ไฟหวน ตอนที่ 5
ในเวลาต่อมา ไอศูรย์กับบุปผาเดินคุยกันมาตามทางในโรงพยาบาล
“แต่ก่อนที่จะให้พานายสินกลับบ้าน ฉันจะให้พยาบาลมาช่วยสอนวิธีดูแลนายสินให้กับบุปผานะ เพราะคนเจ็บอาการอย่างนี้ ต้องดูแลมากเป็นพิเศษนะ”
“ถึงจะดูแลมากแค่ไหนบุปผาก็ไม่กลัวหรอกค่ะหมอ พี่สินดูแลบุปผามามากแล้ว ถึงเวลาที่บุปผาจะได้ตอบแทนบุญคุณพี่สินบ้างแล้วค่ะ”
“เธอเป็นคนดีจริงบุปผา ฉันส่งเธอแค่นี้นะ”
บุปผายกมือไหว้ไอศูรย์ด้วยท่าทีกระชดกระช้อย ไอศูรย์ยิ้มอย่างเอ็นดู บุปผามองไอศูรย์ตาแป๋ว แต่ทว่าไอศูรย์กลับไม่ได้สนใจมากไปกว่าที่เคย บุปผาผิดหวัง และเจ็บใจนัก ที่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่สามารถมัดใจไอศูรย์ได้ เหมือนผู้ชายคนอื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตหล่อน
บุปผาเดินออกมาหน้าโรงพยาบาล ยังเห็นไอศูรย์เดินสั่งงานกับพยาบาลอยู่ข้างหลังไกลๆ บุปผาหงุดหงิด
“ถ้าไม่ได้มาเยี่ยมไอ้สินที่โรงพยาบาลนี่ ฉันก็แทบจะไม่มีโอกาสได้พบหมอไอศูรย์เลยสิ”
บุปผาหมกมุ่นอยู่กับความคิดตัวเองจนไม่ทันเห็นมุกที่ออกมาช้อปปิ้ง แล้วผ่านมาเห็นบุปผาเข้ามาพอดี
“เอ้ย..นั่นมันนังบุปผานี่” มุกวิ่งเข้ามาหาบุปผาทันที “นังบุปผา ฉันเกือบจำแกไม่ได้เลย”
บุปผาตกใจที่เห็นมุก รีบเหลียวกลับไปมองที่โรงพยาบาล แต่ยังเห็นไอศูรย์ยืนคุยงานอยู่กับพยาบาลไม่ไกลนัก
“คุณจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ”
บุปผาพยายามเดินหนี แต่มุกก็เดินตามไม่ลดละ
“แน๊ๆ ฉันจำแกไม่มีวันผิดหรอกนังบุปผา ถึงแกจะไม่ได้แต่งหน้าทาปาก แต่งตัวยั่วผู้ชายเหมือนอย่างเคย แต่ฉันก็จำแกได้ แล้วแกมาทำอะไรอยู่แถวนี้”
มุกมองสำรวจบุปผาทั้งตัว
“แล้วทำไมถึงแต่งตัวอย่างนี้ล่ะ เอ๊ะ นี่แกกำลังจะชุบตัว ใหม่ ไม่ให้ใครรู้ว่าแกเคยเป็นผู้หญิงขายตัวมาก่อนใช่ไม๊”
บุปผาหน้าเสีย กลัวไอศูรย์ได้ยิน รีบจุ๊ปากใส่มุกทันที แต่มุกกลับยิ่งได้ใจ ตะโกนเสียงดัง ชี้ชวนให้ผู้คนหันมาดูบุปผา หวังจะแกล้งให้บุปผาหน้าแตก
“เจ้าข้าเอ๊ย ! รู้กันไว้เสียนะว่า...นังนี่มันชื่อบุปผา มันเคยขายตัวอยู่ที่หอโคมแดงมาก่อน”
ผู้คนแถวนั้นเริ่มหันมามองกันอย่างสนใจ รวมทั้งไอศูรย์ด้วย บุปผาโกรธมุกสุดๆ จิกหัวมุกลากออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ไอศูรย์จะได้รู้ความลับของเธอ แล้วพอไอศูรย์เดินออกมาดูว่าเสียงเอะอะ อะไร ก็ไม่เห็นใครตรงนั้นเสียแล้ว
บุปผาจิกหัวมุกลากเข้ามาอย่างไม่ปรานีปราศรัย มุกได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ
“อีบุปผา มึงจิกหัวกูทำไม กูเจ็บนะ”
“เจ็บสิดี จะได้จำว่าทีหลังอย่าปากมากเรื่องของฉัน”
มุกเริ่มดิ้นสู้ พยายามจะจิกข่วนบุปผา บุปผาโมโหจับหัวมุกกดลงในน้ำ มุกถูกจับกดลงในน้ำจนมิดทั้งหัว ตะเกียกตะกายสุดฤทธิ์ พอบุปผาเห็นมุกจะขาดใจก็จิกหัวมุกยกขึ้นมาใหม่
“ทีนี้..จะจำได้รึยังว่าเราไม่เคยรู้จักกัน”
บุปผาจับหัวมุกกดลงในน้ำอีกพัก ก็ยกขึ้นมาพูดกรอกหูใหม่
“ไม่เคยมีผู้หญิงชื่อบุปผาอยู่ที่หอโคมแดงมาก่อน”
บุปผาจับหัวมุกกดน้ำอีก แล้วยกขึ้นมาใหม่อีกรอบ มุกหายใจพะงาบๆ เหมือนจะขาดใจ
“แล้วถ้าพี่ยังจะพยายามบอกคนอื่นว่าฉันเป็นใครอย่างเมื่อกี้นี้อีก ฉันรับรองว่าพี่จะไม่โดนเท่านี้แน่ ไม่เชื่อก็ลองดู”
บุปผาปล่อยมือจากหัวมุกที่จิกไว้ ร่างมุกทรุดฮวบลงนอนอย่างไร้เรี่ยวแรงต่อสู้ใดๆ บุปผามองอย่างสะใจแล้วเดินออกไป มุกนอนแผ่หลาอย่างหมดสภาพ หายใจรวยรินอยู่ตรงนั้น
ด้านผกากำลังนั่งทำบัญชีอยู่ สาวอื่นนั่งแต่งตัวเตรียมรอรับแขก
“พี่มุกไปซื้อของห้างไหนนะ ทำไมป่านนี้ยังไม่กลับเลย” สิริเอ่ยขึ้น
พิกุลพูดอย่างซื่อๆ ตามเคย “ถึงจะรีบกลับเร็ว พี่มุกก็ไม่มีแขกขึ้นห้องกับมันสักหน่อย”
ขาดคำมุกก็เดินเข้ามาท่าทางหมดสภาพไร้เรี่ยวแรง ผกาหันไปเห็นก็ตกใจ
“มุก”
ทุกคนหันไปมองตามเสียงร้องของผกา แล้วก็ตกใจไม่แพ้กัน ต่างรีบวิ่งเข้าไปดูอาการของมุกกันทันที
ผกานัดเจอบุปผาที่สวนสาธารณะเดิม ผกามีสีหน้าเคร่งเครียดมาก
“แม่ว่าบุปผาทำกับนังมุกเกินไปหน่อยนะ”
“มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ มันอยากปากมากทำไมล่ะ ดีนะที่หมอไอศูรย์เขาไม่ทันได้ยินน่ะ นี่ถ้าพี่มุกทำความลับฉันแตกละก็ ฉันจะไม่แค่จับมันกดน้ำเท่านั้นหรอกนะแม่แต่ฉัน...”
“จะฆ่ามันรึไง”
ผกาขัดคออย่างเหลืออด
บุปผานิ่งไป แล้วเปลี่ยนอารมณ์เป็นอ้อนประจบ
“มันก็ไม่ถึงกับอย่างนั้นหรอกจ้ะแม่ ฉันจะฆ่าใครได้ เพียงแต่ฉันไม่อยากให้มันเกิดเหตุอะไรที่จะทำให้ฉันต้องฝันสลายน่ะแม่ แม่เข้าใจฉันใช่ไม๊ เพราะแม่เองก็คงไม่อยากอยู่ที่หอโคมแดงไปตลอดชีวิตเหมือนกันละ”
ผกานิ่งไปอย่างยอมรับ “แล้วเรื่องยาของตาเถาล่ะ”
“ฉันจะต้องกลับไปเอายาที่บ้านตาเถาใหม่ แต่ถึงวันนั้นนังคุณหญิงกับนังคุณหนูมันก็ขึ้นไปเชียงใหม่แล้ว ต้องรอมันกลับลงมาจากเชียงใหม่เสียก่อน ถึงจะเริ่มให้ยา นังคุณหญิงได้”
“เขาจะไปเที่ยวกันเหรอ”
บุปผาส่ายหน้า “ไปหาแม่หมออะไรก็ไม่รู้ ไปผูกดวงดูฤกษ์หมั้นกัน หมอไอศูรย์ก็ไปด้วย”
ขณะพูดบุปผาสีหน้าริษยาอย่างแรง สองคนก็ไม่รู้ตัวว่ามีใครคนหนึ่งกำลังแอบมองทั้งสองอยู่อย่างสนใจ ที่แท้เป็นนายแสงนั่นเอง
แสงมองบุปผาคุยกับผกาท่าทางสนิทสนมก็นึกสงสัย
“ใครวะ..หน้าคุ้นๆ แต่เอ๊..ก็ไหนนังบุปผามันว่าไม่มีญาติที่ไหนนอกจากพี่สินนี่หว่า”
แสงแอบมองบุปผากับผกาต่อไป บุปผาลาผกาแล้ว
“ฉันกลับแล้วนะแม่ เดี๋ยวคนในบ้านจะสงสัยเอาว่าทำไมฉันออกมาเยี่ยมไอ้สินที่โรงพยาบาลนานนัก”
แสงเห็นบุปผากับผกาเดินแยกจากไปกันคนละทาง แสงมีสีหน้าครุ่นคิด ตัดสินใจว่าจะต้องรู้ให้ได้ว่าผู้หญิงที่บุปผาออกมานัดพบนี้คือใคร แสงแอบตามผกาไปโดยที่ผกาไม่รู้ตัว
ผกาเดินกลับมาถึงหอโคมแดงโดยที่ไม่รู้ตัวว่าแสงแอบตามมา พอแสงเห็นว่าผกาเดินมาที่ไหนก็ตาโต
“เฮ้ย นี่มัน”
เดือนก็เปิดประตูออกมารับผกา พอแสงเห็นหน้าเดือนก็ยิ่งตะลึงไปใหญ่
ตกตอนค่ำบุปผาเพิ่งอาบน้ำเสร็จจะเดินกลับห้อง แสงพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือบุปผาแล้วบิดอย่างแรง
“อะไรกันเนี่ยพี่แสง”
“ฉันรู้ความจริงหมดแล้วว่าแกเป็นใคร มาจากไหน ! ตอนเห็นหน้าแกทีแรก..ตอนที่พี่สินพาแกเข้ามาอยู่ที่นี่ ฉันก็ว่าแกหน้าคุ้นๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าแกเป็นใคร แกไม่ใช่น้องพี่สินหรอก แต่แกเคยอยู่หอโคมแดงมาก่อน”
บุปผาตะลึง แต่รีบกลบเกลื่อน “พี่แสงพูดอะไร ฉันไม่เข้าใจ”
“ไม่ต้องมาทำไขสือเลย วันนี้ฉันเจอแกไปนัดพบกับนังแม่เล้าหอโคมแดงมา แกมัน..อีผู้หญิงหยำฉ่า”
บุปผาตกใจมากที่แสงรู้ความจริง กลัวความแตก พยายามคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว แล้วโดยที่แสงไม่ทันคาดคิด บุปผาก็ข่วนหน้าแสงเต็มแรง เพื่อจะยั่วให้แสงโกรธ แสงร้องโอ๊ย แล้ตบบุปผาผลัวะ ด้วยความโกรธ บุปผาก็รู้ว่ายั่วให้แสงโกรธขึ้นก็เอาอีก บุปผาเดินเข้าไปถ่มน้ำลายใส่หน้าแสงอย่าท้าทาย แสงขาดสติทันที
“มึง”
แสงพุ่งเข้าตบตีบุปผาอย่างขาดสติ คราวนี้บุปผาแกล้งไม่สู้ แต่ทำล้มลงกับพื้นยอมให้แสงตบตี แต่ร้องเสียงลั่น
“พี่แสงอย่าทำฉัน ! ฉันยอมแล้ว..ฉันยอมแล้ว”
แสงชะงัก มองหน้าบุปผาอย่างงงๆ ว่าทำไมบุปผาถึงได้ร้องออกมาอย่างนั้น แล้วในจังหวะที่แสงชะงัก เงื้อมือที่ตบบุปผาค้างอยู่นั้น คนอื่นๆ ก็วิ่งเข้ามา พอบุปผาเห็นคนเริ่มวิ่งเข้ามาก็แกล้งทำเป็นสลบไปเลย แสงยิ่งงงหนัก ใช้สองมือเขย่าคอบุปผาเรียก
“อีบุปผา”
แต่บุปผาก็หลับตานิ่งอยู่ แล้วแสงก็รู้ทันทีว่าตัวเองติดกับดักบุปผาแล้ว และได้ยินเสียง
นายพลเทพตวาดเสียงดังว่า
“หยุดนะไอ้แสง แกเป็นบ้าอะไรถึงได้ทำร้ายบุปผาอย่างนั้นน่ะ” ท่าทีของท่านนายพลเหมือนพ่อที่ปกป้องลูก
มัทนาวิ่งเข้าไปดูอาการบุปผาอย่างเป็นห่วงทันที แสงสีหน้าเจ็บใจมาก เมื่อตระหนักว่าเขาได้เสียรู้บุปผาซะแล้ว
บุปผาค่อยๆ ลืมตาขึ้นเหมือนคนเพิ่งได้สติ แลเห็นว่ามัทนากำลังก้มหน้าลงมองดูเธออยู่ด้วยแววตาเป็นห่วงเป็นอย่างยิ่ง หน้าตาบุปผามีร่องรอยช้ำแตกช้ำอยู่เต็ม พอมัทนาเห็นบุปผาฟื้นแล้วก็ยิ้มดีใจ
“บุปผา เป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
บุปผาขยับตัวลุกขึ้น เห็นทุกคนอยู่กับพร้อมหน้า โดยมีนายพลเทพกับคุณหญิงมณีนั่งเป็นประธานอยู่ แล้วพอบุปผาหันไปเห็นแสง บุปผาก็รีบซุกหน้ากับมัทนาทันที
“คุณหนูขา..คุณหนูช่วยบุปผาด้วย..พี่แสง...” ทำเหมือนสะเทิอนใจไม่อยากพูด
“แสงมันทำอะไรแก พูดออกมาสิ” สร้อยคาดคั้น
“พี่แสงจะปล้ำบุปผา แต่บุปผาไม่ยอม พี่แสงก็เลย...” บุปผาร้องไห้โฮออกมา มัทนาปลอบ
“ไม่จริง ฉันไม่ได้จะปล้ำแกสักหน่อย ท่านขอรับ...คุณหญิงขอรับ อย่าไปเชื่อคำพูดนังนี่มัน มันเป็นพวกผู้หญิงหยำฉ่า”
บุปผาร้องไห้เสียงดังขึ้นไปอีก “ทำไมพี่แสงต้องใส่ร้ายบุปผาด้วย” พร้อมกับซุกหน้าร้องไห้กับมัทนา “คุณหนูขา..ถามใครดูก็ได้ค่ะ พี่แสงน่ะพยายามจะปล้ำบุปผาหลายครั้งแล้วค่ะ แต่พี่สินมาช่วยไว้ได้ทันทุกครั้ง นี่พี่สินไม่อยู่ พี่แสงก็เลย...”
