ไฟหวน ตอนที่ 14 จบบริบูรณ์
ไม่นานต่อมา บุปผาแวะมาหาสินที่ห้อง และกำลังจิกหัวสินขึ้นมาคุยอย่างอารมณ์ดี
“ฉันสะใจจริงจริ๊งไอ้สิน..เวลาที่ได้ยินเสียงนังคุณหนูของแกมันร้องไห้แทบจะขาดใจ แกเชื่อไม๊ล่ะว่านังคุณหนูคนดีของแกไม่มีทางยอมให้นังคุณหญิงมันต้องซวยหรอก นังคุณหนูมันต้องยอมเลิกคบกับหมอไอศูรย์ตาม ที่ฉันบอกแน่ๆ แล้วทีนี้ก็จะเป็นโอกาสของฉันบ้างละ”
สินไม่รู้เรื่องทั้งหมด แต่เดาได้ว่าบุปผาต้องทำอะไรสักอย่างที่เลวร้ายกับมัทนาแน่ สินจึงจ้องบุปผาอย่างอาฆาต แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“แกไม่ต้องห่วงนังคุณหนูของแกหรอกน่า ทั้งสวย ทั้งรวย ทั้งมีชาติตระกูล เดี๋ยวก็มีคนอื่นมาสอยไปอยู่ดี ก็อย่าง..นายตำรวจคนนั้นไง ฉันเห็นเขาหลงใหลคุณหนูของแกอยู่ถึงขนาดมีเรื่องกับคุณหมอเชียวนะ ดีเหมือนกัน บ้านนี้จะได้มีลูกเขยเป็นหมอกับตำรวจ ดีไม๊แก”
บุปผาผลักหัวสินออกไป
“ฉันจะยังไม่ฆ่าแกละ เก็บแกไว้..ให้แกได้เห็นฉันแต่งงานกับหมอไอศูรย์ก่อนดีกว่า ดีไม๊จ๊ะพี่ชายจ๋า”
แล้วบุปผาก็เดินหัวเราะออกไป พอลับร่างบุปผา สินก็ค่อยๆ ขยับลุกขึ้นนั่ง อาการดีขึ้นเป็นลำดับ
“ตราบใดที่ไอ้สินคนนี้ยังไม่ตาย แกไม่มีวันได้เสวยสุขบนความทุกข์ของคุณหนูหรอกโว๊ย ! อีนังผู้หญิงกาลี”
วันต่อมาผกานั่งสีหน้าเศร้าซึมรออยู่ก่อนแล้ว บุปผาเดินร่าเริงเข้ามา
“แม่นัดฉันออกมาพบด่วน มีอะไรเหรอ”
“ช่วยแม่หน่อยบุปผา..แม่จนหนทางแล้ว แม่โดนโจรปล้นบ้าน เอาเงินไปหมด รวมทั้งเงินที่ท่านนายพลเพิ่งให้แม่มาด้วย แล้วตอนนี้นังคุณนายเจ้าของบ้านมันก็จะมาไล่พวกเราออกจากบ้านถ้าไม่จ่ายเงินมันภายในวันมะรืนนี้”
“แล้วแม่จะให้ฉันช่วยอะไรล่ะ แต่ฉันมีเงินไม่มากหรอกนะ”
“ขึ้นห้องกับคุณศักดิ์ชัยเพื่อแม่สักครั้ง ถ้าแกขึ้นห้องกับเขา คุณพงษ์ศักดิ์พ่อของคุณศักด์ชัย เขาจะจัดการล้างหนี้ให้แม่ นะบุปผานะ”
“แม่ก็รู้..ฉันไม่ชอบคุณศักดิ์ชัย เขามันพวกชอบความรุนแรง แล้วนี่..เขาต้องมาพิกลพิการก็เพราะฉัน...”
