ไฟหวน ตอนที่ 4
บุปผาเดินกลับเข้ามาในส่วนของห้องอาหารเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตรวจเช็คจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เข้าที่ แล้วเดินกลับไปยังโต๊ะที่ไอศูรย์นั่งอยู่
“เรียบร้อยแล้วค่ะหมอ”
ไอศูรย์พยักหน้า แล้วลุกขึ้นเดินนำบุปผาออกจากร้านไป บุปผาเหลียวกลับไปมองทางห้องครัว เห็นว่ากำพลกับมุกไม่ได้กลับออกมาอีก บุปผายิ้มพอใจที่สลัดกำพลกับมุกหลุดได้สมใจ
ไอศูรย์ขับรถมาจอดที่หน้าตึกบ้านมัทนา บุปผาหันมาไหว้ไอศูรย์อีกครั้ง
“ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่มาส่งบุปผาน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ฉันจะได้แวะมาหาน้องมัทด้วยน่ะ”
พูดจบไอศูรย์ก็เดินขึ้นตึกไป บุปผายืนโมโหที่ไอศูรย์เอาแต่คิดถึงมัทนาตลอด ไม่สนใจตัวเองเลยสักนิด แต่ยังไม่ทันที่บุปผาจะเดินกลับเข้าหลังบ้าน สร้อยก็พุ่งเข้ามาคว้าแขนไว้ ถามคาดคั้นอย่างเอาเรื่อง
“ทำไมแกถึงให้นายสินมันกลับมาบ้านก่อน ไม่ให้มันรอรับแกกลับ”
บุปผาทำหน้าซื่อใส่ “ฉันเปล่าให้พี่สินกลับก่อนนะจ๊ะ แต่พี่สินบอกว่าเป็นห่วงบ้าน แล้วก็ขี้เกียจนั่งรออยู่ที่โรง พยาบาลด้วย เลยขอกลับก่อน แล้วให้ฉันกลับเองน่ะจ้ะ”
สร้อยหรี่ตามองจ้องอย่างจับผิด “จริงเหรอ”
“จริงสิจ๊ะ”
“งั้นก็แล้วไป...” แล้วสร้อยก็เดินขึ้นตึกไป
บุปผาทำหน้า “ชิ” ใส่ ขณะตามหลังสร้อยไป
ไอศูรย์ยกมือไหว้คุณหญิงมณี และหันไปรับไหว้มัทนา แล้วทั้งหมดก็นั่งลงในห้องรับแขก
สร้อยนั่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“วันนี้อาการป้ารุ่งดีขึ้นไม๊คะพี่ต้น” มัทนาถามอย่างตื่นเต้น
“จู่ๆวันนี้ป้ารุ่งแกก็เรียกบุปผาว่า..ลูก แล้วก็บอกว่าตัวเองชื่อ...อุ่น”
“อ้าว ไหนทีแรก ป้ารุ่งเรียกบุปผาว่า “อุ่น” ทำไมตอนนี้มาเรียกตัวเองว่า “อุ่น” เสียอย่างนั้นละคะพี่ต้น”
“พี่หมอปรีชาบอกว่า..ความจำแกคงสับสนมากน่ะ”
“โถ...น่าสงสารจังนะคะพี่ต้น” มัทนายิ่งสงสาร
“แล้วแม่บุปผาช่วยอะไรได้บ้างไม๊คะคุณต้น” สร้อยถาม
“มากครับ ตอนนี้บุปผาเป็นคนเดียวที่ป้ารุ่งยอมพูดด้วย” ไอศูรย์บอก
“แปลก...” มณีว่า
“พี่หมอปรีชาเชื่อว่าบุปผาอาจจะหน้าเหมือน หรือมีบุคลิกเหมือนคนที่ป้ารุ่งเคยรู้จักน่ะครับ”
คุณหญิงมณีกับสร้อยพยักหน้ารับรู้ และเข้าใจ แล้วไอศูรย์ก็หันไปมองมัทนาแล้วยิ้มให้ มัทนายิ้มตอบ สองคนมองตากันหวาน คุณหญิงมณีกับสร้อยมองแล้วยิ้มพอใจที่เห็นสองคนรักกัน ส่วนที่ริมระเบียง แลเห็นว่าบุปผามาแอบดูอยู่
บุปผาเห็นไอศูรย์กับมัทนามองตากันหวานฉ่ำ ก็แทบคลั่งด้วยไฟริษยาในใจ
เหล่าแม่ยั่วเมืองของหอโคมแดง ทุกคนกำลังรุมดูแผลพองแดงตรงขามุก ที่โดนน้ำเดือดหกใส่ที่ร้านอาหารพร้อมกำพล
พิกุลร้องลั่น “อ๊าย... อย่างนี้ต้องเป็นแผลเป็นแน่เลยนังมุก” มุกโมโหยันพิกุลจนร่างตกเก้าอี้ดังโครม ด้วยความโมโห
“แกอย่ามาแช่งฉันนะนังพิกุล หมอบอกว่าหมั่นทายาบ่อยๆ แผลก็จะค่อยๆ หายย่ะ แต่แม่..ฉันว่าผู้หญิงที่ฉันเห็นที่ร้านอาหารนั่น เป็นนังบุปผาจริงๆ นะแม่”
คนอื่นๆ ตื่นเต้นกันใหญ่ แต่ผกากลับนิ่งเฉย
“จริงเหรอ แล้วมันมากับใครล่ะ” ผกาถาม
“ไม่รู้ ไม่ทันเห็น แต่คุณกำพลเขาก็เห็นเหมือนฉันแหละเราสองคนถึงได้วิ่งตามมันไปที่หลังร้าน แล้วก็เลยโดนน้ำเดือดมันหกใส่มายังงี้ไงล่ะ” มุกบอก
“ว๊า..เลยไม่รู้เลยว่านังบุปผามันไปอยู่ที่ไหน กับใคร” สิรีว่า
มุกหันไปมองผกาที่นั่งนิ่งเงียบมาตลอด
“แม่รู้ใช่ไม๊ว่านังบุปผามันจะออกไปอยู่ที่ไหน กับใคร”
ทุกคนหันไปมองผกาอย่างสนใจ ผกาเลยพูดตัดบท
“มันไปดีแล้ว พวกเราก็อย่าไปสนใจมันเลยน่า” แล้วลุกเดินหนีไป
มุกมองตาม ยิ่งมั่นใจว่าผกาต้องรู้ว่าบุปผาไปอยู่ที่ไหนแน่ๆ
ค่ำนั้นไอศูรย์ขับรถกลับมาถึงหน้าบ้าน จอดรถบีบแตรและรอให้คนในบ้านมาเปิดประตูบ้านให้ ระหว่างนั้นเองประตูรถฝั่งไอศูรย์นั่งก็ถูกเปิดออกอย่างแรง ไอศูรย์ก็ถูกกระชากตัวลงมาจากรถ แล้วถูกชกโครม อย่างชนิดที่ไม่ให้โอกาสตั้งตัวเลย ไอศูรย์เซถลาไป ก่อนจะหันมาเห็นว่าคนที่ชกตนเป็นใคร
“เพชร”
“ผมไม่นึกเลยนะว่าพี่ต้นเป็นคนอย่างนี้ กำลังจะหมั้นกับน้องมัทอยู่แท้ๆ แต่กลับพาผู้หญิงอื่นไปจอดรถทำบัดสีอยู่ริมถนน ไม่อายผีสางเทวดาเลย ทุเรศที่สุด”
ไอศูรย์งง “เพชรพูดอะไรพี่ไม่เข้าใจเลย”
“ฮึ่ย! พี่ต้นไม่ต้องมาทำตีหน้าซื่อ ทำเป็นไม่เข้าใจ ผมเห็นมากับตาของผมเองเลยว่าพี่ต้นทำอะไร ผมผิดหวังในตัวพี่ต้นที่สุด”
ยิ่งพูดก็ยิ่งอารมณ์เดือด เพชรพุ่งเข้าไปกระชากคอไอศูรย์มาชกอีก ไอศูรย์ชกสวนบ้าง สองหนุ่มเลยชกกันชุลมุน จนในที่สุดไอศูรย์ก็เพลี่ยงพล้ำถูกเพชรชกจนล้มไปกองกับพื้น เพชรตามไปชี้หน้าด่าไอศูรย์อย่างเกรี้ยวกราด
“ผู้หญิงดีๆ อย่างน้องมัทไม่สมควรจะเป็นคู่ครองของผู้ชายเจ้าชู้อย่างพี่ต้น ตราบใดที่น้องมัทกับพี่ต้นยังไม่ได้หมั้นกัน ผมนี่แหละ..จะแย่งน้องมัทมาจากพี่ต้นให้ได้ ไม่เชื่อคอยดู”
พูดจบเพชรก็เดินออกไป ไอศูรย์มองตามอย่างฉงนฉงาย ไม่เข้าใจอะไรเลย
วันต่อมาพลอยแต่งตัวชุดนิสิตพร้อมจะออกจากบ้าน เดินหอบหนังสือเรียนลงมาจากชั้นบนเจอคนใช้หญิงชื่อจิตร จึงถาม
“นายผินเตรียมรถพร้อมรึยังจ๊ะ..จิตร”
เพชรเดินถือกุญแจรถเข้ามา
“จะไปติวหนังสือสอบที่บ้านน้องมัทใช่ไม๊ยายพลอย พี่ไปส่งให้เอง”
พลอยมีสีหน้ารู้ทันแต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร เพชรก็เดินนำไปที่รถก่อนแล้ว พลอยเลยจำต้องตามไป
เพชรขับรถเข้ามาจอดที่หน้าตึก มัทนาวิ่งลงมารับ พอเห็นเพชรก็ยกมือไหว้
“วันนี้พี่เพชรว่างเหรอคะ”
“อะไรที่เกี่ยวกับน้องมัท พี่ว่างเสมอล่ะจ้ะ” เพชรประกาศตัวชัดเจน
มัทนาอึ้งไป ในขณะที่พลอยตาโต
ทับทิมเอาของว่างใส่ถาดส่งให้บุปผาอย่างรีบร้อน
“เอ้าๆ รีบเอาของว่างขึ้นไปเสิร์ฟคุณหนูกับเพื่อนเร็ว”
บุปผารับถาดของว่างจากทับทิมแล้วรีบเอาขึ้นตึกไปทันที
สามคนอยู่ในห้องนั่งเล่นในขณะที่บุปผาประคองถาดของว่างจะเอาขึ้นมาเสิร์ฟพวกมัทนา และโดยไม่ทันตั้งตัว พอบุปผาเงยหน้าขึ้นเห็นหน้าเพชรชัดๆ บุปผาก็ตกใจสุดขีด
ภาพเหตุการณ์ตอนที่เพชรไปนอนกับบุปผาที่หอโคมแดงผุดขึ้นในหัว
“คุณชื่ออะไรคะ”
“เพชร”
“ชื่อดีจริง”
เพชรถามไปงั้นๆ “แล้วเธอล่ะ ชื่ออะไร”
“จะชื่ออะไรก็ได้ค่ะ ตามแต่คุณอยากจะเรียก”
เพชรนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนบอก “มัทนา”
“คุณอยากเรียกฉันว่า มัทนา หรือคะ ก็ได้ค่ะ ฉันชื่อ...มัทนา”
บุปผายื่นหน้าไปชิดหน้าเพชร แม้เพชรจะยังหมกมุ่นอยู่กับความคิดตัวเอง จนไม่สนใจจะมองหน้าบุปผาเลย
“จูบ มัทนา หน่อยสิคะ”
เพชรนิ่งไปนิดหนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หันไปตะโบมจูบและไซ้ซอกคอบุปผาคล้ายใช้บุปผาเป็นที่ระบายอารมณ์แค้นใจแทนมัทนาตัวจริง แล้วโถมใส่บุปผาทั้งตัว บุปผาหัวเราะคิกคักชอบใจ
บุปผานึกแล้วก็ยิ่งตกใจที่เจอเพชรอย่างกะทันหัน กลัวว่าเพชรจะจำได้ว่าเธอเคยอยู่หอโคมแดงมาก่อน จนทำแก้วน้ำตกแตกกระจาย ทุกคนเลยหันมามองบุปผา บุปผารีบก้มหน้างุดเก็บแก้ว เช็ดน้ำโกลาหล เพชรลุกเข้ามาช่วยอย่างเป็นสุภาพบุรุษ แล้วมองหน้าบุปผาอย่างพิจารณา
“เอ๊ะ..เราเคยเจอกันไม๊…”
บุปผาตอบทันที “ไม่ค่ะ! เราไม่เคยเจอกันเลยค่ะ”
“แต่ฉันเหมือนเคยเห็นเธอมาก่อน”
“คุณคงจำผิดเสียแล้วล่ะค่ะ บุปผาเพิ่งมาจากบ้านนอกได้ไม่กี่วันนี้เอง”
เพชรยังคลางแคลงใจ
“จริงค่ะพี่เพชร บุปผาเพิ่งมาจากต่างจังหวัด มาอยู่บ้านนี้ไม่กี่วันเองค่ะ” มัทนาเสริม
“งั้นพี่คงจำผิดไป”
มัทนาบอกกับบุปผา “พี่เพชร เป็นพี่ชายของคุณพลอย เพื่อนสนิทฉันเองจ้ะบุปผา”
“เอ้อ..ค่ะ”
“หมู่นี้พี่เพชรชักเลอะเทอะใหญ่แล้ว จำคนผิดคนถูก ไปๆ พี่เพชรจะไปธุระที่ไหนก็รีบไปเถอะค่ะ พลอยกับยายมัทจะได้เริ่มติวหนังสือกันสักที” พลอยไล่พี่ชาย ท่าทีขำๆ
พลอยผลักไสเพชรให้ออกไป มัทนารีบเดินตามไปส่งเพชร บุปผามองตาม พอเพชรเดินหลุดไป บุปผาก็ถอนใจเฮือกใหญ่ สีหน้าไม่สบายใจมาก
ด้านกำพลอยู่ที่บ้าน ก็กำลังจ่อมจมคิดถึงแต่เรื่องบุปผาอยู่ มั่นใจว่าคนที่เห็นข้างหลังวิ่งหายไปทางครัวไวๆ ต้องใช่บุปผาแน่
ยิ่งคิดกำพลยิ่งมั่นใจ พึมพำออกมา “ต้องใช่บุปผาแน่ๆ”
กำพลฮึดฮัดๆ อารมณ์เสียที่จับตัวบุปผาไม่ทัน พ่อเดินเข้ามาพอดี
“วันนี้แกไม่ออกไปไหนเหรอ”
“คงไม่หรอกครับพ่อ ยังเจ็บขาที่โดนน้ำร้อนลวกเมื่อวานไม่หายเลยครับ”
“ไปทำท่าไหนมาฮึ..ถึงได้โดนน้ำร้อนลวกเอาได้น่ะ”
“อุบัติเหตุนิดหน่อยน่ะครับพ่อ”
พ่อมองกำพลอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ไปเล่นพิสดารกับผู้หญิงที่ไหนใช่ไม๊ มีคนมาเล่าให้พ่อฟังว่าแกน่ะชอบไปคลุกอยู่ที่หอโคมแดงอยู่บ่อยๆ เบาๆ ลงหน่อยเถอะว๊าไอ้พล ประเดี๋ยวไปติดโรคพรรค์อย่างว่ามา ผู้หญิงดีๆเขาจะไม่เอาแก พ่อยังอยากได้ลูกสาวคนดีๆ เป็นสะใภ้นะ ไม่ใช่ผู้หญิงหอโคมแดง”
“ครับพ่อ”
พ่อเดินออกไป กำพลถอนใจ แล้วเดินไปโทรศัพท์หาเพชร
“เพชรเหรอ”
เช้าวันต่อมามัทนากับนายพลเทพกำลังยืนใส่บาตรอยู่ที่หน้าบ้านด้วยสีหน้าสงบเสงี่ยม โดยมีบุปผาและสวิงช่วยส่งของใส่บาตรให้อย่างรู้หน้าที่
คุณหญิงมณีกับสร้อยมองออกมาจากในบ้าน เห็นสองพ่อลูกยืนใส่บาตรอยู่หน้าบ้าน)คุณหญิงมณีสีหน้าเครียดๆ
“คุณหญิงสงสัยเหมือนสร้อยไม๊คะ...ว่าทำไมท่านนายพลถึงใส่บาตรทุกวันนี้ของปี”
มณีหน้าเครียดๆ “สร้อยคิดว่ายังไงล่ะ”
สร้อยกระซิบตอบ “ก็วันนี้..มันวันตายของนังอุ่น กับลูกของมัน..สร้อยจำได้แม่นเชียวค่ะเพราะว่าสร้อย”
เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในหัวสร้อยอีกครา ตอนนั้นสร้อยถือมีดขู่ให้อุ่นกลับเข้าไปในบ้านที่ไฟกำลังโหมไหม้
“ฉันจะเป็นใครแกไม่ต้องรู้หรอก กลับเข้าไปในบ้านเดี๋ยวนี้” สร้อยตะคอกขู่ซ้ำ “ไป”