มัทนามองหน้าพ่อแม่เป็นเชิงถามจะเอาไงดี
“ว่าไงทับทิม” มณีถาม
“จริงค่ะคุณหญิง ตั้งแต่นังบุปผามันเข้ามาอยู่ที่นี่ ไอ้แสงมันก็ตามตอแยนังบุปผาหลายครั้งแล้ว จนเคยชกต่อยกับไอ้สินมาแล้วค่ะ”
ไสว สวิง พยักหน้าสนับสนุนว่าจริง แสงพูดไม่ออก สร้อยก็พูดไม่ออก เพราะมันดันเป็นเรื่องจริง
นายพลเทพโกรธจัด ประกาศก้อง
“ไอ้แสง ฉันไม่นึกเลยว่าแกจะเลวจนกล้าคิดทำเรื่องระยำตำบอนอย่างนี้ในบ้านฉัน คนพรรค์นี้เห็นทีจะเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว”
สร้อยตะลึง “ท่าน”
นายพลเทพไม่สนใจ “เก็บของแล้วออกจากบ้านฉันไปเลยนะ”
สร้อยหันไปมองหน้าคุณหญิงมณีเป็นเชิงขอร้องให้ช่วยลูกชายเธอด้วย แต่คุณหญิงมณีก็พูดอะไรไม่ออก สร้อยจึงได้แต่มองหน้าบุปผาที่แสร้งร้องไห้อยู่ด้วยความเจ็บใจอย่างที่สุด
แสงกำลังเก็บข้าวของอยู่ด้วยความเจ็บใจ สร้อยเองก็เจ็บใจพอกัน
“เสียรู้มันจนได้ ! นังนี่มันงูพิษชัดๆ”
“ทำไมแกถึงว่า-ว่านังบุปผามันเป็นผู้หญิงหยำฉ่าล่ะ”
“ก็วันนี้ฉันพบมันอยู่กับแม่เล้าจากหอโคมแดงน่ะสิ ทีแรกฉันก็นึกไม่ออกหรอกว่ามันนัดเจอกับใคร ฉันเลยแอบตามนังแม่เล้านั่นไปจนถึงหอโคมแดง ฉันก็เลยเดาได้ว่านังบุปผามันต้องเคยเป็นผู้หญิงขายตัวที่นั่นมาก่อน”
“แกเดาเอาเหรอเนี่ย โธ่เอ๊ย ! ฉันก็นึกว่าแกเคยขึ้นห้องกับมันมาก่อน”
“ไม่เคยหรอก แต่ฉันมานึกได้ว่าดาวเด่นประจำหอโคมแดงน่ะชื่อบุปผา แต่มันเลือกรับแต่แขกรวยๆ ฉันก็เลยไม่เคยได้ขึ้นห้องกับมัน แม้แต่หน้ามันก็ไม่เคยได้เห็น”
“เวร! หลักฐานอะไรก็ไม่มีสักอย่าง แล้วใครจะเชื่อคำพูดแกได้วะไอ้แสง หนำซ้ำ..คนอื่นยังเป็นพยานให้มันอีกด้วยว่าแกเคยจะปล้ำมันตั้งหลายครั้ง”
“แล้วแม่เชื่อฉันไม๊ล่ะ”
สร้อยชักลังเล “ไม่รู้สิ.. แต่ไอ้สินมันคงไม่กล้าโกหกท่านกับคุณหญิงหรอกมั้ง ถ้าไม่ใช่น้องสาวจริงๆ น่ะ”
แสงผิดหวังอย่างรุนแรง “ขนาดแม่ยังไม่เชื่อฉัน แล้วใครหน้าไหนมันจะเชื่อล่ะ แต่คอยดูเถ๊อะ ! สักวัน..ฉันจะฉีกหน้ากาก นังตัวแสบนี่ให้ทุกคนได้เห็นว่าตัวจริงมันเป็นใคร”
สีหน้าแสงยามนี้อาฆาตมาดร้ายบุปผาเต็มที่
ฝ่ายคุณหญิงมณีกำลังต่อว่านายพลเทพอยู่
“คุณทำรุนแรงเกินไปรึเปล่าคะ แค่เด็กๆ มันมีเรื่องทะเลาะกัน ถึงกับต้องไล่ออกจากบ้านเชียวรึคะ”
“คุณก็รู้ว่า..ผมทนผู้ชายที่ทำร้ายผู้หญิงไม่ได้”
มณีชักหึงเลยพาลพาโล “โดยเฉพาะทำร้ายแม่บุปผานี่ด้วยรึเปล่า”
เทพขมวดคิ้วไม่พอใจทันที “เอ๊..คุณนี่ถามแปลก คุณก็เห็นอยู่กับตาว่าบุปผาถูกไอ้แสงมันตบตีจนหน้าตาแตกขนาดนั้น ผมเป็นประมุขของบ้าน ถ้าไม่ตัดสินอะไรให้เด็ดขาดลงไป ผมก็คงเป็นประมุขของบ้านไม่ได้”
“แต่ดูคุณจะปกป้องแม่บุปผานี่มากเกินหน้าเกินตาไปหน่อยแล้วนะคะ” มณีย้อน
“อย่าหึงผมไปหน่อยเลยน่าคุณหญิง ผมเห็นเด็กบุปผานั่น..ไม่ต่างอะไรไปจากลูกเราเลย”
คุณหญิงมณีปรี๊ดทันที พูดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างลืมตัว
“ไม่ได้นะคะ! คุณจะเห็นใครเป็นลูกเหมือนยายมัทไม่ได้! เราสองคนมีลูกแค่คนเดียวเท่านั้น” ตอนสุดท้ายคุณหญิงมณีพูดเกือบจะเป็นตะโกน “เท่านั้น”
เทพตกใจ “คุณหญิง คุณหญิงเป็นอะไรน่ะ ผมก็แค่พูดเปรียบเทียบเฉยๆ เพราะผมเห็นบุปผามันอายุไล่เลี่ยกับลูกมัท..ก็เท่านั้นเอง”
มณีพยายามสงบสติ “ค่ะ แต่จำไว้นะคะ คุณมีลูกแค่คนเดียว อย่ายกคนอื่นขึ้นเทียมลูกเราเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้น..คุณกับฉัน..เป็นได้เห็นดีกัน”
พูดจบคุณหญิงมณีก็เดินปึงปังออกไป นายพลเทพเริ่มกังวล นี่ถ้าคุณหญิงมณีรู้ว่า ตนอาจจะมีลูกซุกซ่อนไว้อีกคน ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในอนาคต
ท่านนายพลมีสีหน้าไม่สบายใจอย่างหนัก
คืนเดียวกันนั้นมุกกำลังเล่าเรื่องบุปผาให้กำพลฟังอยู่ ด้วยสีหน้าเจ็บแค้นใจสุดขีด
“ที่มุกป่วยอยู่นี่..ก็เป็นฝีมือของนังบุปผามันล่ะค่ะคุณกำพล มันทำกับมุกเจ็บแสบนัก”
“ตกลงบุปผาก็ยังอยู่ในกรุงเทพฯนี่”
“อยู่ค่ะ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก เหมือนเป็นคนละคนเลยทีเดียว”
“ยังไง”
“มันแต่งตัวเรียบร้อยมากจนมุกเกือบจำมันไม่ได้ แต่งตัวเหมือนเป็นคนใช้บ้านใครเค้าอย่างนั้นแหละ”
“แล้วไปพบบุปผาเขาที่ไหน”
“แถวโรงพยาบาล...ค่ะ แต่คนอย่างนังบุปผามันไม่มีวันเลิกขายตัวแล้วไปเป็นแม่บ้านหรอกค่ะคุณกำพล ถ้ามันจะทำอย่างนั้น มันก็ต้องมีเหตุผลอื่นที่สำคัญเสียจนมันต้องยอมทำ”
กำพลครุ่นคิด “ฉันจะลองไปตามหาบุปผาที่โรงพยาบาลนั่นดู บางทีอาจจะมีคนรู้จักบุปผาบ้างก็ได้”
มุกแบมือขอเงิน “แล้วเงินรางวัลหมื่นนึงของมุกละคะ”
“ตราบใดที่ฉันยังไม่ได้พบตัวบุปผา เธอก็ยังไม่มีวันได้เห็นเงินหมื่นนึงนั่นหรอก” พูดจบกำพลก็เดินหนีไป
มุกแอบทำหน้า “ชิ” ใส่อย่างอารมณ์เสียไล่หลังกำพลไป
ขณะเดียวกันคุณหญิงมณีส่งซองเงินจำนวนหนึ่งให้สร้อย
“เอ้า..ฉันให้ทุนไอ้แสงก้อนนึง..เอาไว้ใช้จนกว่าจะหางานใหม่ได้ หรือจะลงทุนทำกิจการอะไร..ก็ตามแต่ใจมันก็แล้วกันนะสร้อย”
สร้อยยกมือไหว้คุณหญิงมณีแล้วรับเงินมา ซาบซึ้งน้ำใจคุณหญิงมณีจนน้ำตาร่วง“ขอบพระคุณคุณหญิงมากค่ะ พระคุณนี้..อีสร้อยจะไม่มีวันลืมเลย” สร้อยบ่นออกมา “ไอ้แสงมันพลาดเอง ที่ไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมคน”
“แล้วคนของแกได้เรื่องอะไรมาบ้างรึยัง”
สร้อยรีบเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครจึงรายงานคุณหญิงมณี
“ไอ้พุ่มมันบอกว่า..ท่านนายพลใช้ลูกน้องให้ออกตามหาผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ค่ะ”
มณีเนื้อเต้นสนใจเต็มที่ “ใคร แล้วหาทำไม”
“ยังไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นชื่อ...ผกา”
“สร้อย จะต้องเสียเงินอีกเท่าไหร่ฉันก็ไม่ว่า แต่ฉันจะต้องรู้ให้ได้ว่านังผกานี่มันเป็นใคร และท่านนายพลตามหามันทำไม”
ฟากผกากำลังนั่งมองดูเงาตัวเองในกระจกโต๊ะเครื่องแป้ง เพ็ญเดินเอาน้ำเข้ามาให้
“คุณผกายังสวยอยู่หรอกค่ะ”
“ไม่หรอก ฉันแก่แล้วเพ็ญ ที่เห็นสวยอยู่นี่ก็เพราะเครื่อง สำอางทั้งนั้นละ ปีนี้ฉันแก่ลงไปมากแล้วนะเพ็ญ ไม่ใช่สาวๆอีกต่อไป บางที..มันคงถึงเวลาแล้วกระมังที่ฉันควรจะเดินออกจากเส้นทางสายโลกีย์นี่เสียที”
เพ็ญตาโต ตกใจ “คุณผกาจะเลิกกิจการรึคะ”
“ใช่ แต่คงยังไม่เร็วๆ นี้หรอก แต่จะเมื่อไหร่นั้น..คงต้องขึ้นอยู่กับนังบุปผามันละ” ผกาเยื้อนยิ้มกับตัวเอง “ฉันคิดไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เก็บเด็กคนนี้มาเลี้ยง ก็เห็นจะได้ฝากผีฝากไข้กับมันนี่แหละนะเพ็ญนะ”
พูดจบผกาก็ยิ้มด้วยสีหน้าเปี่ยมความหวังว่าบุปผาจะพาเธอไปสู่ชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ในวันหนึ่งข้างหน้า และอีกไม่นานนี้เอง
วันต่อมา บุปผาชูขวดแก้วเล็กๆ ที่บรรจุยาของตาเถาขึ้นดูด้วยสีหน้าพอใจ
“จำไว้นะ แต่ 2 หยดก็พอแล้ว” ตาเถากำชับ
“จำได้จ้ะ”
บุปผาเอาขวดยาเก็บแล้วลุกเดินออกไป ตาถิ่นขยับจะเดินไปส่ง แต่ตาเถาคว้ามือไว้ ไม่อยากให้ตาถิ่นยุ่งเกี่ยวกับบุปผามากนัก ตาถิ่นจึงจำต้องนั่งลง
ขณะที่บุปผาเดินลงมาจากเรือนตาเถา แล้วชะงัก เมื่อเห็นสร้อยเดินตรงมาที่บ้านตาเถาเช่นกัน
บุปผาทั้งตกใจ สงสัย และอยากรู้มาก จึงตัดสินใจหาที่ซ่อน แล้วมองดูจนเห็นสร้อยเข้าบ้านตาเถาไป บุปผาตัดสินใจย่องตามไปแอบดู
บุปผามาแอบชะโงกดูว่าสร้อยมาหาตาเถาทำไม ไม่นานนักบุปผาเห็นสร้อยส่งเงินจำนวนมากให้ตาเถา และเห็นตาเถาส่งยาบางอย่างให้ สร้อยรับยามาเก็บแล้วขยับตัวจะลุกกลับ บุปผาเห็นอย่างนั้นก็รีบวิ่งกลับไปอย่างว่องไว
สร้อยเพิ่งกลับมาจากนอกบ้าน เดินเข้ามา บุปผาโผล่หน้ามาดู รออยู่ก่อนแล้ว พอเห็นสร้อยจะเดินขึ้นตึกใหญ่ไป บุปผาก็ตามไปทันที
บุปผาแอบตามสร้อยขึ้นมาบนตึก โดยที่สร้อยไม่รู้ตัว สร้อยไปพบคุณหญิงมณีตรงมุมลับตา
“ได้ยามาเรียบร้อยไม๊”
“เรียบร้อยค่ะ” สร้อยส่งยาให้คุณหญิงมณี “แต่ไอ้เถามันงก มันจะขึ้นค่ายาอีกแล้วค่ะคุณหญิง”
