เหลือแต่ท่านนายพลคนเดียวก็ดีสิ ไม่ยุ่งมาก รีบไปสืบเอาความกลับมาบอกท่านเลยสิแม่”
สร้อยส่ายหน้า “ก็ยิ่งท่านนายพลอยู่คนเดียว แม่ยิ่งไปไหนไม่ได้ใหญ่ แม่ต้องคอยดูไม่ให้นังบุปผามันขึ้นไปเจอท่านได้”
“ทำไมล่ะ”
สร้อยนิ่งคิดไปนิดหนึ่ง “เอาเถอะน่า”
แสงเดา “หรือว่านังนี่มันริให้ท่าท่านนายพล ใช่ไม๊แม่”
สร้อยไม่ตอบ
แสงเลยคิดเอง เออเองหมด “คงใช่ละ เพราะมันเคยเป็นผู้หญิงหยำฉ่ามาก่อนนี่ นังบุปผานี่มันร้ายจริงๆ เพิ่งเข้ามาอยู่บ้านนี้ได้แค่ไม่กี่วัน บ้านก็มีแต่เรื่องร้ายตลอด พี่สินเป็นอัมพาต ฉันก็ถูกไล่ออกจากบ้าน แล้วยังจะเกิดอะไรขึ้นอีกก็ไม่รู้ ฉันเกลียดนังนี่จัง”
แสงพูดถึงบุปผาด้วยสีหน้าและแววตาอาฆาตเป็นอย่างมาก สร้อยก็เช่นกัน
บทสนทนาของ 2 แม่ลูก บุปผาแอบฟังได้ยินทั้งหมด บุปผาเริ่มกังวล กลัวถูกเปิดโปงเรื่องเคยเป็นผู้หญิงขายตัวที่หอโคมแดง ก่อนที่เธอจะจับไอศูรย์สำเร็จ
ขณะเดียวกันนายพลเทพกำลังพูดโทรศัพท์ด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“อะไรนะ เจอตัวแม่ผกา แสงฉาย แล้ว”
ดำเกิงอยู่ที่บ้าน กำลังพูดโทรศัพท์กับนายพลเทพอยู่
“ขอรับ คนของผมรายงานเข้ามาว่า แม่ผกา แสงฉายนี่ เคยเป็นผู้หญิงขายตัวอยู่ที่นครปฐมมาก่อนจะเข้ามาเปิดกิจการเป็นของตัวเองในกรุงเทพฯ นี่ ผมว่าคราวนี้คงไม่มีอะไรผิดพลาดอีกหรอกขอรับ”
นายพลเทพอยู่ที่ห้องโถงบ้านเทพบิบาล คุยสายกับดำเกิงต่อ
“งั้นฉันจะออกไปพบเธอเดี๋ยวนี้..ดำเกิง”
บุปผาเดินกลับไปกลับมาด้วยความกลัดกลุ้มใจ
“ฉันจะให้นังสร้อยมันเจอตัวแม่ผกาไม่ได้”
บุปผาคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงเดินออกจากห้องไป
ที่แท้บุปผาย่องมาที่ตึกใหญ่เพื่อมาแอบใช้โทรศัพท์ เห็นว่านายพลเทพรีบร้อนออกไปทางด้านหน้าตึกเพื่อขึ้นรถขับออกจากบ้านไป บุปผาเหลียวซ้ายแลขวา กลัวสร้อยมาเห็น
จนเมื่อแน่ใจว่าสร้อยไม่ได้อยู่แน่ ก็รีบผลุบขึ้นตึกไป ตรงดิ่งไปรีบคว้าโทรศัพท์มาหมุนออกอย่างร้อนใจ
เวลาเดียวกัน ผกาอยู่ที่หอโคมแดง พูดโทรศัพท์กับบุปผาอยู่
“ใช่ วันก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่งมาพบแม่ ถามว่าแม่ชื่อผกาใช่ไม๊ แต่แม่ไม่ได้ตอบหรอก”
“ผู้หญิงคนนี้รูปร่าง...” บุปผาอธิบายรูปร่างหน้าตาสร้อย “...ใช่รึเปล่าจ๊ะแม่”
“ใช่ ใครเหรอบุปผา”
“คนสนิทนังคุณหญิง”
“แล้วมันจะมาหาแม่ทำไม” ผกาสงสัย
“ก็ลูกชายมันเคยไปที่หอโคมแดงของเราบ่อยๆ ฉันไม่เคยขึ้นห้องกับมันหรอก แต่มันพอจะจำหน้าฉันได้ แม่มันก็คงจะตามไปสืบให้รู้แน่สิว่าฉันเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนจริงรึเปล่า ถ้าแม่พบนังนี่อีก แม่อย่าบอกอะไรมันนะ” บุปผากำชับ
“รู้แล้วล่ะน่าบุปผา แล้วตอนนี้แม่ก็จ้างนักเลงมาดูแลบ้านเราด้วย แม่กลัวอีพวกเมียหลวงมันตามมาอาละวาดอย่างคราวที่แล้วอีกน่ะ แม่สั่งห้ามไม่ให้ปล่อยผู้หญิงเข้ามาในบ้านเราอีกเด็ดขาด”
“แม่เองก็ระวังตัวให้ดีนะจ๊ะ ฉันเป็นห่วงนะ”
ผกายิ้มออกมาด้วยความชื่นใจ “แม่ก็ห่วงแกนะบุปผา”
ด้านบุปผามีสีหน้าคลายกังวลลง
ขณะเดียวกันทุกคนกำลังเตรียมตัวจะขึ้นรถกลับกรุงเทพฯ ชไมเดินมาส่งถึงรถ คว้ามือมัทนาไปจับไว้โดยเฉพาะคนเดียว
“รักษาศีล 5 แล้วก็งดเนื้อสัตว์ทุกวันพระนะหนูมัท จำไว้...คุณความดีเท่านั้นที่จะเป็นเกราะป้องกันคุ้มภัยทุกอย่างได้”
มัทนายกมือไหว้ขอบคุณชไม “ขอบพระคุณค่ะคุณชไม”
ทุกคนล่ำลากัน
ไอศูรย์บอกกับมัทนา “แล้วพบกันที่กรุงเทพฯ นะ”
“ค่ะพี่ต้น”
ระหว่างที่ไอศูรย์กำลังพูดกับมัทนาอยู่นี้ ชไมก็ดึงมือคุณหญิงมณีมาพูดกันสองคน
“ให้ระวังผู้หญิงรูปร่างสูงผิวสองสี” มณีไม่รู้ว่าที่ชไมอธิบายคือรูปร่างหน้าตาของบุปผา ชไมกำชับหนักแน่น “ระวังไว้ให้มาก ผู้หญิงคนนี้อาจจะนำความเดือดร้อนมาให้คุณหญิงและครอบครัวได้ค่ะ”
“ขอบคุณนะคะคุณชไม ขอบคุณ”
ทั้งหมดยกมือไหว้ลากัน ไอศูรย์กับคุณหญิงแจ่มจันทร์ และโฉมเดินแยกไปขึ้นรถของตัวเอง
มณีกำชับลูกสาว “อย่าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้คุณพ่อฟังนะยายมัท แม่ไม่อยากให้คุณพ่อตกอกตกใจ”
“ค่ะคุณแม่ ถึงคุณแม่จะไม่บอก มัทก็ไม่คิดจะเล่าให้คุณพ่อฟังอยู่แล้วล่ะค่ะ”
คุณหญิงมณียิ้มให้มัทนา แต่พอมัทนาหันหลังขึ้นรถ คุณหญิงมณีก็มีสีหน้ากังวลขึ้นมาอีกครั้ง
ด้านดำเกิงพานายพลเทพมาถึงที่หน้าหอโคมแดงแล้ว
“แม่ผกา แสงฉาย อยู่ที่นี่ละขอรับท่าน หอโคมแดง”
นายพลเทพพยักหน้ารับ แล้วเดินตรงไปที่หน้าบ้าน ดำเกิงตามไปด้วย พอถึงที่หน้าประตูหอโคมแดง นักเลง 2 คนก็เดินออกมาสกัดหน้าไว้
“มาเที่ยวหรือขอรับท่าน”
นายพลเทพทำเนียนพยักหน้าให้ นักเลงทั้งสองเปิดทางให้สองคนเข้าไปในหอโคมแดงโดยดี
นายพลเทพกับดำเกิงเดินเข้ามาในห้องโถง ผกาถลาเข้ามาต้อนรับ นึกว่าเป็นลูกค้า
