ไฟหวน ตอนที่ 1
ปีพุทธศักราช 2482 ภายในบ้านเทพบริบาลอันใหญ่โต โอ่อ่า สวยงาม และบรรยากาศร่มรื่น นางสร้อยถูกตามตัวให้มาพบใครคนหนึ่งที่ห้องส่วนตัวบนเรือนใหญ่ ในเวลาตอนกลางวัน และไม่นานต่อมา ถุงเงินถูกโยนลงที่พื้นตรงหน้านางสร้อย เป็นเงินจำนวนมากโขเอาการ
สร้อยมองถุงเงินนั้น แล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าคนที่โยนเงินให้ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็น คุณหญิงมณี ภรรยาของท่านนายพลเทพ ประมุขแห่งบ้านเทพบริบาลนั่นเอง
มณีนั้นอุ้มทารกน้อย ธิดาสุดสวาทที่เพิ่งคลอดเอาไว้กับอกตลอดเวลา ขณะสั่งการน้ำเสียงเข้ม
“นังสร้อย! แกเอาเงินนี่ไปจ้างใครก็ได้ที่ไว้ใจได้ แล้วไปจัดการอย่าให้นังผู้หญิงที่ชื่อ อุ่น กับลูกของมันมีชีวิตอยู่อีกต่อไป” มณีสั่งเสียงเย็นเยียบเฉียบขาด
“เจ้าค่ะ”
สร้อยรีบเก็บเงินแล้วลุกออกไปทันที
ตกตอนกลางคืน ที่บ้านหลังหนึ่ง ในจังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นบ้านไม้ของชาวบ้านทั่วไป และภายในห้องๆ หนึ่งในบ้านหลังนั้น แลเห็นอุ่นที่ท้องแก่กำลังนอนร้องครวญครางอยู่บนที่นอน อิ่มผู้เป็นพี่สาววิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาถามอาการ
“แกเป็นยังไงบ้างนังอุ่น”
อุ่นบิดตัวไปมา “โอย..พี่อิ่ม ช่วยฉันด้วย ฉันปวดท้องเหลือเกิน”
“แต่นี่มันยังไม่ถึงกำหนดคลอดนี่นา” อิ่มชักกังวล
อุ่นส่ายหน้า เจ็บท้องและจุกจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬแตกไปทั้งตัว อิ่มเห็นอาการก็ละล้าละลังทำอะไรไม่ถูกเอาเลย
“ไปหาหมอไหวไม๊อุ่น”
อุ่นส่ายหน้า ดิ้นไปมา
“งั้นฉันจะไปตามหมอมา แกรอก่อนนะ”
อิ่มจะลุกไป แต่อุ่นคว้าแขนไว้ขอร้อง
“พี่อิ่มอย่าทิ้งฉันไป ฉันเจ็บท้องเหลือเกิน โอ๊ย…”
“ทำใจดีๆไว้อุ่น” อิ่มมองไปยังที่นอน แลเห็นว่าน้ำคร่ำเดินแล้ว เลอะเต็มที่นอนทีเดียวก็ตกใจ
“ว๊าย...น้ำเดินแล้ว ทำไงดีล่ะเนี่ย นังอุ่น แกอย่าเพิ่งออกลูกมาตอนนี้นะ ให้ฉันไปตามหมอก่อน…”
อิ่จะไป แต่อุ่นไม่ยอมปล่อยแขนพี่สาว บีบแน่นสุดแรงจนอิ่มเจ็บไปหมด และขยับตัวไปไหนไม่ได้ แล้วอุ่นก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง
เสียงกรีดร้องของอุ่นดังก้องออกมานอกบ้าน ท่ามกลางความมืดมิดและบรรยากาศเงียบสงัดของคืนพระจันทร์ข้างแรม
หนึ่งชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้นมาในคืนเดือนมืด คืนพระจันทร์ข้างแรมนี้ ราวกับจะเป็นการตอกย้ำว่าชีวิตนี้ จะต้องตกอยู่ในด้านมืดเสมอๆ
อิ่มช้อนร่างเด็กแรกเกิดคนหนึ่งออกมาจากร่างอุ่น เด็กน้อยกระดุกกระดิกไปมาพอให้เห็นว่ายังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ร้องเสียงดังอย่างที่เด็กแรกเกิดทั่วไปควรจะเป็น
“ออกมาแล้วอุ่น..เด็กออกมาแล้ว...”
อิ่มพูดเท่านั้นก็ชะงัก เมื่อสายตาแลเห็นว่าที่บริเวณต้นขาเด็กน้อย มีปานแดงดวงหนึ่งปรากฏอยู่
“มีปานแดงที่ต้นขาด้วย...”
อุ่นพยายามจะชะเง้อมามองลูก “ขอฉันดูหน้าลูกหน่อยสิพี่อิ่ม ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลยล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เด็กหายใจนะ” อิ่มพยายามจะเขย่าตัวเด็ก “ร้องสิเอ็ง...ร้องสิ”
“อย่าให้ลูกฉันตายนะพี่อิ่ม ลูกฉัน..กับท่านนายพล...”
อิ่มพยายามเขย่าตัวเด็กอีก แต่เด็กก็ไม่ยอมร้องออกมาสักแอะ อิ่มว้าวุ่นใจมาก
“นังอุ่น..ฉันจะเอาเด็กไปหาหมอ” อิ่มผุดลุกขึ้นทันที
“อย่าให้ลูกฉันตายนะพี่อิ่ม ฉันฝากลูกฉันด้วย พี่อิ่มอย่าให้ลูกฉันตายนะ” อุ่นร้องบอก
อิ่มพยักหน้ารับแล้วเอาผ้าพันตัวเด็กอย่างลวกๆ แล้ววิ่งลงจากบ้านไป อุ่นมองตามจนลับตาแล้วนอนหายใจรวยรินด้วยความเหนื่อยอ่อน
สักครู่หนึ่งแลเห็นอิ่มวิ่งอุ้มเด็กอ่อนลงจากเรือน แล้ววิ่งหายไปในความมืดทางด้านหนึ่งของบ้าน ในจังหวะเดียวกันกับที่สร้อยพาไอ้พุ่มเดินเร็วๆ ตรงมาที่บ้านอุ่นจากทางอีกด้านหนึ่งเช่นกัน
สร้อยมองเห็นหลังอิ่มวิ่งหายไปในความมืดไวๆ ไม่รู้ว่าอิ่มอุ้มเด็กไปด้วยเพราะเด็กไม่ร้องนั่นเอง
สร้อยหันไปทำสัญญาณให้พุ่มเงียบเสียง ก่อนที่จะเดินไปปีนรั้วมองเข้าไปในบ้าน มองตรงไปทางหน้าต่าง แลเห็นอุ่นนอนครางร้องโอดโอยเบาๆ อยู่บนที่นอน สร้อยปีนลงมา
สร้อยกลับมาบอกพุ่ม ตามที่คิดเอาเอง
“นังอุ่นมันอยู่คนเดียว สงสัยใกล้คลอดเต็มที นังพี่สาวมันคงวิ่งไปตามหมอน่ะ แกรีบลงมือเถอะไอ้พุ่ม”
แล้วสร้อยกับไอ้พุ่มก็เริ่มเอาปี๊บน้ำมันที่หิ้วมาด้วย ช่วยกันราดไปรอบๆ ไปบ้านอุ่นจนทั่ว แล้วไอ้พุ่มก็จุดไฟขึ้น
ไฟในมือพุ่มปลิวไปตามแรงลม
สร้อยพยักหน้าให้สัญญาณ พุ่มโยนไม้ขีดที่จุดไฟนั้นลงที่กองน้ำมันที่ราดไว้ ไฟลุกติดพรึ่บขึ้นทันที
เปลวไฟลุกโชน และลามไปรอบๆ บ้านตามทางที่ราดน้ำมันไว้อย่างรวดเร็ว
ด้านอุ่นยังนอนแบบอ่อนเพลียอยู่บนที่นอน สักครู่ก็ได้กลิ่นควันไฟ พอลืมตาขึ้นมามองก็เห็นควันไฟระอุไปทั่วบ้านแล้ว อุ่นตาโตด้วยความตกใจ
“ไฟ..ไฟไหม้”
อุ่นพยายามลุกขึ้นนั่งและยืนโผเผขึ้น จัดผ้านุ่งให้กระชับ แล้ววิ่งอย่างอ่อนแรงไปที่ประตูบ้าน แต่ทันทีที่เปิดประตูบ้านออก ไฟก็โหมใส่หน้าทันที อุ่นหวีดร้องสุดเสียงแล้วผงะถอยกลับเข้ามาในบ้าน วิ่งไปยังประตูทางออกอีกด้าน แต่ก็เจอไฟลุกโชนโหมแรงเช่นเดียวกัน อุ่นทำอะไรไม่ถูก เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมี วิ่งโผเผหาทางออกอยู่ไปมา
“ช่วยด้วย ไฟไหม้ ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย”
สร้อยและพุ่มที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียงอุ่นร้องให้ช่วย
“ใครก็ได้ช่วยฉันด้วย..ไฟไหม้”
สร้อยยิ้มพอใจ สีหน้าเหี้ยมเกรียม
เวลาผ่านไปอุ่นเริ่มสำลักควันไฟอ่อนแรงจนทรุดลงไปกับพื้นวิ่งต่อไม่ไหวแล้ว
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้...ช่วยด้วย…”
ด้านอิ่มที่ยังไม่รู้เรื่องไฟไหม้อะไร อุ้มเด็กแรกเกิดจะเอาไปหาหมออย่างรีบร้อน แล้วจู่ๆ เด็กอ่อนที่นิ่งเงียบไม่ร้องมาตั้งแต่เกิด กลับร้องไห้จ้าขึ้นอย่างอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย คล้ายจะรับรู้ว่าแม่ผู้ให้กำเนิดกำลังมีอันตรายถึงชีวิต อิ่มชะงักหยุดวิ่ง แปลกใจมาก
“อ้าว..อยู่ๆ ก็ร้องไห้จ้าขึ้นมาเสียอย่างนั้นแหละ เอาไงดี ละนี่..”
อิ่มตัดสินใจไม่ถูกระหว่างจะวิ่งไปหาหมอ หรือกลับไปที่บ้านดี แต่พอหันไปมองทางทิศที่ตั้งของบ้าน อิ่มก็ต้องชะงัก
เมื่อแลเห็นลุกไฟโชนขึ้นจับท้องฟ้าในทิศทางที่บ้านอุ่นตั้งอยู่ เปลวไฟโชนแสงขึ้นฟ้าด้วยอิ่มตกใจ
“ไฟไหม้”
อิ่มตัดสินใจอุ้มเด็กวิ่งกลับไปที่บ้านอุ่นทันที
ฝ่ายอุ่นพยายามซมซานหาทางออกอย่างลนลาน ท่ามกลางกลุ่มควันที่เริ่มตลบไปทั่ว แล้วก็เจอทางออกเป็นประตูหลังบ้าน อุ่นรวบรวมกำลังที่มีวิ่งไปที่ประตูหลังบ้านทันที
สร้อยกับพุ่มกำลังคอยดูให้ไฟไหม้รอบบ้านอย่างจงใจจะให้วอดวายไปทั้งหมด แล้วสร้อยก็ชะงัก เมื่อเห็นอุ่นกำลังจะออกมาทางประตูหลังบ้าน
สร้อยหันไปสั่งพุ่ม “แกอยู่ตรงนี้นะ คอยดูให้ไฟมันไหม้ให้หมด อย่าให้เหลือซากเลยนะ”
แล้วสร้อยรีบวิ่งไปทางหลังบ้านตรงจุดที่เห็นอุ่นทันที
อุ่นกำลังจะออกจากบ้านเพื่อหนีไฟ เอามือกุมท้องไว้ด้วย เพราะเพิ่งคลอดลูกใหม่ๆ สร้อยวิ่งเข้ามายืนจังก้าดักหน้าไว้
“หยุด”
สร้อยกราดตามองที่ท้อง เห็นมืออุ่นกุมท้องไว้ และท้องอุ่นก็ยังใหญ่คล้ายคนที่ยังอุ้มท้องอยู่ โดยไม่สำเหนียกว่าคนคลอดลูกใหม่ๆ ท้องยังไม่ยุบลงทันที นั่นทำให้สร้อยยังเข้าใจว่าอุ่นยังไม่ได้คลอดลูกออกมา
อุ่นชะงักเพราะไม่รู้จักกัน “แกเป็นใคร! มาเผาบ้านฉันทำไม”
สร้อยไม่ตอบ หันซ้ายหันขวาแล้วคว้าได้ของบางอย่างตรงแถวนั้น กระชับในมือแล้วเอาขึ้นมาขู่อุ่น
ที่แท้ในมือของสร้อย เป็นมีดทำครัว อุ่นเห็นก็ตาโตด้วยความตกใจกลัว
อิ่มวิ่งอุ้มลูกอุ่นกลับมาถึงที่บ้านพอดีได้เห็นเหตุการณ์ระหว่างสร้อยกับอุ่น อิ่มตะลึงตกใจจนทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
สร้อยจ้องหน้าอุ่นเขม็ง
“ฉันจะเป็นใครแกไม่ต้องรู้หรอก! กลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้” สร้อยตะคอกขู่ “ไป”
แล้วสร้อยก็ขยับมีดในมือขู่อีก ให้อุ่นจำต้องถอยหลังหนีกลับเข้าไปในบ้าน แต่ทันใดนั้น ! ฝ้าเพดานที่ลุกติดไฟอยู่ก็หล่นโครมลงมา เฉียดหลังอุ่นไปนิดเดียว อุ่นหวีดร้องด้วยความตกใจแล้วกระโจนหนีอย่างลืมตัว
แต่กลายเป็นว่าอุ่นพุ่งร่างเข้าหาสร้อยซึ่งยังถือมีดอยู่ในมือ ทำให้มีดในมือสร้อยเสียบฉึก เข้าที่ท้องอุ่นจังๆ
อิ่มเห็นภาพตรงหน้า ตกใจสุดขีด เผลอตัวร้อง
“นังอุ่น” แล้วรีบเอามือปิดปากตัวเองหมับทันที
อุ่นกับสร้อย ต่างฝ่ายต่างชะงักค้างไปชั่วขณะ สร้อยมีสีหน้าตกใจ เพราะไม่ได้คิดว่าจะมาฆ่าอุ่นด้วยมือตัวเอง คิดแต่ว่าจะให้อุ่นถูกเผาตายคาเรือนมากกว่า สร้อยมองหน้าอุ่น เห็นสีหน้าอุ่นแสดงความเจ็บปวด อุ่นผงะออกเอามือกุมท้องที่ถูกแทง แล้วฉวยจังหวะที่สร้อยยังตกใจอยู่ จะวิ่งผ่านสร้อยหนีไป แต่สร้อยกลับได้สติอย่างรวดเร็ว หันไปจิกผมอุ่นไว้ ทำให้อุ่นต้องพลิกตัวหักลับมาหา
“แกจะหนีไปไหนไม่ได้ วันนี้คือวันตายของแก กับลูกแก”
อุ่นตกใจดวงตาเหลือกลาน “อย่าทำอะไรลูกฉันนะ”
