รอง ผบช.น.ประชุมร่วมกับอาจารย์จุฬาฯ เพื่อวางแนวทางมาตรการป้องกันเหตุเด็กนักศึกษาถูกรุมทำร้ายร่างกายเพื่อชิงทรัพย์
วันนี้ (11 มี.ค.) เวลา 09.30 น. ที่ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้า งานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม กองบัญชาการตำรวจนครบาล ด้านหน้าเทคโนโลยีปทุมวัน ถนนพระราม 1 พล.ต.ต.มานิต วงศ์สมบูรณ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วัลลภ ประทุมเมือง ผบก.น.6 พ.ต.อ.เทียนชัย คามะปะโส ผกก.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน และฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน พร้อมด้วย รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ ประธานกรรมการ อาจารย์จุฬาฯ และนายกุลชาติ อุทัยวิชากุล อายุ 21 ปี นิสิตคณะแพทย์ศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ผู้เสียหายที่ถูกทำร้าย มาร่วมประชุมวางแนวทางป้องกันและปราบปราม กรณีนักศึกษาจุฬาลงกรณ์ถูกชิงทรัพย์และรุมทำร้ายเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา
พล.ต.ต.มานิตเปิดเผยถึงมาตรการป้องกันว่า ขณะนี้ได้สั่งฝ่ายสืบสวน สน.ปทุมวัน ซึ่งเป็นพื้นที่รับผิดชอบออกกวดขันมากยิ่งขึ้น พร้อมกับพยายามติดตามจับกุมคนร้ายทั้งหมดมาดำเนินคดี ยืนยันว่าได้พยานหลักฐานค่อนข้างเยอะ ทั้งภาพของคนร้าย และจักรยานยนต์ แต่ยังไม่ขอเปิดเผย โดยคาดว่าอาจได้ตัวเร็วนี้ นอกจากนี้ยังตั้งจุดตรวจค้นเคลื่อนที่ใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดจำนวน 2-4 นาย ตั้งแต่บริเวณสามย่าน ถึงจุฬาซอย 12 และ ถนนอังรีดูนังต์ ในช่วงเวลา 21.00 น.ถึง 02.00 น. พร้อมประสานให้มีรถของทางกองบังคับการตำรวจสายตรวจ 191 มาเปิดไฟกะพริบไว้เป็นสัญลักษณ์และคอยสอดส่องร่วมตรวจตรา อีกทั้งสั่งการไปยัง บก.น.6 ให้ประสานกับทางหน่วยงานกรุงเทพมหานครในเรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิดตามจุดเสี่ยง เช่น บนสะพานลอย ป้ายรถเมล์ และที่สาธารณะที่เป็นจุดเสี่ยง และเน้นให้มีแสงสว่างที่เพียงพอตามท้องถนน
พล.ต.ต.มานิตกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่มีการโพสต์ข้อความลงในโซเชียลเน็ตเวิร์กว่ามีคดีลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้ง โดยบางรายถูกทำร้ายด้วยเครื่องช็อตไฟฟ้า ซึ่งกรณีนี้ทางตำรวจได้ตรวจสอบไปยัง สน.ปทุมวัน ปรากฏว่ายังไม่พบว่ามีผู้มาแจ้งความแต่อย่างใด หากว่ามีผู้เสียหายคนใดถูกทำร้ายให้มาแจ้งความได้ที่ สน.ปทุมวัน เพื่อขยายผลติดตามคนร้าย หรือหากมีนักศึกษาคนไหนที่เคยโดนพฤติการณ์เช่นนี้มาก่อนสามารถมาแจ้งได้ที่อาจารย์หรือทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อจะนำมารวบรวมลงบันทึกสถิติไว้เพื่อหาแนวทางแก้ไขในระยะยาว
ขณะที่ รศ.ดร.บัญชา ชลาภิรมย์ ประธานกรรมการ อาจารย์จุฬาฯ กล่าวว่า ได้จัดมาตรการป้องกันเบื้องต้น โดยประสานกับ รปภ.มหาวิทยาลัยให้ออกตรวจพื้นที่อย่างเข้มงวด โดยใช้จักรยานยนต์ตระเวนในและนอกพื้นที่มหาวิทยาลัย และปรับวิสัยทัศน์เพิ่มแสงสว่างและตัดต้นไม้ที่บดบังแสงไฟออกไป รวมถึงห้ามนักศึกษาติวหนังสือภายในรั้วมหาวิทยาลัยเกินเที่ยงคืน และมีโครงการส่งน้องกลับบ้าน หากนักศึกษาคนใดมีความประสงค์ต้องการกลับบ้านให้แจ้งกับทาง รปภ.รับทราบ เพื่อจัดรถรับส่งจากมหาวิทยาลัยไปป้ายรถเมล์จนกระทั่งขึ้นรถกลับบ้าน และยังสถานีรถไฟฟ้าใกล้เคียง ขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาว ทางมหาวิทยาลัยจะติดตั้งกล้อง CCTV รอบพื้นที่มหาวิทยาลัยและบริเวณใกล้เคียง เพื่อให้การดูแลรวมทั้งสร้างขวัญและกำลังใจแก่นิสิตนักศึกษา สำหรับการเปิดภาคเรียนใหม่จะมีการแนะแนวนักศึกษาที่เข้ามาใหม่ว่าจะมีวิธีการเตรียมตัวหรือป้องกันตัวอย่างไรในขณะเลิกเรียนหรือกลับบ้านตอนดึก เพื่อให้ลดปัญหาอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นกับนักศึกษาและเป็นที่ไว้วางใจของผู้ปกครองไม่ต้องห่วงบุตรหลาน