“มาเที่ยวหรือคะท่าน อยากได้แบบไหนคะ ที่นี่เรามีเด็กหลายคนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะตามมาให้ท่านดูตัวนะคะ”
“ฉันไม่ได้มาเที่ยวหรอก ฉันมาตามหาคนที่ชื่อ ผกา แสงฉาย น่ะ ใช่เธอรึเปล่า”
ผกาได้ฟังก็มีสีหน้าตื่นตกใจ
อีกฟากหนึ่ง รถแล่นมาตามทางกำลังมุ่งหน้ากลับเข้ากรุงเทพฯ เวลาขณะนั้นเย็นย่ำลงไปแล้ว คุณหญิงมณีกับมัทนานั่งอยู่รถ คุณหญิงมองดูแขนลูกสาวตรงที่ถูกไฟลวก พร้อมแตะแขนมัทนาเบาๆ
“ยังเจ็บอยู่ไม๊ลูก”
“ไม่มากแล้วค่ะแม่”
คุณหญิงมณีคว้าตัวมัทนามากอด สงสารลูกจับหัวใจ
“เห็นลูกเจ็บ หัวใจแม่ก็จะขาดเสียให้ได้ ถ้าแม่เจ็บแทนได้ แม่จะเจ็บแทนเลย”
“ช่างมันเถอะค่ะแม่ ถือว่ามันเป็นคราวเคราะห์ของมัทเองก็แล้วกันค่ะ มัทฟาดเคราะห์ไปแล้ว คงไม่มีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับมัทอีกแล้วล่ะค่ะแม่”
คุณหญิงมณีนิ่งคิด แล้วพูดเสียงเรียบเฉียบคมเหมือนจะให้สัตย์ปฏิญาณกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับมัทนา
“แม่จะไม่มีวันยอมให้มีเรื่องร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับมัท หรือใครคนใดคนหนึ่งในครอบครัวเราได้เป็นอันขาด แม่สัญญา”
คุณหญิงมณีโอบประคองกอดมัทนาไว้ เสมือนเป็นของรักของหวงยิ่งชีวิต
ค่ำแล้ว ที่ห้องครัวบ้านเทพบริบาลบุปผากำลังแอบมองสร้อย ที่ทำงานง่วนอยู่ในครัวอยู่ ด้วยสีหน้าระแวง แต่พอสร้อยเหลียวมาเห็นบุปผามองอยู่ บุปผาก็รีบหลบตาแสร้งทำงานง่วนไป สร้อยเองก็มองบุปผาด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจเหมือนกัน
ทับทิมบ่นขึ้นมา “เอ๊ ทำไมป่านนี้ท่านนายพลยังไม่กลับบ้านอีกนะแม่สร้อย ปกติถ้าท่านไม่ไปงานที่ไหน ก็ไม่เคยกลับค่ำนะ”
“นี่คุณหญิงก็ยังไม่กลับจากเชียงใหม่เสียด้วย เอ...หรือว่า...ท่านนายพลจะฉวยจังหวะนี้ไปแอบมีอีหนูที่ไหน” ไสวดันปากเปราะ
สร้อยตวาดแว้ดทันที “นี่ ! แกอย่าพูดถึงท่านนายพลพล่อยๆ อย่างงี้นะ ถ้าแกปากเสียอย่างงี้อีก ฉันจะตบให้เลือดกบปากเลย”
ไสวหน้าเสียไปในทันที พูดเสียงอ่อยๆ “แหม..ฉันก็พูดเล่นไปอย่างนั้นละ ก็เห็นค่ำป่านนี้แล้วท่านยังไม่กลับสักที ว่าแต่คุณหญิงท่านโทร.มาบอกว่าจะกลับถึงบ้านเมื่อไหร่รึ”
“ค่ำๆ นี่ละ” สร้อยบอก
“แล้วท่านนายพลไปไหน ทำไมยังไม่ถึงบ้านเสียทีล่ะ” ทับทิมแปลกใจ ถามคำเดิม
สร้อยเองก็ตอบไม่ได้ สีหน้ากังวลอยู่เหมือนกัน มีเสียงรถแล่นเข้ามา ทุกคนชะเง้อดูทันที
“ท่านนายพลกลับมาแล้ว” ไสวบอก
สร้อยรีบวางมือ วิ่งไปรอรับใช้ทันที บุปผาแอบตามไปด้วย
บุปผาแอบวิ่งตามสร้อยมาแต่ซุ่มหลบไม่ให้สร้อยรู้ว่าตัวเองตามมาด้วย นายพลเทพกำลังเดินขึ้นบนตึก สร้อยวิ่งเข้าไปรับหน้า
“ทำไมวันนี้กลับเสียค่ำเชียวคะท่าน”
นายพลเทพไม่ตอบ แต่สีหน้าดูเครียดๆ สร้อยเลยจ๋อยไปนิดหนึ่ง แล้วถามใหม่
“จะให้ยกสำรับอาหารค่ำเลยไม๊คะท่าน”
“ไม่ต้อง ฉันไม่หิว”
นายพลเทพเดินขึ้นห้องนอนไปเลย สร้อยมองตามอย่างงงๆ
“ท่านอารมณ์เสียอะไรมาเนี่ย”
ฝ่ายบุปผาก็กำลังนึกสงสัยอย่างเดียวกันกับสร้อย ไม่ใช่อยากรู้อยากเห็น แต่เป็นห่วงนายพลเทพอย่างบอกไม่ถูก
อา...สัญชาติญาณความผูกพันระหว่างลูก พ่อ เกิดขึ้นกับบุปผาโดยที่หล่อนเองก็ไม่รู้ตัว
นายพลเทพเดินหน้าเครียดเข้ามาในห้อง ทรุดลงนั่งแล้วถอนใจใหญ่ แล้วเปิดลิ้นชักที่ล็อคไว้แน่นหนา หยิบเอารูปถ่ายเก่าๆ ใบหนึ่งขึ้นมาดู เห็นเป็นรูปถ่ายของอุ่น หน้าตายิ้มแย้ม สวยงาม
ท่านนายพลหน้าเศร้าขณะพูดกับภาพ
“ฉันขอโทษนะแม่อุ่น…”
ภาพเหตุการณ์ที่นายพลเทพเดินเข้าไปในหอโคมแดงผุดขึ้นมา ผกาถลาเข้ามาต้อนรับ
“มาเที่ยวหรือคะท่าน อยากได้แบบไหนคะ ที่นี่เรามีเด็กหลายคนค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะตามมาให้ท่านดูตัวนะคะ”
“ฉันไม่ได้มาเที่ยวหรอก ฉันมาตามหาคนที่ชื่อ ผกา แสงฉาย น่ะ ใช่เธอรึเปล่า”
ผกาตกใจ รีบปฏิเสธออกมา “ไม่ใช่ค่ะ แม่ ผกา ไม่ได้อยู่ที่นี่”
“อ้าว”
นายพลเทพนึกว่าคงมาผิดที่อีก เลยหันไปมองหน้าดำเกิง ดำเกิงรีบบอก
“ไม่ผิดที่แน่ขอรับท่าน แม่ ผกา แสงฉาย อยู่ที่นี่จริงๆขอรับ”
นายพลเทพหันมาถามผกาอีก “แม่ผกาเขาออกไปจากที่นี่แล้วหรืออย่างไร”
“ค่ะท่าน ออกไปแล้ว” ผกาบอกอีก
ท่านนายพลออกอาการร้อนรน “เขาออกไปไหนรึ ติดต่อได้ไม๊”
“เอ่อ..ไม่ได้หรอกค่ะ เพราะแม่ผกาไม่ได้บอกไว้ว่าจะออกไปอยู่ที่ไหน” ผกานึกสงสัยขึ้นมา “ว่าแต่ว่า..ท่านถามหาแม่ผกาทำไมรึคะ”
“ฉันมีธุระอยากจะคุยกับเขาหน่อย”
“ธุระเรื่องอะไรรึคะท่าน แล้วท่านชื่ออะไรคะ เผื่อว่าแม่ผกาเขาแวะกลับมา ดิฉันจะได้บอก”
นายพลเทพตัดสินใจไม่บอกชื่อ “ไม่เป็นไร ขอบใจนะ” แล้วลุกจะเดินออกแต่นึกบางอย่างได้ หันกลับมาหาผกาอีกที “อ้อ..แล้วเธอชื่ออะไรล่ะ”
ผกานิ่งไปนิดหนึ่ง “ดิฉันชื่อ ราตรี ค่ะ”
นายพลเทพพยักหน้ารับรู้ แล้วเดินออกไป ด้วยสีหน้าผิดหวังอย่างแรง
อ่านต่อหน้า 2 เวลา 17.00 น.