แต่สร้อยไม่สนใจคำขอร้องของอุ่น และโดยที่อุ่นไม่ได้คาดคิด สร้อยตัดสินใจใช้มีดที่ยังถืออยู่ในมือพุ่งแทงเข้าที่ท้องอุ่นอีกครั้ง อุ่นตาลอยคว้าง แววตาแสดงความเจ็บปวดสุดชีวิต แล้วสร้อยก็กระชากมีดออก แล้วผลักอุ่นให้กลับเข้าไปในเรือนที่ไฟกำลังไหม้อยู่ ร่างอุ่นเซซังถลากลับเข้าไปในเรือน แล้วฟุบลงกับพื้นแน่นิ่งไป จังหวะนี้คานไม้ติดไฟอันหนึ่งหล่นลงมากั้นระหว่างอุ่นกับสร้อย ในขณะที่สร้อยยืนดูเฉย จนกระทั่งไฟโหมหนักขึ้น สร้อยจึงถอยห่างออกมาจากหลังเรือนไป
อิ่มที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจากบริเวณใต้ถุนบ้านอีกด้าน และยังเห็นใบหน้าสร้อยอย่างชัดเจน จำติดตา
อิ่มอ้าปากค้าง ร้องไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก แล้วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอุ้มเด็กทารกแรกเกิดลูกสาวของอุ่นอยู่ในอ้อมอก
อิ่มกอดเด็กแนบกระชับกับอกแน่นแล้วตัดสินใจออกวิ่งหนีไปจากบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายสร้อยยังคงยืนดูเรือนของอุ่นไฟไหม้อย่างเลือดเย็น สักครู่พุ่มวิ่งเข้ามาหาเตือนสร้อย
“ชาวบ้านเริ่มเห็นแสงไฟแล้วนังสร้อย เรารีบไปกันเถอะ”
แล้วสร้อยกับพุ่มก็รีบเร้นกายวิ่งหนีหายไปในความมืด ขณะที่เรือนของอุ่น ถูกไฟโหมไหม้หนักหน่วง ชนิดที่อุ่นไม่มีทางรอดตายได้เลย
อิ่มวิ่งอุ้มเด็กทารกหนีกระเซอะกระเซิงมา เหลียวหันกลับไปมองข้างหลังอย่างหวาดกลัวจับหัวใจว่าสร้อยจะตามมาทำร้ายตนรึเปล่า
จังหวะนี้รถที่ผกาโสเภณีประจำซ่องนั่งมา โดยมีแขกเป็นคนขับรถ ผกาเอียงหัวซบไหล่แขกอย่างประจบประแจงอยู่
สร้อยวิ่งเข้ามาแล้วไม่ทันได้ระวังตัว วิ่งถลันลงไปที่ถนน ทันใดนั้น รถของผกาที่แล่นมาจึงเบรกไม่ทัน พุ่งเข้าชนร่างของอิ่มเข้าให้จังๆ แม้จะพยายามเบรกแล้ว แต่แรงรถก็ยังกระแทกร่างของอิ่มอยู่ดี อิ่มล้มฟุบลงกับพื้นพร้อมเด็กที่ยังอุ้มแนบอกอยู่ เด็กร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
รถจอดเอี๊ยด จนสนิท สักครู่ก็เห็นผกา และแขกลูกค้า วิ่งลงจากรถมาดูอิ่มด้วยความตกใจ
สายตาของผกาเห็นที่บริเวณหัวของอิ่มมีเลือดไหลซึมออกมา เห็นได้ชัดเจนว่าอิ่มได้รับบาดเจ็บที่หัว
“วิ่งทะเล่อทะล่ามาไม่ดูรถเลยโว๊ย” แขกกลัดมันบ่น
ผกาฉุนไม่พอใจแขกที่แล้งน้ำใจ แต่ยังพูดเสียงอ่อนเสียงหวานอย่างประจบเอาใจ
“แหม...ท่านคะ คนเขาบาดเจ็บนะคะท่าน แถมยังอุ้มเด็กมาด้วย”
ผกาพลิกตัวอิ่มให้หงายขึ้น ในขณะที่แขกไม่สนใจจะเข้ามาช่วยเลย ผกาคว้าตัวเด็กมาอุ้มไว้แทน ผกาก้มลงมองเด็ก
เห็นเด็กหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู และหยุดร้องทันทีที่ผกาเอาตัวมาอุ้มไว้
ผกาถูกชะตากับเด็กคนนี้ทันที
“ท่านคะ เราพาคนเจ็บไปส่งโรงหมอกันเถอะค่ะ” ผกาเห็นอาการแขกลังเลก็โน้มน้าวอีก “นึกเสียว่า..ช่วยคนเอาบุญนะคะท่าน”
แขกจำใจเข้ามาช่วยอุ้มอิ่มแล้วเอาขึ้นรถ ผการีบตามไปดูอย่างเป็นห่วง
ผกาขึ้นนั่งบนรถยังอุ้มเด็กอยู่กับอกแนบแน่น ผูกพันกันอย่างประหลาด
ไม่นานต่อมาผกากำลังส่งเด็กให้พยาบาลเอาไปตรวจดูบาดแผล ในขณะที่ตาก็มองตามอิ่มที่ถูกเข็นเข้าห้องรักษาไป
ผกาบอกกับหมอ “ช่วยดูเด็กนี่ให้หน่อยค่ะหมอ ดิฉันไม่ทราบว่าแกจะมีบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า แล้วดิฉันก็ฝากหมอดูแลคนแม่โน่นด้วยนะคะ ค่ารักษาเท่าไหร่ ดิฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองค่ะ”
หมอรับเด็กแล้วเดินไปที่ห้องรักษา ผกาจะเดินตาม แขกดึงแขนไว้
“แล้วฉันล่ะ”
ผกายิ้มประจบประแจง โน้มน้าวแขกต่อ “โธ่..ท่านคะ คิดจะช่วยคนแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุดสิคะ เอาเถอะค่ะ เสร็จเรื่องวันนี้แล้ว ผกาจะบริการให้ท่านเปล่าๆ ไม่คิดเงินเลยสักแดง ดีไม๊คะ”
แขกจอมหื่นเพิ่งยิ้มออกมาได้ ผกาแอบค้อน แล้วหันไปมองตามอิ่มอย่างเป็นห่วง
กลางดึกคุณหญิงมณีอยู่บนเรือน และกำลังซักถามสร้อยอยู่ โดยที่ในมือยังอุ้มลูกน้อยอยู่ กับอกเหมือนพยายามจะปกป้องลูกสาวไว้ด้วยอ้อมอกแม่อยู่ตลอดเวลา
“เรียบร้อยไม๊นังสร้อย”
“เรียบร้อยเจ้าค่ะคุณหญิง นังนั่นมันตายทั้งกลม ตายทั้งแม่ทั้งลูกในกองไฟในบ้านนั่นแหละเจ้าค่ะ”
“ดีมาก” มณียิ้ม “หมดเสี้ยนหนามแทงใจฉันเสียที” แล้วโยนถุงเงินให้สร้อยอีก “เอ้า...ฉันให้รางวัลแก แล้วจำไว้ เรื่องนี้แกจะให้ท่านนายพลรู้ไม่ได้เด็ดขาดนะ”
“เจ้าค่ะ” สร้อยรีบออกไป
มณียิ้มออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม แต่พอก้มลงมองลูกน้อยที่อุ้มอยู่แนบอก สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นคนละคน ท่าทีอ่อนโยนขึ้นมาทันที
มณีวางเด็กอ่อนในเปล ทารกน้อยหน้าตาผิวพรรณงดงามหมดจดนัก
“ลูกแม่ ดวงใจของแม่..แม่มีลูกแค่คนเดียว และกว่าจะมีได้..ก็ลำบากแทบขาดใจ” มณีบรรจงจูบลูกน้อยอย่างรักใคร่ “เพราะฉะนั้นแม้ว่าแม่จะต้องแลกด้วยชีวิต แม่ก็จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายลูกได้เป็นอันขาด” คุณหญิงประกาศก้อง “แม่ขอสาบาน”
แล้วคุณหญิงมณีก็ร้องเพลงกล่อมลูกเบาๆ
“หลับเสีย ดวงหทัยของแม่ แม่อยู่ดูแล ขวัญแม่นอนเถิดลูกเอย…”
คุณหญิงมองหน้าหน้าเด็กหญิงตัวน้อย ธิดาสุดสวาทอย่างแสนรัก
วันต่อมาใบหน้าเด็กหญิงอีกคน หลับตาพริ้มอยู่ในอ้อมกอดผกาที่กำลังอุ้มอยู่
“โชคดีที่เด็กไม่เป็นอะไรเลยครับ เข้าใจว่า แม่เด็กที่อุ้มเด็กมา คงจะเอาตัวบังเด็กไว้ตอนที่ถูกรถชน เด็กถึงได้ไม่เป็นอะไร” หมอเอ่ยขึ้น
“แล้วตอนนี้..คนที่เป็นแม่เด็ก..เป็นยังไงบ้างแล้วคะคุณหมอ”
“ยังไม่ได้สติเลยครับ เลยยังไม่รู้ว่า อาการบาดเจ็บที่ศีรษะเธอจะมีผลอะไรบ้างหรือเปล่า”
ผกาพยักหน้ารับทราบ “ขอดิฉันไปเยี่ยมหน่อยได้ไม๊คะ”
“เชิญครับ”
ภายในห้องผู้ป่วย อิ่มที่นอนหลับอยู่ สักครู่ก็เริ่มได้สติ ค่อยๆ ปรือตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆอย่างงุนงงไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สีหน้าหวาดกลัวไปทุกอย่าง แล้วอิ่มก็หันไปทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก
อิ่มเห็นผกาอุ้มเด็กเดินเข้ามา แต่แล้วกลับเห็นหน้าผกา เป็นใบหน้าของสร้อย ด้วยอาการบาดเจ็บที่หัว ยังไม่รู้ว่าอะไรคือเรื่องจริง อะไรคือจินตนาการ ผกากลายเป็นสร้อยในสายตาของอิ่ม
อิ่มขยับตัวหนีและเริ่มร้องโวยวายด้วยความตกใจกลัวทันที จ้องผกาไม่วางตา และยังผกาเป็นสร้อยอยู่อย่างนั้น
พร้อมกันนี้ภาพตอนที่อิ่มเห็นสร้อยกระซวกแทงอุ่นอย่างเลือดเย็นผุดขึ้นมาหลอกหลอน
อิ่มสติแตกขึ้นมาทันที ร้องโวยวายสุดเสียง
“ออกไปนะ!แกอย่าทำอะไรฉันนะ ฉันกลัวแล้ว”
อิ่มยกมือไหว้ผกาปลกๆ ผกาอยู่ในอาการงวยงง ค่อยๆ เดินเข้าไปหาอิ่ม
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกจ้ะ”
อิ่มก็ยังเห็นหน้าผกาเป็นหน้าสร้อยอยู่ดี และเริ่มสติแตก
“ช่วยด้วย! มันตามมาฆ่าฉันแล้ว! มันจะฆ่าฉันอีกคน”
ผกายืนงง อิ่มคว้าข้าวของแถวนั้นขว้างปาใส่ผกาอย่างป้องกันตัวเอง แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจวิ่งพุ่งเข้าชนผกา เพื่อจะหนีออกไปที่ประตู ผกากลัวเด็กจะเป็นอะไรไปจึงกอดเด็กไว้กับอกแน่น ทำให้ตัวเองล้มลง อิ่มไม่สนใจ วิ่งร้องโวยวายหนีไป
“ช่วยด้วย! มันจะฆ่าฉัน! มันจะฆ่าฉัน”
หมอ และพยาบาล 2 คน วิ่งเข้ามา และพยายามจะจับตัวอิ่มเอาไว้ แต่อิ่มสู้สุดฤทธิ์ทำให้ไม่มีใครจับตัวได้ อิ่มวิ่งหนีไปได้
หมอสั่งพยาบาล “ตามไปเร็ว”
พยาบาล 2 คน วิ่งตามอิ่มไป หมอรีบเข้ามาดูผกา
“เป็นไงบ้างครับคุณ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ผกาก้มลงมองเด็กที่อุ้มอยู่ “เด็กก็ไม่เป็นไรเหมือนกันค่ะ” ผกามองไปทางที่อิ่มวิ่งไป ด้วยสีหน้าสงสัย “แต่คุณหมอคะ ดิฉันไม่ได้ทำอะไรเธอเลยนะคะ ทำไมเธอถึงได้ทำท่าตกใจกลัวดิฉันอย่างกับเห็นผีเสียขนาดนี้”
“สงสัยว่า...อาการบาดเจ็บที่ศีรษะคงจะทำให้คนไข้เกิดอาการสับสนไปน่ะครับ ไม่ทราบว่า..คุณพอทราบไม๊ครับว่าคนไข้ชื่ออะไร”
“ไม่ทราบเลยค่ะ”
อิ่มวิ่งหนีกระเซอะกระเซิงเข้ามาจนถึงริมน้ำแห่งหนึ่ง พอเห็นว่ามีพยาบาลวิ่งตามมา อิ่มก็ตัดสินใจวิ่งลงไปหลบซ่อนตัวอยู่ในเรือ สักครู่พยาบาลก็วิ่งตามมาถึง แต่ไม่เห็นอิ่มแล้ว พยาบาลทั้ง 2 วิ่งเลยไป อิ่มโผล่หน้าออกมาดู พอดีมีคนเรือเดินมา อิ่มซ่อนตัวอีก คนเรือไม่รู้ว่าอิ่มอยู่ในเรือด้วย ก็ออกเรือไปจากท่าเลย
พอเรือออกไปสักพัก อิ่มก็โผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อนดูเหตุการณ์บนฝั่ง ภาพที่อิ่มซ่อนตัวอยู่ในเรือค่อยๆ ห่างออกไป ห่างออกไปเรื่อยๆ
อิ่มหายไปกับเรือลำนั้น แต่ไปไหน ไม่มีใครรู้อีกเลย
วันต่อมาหมอกำลังบอกกับผกา
“ไม่มีใครตามหาแม่เด็กพบเลยครับคุณผกา”
“โธ่...เวรกรรมจริง แล้วเด็กคนนี้ละคะหมอ จะยังไงต่อไปคะ”
“ถ้าแม่เด็กไม่กลับมา ก็คงต้องหาคนอุปการะเด็กต่อไปละครับ”
ผกาก้มลงมองดูเด็กที่อุ้มไว้แนบอก
“ถ้าอย่างนั้น ดิฉันจะขออุปการะเด็กคนนี้เองค่ะ”
เวลาต่อมา ผกาพาเด็กกลับมาที่ซ่องชั้นสูง ที่หล่อนทำงานอยู่ เพ็ญ แม่บ้านประจำซ่องตกใจมากพอฟังเรื่องจบ
“คุณผกาจะเลี้ยงเด็กคนนี้”
“ใช่ ทำไมล่ะ”
“ก็...” เพ็ญอึกอัก “...คุณผกาเป็น..เอ้อ…”
“ผู้หญิงหากิน” ผกาสวนออกมาอย่างไม่ยี่หระ
เพ็ญพยักหน้า สีหน้าจ๋อยๆ “แล้วนี่มัน...” ชะโงกดูเด็กอีกครั้ง “เด็กผู้หญิงด้วยนะคะคุณ ให้มาโตในซ่อง จะดีรึคะ”