เหตุการณ์ตอนที่บุปผาทะเลาะกับศักดิ์ชัยผุดขึ้นมาในห้วงคิด และศักดิ์ชัยตกบันไดไป
บุปผายืนกราน
“ขืนฉันขึ้นห้องกับเขา เขามิเล่นฉันจนตายคาเตียงเลยเหรอแม่ ไม่เอาหรอก ฉันเลิกขายตัวแล้ว แล้วฉันก็กำลังจะได้ผัวหมออยู่แล้ว”
“แต่ถ้าแกไม่ยอมขึ้นห้องกับคุณศักดิ์ชัย มะรืนนี้แม่กับพี่ๆ น้องๆแก มีหวังได้ออกไปนอนกันข้างถนนแน่” ผกายกมือไหว้บุปผา “เห็นแกแม่สักครั้งเถอะนะบุปผานะ”
บุปผาตกใจมาก “แม่”
“นะบุปผานะ” ผกายกมือไหว้อีก
บุปผานิ่งงันไปเลย
ครู่ต่อมาบุปผาเดินตามผกาเข้ามาในหอโคมแดง สิรีกับพิกุลเห็นบุปผาก็ดีใจ
“บุปผา หายไปไหนมาน่ะ” สิรีทัก
“โห..แต่งตัวสวยอย่างกับลูกผู้ดีเลย...” พิกุลจับชุดบุปผาอย่างชื่นชม
บุปผาปัดมือพิกุลออกอย่างรังเกียจ พิกุลกับสิรีเหวอกันไป บุปผากลั้นใจเดินขึ้นไป ผกามองตามอย่างปลื้มใจที่บุปผายอมช่วย พอบุปผาเดินหลุดไป มุกก็ถามทันที
“แม่ไปตามตัวนังบุปผามันมาจากไหนเหรอ”
ผกาย้อนถามหน้าตาเฉย “ใคร? บุปผา? แม่ไม่รู้จัก”
ทุกคนอึ้งกิมกี่ไปเลย
บุปผาค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องรับแขกเก่า มองไปที่เตียงไม่เห็นใครก็แปลกใจ ปรากฏว่าศักดิ์ชัยเดินออกมาจากข้างประตู ด้วยท่าเดินที่บอกชัดว่าพิกลพิการ และหน้าตาทรุดโทรมผิดกว่าเดิม
“มาแล้วเหรออีบุปผา”
บุปผาหันไปมองสภาพศักดิ์ชัยอย่างรังเกียจ แต่ศักดิ์ชัยไม่สนใจเดินเข้าไปจับตัวบุปผา แล้วเหวี่ยงลงไปที่เตียงทันที บุปผาร้องโอ๊ยด้วยความเจ็บ ศักดิ์ชัยหัวเราะสะใจ แล้วโถมตัวลงทับร่างบุปผาแล้วซุกไซ้อย่างเมามัน บุปผาแค้นใจจัดที่หล่อนต้องจำยอมมาทำเรื่องแบบนี้อีกครั้งด้วยความจำใจเป็น
เวลาผ่านไปบุปผาเดินหน้าซีดเซียวกลับลงมาจากชั้นบน ดูออกว่าถูกศักดิ์ชัยเล่นซะน่วมเลย ผกาวิ่งเข้าไปหา
“ขอบใจมากนะบุปผา” ผกาชูเอกสารให้ดู “เมื่อกี้คุณพงษ์ศักดิ์ พ่อของคุณศักดิ์ชัยเขาให้คนเอาเงินมาให้แม่ แม่กับพี่น้องของแก ไม่ต้องถูกเฉดหัวออกไปนอนข้างถนนแล้ว แม่ขอบใจบุปผามากนะลูก”
บุปผาคับแค้นใจ “ฉันทำให้แม่ครั้งนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป แม่อย่าได้คิดมาทวงบุญคุณที่เคยเลี้ยงดูฉันมาอีกเลยนะ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะเหยียบที่นี่ อีบุปผาแห่งหอโคมแดงมันตายไปแล้วนับแต่วันนี้” บุปผาเดินหน้าบึ้งออกไปเลย
ผกาหน้าจ๋อยสนิท
ฟากมัทนานั่งเศร้าซึมและเคร่งเครียดอยู่ในห้อง คุณหญิงมณีเดินเข้ามา
“ยายมัท เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณหญิงแจ่มจันทร์กับพ่อต้น จะเอาแหวนหมั้นมาให้ลองสวมดู จะได้รู้ว่าขนาดพอดีไม๊ ถ้าไม่พอดี จะได้ส่งไปให้ช่างเขาตัดขนาดให้ใหม่ เพราะนี่อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันหมั้นแล้วนะลูก”
มัทนาหันมามองหน้าแม่ รู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว คุณหญิงมณีชะงัก
“ทำไมมองแม่อย่างนี้ละลูก”