สร้อยขยับมีดในมือขู่ให้อุ่นจำต้องถอยหลังหนีกลับเข้าไปในบ้าน แล้วฝ้าเพดานที่ลุกติดไฟอยู่ก็หล่นโครม เฉียดหลังอุ่นไปนิดเดียว อุ่นหวีดร้องด้วยความตกใจแล้วกระโจนหนีอย่างลืมตัว จึงพุ่งร่างเข้าหาสร้อยซึ่งยังถือมีดอยู่ในมือ ทำให้มีดในมือสร้อยเสียบจึ้ก เข้าที่ท้องอุ่น
สร้อยคิดแล้วก็ยิ่งมั่นใจ
“ท่านนายพลทำเหมือนว่าทำบุญให้กับพวกมันสองแม่ลูกยังงั้นแหละค่ะคุณหญิง นี่ถ้าลูกในท้องในอุ่นมันยังไม่ตาย ก็คงจะอายุไล่เลี่ยกับคุณหนูมัทนานะคะ”
คุณหญิงมณีตาลุกวาว
“ฮึ..ถึงท่านนายพลจะยังอาลัยอาวรณ์พวกมันอยู่ แต่พวกมันก็ตายไปหมดแล้วทั้งแม่ทั้งลูกนั่นแหละ”
คุณหญิงมณีมองดูนายพลเทพกับมัทนาใส่บาตร โดยมีบุปผาช่วยส่งของให้อย่างเงียบๆ
สร้อยรู้ดีว่าไม่ควรพูดกวนอารมณ์ของคุณหญิงมณีให้ขุ่นมัวขึ้นมาอีก จึงสงบปากทันที
เทพกับมัทนาใส่บาตรพระรูปสุดท้ายเสร็จพอดี หลวงพ่อล้วงลงไปในย่ามหยิบเอาพระองค์เล็กๆ มาส่งให้เทพกับมัทนาคนละองค์ สองพ่อลูกยกมือไหว้ หลวงพ่อให้ศีลให้พรต่ออีกสักครู่ก็เดินไป
“ไปกรวดน้ำกันลูก”
เทพโอบบ่ามัทนาเดินกลับเข้าบ้าน ขณะที่สวิงกับบุปผาช่วยกันเก็บของใส่บาตรกลับ
นายพลเทพกำลังกรวดน้ำลงที่โคนต้นไม้ใหญ่ภายในบ้าน มีมัทนานั่งอยู่ใกล้ๆ
“ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้กระทำในวันนี้ให้แก่นางอุ่น...ภรรยาของข้าพเจ้า…”
ขณะที่นายพลเทพกำลังกล่าวคำอธิษฐานในใจ โดยไม่รู้ว่าที่ด้านหลัง วิญญาณของอุ่นนั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ นั่นเอง อุ่นมองนายพลเทพแล้วน้ำตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจที่นายพลเทพยังไม่ลืมตน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกับนายพลเทพได้
ด้านบุปผาเดินถือข้าวของใส่บาตรกลับเข้าหลังบ้าน ตามหลังสวิงไป สวิงเดินลับตัวไปแล้ว แต่บุปผาหยุดเดิน แล้วมองไปที่นายพลเทพ
เห็นนายพลเทพและมัทนากำลังกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลกันอยู่
“และลูกของข้าพเจ้าที่เกิดกับนางอุ่น หากบุญวาสนายังมีต่อกัน ก็ขอให้ได้พบเจอกันอีก” เทพอธิษฐานในใจต่อ
บุปผาเห็นแล้วรู้สึกดีกับนายพลเทพอย่างประหลาด แล้วทันใดนั้นบุปผาก็รู้สึกว่าเหมือนมีลมเย็นพัดผ่านตัวเธอไป บุปผามองรอบตัวอย่างงงๆ ว่าทำไมถึงมีลมเย็นพัดผ่านตัวเธอไป ที่แท้วิญญาณของอุ่นยืนอยู่ข้างตัวบุปผานั่นแหละ แต่บุปผาไม่รู้ตัว
วิญญาณอุ่นเรียกบุปผาว่า “ลูก...ลูก” เห็นปากขยับ แต่ไม่ได้ยินเสียง เพราะผีอุ่นสื่อสารกับบุปผาไม่ได้
แล้วทันใดนั้นวิญญาณอุ่นก็หันไปมองเห็นสร้อยเดินพรวดเข้ามา วิญญาณอุ่นมีสีหน้าตกใจ ด้วยยังจดจำเหตุการณ์ได้แม่น ในตอนที่สร้อยใช้มีดพุ่งแทงเข้าที่ท้องอุ่นอีกครั้ง จนอุ่นตาลอยคว้าง แววตาเจ็บปวดสุดชีวิต
วิญญาณอุ่นจางหายไปอย่างรวดเร็ว เพราะยังคงกลัวสร้อยที่เป็นคนฆ่าเธอตายอยู่มาก สร้อยเข้ามาถามบุปผาเสียงเข้ม
“มัวแต่ยืนทำหน้าเซ่ออยู่ทำไมล่ะนั่น รีบขนของเข้าบ้านสิ
บุปผาได้สติรีบขนของเข้าบ้านทันที สร้อยมองตามบุปผาไป ไม่เคยชอบหน้าบุปผา อย่างไร และก็ยังไม่ชอบอยู่อย่างนั้นแหละ
บุปผาเอาของมาเก็บเข้าที่ในครัว มัทนาเดินเข้ามาหา
“บุปผา”
บุปผาหันไปหา “ขา..คุณหนูมีอะไรจะใช้บุปผาหรือคะ”
มัทนา ยื่นพระองค์เล็กๆ ให้บุปผา
“ฉันได้พระมาจากหลวงพ่อตอนที่ใส่บาตรกับคุณพ่อเมื่อเช้านี้น่ะ ฉันฝากบุปผาเอาไปให้ป้ารุ่งทีนะ เผื่อว่าคุณพระคุณเจ้าจะช่วยบันดาลให้ความจำป้ารุ่งกลับคืนมา”
“ได้ค่ะ”
“ขอบใจจ้ะ” มัทนาเดินออกไป
พอมัทนาเดินลับตัวไป บุปผาก็เบ้ปากใส่ลับหลัง
“ชิ! ทำเป็นคนดี” บุปผาก้มลงมองพระในมือแล้วยิ้ม
ไม่นานหลังจากนั้น ไอศูรย์กำลังมองพระที่อยู่ในมือบุปผา แล้วยิ้ม อิ่มนั่งอยู่ใกล้ๆ ด้วย“เธอเป็นคนดีจริงๆบุปผา อุตส่าห์หาพระมาให้ป้ารุ่ง”
“ก็แค่ของเล็กๆ น้อยๆ เท่าที่บุปผาจะพอหามาให้ได้น่ะค่ะ” บุปผาสร้างภาพ
ไอศูรย์ยิ้ม “งั้นเธอเอาให้ป้ารุ่งด้วยตัวเองเลยสิ”
“ค่ะ” บุปผาหันไปหาอิ่ม “ป้ารุ่งจ๋า...ฉันเอาพระมาฝากจ้ะ ขอให้คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองป้ารุ่งนะจ๊ะ”
อิ่มมองพระในมือบุปผาแล้วยิ้มดีใจ บุปผาตัดสินใจคล้องพระใส่คออิ่ม อิ่มจับพระที่คล้อง อยู่ที่คอเล่น มีสีหน้าดีใจ บุปผายิ้มหวานให้อิ่ม พยาบาลเดินเข้ามา
“หมอคะ..มีคนไข้ด่วนเข้ามาค่ะ”
ไอศูรย์ลุกเดินตามพยาบาลไปทันที บุปผาสีหน้าผิดหวังที่ไอศูรย์ไม่ได้อยู่ด้วย
อิ่มสะกิดบุปผา “ขอบใจนะ..ขอบใจ ชอบๆ”
บุปผาตวาดใส่อิ่มอย่างไม่เกรงใจเพราะไม่มีใครอยู่แล้ว “เออ ชอบก็ดี”
บุปผาทั้งหงุดหงิด และผิดหวัง ความสัมพันธ์ของเธอกับไอศูรย์ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย
ด้านสินจอดรถนอนหลับรอบุปผาอยู่ บุปผาเดินกระฟัดกระเฟียดมาขึ้นรถ สินตกใจตื่น เห็นท่าทางของบุปผาก็งง
“เป็นอะไรไปน่ะบุปผา ป้ารุ่งก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกเหรอ”
“เปล่า”
“แล้วบุปผาอารมณ์เสียเรื่องอะไรมา เอ๊ๆๆๆ ขี้หงุดหงิดอย่างนี้ ท้องรึเปล่าบุปผา” สินยิ้มย่อง “ถ้าบุปผาท้องจริงๆ ก็ดีน่ะสิ ฉันจะได้บอกความจริงกับทุกคนเสียทีว่าบุปผาน่ะเป็นเมียฉัน ไม่ใช่น้อง”
บุปผาปรี๊ด “ถ้าพี่สินบอกคนอื่นว่าฉันเป็นอะไรกับพี่ พี่กับฉัน...เราขาดกัน”
สินอึ้งไปทันที บุปผาอ่อนลง กลัววีนใส่นายสินมากเกินไปแล้วตนจะเดือดร้อน
“ฉันก็แค่หงุดหงิดนิดหน่อย..เพราะเหนื่อยน่ะ พี่สินก็น่าจะรู้ อยู่กับคนบ้า มันไม่ใช่เรื่องง่าย”
สินจับมือบุปผาเพื่อให้กำลังใจ “งั้นพี่ไปบอกคุณหญิงให้เอาไม๊ว่าบุปผาเลิกมาช่วยงานที่โรงพยาบาลนี่”
“อย่านะ” บุปผาอ่อนลงอีก “พี่ก็รู้ว่าฉันเป็นคนเพิ่งมาอยู่ใหม่ ขืนเรื่องมาก เจ้านายเหม็นขี้หน้าขึ้นมา..ฉันจะลำบาก”
“อืม..จริง”
“กลับบ้านเถอะพี่สิน”
สินพยักหน้ารับแล้วขับรถออกไป หน้าตาบุปผายังหงุดหงิดไม่คลาย
วันต่อมานายพลเทพนั่งคุยอยู่กับดำเกิง ที่หลังกรม
“หาตัวแม่อิ่มพบแล้วรึดำเกิง”
“ยังขอรับ แต่กระผมให้คนออกสืบข่าวไปทั่ว แต่ยังไม่พบตัวเลยขอรับ แต่มีข่าวว่า..มีผู้หญิงรูปร่าง หน้าตา และอายุ ใกล้เคียงกับคุณอิ่ม เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลที่ใกล้บ้านคุณอุ่นที่สุด ในคืนที่เกิดไฟไหม้นั้น”
เทพถามอย่างร้อนรน “แล้วเด็กล่ะ”
“ยังไม่ทราบขอรับ คงต้องไปขอข้อมูลจากโรงพยาบาลนั่นก่อน”
“ก็ไปขอมาสิ”
“แต่ข้อมูลการรักษาคนไข้ เป็นความลับทางการแพทย์นะขอรับท่าน คงเดินเข้าไปขอมาเฉยๆ เขาคงไม่ให้แน่”
“โรงพยาบาลอะไร บอกชื่อมา ถ้านายพลเทพ เทพบริบาล เป็นคนขอ หน้าไหนมันจะกล้าไม่ให้ข้อมูล ก็ให้มันรู้ไป”
สีหน้านายพลเทพมุ่งมั่นมาดหมายเอามากๆ
ขณะเดียวกันมัทนามีสีหน้าแปลกใจ เมื่อเพชรเอาบัตรละครการกุศลมาส่งให้
“เย็นนี้ ไปดูละครการกุศลด้วยกันนะครับน้องมัท”
มัทนาลังเล “ไปดูกันสองคนหรือคะพี่เพชร”
เพชรรีบบอก “อ๋อ...ยายพลอยก็ไปด้วยจ้ะ”
มัทนาอดแปลกใจไม่ได้ “เจอกันที่มหาวิทยาลัย ไม่เห็นพลอยบอกมัทเลยนี่คะ”
“ยายพลอยยังไม่รู้หรอกครับว่าพี่มาชวนน้องมัทไปด้วย พี่อยากให้ยายพลอยแปลกใจเล่นน่ะ ไปด้วยกันนะครับ”
มัทนายังลังเลอยู่อย่างนั้น จังหวะนี้นายพลเทพเดินเข้ามาพอดี มัทนารีบลุกไปกอดพ่อ
“คุณพ่อ..ทำไมวันนี้กลับเร็วจังคะ”
เพชรรีบยกมือไหว้ นายพลเทพรับไหว้
“แวะมาคุยกับยายมัทเหรอ”
“ผมจะมาชวนน้องมัทไปดูละครการกุศลด้วยกันกับผมน่ะครับ”
ท่านนายพลพยักหน้ารับรู้ เพชรกลัวนายพลเทพไม่อนุญาต เลยรีบพูดต่อ
“ยายพลอยน้องสาวผม ก็ไปด้วยนะครับ ไปกันหลายๆ คน...สนุกดีน่ะครับ”
นายพลเทพคิดถึงว่า บางทีมัทนาก็อาจจะมีพี่น้องเหมือนกัน เลยพูดออกไป
“นี่ถ้าลูกมัทมีพี่มีน้องอย่างเพชรกับพลอยบ้าง ก็คงจะดีนะ เอ้าๆ จะไปดูละครการกุศลกันเหรอ เอาสิ ไปเถอะ” พลางบอกกับลูกสาว “อย่าให้พ่อเพชรเขามาชวนเก้อเลยลูก จะเสียมารยาทรู้ไม๊”
แล้วนายพลเทพก็เดินขึ้นห้องไป มัทนาอึ้ง ในขณะที่เพชรยิ้มร่า
เวลาเดียวกันคุณหญิงมณีแวะมาคุยกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ที่บ้านอีกฝ่าย โดยมีโฉมนั่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“คุณชไมโทรมานัดวันให้พายายมัทขึ้นไปสะเดาะเคราะห์ที่เชียงใหม่แล้วค่ะ เป็นวันศุกร์หน้านะคะคุณหญิง” มณีบอก
แจ่มจันทร์เยื้อนยิ้ม “ได้ค่ะ ดิฉันจะได้บอกให้ตาต้นเตรียมตัวไปด้วยกัน”
“ความจริงดิฉันอยากไปให้เร็วกว่านี้นะคะ แต่ก็ต้องรอฤกษ์จากคุณชไมเสียก่อน คุณหญิงเองก็มีลูก คงเข้าใจหัวอกแม่ด้วยกันนะคะว่าอะไรที่เกี่ยวกับความเป็นความตายของลูก คนเป็นแม่จะนิ่งนอนใจไม่ได้”
“เข้าใจค่ะคุณหญิง” แจ่มจันทร์ว่า
“ยิ่งดิฉันมีลูกแค่คนเดียว ดิฉันยอมทำ ทุกอย่าง เพื่อลูกได้ เพราะที่สุดของชีวิตก็คือลูกนี่ล่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีพูดด้วยเสียงเฉียบขาด สีหน้าแววตาเด็ดเดี่ยวมาก
อนิจจาถ้าหากคุณหญิงมณีรู้ความจริงว่า ลูกที่เกิดจากเมียน้อยอีกคนของสามี ยังมีชีวิตอยู่ คุณหญิงมณีจะทำอย่างไรหนอ
เย็นวันนั้นพลอยแต่งตัวสวยงาม มายืนรอเพชรอยู่ที่โถง แปลกใจที่เพชรยังไม่ลงมาเสียที ก็เลยเรียก
“พี่เพชร แต่งตัวเสร็จรึยังค๊า เดี๋ยวไปโรงละครสายนะคะ”
เพชรแต่งตัวหล่อเนี้ยบเดินลงมาจากชั้นบน พลอยมองแล้วทึ่ง
“โห..แต่งเสียหล่อเชียวค่ะพี่เพชร นี่..พลอยถามจริงๆ เถอะค่ะ พี่เพชรนึกยังไงถึงได้อยากไปดูละครการกุศลเรื่องนี้นักคะ”
“ก็พี่อยากเป็นคนมีวัฒนธรรมกับเขาบ้างน่ะสิ ประเดี๋ยวจะหาว่าทหาร...มีดีแต่รบ”
พลอยขำ “เอ้าๆๆๆ รีบไปเถอะค่ะ”
“ใครว่าพี่จะไปกับพลอยล่ะ พี่หาคนไปดูละครกับพลอยไว้ให้แล้ว นั่นไง เดินมาโน่นแล้ว”
พลอยเหลียวไปดู เห็นกำพลเดินแต่งตัวหล่อยิ้มร่าเข้ามา พลอยหันไปมองหน้าเพชรแล้ว
อ้าปากค้างเหวอไปเลย
พอคุณหญิงมณีกลับมาถึงบ้าน เดินเข้ามาในห้องโถง สร้อยรีบเข้ามารับกระเป๋า คุณหญิงเห็นมัทนาแต่งตัวสวยลงมาจากชั้นบนก็แปลกใจ
“จะไปไหนเหรอลูกมัท”
“มัทจะไปดูละครการกุศลค่ะแม่”
“ไปกับพ่อต้นเหรอ” มณีถาม
มัทนาอ้ำอึ้ง “ไม่ใช่ค่ะ..เอ้อ...”