“แต่การที่ฉันรับเด็กคนนี้มาเลี้ยง ให้มีที่อยู่ที่กิน มันก็ดีกว่าให้เด็กไปอยู่สถานสงเคราะห์ หรือไปเป็นขอทานอยู่ข้างถนนไม่ใช่รึเพ็ญ ส่วนที่ว่า...โตขึ้นแล้วเขาจะเป็นอะไร นั่นก็สุดแท้แต่บุญวาสนาที่เขาทำมาในชาติก่อนก็แล้วกัน” โสเภณีผู้มีจิตใจอารีก้มลงดูเด็กขณะบอก “ฉันจะตั้งชื่อเด็กคนนี้ว่า...บุปผา...ให้เข้ากับชื่อของฉัน “ผกา” ที่แปลว่าดอกไม้เหมือนกัน”
ผกาจ้องหน้าเด็กทารกคนนั้นไม่วางตา
วันเวลาผ่านไป 18 ปี ต่อมา บุปผาเติบโตเป็นสาว และกำลังแต่งหน้าอยู่อย่างบรรจงหน้ากระจก ในห้องส่วนตัว เริ่มจากเขียนคิ้ว ปัดแก้ม ทาปาก แล้วจึงค่อยๆ ลุกขึ้นยืนเต็มตัว
เผยโฉมให้เห็นว่าหล่อนนั้นเป็นหญิงสาวใบหน้าสวยงาม แต่งหน้า แต่งตัวจัดจ้าน สมฐานะโสเภณีดาวเด่น แห่งหอโคมแดง
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวน ตอนที่ 1 (ต่อ)
บุปผามองสำรวจเงาตัวเองที่สะท้อนในกระจกอย่างพึงพอใจ แล้วจึงค่อยหลุดจากโลกส่วนตัวของตนเมื่อได้ยินเสียงของเดือนกับสิรี เพื่อนโสเภณี ร้องโวยวายขึ้น
“ว้าย! อย่าค่ะคุณกำพล” นั่นเป็นเสียงสิริ
ตามด้วยเสียงเดือน “อย่านะคะคุณศักดิ์ชัย”
บุปผาละตัวจากโต๊ะแต่งตัว วิ่งไปชะโงกดูที่หน้าต่าง
เมื่อมองลงไปบุปผาเห็นเหตุการณ์ในห้องโถงกลางของหอโคมแดง ว่ามีผู้ชาย 2 คน กำลังเอาปืนขึ้นเล็งใส่หน้าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร โดยมีเดือนพยายามห้าม กำพล ลูกชายนายพล ไว้ ในขณะที่สิรีพยายามห้าม ศักดิ์ชัย ลูกชายพ่อค้าใหญ่ ไม่ให้อะไรรุนแรงเช่นกัน
ส่วนมุกกับพิกุล โสเภณี ซึ่งอายุมากแล้ว ก็ยืนดูเหตุการณ์อยู่อย่างไม่สนใจจะช่วยใคร ผกากับเพ็ญซึ่งเวลานี้อายุมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเดินเร็วๆ เข้ามา
ตอนนี้ผกาเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่องเองแล้วในกรุงเทพฯ และนำเอาเพ็ญจากนครปฐม ตามมาทำงานคอยรับใช้ด้วย
บุปผาจากที่มีสีหน้าตื่นเต้นเพราะทีแรกไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แต่พอหลังจากที่ได้เห็นแล้ว ก็หายตื่นเต้น บุปผายิ้มผยอง แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง สำรวจความเรียบร้อยของหน้าและเสื้อผ้าที่สวมใส่อีกครั้ง ก่อนจะเดินนวยนาดออกจากห้องไป
ด้านผกาวิ่งเข้ามาห้ามเหตุร้าย โดยเข้ามายืนตรงกลางระหว่างกำพลกับศักดิ์ชัย)
“อุ๊ย..อะไรกันเนี่ย ถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันเชียวหรือคะ”
คุณกำพล คุณศักดิ์ชัย
กำพลยังคงเอาปืนเล็งใส่หน้าศักดิ์ชัยไม่ยอมรามือ ศักดิ์ชัยก็เช่นกัน
กำพลบอกกับผกา “ผมไม่มีวันยอมให้ใครมาแย่งบุปผาของผมไปหรอก”
“แต่ข้ามาก่อนเอ็ง วันนี้บุปผาเป็นของข้า” ศักดิ์ชัยบอก สองหนุ่มนักเลงใหญ่โต้เถียงแย่งชิงบุปผานั่นเอง
“ของข้าต่างหาก” กำพลไม่ยอม
ศักดิ์ชัยเองก็ไม่ยอมแพ้ กระชับมือเล็งตรงหน้ากำพลอย่างเอาจริง กำพลก็ไม่ถอย สองหนุ่มจ้องหน้ากันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ผกาเห็นท่าไม่ดีจึงเข้าขวางตรงกลาง
“โถๆๆๆ นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้ก็เรื่องแม่บุปผานี่เอง เอาอย่างนี้ดีไม๊คะ ประเดี๋ยวแม่บุปผาก็คงจะลงมาแล้ว ดิฉันว่า..ให้แม่บุปผาเขาเป็นคนตัดสินใจเองดีกว่าว่าหล่อนจะเลือกไปกับคุณคนไหน ของแบบนี้...” ผกายิ้มขี้เล่นใส่สองหนุ่ม “ต้องให้ผู้หญิงเขาเป็นฝ่ายเลือกนะคะ”
เดือนกับสิรีถอยออกมาอยู่นอกวง กระซิบคุยกันเองเบาๆ
“เธอว่าบุปผาจะไปกับใคร คุณกำพล หรือคุณศักดิ์ชัย” เดือนว่า
“ฉันว่าบุปผาเลือกคุณศักดิ์ชัย เพราะคุณศักดิ์ชัยเป็นถึงลูกพ่อค้าใหญ่นะ” สิริบอก
“แต่ฉันว่าบุปผาเลือกคุณกำพลมากกว่า คุณกำพลเป็นถึงลูกนายพลนะยะ ลูกพ่อค้าหรือจะสู้ลูกนายพล”
มุกฟังอยู่ด้วยก็พูดจาแดกดัน “จะลูกนายพล หรือลูกพ่อค้า ลงแก้ผ้าแล้วมันก็ผู้ชายเหมือนๆ กันละว้า”
พิกุลผสมโรง “ใช่..ใช่”
แล้วทุกคนก็หยุดพูดลงทันที เมื่อบุปผาเดินนวยนาดเข้ามา ชายหนุ่มทั้งสองรีบวิ่งเข้าไปหาทันที ร้องเรียกชื่อพร้อมเพรียง
“บุปผา”
“วันนี้บุปผาไปกับผมนะ” กำพลบอก
ศักดิ์ชัยหรือจะยอม “ไม่ คุณต้องไปกับผม”
แล้วสองหนุ่มก็มองหน้ากันอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ ผกาเข้ามาแทรก
“บุปผาจะไปกับใครดีจ๊ะ”
บุปผายิ้มยั่วยวนหว่านเสน่ห์ มองกำพลที มองศักดิ์ชัยที สลับกัน ทุกคนรอฟังคำตอบจากปากบุปผา
ไม่นานต่อมาห้องสำหรับรับแขกของบุปผา แลเห็นบุปผากำลังเอาน้ำผึ้งหยดลงบนกลางอกของผู้ชายคนหนึ่งที่นอนเปลือยอกอยู่บนเตียงอย่างใจเย็น บุปผาถกกระโปรงไว้สูงจนเห็นปานแดงที่ต้นขาของหล่อน
เสียงกระเส่าของชายหนึ่งดังขึ้น “บุปผา...จะทำอะไรผมน่ะ”
บุปผาพูดด้วยเสียงอ้อล้อ “บุปผาก็แค่..เอาน้ำผึ้งหยดบนตัวคุณ...เท่านั้นเองค่ะ”
ผู้ชายคนนั้นที่แท้เป็นกำพลที่เวลานี้มีผ้าผูกปิดตาอยู่
“แล้วบุปผาจะหยดน้ำผึ้งทำไม” กำพลถาม
บุปผายิ้มพราย “ก็บุปผาอยากให้คุณกำพลเป็นผู้ชายตัวหวานนะสิคะ”
พูดจบบุปผาก็หัวเราะคิกคัก แล้วก้มลงทำอะไรบางอย่างที่ตัวกำพล ใบหน้ากำพลท่าทางตื่นเต้นสุดขีด พูดเสียงกระเส่า)
“แหม..บุปผา..ขี้เล่นอีกแล้ว...” สีหน้าที่มีผ้าคาดตาอยู่ออกอาการสยิว
จากนั้นบุปผาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากกิจกรรมที่หล่อนกำลังทำอยู่ หัวเราะคิกคักน้ำเสียงระรื่นท่าทีเย้ายวน
บุปผานั้นจัดเป็นโสเภณีค่าตัวแพง ผู้ชายรุมกันแย่งตัว เพราะเธอมีลีลาเด็ดและให้บริการถึงใจไม่เหมือนโสเภณีคนอื่น
เวลาเดียวกัน ภายในห้องเรียนคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แลเห็นนิสิตหญิงชายกำลังนั่งเรียนอยู่อย่างตั้งใจ
หนึ่งในนั้นมีมัทนาลูกสาวของคุณหญิงมณี ที่นั่งเรียนคู่กันกับพลอย ส่วนที่หน้าต่างห้องเรียน เห็นนิสิตชาย 2 คนกำลังชะเง้อมองมาในห้อง พลอยเห็นก็มองตามสายตานิสิตชายทั้ง 2 นั้น และก็รู้ว่าพวกเขามาแอบดูมัทนานั่นเอง พลอยแอบยิ้มอย่างอ่อนใจ เพราะรู้ดีว่าเพื่อนรักนั้นมีผู้ชายหมายหลงใหลมากมายจนเป็นเรื่องปกติ แล้วทันใดนั้นนิสิตชายทั้ง 2 ก็ถูกอาจารย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง เดินเข้ามาข้างหลัง ชะเง้อมองตามเข้ามาในห้อง
“มาแอบดูนิสิตน้องใหม่กันอีกแล้วเรอะ มานี่เลย” แล้วจากนั้นอาจารย์ก็ดึงหูนิสิตชายทั้ง 2 ออกไป
พลอยมองตามแล้วหัวเราะเบาๆ มัทนาหันไปมองพลอย แล้วสะกิดให้เพื่อนหันกลับมาตั้งใจเรียน
มัทนากับพลอยเดินออกมาจากห้องเรียน แล้วมีนิสิตชาย 2 คน มายืนดักรออยู่คนละมุม มัทนากับพลอยเดินมา นิสิตชายทั้ง 2 ทำท่าจะเข้ามาพูดด้วย มัทนารีบเดินก้มหน้างุดๆ ไม่เปิดโอกาสให้ใครเข้ามาพูดด้วยได้เลย พลอยรีบจ้ำตาม
ครู่หนึ่งมัทนาเดินนำพลอยเข้ามาอีกมุมในมหาวิทยาลัย
“เดินช้าๆ หน่อยสิยายมัท”
มัทนาหยุดเดิน แล้วหันไปรอพลอยให้เดินตามมาจนทัน
“ขอโทษจ้ะ”
พลอยมองมัทนาแล้วยิ้มล้อๆ แกล้งพูดแซวอย่างเป็นทางการมาก
“คุณหนูมัทนา เทพบริบาล เจ้าขา ต่อไปนี้คุณหนูมัทนาจะต้องเริ่มทำตัวให้ชินกับนิสิตชายบ้างแล้วนะเจ้าคะ เพราะเราสองคน ไม่ได้เรียนในโรงเรียนหญิงล้วนกันอีกแล้ว”
มัทนาค้อนให้ “ฉันก็พยายามปรับตัวอยู่หรอกน่ายายพลอย” ว่าพลางชะเง้อมองหาคนรถ “เอ๊ะ..ทำไมป่านนี้นายสินยังไม่มารับนะ”
พลอยมองหารถของตัวเองบ้าง พอเห็นรถก็ยิ้ม “แต่รถที่บ้านฉันมาโน่นแล้ว”
รถยนต์สุดหรูคันหนึ่งแล่นเข้ามาในระยะไกล
“เอ๊ะ ใครขับมาน่ะ ไม่ใช่นายด้วงนี่”
พลอยมีสีหน้าฉงน ขณะเดินลงจากระเบียงทางเดินอย่างเร็วไปที่ถนน มัทนาตามไป
พลอยวิ่งลงมาที่ริมถนนในมหาวิทยาลัย มัทนาตามมายืนรอด้วย แล้วรถคันนั้นก็แล่นเข้ามาจอดตรงหน้าสองสาว พลอยมองดูคนขับอย่างตื่นตะลึงเมื่อเห็นว่าเขาคือ เพชร ผู้เป็นพี่ชาย ในชุดเครื่องแบบนายทหารเต็มยศก้าวลงมาจากรถ พลอยสีหน้าตื่นเต้นมาก
“พี่เพชร พี่เพชรกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ย”
“เมื่อบ่ายนี้เอง พี่เลยอาสานายด้วงมารับน้องสาวพี่ด้วยตัวเอง อยากเห็นน้องสาวในชุดนิสิตใหม่จะแย่อยู่แล้ว”
เพชรมองพลอยเต็มตัวอย่างเป็นปลื้มแล้วมองเลยไปข้างหลัง จึงเห็นว่ามัทนายกมือไหว้เขาโดยไม่ต้องมีใครบอก เพชรประทับใจดวงตาคู่นั้นทันที
พลอยหันมองตามสายตาของพี่ชาย แล้วนึกได้
“พี่เพชร จำยายมัทไม่ได้หรือคะ มัทนา เทพบริบาล ลูกสาวท่านนายพลเทพกับคุณหญิงมณีไงคะ”
เพชรตกใจ “มัทนา ยายมัทที่ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งน่ะเหรอ”
“เดี๋ยวนี้ยายมัทไม่ร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วค่ะ แต่กลายเป็นสาวสวย หนุ่มๆ ตามจีบกันเกรียว”
มัทนาเอ็ด “พลอย”
“ก็มันเรื่องจริงนี่ เออ..แล้วนี่เธอจำพี่เพชรได้รึเปล่า พี่เพชรไปเรียนทหารที่อังกฤษเสียหลายปี ไปตอนที่เรายังเด็กๆ กันอยู่เลยน่ะ”
“ก็คลับคล้ายคลับคลาอยู่” มัทนาว่า
“ดีละ ถ้าเช่นนั้นพี่กลับมาอยู่บ้านคราวนี้ คงได้ไปมาหาสู่กันเหมือนเคย” เพชรมองมัทนาตาไม่กระพริบ
พลอยกระแอมเตือนแต่เพชรก็ไม่ได้ยิน มัทนาเสมองหารถ แล้วเห็นรถยนต์หรูอีกคันแล่นเข้ามาจอดเทียบ ก่อนที่นายสินคนขับรถ จะรีบลงจากรถมาเปิดประตูให้มัทนา
“ฉันกลับบ้านก่อนนะ สวัสดีค่ะพี่เพชร”
มัทนายกมือไหว้ลาเพชรแล้วเดินขึ้นรถไป เพชรยังมองตามไม่เลิก พลอยมองพี่ชายยิ้มๆ
“หลงสเน่ห์ยายขี้มูกโป่งเสียแล้วหรือคะพี่ชาย”
เพชรยิ้ม ถามหยั่งเชิงทันที “เมื่อครู่น้องบอกว่า..น้องมัทมีหนุ่มๆ ตามจีบกันเกรียว แล้วน้องมัทเธอตกลงปลงใจกับใครรึยังล่ะ”
“ยังหรอกค่ะ บางที..เนื้อคู่ของยายมัทอาจจะเป็นพี่เพชรก็ได้น๊า...”