มัทนารีบกลบเกลื่อนปรับสีหน้าเป็นปกติ “ไม่มีอะไรหรอกค่ะคุณแม่
แต่คุณหญิงมณีมองมัทนาอย่างไม่เชื่อ
มัทนาแต่งตัวเรียบร้อยยืนอยู่กับคุณหญิงมณี และสร้อย คุณหญิงมองแล้วไม่สบายใจกับท่าทางแปลกๆ ของลูกสาว เลยหันไปสบตากับสาวใช้คนสนิท สร้อยทำท่าว่าไม่รู้เหมือนกัน แล้วจู่ๆ มัทนาก็หันมากอดคุณหญิงมณีไว้แน่น
“คุณแม่ขา..ขอให้คุณแม่รู้ไว้อย่างนึงนะคะว่า..ไม่ว่ามัทจะทำอะไร มัททำไปเพราะรักคุณแม่ค่ะ”
“ทำไมมัทพูดอะไรแปลกๆจังลูก”
คุณหญิงมณีกำลังจะคาดคั้นมัทนาต่อ แต่สวิงเข้ามาเสียก่อน
“มีแขกมาขอพบคุณหญิงค่ะ”
ประไพเดินเข้ามา คุณหญิงมณีแปลกใจ
“ดิฉันต้องขอโทษนะคะที่มาพบโดยไม่ได้นัดคุณหญิงเอาไว้ก่อน คือดิฉันยุ่งกับงานฉลองกึ่งพุทธกาลจนหาเวลาว่างไม่ได้เลย พอมีเวลา ดิฉันก็รีบพุ่งมาที่นี่ทันทีเลยเพราะว่ามีเรื่องร้อนใจจะต้องบอกคุณหญิงค่ะ”
มณีมีสีหน้าแปลกใจอยู่อย่างนั้น “เรื่องอะไรหรือคะคุณประไพ”
“คือเมื่อวันก่อนดิฉันพบท่านนายพลเทพพาผู้หญิงคนหนึ่งไปนั่งกินข้าวกันสองต่อสอง ดิฉันก็เลยจะต้องรีบมาบอกให้คุณหญิงตัดไฟแต่ต้นลมน่ะค่ะ”
ทันใดนั้นนายพลเทพก็เดินโอบบ่าบุปผาเข้ามา
“ผู้หญิงคนนี้ใช่ไม๊ครับ..ที่คุณประไพเห็นน่ะ”
ประไพพูดไม่ออก
“งั้นผมก็ขอแนะนำกับคุณประไพเสียเลย..นี่..บุปผา ลูกสาวของผมเองครับ เป็นน้องของยายมัท”
ประไพเหวอ อ้าปากค้างไป
คุณหญิงมณีกำลังอาละวาดใส่นายพลเทพอยู่มุมหนึ่งในบ้าน
“คุณรู้ไม๊คะว่าดิฉันขายหน้าคุณประไพแค่ไหน ที่คุณไปแนะนำแม่นั่นว่าเป็นลูก อย่างเต็มปากเต็มคำทีเดียว นี่อีกไม่กี่วัน คนเขาก็คงจะรู้กันทั่วพระนครละว่าคุณไปไข่เรี่ยราดเอาไว้ จนมันโตขึ้นมาประจานตัวแบบนี้”
“รู้ก็รู้สิ ผมไม่อายหรอก แล้วผมจะขอบอกให้คุณรู้เอาไว้ตรงนี้เลยนะว่า..อีกไม่กี่วันผมจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับบุปผาที่บ้านนี้ คนในสังคมจะต้องได้รู้ว่าบุปผาคือลูกสาวอีกคนหนึ่งของผม”
มณีบันดาลโทสะเข้าไปทุบตีนายพลเทพอย่างแค้นใจจัด “ทำไมคุณทำกับฉันอย่างนี้ ! ทำไมๆๆๆๆ”
นายพลเทพจับข้อมือคุณหญิงมณีเอาไว้ไม่ให้ทุบตีได้ ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา สร้อยเข้ามาพอดี
“คุณหญิงแจ่มจันทร์ กับคุณหมอไอศูรย์มาแล้วค่ะ”
ทั้งคู่ชะงักไปทันที
ทุกคนอยู่ในห้องรับแขก คุณหญิงแจ่มจันทร์เอ่ยขึ้น ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“วันนี้อยู่กันพร้อมหน้าเลยนะคะ นี่ถ้าไม่ติดว่าจะดูรวบรัดไปหน่อย ดิฉันละอยากจะให้พ่อต้นหมั้นหนูมัทวันนี้เลยด้วยซ้ำ เพราะพ่อต้นน่ะใจร้อนอยากจะหมั้นหนูมัทเต็มทีแล้วค่ะ นี่ค่ะแหวน หนูมัทลองสวมดูสิจ๊ะ พอดีไม๊”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ส่งแหวนให้มัทนา แต่มัทนาไม่รับ กลับยกมือไหว้แจ่มจันทร์แทน
“มัทต้องกราบขอโทษคุณป้า แล้วก็...” หันไปไหว้ไอศูรย์ ซึ่งไอศูรย์งง “ขอโทษพี่ต้นด้วยค่ะ แต่จะไม่มีการหมั้นเกิดขึ้นค่ะ”