ยังไม่ทันที่มัทนาจะพูดต่อ เพชรก็เดินเข้ามา พอเห็นคุณหญิงมณี เพชรก็ยกมือไหว้ทันที คุณหญิงมีสีหน้าแปลกใจ หันมามองหน้ามัทนาเป็นเชิงถาม มัทนาตอบเสียงอ่อย
“ไปกับพี่เพชรค่ะแม่”
คุณหญิงมณีอึ้ง นิ่งงันไป จังหวะนี้ไอศูรย์เดินเข้ามาอีกคน ไอศูรย์ยกมือไหว้คุณหญิงมณี แล้วยิ้มให้มัทนา แต่พอเห็นเพชรอยู่ตรงนั้นด้วย ไอศูรย์ก็อึ้งไปอีกคน
คุณหญิงมณีลากมือมัทนาเข้ามามุมหนึ่ง คุยกันสองคนคน
“ทำไมมัททำอย่างนี้ลูก กำลังจะหมั้นจะหมายกับพ่อต้นอยู่แล้ว กลับจะออกไปเที่ยวกับคนอื่น มันไม่งามเลยรู้ไม๊ลูก”
“มัทก็ไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แต่พอดีตอนที่พี่เพชรมาชวน คุณพ่อก็อยู่ด้วย คุณพ่อเลยบอกให้ไป อย่าให้พี่เพชรมาชวนเก้อ เดี๋ยวจะเสียมารยาทน่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีพูดไม่ออก เมื่อรู้ว่าคนอนุญาตให้ลูกสาวไปคือสามีนั่นเอง
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ด้านเพชรกำลังยืดใหญ่ และพูดจาเยาะเย้ยไอศูรย์ออกมา
“เสียใจด้วยนะครับพี่ต้น พอดีผมมีตั๋วดูละครจำนวนจำกัดเสียด้วย ไม่อย่างนั้นก็ว่าจะชวนพี่ต้นไปด้วยหรอกครับ”
แล้วเพชรก็ยื่นหน้าเข้าไปพูดใส่หน้าไอศูรย์ด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ผมบอกพี่ต้นแล้วใช่ไม๊ครับว่า ตราบใดที่พี่ต้นกับน้องมัทยังไม่ได้หมั้นกัน ผมจะแย่งน้องมัทมาจากพี่ต้นให้ได้”
ไอศูรย์หน้าเครียดไปเลย ระหว่างนี้แลเห็นบุปผาแอบฟังอยู่ที่ริมหน้าต่าง ยิ้มสะใจเมื่อได้รู้ว่าเพชรกำลังพยายามจะแย่งมัทนาไปจากไอศูรย์ ซึ่งจะทำให้บุปผามีโอกาสได้ไอศูรย์ไปครองอีกด้วย
ค่ำนั้นคุณหญิงมณีกับไอศูรย์ยืนส่งมัทนากับเพชรที่หน้าตึก มัทนามองไอศูรย์อย่างเกรงใจมาก แต่ยังไม่มีโอกาสจะพูดคุยด้วย ส่วนเพชรก็ยกมือไหว้ลาคุณหญิงมณีและไอศูรย์อย่างร่าเริง
“พอดูละครจบ ผมจะรีบพาน้องมัทกลับมาส่งทันทีเลยนะครับคุณป้า พี่ต้น”
แล้วเพชรก็พามัทนาขึ้นรถขับออกไป คุณหญิงมณีหันไปมองไอศูรย์อย่างลำบากใจ ไอศูรย์ยกมือไหว้ลาคุณหญิงมณีทันที
“งั้นผมลากลับเลยก็แล้วกันนะครับคุณป้า”
“ไม่ทานข้าวด้วยกันก่อนรึจ๊ะพ่อต้น”
“ไม่ละครับ ขอบพระคุณครับคุณป้า”
ไอศูรย์ยกมือไหว้อีกครั้งแล้วไปขึ้นรถเลย คุณหญิงมณีหน้าเครียด หันไประบายกับสร้อย
“ทำไมท่านนายพลถึงได้อนุญาตให้ลูกมัทไปกับพ่อเพชรนะ! นี่ท่านนายพลอยู่ไหนเนี่ยสร้อย”
“ข้างบนค่ะ เออ..คุณหญิงคะ”
แต่คุณหญิงมณีไม่สนใจจะฟังสร้อยแล้ว เดินพุ่งไปข้างบนทันที สร้อยเลยยังไม่มีโอกาสได้บอกเรื่องที่สงสัยเลย สร้อยออกอาการเซ็ง
นายพลเทพกำลังนอนคิดอะไรอยู่ คุณหญิงมณีก็เดินพรวดเข้ามา ใบหน้าบูดบึ้ง
“ทำไมคุณทำอย่างนี้คะ ทำไมคุณถึงอนุญาตให้ลูกมัทไปดูละครการกุศลกับพ่อเพชรนะสิคะ คุณก็รู้ว่าลูกเรากำลังจะหมั้นกับลูกชายของคุณหญิงแจ่มจันทร์อยู่แล้ว มันไม่งามเลย”
“ก็ผมเห็นว่าพ่อเพชรเขามาขออนุญาตอย่างเป็นเรื่องเป็นราว ยายพลอย น้องสาวเขาก็ไปด้วย แล้วไปดูละครการกุศลนะคุณ ไม่ได้ไปเที่ยวกันลำพังสองคนเสียที่ไหน ผมก็เลยอนุญาตให้ลูกไปน่ะสิ” เทพอธิบาย
มณีเสียงแข็ง “แต่ถ้าคุณหญิงแจ่มจันทร์รู้ คงไม่พอใจ”
เทพใช้ไม้อ่อนเข้าหา “ผมขอโทษนะที่ไม่ทันคิดอะไรให้รอบคอบ”
มณีถอนใจ “เอาเถอะค่ะ อนุญาตไปแล้วก็แล้วไปเถอะค่ะ อย่าให้มีครั้งที่สองก็แล้วกันนะคะ”
นายพลพยักหน้ารับ แล้ววกกลับไปคิดเรื่องอิ่มอีก คุณหญิงเห็นสีหน้าของสามีก็ให้สงสัย
“มีอะไรรึเปล่าคะคุณ”
เทพรู้สึกตัว รีบปฏิเสธทันที “ไม่มี ไม่มี คุณกลับมาหนื่อยๆ ไปอาบน้ำเถอะ” เทพโอบบ่าพาภรรยาไปที่ห้องน้ำ
คุณหญิงมณียังคาใจอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ด้านไอศูรย์เดินสีหน้าหงุดหงิดกลับมาบ้าน คุณหญิงแจ่มจันทร์ทักลูกชายอย่างแปลกใจ
“อ้าว...ไหนต้นโทร.มาบอกว่าวันนี้จะไปหาหนูมัทที่บ้านโน้นยังไงละจ๊ะ แล้วทำไมถึงกลับเร็วอย่างนี้”
“น้องมัทไม่อยู่ ออกไปดูละครการกุศลกับเพื่อนครับ”
“อ้าวเหรอ”
ไอศูรย์ไม่พูดอะไรอีกเดินขึ้นข้างบนไปเลย แจ่มจันทร์หันไปมองหน้ากับโฉมอย่างงงๆไอศูรย์หงุดหงิดไม่หายเรื่องที่มัทนาไปกับเพชร
ทางด้านเพชรพามัทนาเดินมาที่หน้าโรงละคร มัทนาสีหน้าไม่สบายใจนัก
“ไหนพี่เพชรบอกว่างานนี้ยายพลอยจะมาด้วยไงคะ”
“ยายพลอยน่ะเหรอ มาสิ พี่ไม่ได้โกหกน้องมัทหรอกครับ”
“แล้วไหนละคะ..ยายพลอย”
มัทนาพยายามเหลียวมองหาพลอย แล้วจึงเห็นพลอยเดินเข้ามากับกำพล พลอยอึ้งไปเลยเมื่อเห็นว่าเพชรพาใครมาด้วย พลอยจ้องหน้ามัทนาอย่างโกรธขึ้ง
พลอยดึงตัวมัทนามาต่อว่า
“ยายมัท! เธอกำลังจะหมั้นกับพี่ต้นอยู่แล้ว แล้วทำไมเธอถึงออกมาเที่ยวกับพี่เพชรอย่างนี้ หา! เธอไม่ได้รักพี่ต้นจริงๆ ใช่ไม๊! ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”
พูดจบพลอยสะบัดตัวจะเดินหนี มัทนารีบคว้ามือพลอยไว้ พยายามจะอธิบาย
“พลอย ฟังฉันก่อน ก็พี่เพชร...”
พลอยหันกลับมาตบหน้ามัทนาดังผัวะ ด้วยความโกรธ
“ถ้าพี่เพชรไปชวนเธอ แล้วเธอปฏิเสธ พี่เพชรก็คงจะไม่สามารถลากตัวเธอมาจนถึงโรงละครนี่ได้หรอก เรื่องแบบนี้...มันตบมือข้างเดียวไม่ดังหรอกนะยายมัท” ถึงตอนนี้พลอยพูดเน้นคำ “ฉันผิดหวังในตัวเธอจริงๆ”
พลอยเดินสะบัดตัวออกไป มัทนาเอามือลูบแก้มข้างที่ถูกตบ สีหน้ากลุ้มใจสุดขีด
เวลาต่อมา ทั้ง 4 คน นั่งดูละครอยู่ในโรงละคร มัทนาพยายามมองหน้าพลอย อยากจะง้อเพื่อน แต่พลอยไม่สนใจมัทนาเลย ขณะเดียวกันเพชรเอาแต่แอบมองมัทนาอย่างหลงใหล โดยที่มัทนาเองก็ไม่รู้ตัว
ฟากไอศูรย์ นั่งจมจ่อมอยู่ที่เก้าอี้ในห้องนอน ยังนอนไม่หลับ ไม่อยากทำอะไรเลย อารมณ์ยังขุ่นมัว ที่มัทนาออกไปเที่ยวกับเพชร
บุปผาเดินเข้ามา เหลียวซ้ายแลขวาเห็นไม่มีใคร
จังหวะนี้สินเดินผ่านมาพอดี และเห็นท่าทางลับๆ ล่อๆ ของบุปผาก็สงสัย พอเห็นบุปผาแอบขึ้นตึกใหญ่ไป สินก็ขมวดคิ้ว สงสัยหนักขึ้นไปอีก รีบแอบตามบุปผาไป โดยที่บุปผาไม่ทันรู้ตัว
บุปผาแอบขึ้นมาบนตึกใหญ่ เมื่อไม่เห็นใครแน่ๆ แล้ว ก็รีบเดินไปแอบใช้โทรศัพท์ทันที สินตามมาแอบดูอย่างคลางแคลงใจ
“บุปผาจะโทรไปหาใครดึกๆ ดื่นๆ อย่างนี้นะ”
เวลาเดียวกัน ผกาอยู่ที่หอโคมแดง และกำลังพูดโทรศัพท์ สีหน้าดีใจที่บุปผาโทร.กลับมาหา พิกุล เดือน สิรี และเพ็ญ กำลังนั่งคุยกันจุ๊กจิ๊กอยู่ไกลๆ มีแต่มุกคนเดียวเท่านั้นที่พยายามจะเงี่ยหูฟังว่าผกาพูดโทรศัพท์กับใคร แต่ก็ไม่ได้ยิน
“บุปผาเหรอลูก...เป็นยังไงบ้าง เงียบหายไปหลายวันเลย แม่เป็นห่วงนะ..รู้ไม๊”
บุปผา พูดโทรศัพท์อย่างร่าเริงดีใจ
“ขอบคุณจ้ะแม่ที่เป็นห่วงฉัน ฉันสบายดี และอีกหน่อยก็จะยิ่งสบายดีกว่านี้อีก เพราะตอนนี้คุณหมอไอศูรย์กำลังมีเรื่องผิดใจกับว่าที่คู่หมั้นของเขา ซึ่งมันก็เลยกลายเป็นโอกาสของฉันแล้ว”
ทันใดนั้นสินก็โผล่พรวดเข้ามากดตัดสายโทรศัพท์ของบุปผาอย่างรวดเร็ว พอบุปผาเห็นว่าคนที่มากดตัดสายโทรศัพท์คือสิน ก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
สินคว้าข้อมือบุปผาแล้วฉุดลากตัวลงจากตึกไปอย่างไม่ปรานีปราศรัย
ทางด้านผกา ตกใจมาก ที่จู่ๆ โทรศัพท์บุปผาก็ตัดสายไปเฉยๆ
“บุปผา บุปผา” ผกาหน้าเครียด “เกิดอะไรขึ้นกับบุปผารึเปล่าเนี่ย”
สีหน้าผกายามนี้เป็นห่วงบุปผาจับใจ
ฝ่ายสินลากตัวบุปผาออกมาจนพ้นตึก บุปผาพยายามจะดึงมือออกจากสินแต่ไม่สำเร็จ
“ปล่อยฉันนะพี่สิน ฉันเจ็บนะ”
สินจับบุปผาเหวี่ยงลงไปที่พื้นด้วยความโมโหสุดขีด
“บุปผาไม่ได้รักฉัน ไม่ได้คิดจะเข้ามาทำงานในบ้านนี่เพื่อเก็บเงินแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่กับฉันใช่ไม๊ แต่ความจริงบุปผาหลอกใช้ฉันให้พาเข้ามาอยู่ที่บ้านนี้ เพราะบุปผาคิดจะหาทางใกล้ชิดคุณหมอไอศูรย์ต่างหาก”
บุปผาตีมึน ทำไก๋ “พี่สินพูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ”
“บุปผาไม่ต้องมาทำเป็นโง่ ไม่รู้เรื่อง บุปผาน่ะเป็นคนฉลาดจะตาย คนที่โง่น่ะ..คือฉันต่างหากล่ะ ที่โง่จนถูกผู้หญิงหลอกใช้ แล้วไอ้คนโง่คนนี้แหละ จะไปบอกความจริงกับทุกคนว่า..แท้ที่จริงแล้ว บุปผาไม่ใช่น้องสาวฉัน แต่เป็นเมีย”
พูดจบสินก็เดินพุ่งไปที่เรือนคนใช้ทันที
“อย่านะ” บุปผาตกใจสุดขีด รีบวิ่งตามไป
บุปผาวิ่งตามมาดึงแขนสินเอาไว้ แต่สินสะบัดหลุด แล้วเดินจ้ำพรวดๆ ตรงไปที่เรือนคนใช้ บุปผารู้ทันทีว่าท่าจะห้ามสินไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะทำยังไงดี ร้อนใจมาก บุปผาเหลียวซ้ายแลขวา เจอท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงคว้าท่อนไม้นั้นแล้ววิ่งตามไปฟาดต้นคอสินเต็มแรง
สินทรุดฮวบลงฟุบกับพื้นแล้วแน่นิ่งไป บุปผาตกใจ ทิ้งท่อนไม้ แล้วรีบเข้าไปพลิกตัวสินให้หงายขึ้นเพื่อดูอาการ เห็นสินนิ่งอยู่อย่างนั้น บุปผารีบเอาหูแนบกับอกนายสินเพื่อฟังว่าหัวใจยังเต้นอยู่หรือไม่
“ยังไม่ตาย” บุปผาหน้าเครียดขึ้นมาอีก “ถ้ามันไม่ตาย ฟื้นขึ้นมา...มันต้องบอกคนอื่นแน่ว่าเราเป็นใคร”
บุปผาเจ็บใจที่สินไม่ตาย เหลียวซ้ายแลขวาแล้วคว้าหินก้อนหนึ่งขึ้นมาจะใช้ทุบหัวนายสินซ้ำเพื่อฆ่าปิดปากเสีย
แต่ในจังหวะที่บุปผากำลังจะเอาก้อนหินทุบหัวนายสิน แสงก็เดินผ่านมาพอดี แต่ด้วยความที่บุปผาอยู่ในเงามืด แสงจึงเห็นไม่ชัดว่าบุปผากำลังจะทำอะไร
“เฮ้ย! อะไรกันน่ะ”
บุปผาโยนก้อนหินนั้นทิ้งในพุ่มไม้ทันที แล้วรีบพลิกสถานการณ์
“ช่วยด้วย พี่สินหกล้มหัวฟาดพื้นแล้วแน่นิ่งไปเลยจ้ะ”
แสงรีบวิ่งเข้ามาดู “พี่สิน..พี่สิน”
สินครางในลำคอออกมานิดหนึ่ง เป็นสัญญาณว่ายังไม่ตายจริงๆ แสงตะโกนเรียกคนอื่น
“ใครอยู่แถวนี้ มาช่วยกันหน่อยเร็ว”
คนอื่นๆ ได้ยินเสียงเอ็ดตะโร จึงวิ่งกรูเข้ามาดูอาการสินกันชุลมุน บุปผากังวลสุดขีด กลัวว่าถ้าสินรู้สึกตัวขึ้นมาเมื่อไหร่ ความลับของหล่อนปิดบังต้องแตกดังโพล๊ะอย่างแน่นอน
สินถูกนำตัวมาส่งที่โรงพยาบาลของไอศูรย์ในทันที บุปผา คุณหญิงมณี แสง ไสว และสร้อย ยืนรออยู่หน้าห้องฉุกเฉิน คนอื่นๆ ต่างเป็นห่วงเกรงว่าสินจะตาย มีแต่บุปผาที่กลัวว่าสินจะรอด สักครู่หนึ่งไอศูรย์ก็เดินเร็วๆ เข้ามา พอเห็นคนของบ้านเทพบริบาลยืนออกันอยู่ ไอศูรย์ก็มีสีหน้าตกใจ รีบถามคุณหญิงมณี
“คนที่นี่โทร.ไปตามผมให้มาด่วน บอกว่ามีคนไข้อาการสาหัสเข้ามา อาจจะต้องผ่าตัด ใครเป็นอะไรหรือครับคุณป้า”
“นายสินจ้ะ หกล้มหัวฟาดพื้น ช่วยดูให้หน่อยนะพ่อต้น เพราะยังไงเสียนายสินก็เป็นคนเก่าคนแก่ของบ้านเทพบริบาลน่ะ” มณีบอก
“ไม่ต้องห่วงครับคุณป้า ผมจะดูแลนายสินอย่างดีที่สุด”