มณีหน้าเครียดขึ้นมาทันที พูดด้วยท่าทีรำคาญใจ
“มันเรียกเท่าไหร่ก็จ่ายให้มันไป”
“แต่สร้อยว่านี่มันก็เรียกเกินราคามาไม่รู้เท่าไหร่แล้วนะคะคุณหญิง มันคงย่ามใจว่าเราต้องอาศัยยาของมันไปตลอด”
“ก็ใช่อย่างที่มันคิดจริงๆนั่นแหละสร้อย” มณีชูยาขึ้นมองดู
นั่นทำให้บุปผาเห็นยาในมือคุณหญิงมณีถนัดตา
“ก็เพราะยาของตาเถานี่แหละ ที่ทำให้ท่านนายพลไปมีลูกกับผู้หญิงหน้าไหนไม่ได้อีกมาจนทุกวันนี้”
บุปผามีสีหน้าตื่นตกใจ
“คุณหญิงวางยาท่านนายพลให้เป็นหมันเหรอเนี่ย”
แต่แล้วบุปผาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อมีเสียงของมัทนาร้องทักมาจากข้างหลัง
“บุปผามาทำอะไรอยู่ตรงนี้จ๊ะ”
คุณหญิงมณีกับสร้อยได้ยิน เหลียวขวับไปมองทันที แลเห็นมัทนากำลังยืนอยู่กับบุปผา
โดยที่บุปผานั้นยืนอึ้ง เป็นใบ้ ทำอะไรไม่ถูกไปทันที
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวน ตอนที่ 5 (ต่อ)
มัทนาตกใจหน้าตาเลิ่กลั่ก คุณหญิงมณีปราดเข้ามาตรงที่บุปผายืนอยู่ทันที สร้อยตามมาติดๆ ทั้งสองมีสีหน้ากังวลจัด กลัวว่าบุปผาจะเห็นว่าทำอะไรกัน
“บุปผา! แกมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เอ้อ...บุปผาเพิ่งมาค่ะ”
สร้อยจ้องหน้าถามคาดคั้น “แล้วมาทำไม”
“เอ้อ...” บุปผาตั้งสติคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว “บุปผาคิดว่าจะมาปรึกษาเรื่องพี่สินค่ะ”
“ปรึกษาว่ายังไง” มณีถาม
“คือ...หมอไอศูรย์จะให้พี่สินออกจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านได้แล้ว แต่ต้องดูแลมากอยู่ บุปผาก็เลยจะมาถามคุณหญิงว่า...จะเอายังไงกับพี่สินดี..น่ะค่ะ”
มณีถอนใจโล่งอก “หมอให้กลับ ก็เอากลับมาดูแลกันที่บ้านนี่แหละ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันจะดูแลนายสินต่อไป เรื่องที่จะมาบอกมีเท่านี้ใช่ไม๊”
“ค่ะ”
“งั้นก็กลับไปได้แล้ว”
บุปผาก้มหน้า แล้วคลานออกไปอย่างเรียบร้อย คุณหญิงมณีกับสร้อยมองตาม มัทนาตัดสินใจตามบุปผาไป พอทั้งสองลับตัวไป คุณหญิงมณีก็หันมาถามสร้อยอย่างเป็นกังวล
“นังสร้อย แกคิดว่านังบุปผามันจะได้ยินเรื่องที่เราพูดไม๊”
“ถ้ามันเพิ่งมาจริงๆ มันก็ไม่น่าจะได้ยินนะคะ” สร้อยว่า
“ขออย่าให้มันได้ยินเล้ย”
คุณหญิงมณีมีสีหน้ากังวลเอามากๆ
บุปผาเดินถอนใจอย่างโล่งใจมาตามทางจะไปยังเรือนที่พัก มัทนาวิ่งตามมา
“บุปผา...เดี๋ยวจ้ะ”
บุปผาหันไป เห็นมัทนาวิ่งเข้ามาคว้าข้อมือบุปผาไว้
“บุปผา ฉันเห็นใจเธอเรื่องนายสินจริงๆ แต่ฉันรับรองได้ว่าเรา คือฉัน คุณพ่อ แล้วก็คุณแม่ ไม่มีทางทิ้งนายสินแน่ ขอให้เธอสบายใจเถอะนะ”
“ค่ะ คุณหนู”
มัทนาสาวน้อยผู้แสนดีงาม คิดอะไรบางอย่าง แล้วตัดสินใจถอดสร้อยคอที่ใส่อยู่ส่งให้บุปผา บุปผารับมาอย่างแปลกใจ
“ฉันอนุญาตให้เธอเอาไปขายได้ เผื่อว่าเธออยากจะใช้จ่ายอะไรเพื่อนายสิน เธอจะได้ไม่ต้องรอเงินเดือนจากคุณแม่ตอนสิ้นเดือนไงจ๊ะ”
บุปผาจำใจไหว้มัทนาด้วยท่าทีตื้นตันใจ “ขอบคุณค่ะคุณหนู คุณหนูเมตตาบุปผาจริงๆ เลย ถ้ามีโอกาสบุปผาจะไปบอกพี่สินด้วยนะคะว่าคุณหนูช่วยเหลือเราสองพี่น้องขนาดไหน”
มัทนายิ้มให้บุปผาอย่างอ่อนโยน แล้วค่อยเดินกลับขึ้นเรือนไป บุปผามองตามแล้วเบ้ปากใส่
“ชิ! เรื่องอะไรจะเอาไปขายซื้อของให้ไอ้สินมันล่ะ ให้ฉัน มันก็ต้องเป็นของฉันสิ” แล้วบุปผาก็หวนกลับไปคิดเรื่องที่ได้ยินมาอีกครั้งรำพึงออกมา “ท่านนายพล”
บุปผาเป็นห่วงนายพลเทพอย่างประหลาด
เวลาเดียวกัน นายพลเทพมีสีหน้าตื่นเต้นมากเมื่อได้ยินเรื่องที่ดำเกิงเอามารายงาน
“พบตัวแม่ผกาแล้ว”
“ขอรับ”
“ที่ไหน พาฉันไปพบตัวเดี๋ยวนี้เลย”
“จะดีรึขอรับท่าน คือว่าแม่ผกาคนนี้...เป็นแม่เล้านะขอรับ ที่ที่เธออยู่ก็คือ…”
“ฉันรู้แล้วน่า แต่ฉันต้องการพบแม่ผกาคนนี้โดยเร็วที่สุด ดำเกิง...พาฉันไปเดี๋ยวนี้”
แม้จะไม่เห็นด้วย แต่ดำเกิงจำต้องยอมพยักหน้ารับคำ
ดำเกิงเดินนำนายพลเทพมาที่หน้ากรมทหารเพื่อไปหาผกา โดยไม่รู้ว่าในอีกมุมหนึ่งเห็นพุ่มแอบซุ่มดูอยู่ พอพุ่มเห็นนายพลเทพเดินมา พุ่มก็รีบสะกดรอยตาม แต่แล้วก็มีคนเดินตัดหน้าจนชนเข้ากับพุ่มอย่างจัง ชายคนนั้นล้มกลิ้งลงไป พุ่มหันมามอง โดยไม่คิดช่วย เพราะจะตามนายพลเทพ ชายคนนั้นโวยวายเสียงดัง
“เฮ้ย! ชนคนจนล้ม ไม่คิดจะขอโทษกันบ้างเลยเรอะ !
ผู้คนแถวนั้นเริ่มหันมามอง พุ่มเลยจำใจต้องวิ่งกลับมาประคอง ชายคนดังกล่าวให้ลุกขึ้น
“ขอโทษ..ขอโทษ…”
พุ่มพยายามชะเง้อมองตามนายพลเทพไป พอ ชายคนนั้นลุกขึ้นได้เรียบร้อยแล้ว พุ่มก็รีบวิ่งตามนายพลเทพไปกวาดตามองหา
แต่ไม่เห็นนายพลเทพกับดำเกิงเสียแล้ว พุ่มเจ็บใจที่คลาดกันไปจนได้
ไม่นานต่อมา คุณหญิงมณีอารมณ์เสียมาก เมื่อรู้เรื่อง
“ไหนว่าคนของแกเป็นมือดีไงล่ะนังสร้อย ทำไมทำงานแค่นี้ก็พลาด”
สร้อยหน้าเสีย
“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่าท่านนายพลกำลังตามหาผู้หญิงที่ชื่อ ผกา ทำไม”
คุณหญิงมณีสีหน้าอารมณ์เสียสุดขีด สร้อยหน้าจ๋อยสนิท
ส่วนดำเกิงเดินนำนายพลเทพมาตรงหน้าซ่องแห่งหนึ่ง
“มาตอนกลางวันอย่างนี้ คนค่อยน้อยหน่อยขอรับท่าน...จะได้ไม่มีใครเห็นว่าท่านมา”
“แม่ผกาอยู่ที่นี่รึ”
“ขอรับ”
ดำเกิงก็เดินนำนายพลเทพไปที่ประตู แล้วกดกระดิ่งเบาๆ สักครู่ก็มีคนมาเปิด ดำเกิงพูดอะไรบางอย่างกับคนเฝ้าประตู แล้วคนเฝ้าประตูก็เปิดประตูให้ดำเกิงและนายพลเทพเข้าไป
ชายคนเฝ้าประตูเดินนำนายพลเทพและดำเกิงเข้ามาด้านใน ท่านนายพลกวาดตามองไปรอบๆ อย่างสังเวชใจ นึกในใจว่าถ้าลูกอีกคนหนึ่งของเขาอยู่ที่นี่ก็จะเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจมาก
บังเอิญอะไรเช่นนี้ จังหวะเดียวกันแสงซึ่งกำลังเดินโอบโสเภณีคนหนึ่งจะเข้าห้อง หันมาเห็นสองคน จึงชะงักด้วยความตกใจ
“ท่านนี่”
แสงหยุดยืนแอบดูเหตุการณ์ โสเภณีที่แสงโอบอยู่ดึงแขนให้เข้าห้อง
“เข้าห้องสิพี่…”
“เธอเข้าไปก่อน เดี๋ยวฉันตามไป”
โสเภณีเดินเข้าห้องไป แสงยังยืนแอบมองดูนายพลเทพต่อ แต่นายพลกับดำเกิงไม่เห็นแสง
ชายคนเฝ้าประตูชี้ไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งนั่งหันหลังอยู่ มองจากด้านหลังคล้ายผกามาก
“นั่นละครับ แม่ผกา เจ้าของที่นี่”
อารามดีใจและตื่นเต้น นายพลเทพเดินพรวดเข้าไปหาทันที
“คุณผกา”
ขณะเดียวกันสินกำลังมองบุปผาที่มาเยี่ยมด้วยแววตาหวาดกลัว
“ไอ้สิน แกรู้ไม๊ว่านังคุณหญิงของแกมันไม่ใช่คนดีหรอก มันวางยาท่านนายพลเพื่อให้เป็นหมัน ฉันจะต้องหาทางบอกท่านให้ได้” บุปผาปรายตามามองสิน “ส่วนแก...ถ้าออกจากโรงพยาบาล กลับไปอยู่บ้านเมื่อไหร่ ฉันก็คงมีโอกาสพบหมอไอศูรย์ได้ยาก”
แล้วบุปผาก็คิดอะไรขึ้นมาได้ จึงเดินไปหยิบเหยือกน้ำ แล้วเดินกลับเอาเข้ามาราดลงที่ตัวสินอย่างช้าๆ สินตาเหลือก พยายามจะขยับหนี แต่ก็หนีไม่ได้ จึงถูกราดจนตัวชุ่มไปหมด จากนั้นบุปผาก็เอาผ้าห่มห่มตัวนายสินไว้เพื่อให้นายสินตัวชื้นอยู่นานๆ นอกจากนี้บุปผายังเอาพัดลมมาพัดจ่อที่ตัวสินอีกด้วย
“ฉันทำแบบนี้ทำไมรู้ไม๊” บุปผายิ้มเหี้ยม “แกจะได้เป็นหวัดไง ถ้าเป็นปอดบวมเลยก็ยิ่งดี เพราะมันจะทำให้แกต้องอยู่ที่โรงพยาบาลนี่ต่อไปอีก แล้วฉันก็จะได้หาเหตุมาหาหมอไอศูรย์ได้ยังไงล่ะ”
บุปผาตบแก้มสินเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ
“อดทนหน่อยนะจ๊ะพี่สินจ๋า...อย่าเพิ่งใจเสาะตายไปเสียก่อนล่ะ ฉันอยากให้พี่มีชีวิตอยู่จนถึงวันที่พี่มีน้องเขยเป็นหมอชื่อไอศูรย์น่ะ”
สินพยายามส่ายหน้า อึดอัดคับแค้นใจในการการกระทำของบุปผาเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่จะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากอันตราย
ฟากอิ่มนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง เหมือนว่าอิ่มกำลังฝันเห็นอะไรบางอย่าง
อิ่มนึกถึงเหตุการณ์ในคืนที่อุ่นจะคลอดลูก
“พี่อิ่มอย่าทิ้งฉันไป ฉันเจ็บท้องเหลือเกิน โอ๊ย...”