ไฟหวน ตอนที่ 6 (ต่อ)
นายพลเทพครุ่นคิดด้วยสีหน้าผิดหวัง พลางมองดูรูปอุ่นที่อยู่ในมืออย่างเศร้าสร้อย
“แม่อุ่น..ฉันขอโทษ ที่ฉันไม่สามารถตามหาตัวลูกของเราได้ แต่ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันจะตามหาลูกของเราให้พบให้จงได้ ฉันขอสาบาน”
สีหน้าแววตานายพลเทพมุ่งมั่นมาดหมายมาก
ฝ่ายบุปผาที่ยังซุ่มแอบดูสร้อยที่ขึ้นไปรับใช้นายพลเทพบนตึกอยู่ พอเห็นสร้อยเดินหน้ากังวลลงมา บุปผาก็ขยับตัวจะเดินหนีไม่ให้สร้อยเห็น แต่ดันพลาดทำเสียงดังขึ้นโดยไม่ตั้งใจ สร้อยเหลียวขวับไปมอง พอเห็นว่าเป็นบุปผา ก็พุ่งเข้าไปคว้าคอบุปผาไว้ทันที
“นังบุปผา แกมาด้อมๆ มองๆ อะไรแถวนี้หา”
“เอ่อ...ฉันก็แค่...นึกว่าท่านเพิ่งกลับมา พี่สร้อยคงต้องรีบยกสำรับอาหารเย็นขึ้นไปให้ท่าน ฉันอยู่ว่างๆ ก็เลยอยากจะช่วยน่ะจ้ะ”
“แต่ฉันสั่งแกแล้วใช่ไม๊ว่าถ้าคุณหญิงกับคุณหนูยังไม่กลับจากเชียงใหม่ แกไม่ต้องขึ้นไปบนตึก ฉันรู้นะนังบุปผา ว่าแกกำลังพยายามจะเข้าหาท่านนายพล แต่ฉันขอบอกแกไว้ตรงนี้เลยนะว่า...ถ้าแกบังอาจคิดใฝ่สูง ไม่เจียมตัว แกกับฉันเป็นได้เห็นดีกัน”
บุปผากับสร้อยจ้องตากันอย่างท้าทาย แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรกัน ก็มีเสียงรถแล่นเข้ามาอีกคัน สร้อยเหลียวไปดู แล้วยิ้มกว้างออกมา
“คุณหญิง”
สร้อยปล่อยมือจากบุปผา รีบกระวีกระวาดกลับไปที่หน้าตึกเพื่อรอรับคุณหญิงมณีกับมัทนาทันที บุปผาตามไปด้วย
นายพลเทพได้ยินเสียงรถของคุณหญิงมณีกลับเข้ามาในบ้าน รีบเอารูปอุ่นเก็บเข้าที่ซ่อนแล้วล็อคกุญแจแน่นหนาไว้ตามเดิม ก่อนจะเดินออกไปนอกห้องแล้วลงบันไดไปชั้นล่าง
คุณหญิงมณีกับมัทนาเดินเข้าบ้านมา สร้อยเข้ามารับ โดยมีบุปผาตามมาด้วยแต่นั่งแอบอยู่ด้านนอก
“เดินทางเรียบร้อยไม๊คะคุณหญิง”
สร้อยสบตากับคุณหญิงมณีอย่างรู้นัยกันว่าแท้จริงแล้วการเดินทางไปครั้งนี้เป็นการไปต่อดวงชะตาให้มัทนา ไม่ใช่ไปดูฤกษ์หมั้นโดยตรง
มณีตอบเสียงเรียบ “เรียบร้อย”
สวิงขนของตามมาพอดี
“คุณหญิงขา...สงสัยผลไม้ที่เราแวะซื้อกลางทางนี่ ถุงของคุณหญิงแจ่มจันทร์ท่าจะติดมากับเราด้วยนะคะ” สวิงชูถุงผลไม้ 2 ถุงให้คุณหญิงมณีดู
“ตายจริง งั้นพรุ่งนี้ต้องรีบให้คนเอาไปให้ที่บ้านคุณหญิงแจ่มจันทร์ตั้งแต่เช้าเลย” คุณหญิงหันมามองมัทนา “มัทแน่ะ เอาไปให้คุณป้าเอง...ได้ไม๊ลูก ให้คนในบ้านเอาไปให้ มันจะไม่ค่อยงาม”
“ได้ค่ะแม่”
คุณหญิงมณียิ้มพอใจ บุปผาได้ยินก็ยิ้มออกมาเช่นกัน เมื่อรู้ว่ามัทนาจะไปบ้านไอศูรย์พรุ่งนี้
จังหวะนี้นายพลเทพเดินเข้ามา มัทนายิ้มดีใจที่เห็นพ่อ ยกมือไหว้ นายพลเทพเดินโอบกอดลูกสาวอย่างรักใคร่
“เหนื่อยไม๊ลูก” ท่านายพลเห็นแขนมัทนาเป็นแผลก็ตกใจ “เอ๊ะ..นั่นแขนมัทไปโดนอะไรมาลูก”
มัทนาอึกอัก ไม่อยากโกหกพ่อ เลยหันไปมองหน้าแม่ คุณหญิงมณีรีบบอก
“เราไปไหว้พระกันมาด้วยน่ะค่ะคุณ เผอิญที่วัดลมพัดแรง เลยพัดเอาเชิงเทียนล้มมาโดนยายมัทน่ะค่ะ”
“โถ..ลูกพ่อ เจ็บมากไม๊ลูก”
“เจ็บไม่มากหรอกค่ะ แต่มัทตกใจมากกว่า” มัทนาว่า
“โชคดีที่พ่อต้นไปด้วยนะคะคุณ เขาก็เลยช่วยทายา ทำแผลให้ยายมัท” คุณหญิงบอก
สร้อยสาระแนทันที “มี ว่าที่ลูกเขย เป็นหมอใหญ่ มันก็ดีอย่างนี้ล่ะค่ะคุณหญิง”
คุณหญิงมณี กับนายพลเทพ ยิ้มแย้มพอใจ ส่วนมัทนายิ้มเขิน ขณะที่บุปผาทำหน้า...“ชิ” ใส่
“หมอไอศูรย์ไม่มีวันจะได้เป็นลูกเขยบ้านนี้หรอกย่ะ อีสร้อย”
สีหน้าบุปผายามนี้มุ่งมั่นมาดหมายที่จะจับไอศูรย์ทำผัวให้ได้
รุ่งเช้าไอศูรย์แต่งชุดจะไปทำงานเรียบร้อย กำลังพูดโทรศัพท์อยู่ในห้องโถง
“ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้ละครับพี่หมอ”
ไอศูรย์วางสายลงแล้วจะรีบออกจากบ้านไป คุณหญิงแจ่มจันทร์เข้ามาพร้อมโฉม
“อ้าว..จะไปทำงานแต่เช้าเลยหรือต้น”
“ครับแม่ ไม่ได้ไปทำงานเสีย 2-3 วัน แล้วพอดีพี่หมอโทร.มาบอกเรื่องอาการคนไข้ด้วย ผมเลยอยากจะรีบไปดูน่ะครับ”
“อย่ามัวแต่ทำงานนะลูก อย่าลืม..ต้นต้องหาเวลาไปใส่บาตรกับหนูมัทด้วย”
“ผมไม่ลืมครับแม่” ไอศูรย์เดินออกไป
คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมมองตาม
“สาธุ..ขออย่าให้มีเรื่องอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นกับหนูมัทก่อนที่จะได้ใส่บาตร อาบน้ำมนต์ ได้ครบ 9 ครั้ง ตามที่คุณชไมบอกเลยนะ ฉันอยากให้พ่อต้นกับหนูมัทได้หมั้นหมายแล้วก็แต่งงานกันเร็วที่สุด ถ้าพ่อต้นได้เป็นฝั่งเป็นฝากับผู้หญิงดีๆ อย่างหนูมัท ฉันจะได้ตายตาหลับละนะโฉม”
“ค่ะคุณหญิง” โฉมยิ้มแย้ม
ด้านมัทนากำลังเอาแผ่นทอง สลักชื่อตนเอง ที่ชไมทำให้ บรรจงใส่ไว้ใต้ฐานพระประธานในห้องพระที่บ้าน โดยมีคุณหญิงมณีเป็นคนช่วยยกองค์พระให้ พอมัทนาสอดแผ่นทองเข้าใต้ฐานพระเสร็จเรียบร้อย ก็ก้มลงกราบพระอย่างบรรจง
“มัทรีบเอาผลไม้ไปให้คุณป้าแจ่มจันทร์เถอะ สายนัก เดี๋ยวผลไม้มันจะสลดเสียหมด”
“ค่ะแม่”
“อ้อ แล้วมัทก็รีบนัดกับพ่อต้น ให้พ่อต้นหาเวลามาใส่บาตรร่วมกันกับหนูให้ได้นะจ๊ะ ส่วนเรื่องของใส่บาตร เดี๋ยวแม่จะจัดการให้เองจ้ะ”
“ค่ะแม่”
มัทนาออกไป คุณหญิงมณีมองตาม ด้วยแววตารักใคร่และเป็นห่วง
ครู่ต่อมาสวิงเดินเข้ามาบอกมัทนาที่กำลังจะไปขึ้นรถ
“หวิงเอาถุงผลไม้ของคุณหญิงแจ่มจันทร์ใส่รถไว้เรียบร้อยแล้วค่ะคุณหนู”
“ขอบใจจ้ะ” มัทนาจะไปขึ้นรถ
บุปผาที่รอจังหวะอยู่รีบวิ่งเข้ามา
“คุณหนูขา..ขอบุปผาไปด้วยคนได้ไม๊คะ ขากลับบุปผาจะได้แวะเยี่ยมพี่สินด้วยค่ะ”
มัทนายิ้มอย่างใจดี “ได้สิ ฉันจะได้แวะเยี่ยมนายสินด้วยคน”
บุปผายิ้มร่า สมใจ ที่จะได้ไปบ้านไอศูรย์แล้ว บุปผาขึ้นนั่งรถออกไปกับมัทนา
จังหวะนี้บุปผา เอามือกุมอะไรบางอย่างซึ่งซุกอยู่ตรงเอวที่ดูตุงๆ กว่าปกติ ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นแล้วยิ้มอย่างมีแผน
ฝ่ายไอศูรย์มาถึงโรงพยาบาลแล้ว และกำลังยืนมองดูอิ่มอยู่กับหมอปรีชาอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด สองคนเห็นว่าอิ่มกำลังนั่งคิดอะไรอยู่เงียบๆ
“ท่าทางป้าอิ่มแกเปลี่ยนไปมากนะครับพี่หมอ ดูสงบลง แววตาก็ดูรู้เรื่องมากขึ้นด้วย”
“ไม่ใช่ผลจากยาด้วยนะต้น แต่ป้าอิ่มแกจะจำความได้แค่ไหน จะจำได้ทั้งหมดไม๊ ก็คงต้องดูกันต่อไป แต่พี่ว่ามันมีสัญญาณที่ดีแล้วละ”
ไอศูรย์ยิ้มดีใจ แล้วมองอิ่มต่อ
ส่วนอิ่ม มีสีหน้าครุ่นคิดอยู่อย่างนั้น
ภาพเหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในความคิด ตั้งแต่ตอนที่อุ่นกำลังนอนร้อง
ครวญครางอยู่บนที่นอน แล้วอิ่มเข้าไปถามอาการ
“ไปหาหมอไหวไม๊อุ่น”
อุ่นส่ายหน้า พลางดิ้นไปมา
“งั้นฉันจะไปตามหมอมา แกรอก่อนนะ”
อิ่มจะลุกไป แต่อุ่นคว้าแขนไว้หมับ
“พี่อิ่มอย่าทิ้งฉันไป ฉันเจ็บท้องเหลือเกิน โอ๊ย”
ตามด้วยเหตุการณ์หลังคลอด ตอนที่อิ่มช้อนร่างเด็กแรกเกิดคนหนึ่งออกมาจากร่างอุ่น เด็กกระดุกกระดิกไปมาพอให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ร้องเสียงดังอย่างที่เด็กแรกเกิดทั่วไปควรจะเป็น
“ออกมาแล้วอุ่น..เด็กออกมาแล้ว” อิ่มชะงักมองที่ต้นขาทารก เห็นมีปานแดงดวงหนึ่งอยู่เห็นเด่นชัด
“มีปานแดงที่ต้นขาด้วย” อิ่มรำพึง
อุ่นพยายามจะชะเง้อมามองลูก “ขอฉันดูหน้าลูกหน่อยสิพี่อิ่ม..ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลยล่ะ”
พออุ่นเห็นลูกไม่ร้องอย่างเด็กปกติก็ตกใจ
“อย่าให้ลูกฉันตายนะพี่อิ่ม ฉันฝากลูกฉันด้วย พี่อิ่มอย่าให้ลูกฉันตายนะ”
อิ่มพยักหน้ารับ เอาผ้าพันตัวเด็กอย่างลวกๆ แล้ววิ่งลงจากบ้านไป
ขณะที่อิ่มอุ้มเด็กจะเอาไปหาหมออย่างรีบร้อน แล้วจู่ๆ เด็กทารกที่นิ่งเงียบไม่ร้องมาตั้งแต่เกิดกลับร้องไห้จ้าขึ้นอย่างอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คล้ายจะรับรู้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดกำลังมีอันตรายถึงชีวิต อิ่มชะงักหยุดวิ่ง
“อ้าว..อยู่ๆ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละ เอาไงดีละนี่”
อิ่มละล้าละลังตัดสินใจไม่ถูกระหว่างจะวิ่งไปหาหมอ หรือกลับไปที่บ้านดี แต่พอหันตัวกลับไปมองทางทิศที่อยู่ของบ้าน อิ่มก็ต้องชะงักเมื่อเห็นไฟโชนแสงขึ้นจับท้องฟ้าในทิศทางที่บ้านอุ่นตั้งอยู่ อิ่มตกใจมาก
“ไฟไหม้” อิ่มอุ้มเด็กวิ่งกลับไปที่บ้านอุ่นทันที
เมื่ออิ่มวิ่งอุ้มลูกอุ่นกลับมาถึงที่บ้าน ก็ได้เห็นเหตุการณ์ระหว่างสร้อยกับอุ่นเข้าพอดี
“ฉันจะเป็นใครแกไม่ต้องรู้หรอก กลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้” สร้อยตะคอกขู่ “ไป”
แล้วสร้อยก็ขยับมีดในมือขู่ให้อุ่นจำต้องถอยหลังกลับเข้าไปในบ้าน แต่ทันใดนั้นฝ้าเพดานที่ลุกติดไฟอยู่ก็หล่นโครม เฉียดหลังอุ่นไปนิดเดียว อุ่นร้องด้วยความตกใจแล้วกระโจนหนีอย่างลืมตัว ทำให้มีดในมือสร้อยเสียบจึ้ก! เข้าที่ท้องอุ่น
อิ่มตกใจสุดขีด เผลอตัวร้องเรียกชื่อน้องสาวออกมา
“นังอุ่น”
คิดถึงตรงนี้อิ่มสะเทือนใจจนน้ำตาไหลริน จำได้แล้วว่าอุ่นน้องสาวได้ตายไปแล้ว
“โธ่..นังอุ่น...แล้วตอนนี้...ลูกของแก หลานฉัน มันอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย”
อิ่มพยายามเค้นหัวคิดต่อ แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก จนปวดหัว จึงร้องไห้ออกมาด้วยความคับแค้นใจ ไอศูรย์มองดูอิ่มอย่างเวทนา
ด้านมัทนามาถึงบ้านไอศูรย์แล้ว กำลังนั่งสนทนาอยู่กับคุณหญิงแจ่มจันทร์ โดยมีบุปผากับโฉมนั่งห่างออกไป
“โธ่..พ่อต้นออกไปที่โรงพยาบาลแต่เช้าเลยจ้ะหนูมัท นี่ถ้าป้ารู้ว่าหนูมัทจะมา ป้าจะได้บอกให้พ่อต้นคอยเจอหนูก่อน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณป้า ยังไงมัทก็ต้องเอาผลไม้มาให้คุณป้าอยู่ดีค่ะ”
“ไหนๆ หนูมัทก็อตส่าห์มาถึงนี่แล้ว อยู่ทานข้าวกับป้าก่อนนะจ๊ะ”
“ได้ค่ะคุณป้า”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ยิ้มพอใจ หันไปพยักหน้ากับโฉม เป็นเชิงว่าให้ไปจัดสำรับขึ้นมาได้ โฉมออกไป ผ่านหน้าบุปผาที่ยิ้มอย่างพอใจเหมือนกัน
ฟากอิ่มยังนั่งคิดอะไรอยู่ สักครู่ก็คิดอะไรได้ อิ่มตัดสินใจเดินออกจากห้องไปทันที
เวลาเดียวกันไอศูรย์กำลังเดินตรวจอาการคนไข้ตามห้องพร้อมกับพยาบาลผู้ช่วย
ส่วนอิ่มที่เดินออกมาจากห้องพักของตัวเอง พอเห็นไอศูรย์ ก็รีบหลบไม่ให้ไอศูรย์เห็น พอไอศูรย์เดินผ่านไป อิ่มก็รีบวิ่งไปที่ประตูทางออกของโรงพยาบาลทันที
อิ่มวิ่งออกมาจากในโรงพยาบาล แล้ววิ่งไปตามถนน พอพบผู้คนอิ่มก็เปลี่ยนเป็นเดิน แล้วค่อยๆ แทรกตัวปะปนไปกับผู้คนบนถนนอย่างกลมกลืน
ฝ่ายไอศูรย์มาตรวจเยี่ยมสินที่ห้องพัก
“อาการนายสินดีขึ้นมากแล้วนะ”
สินมองไปที่มือไอศูรย์ ยังเห็นรอยฟันจางๆ ที่เขากัดเมื่อตอนที่เกิดอาการชักเพราะพิษไข้
ไอศูรย์ยกมือขึ้นดูรอยแผลนั้น แล้วก็บอกกับสินอย่างอ่อนโยน
“ช่างมันเถอะนายสิน ฉันไม่โกรธหรอก ฉันรู้ว่านายสินไม่ได้ตั้งใจ และฉันขอแค่ให้นายสินไม่เป็นอะไรมาก ฉันก็ดีใจแล้ว”
สินซาบซึ้งในน้ำใจไอศูรย์มาก อยากจะยกมือไหว้แต่ทำไม่ได้ ได้แต่น้ำตาไหลรินออกมา
ขณะเดียวกันโฉมกำลังยกสำรับมาเสิร์ฟคุณหญิงแจ่มจันทร์และมัทนา บุปผาเข้าช่วยด้วยอย่างรู้หน้าที่ คุณหญิงแจ่มจันทร์กับมัทนาเริ่มกินและคุยกัน โฉมยืนคอยรอปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ บุปผาเห็นเป็นจังหวะที่ไม่มีใครสนใจเธอก็ผลุบออกจากห้องอาหารไป โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตเห็น
บุปผาเดินหลบออกมาจากห้องอาหาร แล้วมองสำรวจไปรอบๆ เห็นบันไดขึ้นชั้นบนบุปผาเหลียวซ้ายแลขวา ดูจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นเธอ จึงแอบเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนทันที
บุปผาเดินขึ้นมาชั้นบนอย่างเงียบที่สุด กวาดตามองเห็นประตูห้องหนึ่งปิดอยู่ บุปผาค่อยๆเปิดประตู แล้วกวาดตามองสำรวจภายในห้องนั้น
บุปผาเห็นก็รู้ว่าเป็นห้องนอนผู้หญิง
“คงจะห้องยายคุณหญิง”
บุปผาปิดประตูห้องนั้น แล้วเดินสำรวจต่อ ไปที่ห้องอีกห้องหนึ่ง บุปผาเปิดประตูแล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูอีก แล้วยิ้ม
“นี่น่าจะเป็นห้องนอนหมอละ”
บุปผาเหลียวมองข้างหลังอีกทีให้แน่ใจว่าไม่มีใครมา แล้วรีบผลุบเข้าไปในห้องของไอศูรย์อย่างรวดเร็ว
บุปผาเดินเข้ามาในห้องนอนของไอศูรย์ มองสำรวจในห้องไปทั่วๆ เห็นเป็นห้องที่กว้างขวาง สะอาดสะอ้าน และเป็นระเบียบมาก บุปผายิ้มย่อง
“สมกับเป็นหมอจริงๆ”
บุปผาเดินไปดูกรอบรูปที่ตั้งอยู่ในห้อง เห็นเป็นไอศูรย์ในชุดครุยรับปริญญาที่ถ่ายที่ต่างประเทศ ยิ่งเห็นรูปไอศูรย์ ยิ่งทำให้บุปผามั่นใจว่านี่คือห้องนอนของไอศูรย์จริงๆ
บุปผายิ้มกับภาพ วางกรอบรูปลง แล้วค่อยๆ หยิบของที่ซุกไว้กับเอวตั้งแต่ออกมาจากบ้าน
ที่แท้เป็นหุ่นเสน่ห์ที่ได้มาจากตาเถานั่นเอง