บุปผาพุ่งเข้ามาหาไอศูรย์ “ช่วยหน่อยนะคะคุณหมอ บุปผามีพี่สินเป็นญาติคนเดียวในชีวิต ถ้าพี่สินเป็นอะไรไป...” แล้วบุปผาก็แสร้งร้องไห้อย่างน่าสงสาร
ไอศูรย์หลงเชื่อว่าบุปผาเป็นห่วงพี่ชายจริงๆ จึงพูดปลอบ “ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะบุปผา นายสินอาจจะไม่เป็นอะไรมากก็ได้ ฉันจะเข้าไปดูอาการนายสินให้เดี๋ยวนี้ละ”
ไอศูรย์รีบเข้าไปในห้องฉุกเฉิน บุปผามองตามกังวลเรื่องสินจะฟื้น กลัวความลับแตก
“บุปผา นายสินหกล้มหัวฟาดได้ยังไง” มณีถาม
บุปผานิ่งคิด โกหก “บุปผาก็ไม่ทราบค่ะคุณนาย รู้แต่ว่าพี่สินจะไปคอยเปิดประตูบ้านให้คุณหนูตอนกลับมาจากไปดูละคร บุปผาก็เลยว่าจะไปอยู่เป็นเพื่อนพี่สิน แต่พอเดินไป ก็เจอพี่สินนอนไม่รู้สึกตัวอยู่ในสนามนั่นแหละค่ะ”
คุณหญิงมณีพยักหน้ารับ ยังไม่ติดใจอะไร แต่คนที่สงสัยคือแสง แสงดึงตัวสร้อยออกจากกลุ่มไป
แสงลากสร้อยเข้ามายังมุมหนึ่ง
“ลากแม่มาทำไมเนี่ยไอ้แสง”
“แม่ แม่ไม่สงสัยบ้างเลยเหรอว่าทำไมพี่สินถึงจะหกล้มหัวฟาดพื้น จนไม่รู้สึกตัวขนาดนี้ได้เนี่ย”
สร้อยชะงัก เอะใจ “แล้วแกสงสัยอะไร”
“ฉันก็ไม่รู้นะ แต่ตอนก่อนที่ฉันจะไปเจอ ฉันได้ยินเสียงคนทะเลาะกัน แต่จับความไม่ได้ แล้วพอฉันวิ่งเข้าไปดู ฉันก็เห็นนังบุปผามันทำท่าแปลกๆ”
“แปลกยังไง”
“ฉันก็เห็นไม่ถนัดตาหรอกนะ เพราะตรงนั้นมันมืด แม่ จะเป็นไปได้ไม๊ว่าพี่สินจะไม่ได้หกล้มเอง”
“แกคิดว่านังบุปผามันผลักไอ้สินเหรอ”
“แม่ว่ามันเป็นไปได้ไม๊ล่ะ ว่าไอ้สองคนพี่น้องนี่อาจจะทะเลาะกันจนเรื่องมันเลยเถิด” แสงสันนิษฐาน
“แม่ไม่รู้ แต่เราคงจะได้รู้แน่ ตอนที่ไอ้สินมันฟื้นขึ้นมานั่นแหละ”
สร้อยบอกลูกชายด้วยสีหน้ามั่นใจมาก
ฝ่ายมัทนาเดินกลับเข้ามาในบ้าน ครุ่นคิดอยู่แต่กับเรื่องที่ทะเลาะกับพลอย ไม่สบายใจเลยที่ทะเลาะกับเพื่อนรัก มัทนาเอามือคลำแก้มข้างที่ถูกพลอยตบ แล้วชะงักเมื่อเห็น นายพลเทพยังนั่งอยู่ในบ้านทั้งๆ ที่ดึกแล้ว โดยมีสวิงนั่งเฝ้าเป็นเพื่อน
“ทำไมคุณพ่อยังไม่ขึ้นนอนอีกคะเนี่ย มีอะไรรึเปล่าคะ”
นายพลเทพพยักหน้าให้ลูกสาว
เหตุการณ์ที่โรงพยาบาล บุปผามีสีหน้ากังวลหนัก พอไอศูรย์เดินออกมา บุปผารีบพุ่งเข้าไปหา
“พี่สินเป็นยังไงบ้างคะคุณหมอ”
“ตอนนี้นายสินยังไม่รู้สึกตัว เลยยังบอกอะไรมากไม่ได้คงต้องรอให้ฟื้นเสียก่อนน่ะบุปผา แล้วฉันว่าบุปผากับทุกคนกลับบ้านไปก่อนก็ได้นะครับ เพราะตอนนี้ก็ยังทำอะไรไม่ได้ ไว้มาเยี่ยมกันใหม่ตอนเช้าจะดีกว่านะครับ”
มณีพยักหน้า “ขอบใจพ่อต้นมากนะ ป้าฝากนายสินด้วยก็แล้วกัน ไป ทุกคน กลับกันเถอะ”
บุปผาตีหน้าเศร้า “แต่บุปผาอยากรออยู่ที่นี่ ถ้าพี่สินฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ จะได้เห็นบุปผาเป็นคนแรกน่ะค่ะคุณหญิง”
“กลับเถอะบุปผา กว่านายสินจะฟื้น ก็คงจะเป็นพรุ่งนี้น่ะ อยู่ไปก็ทรมานตัวเองเปล่า” อศูรย์ว่า
“คุณหมอบอกให้กลับก็กลับเถอะน่า แล้วพรุ่งนี้แกค่อยมาใหม่” สร้อยบอก
บุปผาจำใจกลับไปพร้อมกับคนอื่น แต่ไม่สบายใจเลย กลัวสินจะฟื้นก่อนที่บุปผาจะกลับมาที่โรงพยาบาลอีกครั้ง แล้วความลับของเธอจะแตก บุปผาเครียดจัด
ทุกคนกลับมาจากโรงพยาบาล มัทนากับนายพลเทพที่นั่งรอฟังข่าวอยู่รีบเข้ามาถามทันที
“นายสินเป็นยังไงบ้างคะคุณแม่”
“ยังไม่รู้สึกตัว พ่อต้นบอกให้ไปเยี่ยมใหม่พรุ่งนี้”
มัทนาเห็นหน้าบุปผาเครียดๆ ก็สงสาร เข้าไปจับมือบุปผาให้กำลังใจ
“ทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะบุปผา บางทีนายสินอาจจะไม่เป็นอะไรมากก็ได้ ถึงมือพี่ต้นแล้ว พี่ต้นคงจะช่วยรักษานายสินให้อย่างดีที่สุดน่ะ”
บุปผาพยักหน้ารับซึมๆ ทุกคนต่างเข้าใจไปว่าบุปผาเป็นห่วงสินมาก
“ไปนอนกันเถอะ วันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว” มณีบอก
ทุกคนแยกย้ายทยอยกันเดินออกไป มัทนามองตามบุปผาไป
“สงสารบุปผาจังเลยนะคะคุณแม่” มัทนายกมือไหว้ “สาธุ ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองให้นายสินปลอดภัยด้วยเถอะนะคะ”
มัทนายืนมองตามบุปผาไปจนลับตา สงสารบุปผาจับหัวใจ
พอบุปผาเดินเข้าห้องปิดประตูได้ สีหน้าซึมเศร้าก็เปลี่ยนไปเป็นดุดันทันที
“ไอ้สิน ทำไมแกถึงไม่ตายๆ ไปซะเลยนะ ฮึ่ย นี่ถ้าแกฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่ แกต้องเปิดโปงความลับของฉันแน่ๆ”
บุปผาทั้งกังวลและอารมณ์เสียสุดๆ แล้วก็ตัดสินใจอะไรได้
“งั้นฉันจะต้องทำให้แกไม่มีโอกาสได้ฟื้นขึ้นมาเปิดโปงฉันได้อีกเลย”
บุปผาคำรามอย่างเลือดเย็น
รุ่งเช้ามัทนากำลังพูดกับสวิง
“สวิงจ๋า..ไปบอกบุปผาทีว่า..ให้ไปที่โรงพยาบาลพร้อมฉันเช้านี้เลย ฉันจะไปเยี่ยมนายสิน”
“บุปผามันออกไปเยี่ยมนายสินตั้งแต่เช้ามืดแล้วล่ะค่ะ”
มัทนางง “อ้าว”
บุปผาพาตัวเองมาอยู่ในห้องพักฟื้นของสิน ที่โรงพยาบาลแล้ว และเวลานี้เดินถือหมอนตรงเข้าไปหาสินที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
ตอนแรกนายสินยังไม่ได้สติอยู่ แต่พอบุปผาเดินถือหมอนเข้ามาใกล้ สินก็เริ่มฟื้นได้สติ ลืมตาโพลงขึ้นมา
สินเห็นบุปผาเดินถือหมอนเข้ามาอย่างประสงค์ร้าย รู้ทันทีว่าบุปผาคิดจะทำอะไร สินตาเหลือก ขยับตัวจะหนี แต่ไม่ทันแล้วเพราะบุปผาพุ่งเอาหมอนเข้าไปกดเข้าที่ใบหน้าสินเต็มแรงเพื่อให้สินขาดอากาศหายใจอย่างรวดเร็ว
สีหน้าบุปผายามนี้ดุดัน เหี้ยมเกรียม และเลือดเย็นมาก ในใจของหล่อนคิดเพียงอย่างเดียวคือ ต้องกำจัดเสี้ยนหนามออกจากชีวิตให้จงได้
ขณะที่บุปผาเอาหมอนกดเข้าไปที่หน้าสินไว้หมายจะให้ขาดใจตายนั้น สินพยายามจะดิ้นรน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงสู้ เหมือนใกล้จะขาดใจตายรอมร่อ บุปผายิ้มเหี้ยมออกมา แต่แล้วทันใดนั้นเสียงไอศูรย์ก็ดังขึ้น
“บุปผา...”
ไอศูรย์เดินเข้ามาในห้อง แต่เห็นเพียงแค่ว่าบุปผายืนหันหลังอยู่ที่ข้างเตียงสิน ไอศูรย์จึงไม่เห็นว่าบุปผาทำอะไร เพราะตัวบุปผาบังอยู่
บุปผามีสีหน้าตกใจสุดขีดที่ไอศูรย์เข้ามากระทันหันเช่นนี้ แต่หล่อนก็มีปฏิภาณดีพอที่จะไม่หันไปมองไอศูรย์ แต่รีบเอาหมอนที่กำลังใช้ปิดหน้าสินนั้น ซ้อนเข้าใต้ศีรษะของสินอย่างรวดเร็ว แล้วบุปผาก็ค่อยหันมาหาไอศูรย์
“อ้าว...คุณหมอ”
“มาเยี่ยมนายสินแต่เช้าเลยนะบุปผา”
“ค่ะ พอดีบุปผาเห็นพี่สินนอนท่าทางไม่ค่อยสบาย บุปผาก็เลยจะเอาหมอนซ้อนให้พี่สินอีกใบ พี่สินชอบหนอนหมอนสูงๆ น่ะค่ะคุณหมอ”
ไอศูรย์มองตาม ก็เห็นว่าสินนอนหนุนหมอนที่ซ้อนกันอยู่ 2 ใบจริงๆ
“นายสินโชคดีจริงที่มีน้องสาวอย่างเธอ” ไอศูรย์เอ่ยชม
สินพยายามจะมองมายังไอศูรย์เพื่อจะบอกความจริง แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา ไอศูรย์มองสินแล้วบอกกับบุปผาสีหน้าเรียบเฉย
“เออ..บุปผา ตามฉันไปที่ห้องทำงานหน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ไอศูรย์พูดจบแล้วเดินออกไปทันที
บุปผามองตามอย่างสงสัยใคร่รู้ว่าไอศูรย์จะคุยอะไร แล้วก็ยิ้มดีใจว่าจะได้มีโอกาสคุยกับไอศูรย์สองต่อสอง แต่ก่อนที่จะเดินออกไป บุปผาก็ก้มลงกระซิบข้างหูสินน้ำเสียงกร้าวแข็ง
“อย่าได้คิดจะเปิดปากพูดเรื่องฉันเชียวนะพี่สิน ไม่อย่างนั้น...คราวหน้าพี่สินคงจะไม่โชคดีอย่างนี้อีก”
พูดจบบุปผาก็เดินออกไป สินมองตามบุปผาไป แววตาหวาดกลัวสุดชีวิต
บุปผาแสร้งทำสีหน้าตกใจสุดขีด พอฟังจบ
“อะไรนะคะคุณหมอ! พี่สินเป็นอัมพาต”
ไอศูรย์พยักหน้า หน้าขรึมจัด “ผลจากการหกล้มทำให้นายสินกระดูกต้นคอร้าว จึงมีอาการเป็นอัมพาตตั้งแต่คอลงไป…”
“หมายความว่า...พี่สินจะเดินไม่ได้” บุปผาครวญ
ไอศูรย์พยักหน้า สีหน้าเคร่งขรึมอย่างเก่า
บุปผารีบถาม “แล้วพูดละคะ พี่สินพูดได้ไม๊คะ”
ไอศูรย์ส่ายหน้า บุปผานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วก็ร้องไห้โฮออกมา
“โธ่..เวรกรรมอะไรของพี่สินนะ ทำไมถึงได้โชคร้ายอย่างนี้” บุปผาร้องไห้ฟูมฟายเสียใจท่าทีน่าสงสาร
ไอศูรย์ปลอบ “ใจเย็นๆ ก่อนนะบุปผา นายสินอายุยังไม่มาก หากโชคดี กระดูกที่ร้าวอาจสมานตัวเองได้ นายสินก็มีโอกาสกลับ มาพูดหรือเคลื่อนไหวได้อีก แม้จะมีโอกาสไม่มากนัก แต่ฉันก็ไม่อยากให้เธอสิ้นหวังนะบุปผา”
บุปผารีบเข้าไปคุกเข่ากราบที่ตักไอศูรย์
“คุณหมอต้องช่วยพี่สินให้กลับมาเดินได้ พูดได้อีกครั้งนะคะ บุปผาไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ถ้าไม่มีพี่สิน ชีวิตบุปผาก็ไม่เหลือใครแล้ว คุณหมอต้องช่วยพี่สินนะคะ”
บุปผากราบที่ตักอีกแล้วนิ่งอยู่อย่างนั้น
แล้วทั้งสองก็ต้องสะดุ้ง เมื่อเสียงสร้อยดังขึ้น
“นังบุปผา”
บุปผากับไอศูรย์เหลียวขวับไปมอง สองคนเห็นสร้อยเดินนำคุณหญิงมณี และ มัทนาเข้ามา สร้อยกับคุณหญิงมณีเห็นภาพบุปผาซบตักไอศูรย์ แต่มัทนาเดินตามมาหลังสุด ไม่เห็นอะไร จึงมีสีหน้าปกติไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่คุณหญิงมณีกับสร้อยจิกตาใส่บุปผาอย่างไม่พอใจ
สร้อยลากตัวบุปผาออกมามุมหนึ่งของโรงพยาบาลแล้วเปิดฉากด่า
“นังบุปผา ฉันรู้นะว่าแกคิดจะทำอะไร”
บุปผาแสร้งทำหน้าเหรอหรา “ฉัน...จะทำอะไร”
“ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อ ฉันจะบอกให้นะ ความพยายามแกไม่เป็นผลหรอก เพราะคุณหมอไอศูรย์กำลังจะหมั้นกับคุณหนูอยู่เร็วๆนี้แล้ว รู้ไว้ด้วย”
บุปผายังคงทำหน้าซื่อตาใสไม่รู้เรื่องอะไร สร้อยผลักบุปผาออกไปอย่างหมั่นไส้ แล้วเดินหนีไป พอร่างสร้อยลับตัวไป สีหน้าบุปผาก็เปลี่ยนจากใสซื่อกลายเป็นร้ายกาจขึ้นมาทันที
“ก็ให้มันรู้ไปสิว่าจะได้หมั้นกัน”
บุปผาบอกตัวเองอย่างมั่นใจ
ด้านมัทนา รู้เรื่องแล้วว่านายสินเป็นอะไรจากไอศูรย์
“โธ่..นายสิน..น่าสงสารจริง” มัทนาน้ำตาคลอ แล้วหันไปหาคุณหญิงมณี “คุณแม่ขา..เราต้องหาทางรักษานายสินกันอย่างดีที่สุดนะคะ”
“นายสินเป็นคนเก่าคนแก่ของเรา แม่ไม่ทอดทิ้งมันหรอก” มณีบอกพลางหันมาทางไอศูรย์ “ขอป้าไปเยี่ยมนายสินหน่อยได้ไม๊จ๊ะ”
“เชิญครับ”
ไอศูรย์ลุกขึ้นเดินนำออกไป คุณหญิงมณีกับมัทนาตามติด
มัทนาอยู่ในห้องคนไข้แล้ว กำลังก้มลงพูดกับนายสินอย่างห่วงใยในท่าทีอ่อนโยน
“พี่ต้นเป็นหมอที่เก่งมากนะจ๊ะนายสิน พี่ต้นจะต้องหาทางรักษานายสินอย่างดีที่สุดจ้ะ”
สินพยายามจะพูดกับมัทนา แต่ก็พูดไม่ได้ มัทนามองอย่างเวทนา ทำท่าจะร้องไห้ออกมา แต่ไม่อยากร้องไห้ต่อหน้าสิน กลัวสินใจเสีย มัทนาจึงเดินเลี่ยงออกไปยืนกับไอศูรย์ที่หน้าห้อง ปล่อยให้คุณหญิงมณีเข้าไปเยี่ยมบ้าง
“เอาเถอะ..นายสิน ฉันรับรองว่าฉันจะไม่ทอดทิ้งแก จะเลี้ยงดูแก กับแม่บุปผา น้องสาวของแกต่อไป...”