“ทำใจดีๆไว้อุ่น...” อิ่มมองไปยังที่นอน เห็นน้ำคร่ำเดินแล้ว เลอะเต็มที่นอน
“ว๊าย...น้ำเดินแล้ว ทำไงดีล่ะเนี่ย นังอุ่น แกอย่าเพิ่งออกลูกมาตอนนี้นะ ให้ฉันไปตามหมอก่อน”
แต่อุ่นไม่ยอมปล่อยแขนอิ่ม แถมบีบแน่นจนสุดแรงจนอิ่มเจ็บไปหมด และขยับตัวไปไหนไม่ได้ แล้วอุ่นก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง
อิ่มกรีดร้องประสานกับเสียงของอุ่นในฝัน แล้วลุกพรวดขึ้น ไอศูรย์กับหมอปรีชาวิ่งเข้ามาจับตัวอิ่มไว้ อิ่มมองหน้าไอศูรย์ มีแววตางุนงง สับสนระหว่างความจริงในปัจจุบัน กับความจำจากอดีต
“หลานฉัน...อยู่ที่ไหน”
ไอศูรย์หันไปมองหน้ากับหมอปรีชาแล้วถอนใจ นึกว่าอิ่มยังอาการเลอะเลือนเหมือนเช่นเดิมอยู่ แต่อิ่มกลับมีแววตาเริ่มจำเรื่องราวในอดีตได้ แม้จะยังไม่ปะติดปะต่อกัน อิ่มเขย่าตัวไอศูรย์
“หลานฉันอยู่ที่ไหน”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะครับป้ารุ่ง” ไอศูรย์พูดดีๆ ด้วย
“ไม่ ฉันไม่ได้ชื่อ รุ่ง ฉันชื่อ...อิ่ม”
ไอศูรย์กับหมอปรีชามีสีหน้าตื่นเต้นมาก
“ป้าจำชื่อตัวเองได้แล้วหรือครับ” ไอศุรย์ถาม
อิ่มพยักหน้า
“แล้วป้าอิ่มจำอะไรได้อีกบ้างครับ”
อิ่มพยายามคิดทบทวน “อุ่น...น้องสาวฉันชื่อ อุ่น มันเพิ่งคลอดลูกออกมา...หลานฉัน” อิ่มว่า
“แล้วจำได้ไม๊ครับว่าตอนนี้คุณอุ่นอยู่ที่ไหน ถ้าป้าอิ่มนึกออก ผมจะได้ไปตามหาตัวคุณอุ่นมาให้”
อิ่มพยายามคิดอีก แต่แล้วก็ต้องกุมหัว ปวดหัวจนแทบจะระเบิด เพราะพยายามเค้นความทรงจำมากเกินไป
ปรีชารีบบอก “ถ้ายังคิดไม่ออกก็ยังไม่ต้องคิดครับป้าอิ่ม ทำใจให้สบายก่อนเถอะครับ”
หมอปรีชาประคองอิ่มนอนลง อิ่มนอนลงอย่างว่าง่าย ไอศูรย์กับหมอปรีชามองอิ่ม แล้วหันมามองหน้ากันเองอย่างมีความหวัง
หากสองหนุ่มรับรู้ก็จะเห็นว่าวิญญาณอุ่น ซึ่งยืนมองดูพี่สาวอย่างมีความหวังไปด้วยว่าถ้าอิ่มจำความได้ ก็อาจจะตามหาลูกเธอได้ด้วย
ครู่ต่อมาไอศูรย์กับหมอปรีชาเดินคุยกันมาสีหน้าดีใจ
“ท่าทางเราจะมีความหวังแล้วละต้น ป้ารุ่ง..เอ๊ย..ป้าอิ่มท่าทางจะเริ่มจำความได้บ้างแล้ว” ปรีชาว่า
“แล้วพี่หมอว่าความทรงจำของป้าอิ่มจะกลับคืนมาทั้งหมดได้ไม๊ครับ”
“ยังคาดไม่ได้ แต่เราต้องไม่คาดคั้นให้แกคิด เพราะอาจทำให้แกคิดมากจนสมองสับสน แล้วเลยแยกไม่ออกว่าอะไรคือความทรงจำที่แท้จริง กับจินตนาการ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ แล้วหมอปรีชาก็เดินแยกไป บุปผาเดินเข้ามาจากอีกทาง
ไอศูรย์เห็นพอดี “อ้าว..บุปผา มาเยี่ยมนายสินเหรอ”
“ค่ะ แล้วเลยคิดว่าจะแวะเยี่ยมป้ารุ่งด้วย”
“ต่อไปบุปผาจะเรียก ป้ารุ่ง ไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียก ป้าอิ่ม”
เห็นบุปผาทำหน้างง ไอศูรย์เลยรีบอธิบาย
“ป้ารุ่ง ของบุปผาน่ะเริ่มจำอะไรได้บ้างแล้วนะ แกจำได้แล้วว่าแกชื่อ อิ่ม แล้วนี่ถ้าโชคดีกว่านี้ แกก็อาจจะจำความทั้งหมดได้ แล้วฉันก็จะได้ตามหาญาติแกได้สักที อ้าว..บุปผาร้องไห้ทำไม”
บุปผาทำเป็นตื้นตันใจเหลือแสน “บุปผาดีใจค่ะที่ป้าอิ่มอาการดีขึ้น ถึงจะยังไม่มาก แต่
อย่างน้อยเราก็มีความหวังไม่ใช่หรือคะหมอ”
แล้วบุปผาก็สำทับด้วยการแสร้งบีบน้ำตาสีหน้าปลาบปลื้มใจ จนไอศูรย์เลยต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาส่งให้บุปผาเช็ดน้ำตา บุปผารับผ้าเช็ดหน้าของไอศูรย์มาเช็ดน้ำตาแล้วแสร้งพูดอีก
“บุปผาทำผ้าเช็ดหน้าหมอเลอะเทอะหมดแล้วค่ะ บุปผาจะเอากลับไปซักให้หมอนะคะ แล้วบุปผาจะรีบเอามาคืนให้วันหลัง”
“ช่างเถอะ บุปผาเก็บเอาไว้ใช้เลยก็ได้ อย่ากังวลไปเลย”
บุปผายิ้มตาหวานให้ไอศูรย์ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังอีกเมื่อได้ยินไอศูรย์พูดต่อ
“ฉันขอตัวก่อนนะ”
ไอศูรย์ก็เดินออกไปเลย บุปผายกมือไหว้ลาแทบไม่ทัน บุปผาเจ็บใจที่หมอไอศูรย์ก็ยังคงไม่สนใจเธออยู่ดี
ด้านกำพลเดินเข้ามาที่โรงพยาบาลตามข้อมูลของมุก กวาดตามองหาบุปผาไปทั่ว แล้วกำพลก็เลยตัดสินใจถามหาบุปผากับพยาบาลคนหนึ่ง
“เอ้อ...ขอโทษครับ ที่นี่มีแม่บ้านที่ชื่อ บุปผา ไม๊ครับ”
“แม่บ้านชื่อบุปผาเหรอคะ” พยาบาลคิดไปคิดมา “ไม่มีนี่คะ”
กำพลออกอาการเซ็งไปทันที “ฉันจะหาตัวเธอเจอได้ที่ไหนกันเนี่ย...บุปผา”
กำพลเดินสีหน้าผิดหวังออกมาจากโรงพยาบาล แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นบุปผาซึ่งกำลังจะกลับบ้าน เทพบริบาล เดินอยู่ริมถนนข้างนอกโรงพยาบาลพอดี กำพลดีใจมาก
“บุปผา”
บุปผาหันขวับไปมอง เห็นเป็นกำพลก็ตกใจมาก บุปผาตัดสินใจวิ่งหนีเอาดื้อๆ กว่ากำพลจะวิ่งตามมาถึงตรงจุดที่เห็นบุปผาเดินอยู่ หล่อนก็หายตัวไปเสียแล้ว กำพลเจ็บใจมาก
“โว๊ย เกือบจะจับตัวได้อยู่แล้วเชียว” กำพลครุ่นคิดไปมา “บุปผามาอยู่แถวนี้อย่างที่นังมุกมันบอกจริงๆ ด้วย เธอหนีฉันไม่พ้นแน่...บุปผา”
ฝ่ายบุปผาวิ่งเข้ามามุมหนึ่งของถนน แล้วหยุดยืนหอบด้วยความเหนื่อย เหลียวกลับไปมองข้างหลัง ดูจนแน่ใจแล้วว่ากำพลไม่ได้ตามมาก็ถอนใจโล่งอก
“โฮ้ย เกือบไปแล้วไม๊ล่ะ ดีนะที่คุณกำพลไม่เจอเราที่โรงพยาบาลน่ะ ไม่อย่างนั้น...ลำบากแน่”
บุปผาผ่อนลมหายใจอีกครั้ง แล้วก้มลงดูมือตัวเอง มองผ้าเช็ดหน้าที่ไอศูรย์ให้มา ซึ่งถูกกำอยู่ในมือแน่นในระหว่างที่วิ่งหนีกำพลมา
บุปผามองผ้าเช็ดหน้านั้นด้วยสีหน้ามุ่งมั่นว่าจะต้องจับผู้เป็นเจ้าของผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นให้จงได้ ในเร็ววันนี้
ที่บ้านเทพบริบาล แลเห็นมัทนากำลังอ่านหนังสืออยู่ สวิงเดินเข้ามาพร้อมกระเช้าดอกไม้ขนาดใหญ่ ที่มีกล่องของขวัญเล็กๆ ใส่มาด้วย พร้อมจดหมาย
“คุณหนูขา มีคนเอาของมาส่งให้คุณหนูค่ะ”
“ใครเหรอจ๊ะ”
สวิงส่ายหน้าไม่รู้ ส่งกระเช้าดอกไม้ให้ มัทนารับมาดู เห็นดอกไม้ก็ยิ้ม
“สงสัยพี่ต้นจะส่งมา”
มัทนายิ้มชื่น หยิบกล่องของขวัญเล็กๆ มาเปิดดู เห็นเป็นสร้อยเพชรเล็กๆ จุ๋มจิ๋มน่ารัก มัทนายิ้มอีก สีหน้าปลื้มใจ แต่พอเปิดการ์ดออกอ่าน สีหน้าก็เปลี่ยนใจ
มัทนาอ่านข้อความในการ์ด “ขอบคุณที่ไปดูละครการกุศลกับพี่นะครับ พี่เพชร”
มัทนาถอนใจกลุ้มๆ แล้วนึกได้
“สวิงจ๊ะ คนที่เอาของมาส่งให้ เขากลับไปรึยังจ๊ะ”
ขณะเดียวกันนายพลเทพนั่งมาในรถกับดำเกิง สีหน้าผิดหวังเป็นอย่างมากนึกไปถึงตอนที่ตนเดินพุ่งเข้าไปหาหญิงที่คนเปิดประตูบอกว่าชื่อผกา
แต่พอผกาหันมา เห็นว่าเธอเป็นหญิงที่แต่งตัวจัดจ้านคนหนึ่งแต่ไม่ใช่ผกาแห่งหอโคมแดง และยิ้มร่าให้นายพลเทพ
“มีอะไรให้ ผกา รับใช้หรือคะท่าน”
“เธอชื่อ ผกา ใช่ไม๊”
“จะชื่อ ผกา หรือชื่ออะไรก็ได้ ตามแต่ท่านจะอยากเรียกค่ะ”
ว่าแล้ว ผกา ก็เข้ามานัวเนียนายพลเทพอย่างเชิญชวน
“ท่านอยากจะให้ผการับใช้ท่านเอง หรือว่าจะเรียกเด็กๆของผการับใช้ท่านก็ได้นะคะ ท่านมาที่นี่ รับรองไม่ผิดหวังหรอกค่ะ”
นายพลเทพส่ายหน้า “ฉันไม่ได้มาสนุกหรอกนะ ฉันมีธุระต้องการจะคุยกับเธอคนเดียว”
“ถึงจะคุยเฉยๆ แต่ท่านก็ต้องจ่ายค่าเสียเวลาเต็มราคาเหมือนกันนะคะ”
นายพลเทพหงุดหงิดกับความเห็นแก่ได้ของผกา เลยตัดรำคาญด้วยการหยิบเงินออกมาจำนวนหนึ่งให้ผกาไป ผการับเอาเงินนั้นมานับแล้วยัดใส่ร่องอกอย่างรวดเร็ว แล้วยิ้มให้ท่านนายพลอย่างประจบประแจง
“อยากจะคุยอะไรหรือคะท่าน”
“ฉันแค่อยากจะมาถามเธอว่า...เมื่อ 18 ปีที่แล้ว เธอได้รับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งเอาไว้รึเปล่า”
“เปล่านี่คะ”
ท่านนายพล ขมวดคิ้ว แล้วเริ่มเอะใจ “เธอชื่อ ผกา แสงฉาย รึเปล่า”
ผกามีสีหน้าแปลกใจ “ผกาชื่อ ผกา คำแสง ค่ะ”
นายพลเทพหันขวับไปมองดำเกิงทันที ซึ่งดำเกิงก้มหน้าหลบตาคิดในใจ ซวยแล้ว ทำงานผิดพลาด
นายพลเทพสีหน้าผิดหวังอย่างแรง
นายพลเทพคิดแล้วยิ่งเครียด