“เอ็งเอาหุ่นเสน่ห์นี่..ไปใส่ไว้ใต้ที่นอนของไอ้ผู้ชายที่เอ็งคิดจะเอาเป็นผัว แต่ห้ามให้ใครเห็นนะ” เสียงตาเถาดังขึ้นในหู
“แล้วพอผู้ชายมันนอนบนที่นอนที่มีหุ่นเสน่ห์นี่อยู่ข้างใต้ มันก็จะต้องมนต์ดำ หลงรักเอ็งหัวปักหัวปำ ตราบใดที่หุ่นเสน่ห์สองตัวยังอยู่ในลักษณะนี้ ผู้ชายคนนี้ก็จะรักจะหลงเอ็งตลอดไป”
บุปผาคิดแล้วยิ้ม ก่อนจะเดินไปยกฟูกที่นอนของไอศูรย์ขึ้น เพื่อจะเอาหุ่นเสน่ห์ยัดใส่ใต้ฟูกตามที่ตาเถาสั่ง แต่ฟูกหนัก บุปผาต้องออกแรงยก แล้วยังไม่ทันจะเอาหุ่นเสน่ห์ยัดใส่ใต้ฟูกได้ หุ่นสเน่ห์ที่อยู่ในมือบุปผาก็พลัดตกจากมือ แล้วหล่นลงพื้น
บุปผาอารมณ์เสียทันที
“บ้าจริง”
บุปผาทรุดตัวลงนั่งเก็บหุ่นเสน่ห์ที่พื้น ทันใดนั้นก็มีเสียงเปิดประตูห้องเข้ามา บุปผาเหลียวขวับไปมองที่ประตูห้อง เห็นลูกบิดประตูกำลังหมุนจะเปิด
บุปผาตกใจมาก คว้าหุ่นเสน่ห์ได้ ก็เหลียวซ้ายแลขวาหาที่ซ่อน จะมุดซ่อนที่ใต้เตียง ก็แคบเกินกว่าจะซ่อนตัวได้ บุปผาเหลียวมองไปที่หน้าต่างที่ออกไปตรงระเบียง บุปผาตัดสินใจวิ่งออกไปที่ระเบียงทันที
ประตูห้องเปิดเข้ามา พบว่าโฉมเป็นคนที่เปิดประตูห้องเข้ามา แล้วเดินไปหยิบกรอบรูปไอศูรย์ใส่เสื้อครุยขึ้นมา จะเอาออกไป แต่แล้วโฉมก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่ทางออกไปยังระเบียง
โฉมเห็นม่านตรงทางออกไปยังระเบียงปลิวไสว เพราะบุปผาเปิดหน้าต่างแล้วหนีออกไปซ่อนตรงนั้น
โฉมเดินไปที่นั่น แล้วชะโงกหน้าออกไปมองดู แต่ไม่เห็นใคร หรืออะไรผิดปกติ โฉมมองลงไปจากระเบียง ก็ไม่เห็นใคร หรืออะไรผิดปกติเช่นกัน
โฉมปิดประตูระเบียงเพื่อไม่ให้ลมพัดผ้าม่านปลิวอีก แล้วเดินกลับไปหยิบกรอบรูปไอศูรย์ แล้วเดินออกจากห้องไป
ครู่ต่อมาโฉมเอารูปไอศูรย์มาส่งให้มัทนาดู คุณหญิงแจ่มจันทร์อธิบาย
“รูปพ่อต้นรับปริญญาจ้ะ ป้าไม่ได้ไปร่วมงานหรอก เพราะป้าไม่ชอบอากาศหนาว”
“ค่ะ เห็นพี่ต้นบอกว่าที่อังกฤษอากาศหนาวมาก” แล้วมัทนานึกได้ จึงเหลียวมองหาบุปผา
คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมเลยพลอยมองหาบุปผาไปด้วย
“เอ๊ะ..เด็กที่บ้านหนูมัทไปไหนแล้วล่ะ” หันไปมองโฉมเป็นเชิงถาม
โฉมส่ายหน้าไม่รู้
“สงสัยจะลงไปเดินเล่นอยู่ในสนามข้างล่างละมั้งคะ”
คุณหญิงแจ่มจันทร์พยักหน้าอือออ
“พูดถึงบุปผาแล้ว เด็กคนนี้น่าสงสารมากนะคะคุณป้า เป็นน้องสาวคนขับรถที่บ้านน่ะค่ะ นายสินเพิ่งไปรับตัวมาจากต่างจังหวัด มาอยู่กันได้ไม่ทันไรนายสินก็ประสบอุบัติเหตุจนเป็นอัมพาต ก็ได้พี่ต้นนี่แหละค่ะคอยดูแลรักษาอยู่ บุปผาก็เลยต้องเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านกับโรงพยาบาล แทบไม่มีเวลาพักเลยค่ะ”
แจ่มจันทร์กับโฉมฟังแล้วสงสาร “โถ...”
ที่แท้บุปผายังยืนแอบอยู่ที่ขอบระเบียงห้องไอศูรย์อยู่อย่างหมิ่นเหม่ ในมุมที่โฉมชะโงกหน้าออกมามองไม่เห็น บุปผาค่อยๆ ปีนกลับมาที่ประตูระเบียงทางเข้าห้องอย่างยากลำบาก พอปีนกลับเข้ามายืนในจุดที่ปลอดภัยได้แล้ว บุปผาก็ถอนใจโล่งอก ชะโงกหน้ามองลงไปข้างล่าง
เห็นพื้นด้านล่างอยู่ไกลๆ ถ้าตกลงไป ไม่ตายก็สาหัส
แล้วจังหวะที่บุปผาชะโงกมองลงไปข้างล่างนี้เอง หุ่นเสน่ห์ที่บุปผาเอาเหน็บไว้ที่เอว ก็หลุดจากที่เหน็บตกลงไปข้างล่าง
หุ่นเสน่ห์ตกลงไปกระแทกพื้นข้างล่าง อย่างแรง แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
บุปผาเจ็บใจสุดๆ แต่ทำอะไรไม่ได้แล้ว จึงเปิดประตูระเบียงกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง แล้วรีบออกจากห้องไอศูรย์ไป
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 6 (ต่อ)
บุปผาทำเนียนค่อยๆ คลานกลับเข้ามานั่งพับเพียบในห้องกินข้าวอย่างเงียบๆ ท่าทีสงบเสงี่ยม มัทนาหันมาเห็นพอดี
“อ้าว...บุปผา ไปไหนมาจ๊ะ”
“เอ่อ...บุปผาไปเข้าห้องน้ำมาค่ะ คุณหนูมีอะไรจะใช้บุปผาหรือคะ”
“ไม่หรอก แต่ฉันจะกลับแล้ว” หันกลับไปพูดกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ “มัทกลับก่อนนะคะคุณป้า จะไปแวะหาพี่ต้นที่โรงพยาบาลด้วย บุปผาจะได้แวะเยี่ยมพี่ชายเขาด้วยค่ะ”
“จ้ะ”
มัทนายกมือไหว้คุณหญิงแจ่มจันทร์ บุปผาไหว้คุณหญิงแจ่มจันทร์ แล้วหันไปไหว้โฉมด้วย คุณหญิงแจ่มจันทร์และโฉมเดินตามไปส่งสองสาว
ไม่มีใครเห็นว่าบุปผามีสีหน้าเจ็บใจสุดๆ ที่แผนทำเสน่ห์ใส่ไอศูรย์ผิดพลาดล้มเหลวหมด
ด้านเพ็ญกับผกาคุยหารือกันอยู่ เรื่องนายพลเทพ
“คุณผกาไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นจริงๆ หรือคะ”
ผกาส่ายหน้า “จะว่าลูกค้าเก่าก็ไม่ใช่ ถามชื่อก็ไม่ยอมบอก” ยิ่งคิดผกาก็ยิ่งมีสีหน้ากังวล “จะเกี่ยวกับบุปผาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะเพ็ญ”
ฟากคุณหญิงมณีคุยอยู่กับสาวใช้คู่ใจ
“ระหว่างที่ฉันไม่อยู่นี่ ที่บ้านนี่..ทุกอย่างเรียบร้อยไม๊..นังสร้อย”
“ก็เรียบร้อยดีนะคะคุณหญิง สร้อยไม่ให้นังบุปผามันก้าวเท้าขึ้นบนตึกนี่เลยค่ะ”
“ดี แล้วเรื่องผู้หญิงที่ชื่อ ผกา ล่ะ คนของสร้อยได้เรื่องอะไรคืบหน้าไม๊”
“ยังไม่ได้เรื่องเลยค่ะ”
“สั่งให้คนของสร้อยสืบต่อไป”
“ค่ะ” สร้อยรับคำ
เวลาเดียวกันขณะที่คนอื่นๆ นั่งคุย นั่งกินอยู่ด้วยกันนั้น แสงเดินเข้ามา เพ็ญปราดเข้าไปต้อนรับ
“มาเที่ยวหรือจ๊ะ เชิญจ้ะ เชิญจ้ะ”
ผกามอง แล้วคลับคล้ายคลับคลา จึงกระซิบถามเดือน
“นังเดือน ผู้ชายคนนี้..มันคนที่บ้าน “เทพบริบาล” ใช่รึเปล่าหึ”
“รู้สึกจะใช่นะจ๊ะแม่ ทำไมเหรอ”
ผกานิ่งคิด นึกไปถึงตอนที่ตนคุยกับบุปผา
“ใช่ วันก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่งมาพบแม่ ถามว่าแม่ชื่อผกาใช่ไม๊ แต่แม่ไม่ได้ตอบหรอก”
“ผู้หญิงคนนี้รูปร่าง...” บุปผาบอกรูปพรรณสัณฐานของสร้อย “ใช่รึเปล่าจ๊ะแม่”
“ใช่ ใครเหรอบุปผา”
“คนสนิทนังคุณหญิง”
“แล้วมันจะมาหาแม่ทำไม”
“ก็ลูกชายมันเคยไปที่หอโคมแดงของเราบ่อยๆ ฉันไม่เคยขึ้นห้องกับมันหรอก แต่มันพอจะจำหน้าฉันได้ แม่มันก็คงจะตามไปสืบให้รู้แน่สิว่าฉันเคยอยู่ที่นั่นมาก่อนจริงรึเปล่า ถ้าแม่พบนังนี่อีก แม่อย่าบอกอะไรมันนะ”
คิดแล้วผการีบเดินเข้าไปหาแสงทันที
“ต้องขอโทษด้วยนะคะ วันนี้..หอโคมแดงของเราปิดให้บริการวันหนึ่งค่ะ”
เหล่านางโลมทุกคนหน้าเหวอ
แสงร้อง “อ้าว”
“เชิญมาใช้บริการวันหลังก็แล้วกันนะคะ”
ผการีบผลักไสแสงออกไปนอกหอโคมแดงทันที
ผกาผลักไสแสงออกมา แล้วทำทีเป็นขอโทษขอโพย