สินพยายามจะพูดกับคุณหญิงมณีเรื่องบุปผาไม่ใช่น้อง แต่เป็นเมีย แต่ก็พูดไม่ได้ ได้แต่ส่งเสียง อือๆ อาๆ คุณหญิงมณีได้แต่ส่ายหน้า เวทนานัก
ขณะเดียวกันไอศูรย์บอกมัทนาสีหน้าเรียบเฉย ยังโกรธเรื่องมัทนาไปดูละครกับเพชรอยู่
“ไม่ต้องห่วง พี่จะรักษานายสินให้อย่างดีที่สุด”
“ขอบคุณพี่ต้นแทนนายสินด้วยค่ะ” มัทนามองไอศูรย์ ด้วยแววตาสำนึกผิด “พี่ต้นขา..เรื่องเมื่อวาน พี่ต้นอย่าโกรธน้องมัทนะคะ ที่น้องมัทไปดูละครการกุศลกับพี่เพชร ก็เพราะคุณพ่อบอกให้ไปน่ะค่ะ”
ไอศูรย์มีสีหน้าดีขึ้นมาทันที “จริงเหรอ”
“น้องมัทไม่ได้อยากไปหรอกค่ะ แต่ไม่กล้าขัดคุณพ่อ” มัทนาว่า
คราวนี้ไอศูรย์ค่อยยิ้มออก มัทนาเลยสีหน้าดีขึ้นตามไปด้วย
“พี่ต้นหายโกรธน้องมัทแล้วใช่ไม๊คะ”
“ก็ถ้าน้องมัทไปเพราะคุณลุงบอกให้ไป พี่ก็ไม่โกรธ”
มัทนายิ้มกว้างด้วยความดีใจ ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วยิ้มให้แก่กัน สร้อยกับบุปผาเดินกลับเข้ามาสมทบ
พอบุปผาเห็นมัทนากับไอศูรย์มองหน้าแถมสบตากันหวานชื่น ก็มีสีหน้าเจ็บใจขึ้นมาทันที
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 4 (ต่อ)
บุปผาเดินอารมณ์เสียออกมาตรงมุมหนึ่งในโรงพยาบาล
“ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ไปได้นะ เมื่อวานคุณหมอกับนังคุณหนูเพิ่งจะผิดใจกันอยู่หยกๆ วันนี้กลับมาดีกันได้ยังไงนี่” แล้วนึกถึงสินขึ้นมา “ยังดีนะที่ไอ้สินมันเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ไปแล้ว ก็หมดไปเรื่องนึง แต่ถ้ามันตายๆ ไปเสียเลย ชีวิตฉันก็คงจะง่ายกว่านี้”
บุปผาเดินผ่านห้องอิ่มพอดี อิ่มมองมาเห็นบุปผาก็ยิ้มดีใจ วิ่งเข้ามาหา บุปผากำลังอารมณ์เสียอยู่ก็ยิ่งรำคาญ “ฮึ่ย”
บุปผาผลักอิ่มออกไปสุดแรง ร่างอิ่มเซถลาเข้าไปในห้องล้มหัวฟาดพื้นแล้วแน่นิ่งไป บุปผามองดูด้วยความตกใจ รีบเหลียวซ้ายแลขวา พอเห็นว่าไม่มีใครเห็นการกระทำของหล่อน บุปผาก็รีบวิ่งหนีไปเร็วรี่ โดยไม่สนใจจะช่วยเหลือดูอาการอิ่มแต่อย่างใด
ปล่อยให้อิ่มฟุบสลบอยู่กับพื้นตามลำพัง
ฟากไอศูรย์ขับรถมาส่งมัทนาที่มหาวิทยาลัย ไอศูรย์ลงมาเปิดประตูรถให้มัทนาอย่าง
เอาอกเอาใจ มัทนายกมือไหว้
“ขอบคุณพี่ต้นมากนะคะที่ขับรถมาส่งน้องมัท”
“ตั้งใจเรียนนะ ไม่ต้องห่วงเรื่องนายสิน พี่จะดูแลเขาให้อย่างดีที่สุด”
มัทนายกมือไหว้ไอศูรย์อีกครั้ง “ขอบคุณพี่ต้นแทนบุปผาด้วยค่ะ สงสารบุปผาเหลือเกิน มีกันอยู่แค่สองคนพี่น้องแท้ๆ นายสินยังมาล้มเจ็บอย่างนี้เสียอีก”
ยังไม่ทันที่ไอศูรย์จะตอบอะไร เพชรก็ขับรถมาส่งพลอยเหมือนกัน พอทั้งหมดเห็นกัน ต่างก็มีปฏิกิริยามึนตึงต่อกันขึ้นมาทันที พลอยไหว้ลาเพชรแล้วลงจากรถ แล้วรีบเดินขึ้นตึกเรียนไปเลย
มัทนาไหว้ลาไอศูรย์ “น้องมัทไปก่อนนะคะพี่ต้น”
แล้วมัทนาก็รีบวิ่งตามพลอยไปทันที เพชรมองไอศูรย์อย่างงงๆ ไม่นึกว่าไอศูรย์กับมัทนาจะคืนดีกันได้เร็วอย่างนี้
แต่ไอศูรย์มองเพชรแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยนและทักทายอย่างจริงใจ ไม่ได้ประชด
“ไปดูละครเมื่อคืน..สนุกไม๊เพชร”
เพชรแดกดัน ตอบเสียงห้วน “ได้ไปดูกับน้องมัทนา ยิ่งดูละครได้สนุกกว่าที่คิดไว้อีกครับพี่ต้น”
ไอศูรย์พยายามประนีประนอมอย่างที่สุด “เพชร พี่ไม่อยากผิดใจกับเพชร เพราะเราก็รู้จักกันมาหลายปีแล้ว”
“มาพูดตอนนี้มันสายไปแล้วละ ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ตราบใดที่พี่ต้นกับน้องมัทยังไม่ได้หมั้นหมายกัน ผมจะไม่ยอมรามือจากน้องมัทอย่างแน่นอน”
พูดจบเพชรก็เดินกลับขึ้นรถแล้วขับพรืดออกไป ไอศูรย์ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
ด้านมัทนาวิ่งตามมาจนทันดึงแขนพลอยไว้
“พลอย..พูดกับเราก่อนสิ”
แต่พลอยสะบัดแขนออกอย่างแรง
“ไม่พูด ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับผู้หญิงที่คิดจะจับปลาสองมืออย่างเธอ”
พลอยเดินสะบัดตัวออกไป มัทนาได้แต่ยืนน้ำตาปริ่มด้วยความเสียใจที่ความ สัมพันธ์กับเพื่อนต้องมาขาดสะบั้นลงแบบนี้
ไอศูรย์เดินสีหน้าเหนื่อยใจเรื่องเพชรกลับเข้ามาในโรงพยาบาล เดินผ่านห้องอิ่ม เห็นอิ่มนอนฟุบอยู่ที่พื้น
ไอศูรย์ตกใจมาก “ป้ารุ่ง”
ไอศูรย์วิ่งเข้าไปประคองร่างอิ่มให้พลิกหงายขึ้น เห็นที่หน้าผากมีเลือดไหลซึมอยู่
“พยาบาล มาช่วยกันหน่อยเร็ว”
อิ่มหัวแตก นอนแน่นิ่งไม่ได้สติอยู่อย่างนั้น
อา...ผลจากการที่อิ่มล้มหัวฟาดพื้นคราวนี้ จะทำให้อิ่มเริ่มจำความได้ทีละนิดๆ เพราะน้ำมือของบุปผาแท้ๆ
ทับทิมและคนอื่นๆ รู้เรื่องจากบุปผา ต่างมีสีหน้าตกใจ
“ฮ้า ไอ้สินมันถึงกับเป็นอัมพาตเชียวเหรอวะ”
บุปผาพยักหน้า แล้วก้มหน้าร้องไห้ คนอื่นๆหน้าเศร้า สลดไปตามๆกัน)
“เวรกรรมอะไรของมันกันเนี่ย” สวิงว่า
ไสวเห็นด้วย “นั่นสิ”
แสงมองบุปผาอย่างไม่ไว้ใจ “บุปผา..ฉันถามหน่อยเถอะ พี่สินหกล้มได้ยังไง”
“ฉันไม่รู้ ก็ฉันบอกแล้วไงว่าตอนที่เดินไปเจอพี่สิน พี่สินก็นอนไม่รู้สึกตัวอยู่แล้ว”
แสงโพล่งขึ้น “ฉันไม่เชื่อ ฉันได้ยินเสียงเธอทะเลาะกับพี่สิน”
บุปผาอึ้งไป แล้วรีบตั้งสติ “พี่แสงหูฝาดไปรึเปล่า ฉันจะทะเลาะกับพี่สินทำไมกันล่ะ”
“นั่นสิ” ไสวบอก
สวิงหงุดหงิด “นี่แก พูดอย่างอื่นบ้างก็ได้นะ”
ไสวหน้าแหยไป ส่วนแสงก็เงียบไป เพราะตอบไม่ได้เหมือนกัน ได้แต่มองหน้าบุปผาอย่างยังแคลงใจ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์อะไร บุปผาทำหน้าใสซื่อน่าสงสารต่อไปเนียนๆ
ทางด้านอิ่มนอนหลับอยู่ ที่หัวได้รับการทำแผลที่ถูกบุปผาผลักจนล้มเรียบร้อยแล้ว หมอปรีชากำลังยืนคุยอยู่กับไอศูรย์ ด้วยสีหน้ากังวล
“ท่าทางจะล้มแรงไม่ใช่เล่นหรอก แผลถึงได้ช้ำขนาดนั้น แต่จะมีผลมากน้อยแค่ไหน คงต้องรอดูอาการตอนที่ป้ารุ่งแกฟื้นขึ้นมาอีกทีน่ะต้น”
ไอศูรย์พยักหน้ารับรู้ แล้วมองอิ่มอย่างเวทนา
คุณหญิงมณีกับสร้อยกำลังคุยกันอยู่บนตึกใหญ่
“คุณหญิงขา..เรื่องนังบุปผากับคุณหมอไอศูรย์น่ะค่ะ”
“ไม่ต้องพูดแล้วสร้อย ฉันรู้ เรื่องบางเรื่อง เราควรจะตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม”
มณีตัดบทด้วยคิดหาทางออกเรื่องนี้ไว้แล้ว
บุปผาสีหน้าตกใจพอฟังมณีพูดจบ
“คุณหญิงให้บุปผาเลิกไปช่วยงานคุณหมอที่โรงพยาบาล”
“ใช่”
บุปผาอิดออด “แต่ป้ารุ่ง…”
“เรื่องของคนบ้า ปล่อยให้หมอเขารักษากันต่อไปเองเถอะ ส่วนแก..คอยดูแลนายสินดีกว่า เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของแกนะ ถึงขั้นเป็นอัมพาต พูดไม่ได้ขนาดนี้ แกควรจะห่วงพี่ชายมากกว่าคนอื่นนะ”
เจอไม้นี้เข้า บุปผาพูดอะไรไม่ออกเลย แล้วเหลือบไปเห็นสร้อยทำหน้าสะใจอยู่ บุปผาโมโหแต่ต้องพยายามสะกดอารมณ์ไว้
“ค่ะคุณหญิง” บุปผาเดินก้มหน้าออกไป
พอบุปผาเดินพ้นไป นายพลเทพก็ถามคุณหญิงมณีอย่างสงสัย
“มีอะไรกันรึคุณ”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่กันไว้ก็ดีกว่าแก้น่ะค่ะคุณ”
ท่านายพลยิ่งสงสัยมากขึ้น “คุณพูดเรื่องอะไรน่ะ”
“เรื่องผู้หญิงกับผู้ชายไงคะ ดิฉันไม่อยากให้นังบุปผามันอยู่ใกล้ชิดพ่อต้นมากเกินไป ถึงพ่อต้นจะเป็นคนดี แต่ดิฉันกลัวค่ะ กลัวว่าเอา น้ำตาล ไปอยู่ใกล้ๆ มด ประเดี๋ยว มด มันอดใจไม่ได้ จะยุ่งเสียเปล่าๆ”
คุณหญิงมณีก็มองหน้านายพลเทพนิ่งๆ เทพซึ่งมีชนักติดหลังอยู่เรื่องอุ่น แม้จะเชื่อว่าคุณหญิงมณีไม่รู้เรื่องอุ่นในอดีต แต่ก็ไม่อยากพูดให้มากความไปจึงนิ่งเสีย
คุณหญิงมณีเหลียวไปมองหน้ากับสร้อยอย่างรู้กัน
ส่วนบุปผาเดินหงุดหงิดมาตามทางเดินในบ้าน
“คิดจะกีดกันฉันเหรอนังคุณหญิง คนอย่างอีบุปผา ไม่ยอมแพ้ง่ายๆหรอกเว้ย”
ค่ำนั้นเพชรเพิ่งเดินกลับเข้าบ้านมา พอเปิดไฟก็ต้องสะดุ้งเมื่อพบว่าพลอยนั่งรอเขาอยู่ในความมืด
“ยายพลอย ทำไมมานั่งมืดๆอย่างนี้ พี่ตกใจหมด รอพี่อยู่เหรอ”
พลอยพยักหน้ารับ “พลอยมีเรื่องสำคัญอยากจะคุยกับพี่เพชรหน่อยค่ะ”
“เรื่องอะไร” เพชรฉงนในท่าทีและคำพูดของน้องสาว
“เรื่องเรามาร่วมมือกันดีไม๊คะ ในเมื่อพี่เพชรก็ยังชอบยายมัทอยู่ และยายมัทก็ยังไม่ได้หมั้นกับพี่ต้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แค่เป็นคู่หมายกันเท่านั้น เพราะฉะนั้น อะไรๆ มันก็ยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
เพชรยิ้ม ชักนึกสนุก “แล้วไง…”
“ก็ถ้าเรามาร่วมมือกัน พี่เพชรต้องพยายามเอาชนะใจยายมัทให้ได้ แล้วพลอยก็จะได้มีโอกาสกับพี่ต้นบ้าง” พลอยเผยไพ่ในมือ
“แล้วไอ้กำพลล่ะ พลอยก็รู้ว่าตอนนี้กำพลมันเดินเข้าออกบ้านเรา หัวบันไดไม่แห้งเลยเพราะอะไร”
พลอยยิ้มร้ายออกมา “พลอยมีสิทธิ์จะเลือกคนที่ดีที่สุดให้กับตัวเองไม่ใช่หรือคะพี่เพชร”
เพชรหัวเราะชอบใจ แล้วเดินมายื่นมือให้น้องสาวจับ
“ตกลง”
พลอยยื่นมือไปจับมือพี่ชายเป็นการตกลง สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างมาดหมาย
วันต่อมา สองคนนัดเจอกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ผกามาถึงก่อนนั่งรอบุปผาอยู่ สักครู่บุปผาก็เข้ามา เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครเห็นว่าเธอมาพบกับผกา จึงเดินเข้ามาหาผกา
“แม่”
ผกาหันมาเห็นบุปผาก็ยิ้มดีใจ “บุปผา...” มองสำรวจอย่างแปลกตา “แต่งตัวอย่างนี้ แม่เกือบจำไม่ได้เลย”
“ก็ตอนนี้ฉันเป็นคนใช้อยู่ในบ้านเทพบริบาลนี่จ๊ะ จะให้แต่งตัวเหมือนอย่างตอนที่อยู่หอโคมแดงคงไม่ได้หรอก”
“บุปผาสบายดีไม๊ลูก แม่เป็นห่วงนะ”
“ฉันสบายดีจ้ะแม่ แม่ไม่ต้องห่วงหรอก แต่ที่ฉันนัดแม่ออกมาพบนี่ เพราะฉันมีเรื่องอยากให้แม่ช่วย…”
ผกามองหน้าบุปผาเป็นเชิงถามว่าธุระสำคัญอะไร
ไอศูรย์มาหามัทนาที่บ้าน มัทนายกมือไหว้ขอโทษไอศูรย์
“มัทต้องขอโทษพี่ต้นด้วยนะคะ ที่คุณแม่สั่งให้บุปผาเลิกไปช่วยเรื่องป้ารุ่งที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”
“น้องมัทไม่ต้องมาขอโทษพี่หรอกจ้ะ เพราะถึงคุณป้าจะไม่สั่งเลิก พี่ก็คงจะขอเลิกเอง เพราะพี่ก็เห็นว่าบุปผาควรจะอยู่ดูแลนายสินมากกว่า เรื่องป้ารุ่ง..ให้เป็นธุระของพี่หมอปรีชาไปเถอะ”
มัทนาไหว้ไอศูรย์อีกครั้ง “ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ”
ไอศูรย์ยิ้มให้มัทนา โดยไม่รู้ว่าคุณหญิงมณีกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ยืนมองลูกชาย ลูกสาว จากมุมหนึ่งของบ้าน โดยมีสร้อยกับโฉม นั่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ด้วย
“เห็นตาต้นกับหนูมัทคืนดีกันได้อย่างนี้ ดิฉันค่อยสบายใจหน่อยค่ะคุณหญิง เพราะดิฉันไม่อยากได้ผู้หญิงคนไหนมาเป็นลูกสะใภ้ นอกจากหนูมัทหรอกค่ะ” แจ่มจันทร์บอกยิ้มๆ
คุณหญิงมณียิ้มพอใจ
ด้านผกาได้ฟังที่บุปผาบอกก็ตกใจมาก
“บุปผาจะทำเสน่ห์หมอไอศูรย์ ไม่ แม่ไม่เห็นด้วย”
บุปผามีสีหน้าผิดหวังอย่างรุนแรง “ทำไมล่ะจ๊ะแม่”
“การทำเสน่ห์ หรือการทำของใส่คนอื่นน่ะ มันเป็นคุณไสย์ที่สกปรกที่สุด ดีไม่ดี สิ่งเลวร้ายจากของที่เอามาทำเสน่ห์มันจะย้อนกลับมาเข้าตัวเรานะลูก”
“ฉันไม่กลัวหรอก ฉันกลัวพลาดจากหมอไอศูรย์มากกว่า”
“แต่ยังไงๆแม่ก็ไม่เห็นด้วย อย่าว่าแต่ทำเสน่ห์เลยเอาแค่คิดจะวางยานี่ก็บาปมากแล้ว”
บุปผาชะงัก สะกิดใจ “วางยา”
ผกาชะงักเมื่อเห็นสีหน้าบุปผา “บุปผาคิดอะไรอยู่”
บุปผาได้แผนใหม่ “เอ้า..ฉันไม่ทำเสน่ห์คุณหมอก็ได้ งั้นฉันแค่วางยาก็ได้ เอาแค่เบาะๆ พอให้ล้มหมอนนอนเสื่อก็พอ”
ผกางง “แกจะวางยาคุณหมอทำไม”
“ฉันจะวางยาคุณหญิงต่างหากล่ะจ๊ะแม่ เพราะตอนนี้ นังคุณหญิงมันระแวงฉัน แล้วเกิดมันไล่ฉันออกจากบ้าน ทุกอย่างที่ฉันลงทุนมาก็จะสูญเปล่าหมด แต่...”