“กระผมขอโทษขอรับท่าน ที่ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้ถูกต้องเสียก่อนที่จะไปเรียนท่าน กระผมไม่นึกว่าจะมีแม่เล้าที่ชื่อ ผกา หลายคนในกรุงเทพฯ”
“ครั้งนี้ฉันจะยกโทษให้เธอ แต่เธอต้องไปสืบหาตัว ผกา แสงฉาย ให้พบให้เร็วที่สุด ฉันจะต้องถาม แม่ผกา ให้ได้ว่าลูกฉันกับแม่อุ่นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ และเวลานี้อยู่ที่ไหน ฉันจะต้องรู้ให้ได้”
ดำเกิงรับคำเสียงอ่อยๆ “ขอรับท่าน”
นายพลเทพถอนใจเครียดๆ
ด้านแม่เล้า ผกา คำแสง ทรุดลงนั่งอย่างเซ็งๆ
“โธ่เอ๊ย นึกว่าจะได้เหยื่อผู้ดีกับเค้าสักที นัง ผกา แสงฉาย นั่น มันมีดีกว่าอี ผกา คำแสง คนนี้ตรงไหนยะ”
แล้ว ผกา ก็ต้องสะดุ้งเมื่อแสงพุ่งเข้ามาคว้าข้อมือไว้
“เจ๊ ผู้ชายคนเมื่อกี้ เขามาที่นี่ทำไมเหรอ”
“ถามทำไม”
“ฉันเคยเป็นคนขับรถให้ท่านมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นท่านเข้ามาในสถานที่อย่างนี้ เลยสงสัยน่ะสิว่าท่านมาทำไม”
“เขามาถามหาคน”
“ใคร”
ผกาไม่ยอมตอบ แต่แบมือแล้วกระดิกๆ ขอเงิน แสงทำหน้าโมโห แต่ก็ควักเงินออกมายัดใส่มือผกาอย่างไม่เต็มใจ ผกานับเงินแล้วก็เอายัดใส่ร่องอกอีก แล้วก็ยิ้มให้แสงอย่างประจบเหมือนกับที่ยิ้มให้นายพลเทพไม่มีผิด
“เขามาถามหาคนชื่อ ผกา แต่ไม่ใช่” ชี้ที่ตัวเอง “อี ผกา คนนี้ เธอจะสนใจไปทำไมรึ”
แสงไม่ตอบ ได้แต่บ่นงึมงำครุ่นคิด “ท่านนายพลจะมาหาผู้หญิงชื่อ ผกา ทำไมกัน”
“โถๆๆๆๆ อุตส่าห์เข้ามาถามหาผู้หญิงชื่อ ผกา ถึงในซ่อง ถ้าไม่ใช่อีผกาคนนี้ มันก็มีอีผกาอยู่ไม่กี่คนหรอกที่อยู่ในซ่องเหมือนๆ กันน่ะ”
แสงคิดตามที่ ผกา คำแสง พูด แล้วนึกอะไรขึ้นมาได้ ก็ตาโตขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 5 (ต่อ)
ด้าน ผกา แสงฉาย อยู่ที่หอโคมแดง กำลังนั่งคุยจุ๊กจิ๊กเบาๆ อยู่กับเพ็ญเพียง 2 คน
“เพ็ญ ถ้าเกิดฉันได้ดีมีสุขจริงๆ อย่างที่คิดไว้นะ..ฉันจะพาแกไปจากที่นี่ด้วยกัน”
เพ็ญฟังแล้วดีใจ “จริงหรือคะคุณผกา”
“จริงสิ เพ็ญอุตส่าห์ติดตามรับใช้ฉันมาตั้งแต่สมัยยังอยู่ที่นครปฐมโน่นด้วยกัน ถ้าฉันสุขสบาย ฉันจะทิ้งเพ็ญได้ยังไงล่ะ”
เหมือนมีสายตาของใครบางคน มองผกากับเพ็ญที่นั่งคุยกันอย่างอารมณ์ดี
ที่แท้เป็นมุก พิกุล เดือน และสิรี มายืนซุ่มแอบดูผกาอยู่ที่มุมไกล ด้วยสีหน้าสงสัย
“เชื่อไม๊ว่านี่..แม่ต้องกำลังพูดถึงนังบุปผาอยู่” เดือนว่า
“เชื่อ ก็แหม..คนเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด อยู่ๆ ก็หายไป แม่ก็คงคิดถึงมันมากอยู่ละ” สิรีบอก
มุกทำทีเป็นถามหยั่งเชิง “แกว่าแม่ได้ติดต่อกับบุปผาบ้างรึเปล่า”
เดือนกับสิรีนิ่งเงียบ แต่พิกุลพูดโดยไม่คิดอย่างเคย
“แน่น๊อน วันก่อนฉันยังแอบฟังแม่โทรศัพท์คุยกับนังบุปผามันด้วย เห็นนัดเจอกันด้วยละ”
“แม่นัดกับนังบุปผา” มุกตาลุกวาว
“เออสิ ถามทำไม” พิกุลแปลกใจ
มุกทำไม่รู้ไม่ชี้ “ก็ถามไปยังงั้นๆ แหละ”
แล้วมุกก็เดินแยกออกมาจากกลุ่ม
“อีบุปผา ยิ่งแกอยากจะปกปิดกำพืดดั้งเดิมของแกมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งอยากเปิดโปงแกมากขึ้นเท่านั้น เพราะแกทำกับฉันไว้แสบมาก รับรองได้เลยว่า..ฉันจะต้องเอาคืนแกให้แสบยิ่งกว่า คอยดู”
มุกแค้นฝังหุ่น อาฆาตแค้นบุปผาเป็นอย่างมาก
ส่วนบุปผาเพิ่งเดินกลับมาถึงบ้านเทพบริบาล เห็นรถนายพลเทพเพิ่งแล่นเข้าไปในบ้าน บุปผาอยากจะบอกเรื่องที่นายพลเทพถูกวางยาให้รู้ จึงรีบวิ่งตามไปที่ตึกใหญ่ทันที
ขณะที่นายพลเทพกำลังนั่งครุ่นคิดถึงเรื่องที่ไปหาผกามา ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สักครู่บุปผาก็คลานเอาน้ำเย็นเข้ามาเสิร์ฟ แต่ท่านนายพลก็ยังไม่ทันสังเกต บุปผาเลยแกล้งทำที่รองแก้วตกพื้นเสียงดังนายพลเทพจึงรู้สึกตัว
“อ้าว...บุปผา เอาอะไรเข้ามาน่ะ”
“น้ำมะตูมเย็นค่ะท่าน”
บุปผาส่งน้ำมะตูมเย็นให้นายพลเทพ ท่านนายพลรับมาดื่ม แล้วก็จะนั่งคิดอะไรต่อ แต่เห็นบุปผาไปออกไปเสียที จึงหันมาถาม
“มีอะไรรึเปล่าบุปผา”
บุปผาไหว้นายพลเทพ “บุปผาจะมากราบขอบพระคุณที่ท่านเมตตาบุปผา ไล่พี่แสงออกจากบ้านไปเพราะพี่แสงทำร้ายบุปผา นอกจากพี่สินแล้ว ก็เห็นจะมีแต่ท่านนี่ละค่ะที่เมตตาบุปผาเหลือเกิน”
“ฉันไม่ชอบให้ใครมาทำเรื่องบัดสีในบ้านนี้ เธอเอง..ก็อายุไล่เลี่ยกับยายมัท ฉันก็เห็นเธอไม่ต่างอะไรไปจากลูกหลานของฉันคนนึงเหมือนกัน”
บุปผาซาบซึ้งใจมาก แสร้งถาม “เอ้อ..แล้วทำไมท่านถึงมีลูกคนเดียวละคะ”
“คุณหญิงเธอไม่แข็งแรงน่ะ เลยมีลูกได้คนเดียว”
จังหวะนี้คุณหญิงมณีเดินผ่านมา เห็นเหมือนบุปผากำลังจะพูดอะไรบางอย่างกับนายพลเทพ
คุณหญิงมณีไม่สบายใจ รีบพุ่งเข้าไปแทรกทันที
“คุยอะไรกันอยู่คะคุณ”
ทั้งบุปผาและนายพลเทพหันมามอง เห็นคุณหญิงมณีเดินหน้านิ่งเข้ามา แต่ตาจับจ้องอยู่ที่บุปผาตลอดเวลา นายพลเทพตอบเสียงเรียบ
“บุปผาเขาเอาน้ำมะตูมเย็นขึ้นมาให้ แล้วก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระน่ะคุณ”
คุณหญิงมณีมองบุปผาสลับกับนายพลเทพอย่างคลางแคลงใจ เห็นนายพลเทพหน้านิ่งๆไม่มีอารมณ์อะไร ส่วนบุปผาก็รีบก้มหน้าคลานออกไป
คุณหญิงมณีมองตามบุปผาไปอย่างยังติดใจสงสัยไม่หาย และไม่สบายใจนัก
ตกตอนเย็นวันนั้นคุณหญิงมณีคุยอยู่กับสร้อย
“สร้อย แกไม่ต้องขึ้นไปบ้านคุณชไมที่เชียงใหม่กับฉันแล้วนะ ฉันจะเอานังสวิงไปแทน”
“อ้าว..ทำไมล่ะคะคุณหญิง”
“ฉันไม่ไว้ใจนังบุปผามัน เมื่อกี้ฉันเห็นมันขึ้นไปคุยกับท่านนายพลบนบ้านงุบงิบๆ ฉันจับความไม่ได้ แต่พอถามท่านนายพล ท่านก็บอกว่าคุยกันเรื่องสัพเพเหระ แล้วฉันก็ดูหน้าท่านไม่ออกว่าท่านคิดอะไรอยู่”
“คุณหญิงคิดว่ามันได้ยินเรื่องที่เราคุยกันเมื่อคืน”
มณีพยักหน้า “แล้วถ้ามันเอามาบอกท่านนายพล แล้วความลับเรื่องยาที่เราเอาให้ท่านกินมาตลอดหลายปีนี่แตกขึ้นมาละก็ ท่านกับฉันคงมีปัญหากันแน่”
“งั้นสร้อยจะจับตามันไว้ให้ดีค่ะ คุณหญิงไม่ต้องห่วง”
สองคนอยู่ในร้านไอติมด้วยกัน มัทนาสีหน้าตื่นเต้นดีใจ เมื่อไอศูรย์เล่าเรื่องอาการอิ่มให้ฟัง
“ป้ารุ่งเริ่มจำความได้แล้ว”
ไอศูรย์พยักหน้ายิ้มๆ “ตอนนี้น้องมัทต้องเรียกแกว่า ป้าอิ่ม แล้วจ้ะ”
มัทนาหัวเราะขำๆ “ค่ะๆ ป้าอิ่มก็ป้าอิ่ม”
“แต่น้องมัทก็อย่าเพิ่งดีใจมากไปครับ ป้าอิ่มแกเพิ่งเริ่มจำความได้ ซึ่งอาจจะจำได้แค่นี้ก็ได้ เรายังทำอะไรไม่ได้นอกจากคอยดูอาการแกต่อไป”
“แต่อย่างน้อย..มันก็มีความหวังไม่ใช่หรือคะพี่ต้น”
ไอศูรย์หัวเราะ “น้องมัทพูดเหมือนบุปผาเลย”
มัทนาทำหน้างง
“พี่พบบุปผาไปเยี่ยมนายสินที่โรงพยาบาลเมื่อตอนกลางวันนี่น่ะ พี่ก็เลยเล่าเรื่องป้าอิ่มให้บุปผาฟังแล้ว อย่างน้อย...บุปผาก็เคยช่วยพี่กับพี่หมอปรีชารักษาป้าอิ่มอยู่ช่วงหนึ่ง”
“บุปผาเป็นคนดีมากเลยนะคะพี่ต้น แม้ป้าอิ่มจะไม่ญาติ แต่บุปผาก็เต็มใจช่วยเหลือในการรักษาทุกอย่าง แล้วนี่ยังต้องคอยวิ่งมาเยี่ยมมาดูแลนายสินอีก บุปผาคงเหนื่อยแย่เลย มัทสงสารบุปผาจริงค่ะ”
ไอศูรย์มองมัทนาอย่างปลื้มใจที่มัทนาเป็นคนดีมีเมตตา สองหนุ่มสาวมองตากันชื่นมื่น
ขณะเดียวกันพลอยกับเพื่อนหญิงกำลังจะเดินเข้าร้านมาที่หน้าร้านไอติมเช่นกัน แล้วเพื่อนหญิงชะงักเมื่อมองเข้าไปในร้าน
“เอ๊ะ นั่นมันยายมัทนี่”
พลอยมองตาม เห็นว่าไอศูรย์กับมัทนาอยู่ในร้าน
“เอ๊..ไหนวันก่อนเธอว่าเขาควงพี่ชายเธอไปดูละครการกุศลกันมาไม่ใช่รึ ทำไมวันนี้มานั่งคุยกระหนุงกระหนิงกับผู้ชายอื่นอีก ไม่นึกเลยนะว่ายายมัทท่าทางออกติ๋มๆ แต่กลับเฟลิร์ตไม่ใช่เล่นน่ะนี่” เพื่อนพลอยว่า