“ขอให้มันจริงเถอะ”
พลอยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “น้องก็อยากได้ยายมัทเป็นพี่สะใภ้เหมือนกันค่ะ ยายมัทน่ะ รูปก็สวย รวยทรัพย์ ชาติตระกูลก็ดี การศึกษาก็ดี พี่เพชรจะหาผู้หญิงที่เพียบพร้อมอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้วค่ะ”
เพชรยิ้มแล้วมองตามรถมัทนาไป ตาเป็นประกายชวนฝัน
รถที่มีนายสินขับแล่นมาตามทาง มัทนานั่งอยู่ที่เบาะหลัง ถามเสียงเฉยๆ ไม่ใช่ต่อว่า “ทำไมวันนี้นายสินมารับฉันช้าจริง”
สินบอกด้วยสีหน้าดูร้อนใจ “ผมต้องขอโทษคุณหนูด้วยครับที่มารับช้า พอดีคุณหญิงให้ผมเอารถไปซื้อต้นไม้ดอกไม้มาตกแต่งบ้านขอรับ”
“เอ๋ จะมีแขกมาที่บ้านเราอีกหรือจ๊ะ” มัทนาฉงน
“คงอย่างนั้นละครับ”
มัทนาพยักหน้ารับรู้ แล้วคิดอะไรได้ “ก่อนเข้าบ้าน นายสินช่วยแวะตลาดให้ฉันทีเถอะจ้ะ ฉันจะซื้อผลไม้เอาไปฝากคุณพ่อคุณแม่หน่อย”
“ครับ”
สักครู่หนึ่ง รถมัทนาก็แล่นไปจากมหาวิทยาลัย
ส่วนเหตุการณ์ที่หอโคมแดงอยู่ในความเรียบร้อย เห็นกำพลเดินท่าทางสะโหลสะเหล แต่ยิ้มพรายอย่างมีความสุขลงมาจากชั้นบน แล้วล้วงหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาส่งให้ผกา โดยเดือน สิรี และมุกก็นั่งอยู่แถวนั้นด้วย
“ฉันฝากเงินนี่ให้บุปผาเป็นพิเศษด้วยนะผกา บอกให้บุปผาเอาไปซื้อชุดสวยๆ ใส่ แล้วก็ซื้อน้ำผึ้งมาอีก..บอกบุปผาด้วยว่า..ฉันชอบมาก” กำพลลากเสียงยาวอย่างพอใจ
พูดแล้วกำพลก็หัวเราะร่าเดินออกไป เดือนกับสิรีโดดเข้าคุยกันอย่างชื่นชมบุปผาทันที ขณะที่บุปผาค่อยๆ เดินนวยนาดลงมาจากชั้นบนแต่ยังไม่มีใครเห็น
“นังบุปผานี่ช่างสรรหาอะไรมาเล่นสนุกกับแขกได้อยู่เรื่อยๆ เลยนะ..สิรี”
มุกโพล่งขึ้นทันที “วิตถารละไม่ว่า”
บุปผาที่เดินมาได้ยินพอดีก็โมโห
“คอยดูเถ๊อะ..นังบุปผามันชอบเล่นพิสดารขึ้นไปทุกวันๆ อย่างนี้ มันคงไม่ได้แก่ตายหรอก มันต้องเป็นโรคตาย” มุกพูดลอยหน้าลอยตา
ขาดคำ บุปผาก็ยกเท้าถีบมุกโครม มุกไม่รู้ตัวเลยหน้าคว่ำล้มใส่ข้าวของแตกเสียงดังเปรื่องปร่าง พิกุลผวาเข้าไปช่วยประคองมุกให้ลุกขึ้น พอมุกลุกขึ้นได้ชี้หน้าด่าบุปผาทันที
“นังบุปผา ! แกมันจะมากเกินไปแล้วนะ”
“ก็พี่มุกอยากมาแช่งให้ฉันไม่ตายดีทำไมล่ะ เพราะ ฉะนั้นแค่นี้มันไม่มากเกินไปหรอกสำหรับคนปากเน่าปากหนอนอย่างพี่น่ะ”
“ฮึ่ย อีบุปผา มึงรู้จักกูน้อยไปแล้ว” มุกพุ่งเข้าไปตบบุปผาทันที
บุปผาเบี่ยงตัวหลบทำให้มุกพลาดหน้าทิ่มไป บุปผาฉวยจังหวะนั้น เห็นเพ็ญที่กำลังถือกระโถนน้ำสกปรก ออกมาจากในห้องที่ใช้รับแขกเมื่อครู่ลงมาพอดี บุปผาคว้ากระโถนไว้แล้วเอาน้ำสกปรกในกระโถนสาดใส่มุกทันที มุกตกใจร้องกรี๊ดกร๊าด ทุกคนในที่นั้นตกใจไปตามๆ กัน
“อ๊าย” มุกเช็ดปาดน้ำที่เปียกอยู่ตามตัว
พิกุลดมๆแล้วทำหน้าสะอิดสะเอียน “อี๊ ! นี่มันน้ำสกปรกทั้งนั้นเลยนะนังมุก”
มุกดมตามตัวเองแล้วทำหน้าขยะแขยง
เพ็ญบอกเสียงอ่อยๆ “ป้าเพิ่งไปเก็บกระโถนนี่มาจากห้องที่บุปผาใช้ต้อนรับคุณกำพลเมื่อกี้นี้เองจ้ะ”
“แอร๊ย...” มุกร้องกรี๊ด แล้วพุ่งจะเข้าตบบุปผาอีก ผกาทนไม่ไหวรีบเข้าขวางตรงกลางเสียก่อน
“นี่ๆๆๆๆ พอทีๆ แขกอื่นก็ยังมีอยู่ เกรงใจเขามั่งสิ ประเดี๋ยวแขกก็หนีหมดหรอก”
“แต่อีบุปผามันถีบฉันก่อนนี่ แม่ผกาก็เห็น”
โสเภณีภายในหอโคมแดงแห่งนี้ทุกคน เรียกผกาว่า “แม่”
“เห็น ก็สมควรโดนไหมล่ะ ก็หล่อนอยากไปแช่งนังบุปผามันก่อนทำไมล่ะ เป็นใคร ใครก็โกรธ” บุปผาว่า
“แม่ผกาเข้าข้างนังบุปผา เพราะเห็นว่ามันกำลังเป็นตัวเรียกแขกใช่ไม๊ แล้วฉันล่ะ ฉันก็ทำงานรับใช้แม่ผกามาตั้งนาน แม่ผกาไม่เห็นแก่ความดีของฉันมั่งเลยเหรอ” มุกไม่ยอม
“ก็เพราะเห็นน่ะสิ แม่จึงยังเลี้ยงหล่อนไว้จนทุกวันนี้ไง”
“แม่เห็นนังบุปผามันสาว มันสวย มันสดกว่าฉัน แม่ก็ยกย่องเชิดชูมัน แต่คอยดูเถิ๊ด..คนอย่างมัน ไม่มีวันเห็นใครดีไปกว่าตัวมันเองหรอก”
มุกปรามาสแล้วเดินสะบัดตัวออกไป พิกุลตามไปด้วย ผกามองตามอย่างอ่อนใจ บุปผาเข้าไปหาผกา
“แม่อย่าไปฟังพี่มุกนะ ถึงฉันจะเป็นผู้หญิงขายตัว แต่ฉันก็ไม่ใช่คนอกตัญญู ฉันมีวันนี้ได้ก็เพราะแม่ เพราะฉะนั้น..ถ้าวันไหนฉันเกิดได้ดิบได้ดีขึ้นมา ฉันจะไม่มีวันทิ้งแม่ ไม่เชื่อ..แม่คอยดู”
บุปผามีสีหน้าเอาจริง
ขณะเดียวกันสินขับรถมาส่งมัทนาที่หน้าตลาด
“นายสินส่งฉันที่หน้าตลาดก็ได้จ้ะ แล้วนายสินไปหาที่จอดรถเถอะ ฉันซื้อผลไม้ฝากคุณแม่เดี๋ยวเดียว เสร็จแล้วจะเดินไปที่รถเอง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมจอดรถเสร็จแล้วจะตามไปช่วยคุณหนูถือของนะครับ”
มัทนาพยักหน้า แล้วลงจากรถไป
ขณะที่มัทนาเดินตรงไปที่ตลาดนั้น ก็แลไปเห็นอะไรบางอย่างที่กองไม้ก่อนถึงตลาด สายตามัทนา เห็นบางส่วนของชายคนหนึ่งโผล่ออกมาจากกองไม้
มัทนาค่อยๆ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ด้วยความสงสัย พอเข้าไปถึงก็เห็นว่าเป็นชายคนหนึ่งกำลังซุกตัวอยู่ด้วยท่าทางอ่อนแรง หายใจหอบแรง มือจับข้อเท้าเอาไว้คล้ายว่าเจ็บข้อเท้า
“คุณ..ไม่สบายหรือคะ”
ชายคนนั้นลืมตาขึ้นมองมัทนา
“ให้ฉันพาไปหาหมอเอาไหมจ๊ะ”
ชายคนนั้นส่ายหน้า แล้วผงกหัวขึ้นมองไปรอบๆ ท่าทางหวาดระแวงจัด มัทนามองตามอย่างสงสัย แต่ก็ไม่เห็นใคร ชายคนนั้นพยายามจะลุกขึ้นแต่เจ็บข้อเท้า มัทนาเลยเข้าไปช่วยพยุง
“มา..ฉันช่วย”
มัทนาช่วยพยุงชายคนนั้นขึ้น ทันใดนั้นตำรวจ 2 นายก็วิ่งเข้ามา
“เฮ้ย! หยุดนะ!” ตำรวจ 1 ใน 2 ตะโกนก้อง
มัทนาชะงัก ตกใจ หันไปมองตำรวจอย่างงงๆ และโดยไม่ทันตั้งตัว ชายคนที่เธอกำลังช่วยพยุงอยู่ก็หันมาล็อคคอมัทนาไว้เป็นตัวประกัน แล้วล้วงหยิบปืนขึ้นมาเล็งขู่ใส่ตำรวจทั้ง 2 คนนั้น มัทนาตกใจสุดขีด
“อย่าเข้ามานะ! ไม่งั้นนังนี่..ตาย” คนร้ายขู่
สินได้ยินเสียงโหวกเหวกจึงวิ่งเข้ามา พอเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตกใจ
“คุณหนู”
คนร้ายตกใจ หันไปยิงสินเปรี้ยง นายสินก้มหลบวูบ รอดไปได้อย่างหวุดหวิด ชายคนนั้นตัดสินใจลากตัวมัทนาไว้เป็นโล่กำบังแล้ววิ่งหนี ตำรวจ 2 นาย กับสินวิ่งตาม
เวลาต่อมา แลเห็นชายคนนั้นลากตัวมัทนาวิ่งหนีมาอีกมุมของตลาด พร้อมกับหันไปเอาปืนยิงขู่ตำรวจและสินเพื่อไม่ให้ตามมาถึงตัวได้โดยง่าย
ทำให้ตำรวจและสินต้องคอยหลบกระสุนอยู่เป็นระยะๆ
ชาวบ้านเริ่มโผล่หน้ามาดูเหตุการณ์ แล้วในที่สุดมัทนาซึ่งถูกลากถูลู่ถูกังไม่ปรานีปราศรัยก็สะดุดล้มลง ทำให้ชายคนนั้นพลอยล้มไปด้วย
มัทนาตะกายหนี แต่คนร้ายพยายามจะคว้าตัวมัทนาเอาไว้เป็นโล่มนุษย์อีก แต่ดึงได้แต่ขามัทนาเท่านั้น จนมัทนาหน้าทิ่ม
“ว้าย”
ตำรวจทำท่าจะพุ่งเข้าชาร์จชายคนนั้น ชายคนนั้นจึงหันไปยิงใส่ ไม่โดน แต่ตำรวจ 1ก็ผงะหงายไป ตำรวจ 2 จึงยิงสวน เข้าที่ท้องชายคนนั้น ชายคนนั้นร้องโอ๊ยแล้วล้มหงายแน่นิ่งไป มัทนาหันไปดู เห็นชายคนนั้นยังหายใจรวยรินอยู่ ตำรวจกับสินวิ่งเข้ามาดู ชาวบ้านเห็นเหตุการณ์สงบแล้วก็ตามมาดูด้วย
“คุณหนู ระวังครับ” สินร้องบอก
“เขาทำอะไรฉันไม่ได้แล้วละนายสิน เขาเจ็บมาก”