“ต้องขอโทษด้วยนะค๊า”
แสงจำใจออกไป พอแสงไปพ้นแล้ว ผกาก็เรียกนักเลงคุมซ่อง 2 คนที่จ้างไว้เข้ามาสั่ง
“ต่อไป..ถ้าผู้ชายคนนี้มาที่นี่อีก อย่าให้เขาเข้าไปข้างในอีกนะ เข้าใจไม๊”
“ครับคุณผกา” สองคนประสานเสียง
ผกาเดินกลับเข้าไปด้านใน
ทันทีที่ผกาเดินกลับเข้ามา ทุกคนก็รีบเข้าไปรุมถามทันที
“แม่ปิดบ้านวันนี้ทำไมจ๊ะ” มุกถามนำ
ตามด้วยเดือน “นั่นสิ ทำไมเราไม่เห็นรู้เรื่องเลย”
“ไม่ได้ปิดหรอก”
ทุกคนร้อง “อ้าว”
“แต่ต่อจากนี้ไป แม่ไม่ต้อนรับคนจากบ้าน เทพบริบาล น่ะ”
“ทำไมละจ๊ะแม่” สิริถาม
ผกานิ่งไปนิดหนึ่ง “แม่มีเรื่องกับคนบ้านนั้นนิดหน่อยน่ะ” แล้วผกาก็ประกาศเสียงดัง “ เพราะฉะนั้นต่อจากนี้ไป ถ้ามีคนจากบ้านเทพบริบาลมาที่นี่ ไม่ต้องรับแขก ใครไม่เชื่อแม่ ก็ออกไปจากที่นี่เลย”
คนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเชื่อฟังผกากันแต่โดยดี ยกเว้นมุกที่มองผกาอย่างสงสัยจัด
ส่วนแสงเดินอารมณ์เสียเข้ามาหน้าบ่อนแห่งหนึ่ง
“ยิ่งไล่ออกมาอย่างนี้ มันก็ยิ่งน่าสงสัยว่า...นังผกาที่หอโคมแดงนี่ ต้องเป็นผกาเดียวกับที่ท่านนายพลตามหาอยู่แน่ๆ”
แล้วแสงก็ชะงัก เมื่อเห็นบ่อนที่ดูจากภายนอกแล้วจะไม่รู้ นึกว่าเป็นบ้านพักเฉยๆ แต่มีคนเฝ้าอยู่หน้าบ้านแข็งขัน
แสงยิ้ม “เมื่อวันนี้ไอ้แสงเข้าซ่องไม่ได้ เข้าบ่อนแทนก็ได้โว๊ย”
แสงเดินตรงไปที่บ่อนทันที
บุปผากับมัทนาแวะมาหาไอศูรย์ที่โรงพยาบาล
“พี่ไม่ทราบว่าน้องมัทจะไปที่บ้านน่ะครับ เลยรีบออกมาทำงานแต่เช้า”
“ไม่เป็นไรค่ะ มัทก็ไม่ได้โทรบอกพี่ต้นด้วย แต่ถึงยังไงก็ต้องมาอยู่แล้ว เพราะว่าจะมาเยี่ยมนายสินด้วยน่ะค่ะ นายสินเป็นยังไงบ้างแล้วคะพี่ต้น”
ครู่ต่อมาสินมองมัทนาด้วยแววตาดีใจที่มัทนามาเยี่ยม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากมอง
“อาการปอดบวมดีขึ้นแล้วละครับ ถ้าอาการดีวันดีคืนอย่างนี้ อีกไม่นานก็คงจะให้พากลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านได้ละ”
“ดีจริง” มัทนาดีใจ
บุปผายกมือไหว้ไอศูรย์
“บุปผาขอบพระคุณ คุณหมอจริงๆ เลยค่ะ ถ้าไม่ได้คุณหมอ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าพี่สินจะเป็นยังไง”
“ถ้าบุปผาอยากจะขอบคุณ ก็ต้องขอบคุณ คุณป้ามณีกับน้องมัทมากกว่านะ ที่เมตตา ช่วยเรื่องรักษานายสินอย่างเต็มที่น่ะ”
แล้วไอศูรย์ก็หันไปมองมัทนาด้วยแววตารักใคร่ บุปผามองอย่างอิจฉา เลยแกล้งขัด
“แล้วป้าอิ่มตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้วคะคุณหมอ แกจำอะไรได้บ้างแล้วคะ”
ไอศูรย์ยังไม่ทันตอบ พยาบาลคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหมอคะ ป้าอิ่ม”
ไอศูรย์รีบวิ่งไปที่ห้องอิ่มทันที มัทนากับบุปผา และพยาบาลวิ่งตามไปด้วย
ทุกคนมาถึงเห็นห้องอิ่มว่างเปล่า อิ่มหายตัวไป พยาบาลเวร เห็นพวกไอศูรย์วิ่งเข้ามาก็รีบรายงาน
“ไม่รู้ป้าอิ่มแกหายไปไหนค่ะคุณหมอ เมื่อเช้าก็ยังเห็นแกนั่งทานข้าวอยู่ดีๆ พอเดินมาดูอีกที หายไปไหนแล้วก็ไม่ทราบค่ะ”
“ให้คนหาทั่วทั้งโรงพยาบาลเดี๋ยวนี้” ไอศูรย์สั่ง
“ค่ะ ค่ะ”
พยาบาลรีบร้อนออกไปตาม ไอศูรย์จะไปด้วย
“มัทช่วยหาด้วยนะคะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ มัทนาเลยวิ่งตามไอศูรย์ออกไป บุปผาทำหน้าเซ็ง แต่ก็ตามไอศูรย์ออกไปอีกคนด้วยความจำใจ
เวลาผ่านไป ไอศูรย์วิ่งมาเจอหมอปรีชา มัทนากับบุปผารีบยกมือไหว้หมอปรีชา ไอศูรย์ก็พูดอะไรบางอย่างกับหมอปรีชา แล้วทั้งสองก็รีบร้อนช่วยกันออกตามหา อิ่มด้วยกัน มัทนาก็มองหาอิ่มตามที่ต่างๆ หลายๆ มุมในโรงพยาบาล ส่วนบุปผาพอไม่มีใครสนใจมอง บุปผาก็เลยออกอาการเนือยๆ ไม่สนใจจะตามหาอิ่มอย่างจริงจังเหมือนคนอื่นๆ
“หึ กะอีแค่คนบ้าคนเดียว จะต้องไปห่วงไปใยอะไรมันกันนักหนานะ ทีอีคนดีๆ หน้าตาสวยๆ ยืนอยู่ตรงนี้ทั้งคน ไม่ยักสนใจ”
บุปผาเบ้ปากเซ็งจัด
อ่านต่อหน้า 3 (ต่อ) เวลา 09.00 น.
ไม่นานนักทั้ง 4 คนกลับมารวมตัวกัน ทุกคนสีหน้าวิตกกังวล
“ช่วยกันหากันจนทั่วโรงพยาบาลแล้วครับพี่หมอ แต่ไม่พบตัวเลย” ไอศูรย์ว่า
“สงสัยจะออกไปนอกโรงพยาบาลแล้วละมั้งคะพี่ต้น” มัทนาออกความเห็น
“ถ้าแกออกไปนอกโรงพยาบาลจริง..ก็น่าสงสารแกจังนะคะ เพราะคนแก่ ความจำเสื่อม ตัวคนเดียว ป่านนี้จะเตลิดไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้นะคะ”
บุปผาแสร้งตีหน้าเศร้า สงสารอิ่ม คนอื่นๆ ก็พลอยหน้าเศร้าตามไปด้วย
อิ่มเดินเซซังมาตามทาง ท่าทางเหนื่อยอ่อนโรยแรงลงทุกที อิ่มประคองตัวเดินไปเรื่อยๆ
ที่แท้อิ่มเดินทางมาจนถึงบริเวณบ้านเก่าของอุ่นที่ไฟไหม้ไปหมดแล้ว อิ่มหยุดยืนดูอย่างอึ้งๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย
ภาพตอนบ้านไฟไหม้ผุดขึ้นในหัวอิ่มอีกครั้ง
อิ่มสะท้อนสะเทือนใจจนน้ำตาไหลพรากเมื่อจดจำได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอุ่น
“อุ่น...ฉันขอโทษ...ที่ฉันช่วยอะไรแกไม่ได้เลย...ตายจากกันก็ไม่มีโอกาสได้เผาผี”
หากอิ่มมีสัมผัสพิเศษจะรับรู้ว่าเวลานั้นผีอุ่นยืนอยู่ข้างๆ อิ่มนั่นเอง แต่อิ่มไม่เห็น อุ่นน้ำตาไหลพรากเหมือนกัน อยากจะพูดกับพี่ แต่ก็สื่อสารไม่ได้ แล้วอิ่มที่ร้องไห้อยู่ก็เป็นลมล้มลงแน่นิ่งไปทันที
“พี่อิ่ม” ผีอุ่นก็ได้แต่ยืนดูเฉยๆ ทำอะไรไม่ได้
จังหวะนี้ชาวบ้าน 2 คนเดินผ่านมาพอดี ผีอุ่นหายวับไป
“เฮ้ย ใครมานอนอยู่ตรงนั้นวะ”
ชาวบ้านทั้งสองวิ่งเข้ามาดู เห็นว่าอิ่มหน้าซีดขาวราวกับคนตาย
ขณะเดียวกันนายพลเทพนั่งกินข้าวอยู่กับคุณหญิงมณีด้วยสีหน้าเศร้าซึม ไม่พูดไม่จา
กินไปได้นิดเดียวก็รวบช้อนแล้ว
“อิ่มแล้วหรือคะคุณ”
นายพลเทพพยักหน้า แล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป คุณหญิงมณีมองอย่างสงสัย แล้วหันมามองหน้ากับสร้อย สร้อยรีบเข้ามารายงาน
“เมื่อวานท่านก็ไม่ทานอะไรเลยค่ะ กลับจากกรม ก็ขึ้นห้องนอนเลย แล้วก็ลงมาตอนที่คุณหญิงกลับจากเชียงใหม่นั่นแหละค่ะ”
คุณหญิงมณีสีหน้าสงสัยหนัก
ในเวลาต่อมานายพลเทพยืนคิดเรื่อง ผกา แสงฉาย อยู่อย่างเคร่งเครียด เพราะถ้าหาผู้หญิงคนนี้ไม่เจอก็จะหมดโอกาสที่จะได้เจอลูกที่เกิดจากอุ่น คุณหญิงมณีเดินเข้ามา
“คุณไม่สบายรึเปล่าคะ เมื่อกี้..คุณแทบจะไม่ทานอะไรเลยนะคะ”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรหรอกคุณหญิง แค่งานยุ่งๆ เท่านั้นละ เอ้อ..เมื่อคืนเห็นคุณหญิงกลับมาเหนื่อยๆ เลยยังไม่อยากซักอยากถาม ตกลงเรื่องฤกษ์หมั้นลูกมัท คุณชไมให้ฤกษ์มาวันไหนกัน”