พลอยโมโห “นี่ เป็นเพื่อนกันรึเปล่าเนี่ย ทำไมถึงได้พูดจายังงี้ ตราบใดที่ผู้หญิงเรายังไม่แต่งงาน เราก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกคนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือเธอพูดถึงเพื่อนยังงี้ เขาเรียกว่า คนปากเสีย นะยะ”
เพื่อนร้องกรี๊ดเบาๆ ด้วยความโมโห แล้วก็เดินกระทืบเท้าออกไป พลอยยังมีสีหน้าโมโหกรุ่นๆ อยู่
มัทนามองออกมาที่หน้าร้านพอดี เห็นพลอยเข้า
“เอ๊ะ..นั่นยายพลอยนี่คะพี่ต้น น้องมัทไปชวนเธอมานั่งทานไอศกรีมกับเรานะคะ”
ไอศูรย์พยักหน้า มัทนาวิ่งออกไปที่หน้าร้านทันที
มัทนาวิ่งออกมาหาพลอยที่หน้าร้าน ดีใจที่ได้เจอเพื่อน
“พลอย”
พลอยหันมาหา
“มาทานไอศกรีมเหมือนกันเหรอ มาทานด้วยกันสิ พี่ต้นนั่งอยู่ข้างในแน่ะ”
“อ๋อ..แล้วพอฉันเข้าไปนั่งด้วย เธอก็จะแกล้งให้ฉันกลายเป็น หมาหัวเน่า ใช่ไม๊ล่ะ ยายมัท...เสียแรงนะที่เราอุตส่าห์คบกันเป็นเพื่อนมาหลายปีจริงๆ”
พูดจบพลอยก็เดินปังๆ ออกไปเลย มัทนามองตาม ทำท่าจะร้องไห้ด้วยความเสียใจ
มัทนาเดินหน้าม่อยกลับเข้ามาหาไอศูรย์
“น้องพลอยไม่เข้ามาทานด้วยกันกับเราเหรอครับน้องมัท”
มัทนาส่ายหน้าเศร้าๆ
“ช่างเถอะครับ เขาไม่มาก็ไม่มา”
ไอศูรย์มองมัทนาแววตาปลอบโยน มัทนายิ้มขอบคุณ
ที่แท้พลอยยังยืนแอบมองสองหนุ่มสาวมาจากนอกร้านอีกมุมหนึ่ง พลอยมุ่งมั่นจะเอาชนะมัทนาให้ได้สักวัน
เวลายามเย็น เพชรเดินหน้าเซ็งสุดขีดกลับเข้าบ้านมา พลอยลุกพรวดก้าวเดินเข้ามาถึงตัว
“พี่เพชร วันนี้พลอยไปเจอยายมัทไปกินไอศกรีมกับพี่ต้นด้วย ไหนพี่เพชรตกลงกับพลอยว่าเราจะร่วมมือกันทำให้สองคนนั้นไม่ได้หมั้นกันไงคะ”
“ทำไมพี่จะไม่ได้ทำอะไร พี่ก็พยายามเอาชนะใจน้องมัทอยู่”
“พี่เพชรทำอะไรคะ”
เพชรเล่าเรื่องที่ส่งกล่องของขวัญเล็กๆ ไปให้มัทนา ก่อนจะหยิบของชิ้นนั้นออกมาจากกระเป๋ามาส่งให้พลอยดู พลอยรับมาเปิดดู
แลเห็นสร้อย และการ์ดใบเดิมที่เพชรเขียนข้อความไป แต่มีลายมือของมัทนาเขียนต่อท้ายกลับมาว่า
“ขอบคุณสำหรับดอกไม้และของขวัญ แต่มัทขออนุญาตไม่รับนะคะ มัทนา”
พลอยเงยหน้าขึ้นมองหน้าเพชร เห็นพี่ชายออกอาการเซ็งสุดขีด
“น้องมัทใจแข็งเหลือเกิน” เพชรครวญ
“แล้วเราจะทำยังไงกันดีคะพี่เพชร...นี่เราสองคน จะไม่มีความหวังกันเลยหรือไงคะ”
“ไม่ พี่ยังไม่ยอมแพ้ง่ายหรอก พี่จะต้องชนะพี่ต้นให้ได้ คนที่จะได้แต่งงานกับน้องมัทต้องเป็นพี่ ไม่ใช่พี่ต้น”
เพชรมีสีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจมาก พลอยเลยมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เย็นย่ำวันนั้นไอศูรย์กำลังทำงานอยู่ พยาบาลวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา
“คุณหมอคะ เร็วค่ะ นายสิน”
ไอศูรย์รีบวิ่งไปที่ห้องสินทันที
ไอศูรย์วิ่งเข้ามาพบว่าสินไข้ขึ้นสูงจนชัก ไอศูรย์กับพยาบาลช่วยกันจับร่างสินไม่ให้แขนขาฟาดเปะปะ
“ช่วยกันจับหน่อย ผมจะเอาผ้ายัดปากคนไข้ไม่ให้กัดลิ้นตัวเอง”
แต่กระนั้นแขนสินก็ฟาดโดนพยาบาลจนพยาบาลกระเด็นชนโต๊ะล้มเสียงดัง ทำให้ทุกอย่างยิ่งโกลาหลมากขึ้นไปอีก ไอศูรย์พยายามจะเอาผ้ายัดใส่ปากแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดไอศูรย์ก็ตัดสินใจใช้หลังมืออุดปากสิน ยอมให้สินกัดที่หลังมือเขาไว้ก่อนที่จะกัดลิ้นตัวเอง
เห็นชัดว่าหลังมือไอศูรย์ที่ถูกสินกัดเต็มแรง
ไอศูรย์สีหน้าเจ็บปวดแต่อดทนยอมเจ็บเต็มที่ เพราะห่วงคนไข้มากกว่าตัวเอง จนสักครู่สินก็หยุดชักแล้วสลบไป ไอศูรย์ดึงมือออกเห็นรอยฟันสินกัดขึ้นเป็นแนว เลือดซึม ไอศูรย์กุมมือที่เป็นแผลไว้แล้วยืนมองดูสินที่สลบไปอย่างกังวล
ค่ำแล้วเห็นพยาบาลพันแผลให้ไอศูรย์เพิ่งเสร็จพอดี ไอศูรย์หน้าเครียด แปลกใจมาก
“ทำไมจู่ๆ นายสินก็เป็นปอดบวม แล้วก็ไข้ขึ้นสูงจนชักยังงี้ล่ะ”
“ไม่ทราบเลยค่ะหมอ ตอนที่คุณบุปผามาเยี่ยม ก็เห็นยังดีๆ อยู่เลยนะคะ จนกระทั่งเย็นดิฉันจะเข้าไปพลิกตัวให้คนไข้ ถึงได้รู้ว่าไข้ขึ้นสูงจนชักน่ะค่ะ”
“แล้วผมจะไปบอกบุปผายังไงล่ะเนี่ย” ไอศูรย์ใจคอไม่ดี มีสีหน้ากลัดกลุ้มเห็นได้ชัด
คืนนั้นบุปผาเอาผ้าเช็ดหน้าของไอศูรย์ขึ้นมาดอมดม สีหน้าชื่นใจกับกลิ่นโคโลญจน์ที่ไอศูรย์เหยาะใส่ในผ้าเช็ดหน้า แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียงเคาะประตูดังปังๆ ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมเสียงสร้อยดังลั่น
“นังบุปผา หมอไอศูรย์มาพบแกแน่ะ”
บุปผามีสีหน้าประหลาดใจขึ้นมาก่อน แล้วก็เปลี่ยนเป็นยิ้มสาสมใจ เพราะเดาล่วงหน้าไว้แล้วว่าไอศูรย์จะมาหาหล่อนด้วยเรื่องอะไร
ไม่นานต่อมา บุปผาเอาแต่ร้องไห้คร่ำครวญ ส่วนคนอื่นๆ รับฟังเรื่องสินจากไอศูรย์ด้วยสีหน้าเศร้าใจ ไอศูรย์ยังมีผ้าพันแผลที่มือด้วย
“โธ่...พี่สิน เคราะห์ซ้ำกรรมซัดอะไรขนาดนี้”
มัทนาสงสารบุปผาจับใจ เดินเข้าไปกอดปลอบใจ
“ใจเย็นๆ ก่อนนะบุปผา ยังไงตอนนี้นายสินก็อาการคงที่แล้ว คงไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วละ”
มณีถอนใจ “พ่อต้นก็เลยพลอยต้องมาเจ็บไปด้วย”
ไอศูรย์ยกมือข้างที่มีผ้าพันแผลขึ้นดู “ไม่เป็นไรหรอกครับคุณป้า แผลแค่นี้..เดี๋ยวก็หาย”
บุปผาสะอื้นไห้ พลางถามหยั่งเชิง “แล้วอย่างนี้พี่สินก็ต้องอยู่โรงพยาบาลต่อไปอีกใช่ไม๊คะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ “ก็จนกว่าฉันจะแน่ใจว่านายสินปลอดภัย และแข็งแรงพอที่จะพากลับมาดูแลต่อที่บ้านได้น่ะ”
บุปผายกมือไหว้ไอศูรย์ “ฝากพี่สินด้วยนะคะหมอ บุปผาไม่มีใครอีกแล้ว..ไม่มีใครอีกแล้ว” ว่าแล้วก็ร้องไห้อีกอย่างน่าเวทนา
มัทนากอดไว้แน่น สงสารบุปผาจับใจ ไอศูรย์ก็เช่นกัน
บุปผากับสร้อยเดินกลับมาที่ห้องพัก บุปผาเดินเช็ดน้ำตาป้อยๆ มาตลอดทาง สร้อยสงสารสินก็จริง แต่หมั่นไส้บุปผาไม่หาย เพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้แสงต้องถูกไล่ออกจากบ้าน
สร้อยพูดเสียงห้วนๆ “หมอเขารับปากว่าดูแลไอ้สินให้อย่างดีแล้ว แกก็สบายใจเถอะ”
บุปผาพยักหน้าหงึกๆ แล้วทำเดินก้มหน้าร้องไห้เข้าห้องไป สร้อยส่ายหน้าเหนื่อยใจ
ทันทีที่บุปผาเดินเข้าห้องปิดประตูสนิทเรียบร้อย อาการร้องไห้ก็เปลี่ยนไปเป็นลิงโลดอารมณ์ดีอย่างฉับพลัน
“ขอบใจนะไอ้สิน ที่แกซื้อเวลาให้ฉันได้มีโอกาสพบกับคุณหมอไอศุรย์ต่อไปอีกหน่อย ฉันคิดไม่ผิดเลยที่เลือกใช้แก”
บุปผายิ้มร้ายอย่างสาสมใจ
กลางดึกคืนนั้น คุณหญิงมณีนอนหลับอยู่บนเตียง จู่ๆ ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อพบว่านายพลเทพยืนมองเธออยู่ที่ข้างเตียง
“อ้าว..นอนไม่หลับรึคะคุณ”
“ใช่ ผมนอนไม่หลับ วันนี้บุปผามันบอกผมหมดแล้วว่า คุณวางยาผม! คุณทำให้ผมเป็นหมัน มีลูกอีกไม่ได้ ทั้งๆ ที่คุณก็รู้ว่าผมอยากมีลูกมากแค่ไหน”
มณีตั้งสติ พยายามอธิบาย “เดี๋ยวๆ นะคะ ฟังฉันก่อนนะคะคุณ”
เทพตะโกนเสียงดังใส่หน้า “ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้นแล้ว ผมผิดหวังในตัวคุณมาก ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีกต่อไป”
นายพลเทพโกรธจัด ทำท่าจะเดินออกจากห้อง คุณหญิงมณีรีบลุกวิ่งไปดึงแขนสามีไว้ แต่นายพลเทพไม่สนใจ สะบัดแขนออกด้วยความโมโหจนร่างคุณหญิงมณีกระเด็นไป แล้วท่านนายพลก็เดินปังๆ ออกไปจากห้อง คุณหญิงมณีกัดฟันวิ่งตามไป
คุณหญิงมณีวิ่งตามมาตะโกนไล่หลังนายพลเทพที่ทำท่าว่าจะเดินออกจากบ้านไป
“ใช่! ฉันวางยาให้คุณเป็นหมัน เพราะฉันไม่ต้องการให้คุณไปมีลูกกับอีผู้หญิงหน้าไหนอีก” มณีโกรธจนเผลอหลุดปาก “ไม่ว่าจะเป็นอีอุ่นหรือผู้หญิงคนไหน คุณต้องมียายมัทแค่คนเดียวเท่านั้น ได้ยินไม๊”
เทพชะงักกึก “อย่าบอกนะว่า ที่อุ่นตาย มันเป็นฝีมือคุณ”
“ใช่” มณีพูดอย่างถือดี
แล้วโดยที่คุณหญิงมณีไม่ได้คาดคิด นายพลเทพตบหน้าคุณหญิงมณีผลัวะ คุณหญิงถึงกับเซหัวไปกระแทกกำแพงอย่างแรง