“นายผินมันเพิ่งปล้นบ้านคนมาครับ เราตามจับมันมาตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว” ตำรวจคนหนึ่งบอก
“ท่าทางเขาเจ็บหนัก พาเขาไปหาหมอดีกว่า”
มัทนาเข้าดูอาการชายคนนั้นอย่างกังวล เลือดเปื้อนเสื้อเธอด้วย จังหวะนี้ ไอศูรย์ เดินผ่านมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดี จึงหยุดฟัง
“อย่าลำบากเลยครับคุณหนู ให้เป็นธุระของตำรวจดีกว่า” สินว่า
“ถึงเขาจะเป็นคนร้าย แต่เขาก็เป็น คน คนหนึ่งเหมือนกันนะนายสิน ชีวิตของเขาก็มีค่าไม่ต่างอะไรไปจากเรา”
คำพูดประโยคนั้นนั้นกระแทกเข้าที่หน้าไอศูรย์อย่างจัง เขารู้สึกประทับใจมัทนาขึ้นมาทันที ไอศูรย์เดินเข้ามา
“ผมเป็นหมอ ขอผมดูอาการเขาหน่อย”
นาทีนั้นไอศูรย์กับมัทนาสบตากัน เหมือนโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ แล้วไอศูรย์ก็หันกลับไปดูแผลให้ชายคนร้ายอย่างไม่รังเกียจ
สายตาของมัทนามองหน้าหมอหนุ่มอย่างอึ้งๆ ทึ่ง และประทับใจในตัวไอศูรย์ในนาทีนั้นเช่นกัน
ไม่นานนัก แลเห็นมัทนา สิน และตำรวจ 2 คนนั่งรออยู่ที่ทางเดินในโรงพยาบาล สักครู่หนึ่งต่อมา ไอศูรย์ก็เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินข้างใน
“ผ่าตัดเรียบร้อยครับ แต่คงต้องให้คนไข้พักฟื้นสักระยะ”
ตำรวจ 2 คนพยักหน้ารับทราบ แล้วเดินจากไป
“ขอบคุณนะคะหมอ” มัทนาเอ่ยขึ้น
ไอศูรย์มองหน้ามัทนานิ่ง “คุณขอบคุณผมทั้งๆ ที่คุณไม่ได้เป็นแม้แต่ญาติของเขา” “ฉันขอบคุณ..ที่คุณมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยไม่เกี่ยงงอนว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนร้ายต่างหากละคะ”
“ผมเป็นหมอ ผมเลือกที่จะช่วยชีวิตคน โดยไม่เลือกว่าเขาเป็นใคร” ไอศูรย์บอก
“คุณทำให้ฉันคิดถึงคำว่า..เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก”
“แต่คุณทำให้ผมคิดถึงคำว่า..งามนอก งามใน” ไอศูรย์พูดเป็นนัย
“คุณชมฉันเกินไปแล้วค่ะ”
ไอศูรย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ผมไม่ได้ชม ผมพูดอย่างที่ผมคิด”
ทั้งสองมองหน้าอย่างรู้สึกดีต่อกัน จังหวะนี้สินเข้ามาแทรก
“คุณหนูครับ ค่ำแล้ว รีบกลับบ้านเถอะครับ ประเดี๋ยวท่านนายพลกับคุณหญิงจะเป็นห่วง”
มัทนาพยักหน้ารับ แล้วหันไปพูดกับไอศูรย์ “ฉันกลับก่อนนะคะ”
“ครับ”
มัทนายกมือไหว้แล้วจะเดินออกไป แล้วนึกได้ ยังไม่รู้ชื่อหมอ จึงหันกลับมา เห็นไอศูรย์ยังมองจ้องอยู่ เลยเก้อเขินจนพูดอะไรไม่ถูก ไอศูรย์กลายเป็นฝ่ายพูดเสียเอง
“ผมชื่อไอศูรย์ เป็นหมออยู่ที่นี่”
“ฉันชื่อมัทนา เทพบริบาลค่ะ” มัทนาทำอะไรไม่ถูกอีก ตัดสินใจยกมือไหว้ไอศูรย์อีกครั้งแล้วรีบเดินออกไปเลย
ไอศูรย์มองตามแล้วยิ้มพึมพำออกมา “มัทนา เทพบริบาล”
นายสินขับรถมาส่งมัทนาถึงหน้าตึกเอาตอนค่ำมืดแล้ว สวิงสาวใช้เดินออกมาจากตัวตึกจะมารับมัทนา มัทนาหยิบเงินจำนวนมากพอควรออกมาส่งให้นายสิน
สินมองเงินอย่างงงๆ “เงินค่าอะไรครับ”
“อย่าบอกคุณแม่ หรือใคร เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อบ่ายนี้นะ ฉันไม่อยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ต้องเป็นห่วงน่ะ” มัทนากำชับ
สินเข้าใจรับเงินไว้แล้วยิ้มขณะตอบ “ผมเข้าใจครับ”
มัทนาก้าวลงจากรถไป สวิงเข้ามารับข้าวของมัทนาไปถือ ทั้งสองเข้าบ้านไป สินก้มมองเงินในมือแล้วยิ้มร่าท่าทางดีใจ
ไม่นานหลังจากนั้น คุณหญิงมณี และนายพลเทพ เดินเร็วรี่เข้ามาหามัทนาที่เดินเข้าบ้านมาในห้องโถงเรือนใหญ่ด้วยท่าทางเหนื่อยๆ
“ทำไมกลับค่ำนักเล่าลูก” มณีถาม
“แม่เขาเป็นห่วงหนูจนนั่งไม่ติดเลยรู้ไม๊” เทพบอก
มัทนายกมือไหว้พ่อกับแม่ “มัทขอโทษค่ะคุณพ่อ คุณแม่ เผอิญมีเรื่องระหว่างทางกลับบ้านหน่อยน่ะค่ะ”
มณีมองตามตัวลูก เห็นคราบเลือดที่เสื้อมัทนาก็ตกใจมาก รีบสำรวจเนื้อตัวลูกสาวเป็นการใหญ่
“เลือด ! เกิดอะไรขึ้นลูก”
“หนูบาดเจ็บตรงไหน ใครทำอะไรลูก” เทพเองก็เป็นห่วงเช่นกัน
“มัทไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ คือว่าระหว่างทางกลับบ้าน มัทเจอคนเจ็บที่ข้างทางน่ะค่ะ ก็เลยเอาเขาไปส่งโรงพยาบาล แล้วก็รอฟังอาการเขาจนแน่ใจว่าปลอดภัย ถึงได้กลับบ้านมาช้านี่แหละค่ะ” มัทนายกมือไหว้แม่ “มัทขอโทษค่ะแม่ ที่ทำให้แม่เป็นห่วง”
“เฮ้อ..โล่งใจไปที เห็นเลือดทีแรกแม่เกือบเป็นลมนึกว่าหนูเป็นอะไร นี่ถ้าหนูเป็นอะไรไป แม่จะอยู่ได้ยังไง้...รีบไปอาบน้ำเถอะลูก แล้วเดี๋ยวแม่มีอะไรจะคุยด้วย”
มัทนามองแม่ด้วยความอยากรู้ แต่คุณหญิงไม่ยอมพูดอะไรต่อ พยักพเยิดให้ลูกสาวไปอาบน้ำ
มัทนาออกไปแล้ว นายพลเทพมองผู้เป็นภรรยาอย่างหนักใจ
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 1 (ต่อ)
ขณะเดียวกันที่หอโคมแดง เดือนกับสิรีกำลังตื่นเต้นกับประดาของหอม เพอร์ฟูม ที่มีคนส่งมาให้บุปผาชุดใหญ่ ล้วนแล้วแต่ของนอกทั้งสิ้น
“โอ้ว..เพอร์ฟูมฝรั่งเศสนี่ กลิ่นหอมยวนใจไม่เหมือนเพอร์ฟูมบ้านเราเลยนะจ๊ะแม่” เดือนว่า
“คุณดิเรกเธอเพิ่งกลับจากฝรั่งเศส ก็เลยส่งของฝากพวกนี้มาให้บุปผา บุปผาลองเลือกดูสิ ถ้าไม่ชอบอันไหน ก็แบ่งๆให้คนอื่นๆได้เอาไปใช้เป็นบุญบ้าง” ผกาว่า
บุปผามองของในกระเช้า แล้วหยิบของหอมขวดเล็กๆ 2 ขวด ส่งให้เดือนกับสิรี
สองคนยิ้มร่าขอบอกขอบใจใหญ่ “ขอบใจจ้ะบุปผา”
สองสาวตาโตตื่นเต้น ลองของหอมกันใหญ่ แล้วบุปผาก็ยกทั้งกระเช้าที่เหลือให้ผกา
“ที่เหลือนี่ ฉันยกให้แม่หมดเลยจ้ะ”
ผกามองบุปผาแล้วยิ้มเยื้อน ไม่เสียใจเลยที่เก็บมันมาเลี้ยง พิกุลมองตาละห้อย แต่บุปผาไม่ให้อะไรกับมุกและพิกุลสักอย่าง ทำให้มุกแค้นใจ สะบัดตัวลุกขึ้น
“อีพิกุล เราไปช่วยนังเพ็ญยกสำรับกับข้าวดีกว่า”
พิกุลไม่อยากไป “แต่...” ตายังมองของหอมของบุปผาตาละห้อยอยู่
ผกานึกสงสาร หยิบของเห็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งจากกระเช้าส่งให้พิกุล
“เอ้า..มากมายขนาดนี้ แม่ใช้ไม่หมดหรอก แบ่งๆ กันใช้”
พิกุลรับมาแล้วยิ้มด้วยความดีใจ ไม่สนใจมุกเลย มุกยิ่งโมโห ฮึดฮัดฟึดฟัด แล้วเดินออกไปอย่างฉุนเฉียว
มุกเดินฮึดฮัดๆ เข้ามาในครัว ขณะที่เพ็ญกำลังตักแกงใส่ชามเล็กๆ แยกเป็นคนๆ สาละวนอยู่
“หิวแล้วเหรอจ๊ะแม่มุก ป้าทำจวนเสร็จแล้ว รออีกเดี๋ยวเดียว”
มุกนิ่งคิดอะไรบางอย่าง แล้วเดินไปที่สำรับที่ใส่ชามแกง
“ฉันช่วยถือถาดชามแกงนี่ไปให้ก่อนนะ”
“ขอบใจๆ” เพ็ญหันไปวุ่นวายกับอย่างอื่นต่อ
ส่วนมุกก้มมองที่ชามแกงถ้วยเล็กๆ ที่เรียงรายอยู่ในถาด
มุกหันไปมองเพ็ญอีกที จนแน่ใจว่าเพ็ญไม่ได้สนใจตน จึงหันกลับมามองชามแกงในถาด แล้วค่อยๆ บ้วนน้ำลายลงในชามแกงใบหนึ่ง นอกจากนี้ยังถอดรองเท้า แล้วเอารองเท้ามากวนในชามแกง
จากนั้นมุกเดินถือถาดใส่ชาดแกงออกไปพลางยิ้มร้ายออกมาในสีหน้า
มุกเอาชามแกงเข้ามาวางเสิร์ฟรายตัว แต่ชามแกงที่บ้วนน้ำลายไว้ และใช้รองเท้ากวนในชาม นั้น จำเพาะเจาะจงที่จะวางเสิร์ฟให้บุปผาโดยเฉพาะ
บุปผาพูดพอเป็นพิธี “ขอบใจ”
“ไม่เป็นไร...”