“ปีหน้าค่ะ ปีนี้..เธอว่าไม่มีฤกษ์มงคลเลย”
“อืม..ก็ไม่เป็นไร ถ้าลูกมัทเรากับพ่อต้นเขาเป็นเนื้อคู่กัน ย่อมไม่แคล้วคลาดกันหรอก จะหมั้นปีนี้หรือปีหน้าก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก” ท่านนายพลตัดบท “เอ้าๆ ผมจะออกไปกรมสักหน่อย มีนัดคุยงานน่ะ” แล้วเดินออกไปทันที
คุณหญิงมณีมองตามสีหน้ายังกังวล รู้สึกว่านายพลเทพมีอะไรบางอย่างปิดบังตน และไม่ยอมพูดออกมา
ฟากกำพลนัดมุกออกมาคุยที่สวนสาธารณะแห่งเดิม
“ฉันเจอตัวบุปผาแถวโรงพยาบาลตามที่เธอบอกจริงๆ ด้วยมุก”
“นั่นไงคะ มุกบอกคุณกำพลแล้วว่านังบุปผามันยังอยู่ในบางกอกนี่จริงๆ”
“แล้วฉันก็เพิ่งมานึกออกว่าบุปผาเคยให้ฉันสอนขับรถให้ ที่ถนนแถวๆ โรงพยาบาลนั่นด้วย”
“แสดงว่านังบุปผามันต้องไปอยู่แถวๆ นั้นแน่ๆ ค่ะ” มุกมั่นใจ
“แล้วมีข่าวอื่นจากทางแม่ผกาของเธออีกบ้างรึเปล่า”
“ไม่มีค่ะ ช่วงหลังมานี่แม่ผกาไม่พูดถึงนังบุปผาเลย”
กำพลพยักหน้าอย่างเซ็งๆ ไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะใจยังคงหมกมุ่นอยู่กับเรื่องตามหาบุปผามากกว่าเรื่องอื่นใด
ด้านแสงกำลังเล่นการพนันอยู่อย่างเมามัน ทันใดนั้นคนเฝ้าหน้าบ่อนก็วิ่งเปิดประตูหน้าตาตื่นเข้ามา
“เฮ้ย พ่อมึง มา”
แสงและขาพนันคนอื่นๆ ในบ่อนหน้าตาตื่น ร้องด้วยความตกใจ แล้วเริ่มวิ่งหนีกันโกลาหล แสงกำลังจะเก็บเงินหน้าตักตัวเอง แต่ไม่ทัน ตำรวจพุ่งเข้ามา แสงจำต้องทิ้งเงินแล้วหนีเอาตัวรอดก่อน แต่จะวิ่งหนีออกทางประตูไม่ได้แล้ว จึงตัดสินใจวิ่งไปที่หน้าต่าง ชะโงกหน้ามองออกไป เห็นพื้นชั้นล่างสูงเอาการอยู่
แสงลังเล แต่พอเหลียวกลับไปมองข้างหลัง เห็นตำรวจกำลังจะพุ่งเข้ามาจับ
“เฮ้ย หยุดนะ อย่าหนี”
แต่แสงไม่สนใจ ตัดสินใจกระโดดออกหน้าต่างไปทันที
พอแสงกระโดดตุ๊บลงมา ปรากฏว่าถูกไม้แหลมบาดมือเอา เห็นเป็นแผลเลือดออก
“โอ๊ย”
แสงกำมือแน่น เหลียวกลับไปมองที่บ้านบ่อน เห็นตำรวจชะโงกหน้ามองตามมา แต่ไม่กล้ากระโดดตาม แสงฉวยจังหวะนั้นรีบวิ่งหนีไปเร็วรี่
แสงวิ่งหนีตำรวจกระเซอะกระเซิงมา แล้ววิ่งชนเข้ากับรถของกำพลจนล้มลง กำพลตกใจ
“เฮ้ย”
กำพลรีบลงจากรถมาดู เห็นแสงเลือดออกที่มือก็ตกใจ แสงยกมือไหว้กำพลปลกๆ
“ช่วยกระผมด้วย กระผมถูกโจรปล้นเอาทรัพย์ไปจนหมดตัว แล้วยังถูกมันแทงเอาด้วย ช่วยกระผมด้วย”
“เอ้าๆๆ งั้นขึ้นรถ ฉันจะพาไปทำแผลก่อน”
แสงไหว้กำพลอีก “ขอบพระคุณขอรับ”
กำพลพาแสงขึ้นรถไป
อา...หากบุปผารู้ว่าบุคคลอันตรายของชีวิตหล่อน 2 คน มารวมตัวกัน จะรู้สึกอย่างไรหนอ
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวน ตอนที่ 6 (ต่อ)
มัทนากับบุปผากลับมาถึงบ้านเทพบริบาลแล้ว
“ทำไมไปนานจริงลูก หายไปเสียครึ่งวันเลย” คุณหญิงมณีถาม
“คุณป้าแจ่มจันทร์ชวนมัททานข้าวด้วยน่ะค่ะคุณแม่ ออกจากบ้านคุณป้าก็เลยไปหาพี่ต้นที่โรงพยาบาล ได้แวะเยี่ยมนายสินด้วยค่ะ”
“แล้วนายสินมันเป็นยังไงบ้างล่ะ”
มัทนาหันไปมองบุปผาเป็นเชิงว่าให้ตอบเอง
“ยังต้องอยู่ที่โรงพยาบาลต่ออีกสักระยะค่ะ” บุปผาบอกหน้าเศร้า
คุณหญิงมณีพยักหน้ารับรู้
มัทนาเหลียวมองหาพ่อ “แล้วนี่คุณพ่อไม่อยู่หรือคะ”
นายพลเทพไม่ได้เข้ากรมตามที่บอก แต่เดินเข้ามาหาดำเกิงที่ยืนรออยู่แล้วในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ดำเกิงสีหน้ากระวนกระวาย ร้อนใจ
“คนของกระผมยืนยันว่า แม่ ผกา แสงฉาย อยู่ที่หอโคมแดงนั่นจริงๆ นะขอรับ แต่จะหน้าตาอย่างไร ไม่ทราบเลยขอรับ”
“แต่ในเมื่อผู้หญิงที่ชื่อราตรีนั่น บอกว่าแม่ผกาไม่ได้อยู่ที่หอโคมแดงแล้ว แล้วเราจะไปหาตัวแม่ผกาได้ที่ไหนกันล่ะ นังอิ่มมันก็ล้มหายตายจากไปเสียข้างไหนแล้วก็ไม่รู้ หรือว่าชาตินี้..ฉันจะไม่มีบุญได้พบหน้าลูกของฉัน กับแม่อุ่นเสียแล้ว”
นายพลเทพทอดถอนใจด้วยความเศร้าและเสียใจ
ขณะเดียวกันอิ่ม ค่อยๆ ฟื้นคืนสติขึ้นมา กวาดตามองไปรอบๆ อย่างงุนงง ยังไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
อิ่มเห็นว่าเป็นบ้านชาวบ้านสักหลัง พออิ่มขยับตัวจะลุก ชาวบ้าน 2 คนรีบปราดเข้ามาดูอาการ
“ฟื้นแล้วรึ” ชาวบ้านคนแรกถาม
“ฉัน..เป็นอะไรไป”
ชาวบ้านอีกคนบอก “แกเป็นลมไปน่ะ ก็ไปยืนตากแดดอยู่กลางแจ้งอย่างนั้น มันก็เป็นลมแดดเอาน่ะสิ”
“ว่าแต่แกไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไมรึ” คนแรกซัก
“บ้าน..เคยมีบ้านอยู่ตรงนั้น” อิ่มบอก
“ฉันก็เพิ่งมาอยู่แถวนี้ แต่ก็เคยได้ยินว่าตรงนั้นน่ะเคยมีบ้านคนอยู่ แต่ไฟไหม้ไปหมดแล้ว เจ้าของเขาก็เลยทิ้งไว้อย่างนั้น เอ้อ..แต่เมื่อไม่กี่วันมานี่ เห็นเจ้าของเขาส่งคนมาดูที่ เห็นว่าจะขายน่ะ” พลเมืองดีคนที่ 2 บอก
อิ่มฉงน “เจ้าของ”
“เห็นว่าเป็นนายพลอะไรนี่แหละ เอ..เดี๋ยวนึกชื่อก่อนนะ”
ชาวบ้านคนแรกว่า พลางทำน่านึกใหญ่
อิ่มทบทวนความทรงจำตัวเองไปด้วย แล้วเอ่ยชื่อชึ้นมา
“นายพลเทพ เทพบริบาล”
ชาวบ้านร้องขึ้น “ใช่ๆๆๆๆ นายพลเทพ เทพบริบาล เขาส่งคนมาเดินเรื่องจะขายที่ตรงนั้นแหละ ว่าแต่เอ็ง..รู้จักนายพลเทพอะไรนี่ด้วยเหรอ”
อิ่มส่ายหน้าไม่อยากพูดอะไรต่อแล้ว แต่สองชาวบ้านคิดว่าอิ่มส่ายหน้าปฏิเสธว่าไม่รู้จัก
“ไม่รู้ก็ไม่รู้ เอ้า..หิวข้าวรึยังล่ะ กินข้าวเสียก่อน แล้วแกจะทำอะไรต่อไปก็ค่อยคิดอ่านทีหลัง”
สองชาวบ้านลุกเดินไปยกสำรับ อิ่มครุ่นคิด
“เราต้องบอกท่านนายพลว่าลูกนังอุ่นมันยังไม่ตาย แต่...จะไปตามหาตัวท่านนายพลได้ที่ไหนกันล่ะเนี่ย”
อิ่มกลุ้มใจมาก
ตกตอนกลางคืน ได้เวลาคุณหญิงมณีเอาถ้วยยาสมุนไพรส่งให้นายพลเทพกินอย่างเคย แต่วันนี้นายพลเทพกลับผลักมือที่ถือถ้วยยาของคุณหญิงมณีออก คุณหญิงมณีตกใจ
“วันนี้ผมรู้สึกวิงเวียนอย่างไรไม่รู้คุณหญิง ไม่อยากกินอะไรเลย”
“ยิ่งวิงเวียน ก็ยิ่งต้องกินสิคะคุณ สมุนไพรนี่ มันก็เป็นยาบำรุงร่างกายนะคะ กินแล้วจะได้สดชื่น”
“ก็กินมาทุกวันแล้ว งดสักวันจะเป็นไรไป”
พูดจบนายพลเทพก็ล้มตัวลงนอนเลย โดยไม่ยอมกินยาอย่างเคย คุณหญิงมณีมองดูสามีแล้วก้มลงมองถ้วยยาในมือ สีหน้าเป็นกังวล
ด้านบุปผากำลังนั่งหงุดหงิดอยู่ในห้อง คิดเครียดที่พลาดทำหุ่นเสน่ห์ตกลงไปแตก ที่บ้าน
ไอศูรย์ ระเบิดบ่นออกมา
“ทำไมซวยอย่างนี้นะ แล้วอย่างนี้...เมื่อไหร่ฉันจะได้หมอเป็นผัวสักทีเล่า ฮึ่ย!”