“โอ๊ย”
มณียกมือคลำหัวตรงที่ถูกกระแทก เห็นมีเลือดเปื้อนมือ คุณหญิงมณีเลยอารมณ์ยิ่งเดือดมากขึ้นไปอีก
“คุณกล้าทำกับฉันยังงี้เหรอ”
แล้วคุณหญิงมณีก็พุ่งถลาเข้าไปตบตีสามี นายพลเทพยกมือขึ้นปัดป้อง แล้วบันดาลโทสะผลักคุณหญิงมณีออกไปเพื่อไม่ให้เข้ามาตบตีได้อีก แต่เพราะคุณหญิงมณีกำลังยืนอยู่ที่หัวบันไดพอดี จึงเสียหลัก ผงะหงายแล้วกลิ้งตกบันไดไป คุณหญิงมณีกรีดร้องสุดเสียง
“แอร๊ยยย”
คุณหญิงมณีกรีดร้อง พร้อมกับตกใจตื่นลุกพรวดขึ้น เหงื่อกาฬชุ่มไปทั้งตัว นายพลเทพผวาเข้ามาหาด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรไปคุณ”
ท่านนายพลเห็นคุณหญิงยังหายใจหอบ สีหน้าตื่นตระหนกไม่หาย จึงคว้าตัวคุณหญิงมณีมากอดปลอบใจ
“คุณคงฝันร้ายไปน่ะ”
มณีเริ่มได้สติ พูดเสียงอ่อนระโหย “ค่ะ ดิฉันฝันร้าย.. ฝันร้ายจริงๆ”
แล้วคุณหญิงมณีก็ถอนใจอย่างโล่งอก ที่เรื่องร้ายทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวน ตอนที่ 5 (ต่อ)
วันต่อมา นายพลเทพกำลังมายืนส่งมัทนากับคุณหญิงมณีขึ้นรถเพื่อเดินทางไปเชียงใหม่
“เดินทางปลอดภัยนะคุณ”
“ค่ะ”
มัทนายิ้มยกมือไหว้พ่อ “มัทไปนะคะ แล้วจะซื้อของฝากจากเชียงใหม่มาฝากคุณพ่อนะคะ”
“ไม่ต้องหรอกลูก แค่มัทกลับมาให้พ่อเห็นหน้า พ่อก็ชื่นใจแล้ว”
มัทนากับคุณหญิงมณียิ้ม ทั้งหมดล่ำลากัน แล้วมัทนา คุณหญิง และสวิงขึ้นรถไป นายพลเทพ สร้อย และบุปผายืนส่ง จนรถแล่นออกไป บุปผาปรายตามองนายพลเทพแว้บหนึ่ง นายพลเทพเดินกลับขึ้นตึกไป บุปผาอยากพูดกับนายพลเทพเรื่องถูกวางยา แต่ถูกสร้อยดึงตัวไว้
“ผีตอกตะปูที่เท้ารึไงหา กลับไปทำงานในครัวสิ”
บุปผาหันตัวจะเดินไปที่ครัว
สร้อยพูดขึ้นมาอีก “อ้อ ! อีกเรื่องนึงนะนังบุปผา”
บุปผาชะงัก หันมาฟังสร้อยพูดต่อ
“ช่วงที่คุณหญิงกับคูณหนูไม่อยู่นี่ แกไม่ต้องขึ้นไปรับใช้บนตึกโน่น”
บุปผาฉงน “อ้าว..ทำไมล่ะจ๊ะพี่สร้อย”
“ก็เพราะท่านนายพล...ท่านอยู่คนเดียวน่ะสิ แล้วแกก็เป็นสาวเป็นแส้ ขึ้นไปรับใช้ในเวลาที่ไม่ใครอยู่ มันจะไม่งาม”
ว่าแล้วสร้อยก็ยื่นหน้าพูดกับบุปผาใกล้ๆ เป็นเชิงขู่
“ถ้าแกกับพี่ชายยังอยากจะมีที่ซุกหัวนอนอยู่ที่นี่ต่อไปละก็ ทำตามที่ฉันสั่ง เข้าใจไม๊”
“จ้ะ พี่สร้อย”
บุปผาเดินไปที่ครัวไม่พูดอะไรอีก สร้อยมองตามบุปผาไปอย่างชิงชัง
บุปผาเดินอารมณ์เสียมา
“ถูกอีสร้อยมันคุมตัวแจอย่างนี้ แล้วเราจะบอกท่านนายพลเรื่องที่ถูกวางยาได้ยังไงกันล่ะ” แล้วบุปผาก็คิดอะไรได้ “แต่ถึงมีโอกาสบอก ท่านจะเชื่อเราเหรอ”
บุปผานิ่งคิดอยู่อีกครู่ ก็มีสีหน้าเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ ยิ้มร้ายออกมา
ที่แท้บุปผาแอบเดินตามสร้อยที่กำลังยกสำรับขึ้นไปให้นายพลเทพบนตึก พอบุปผาเห็นสร้อยขึ้นตึกไปเรียบร้อยแล้ว บุปผาก็รีบวิ่งไปที่เรือนคนใช้ทันที
บุปผาวิ่งกลับมาที่แถวห้องพักคนใช้ เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครมาเห็น ก็ผลุบเข้าห้องสร้อยอย่างรวดเร็ว
บุปผาเดินเข้ามาในห้องสร้อย แล้วเริ่มค้นหาขวดยาที่สร้อยใส่ให้นายพลเทพกินทุกคืน
“ขวดยาที่เราเห็น มันต้องอยู่ในห้องนี่แน่ๆ”
บุปผาเดินเปิดหาไปตามที่ต่างๆ ที่คิดว่าสร้อยจะซ่อนยาไว้
ขณะเดียวกันสร้อยเสิร์ฟสำหรับกับข้าวให้นายพลเทพอยู่ แล้วรู้สึกปวดท้องขึ้นมา จึงหันมากระซิบบอกกับทับทิม
“ฝากดูท่านหน่อยนะ ฉันจะไปเข้าส้วม”
ทับทิมพยักหน้ารับ สร้อยเดินตัวงอออกไป
ด้านบุปผายังคงหาขวดยาอยู่ แต่ก็ไม่เจอสักที
“ถ้าไม่มีหลักฐานเอาไปยืนยันกับท่านนายพล ท่านต้องไม่มีวันเชื่อแน่ๆ ต้องหาให้เจอ”
แล้วทันใดนั้นบุปผาก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงคนจะเปิดประตูห้องเข้ามา บุปผาสีหน้าตกใจสุดขีด ไม่รู้จะทำยังไงดี หนีไม่ทัน ตัดสินใจหาที่ซ่อน ในที่สุดบุปผาก็เข้าไปซ่อนตัวในตู้เสื้อของสร้อย ปิดประตูตู้แทบจะสนิท
สร้อยเข้ามาในห้อง แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
บุปผาคิดจะแว้บออกตอนที่สร้อยเข้าไปในห้องน้ำ เปิดประตูตู้เสื้อผ้าก้าวขาออกมาได้ข้างหนึ่ง แอบมองดูสร้อย
บุปผาเห็นสร้อยยังอยู่ในห้องน้ำ แต่ไม่ได้ปิดประตูห้องน้ำสนิท จึงเห็นว่าสร้อยกำลังขยับชายผ้าถุง นั่นจึงทำให้บุปผาเห็นว่าสร้อยเหน็บขวดยาของตาเถาเอาไว้ที่ขอบชายพกนั่นเอง บุปผาขมวดคิ้วเซ็ง แล้วก็นึกได้ จะรีบแว้บออกจากห้องไปก่อนที่จะถูกสร้อยจับได้ แต่ยังไม่ทันจะออก สร้อยก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา บุปผาจึงจำต้องรีบผลุบกลับเข้าไปในตู้อีก ส่วนสร้อยเดินผ่านตู้เสื้อผ้าแล้วชะงัก เห็นตู้เสื้อผ้าปิดไม่สนิท
สร้อยเดินมาที่ตู้เสื้อผ้า ทำท่าว่าจะเปิดตู้เสื้อผ้าออก
บุปผาหลับตาปี๋ นึกว่าคราวนี้สร้อยต้องเปิดประตูตู้เสื้อผ้ามาเจอตัวเองแน่ๆ แล้ว
สร้อยกำลังเปิดประตูตู้เสื้อผ้าออก แต่ยังไม่ทันจะมองเข้าไปในตู้ ก็มีเสียงเคาะประตูหน้าห้องเสียก่อน สร้อยชะงักจากการเปิดตู้ บุปผาที่อยู่ในตู้พลอยชะงักไปด้วย
“ใคร”
“ฉันเองจ้ะพี่สร้อย” เป็นไสวนั่นแอง
“มีอะไร”
“แสงมันมาขอพบพี่จ้ะ”
สร้อยดีใจรีบปิดประตูเสื้อผ้าเข้าไปใหม่โดยไม่หันไปดู แล้วรีบเดินออกจากห้องไปทันที บุปผาถอนใจยาวอย่างโล่งอกสุดๆ แล้วครุ่นคิด
“แต่ถ้าอีสร้อยมันเอายาเก็บไว้กับตัวตลอดเวลาอย่างนั้น เราคงไม่มีทางเอามันไปเป็นหลักฐานกับท่านนายพลได้แน่ๆ ฮึ่ย”
บุปผาเจ็บใจสุดๆ
สร้อยยิ้มร่า เดินมาหาแสงที่ยืนรออยู่นอกกำแพง ไม่กล้าเข้าไปในบ้าน
“แม่.. ฉันไม่กล้าเข้าไปน่ะ เห็นเขาบอกว่าท่านนายพลอยู่ในบ้าน”
“ใช่..ไม่เข้าไปน่ะดีแล้ว แกเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้ไปอยู่ไหน”
“ฉันไปเช่าห้องอยู่ที่ท้ายตลาดน่ะ แถวนั้นคนมันเยอะดี คงจะมีลู่ทางหางานทำได้ง่ายหน่อยน่ะแม่ แต่ที่ฉันมานี่ ฉันมีเรื่องอยากจะคุยกับแม่ เรื่องท่านนายพล”
สร้อยแปลกใจมาก “ท่านนายพลทำไม”
“ฉันบังเอิญไปพบท่านนายพลที่ซ่องแห่งหนึ่ง” แสงบอก
สร้อยตกใจ “ซ่อง”
“ท่านไม่ได้ไปเที่ยวหรอก แต่ท่านไปหาคนๆ หนึ่ง ชื่อ ผกา แต่แม่ผกาที่อยู่ที่ซ่องนั่นน่ะ เป็นคนละคนกับที่ท่านตามหา”
“แล้วแกรู้ไม๊ว่าท่านจะตามหาแม่ผกาอะไรนี่..ทำไม”
“ไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่า...ผกาที่ท่านนายพลกำลังตามหาอยู่น่ะ อยู่ที่ไหน”
สร้อยตาโต ตื่นเต้นมาก
ขณะเดียวกันนั้น ผกากำลังบอกเพ็ญเสียงเบา ผกาไม่ให้ใครรู้ว่าเธอยังติดต่อกับบุปผาอยู่ นอกจากเพ็ญ
“ฝากบ้านด้วยนะเพ็ญ”
มุกเดินผ่านมาพอดี เห็นผกากำลังซุบซิบกับเพ็ญก็หยุดแอบฟัง
“ฉันจะออกไปหาบุปผามันหน่อย”
มุกตาโตเมื่อรู้ว่าผกากำลังจะไปไหน เห็นเพ็ญพยักหน้ารับ มุกรอจังหวะให้เพ็ญเดินไปแล้วมุกก็รีบแอบสะกดรอยตามผกาไป กะว่าวันนี้ต้องตามผกาไปจนรู้ให้ได้ว่าบุปผาออกไปอยู่ที่ไหน
ขณะที่ผกากำลังใส่รองเท้าเตรียมจะออกจากบ้าน แล้วชะงักเมื่อเห็นเงาแว้บๆ แต่ไม่รู้ว่าว่าเป็นมุก ที่แอบซุ่มรอจะตามไป ผกาเหลียวขวับไปมอง มุกจึงรีบหลบเข้ามุมบ้านทันควัน ผกามองไปจึงไม่เห็นใคร
ผกาลุกขึ้นยืน ขมวดคิ้ว มั่นใจว่ามีคนซุ่มแอบดูอยู่ ผกาจึงเดินไปเปิดประตูบ้าน
ด้านมุกที่หลบอยู่ แทบจะไม่หายใจ เมื่อได้ยินประตูบ้านเปิดแล้วปิด มุกรีบโผล่หน้าออกมาดูจากที่ซ่อน กลัวจะตามผกาไปไม่ทัน แต่แล้วก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นว่าผกานั้นยังไม่ได้ออกไป แต่กลับมายืนประชิดหน้าเธออยู่นั่นเอง
“แม่” มุกตกใจ
ผกาถามเสียงเรียบ “จะตามแม่ทำไม”
มุกตีมึน ทำไม่รู้ไม่ชี้ “ก็วันนี้ฉันว่าง แม่จะไปไหนล่ะ ฉันไปด้วยสิ”
“ไม่ได้” ผกาขึ้นเสียง
“ทำไมล่ะแม่ ก็แม่จะไปซื้อของไม่ใช่เหรอ” มุกเซ้าซี้