เพ็ญเดินยกถามสำรับอาหารอย่างอื่นๆ ตามเข้ามา ทุกคนเริ่มลงมือกิน มุกแอบชำเลืองมองอย่างลุ้นๆว่าบุปผาจะกินแกงรึยัง แต่ก็ต้องแอบขัดใจเพราะบุปผามัวแต่กินอย่างอื่น ไม่กินแกงเสียที
“บุปผา พรุ่งนี้คุณศักดิ์ชัยเขาจองตัวเธอนะ” ผกาบอก
บุปผาเบ้ปาก “ไปกับคุณศักดิ์ชัยทีไร เนื้อตัวเขียวช้ำทุกที”
“แต่คุณศักดิ์ชัยเขาเงินถุงเงินถังนะ เขาจ่ายค่าตัวบุปผาไม่เคยอั้น”
“ก็จ่ายคุ้มกับที่สนุกกับฉันไม่เคยยั้ง ไม่เคยพอ เหมือนกันแหละจ้ะแม่ ไม่ละ พรุ่งนี้ฉันขอพักดีกว่า”
ผกาพยักหน้า ยอมตามใจ
มุกอดปาก แขวะออกมาไม่ได้ “เรื่องมากจริง”
บุปผาสวนกลับไม่ยอมแพ้ “ที่เรื่องมากได้ก็เพราะฉันมีดียังไงล่ะ ไม่เหมือนคนบางคนหรอก บางวันไม่ได้รับแขกเลยสักคน ใกล้จะปลดระวางเต็มทีแล้วละ”
“เออฉันจะรอดูนะนังบุปผา...ว่าวันไหนที่แกแก่เหนียงยาน ถกผ้าถุงรอผู้ชาย ถึงขนาดยอมลงทุนนอนแบให้เขาเปล่า เขายังเมิน วันนั้นละ..แกก็จะได้ชื่อว่ากะหรี่ปลดระวางเหมือนกันนั่นแหละวะ”
“คนอย่างฉัน ไม่มีวันมีวันนั้นหรอก”
แล้วบุปผาก็สะบัดลุกเดินไปอย่างอารมณ์ เดือนตะโกนตาม
“ไม่กินข้าวแล้วเหรอบุปผา”
“กินไม่ลงแล้ว ทนเหม็นปากคนบางคนไม่ไหว” บุปผาเดินขึ้นห้องไปเลย
มุกได้แต่ฮึดฮัดๆ พิกุลมองชามแกงของบุปผาแล้วคว้ามาราวกับกลัวใครจะแย่ง
“บุปผามันไม่กินแล้ว ฉันกินเอง” พูดจบพิกุลก็ตักแกงชามนั้นกินอย่างเอร็ดอร่อยทันที
มุกพยายามห้ามพิกุล แต่ก็ไม่ทันแล้ว มุกเลยได้แต่เจ็บใจที่แกล้งบุปผาไม่สำเร็จ พิกุลซวยแทนเพราะความตะกละ
ผกามองความบาดหมางของลูกๆ ด้วยสีหน้าอ่อนใจ
บุปผาเดินอารมณ์เสียกลับเข้ามาในห้อง กระแทกตัวลงนั่งที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ภาพสะท้อนให้เห็นเงาตัวเองในกระจกเป็นหญิงงามจัดคนหนึ่ง
“ฉันจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้น สักวันหนึ่ง..ฉันจะต้องได้ดี ฉันจะต้องเจอกับผู้ชายดีๆ แล้วฉันจะไปให้พ้นจากที่นี่ให้ได้”
ภาพบุปผาทั้งตัวจริง และเงาสะท้อนในกระจกมุ่งมั่นมาดหมายมาก
คืนนั้นที่บ้านไอศูรย์ แลเห็นไอศูรย์เดินท่าทางเหนื่อยล้าเข้ามาในบ้าน คุณหญิงแจ่มจันทร์ผู้เป็นมารดาถลาเข้ามาหา
“ทำไมกลับบ้านช้าจริงพ่อต้น”
“วันนี้มีผ่าตัดด่วนน่ะครับแม่ เป็นคนร้าย ถูกตำรวจยิงมา อาการสาหัส ผ่าตัดอยู่หลายชั่วโมงเลยครับ..กว่าจะเสร็จ”
“เฮ้อ..มัวแต่เอาเวลาไปช่วยรักษาคนร้าย คนดีๆ อย่างลูกแม่เลยต้องเหนื่อยแย่เลย เอ้อ...นี่มีคนมารอพบต้นอยู่นานแล้วแน่ะ”
ไอศูรย์แปลกใจ “ใครครับ”
ไอศูรย์เดินเข้ามาในห้องรับแขก สีหน้าของหมอหนุ่มตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าใครมารอพบเขาอยู่
“เพชร กลับเมืองไทยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับเนี่ย”
เพชรลุกขึ้นรับไอศูรย์ พลอยยืนตาม ยกมือไหว้ไอศูรย์ด้วย
“ผมเพิ่งกลับมาถึงเมื่อกลางวันนี้เองครับพี่ต้น แล้วไปไหว้ผู้ใหญ่มาทั่วเมืองก่อนจะไปรับยายพลอยกลับจากมหาวิทยาลัย แล้วก็มาแวะมาบอกข่าวว่าผมกลับมาแล้วที่นี่เป็นที่สุดท้ายครับ”
ไอศูรย์หันไปมองพลอย พลอยสบตาไอศูรย์ แล้วใจเต้นตึกตัก หลงรักแต่แรกเห็น
“นี่น้องพลอยหรือเนี่ย พี่จำไม่ได้เลย เข้ามหาวิทยาลัยแล้วด้วย” ไอศูรย์ยิ้มทัก
เพชรบอกอย่างภาคภูมิใจ “เพิ่งเป็นนิสิตใหม่ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯครับพี่ต้น”
“เก่งจริง…”
พลอยยิ้มปลื้มที่ถูกชมซึ่งหน้า แล้วแอบมองไอศูรย์อีกครั้ง รู้สึกใจเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะเดียวกันที่บ้านเทพบริบาล ประตูห้องโถงเปิดอยู่แล้ว นายพลเทพอ่านหนังสืออยู่ ส่วนคุณหญิงมณีกำลังดูเครื่องเพชร
มัทนาเคาะที่หน้าประตูเบาๆ เพื่อให้สัญญาณแก่คุณหญิงมณีก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง แล้วคุกเข่าลงตรงหน้าคุณหญิงมณี
“คุณแม่มีเรื่องอะไรจะคุยกับมัทคะ”
นายพลเทพหยุดอ่านหนังสือ หันมาฟังอย่างตั้งใจ คุณหญิงมณีมองหน้ามัทนาเต็มตา ลูบหัวลูกสาวอย่างรักใคร่
“ปีนี้ลูกสาวแม่โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้างลูก”
“ก็สนุกดีค่ะคุณแม่ มัทได้พบเพื่อนใหม่เยอะแยะเลยค่ะ มัทเลยรู้สึกโลกมันกว้างกว่าที่เคยเป็น”
นายพลเทพหัวเราะเบาๆ “ยิ่งเติบโต ยายหนูของพ่อก็จะยิ่งได้เห็นโลกมากขึ้น และได้เรียนรู้ชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ลูก...”
คุณหญิงมณีพยายามตบเข้าเรื่องที่ตั้งใจจะพูดแต่แรก “และหนทางที่จะก้าวเดินไปข้างหน้านั้น ย่อมมีทั้งสุขและทุกข์”
“ค่ะ” มัทนายังงงๆ ว่าแม่จะพูดอะไร
“เพราะฉะนั้นแม่ถึงอยากจะมั่นใจว่าคนที่อยู่เคียงข้างหนูในวันที่พ่อกับแม่ไม่อยู่ในโลกนี้แล้ว เขาเป็นคนดีจริงๆ”
“คุณแม่กำลังจะบอกอะไรมัทคะ”
คุณหญิงมณีพูดช้าๆ ท่าทีจริงจัง “แม่อยากให้หนูหมั้นกับลูกชายของเพื่อนแม่”
มัทนาตะลึง
“แม่ให้คนไปสืบประวัติมาหมดแล้ว เขาเป็นคนดี ชาติตระกูลดี เรียนจบจากเมืองนอก และไม่มีเบื้องหลังในชีวิตอะไรให้น่ากังวล แม่คิดว่าเขาเหมาะสมกับลูกสาวคนเดียวของแม่มาก”
มัทนายังพูดอะไรไม่ออกอยู่ นายพลเทพสงสารลูกจับใจ คุณหญิงมณีมองหน้าลูกสาวอย่างจับความรู้สึก
“หนูไม่ได้รักกับใครที่ไหนอยู่ใช่ไม๊ลูก”
สีหน้ามัทนาครุ่นคิด
เหตุการณ์ตอนที่ไอศูรย์กับมัทนาสบตากัน ราวโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ผุดขึ้นมา มัทนานึกถึงไอศูรย์!!
มัทนายังตะลึงนิ่งอั้นพูดอะไรไม่ออกอยู่
คุณหญิงมณีถามย้ำ “ลูกมัทไม่ได้รักชอบอยู่กับใครใช่ไม๊จ๊ะ”
มัทนาตอบเสียงแผ่ว “ไม่มีค่ะคุณแม่”
คุณหญิงเยื้อนยิ้มพอใจ “งั้นก็ดีแล้ว อาทิตย์นี้แม่จะได้นัดเพื่อนแม่ให้พาลูกชายมาเที่ยวที่บ้านเรา หนูจะได้ทำความรู้จักกับพี่เขาไว้”
“ค่ะคุณแม่”
มัทนามีท่าทีซึมไปเลย
มัทนาเดินหน้าเศร้าซึมเศร้ากลับมาที่ห้อง แล้วล้มตัวลงนอนที่เตียง อยากจะร้องไห้ เพราะเพิ่งจะเคยรู้สึกรักใครเป็นครั้งแรกชีวิต ก็เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นเสียแล้ว
หากมองออกไปนอกหน้าต่างยามนั้น จะเห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยเด่น แต่มีเงาไม้บดบัง ราวกับจะบอกเล่าว่าความรักระหว่างมัทนากับไอศูรย์ ที่มีอุปสรรคขัดขวาง
ด้านนายพลเทพ นอนอยู่บนเตียงแล้ว ด้วยสีหน้าหนักใจ ในขณะที่คุณหญิงมณีเพิ่งก้มลงกราบพระกับหมอนเสร็จ แล้วจึงล้มตัวลงนอน ท่านนายพลเหลือบมองคุณหญิงอย่างเกรงใจก่อนจะถาม
“คุณหญิงคิดดีแล้วหรือ ผมเกรงว่ามันจะเป็นการบังคับฝืนใจลูก..ถ้าลูกไม่ชอบ”
“ดิฉันเชื่อว่า..ดิฉันคิดไม่ผิดหรอกค่ะ แล้วคนเป็นแม่ย่อมต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกกันทั้งนั้น โดยเฉพาะ…” คุณหญิงมณีเน้นคำ “ลูกคนเดียวอย่างยายมัท”
นายพลเทพลอบถอนใจ ไม่พูดอะไรอีก คุณหญิงมณีพลิกตัวนอนหันหลังให้สามีคล้ายจะหลับ แต่จริงๆ แล้วยืนลืมตาโพลงอยู่ เพราะคิดถึงอะไรบางอย่าง
ที่แท้คุณหญิงมณี กำลังนึกถึงเรื่องราวในอดีต
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อ 18 ปี ก่อน ที่บ้านของชไมในจังหวัดเชียงใหม่ เวลาช่วงกลางวันวันนั้นชไมกำลังเอาสายสิญจน์ผูกข้อมือคุณหญิงมณีพลางอวยพร
“เทวดาอารักษ์ เหล่าเทพรักษา พระพุทธคุ้มครอง ดิฉันขอให้ลูกคนนี้ของท่านนายพลกับคุณหญิงเป็นอภิชาตบุตรนะคะ”
มณียิ้ม แล้วเอามือลูบท้องตัวเองอยู่อย่างนั้นขณะบอก
“ไม่ว่าลูกคนนี้จะเป็นลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย ก็จะเป็นลูกคนแรกของเราค่ะคุณชไม แล้วหลังจากนี้ดิฉันจะมีลูกให้ท่านนายพลได้เชยชมอีกหลายๆ คนเลยค่ะ ท่านนายพลท่านอยากมีลูกหลายๆ คน ท่านว่า..บ้านจะได้ครึกครื้นดีน่ะค่ะ”
ชไมพูดเสียงหนักแน่น “ไม่ค่ะคุณหญิง”
มณีชะงัก มองหน้าชไมอย่างไม่เข้าใจ
“คุณหญิงจะมีลูกแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น หลังจากท้องนี้แล้ว คุณหญิงจะมีลูกอีกไม่ได้ค่ะ”
มณีโมโหพุ่งพล่าน “ไม่! ดิฉันไม่เชื่อ! ดิฉันก็ยังอายุน้อย ท่านนายพลเองก็ยังอายุไม่มากเท่าไหร่ ทำไมเราถึงจะมีลูกอีกไม่ได้ เป็นหมอดูยังไง ดูไม่แม่นเลย”
พูดจบคุณหญิงมณีก็คว้ากระเป๋า แล้วเดินปังๆ ออกไปทันที ทิ้งให้ชไมมองตามอย่างปลงๆ
เวลาผ่านไปคุณหญิงมณีที่ท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที นอนดิ้นทุรนทุราย ร้องครวญครางอยู่บนเตียง โดยนายพลเทพมองอยู่อย่างตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูก เห็นบนที่นอนมีเลือดเปรอะเปื้อนอยู่เป็นดวงแลดูน่ากลัว
“ใครอยู่ข้างนอก ไปเอารถออกมาเร็ว คุณหญิงตกเลือด”
มณียังคงดิ้นทุรนทุรายอยู่บนเตียงอย่างทรมาน
เวลาผ่านไปคุณหญิงมณีนอนอุ้มเด็กอยู่บนเตียงในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง นายพลเทพกับหมอยืนอยู่ข้างเตียง
“โชคดีนะครับที่ท่านนายพลพาคุณหญิงมาถึงมือหมอได้เร็ว จึงปลอดภัยทั้งแม่ทั้งลูก”
ท่านนายพลยิ้มดีใจ แล้วจับมือลูกสาวเล่น
“แต่หมอเสียใจนะครับที่จะต้องบอกว่า...คุณหญิงมณีคงไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว”
คำพูดนั้นของหมอกระแทกเข้าที่ใบหน้าคุณหญิงมณีอย่างจัง คุณหญิงตื่นตะลึง
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน คุณหญิงมณีกับชไมกำลังนั่งดูการรำฟ้อนพิธีบายศรีสู่ขวัญอยู่ด้วยกัน เมื่อการแสดงจบ มณีก็หันมาพูดกับชไมด้วยสีหน้าเศร้าๆ
“คุณชไมเป็นหมอดูตาทิพย์จริงๆ ค่ะ หมอบอกว่า..ดิฉันไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้ว เพราะจะเกิดภาวะครรภ์เป็นพิษและอาจถึงตายได้อีก” น้ำเสียงคุณหญิงซึมๆ “เสียดายจังค่ะท่านนายพลท่านอยากมีลูกชายหญิงหลายๆ คน”
ชไมมองตาคุณหญิงมณีนิ่ง ก่อนจะพูดอย่างเนิบช้า
“ดิฉันพูดว่า คุณหญิงจะมีลูกอีกไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านนายพลจะมีลูกอีกไม่ได้นี่คะ”
มณีนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “นี่หมายความว่า” คุณหญิงนึกรู้ ส่ายหน้าทันที “ดิฉันไม่เชื่อ ท่านนายพลไม่ใช่ผู้ชายเหลวไหล! ดิฉันไม่เชื่อ”