บุปผามองไปเบื้องหน้า เห็นภาพเหตุการณ์ที่หล่อนวางแผนผุดขึ้นมาเป็นฉากๆ
โดยบุปผาวางแผนว่าค่ำนั้นหล่อนถือถาดอาหารจะขึ้นตึกใหญ่ แต่หยุดวางถาดลงที่ระเบียงหลังบ้านก่อนขึ้นตึก เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใคร จึงหยิบเอาขวดยาเล็กๆ ที่เหน็บเอวมาด้วยออกมาเหยาะใส่ถ้วยอาหาร 2-3 หยด
“ฉันจะวางยานังคุณหญิง” เสียงบุปผาเล่าความ
จากนั้นบุปผาจะเอาถ้วยอาหารที่ใส่ยาวางลงตรงหน้าคุณหญิงมณี ท่าทางเนียนมาก ไม่มีพิรุธเลย แล้วเอาถ้วยอาหารอื่นๆ วางเสิร์ฟนายพลเทพ และมัทนา อย่างเรียบร้อย โดยมีสร้อยยืนคุมอยู่ห่างๆ คุณหญิงมณีกินอาหารที่ถูกใส่ยาอย่างไม่รู้เรื่องอะไร บุปผายิ้มพอใจ
พอตกกลางคืน ขณะที่คุณหญิงมณีที่นอนหลับอยู่ดีๆ ก็เริ่มกระอักกระไอออกมา และไอรุนแรงขึ้นจนนายพลเทพตกใจตื่นตาม รีบลุกขึ้นมาดูแลอาการคุณหญิงมณีด้วยความเป็นห่วง
“แต่พอนังคุณหญิงมันล้มป่วย ฉันก็จะเลิกวางยา” บุปผาบอก
คุณหญิงมณีนั่งอยู่ที่เก้าอี้นอนในห้องนั่งเล่น สีหน้าซีดเซียว มีมัทนา นายพลเทพ และสร้อย คอยดูแลปรนนิบัติอยู่ใกล้ๆ แล้วบุปผาก็คลานเข่าเอาถ้วยยาสมุนไพรต้มมาให้คุณหญิงมณีดื่ม
“แล้วทำทีเป็นต้มสมุนไพรให้มันกินเพื่อรักษาอาการแทน” บุปผาบอกอีก
บุปผาเล่าแผนให้ผกาฟังต่อไป
“นังคุณหญิงมันก็จะค่อยๆ อาการดีขึ้น แล้วก็เชื่อว่าฉันเป็นคนช่วยรักษา ทีนี้ฉันก็จะได้กลายเป็นคนโปรดของคุณหญิงไงละจ๊ะแม่ เป็นไง แผนฉันเข้าท่าไม๊ล่ะ”
ผกายังกังวลอยู่ “แต่หมอไอศูรย์เขาเป็นหมอนะ เขาจะไม่รู้เชียวเหรอว่าคุณหญิงถูกวางยาน่ะ”
“ฉันรู้มาว่ายาแบบนี้ การแพทย์สมัยใหม่ตรวจไม่พบหรอกจ้ะแม่”
ผกายังมีสีหน้าลังเล บุปผารีบใช้ลูกอ้อน โผเข้ากอดเอว
“แม่จ๋า...ฉันแค่จะวางยาเพื่อให้คุณหญิงรักฉัน ฉันจะได้ไม่ถูกเฉดหัวออกจากบ้านนั้นง่ายๆเท่านั้นแหละจ้ะแม่ ไม่ได้จะฆ่าคุณหญิงสักหน่อย ฉันจะได้มีโอกาสจับหมอไอศูรย์แต่งงานกับฉันให้ได้ แล้วพอฉันได้ดีแล้ว แม่ก็จะได้เลิกกิจการหอโคมแดงเสียทีไงจ๊ะ แม่ช่วยฉันนะ”
ผกามีสีหน้าคิดหนัก บุปผามองหน้าผกาอย่างลุ้นๆ
“ไม่” ผกาบอกด้วยเสียงอันเฉียบขาด
บุปผาหน้าง้ำลงทันที
ทางด้านนายพลเทพกำลังคุยอยู่กับดำเกิง ลูกน้องคนสนิท
“ฉันโทร.ไปหาผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่ดำเกิงบอกฉันเรียบร้อยแล้ว เขาตกลงจะอำนวยความสะดวกให้ทุกอย่าง ดำเกิงเอารูปไปให้เขาดู”
นายพลเทพยื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้ดำเกิง เป็นรูปถ่ายของอิ่มกับอุ่น
“ถามเขามาให้รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นใช่แม่อิ่มรึเปล่า”
นายพลเทพชี้อิ่มในรูปให้ดำเกิงดู
“ถ้าใช่แม่อิ่มจริงๆ แล้วเด็กนั่นใช่ลูกฉันไม๊ แล้วเวลานี้เด็กนั่นอยู่ที่ไหน ตราบใดที่เรื่องนี้ยังไม่กระจ่าง ฉันคงไม่มีวันตายตาหลับแน่”
ดำเกิงรับรูปถ่ายจากนายพลเทพ แล้วเดินออกไป
“ขอให้ลูกฉันกับอุ่นยังมีชีวิตอยู่ด้วยเถอะ”
เทพภาวนาอยู่ในใจ สีหน้าแอบมีความหวัง
ส่วนอิ่มนอนหลับอยู่ในห้องพักฟื้น สักครู่ก็เริ่มส่ายหน้าไปมาเหมือนคนฝันร้าย
ฝันเห็นตอนที่ตัวเองอุ้มบุปผาตอนเป็นทารกวิ่งหนีมาจากบ้านอุ่น ด้วยความตกใจกลัวสุดขีด เหมือนว่าอิ่มจะให้ค่อยๆ ฟื้นคืนความจำได้ทีละน้อยๆ
อิ่มสีหน้าหงุดหงิดทั้งๆ ที่ยังหลับอยู่ เหมือนคนที่พยายามจะคิดอะไรให้ออก แต่ก็คิดไม่ตกสักที ข้างๆ เตียงอิ่มเวลานั้นหากอิ่มรับรู้จะแลเห็นผีอุ่นนั่งอยู่ข้างๆ นั่นเอง แต่ก็ช่วยอะไรอิ่มไม่ได้
เวลานั้นนายพลเทพกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่น แสงเดินเข้ามา
“มีแขกมาขอพบท่านขอรับ”
“ใคร”
แสงไม่ได้ตอบ เพราะอุ่นเดินเข้ามาเสียก่อน นายพลเทพลุกขึ้นมองอย่างดีใจ
“อุ่น”
อุ่นยกมือไหว้นายพลเทพอย่างนอบน้อม
“อุ่นเองเจ้าค่ะท่าน”
เทพชะงัก “เอ๊ะ แต่เธอตายไปแล้วนี่”
อุ่นหน้าเศร้า “เจ้าค่ะท่าน แต่ลูกของเรายังไม่ตายนะเจ้าคะ” เสียงของอุ่นดังขึ้นเรื่อยๆ “ลูกของเรายังมีชีวิตอยู่ ท่านจะต้องตามหาตัวลูกของเราให้พบนะเจ้าคะ ลูกของเรายังมีชีวิตอยู่”
นายพลเทพสะดุ้งพรวดตื่นขึ้นมาตอนดึก ร้องลั่น
“ลูก!”
เทพหายใจหอบๆ แล้วตั้งสติอยู่สักพัก จึงได้รู้ว่าเป็นเพียงความฝัน เพราะหมกมุ่นกับข้อมูลที่เพิ่งรับรู้มาจากดำเกิงมากเกินไปนั่นเอง นายพลเทพถอนใจเฮือก แล้วนึกได้ว่าเขาอาจทำให้คุณหญิงมณีตกใจตื่นแล้วระแวงเขาก็ได้ จึงหันไปมองภรรยา
นายพลเทพเห็นคุณหญิงมณีนอนหลับนิ่งอยู่ ไม่รู้สึกตัวเลย ท่านนายพลถอนใจโล่งอก แล้วล้มตัวลงนอนใหม่ แต่ทันทีที่เทพนอนนิ่งไป
คุณหญิงมณีก็ลืมตาโพลงขึ้นมาทันที ได้ยินสิ่งที่นายพลเทพละเมอพูดออกมาทุกคำ
ภายห้องทำงานของหมอในโรงพยาบาลที่ผกาเคยพาอุ่นมารักษาตัวเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ช่วงเวลาตอนกลางวัน
ดำเกิงลูกน้องนายพลเทพ นั่งอยู่กับหมอ ซึ่งยามนี้แก่ตัวลงไปตามวันเวลา
“ผู้อำนวยการบอกผมแล้วว่า...ให้ผมอำนวยความสะดวกแก่คุณทุกอย่าง คุณมีอะไรจะให้ผมช่วยหรือครับ”
ดำเกิงส่งรูปถ่ายของอิ่มกับอุ่น ที่ได้จากนายพลเทพ ให้หมอดู แล้วชี้ตรงรูปอิ่ม
“ผู้หญิงที่ถูกรถชนเมื่อ 18 ปีก่อน ใช่ผู้หญิงในรูปนี้ไหมครับหมอ”
หมอรับรูปถ่ายอิ่มกับอุ่นมาดู เพ่งมองที่อิ่ม
“อืม..เรื่องมันก็เกิดขึ้นนานแล้ว...” หมอพยายามรื้อฟื้นความจำตัวเอง
ภาพจำตอนที่อิ่มวิ่งร้องโวยวายจะหนี ผุดขึ้นมา
“ช่วยด้วย ! มันจะฆ่าฉัน ! มันจะฆ่าฉัน”
หมอ กับพยาบาล 2 คน วิ่งเข้ามา และพยายามจะจับตัวอิ่มเอาไว้ แต่อิ่มสู้สุดฤทธิ์ทำให้ไม่มีใครจับตัวได้ อิ่มวิ่งหนีไป
หมอสั่งพยาบาล “ตามไปเร็ว”
พยาบาล 2 คน วิ่งตามอิ่มไป
หมอหันมาถามผกาที่ถูกอิ่มผลักล้ม “เป็นไงบ้างครับคุณ”
“ฉันไม่เป็นไรค่ะ” ผกาก้มลงมองเด็กที่อุ้มอยู่ “เด็กก็ไม่เป็นไรเหมือนกันค่ะ”
หมอนึกแล้วเอ่ยขึ้น “ผมคิดว่าผู้หญิงคนที่ถูกรถชนมาในคืนนั้น กับผู้หญิงในรูปนี้ เป็นคนๆ เดียวกัน”
ดำเกิงยิ้มด้วยความดีใจ
“แต่ผมไม่ทราบว่าเธอชื่ออะไรนะครับ เพราะว่าเธอถูกรถชนจนสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนความจำเสื่อม” หมอเล่าต่อ
“ความจำเสื่อม” ดำเกิงตกใจกับข้อมูลนี้
หมอพยักหน้า “แล้วเธอก็หนีหายออกไปจากโรงพยาบาล ตั้งแต่วันนั้น แล้วเราก็ไม่เคยพบตัวเธออีกเลย”
“แล้วเด็กละครับ เป็นลูกของผู้หญิงคนนี้ หรือว่าลูกใคร” ดำเกิงรีบซัก
“เราไม่รู้ข้อมูลอะไรเกี่ยวกับเด็กคนนี้เลยครับ ผมคงให้ข้อมูลคุณได้เพียงเท่านี้ละครับ”
ดำเกิงมีสีหน้าผิดหวัง “ขอบคุณครับหมอ” ยกมือไหว้หมอแล้วลุกขึ้นจะกลับ แล้วบ่นงึมงำกับตัวเอง
“เฮ้อ..อุตส่าห์ดั้นด้นหามาจนถึงนี่ เจอทางตันเสียได้”
หมอนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ้อ...เดี๋ยวครับ”
ดำเกิงหันไปมองหน้าหมออย่างแปลกใจ
ไม่นานหลังจากนั้น ผกาเดินหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังกลับมา เดือนกับมุกวิ่งเข้ามารับ
“อ๊าย วันนี้แม่ซื้อข้าวของกลับมามากมายเลย ซื้ออะไรมาบ้างจ๊ะ” มุกถาม
เดือนเปิดถุงดู “อุ๊ย...ของอร่อยๆ ทั้งนั้นเลย”
ผกามองหาลูกๆ “สิรีกับพิกุลล่ะ”
“รับแขกอยู่จ้ะแม่”
ผกาพยักหน้ารับรู้ แล้วยังไม่ทันที่คนทั้งสามจะทำอะไรต่อ เมียหลวงนางหนึ่งก็พรวดเข้ามาในหอโคมแดง พร้อมชายฉกรรจ์ถือไม้หน้าสามในมือทุกคน สามสาวร้องวี้ดว้ายตกใจใหญ่ เพ็ญวิ่งเข้ามาสมทบ พอเห็นก็ร้องอุทานด้วยความตกใจไปด้วยอีกคน
เมียหลวงแผดเสียงถาม “คุณพจน์อยู่ไหน”!
ผกาถามออกไป “คุณพจน์อะไรกันคะ”
เมียหลวงโกรธ “อ๋อ..ไม่บอกใช่ไม๊” หันไปสั่งเหล่าชายฉกรรจ์ “ค้น เจอคุณพจน์อยู่ที่ไหน ลากตัวออกมา”
เหล่าชายฉกรรจ์แยกย้ายกันไปเดินตามหาพจน์ เมียหลวงก็เดินหาด้วย ผกาวิ่งเข้าไปดึงแขนเมียหลวงไว้
“คุณทำอย่างนี้ไม่ได้นะคะ”
“ทำไมจะไม่ได้ ฉันเป็นเมีย ฉันจะมาลากผัวฉันกลับบ้าน อีหน้าไหนก็ห้ามยุ่ง”
แล้วเมียหลวงก็มองผกาตั้งแต่หัวจรดเท้า เหยียดยิ้มพูดอย่างดูถูก
“หล่อนมันก็เป็นแค่อีผู้หญิงที่ขาย ที่นาผืนกะแบะเท่าฝ่ามือ หากิน อย่าบังอาจมาจับตัวฉัน เดี๋ยวตัวเสนียดมันจะเกาะฉันเข้า”
ผกายืนอึ้งไป แต่พอเมียหลวงออกเดินตามหาผัวต่อ ผกาก็ทนไม่ได้ วิ่งเข้าไปดึงแขนเมียหลวงไว้อีก เมียหลวงเลยหันมาตบผกาเสียงดังผลัวะ เดือน มุก และเพ็ญ หวีดร้องแล้ววิ่งเข้ามาประคองผกา มุกเห็นผกาเลือดกบปากก็โมโห
“แกตบแม่ฉันเหรอ” มุกพุ่งเข้าไปตบเมียหลวงดังผลัวะ!