“บอกว่าไม่ก็ไม่ได้สิ”
สองคนประสานตากัน แล้วผกาก็สั่งเสียงเฉียบขาด
“นังมุก ฉันขอสั่งให้แกอยู่บ้าน ถ้าไม่เชื่อกัน แกก็ออกไปอยู่ที่อื่นได้เลย”
เจอไม้แข็งนี้เข้า มุกหน้าเจื่อนไป ไม่กล้าขัดคำสั่งผกา จึงได้แต่ยืนมองผกาที่เดินออกจากบ้านไปอย่างเจ็บใจ ที่ไม่สามารถตามไปได้
ผกาเดินออกมาจากหอโคมแดง พอปิดประตูได้ก็หยุดยืนถอนใจโล่งอก ที่สกัดมุกได้ทัน แต่โล่งใจได้ไม่นาน ผกาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อสร้อยพุ่งพรวดเข้ามาดักหน้าเธอไว้
“แกชื่อ ผกา ใช่ไม๊”
ผกาถามกลับด้วยสีหน้าระแวง “ถามทำไม”
“ตอบมาสิ ว่าใช่หรือไม่ใช่” สร้อยคาดคั้น
“ไม่ใช่” ผกาเดินหนีทันที
สร้อยตามไปแล้วดึงแขนผกาไว้ ผกาหันขวับกลับมามองสร้อย แล้วแว่บคิดอะไรบางอย่าง เป็นตอนที่คุณหญิงเมียหลวงตามมาตบผกาจนเลือดกบปาก ผการะแวงว่าสร้อยจะป็นพวก “เมียหลวง” อีกคนหนึ่ง ที่ไม่ชอบใจคนในอาชีพของตน เลยตามมาราวี
คิดดังนี้แล้วสีหน้าผการะแวงจัด ตัดสินใจผลักอกสร้อยเต็มแรง จนสร้อยล้มลง แล้วผกาก็วิ่งหนีเอาดื้อๆ
ผกาวิ่งหนีสร้อยมาพลางเหลียวหน้าเหลียวหลังอย่างระวัง จนชนเข้ากับอะไรบางอย่างเต็มแรง ผกามีสีหน้าเจ็บปวดเพราะได้แผลด้วย แต่ข่มความเจ็บวิ่งต่อหนีสร้อยจนหลุดรอดไป
พอสร้อยเพิ่งวิ่งตามมา แต่มองหาผกาไม่เจอแล้ว แสงวิ่งตามมาสมทบ ช่วยมองหาผกาด้วย แต่ก็ไม่เห็นแล้ว ทั้งสร้อยทั้งแสงสีหน้าเจ็บใจมาก
ด้านบุปผามานั่งรอผกาอยู่นานแล้วแล้ว พอเห็นผกามาก็ต่อว่าทันที โดยที่ยังไม่เห็นแผลผกา
“ทำไมมาช้านักล่ะแม่” บุปผาเพิ่งเห็นแผลผกา ก็ตาโตตกใจ “นั่นแม่เป็นโดนอะไรมาน่ะ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะลูก ว่าแต่บุปผามีเรื่องอะไรเหรอ ถึงได้นัดแม่ออกมา”
“ฉันมีเรื่องกลุ้มใจน่ะแม่ คือว่าฉันบังเอิญไปรู้มาว่านังคุณหญิงมันแอบวางยาให้ท่านเจ้าคุณเป็นหมัน”
“โธ่..แม่ก็นึกว่าแกมีเรื่องอะไรร้ายแรง บางที..คุณหญิงเธออาจจะกลัวว่าท่านนายพลจะไปไข่ทิ้งเรี่ยราดไว้ที่ไหน ที่จะทำให้ครอบครัวเดือดร้อนในภายหลังได้น่ะสิ เธอถึงต้องวางยาท่านนายพลให้เป็นหมันน่ะ”
“แต่แม่ก็รู้ ไอ้ยาพวกนี้ ถ้ากินเข้าไปมากๆ มันอาจจะไม่ได้แค่เป็นหมันน่ะสิ ฉันเป็นห่วงท่านนายพลน่ะ ท่านเมตตาฉันมากนะแม่ ฉันรักแล้วก็เคารพท่านเหมือนพ่อคนหนึ่งเลย”
“อย่าเพิ่งห่วงคนอื่นเลย ห่วงตัวเองก่อนเถอะ นี่นังคุณหนูของแกขึ้นไปหาแม่หมอเพื่อดูฤกษ์หมั้นที่เชียงใหม่วันนี้ไม่ใช่เหรอ ถ้าเกิดได้ฤกษ์หมั้นวันนี้พรุ่งนี้ขึ้นมาละก็ ไอ้ที่แกลงทุนลงแรงไป มันก็สูญเปล่าทั้งหมดนะ”
บุปผาคิดตาม
“แกจะทำอะไรก็รีบทำเสียเถอะ แต่พอแกได้ดีมีสุขแล้วก็อย่าลืมแม่ซะล่ะ แม่อยากจะเริ่มต้นชีวิตใหม่เต็มทีแล้ว..แม่ไม่อยากถูกพวกเมียหลวงตามมาราวีอีกแล้ว” ผกาคลำแผลที่เพิ่งได้มาใหม่เมื่อกี้นี้
บุปผาคิดตามที่ผกาพูด แล้วจึงตัดสินใจอะไรบางอย่าง
เย็นนั้น บุปผาพาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าตาเถา และกำลังพูดธุระอยู่ โดยมีตาถิ่นยื่นหน้าจากหลังบ้านมาแอบมองบุปผาอย่างหลงใหลด้วย
“เอ็งอยากจะทำยาสเน่ห์”
“ใช่จ้ะ พ่อหมอ”
ตาเถาหัวเราะลั่น “อ้อ..ก็เอ็งมันเป็นผู้หญิงหยำฉ่านี่นะ ถึงอยากได้ยาเสน่ห์ จะเอาไว้เรียกแขกล่ะสิ”
บุปผารีบบอก “เปล่า ฉันเลิกขายตัวแล้ว ฉันอยากได้ไว้เรียกแค่ผู้ชายคนเดียวเท่านั้น พ่อหมอทำให้ฉันได้ไม๊ล่ะ”
“ได้ แต่แพงนะ”
“เท่าไหร่ล่ะ”
“ห้าพัน”
บุปผาอึ้งไปนิดหนึ่งแล้วตอบ “ตกลง” ตาเถายิ้มพอใจ
“แล้วฉันต้องทำยังไงบ้าง”
“เอ็งเอาของใช้ของไอ้ผู้ชายคนที่เอ็งต้องการจะทำเสน่ห์มัน กับของใช้ส่วนตัวของเอ็งมาอย่างละชิ้น แล้วห้าทุ่ม เอ็งกลับมาพบข้าที่นี่ แล้วข้าจะทำเสน่ห์ให้” ตาเถาบอก
บุปผาพยักหน้ารับ “งั้นฉันลาละ ก่อนห้าทุ่ม ฉันจะมาใหม่”
บุปผายกมือไหว้ลาตาเถา แล้วเดินออกไป พอบุปผาลับตัวไป ตาถิ่นก็เข้ามา มองตามหลังบุปผาไปอย่างไม่คลาดสายตา
“สวยออกอย่างนี้ มันยังต้องทำเสน่ห์อีกเหรอพี่เถา”
“ถึงจะสวย แต่ใจคอมันร้ายนัก ผู้ชายถึงได้ไม่ชายตาแลจนมันต้องวิ่งมาให้ข้าทำยาเสน่ห์ให้มันถึงที่นี่ เรียกแพงเท่าไหร่ มันก็ไม่ต่อราคาข้าเลยสักคำ ข้าเลยโขกมันเสียเจ็บเลย”
ตาเถาหัวเราะชอบใจ แล้วต้องหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงจากหลังบ้านดังตึงตังขึ้นมากะทันหัน
“ไอ้หลง” ตาถิ่นบอก
ตาเถากับตาถิ่น รีบวิ่งไปหลังบ้านทันที
ตาเถากับตาถิ่นวิ่งเข้ามา เห็นหลงถือมีดพร้าอยู่ในมือ แล้วฟาดไปมาเหมือนกับกำลังตีฟันกับใครอยู่ จนข้าวของหลังบ้านล้มกระจาย นอกจากนี้หลงยังตาขวางเหมือนคนเมายา
“ไอ้หลง นี่ข้าเอง” ตาเถาบอก
หลงหันขวับมาทางตาเถา แต่เมายาจนจำใครไม่ได้ วิ่งเข้ามาจะเอามีดพร้าในมือฟัน ตาเถาโดดหลบ มีดฟันไปโดนอย่างอื่นแตกหักกระจุย ตาถิ่นรีบโดดเข้ารวบตัวไอ้หลงไว้จากทางด้านหลัง แล้วบิดข้อมือมันอย่างแรงเพื่อให้มันปล่อยมีดพร้า หลงดิ้นสู้ ตาเถาเข้าช่วยตาถิ่นจับ เกิดเป็นความชุลมุนวุ่นวายอยู่ชั่วครู่กว่าหลงจะหมดฤทธิ์แล้วสลบไป
“ข้าว่าพี่ทดลองยากับมันมากไปแล้วมั้งเนี่ย” ตาถิ่นบ่น
ตาเถาไม่ตอบ มองข้าวของหลังบ้านก็แตกหักกระจายเกลื่อนไม่เหลือดี ทั้งตาเถาและตาถิ่นหอบแฮ่กไปด้วยกันทั้งสองคน
เวลาเดียวกันที่เรือนของชไม ในเชียงใหม่ ไอศูรย์กับมัทนากำลังยกมือไหว้ชไมอย่างนอบน้อม ชไมยิ้มรับ พลางกล่าวชม
“หนูมัทนี่สวยจริง”
คุณหญิงมณียิ้มปลื้ม
“ลูกชายคุณหญิงก็ราศีดีมาก” ชไมชมไอศูรย์
“เขาเป็นหมอค่ะคุณชไม” คุณหญิงแจ่มจันทร์บอกยิ้มๆ
“มิน่า...ถึงได้มีรัศมี นะเมตตา เต็มตัว”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ยิ้มดีใจ
“ตกลงเราจะทำพิธีแก้ดวงชะตากันเมื่อไหร่คะคุณชไม” มณีถาม
“พรุ่งนี้ค่ะ วันนี้เดินทางกันมาเหนื่อยแล้ว พักผ่อนกันให้เต็มที่ก่อน ดิฉันให้คนจัดเตรียมที่พักไว้ให้เรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้..เราค่อยเริ่มทำพิธีกัน”
ค่ำนั้นพอบุปผากลับมาถึงบ้าน สร้อยโผล่พรวดเข้ามาดักหน้าอย่างเอาเรื่องและจับผิด
“ทำไมไปเยี่ยมไอ้สินมันนานนัก หา”
บุปผารีบทำตัวสงบเสงี่ยมทันที “ก็ฉันเห็นพี่สินนอนเหงาอยู่คนเดียว ฉันก็เลยสงสาร นั่งคุยเป็นเพื่อนอยู่นานไปหน่อยน่ะจ้ะ”
“เออๆ กลับมาก็ดีแล้ว ไปช่วยกันล้างจานหลังบ้านเร็ว”
“จ้ะ”
“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องขึ้นไปบนตึกนะ จำไว้”
“จ้ะพี่สร้อย”
พอสร้อยหันหลังเดินนำบุปผาไปหลังบ้าน บุปผาแอบเบ้ปากใส่สร้อยอย่างชิงชัง แล้วยกเท้าทำท่าเหมือนจะถีบเล่นๆ เพื่อความสะใจเท่านั้น
“คอยดูเถอะอีสร้อย! ฉันได้ตกแต่งเป็นเมียหมอไอศูรย์เมื่อไหร่ละก็ ฉันจะให้แกยกมือกราบฉันเมื่อนั้นแหละ อีบ้า”
ตกตอนกลางคืน อิ่มนอนส่ายหน้ากระสับกระส่ายอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลไปมา
เหตุการณ์ต่างๆ ผุดขึ้นมาราวกับสายน้ำไหล ตอนที่อุ่นกรีดร้องขณะคลอดลูกผุดขึ้นในหัว ตามมาด้วยตอนที่อิ่มอุ้มเด็ก แต่เด็กไม่ร้องสักแอะ อิ่มเห็นเด็กมีปานแดงที่ต้นขา แล้วอิ่มอุ้มเด็กจะไปหาหมอ แต่เด็กร้องขึ้นมา แล้วอิ่มก็หันกลับไปเห็นบ้านอุ่นไฟไหม้ อิ่มตัดสินใจวิ่งกลับไปที่บ้านอุ่น แต่อิ่มมาเห็นสร้อยแทงอุ่น
อิ่มจึงตัดสินใจหอบเด็กวิ่งหนี ก่อนที่สร้อยจะหันมาเห็น จบด้วยภาพตอนที่อิ่มถูกรถผกาที่นั่งมากับแขกชนจนหัวกระแทกกับก้อนหินริมทาง
อิ่มสะดุ้งตกใจตื่นกับภาพที่ผุดขึ้นในมโนนึก ลุกพรวดขึ้นนั่งหายใจหอบแรงถี่ๆ แล้วพยายามรวบรวมสติ
อา...ความคิด และแววตาเลื่อนลอยอย่างที่เคยเป็นของอิ่ม เวลานี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นคนปกติแล้วอย่างเห็นได้ชัด!
อ่านต่อตอนที่ 6