ชไมมองหน้าคุณหญิงมณีนิ่ง ไม่ตอบอะไร คุณหญิงเริ่มใจคอไม่ดี เพราะรู้แล้วว่าชไมไม่เคยทำนายผิด แล้วชไมก็เอื้อมมือมาจับมือเด็กไว้
ชไมหลับตานิ่งเพ่งดูทางจิตอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นบอกคุณหญิงมณี
“คุณหญิงต้องระวังลูกของท่านนายพลที่เกิดกับหญิงอื่นให้มากนะคะ เพราะลูกของท่านนายพลที่เกิดกับหญิงอื่นจะย้อนกลับมาทำร้ายลูกของคุณหญิงจนถึงชีวิตในภายหลังค่ะ”
คุณหญิงมณีตะลึง
ไม่นานหลังจากนั้น คุณหญิงมณีกำลังอยู่ในอารมณ์ร้อนใจสุดๆ สร้อยเข้ามารายงาน
“สร้อยไปสืบได้เรื่องมาแล้วค่ะคุณหญิง”
มณีเข้าไปเขย่าตัวสร้อย “ได้เรื่องว่าไง”
“ท่านนายพลไปมีเมียอีกคนอยู่ที่แถวหัวเมือง ชื่อนังอุ่นเจ้าค่ะ แล้วตอนนี้นังอุ่นมันก็ท้องแก่ใกล้คลอดแล้วด้วยเจ้าค่ะ”
คุณหญิงมณีโกรธสุดขีด เดินไปค้นหาอะไรบางอย่างจากลิ้นชักแล้วเอามาโยนให้สร้อย
“นังสร้อย ! แกเอาเงินนี่ไปจ้างใครก็ได้ที่ไว้ใจได้ แล้วไปจัดการอย่าให้นังผู้หญิงที่ชื่อ อุ่น กับลูกของมัน มีชีวิตอยู่อีกต่อไป”
ภาพเรือนของอุ่น ตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้ชนิดที่อุ่นไม่มีทางรอดตายได้เลย ตามคำบอกเล่าของสร้อยผุดขึ้นมาอีกครั้ง
เวลาต่อมา คุณหญิงมณีกำลังอุ้มลูกอยู่ ทอดสายตามองไปไกล ด้วยสีหน้าเคร่งเครียดคุณหญิงเห็นนายพลเทพผู้เป็นสามี กำลังดูต้นไม้อยู่ เธอรู้สึกว่าเขายังหนุ่มและมีเสน่ห์อยู่มากจนน่าระแวง
“นังสร้อย แกรู้จักหมอยาฝีมือดีที่ไหนบ้างไม๊”
“คุณหญิงถามทำไมหรือเจ้าคะ” สร้อยเอาหลังมือแตะตัวเด็กทารกลูกสาวคุณหญิง “เอ๊..ตัวก็ไม่ร้อนนี่เจ้าคะ”
“ลูกสาวฉันสบายดี แต่ฉันกำลังคิดถึงคำทำนายของคุณชไมอยู่ต่างหาก เธอบอกว่า..ถึงฉันจะมีลูกอีกไม่ได้ แต่ท่านนายพลยังจะมีลูกอีกได้ และลูกที่เกิดกับผู้หญิงอื่นนั่น จะย้อนกลับมาทำร้ายลูกฉัน เพราะฉะนั้น..ถึง นังอุ่นมันจะตายไป แต่ท่านนายพลก็อาจจะไปมีเมียน้อยคนอื่นได้อีก เพราะฉะนั้น ฉันต้องการความแน่ใจว่า ท่านนายพลจะไปมีลูกกับใครอื่นไม่ได้ต่อไป”
หลังจากนั้นไม่นานสร้อยสืบเสาะจนพบหมอยาชื่อ ตาเถา ซึ่งเวลานี้กำลังส่งยาหม้อถุงหนึ่งให้คุณหญิงมณี แล้วบรรยายบอกสรรพคุณ โดยมีสร้อยอยู่ด้วย
“เอ้า เอายานี่ไปผสมน้ำ 1 กา แล้วต้มในคืนเดือนแรม ที่ฟ้ามืดสนิท แล้วเอาผสมกับอาหารให้ท่านนายพลกินทุกวัน ไม่เกินหนึ่งเดือน ท่านนายพลก็จะไม่สามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนมีลูกได้อีก”
สร้อยอดสงสัยไม่ได้ “ไม่สามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนมีลูกได้อีกแต่ไม่ได้หมายความว่าท่านนายพลจะทำ” สร้อยชำเลืองมองคุณหญิงมณีก่อนพูด “กิจอย่างว่า ไม่ได้ใช่ไม๊จ๊ะพ่อหมอ”
ตาเถาหัวเราะชอบใจ “ไอ้ “กิจอย่างว่า” น่ะทำได้ คุณหญิงไม่ต้องห่วงหรอก เพียงแต่ว่าจะมีลูกอีกไม่ได้แล้ว”
คุณหญิงมณีก้มลงมองดูถุงยาหม้อในมือตัวเอง แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มพอใจ แต่แววตาเหี้ยมเกรียม
สีหน้าอันเหี้ยมเกรียมจากเมื่อ 18 ปีที่แล้ว ฉายชัดอยู่บนใบหน้าสวมสมวัยของคุณหญิงมณีที่กำลังนอนอยู่บนเตียงแบบเดียวกันเป๊ะ ขณะคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของตน
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 1 (ต่อ)
วันต่อมา ช่วงตอนกลางวัน บุปผา ศัตรูที่คุณหญิงมณีคิดว่าได้กำจัดไปจนสิ้นซากแล้ว แท้จริงยังมีชีวิตอยู่ และยังเฉิดฉายและร้อนแรงอยู่ในหอโคมแดง แห่งนี้
พิกุลมีสีหน้าตกใจพอฟังที่มุกบอก
“หา แกถ่มน้ำลายลงในชามแกง เอารองเท้ากวนในชามแกง ของนังบุปผามันเหรอ”
มุกรีบกระโดดปิดปากพิกุลทันที แล้วเหลียวหน้าเหลียวหลังดูว่ามีใครมาได้ยินหรือไม่ แต่ก็ไม่เห็นใคร
แต่หากสองสาวมองขึ้นไปก็จะเห็นว่าบุปผาเดินอยู่ที่ระเบียงชั้น 2 และได้ยินเข้าพอดี จึงรีบหลบเข้าชิดผนังแล้วแอบฟังต่อไป โดยที่มุกและพิกุลไม่เห็น
“ก็ฉันเกลียดมันนี่ มันไม่เห็นหัวคนอื่น นี่ถ้าฉันถ่มน้ำลายใส่หน้ามันได้ หรือเอารองเท้าตบหน้ามันได้ฉันทำไปแล้ว”
ขาดคำ มุกก็ถูกของปาใส่ โดนเข้าที่หัวคิ้วอย่างจัง จนเลือดไหลซึมออกมาทันที
“โอ๊ย” มุกร้อง ชณะเอามือแตะที่แผล โดยอัติโนมัติ เห็นมือของมุกเปื้อนเลือด
มุกเงยหน้ามองที่มา จึงเห็นว่าเป็นฝีมือของบุปผา มุกโมโหจนทนไม่ไหว หันไปคว้าของใกล้มือแล้วปากลับไปใส่บุปผาบ้าง แต่บุปผาอยู่ในจุดที่ชัยภูมิดีกว่า จึงไม่โดนเลย บุปผาคว้าของอย่างอื่นมาปาใส่มุกอีก มุกก็โต้ตอบไม่ยอมแพ้ จึงเกิดเป็นสงครามย่อยระหว่างมุกกับบุปผา พิกุลได้ร้องวี้ดว้ายแล้วหลบของที่บุปผาปาลงมา
ผกา เพ็ญ เดือน สิรี ได้ยินเสียงโหวกเหวกพากันวิ่งออกมาดู
ผกาแผดเสียงดังสนั่น “อะไรกัน อะไรกัน”
มุกรีบฟ้องทันที “นังบุปผามันเอาของเขวี้ยงใส่หัวฉัน”
“อ้าว..บุปผา ทำไมทำอย่างนั้นล่ะ” ผกาแปลกใจ
“ก็พี่มุกบ้วนน้ำลายใส่ชามแกง และเอารองเท้าลงไปกวนในชามแกง ของฉันเมื่อวานน่ะสิแม่”
เดือน สิริ และเพ็ญ ทำหน้าอี๋แขยงไปตามๆ กัน
“ดีนะที่ฉันไม่ได้กิน” บุปผาบอก
พิกุลเสียงอ่อยๆ “แต่ฉันกิน”
“แม่ต้องทำโทษนังบุปผามันนะ มันทำฉันหัวแตก” มุกไม่ยอม
“แต่พี่มุกแกล้งฉันก่อน” บุปผาก็ไม่ยอม
“เอาละๆ ผิดทั้งคู่นั่นแหละ เพราะฉะนั้น…”
ไม่นานต่อมาผู้หญิงทั้ง 3 คน บุปผา เดือน และ มุก เดินนวยนาดเข้ามาที่โรงพยาบาล บุปผาเดินนำไปบอกพยาบาล
“มาทำแผล...” บุปผาชี้ไปที่มุก “หัวแตกค่ะ” พยาบาลเดินไปหามุก
“เชิญทางนี้ค่ะ”
มุกเดินไปกับพยาบาล จะพาไปหาหมอให้ดูอาการ บุปผากับเดือนขยับจะตามไป บุปผาแอบเบ้ปากใส่มุก แล้วหยุดเดินหันมาพูดกับเดือน เลยยังไม่ทันเห็นไอศูรย์ที่ใส่เสื้อกาวน์ชุดหมอเดินเข้าไปถามไถ่อาการของมุกอยู่
“เฮอะ ! นี่ถ้าแม่ผกาไม่สั่งให้ฉันพาพี่มุกมาหาหมอละก็ ฉันไม่มีวันยอมมาหรอก”
พูดจบบุปผาก็จะเดินตามมุกไปแต่แล้วก็ต้องชะงัก สายตาของบุปผาเห็นไอศูรย์จังๆ
บุปผามีสีหน้าตื่นตะลึง หลงรักไอศูรย์ทันที เดือนหันมามองดูบุปผาอย่างงงๆ ยังไม่รู้ว่าบุปผาปิ๊งไอศูรย์เข้าให้แล้ว
จังหวะนี้ชาวบ้าน 2 คนเดินผ่านบุปผากับเดือนไปพอดี ชาวบ้าน 2 คนนั้นชี้ชวนให้กันดูมุกที่แต่งตัวสีสันฉูดฉาดอย่างโสเภณีไม่เหมือนคนปกติทั่วไป
“ดูนั่นสิ..ท่าทางจะเป็นผู้หญิงอาชีพอย่างว่า...”
ชาวบ้านอีกคนพูดจาอย่างดูถูก “อย่าเดินเข้าไปใกล้ๆ ประเดี๋ยวเสนียดจะโดดมาติดตัวเรา”
บุปผาเม้มปากทันที รู้ดีว่าชาวบ้านทั่วไปรังเกียจคนที่มีอาชีพอย่างหล่อน
ไอศูรย์ถามมุก “ไม่ทราบว่ามีญาติมาด้วยไม๊ครับ”
มุกหันมาจะชี้บุปผาให้ไอศูรย์ดู แต่ก็ไม่เห็นทั้งบุปผาและเดือนแล้ว มุกหน้าเหวอไปเลย
เดือนแทบจะต้องวิ่งตามบุปผาที่เดินลิ่วพรวดพราดออกมาจากโรงพยาบาลอย่างเร็วรี่ ด้วยบุปผาไม่อยากให้ไอศูรย์รู้ว่าเธอเป็นโสเภณี
“บุปผา จะรีบไปไหนน่ะ แล้วเราจะทิ้งพี่มุกเอาไว้อย่างนั้นเหรอ”
“เดี๋ยวพี่มุกเขาก็กลับบ้านเองได้แหละน่า เขาไม่ได้ปัญญาอ่อนสักหน่อ”
“แต่แม่ผกาให้บุปผาพาพี่มุกมาทำแผลนะ บุปผาทิ้งพี่มุกไว้ตามลำพังที่โรงพยาบาลอย่างงั้น มีหวังได้เป็นเรื่องอีก”
บุปผาบอกอย่างถือดี “เป็นเรื่องก็เป็นเรื่องสิ กลัวซะที่ไหน”
“แล้วนี่บุปผาจะรีบไปไหน”
“กลับบ้าน” บุปผาโกหก “ฉันลืมไปน่ะว่าวันนี้นัดแขกเอาไว้”
เดือนงง “อ้าว..เหรอ ไหนว่าวันนี้บุปผาขอพักไง”
บุปผาหงุดหงิดใส่ “อย่าถามเซาซี้ได้ไม๊เดือน”
เดือนหุบปากทันที แล้วเดินตามบุปผาไปเงียบๆ บุปผายังหมกมุ่นครุ่นคิดถึงไอศูรย์ตลอดเวลา
เวลาเดียวกัน คุณหญิงมณีเดินมาส่งมัทนาขึ้นรถเพื่อไปมหาวิทยาลัย
“อย่าลืมนะลูก..อาทิตย์นี้แม่จะนัดเพื่อนแม่ให้พาลูกชายมาบ้านเรา”
มัทนารับเสียงอ่อยๆ “ค่ะคุณแม่”
คุณหญิงมณีชะเง้อมองหารถ
“เอ๊ะ ทำไมนายสินยังไม่เอารถมารออีก”
ทันใดนั้นรถคันหรูประจำบ้านก็แล่นเข้ามาจอดที่หน้าตึก คนที่ทำหน้าที่คนขับกลายเป็นนายพลเทพซะนี่ คุณหญิงมณีกับมัทนามองอย่างงงๆ
“อ้าว..ท่านนายพลจะไปไหนคะ แล้วนี่นายสินหายไปไหน”
“นายสินมันลาป่วย ผมก็เลยคิดว่าจะขับรถไปส่งลูกสาวเราไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง”
มัทนายิ้มดีใจ “ดีจังค่ะคุณพ่อ” พลางหันมาทางแม่ “มัทไปก่อนนะคะ” ไหว้ลาแม่แล้ววิ่งขึ้นรถไป
คุณหญิงมณีมองตามรถไป ยิ้มมีความสุข เชื่อว่าชีวิตตอนนี้กำลังดำเนินไปในทางที่เธอขีด และต้องการทุกประการแล้ว
นายพลเทพเป็นคนขับรถ ขับแล่นมาตามทาง มัทนานั่งมาข้างๆ ใบหน้ายิ้มแย้ม
“วันนี้คุณพ่อว่างหรือคะ”
“ไม่ว่างหรอก”
มัทนางง หน้าเหวอ “อ้าว”
“แต่พ่อมีเรื่องอยากคุยกับมัทตามลำพังน่ะ”
มัทนารู้ทันที “เรื่องที่คุณแม่คุยกับมัทเมื่อคืน”
“ลูกสาวพ่อฉลาดเสมอ”
นายพลเทพยิ้ม เอื้อมมือมาลูบหัวมัทนาเบาๆ อย่างรักใคร่เอ็นดูสุดหัวใจ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังขึ้น
“แล้วมัทคิดว่ายังไงลูก”
มัทนาถอนใจเบาๆ ก่อนบอก“มัท...ตามใจคุณแม่ค่ะ”
“ทั้งๆ ที่มัทยังไม่เคยเจอหน้าค่าตาลูกชายเพื่อนแม่เขาเลยสักครั้งน่ะเหรอ มัท เรื่องคู่ครอง พ่ออยากให้ลูกเลือกด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะพ่อหรือแม่เป็นคนเลือกให้ เพราะผู้ชายคนนั้น...มัทจะต้องอยู่กับเขาไปตลอดชีวิตนะลูก”
“มัททราบค่ะคุณพ่อ แต่มัทก็เชื่อว่า...สิ่งที่คุณพ่อ คุณแม่ เลือกให้ลูก ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเสมอค่ะ”
นายพลเทพลอบถอนใจ ไม่อยากให้ลูกถูกคลุมถุงชน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ส่วนมัทนาเอง
สีหน้าก็ไม่สบายใจนัก แต่พยายามไม่แสดงออก เพราะไม่อยากให้พ่อกลุ้มใจมากไปกว่านี้
นายสินพาตัวเองมานั่งอยู่ตรงหน้าผกา พิกุลกับสิรีนั่งแต่งเล็บอยู่ไกลๆ
“วันนี้ฉันขอบุปผาได้ไม๊คุณผกา”
“บุปผาไม่อยู่ เลือกคนอื่นแทนได้ไม๊ ที่ว่างอยู่ตอนนี้ก็มีพิกุลกับสิรีน่ะ”
นายสินเบ้หน้า “ไม่ ฉันขอบุปผาแค่คนเดียวเท่านั้น โธ่...คุณผกา ฉันมาที่นี่ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว แต่ฉันไม่เคยได้ขึ้นห้องกับบุปผาสักที แต่คราวนี้...”