เมียหลวงร้องแล้วพุ่งเข้าตบมุกบ้าง สองคนเลยตบกับอุตลุด ชายฉกรรจ์คนหนึ่งวิ่งเข้ามาช่วยเมียหลวง ตบมุก จนมุกฟุบไป เดือนเข้ามาดูมุก ในขณะที่เพ็ญยังดูผกาอยู่
ชายฉกรรจ์คนนั้น ถามด้วยความเป็นห่วง “คุณหญิงเป็นยังไงบ้างขอรับ”
เมียหลวงเช็ดเลือดมุมปาก “ฉันไม่เป็นไร หาตัวคุณพจน์ให้เจอ”
ชายฉกรรจ์ผละไป ผกาเป็นห่วงสิรีกับพิกุลจึงสั่งเพ็ญ
“ตามไป”
เพ็ญวิ่งตามชายฉกรรจ์คนนั้นไป
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวน ตอนที่ 4 (ต่อ)
ครู่ต่อมาชายฉกรรจ์ถีบประตูเปรี้ยง เข้ามา เห็นสิรีกับพจน์สะดุ้งเฮือกลุกขึ้นมาจากเตียง แล้วชายฉกรรจ์ 2 ก็พุ่งเข้าไปตบสิรีผลัวะ จนสิรีฟุบไป พจน์ตะลึง เพ็ญวิ่งเข้ามาดู
“สิรี” เพ็ญพุ่งเข้าไปดูอาการสิรี เห็นเลือดกบปาก
ชายฉกรรจ์อีกคนเอาเสื้อผ้าของพจน์ส่งให้
“คุณหญิงมาตามขอรับท่าน”
พจน์ลนลานใส่เสื้อผ้าแล้วรีบออกจากห้องไป ชายฉกรรจ์ทั้งสองเอาไม้หน้าสามที่ถือติดมือมาด้วยฟาดทำลายข้าวของในห้องจนเละเทะ สิรีกับเพ็ญได้แต่มองดู ด้วยสีหน้าหวาดกลัว ตัวสั่นเทา
ส่วนอีกห้องแลเห็นพิกุลกับชายอีกคนหนึ่ง กำลังนั่งเบิกตาโพลงอยู่บนเตียงด้วยความตื่นตะลึง เมื่อมีชายฉกรรจ์อีกคนเอาไม้หน้าสามมาทุบทำลายข้าวของภายในห้องจนป่นปี้ เช่นเดียวกับห้องที่แล้วไม่มีผิด พิกุลกับชายคนนั้น ได้แต่นั่งดูตัวแข็งทื่อแม้แต่จะขยับตัวก็ไม่กล้าทำ
ด้านผกา เดือน และมุก ต่างนั่งกอดกันอยู่ด้วยสีหน้าหวาดกลัว สักครู่พจน์ก็ลนลานเข้ามา เมียหลวงหันไปชี้หน้าด่า
“โกหกว่าไปราชการ ที่แท้ก็มามุดผ้าถุงอยู่ที่นี่เอง! ไป! กลับบ้าน”
ว่าแล้วคุณหญิงเมียหลวงนางนั้นก็ดึงหูพจน์ลากตัวออกไป เพ็ญประคองสิรีตามเข้ามา พิกุลวิ่งตามเข้ามาเป็นคนสุดท้าย ชายฉกรรจ์ทั้งหมดยังยืนคุมเชิงอยู่ เห็นพวกผกาทุกคนไม่โต้ตอบอะไร ได้แต่กอดกันตัวสั่นด้วยความกลัวกัน แต่ชายฉกรรจ์ 1 ใน 2 ยังไม่วายเอาไม้หน้าสามฟาดทำลายข้าวของใกล้มืออีกครั้งด้วยความฮึกเหิมสะใจ เสียงข้าวของแตกดังเปรื่องปร่างอย่างน่าตกใจ สีหน้าผกาเวลานี้ทั้งกลัว ทั้งแค้นใจที่ถูกรังแกจนน้ำตาไหลออกมา
ฝ่ายดำเกิงเอาความที่ได้รู้จากหมอกลับมาบอกนายพลเทพที่ห้องทำงานภายในกรม นายพลเทพสีหน้าตื่นเต้นดีใจมาก)
“อิ่มยังไม่ตาย ลูกฉันกับอุ่นยังมีชีวิตอยู่” จ้องหน้าดำเกิงคาดคั้น “แล้วเวลานี้...ลูกฉันอยู่ที่ไหน”
ดำเกิงเล่าเรื่องที่คุยกับหมอต่อ
โดยเริ่มจากเหตุการณ์ตอนนั้นที่ดำเกิงหันกลับไปมองหน้าหมออย่างสงสัย
“มีอะไรหรือครับหมอ”
“เรื่องเด็กคนนั้น...”
หมอเล่าเรื่องที่ตนคุยกับผกาเมื่อ 18 ปี ก่อนให้ด้ำเกิงฟังจนเห็นเป็นภาพ
“ไม่มีใครตามหาแม่เด็กพบเลยครับคุณผกา”
“โธ่..เวรกรรมจริง..แล้วเด็กคนนี้ละคะหมอ จะยังไงต่อไปคะ”
“ถ้าแม่เด็กไม่กลับมา ก็คงต้องหาคนอุปการะเด็กต่อไปละครับ”
ผกาก้มลงมองดูเด็กที่อุ้มไว้
“ถ้าอย่างนั้น..ดิฉันจะขออุปการะเด็กคนนี้เองค่ะ”
สองคนอยู่ที่ห้องทำงานของนายพลเทพภายในกรมทหาร นายพลเทพรับรู้ข้อมูลใหม่ด้วยอาการตื่นตะลึง
“อะไรนะ ผู้หญิงหยำฉ่ารับเอาลูกฉันไปเลี้ยง”
“ขอรับท่าน ตามสมุดบันทึกของโรงพยาบาลลงไว้ว่า...ผู้หญิงคนนั้นชื่อ..ผกา แสงฉาย”
เวลาเดียวกันที่หอโคมแดงสภาพเละเทะ ผกากำลังนั่งเก็บของที่ยังอยู่ในสภาพที่พอใช้ได้ขึ้นมาประกอบใหม่ น้ำตาคลอๆ แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ เดือนกับพิกุลช่วยด้วย ในขณะที่เพ็ญเอายาใส่แผลให้มุกที่โดนตบอยู่
พิกุลเก็บไป ร้องไห้ไปด้วยความเสียดาย “ของพังเสียหายเกือบหมดเลยจ้ะแม่ แทบจะไม่มีอะไรเหลือดีเลย”
เดือนครวญ “น่าเสียดายจัง”
“ช่างมันเถอะ ขอเพียงพวกเราไม่เป็นอะไรกันไปมากกว่านี้ก็นับว่าบุญแล้ว” ผกาบอก
“ทำไมเขาต้องทำกับเราถึงขนาดนี้ด้วยล่ะจ๊ะแม่ เรามันก็แค่คนทำมาหากิน ไม่ได้ไปทำร้ายใครสักหน่อย” พิกุลว่า
“พวกเราเป็นฝ่ายช่วยเขาเสียด้วยซ้ำนะแม่นะ ช่วยไม่ให้เขาต้องเหนื่อย” สิริเสริม
มุกระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยความแค้นใจ “พวกแกโง่รึเปล่า! ไม่มีใครเขามองเราเป็นคนดีหรอก อาชีพอย่างพวกเราน่ะ...มีแต่คนดูถูกดูแคลน มีศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่เท่าคนอื่นหรอก รู้ไว้เสียด้วย”
ผกามีสีหน้าชอกช้ำใจ พูดด้วยน้ำเสียงเยาะหยันชะตาชีวิตตัวเอง
“ใช่ เรามีศักดิ์ศรีความเป็นคนไม่เท่าคนอื่นจริงๆ”
แล้วผกาก็นึกถึงบุปผาขึ้นมา พึมพำเบาๆ คนเดียว
“บุปผาเอ๊ย...ถ้าแกหนีจาก ปลักตม ตรงนี้ไปได้ดีสมหวังดังใจ...แม่ก็จะได้ขึ้นจาก ปลักตม ตรงนี้ได้ด้วยเหมือนกัน”
ถึงตอนนี้ผกาคิดทบทวนคำขอร้องบุปผาอีกครั้ง
ฝ่ายนายพลเทพมีสีหน้าเครียดเคร่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจบอกออกไป
“เอาเถอะดำเกิง หาตัวลูกฉันให้พบก่อน แล้วค่อยว่ากัน”
“ขอรับท่าน”
สีหน้านายพลเทพ เคร่งขรึม มัวแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่ว่าลูกอีกคนที่เกิดกับอุ่นยังไม่ตาย จึงไม่ทันเห็นว่าคุณหญิงมณีเดินเข้ามา และได้ยินเรื่องที่สนทนาตอนนี้เข้าพอดี
“แต่จำไว้นะดำเกิง เธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างที่สุดนะ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด โดยเฉพาะคุณหญิงมณี”
“ขอรับท่าน” ดำเกิงค้อมตัวเดินออกไป
นายพลเทพมีสีหน้าครุ่นคิด ทั้งดีใจที่รู้ว่าลูกอีกคนของตนยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็กังวลใจว่าจะตามหาเจอหรือไม่ และหากเจอแล้วจะอยู่ในสถานะไหน ท่านนายพลทอดถอนใจ
ส่วนคุณหญิงมณี ค้างคาใจและสงสัยสุดๆ ว่านายพลเทพกำลังมีความลับอะไรที่ให้เธอรู้ไม่ได้
ด้านสร้อยกับแสงรอคุณหญิงมณีอยู่ที่จอดรถ สักครู่คุณหญิงมณีเดินลงมาจากตึก สีหน้าเรียบเฉย
“พบท่านนายพลไม๊คะคุณหญิง”
“ไม่พบ”
สร้อยร้อง “อ้าว”
คุณหญิงมณีไม่ตอบอะไร ขึ้นไปนั่งรถทันที สร้อยจำต้องขึ้นรถตาม สีหน้าคุณหญิงมณีคิดอะไรอยู่คนเดียวเงียบๆ
วันต่อมาผกาตัดสินใจพาบุปผามาพบตาเถา เพื่อซื้อยา สีหน้าผกายังกังวลอยู่มาก แต่บุปผาท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“รับปากกับแม่ก่อนนะบุปผา ว่าแกจะวางยานังคุณหญิง แค่พอให้มันป่วย แล้วพอทุกอย่างเป็นไปตามแผนแล้ว แกก็จะเลิกให้ยานังคุณหญิงน่ะ” ผกาย้ำ
“โธ่...แม่ ฉันแค่อยากเป็นเมียหมอไอศูรย์เท่านั้นนะ ฉันยังไม่อยากเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตายหรอกจ้ะ”
บุปผายังเห็นสีหน้าผกาไม่สบายใจก็รีบประจบอีก
“แม่จ๋า..ถ้าแผนของฉันสำเร็จ ฉันได้แต่งงานกับหมอไอศูรย์เมื่อไหร่ ฉันก็จะรับแม่มาอยู่กับฉันด้วย พอกันที..อาชีพขายตัว...ฉันจะเลี้ยงดูแม่ให้อยู่สุขสบายเสียที”
บุปผาเอามือแตะแผลบนใบหน้าผกา ที่ถูกเมียหลวงตบ ซึ่งยังมีร่องรอยเขียวช้ำอยู่
ผกาเอามือแตะแผลนั้นบ้าง ด้วยสีหน้าเจ็บใจ
“จริงๆ นะบุปผา”
“จริงสิจ๊ะแม่ แม่เป็นคนเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่วันที่ฉันเกิด ถ้าไม่มีแม่ผกาคนนี้ ก็คงไม่มีนังบุปผาในวันนี้เหมือนกัน”
ผกาสีหน้าสบายใจมากขึ้น แล้วเดินนำบุปผาขึ้นบ้านตาเถาไป
บุปผายกมือไหว้ตาเถาอย่างอ่อนน้อม ไอ้หลงนั่งคอยรับใช้อยู่ใกล้ๆ ตาเถา ส่วนที่ด้านหลังตาเถา เห็นตาถิ่นโผล่หน้ามามองบุปผาอย่างสนใจ บุปผาเห็นและมองสบตากันแว้บหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าตาถิ่นจะมีประโยชน์อะไรกับหล่อนได้ บุปผาเลยมองตาถิ่นอย่างเมินๆ
ตาเถาถามผกาอย่างมักคุ้นกัน “นี่รึลูกสาวเอ็ง”
“จ้ะพ่อหมอ ว่าแต่..พ่อหมอมียาอย่างที่ฉันว่าไม๊จ๊ะ”
“มี แต่มันไม่ใช่ยาที่จะหากันได้ง่ายๆ หรอกนะแม่ผกา”
บุปผารู้ทัน “ถึงแพงฉันก็ไม่เกี่ยงจ้ะ”
ตาเถามองบุปผาแล้วยิ้มในสีหน้าอย่างพอใจ แล้วหันไปพยักหน้ากับไอ้หลงอย่างรู้กัน ไอ้หลงคลานไปหยิบกล่องไม้จากมุมห้องมาส่งให้ ตาเถารับมาเปิด บุปผาชะเง้อมองอย่างสนใจ
ในกล่องไม้ใบนั้น มีขวดยาเล็กๆ ขวดหนึ่ง เป็นขวดแก้วสีน้ำตาลเล็กเท่านิ้วก้อย มีฝาปิดไว้ ตาเถาหยิบขึ้นมา 1 ขวด
“ขวดเล็กแค่นี้เองเหรอจ๊ะพ่อหมอ” บุปผาถาม
“เล็กๆ นี่แหละ ฤทธิ์แรงนักละรู้ไม๊ แค่หยด หรือสองหยด ก็จะทำให้เกิดอาการแขนขาอ่อนแรง คล้ายจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต แต่ถ้ามากๆ ละก็ ถึงตายเลยทีเดียว”
ผกามองอย่างกังวล “แล้วพ่อหมอแน่ใจนะว่า..ยานี่ พวกหมอสมัยใหม่จะตรวจไม่พบน่ะ”
ตาเถาฉุนกึก “แน่ใจสิ นี่ถ้าเอ็งไม่เชื่อถือข้า เอ็งจะมาหาข้าทำไม ตกลงจะเอาหรือไม่เอา”
บุปผาบอกทันที “เอาจ้ะ..เอา”
บุปผาเอื้อมมือจะไปรับเอาขวดยาจากมือตาเถา แต่ตาเถาหดมือทันควัน บุปผารู้ทัน จึงล้วงหยิบเงินจำนวนหนึ่งเอาออกมาส่งให้ตาเถา ตาเถารับเงินไปนับดูว่าครบตามจำนวนที่ต้องการ แล้วจึงส่งขวดยานั้นให้บุปผา บุปผารับยามาดู ด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
เสร็จธุระได้ยาตามต้องการแล้ว บุปผากับผกาเดินออกจากบ้านตาเถา บุปผาชูขวดยาดูอย่างตื่นเต้นมาก จังหวะนี้ตาถิ่น แอบตามมาดูบุปผาจนลับตาไป ตาเถาโผล่ออกมาคว้าคอตาถิ่น
“เฮ้ย...มองตามตาละห้อยเชียวนะเอ็ง พวกผู้หญิงพรรค์อย่างว่า เอ็งอย่าริไปยุ่งเกี่ยวด้วยเชียว โดยเฉพาะนังคนลูกนั่นน่ะ ท่าทางจะร้ายไม่เบาเลย ไปๆ เข้าบ้าน”
ว่าแล้วตาเถาก็ลากคอตาถิ่นเข้าบ้านไป แต่ตาถิ่นก็ยังไม่วายเหลียวมองตามบุปผาอีกจนลับตาไป
ในเวลาเดียวกันคุณหญิงมณีกำลังนั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่ คาใจตอนที่นายพลเทพ
กำลังสั่งกำชับดำเกิงโดยไม่เห็นว่าตนเดินมาได้ยินเข้าพอดี
“แต่จำไว้นะดำเกิง เธอต้องเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างที่สุดนะ ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด โดยเฉพาะคุณหญิงมณี”
“ขอรับท่าน” ดำเกิงเดินออกไป
คุณหญิงมณีสีหน้าครุ่นคิด ขณะที่สร้อยพาผู้ชายคนหนึ่งเข้ามาหา คุณหญิงมณีมองชายผู้นั้นอย่างสำรวจขณะถาม
“ไว้ใจได้ใช่ไม๊”
“ไอ้พุ่มนี่มันไว้ใจได้ค่ะคุณหญิง มันเป็นญาติของสร้อยเอง คุณหญิงจะให้มันทำอะไรหรือคะ”
ชายคนนั้นที่แท้เป็นไอ้พุ่มคนที่เคยไปช่วยงานสร้อยเผาเรือนอุ่นนั่นเอง
ฝ่ายบุปผาเข้ามาในห้องพักฟื้นของสิน แล้วกำลังก้มลงพูดข้างหูสิน ด้วยสีหน้าเลือดเย็น
“ฉันก็ไม่ได้อยากจะมาเยี่ยมเยียนแกนักหรอกนะไอ้สิน แต่ถ้าฉัน...ซึ่งเป็นน้องสาวแท้ๆ ญาติเพียงคนเดียวที่แกมี ไม่มาเยี่ยมแกเสียเลย คนอื่นเขาจะสงสัยฉันเอาได้ ฉันก็เลยต้องมา ความจริงแกโชคดีแล้วนะไอ้สิน ที่แกเป็นง่อยเดินไม่ได้ พูดไม่ได้อย่างนี้น่ะ เพราะไม่อย่างนั้น” พูดถึงตรงนี้บุปผาหยิบเอาขวดยาที่ได้จากตาเถา ซึ่งเหน็บอยู่ที่เอวขึ้นมาชูให้สินดู สินมองดูขวดยาในมือบุปผาอย่างหวาดกลัว