บุปผาอารมณ์เสียสุดๆ
เช้าวันต่อมาไอศูรย์เดินเข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลตามปกติ แล้วก็ต้องชะงัก เพราะเห็นใครบางคนนั่งก้มหน้าอยู่ที่หน้าโรงพยาบาล
ไอศูรย์ร้องออกมาอย่างดีใจระคนแปลกใจ “ป้าอิ่ม”
ไอศูรย์กำลังนั่งคุยกับอิ่มอยู่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ป้าอิ่มหายไปไหนมาครับเนี่ย รู้ไม๊ว่าผมเป็นห่วงแค่ไหน”
อิ่มเงยหน้าขึ้นมองไอศูรย์อย่างซาบซึ้งใจ
“ป้าขอบคุณ..ที่หมอเป็นห่วง และป้าขอโทษ..ที่ทำให้เป็นห่วงจ้ะ”
“แล้วป้าหายไปไหนมาทั้งคืนครับ”
“ป้า..จำไม่ได้”
ไอศูรย์ถอนใจ “เอาเถอะครับ จำไม่ได้ก็ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่าป้ากลับมาแล้วโดยปลอดภัย ผมก็ดีใจอย่างที่สุดแล้วละครับ แล้วนี่ป้าหิวไม๊ครับ”
อิ่มพยักหน้า
“งั้นเดี๋ยวผมจะให้คนจัดอาหารมาให้นะครับ”
ไอศูรย์ออกไป อิ่มยิ้มมองตาม บอกกับตัวเอง
“ป้าขอโทษนะที่ต้องโกหกหมอ แต่ป้าจำเป็น และป้าคงต้องขออาศัยอยู่กับหมอไปก่อน จนกว่าป้าจะหาตัวท่านนายพลเจอ”
ขณะเดียวกันนายพลเทพกำลังจะออกไปทำงาน คนอื่นๆ เดินตามมาส่ง
“แน่ใจว่าไปทำงานไหวนะคะ ถ้าไม่ไหว หยุดสักวันคงไม่เป็นไรมั้งคะคุณ”
“ไม่เป็นไร ผมไม่อยากหยุด ผมไปนะ”
นายพลเทพขึ้นรถ แล้วรถแล่นออกไป คุณหญิงมณีหันไปสั่งสร้อย
“เตรียมเอารถออกอีกคัน ฉันจะไปประชุมที่สมาคม”
“ประชุมอะไรคะคุณแม่” มัทนาสงสัย
“ประชุมเรื่องจัดงานฉลองกึ่งพุทธกาลน่ะลูก”
“มัทไปด้วยได้ไม๊คะ ปิดเทอมอย่างนี้ มัทอยู่บ้านเฉยๆ เบื่อจะแย่แล้วค่ะ”
มณียิ้ม “ไปสิลูก งั้นมัทไปแต่งตัวเลยจ้ะ”
“ค่ะ” มัทนาเดินไปทางห้องตัวเอง
สร้อยรีบเข้ามาถามคุณหญิงมณี
“ถ้าเราออกไปกันหมด ก็ต้องทิ้งนังบุปผาไว้ในบ้านกับอีพวกในครัวนะสิคะคุณหญิง”
“คงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะท่านนายพลไม่อยู่บ้าน แล้วเราก็คงกลับถึงบ้านก่อนท่านนายพลเลิกงานอยู่แล้วละ”
สร้อยพยักหน้ารับรู้
ไม่นานต่อมา มัทนา คุณหญิงมณี และสร้อยกำลังจะเดินเข้าไปที่ตึกทำการของสมาคม
“มัทเห็นคุณแม่มาประชุมจัดงานนี้มาตั้งนานแล้วนะคะ”
“ก็ตั้งแต่ปี 2495 น่ะลูก เพราะไหนจะต้องระดมทุนจัด สร้าง พุทธมณฑล ยังจะมีการจัดสร้างพระเครื่อง ที่เรียกว่า พระฉลอง 25 พุทธศตวรรษ จำนวนมากถึง 5 ล้านกว่าองค์ทีเดียวเชียวนะลูก”
“งานใหญ่จังนะคะคุณแม่”
“ใหญ่มากจ้ะ ถึงต้องเตรียมงานกันนานถึง 5 ปีทีเดียว” มณีว่า
“เห็นข่าวว่ามีการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารคด้วย”
“จ้ะ เป็นการจัดกระบวนพยุหยาตราชลมารคเป็นครั้งแรกในรัชกาลปัจจุบันเลยนะ”
“ถ้ามัทช่วยอะไรคุณแม่ได้ ก็บอกเลยนะคะ”
คุณหญิงมณีเยื้อนยิ้มพอใจที่ลูกสาวเป็นเด็กดี โอบบ่าลูกรักแล้วพาเดินเข้าตึกสมาคมไป
สมาชิกของสมาคมชื่อคุณหญิงประไพ ซึ่งไปอาละวาดที่ซ่องหอโคมแดง ร้องทักเมื่อเห็นคุณหญิงมณีเดินมาพร้อมกับมัทนา
“ต๊าย..นี่รึคะ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของคุณหญิง หน้าตาน่าเอ็นดูจริ๊ง ถ้าดิฉันมีลูกชาย คงได้ยกขันหมากไปขอลูกสาวคุณหญิงมาเป็นลูกสะใภ้ดิฉันแน่ๆ เลยค่ะ”
คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมเดินเข้ามาพอดี
“นี่คุณประไพคงยังไม่รู้สิคะว่าหนูมัทเนี่ยเป็นคู่หมายกับพ่อต้น ลูกชายดิฉันแล้ว”
“จริงหรือคะ แหม..สมกันราวกับกิ่งทองใบหยกเลยนะคะ ทั้งหน้าตา ทั้งชาติตระกูล คู่ควรกันจริง”
คุณหญิงมณี และคุณหญิงแจ่มจันทร์ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ชอบใจ
“คุณแม่ขา มีงานอะไรที่มัทจะช่วยได้บ้างคะ” มัทนาเอ่ยขึ้น
“อุ๊ย...อยากช่วยงานเหรอลูก ดีเลย ป้ากำลังอยากได้คนช่วยคัดรายชื่อผู้ร่วมออกทุนสร้างพุทธมณฑลอยู่พอดี หนูเดินไปที่ห้องข้างในโน่นแน่ะ เขากำลังนั่งคัดรายชื่อกันอยู่” ประไพบอก
“ค่ะคุณป้า”
พอมัทนาเดินเข้ามาในห้องที่ประไพบอก เห็นมีสาวๆ หลายคนกำลังช่วยกันคัดรายชื่อกันอยู่ และ 1 ในนั้นคือพลอย มัทนายิ้มดีใจที่เห็นพลอย เดินตรงเข้าไปทักทันที
“พลอย เธอก็มาช่วยงานนี้เหมือนกันเหรอ มีอะไรให้ฉันช่วยบ้างล่ะ”
พลอยหันมามองมัทนาอย่างเย็นชา พูดประชด
“ตรงนี้ไม่มีอะไรให้ คุณหนูมัทนาช่วยหรอก ไปช่วยที่อื่นเถอะไป๊”
มัทนาหน้าสลดลงทันที จำใจเดินไปช่วยกลุ่มอื่นทำงานแทน
ฟากคุณหญิงแจ่มจันทร์เอ่ยขึ้น
“เอ่อ...จริงไม๊คะ..ที่คนเขาพูดกันว่าคุณประไพพาคนไปบุกซ่อง แล้วลากตัวคุณพจน์ออกมา เมื่อไม่กี่วันมานี่น่ะค่ะ”
ประไพหัวเราะเหี้ยม “จริงค่ะ ดิฉันบุกไปลากตัวคุณพจน์มาจากอีพวกผู้หญิงหยำฉ่าหน้าด้านนั่นด้วยตัวเองเลยค่ะ”
“ไม่น่าเชื่อเลยนะคะว่าคุณพจน์จะชอบไปเที่ยว..ผู้หญิงพรรค์อย่างนั้น” มณีว่า
“ก็เรื่องพรรค์อย่างว่า ผู้ชายไม่มีวันอิ่มหรอกค่ะ คุณหญิงเองก็อย่าประมาทนะคะ ท่านนายพลน่ะยังไม่แก่ ท่านอาจจะไปมีอีหนูซุกซ่อนไว้ที่ไหนก็ได้นะคะ ดีไม่ดีเกิดมีลูกขึ้นมา จะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวค่ะ” ประไพบอก
มณีสวนออกมาเสียงเข้ม “ไม่มีทางค่ะ ท่านนายพลของดิฉัน ไม่มีวันจะไปมีลูกกับใครแน่ ดิฉันมั่นใจ”
อา...สีหน้าแววตาคุณหญิงมณี ดูมั่นอกมั่นใจมาก ว่าสามีมีลูกสาวคนเดียว!
อ่านต่อตอนที่ 7