สืบเนื่องจากวานนี้ เมื่อเวลา 22.00 น. (10 มี.ค.) พ.ต.ท.พนม เชื้อทอง รอง ผกก.สส.สน.ปทุมวัน พร้อมด้วย พ.ต.ท.สรกานต์ ดำกระบี่ สว.สส.สน.ปทุมวัน พ.ต.ท.สันติชัย หนูทอง สวป.สน.ปทุมวัน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ปทุมวันกว่า 10 นาย นำตัวนายกุลชาติ นิสิตรายดังกล่าว เดินทางมายังจุดเกิดเหตุ เพื่อทำการจำลองภาพและเหตุการณ์ โดยนายกุลชาติที่ใบหน้ามีรอยฟกช้ำบริเวณดวงตาทั้งสองข้าง แก้ม ริมฝีปาก และรอยถลอกตามแขน ทำการอธิบายเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ถูกคนร้ายก่อเหตุรุมสกรัมอย่างไม่ปรานีจนบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่จึงได้เก็บรวบรวมไว้เป็นหลักฐานเพื่อนำไปประกอบสำนวน
นายกุลชาติเปิดเผยกับทางผู้สื่อข่าวว่า วันเกิดเหตุ (4 มี.ค. ) ตนมาอ่านหนังสือที่ตึกจามจุรี 9 เพื่อเตรียมตัวสอบใบประกาศของศูนย์ประเมินและรับรองความรู้ ความสามารถในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม (ศ.ร.ว.) จากนั้นมานั่งรอรถประจำทางสาย 93 เพื่อกลับบ้านพักย่านรามคำแหง (แยกกรุงเทพกรีฑา) ระหว่างรอรถก็เล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วย ซึ่งมีผู้หญิง 2 คนยืนรอรถอยู่เช่นกัน และมีจักรยานยนต์ขับผ่านมาแต่ไม่ได้สนใจ ก่อนที่หญิงทั้งสองคนจะขึ้นรถไปเหลือตนเพียงคนเดียว ไม่นานมีจักรยานยนต์ไม่ทราบรายละเอียดขับย้อนศรมา พร้อมกับตะโกนว่า “เอามือถือมา” ตนจึงรีบเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋ากางเกง ทำให้คนร้ายทั้ง 3 คนวิ่งเข้ามาล็อกคอรุมทำร้ายร่างกาย ใช้เวลาประมาณ 2 นาที
จากนั้นตนได้ร้องขอความช่วยเหลือจนมี รปภ.วิ่งออกมา กลุ่มคนร้ายจึงขี่หลบหนีออกไป ส่วนลักษณะคนร้ายทั้ง 3 เป็นชาย อายุประมาณ 17-20 ปี ไม่อำพรางใบหน้า แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลามืดจึงจดจำใบหน้าคนร้ายไม่ได้ สำหรับเหตุดังกล่าวเคยได้ยินเพียงเรื่องเล่าจากเพื่อนนิสิตด้วยกันเท่านั้นว่ามีการก่อเหตุในลักษณะดังกล่าวบ้าง แต่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับตน รู้สึกตกใจ หลังจากนี้จึงต้องเลี่ยงเส้นทางกลับบ้านไปจุดอื่นแทน อย่างไรก็ดี อยากฝากให้ทางเจ้าหน้าที่ดูแลในส่วนของไฟแสงส่องสว่างตามป้ายรถเมล์ให้มีแสงสว่างเพียงพอเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก ส่วนด้านอาการบาดเจ็บตามร่างกายขณะนี้หลงเหลือเพียงร่อยฟกช้ำในดวงตา ขอบตา โดยเฉพาะริมฝีปากตนรู้สึกกังวลเป็นอย่างมากเนื่องจากตนได้ไปปรึกษาแพทย์ว่าต้องเร่งทำการรักษามิฉะนั้นอาจทำให้ชิ้นเนื้อส่วนนี้ตายและเป็นแผลเป็นตลอดชีวิตก็เป็นได้
ทางด้าน พ.ต.ท.พนมกล่าวว่า วันนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้นำผู้เสียหายเดินทางมาจุดเกิดเหตุจำลองเหตุการณ์ สภาพแวดล้อมจริงช่วงเวลาเกิดเหตุ แสงไฟ เพื่อรวบรวมหลักฐานไปประกอบสำนวน เบื้องต้นคาดว่า กลุ่มคนร้ายน่าจะเป็นวัยรุ่นอยู่ย่านนี้ เนื่องจากคนร้ายเป็นวัยรุ่นรู้จักเส้นทางเป็นอย่างดี และไม่สวมหมวกนิรภัย จึงไปไหนไกลไม่ได้ เพราะบริเวณพื้นที่โดยรอบมีการตั้งด่านตรวจอาชญากรรมเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้จะให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน และฝ่ายปราบปรามร่วมกันตรวจตราเหตุอาชญากรรมอื่นๆ ด้วย การสุ่มตรวจพร้อมกับใช้เทคโนโลยีที่สามารถตรวจสอบประวัติคนร้ายคดีต่างๆ ได้ทันทีอีกด้วย