“ฉันก็คงต้องใช้ยาในขวดนี้กับแกด้วย แกรู้ไม๊..ยานี่ มันทำอะไรได้บ้าง เขาบอกว่า..แค่หยด สองหยด ก็ทำให้เกิดอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง คล้ายจะเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตอย่างที่แกเป็นอย่างนี้ละ แต่ถ้ามากกว่านั้นก็…”
บุปผาทิ้งคำพูดแล้วแกล้งทำท่าตาเหลือกเหมือนคนขาดใจตาย แล้วก็หัวเราะชอบอกชอบใจใหญ่
“แล้วแกรู้ไม๊..ฉันจะใช้ยาขวดนี้กับใคร ก็กับนังคุณหญิงมณี นังผู้ดีแปดสาแหรก เจ้านายที่แกจงรักภักดีนักหนาไงล่ะ”
พูดจบบุปผาก็หัวเราะร่าชอบใจในแผนร้ายของตัวเอง ในขณะที่สินตาเหลือกลานด้วยความกลัวบุปผาจับขั้วหัวใจ
วันต่อมาดำเกิงมารายงานเรื่องที่ไปสืบมาให้นายพลเทพฟัง สองคนอยู่ในห้องทำงานที่กรมทหาร
“กระผมได้ให้คนออกสืบหาโสเภณีที่ชื่อ ผกา แสงฉาย ทั่วทั้งละแวกเรือนเก่าของคุณอุ่น และโรงพยาบาลที่คุณอิ่มเข้ารับรักษาตัวจนหมดแล้วขอรับท่าน พบว่าซ่องที่แม่ผกาคนนี้เคยอยู่ มันปิดไปแล้ว”
นายพลเทพมีสีหน้าผิดหวังรุนแรง “โธ่ นี่แปลว่าฉันจะไม่มีโอกาสได้พบลูกของฉันที่เกิดกับแม่อุ่นเลยใช่ไม๊นี่”
“ก็ยังไม่ถึงกับหมดหนทางเสียทีเดียวหรอกขอรับท่าน”
ท่านนายพลมีสีหน้าดีขึ้น “ยังไง”
“แม่เล้าเก่าที่แม่ผกาเคยทำงานอยู่ด้วย บอกว่าแม่ผกาพาเด็กเข้ามากรุงเทพฯ นี่ละขอรับ”
“มาอยู่กับญาติรึ”
“แม่ผกาไม่มีญาติขอรับ กระผมเลยคิดว่าแม่ผกาคงเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ นี่มากกว่า”
เทพนิ่งคิดตริตรอง “คนเคยขายตัว ก็คงทำงานไม่พ้นงานเดิมๆหรอก” แล้วพูดเหมือนตัดสินใจ “ดำเกิง เธอให้คนของเธอลองตระเวนไปตามซ่องต่างๆ ให้ทั่วกรุงเทพฯ นี่ บางที..แม่ผกากับลูกที่ฉันตามหาอยู่ อาจจะอยู่ไม่ใกล้ไกลนี่ละ”
สีหน้านายพลเทพยังมีความหวังอยู่
ขณะที่ดำเกิงเดินลงมาจากตึก พุ่มที่ยืนแอบอยู่โผล่หน้าออกมาดู พอเห็นดำเกิงเดินไป พุ่มก็รีบเดินตามดำเกิงไปทันที โดยที่ดำเกิงไม่รู้ตัว
ภายในครัวบ้านเทพบริบาลค่ำนั้น ทุกคนในครัวกำลังวุ่นวายกับการทำอาหารค่ำกันอยู่ ทับทิมบอกสวิง
“เอ้า...นังหวิง ยกสำรับขึ้นเรือนที”
บุปผารีบอาสาทันที “ให้ฉันช่วยนะจ๊ะ”
บุปผารีบช่วยยกสำรับขึ้นเรือนทันที สร้อยกับแสงมองตามอย่างไม่ไว้ใจ
ทุกอย่างเหมือนฉากตอนที่บุปผาเล่าแผนให้ผกาฟังเป๊ะๆ
บุปผาถือถาดอาหารจะขึ้นตึกใหญ่ บุปผาหยุดวางถาดลงที่ระเบียงหลังบ้าน ก่อนขึ้นตึก เหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใคร จึงหยิบเอาขวดยาเล็กๆ ที่เหน็บเอวมาด้วยออกมาจะเหยาะใส่ถ้วยอาหาร เหมือนอย่างที่บุปผาคิดเอาไว้ แต่ยังไม่ทันจะเปิดฝาขวดเพราะเหยาะยาลงอาหาร บุปผาก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากข้างหลัง
“บุปผา”
บุปผาตกใจจนทำขวดยาตกจากมือ ขวดยาตกลงพื้นแล้วกลิ้งไป
บุปผาหันมามอง เห็นเป็นนายพลเทพเป็นคนเรียกเธอ
“ท่าน...” บุปผากวาดตามองหาขวดยา ด้วยใจเต้นระทึก จนเห็นขวดยากลิ้งไปตามพื้นแล้วหยุดอยู่ที่มุมหนึ่ง
และบุปผาเห็นว่านายพลเทพไม่เห็นว่าเธอทำขวดยาตก จึงพยายามทำหน้าปกติ
“มีอะไรจะใช้บุปผาหรือคะ”
“นายสินเป็นยังไงบ้าง”
บุปผาตีหน้าเศร้า “พี่สินพูดไม่ได้ ขยับตัวก็ไม่ได้เลยค่ะท่าน”
นายพลเทพมองมาด้วยความสงสาร “ไม่ต้องกังวลนะบุปผา ฉันกับคุณหญิงไม่
ทอดทิ้งเธอกับพี่ชายเธอแน่ นายสินรับใช้ฉันมาหลายปี ฉันกับคุณหญิงก็จะดูแลเธอกับพี่ชายเธอต่อไป”
บุปผารีบวางถาดแล้วคุกเข้าพนมมือไหว้นายพลเทพทันที
“ท่านเมตตาบุปผากับพี่สินมากเลยค่ะ”
อา...สองคนประสานตากัน ต่างรู้สึกดีต่อกันอย่างประหลาด
จังหวะนี้มีสายตาของใครคนหนึ่ง มองภาพนายพลเทพกับบุปผามองตากัน เจ้าของสายตาคู่นั้น เป็นคุณหญิงมณี ซึ่งเข้าใจผิดคิดว่าบุปผาให้ท่านายพลเทพ ก็หน้าบึ้งขึ้นมาทันที
“คุยอะไรกันอยู่คะ”
นายพลเทพกับบุปผาหันมามองคุณหญิงมณี
“อ๋อ..ผมกำลังถามเรื่องอาการนายสินอยู่น่ะ ผมบอกบุปผาไปแล้วว่า..เราจะไม่ทอดทิ้งนายสิน”
คุณหญิงมณีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ก็ยังอดระแวงบุปผาไม่ได้ ขยับจะเดินเข้ามาหา
นายพลเทพ ทันใดนั้นเท้าคุณหญิงมณี เหยียบขวดยาที่บุปผาทำตก ขวดแตกดังเป๊าะ
ทุกคนชะงัก ก้มลงมองที่เท้าคุณหญิงมณี บุปผาเห็นขวดยาถูกคุณหญิงมณีเหยียบแตกถึงกับอ้าปากค้าง
“อ้าว..คุณหญิงเหยียบโดนอะไรล่ะนั่น”
บุปผาลนลานตอบ “สงสัยจะเป็นเศษแก้วน่ะค่ะ บุปผาเห็นมันตกอยู่ที่พื้นเมื่อกี้ กำลังคิดว่าเดี๋ยวยกสำรับเสร็จแล้วจะกลับลงมาเก็บไปทิ้ง กลัวว่าจะมีใครเหยียบเข้าแล้วจะยุ่ง จะบาดเท้าเอาเสียเปล่าๆ บุปผาว่า..ท่านกับคุณหญิงขึ้นเรือนก่อนเถอะค่ะ ตรงนี้บุปผาจัดการเองค่ะ”
บุปผาพยายามคะยั้นคะยอให้นายพลเทพกับคุณหญิงมณีขึ้นตึกไป แล้วรีบลนลานหาเศษผ้ามาเก็บขวดแก้วอย่างรีบร้อน ก่อนที่ใครจะมาสงสัยว่ามันคือขวดอะไร
“โธ่เอ๊ย ทำไมเป็นอย่างนี้นะ ฮึ่ย”
บุปผาเซ็งสุดขีดที่แผนล้มเหลว แต่แล้วก็ทำหน้าเหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ทั้งคู่เดินกลับขึ้นตึกมาด้วยกัน คุณหญิงมณีกระตุกแขนนายพลเทพไว้ให้หันมา มองจ้องตาสามีด้วยใบหน้าเครียดเคร่ง
“เดี๋ยวก่อนค่ะคุณ”
“มีอะไรเหรอคุณหญิง”
“เมื่อกี้..พูดกับนังบุปผาแต่เรื่องนายสินแน่หรือคะ”
“ก็ใช่น่ะสิ คุณหญิงถามทำไม” หันมาเห็นหน้าเมียก็ชักจะเดาอารมณ์ได้ “นี่คุณอย่าบอกนะว่าคุณหึงผมกับเด็กนั่นน่ะ”
“แล้วคุณกับมันทำอะไรให้น่าหึงไม๊ล่ะค่ะ” มณีจ้องตานายพลเทพอย่างจับผิด
“โธ่..คุณ ผมไม่ได้คิดอะไรกับเด็กนั่นเลยนะ”
“ให้มันจริงเถอะค่ะ”
พูดจบคุณหญิงมณีก็เดินออกไป นายพลเทพถอนใจระอาใจกับอารมณ์อันแปรปรวนของคุณหญิงมณีเหลือเกิน
บุปผาเดินมาถึงหน้าบ้านตาเถา แล้วก็หยุดยืนมองหน้าบ้านดูลาดเลาก่อน ไม่ไว้ใจเพราะมาคนเดียว แล้วทันใดนั้นก็มีใครบางคนพุ่งเข้ามาทางข้างหลังแล้วปิดปากเธอไว้แน่น บุปผาตกใจสุดขีด ดิ้นสู้สุดตัว แล้วในที่สุดบุปผาก็เอาศอกกระทุ้งท้องใครคนนั้นเข้าอย่างแรง ใครคนนั้นจึงปล่อยมือออกจากปากเธอ บุปผาคลานไปคว้าท่อนไม้แถวนั้นมาจะฟาดซ้ำ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
ที่แท้เป็นตาถิ่นที่นอนสีหน้าเหยเกมือกุมที่ท้อง
“โห..จะแหย่หน่อยเดียว เล่นกันเสียแรงเลยนะน้องสาว”
บุปผาตวัดเสียงห้วนจัด “ก็ฉันไม่ชอบให้แหย่กันเล่นแบบนี้นี่”
“แล้ววันนี้มาคนเดียวรึจ๊ะ” ตาถิ่นถามแววตากรุ้มกริ่ม
“ใช่” บุปผาบอกแล้วถามใจร้อน “ตาเถาอยู่ไม๊”
“อยู่”
บุปผาไม่พูดต่อ หันตัวจะเดินเข้าบ้าน ตาถิ่นพุ่งเข้าไปรวบตัวเอาไว้อีก
“อย่า เข้าไปไม่ได้”
บุปผาดิ้นสู้อีก ก่อนจะผลักตาถิ่นออกไปเต็มแรง แล้วผลุนผลันเข้าไปในบ้านตาเถาทันที ตาถิ่นร้องเฮ้ย ! แล้วรีบวิ่งตามไป
เวลานั้นตาเถากำลังกรอกยาอะไรบางอย่างเข้าปากหลง ซึ่งกำลังชักดิ้นชักงออย่างรุนแรงจนตาเหลือกลานอยู่ ยาเข้าปากไอ้หลงบ้าง ถูกพ่นออกมาบ้าง หกเรี่ยราดบ้าง เละเทะไปทั่ว
“กินเข้าไปสิวะไอ้หลง! กินเข้าไป” ตาเถาสั่ง
บุปผาพรวดเข้ามาแล้วชะงักกึก เห็นหลงกับตาเถากำลังพัลวันพัลตูกันอยู่
บุปผาตกใจสุดขีด ตาถิ่นพรวดตามเข้ามา
“อย่าเข้าไป”
ตาเถาชะงักหันมามอง เห็นตาถิ่นตามบุปผาเข้ามา ตาเถาอารมณ์เสีย
“เฮ้ย ปล่อยให้นังนี่มันเข้ามาได้ยังไงวะไอ้ถิ่น เอามันออกไป”
ตาถิ่นฉุดแขนบุปผาลากออกไปทันที “ออกมานี่เร็ว”
ตาถิ่นลากตัวบุปผาออกไปจนได้
ตาถิ่นลากตัวบุปผาออกมาจากในบ้าน บุปผายังตกใจและสงสัยไม่หาย
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ เด็กนั่นมันเป็นอะไร”
“เอ้อ...” ตาถิ่นโกหก “มันไม่สบาย พี่เถาเลยต้องให้มันกินยาสมุนไพรน่ะ เฮ้ย..ทีหลังจะมา ต้องนัดมาก่อนรู้ไม๊ จะพรวดพราดมาอย่างนี้ไม่ได้”
“ก็ฉันไม่รู้นี่”
“แล้วนี่มาทำไมล่ะ”
“ฉันจะมาเอายา..อย่างที่เคยเอาไปคราวที่แล้วน่ะ ขวดนั้นฉันทำขวดตกแตก” บุปผาเอาเงินยัดใส่มือตาถิ่น พูดเสียงหวาน “พี่ชายจ๋า..กลับเข้าไปขอยาจากตาเถาให้ฉันหน่อยเถอะ อย่าให้ฉันมาเสียเที่ยวเปล่าเลยนะ นะ นะ”
ตาถิ่นก็ยังมีท่าทางอ้ำอึ้งลังเล บุปผาเลยแกล้งเอาหน้าอกเบียดแขนตาถิ่น
ตาถิ่นหายใจแรง “ฉันก็อยากจะเอามาให้หรอกนะ แต่มันต้องให้พี่เถาจัดมาให้”
“ไม่มีสำรองเลยเหรอ”
ตาถิ่นส่ายหน้า “ยาพรรค์นี้ มันต้องทำขึ้นพิเศษ เอาอย่างนี้ ฉันจะบอกพี่เถาให้ อีกสองวันน้องสาวค่อยกลับมาเอา”
บุปผาถอนใจเซ็งสุดขีด แผนการไม่เป็นที่วาดไว้
ตาถิ่นเดินกลับเข้ามาในบ้าน พบไอ้หลงนอนหายใจรวยรินหมดสติไปแล้ว ตาถิ่น
สีหน้าตกใจ
“ไอ้หลงมันตายแล้วเหรอพี่”
ตาถิ่นคลานเข้าไปดูหลงใกล้ๆ เห็นหลงทำท่ากระอักกระไอเหมือนจะอ้วกออกมาแต่ก็ยังไม่ได้สติ ตาถิ่นถอนใจโล่งอกที่ไอ้หลงยังไม่ตาย ตาเถาถีบตาถิ่นเปรี้ยง ด้วยความโมโห
“เอ็งปล่อยให้นังผู้หญิงหยำฉ่าคนนั้นเข้ามาได้ยังไงวะ ข้ากำลังทดลองยาตัวใหม่กับไอ้หลงอยู่ ถ้านังนั่นมันรู้เรื่องแล้วเอาไปบอกตำรวจ เอ็งกับข้ามีหวังได้ติดตะรางกันหัวโตแน่”
“ก็ฉันไม่นึกว่ามันจะวิ่งพรวดพราดเข้ามานี่พี่ แหม..นังนี่มันไวยังกับปรอทเลย”
“เออ ทีหลังก็อย่าประมาท นังนี่มันท่าทางร้ายน้อยอยู่เมื่อไหร่ล่ะ แล้วมันมา..มันจะเอาอะไร”
บุปผามาระบายอารมณ์หงุดหงิดใส่สิน ที่ได้แต่นอนทำตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้
“ฮึ่ย ทำไมชีวิตฉันมันถึงมีอุปสรรคมากขนาดนี้นะ”
บุปผาหันไปมองสิน เห็นสินมองหล่อนอยู่ด้วยตาเหลือกลานกลัวสุดขีด
“มองฉันทำไมเนี่ย อ๋อ แกอยากจะฟ้องคนอื่นล่ะสิว่า ถูกฉันเอาไม้ฟาดกบาลเข้าให้น่ะ แกถึงได้มาเป็นอย่างนี้ ฮึ รู้ไว้ด้วย แกไม่มีวันจะพูดอะไร หรือบอกอะไรใครได้อีกแล้ว แกต้องนอนเป็นผักอย่างนี้ไปจนตาย รู้ไม๊ๆๆ”
บุปผาโมโห หยิกๆๆๆๆ ตามตัวสินระบายอารมณ์ สินได้แต่ทำหน้าเหยเกแต่ขยับหนีไม่ได้ แล้วบุปผาก็ต้องสะดุ้งสุดตัว
“บุปผามาตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
บุปผาหันไป เห็นไอศูรย์เดินเข้ามา รีบเปลี่ยนอารมณ์ทันที
“เพิ่งมาค่ะหมอ เป็นห่วงพี่สินเหลือเกิน นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องทำงานที่บ้าน บุปผาก็อยากจะมาเฝ้า มาดูแลพี่สินตลอดทั้งวันเลย”
“ไม่จำเป็นหรอกบุปผา ฉันสั่งให้พยาบาลที่นี่ดูนายสินอย่างดีอยู่แล้ว แล้วอีกสัก 2 วันก็คิดว่าจะอนุญาตให้พานายสินกลับไปดูแลกันต่อที่บ้านได้”
“ที่บ้าน” บุปผาตกใจ
ไอศูรย์พยักหน้า บุปผาหันไปมองสิน เห็นสินยังคงมองบุปผาอย่างหวาดผวา กลัวจนน้ำตาไหลพราก
อ่านต่อตอนที่ 5