นายสินล้วงหยิบเงินปึกใหญ่ออกมาส่งให้ผกา เป็นเงินที่ได้จากมัทนาเป็นค่าปิดปากไม่ให้บอกใครเรื่องที่ถูกโจรจับเป็นตัวประกันเมื่อวานนี้นั่นเอง
“ฉันขอบุปผานะ..คุณผกานะ...”
พิกุลกับสิรีแอบกระซิบนินทานายสินกัน
“เชอะ ก็รู้ๆกันอยู่ว่านังบุปผาน่ะ มันเลือกแขกที่จะขึ้นห้องด้วยจะตายไป”
สิริเห็นด้วย “ใช่ บุปผาน่ะ มันเลือกขึ้นห้องแต่กับลูกท่านหลานเธอเท่านั้น กระจอกงอกง่อย เป็นแค่คนขับรถเขาอย่างนายสิน บุปผามันไม่ชายตาแลร้อก”
ผกาส่ายหน้า
“แต่วันนี้บุปผามันไม่อยู่จริงๆ มันออกไปข้างนอก”
ขาดคำของผกา บุปผากับเดือนก็เดินเข้ามาในบ้าน นายสินหันไปเห็นก็ยิ้มร่าออกมาทันที
“นั่นไง บุปผากลับมาแล้ว” รีบเอาเงินยัดใส่มือผกา แล้วเดินไปหาบุปผาทันที “บุปผา วันนี้ขึ้นห้องกับผมนะ นะ…”
บุปผาสะบัดมือนายสินออกอย่างไม่แคร์
“ไม่!” แล้วเดินหนีขึ้นห้องส่วนตัวไปเลย
นายสินได้แต่มองตามตาละห้อย พิกุลกับสิรีพยักพเยิดหน้าให้แก่กันเป็นเชิงว่า ไหมล่ะ บุปผามันไม่แลจริงๆ ผกาเดินเข้าไปหาเดือน
“มุกล่ะ”
เดือนยิ้มแหยทันที
ตกกลางคืนบุปผาเดินเข้ามานั่งในห้อง สีหน้าครุ่นคิด ถึงเหตุการณ์วันนี้ ตอนที่บุปผาอยู่ที่โรงพยาบาล และกำลังจะเดินตามมุกไปหาหมอ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นไอศูรย์เป็นครั้งแรก บุปผาสีหน้าตื่นตะลึง หลงรักไอศูรย์ทันที
นึกขึ้นมาแล้ว บุปผายิ้มตาวาว คิดแผนอะไรบางอย่าง มีเสียงเคาะประตู แล้วผกาก็เข้ามา บุปผาหุบยิ้มทันที
“แม่จะเข้ามาด่าฉันเรื่องที่ฉันทิ้งพี่มุกเอาไว้ที่โรงพยาบาลใช่ไม๊”
ผกาพยักหน้า “ก็รู้ตัวนี่ว่าทำอะไรผิด” แม่เล้าใหญ่เสียงอ่อนลง ใช้ไม้นวมอบรม “บุปผาเอ๊ย..ถึงจะไม่ชอบหน้ากัน แต่เมื่อต้องอยู่ด้วยกัน ก็ควรจะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันนะลูก แม่น่ะไม่ได้อยากให้เจ้าทำอาชีพนี้เลย เพราะผู้หญิงอาชีพอย่างเราน่ะ ไม่มีใครรัก แล้วก็จริงใจกับเราเท่ากับคนอาชีพเดียวกันหรอก ในวันที่เราแก่เราเจ็บ และใกล้ตาย คนที่นั่งเฝ้าเราอยู่ข้างเตียง มันก็คือคนที่อยู่บ้านนี้ด้วยกันเท่านั้นแหละ”
“ไม่แม่ คนอย่างฉัน ไม่มีวันตายอนาถาอย่างนั้นหรอก ชีวิตฉันมันจะต้องไปได้ดีกว่านั้น ฉันจะต้องได้เป็นคุณผู้หญิงบ้านใหญ่ เป็นสะใภ้ลูกท่านหลานเธอ บางที..ผัวฉัน เขาอาจจะเป็นหมอก็ได้นะแม่”
ผกาฟังแล้วงง “บุปผาพูดอย่างนี้...หมายความว่ายังไงลูก”
บุปผาไม่ตอบ แต่ยิ้มพราย นัยน์ตาเป็นประกายวาววับ หล่อนมีแผนอะไรบางอย่างในใจ
เช้าวันต่อมา เหมือนมีสายตาของใครคนหนึ่งมาแอบดูไอศูรย์ ซึ่งกำลังยืนคุยงานอยู่กับพยาบาลตรงเคาน์เตอร์
ที่แท้เป็นบุปผานั่นเองที่มาแอบดูอยู่ วันนี้บุปผาแต่งตัวสวยงามเรียบร้อยผิดปกติ เพราะไม่อยากให้ไอศูรย์รู้ว่าหล่อนเป็นโสเภณี มองต่อสักครู่หนึ่งแล้วบุปผาก็ผลุบตัวหลบหายไป
ครู่ต่อมาบุปผาเดินมาที่มุมลับตาคน แล้วเปิดกระเป๋าหยิบเอาของออกมา มันเป็นมีดปลายแหลมเล่มหนึ่ง คมมีดเป็นประกายวาววับน่ากลัว อยู่ในมือขวาของบุปผา
บุปผามองมีด ก่อนจะเอามีดวางลงบนฝ่ามือซ้าย แล้วใช้มือซ้ายนั้นกำมีดเอาไว้แน่นอยู่สักครู่ บุปผามีสีหน้ามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว ตัดสินใจเด็ดขาด แล้วใช้มือขวาดึงมีดรูดออกจากมือซ้ายที่กำมีดอยู่อย่างรวดเร็ว ทำให้มีดบาดฝ่ามือข้างซ้ายของเธอเป็นแผลเหวอะหวะทันที
ตัวตนของบุปผาเป็นคนใจกล้า ชนิดที่กล้าได้กล้าเสีย มุ่งมั่นจะเอาอะไรแล้วต้องเอาให้ได้ แม้ว่าจะต้องลงทุนด้วยการเจ็บตัวหล่อนก็ยอม
บุปผาซึ่งเวลานี้มือซ้ายมีแผลมีดบาดเหวอะหวะ เลือดสีแดงฉานเปรอะเปื้อนเต็มมือ แต่บุปผากลับมีแววตาเป็นประกายพอใจเป็นอย่างยิ่ง
บุปผาเดินกุมมือที่เลือดโชกเข้ามาในโรงพยาบาล สีหน้าเจ็บปวดมาก ตรงเข้าไปที่เคาน์เตอร์
“ช่วยฉันด้วยค่ะ”
พยาบาลวิ่งออกมาจากเคาน์เตอร์ มองมือบุปผาแล้วตกใจ
“เชิญที่ห้องทำแผลเลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปตามหมอมาให้”
“หมอไอศูรย์ใช่ไม๊คะ” บุปผาถาม
“คงจะเป็นหมออื่นน่ะค่ะ เพราะหมอไอศูรย์กำลังจะออกเวรแล้ว”
บุปผาผิดหวัง นิ่งคิดไปนิดเดียวแล้วทำหน้าเจ็บปวดขึ้นมาทันที
“โอ๊ย”
พยาบาลตกใจรีบร้อนพาบุปผาไปห้องทำแผลทันที บุปผาเดินท่าทางกะปลกกะเปลี้ยไปกับพยาบาล แต่ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ
พยาบาลพาบุปผาเข้ามานั่งในห้องตรวจแล้ว
“รอสักครู่นะคะ”
บุปผาพยักหน้ารับสีหน้าเพลียๆ แต่พอพยาบาลออกจากห้องไป บุปผาก็สีหน้ากลับเป็นปกติ มองสำรวจไปรอบๆ อย่างสนใจ ไม่เคยเข้าโรงพยาบาลมาก่อน สักครู่พยาบาล ก็เดินนำหมอไอศูรย์เข้ามา
“ดิฉันต้องขอโทษคุณหมอไอศูรย์ด้วยนะคะที่ตามตัวหมอมาอย่างกะทันหัน ทั้งๆ ที่คุณหมอได้เวลาออกเวรแล้ว”
“ไม่เป็นไรครับ”
บุปผาสมใจ รีบสำออยขึ้นมาทันที
“โอ๊ย...”
ไอศูรย์รีบลงนั่งข้างเตียง “ขอหมอดูแผลหน่อยครับ”
บุปผายื่นมือข้างที่เจ็บให้หมอดู ไอศูรย์ดูแผล
“คงต้องเย็บ…” ไอศูรย์หันไปสั่งพยาบาล “ไปเอาอุปกรณ์เย็บแผลมาทีครับ”
พยาบาลออกไป
บุปผาแกล้งทำหน้ากลัว “อื๋อ...”
ไอศูรย์ยิ้มให้บุปผาปลอบใจ “ผมจะพยายามเย็บให้เบามือที่สุดครับ คุณถนัดมือขวาใช่ไม๊ครับ”
บุปผาพยักหน้า
“งั้นยังโชคดีที่เจ็บที่มือซ้าย และแผลไม่ลึกเท่าไหร่”
บุปผาแสร้งทำหน้าแหย “ต้องเย็บกี่เข็มคะหมอ ฉันกลัว”
“เย็บไม่กี่เข็มหรอกครับ ไปโดนอะไรบาดมาละครับนี่”
“มีดค่ะ”
ไอศูรย์สงสัย “แล้วทำไมถึงโดนมีดบาดมาในลักษณะนี้ได้ละครับ ไม่ใช่ลักษณะมีดบาดเพราะทำกับข้าวแน่”
บุปผานิ่งไปนิดเดียว “อุบัติเหตุน่ะค่ะ”
พยาบาลกลับเข้ามาพร้อมอุปกรณ์ทำแผล ไอศูรย์หันไปรับ แล้วเริ่มทำแผลให้บุปผา โดยมีพยาบาล คอยช่วยส่งอุปกรณ์ให้
บุปผาไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองสักนิด สายตาเอาแต่จ้องมองแต่ไอศูรย์ไม่วางตาเอาเลย
เวลาต่อมามือบุปผาได้รับการพันแผลเรียบร้อยแล้ว
“วันนี้คงจะระบมแล้วก็ตึงๆ แผลหน่อยนะครับ แล้วหลังจากนี้ คุณต้องมาทำความสะอาดแผลที่โรงพยาบาลนี่ทุกวัน สัก 3 วันก็น่าจะดีขึ้นมากละครับ”
บุปผาขยับจะพูดกับไอศูรย์ แต่พยาบาล เข้ามาเสียก่อน
“คุณหมอคะ..รถที่บ้านคุณหมอมารอคุณหมออยู่นานแล้วค่ะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับ แล้วหันกลับมาหาบุปผา
“เดี๋ยวหมอจะจัดยาให้นะครับ” ไอศูรย์ลุกขึ้นจะไป
บุปผายังไม่อยากให้ไอศูรย์ไป คิดอะไรอยู่สักครู่ แล้วก็ทำท่าโงนเงนเหมือนจะเป็นลม พูดออกมาเสียงแผ่ว
“หมอ…”
ไอศูรย์หันมาดูสีหน้าตกใจ “คุณ”
ไอศูรย์วิ่งเข้ามารับร่างของบุปผาได้ทันก่อนที่บุปผาจะล้มฟาดพื้นไป แล้วอุ้มไปวางที่เตียงพยาบาล แล้วหันไปสั่งพยาบาล
“เอาแอมโมเนียมาที”
พยาบาลคนแรกออกไป ไอศูรย์หันไปสั่งพยาบาลอีกคน
“ช่วยไปบอกคนรถของผมทีว่า..ให้เขาเอารถกลับไปที่บ้านก่อน และให้เรียนคุณแม่ด้วยว่าผมยังติดคนไข้อยู่ คงจะไปตามนัดไม่ได้”
พยาบาลคนที่ 2 รับคำแล้วออกไป พยาบาลคนแรกเอาแอมโมเนียกลับเข้ามาให้ ไอศูรย์เอาแอมโมเนียให้บุปผาดม
ด้านคุณหญิงมณีกำลังดูแลความเรียบร้อยสวยงามของชุดที่มัทนาใส่อยู่ ด้วยสีหน้าพึงพอใจ
“เห็นไม๊..แม่บอกแล้วว่าลูกใส่ชุดนี้แล้วสวยมากจ้ะ”
มัทนาท้วงสีหน้าไม่ค่อยดีนัก “แต่..อยู่บ้านแท้ๆ ชุดนี้มันจะไม่มากไปหน่อยหรือคะแม่”
“ตามใจแม่เขาหน่อยเถอะ จะได้ไม่ต้องฟังเสียงบ่น”
คุณหญิงหันไปค้อนท่านนายพลผู้เป็นสามี แล้วหันกลับมาพูดกับลูกสาวต่อ
“ถึงจะอยู่บ้าน แต่คนที่เขาจะมาพบหนู เขาเป็นคนสำคัญนี่จ๊ะ”
“ใครคะแม่”
“คนที่แม่จะให้หนูหมั้นกับเขาน่ะ…”
พอมณีพูดจบเพชรก็เดินเข้ามาพอดี มัทนาหันไปมองแล้วตะลึง
“พี่เพชร!”
ด้านบุปผาก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้นเหมือนเพิ่งได้สติ เห็นไอศูรย์มองมาสีหน้าห่วงใย
“ฉัน..เป็นลมไปเหรอคะหมอ”
“ครับ คุณคงตกใจกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ประกอบกับอ่อนเพลียที่เสียเลือด เลยเป็นลมไปน่ะครับ”
“ดีนะคะที่คุณหมอหันมารับตัวคุณเอาไว้ทัน ไม่อย่างนั้นศีรษะคุณอาจจะฟาดพื้นได้” พยาบาลบอก
บุปผายกมือไหว้ไอศูรย์ “ต้องขอบพระคุณ-คุณหมอมากเลยค่ะที่ช่วยฉันไว้”
“ไม่ต้องขอบคุณอะไรหรอกครับ มันเป็นหน้าที่ของหมออยู่แล้วที่จะต้องดูแลรักษาคนเจ็บอย่างดีที่สุด”
“แต่ถึงยังไง ฉันก็คิดว่าคุณหมอมีพระคุณต่อฉันมาก และสักวันฉันจะต้องตอบแทนบุญคุณให้แก่หมออย่างแน่นอนค่ะ ฉันชื่อ..บุปผาค่ะ”
“ครับ” ไอศูรย์ยิ้มนิดๆ
ตลอดเวลาบุปผามองไอศูรย์ไม่วางตาราวกับจะกลืนกิน
อ่านต่อตอนที่ 2