ไอศูรย์ตะลึง “น้องมัท”
คุณหญิงมณีทั้งตกใจทั้งโมโห “ยายมัท หนูพูดอะไรออกมาเนี่ย ! รู้ตัวรึเปล่า”
“มัททราบดีค่ะว่ามัทพูดอะไร แต่มัท...” มัทนามองไอศูรย์ น้ำตาไหลริน “หมั้นกับพี่ต้นไม่ได้” พูดเท่านั้นมัทนาก็วิ่งร้องไห้ออกไปเลย
ทุกคนตะลึง ยกเว้นบุปผา ที่แอบยิ้มชอบใจแต่ไม่มีใครเห็น คุณหญิงมณีวิ่งตามไป
มัทนาวิ่งร้องไห้เข้ามาในห้อง ปิดประตูลง
คุณหญิงมณีตามมาเคาะประตูเรียก
“เปิดประตูให้แม่ก่อน เกิดอะไรขึ้นลูก”
มัทนา นอนซบหน้าร้องไห้กับหมอนด้วยความเสียใจอย่างที่สุด โดยไม่สนใจเสียงเรียกของคุณหญิงมณีแต่อย่างใด
คุณหญิงมณียังพยายามเคาะประตูเรียกลูกอยู่ แต่มัทนาก็ไม่ยอมเปิดประตูออกมาเลย คุณหญิงมณีมีสีหน้ากลุ้มจัด สร้อยเดินเข้ามา
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นค่ะคุณหญิง ทำไมอยู่ดีๆ คุณหนูก็ไม่ยอมรับหมั้นคุณหมอเสียอย่างงั้น”
“มันต้องเป็นเพราะนังบุปผาแน่ๆ สร้อย ที่มันเอาเรื่องไอ้เพิ่มกับไอ้ขจรมาบอกยายมัท ก็เพราะมันคงจะขู่ยายมัทว่าจะเปิดโปงว่าใครจ้างไอ้สองคนนั่นให้ไปทำร้ายมัน” มณีเดาออกทะลุปรุโปร่ง
“แต่นังบุปผามันก็ไม่มีหลักฐานอะไรนี่คะ ทำไมคุณหนูถึงจะเชื่อมัน”
“แต่ยายมัทคงไม่ยอมเสี่ยงให้เกิดเรื่องขึ้นหรอก ถึงได้ตัดสินใจอย่างนี้ อีบุปผานะอีบุปผา! ฉันอยากจะฆ่ามันด้วยมือฉันเองจริงๆ”
คุณหญิงมณีแค้นใจจนเลือดกำเดาไหลอีกครั้ง
ส่วนบุปผากำลังยืนมองดูคุณหญิงแจ่มจันทร์คุยกับนายพลเทพด้วยสีหน้ายิ้มๆ
“ผมต้องขอโทษคุณหญิงด้วยนะครับที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น ขอผมคุยกับลูกก่อน แล้วคงจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ถามกันให้รู้เรื่องแล้วรีบบอกดิฉันนะคะท่านนายพล ดิฉันละร้อนใจจริงๆ”
บุปผาถือโอกาสดึงตัวไอศูรย์ไปพูดกันเฉพาะสองคน
“บุปผาพอจะทราบค่ะคุณหมอว่าเกิดอะไรขึ้น พี่มัทเธอมีคนรักใหม่”
“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะ แล้วคนรักใหม่คนนี้ คุณหมอก็รู้จักเป็นอย่างดีด้วยค่ะ”
“ใครกัน” ไอศูรย์งง
พลอยวิ่งเข้ามาหาเพชรในบ้าน ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ
“พี่เพชร คนที่สมาคมเขาลือกันให้แซ่ดเลยค่ะว่า..ยายมัทไม่รับหมั้นพี่ต้น”
“จริงเหรอพลอย”
พลอยพยักหน้า สองพี่น้องดีใจกันยกใหญ่
ทางด้านคุณหญิงมณีพยายามคาดคั้นมัทนาอยู่
“มัท...บอกแม่มาทีสิลูก..ว่าทำไมหนูทำอย่างนี้”
มัทนาส่ายหน้าไม่ยอมบอก เพชรเดินเข้ามา
“ก็เพราะว่าน้องมัทจะหมั้นกับผมไงครับคุณป้า”
คุณหญิงมณีอึ้งตะลึงงันจนเป็นลมไปเลย
“คุณแม่”
มัทนารีบเข้าไปดูอาการแม่ บุปผายืนมองดูอยู่ แล้วยิ้มสะใจ
“ไม่น่าเชื่อ..ฉันแค่จะให้นังคุณหนูมันไม่รับหมั้นคุณหมอ เพื่อที่ฉันจะได้มีโอกาสเข้าหาคุณหมอบ้าง แต่ไอ้ตำรวจนี่มันทำให้แผนฉันสมบูรณ์ยิ่งกว่าเดิมอีก ขอบใจนะแก”
แล้วบุปผาก็เดินหัวเราะร่าออกไป
หลายวันต่อมาบุปผาแวะเอาขนมมาเยี่ยมไอศูรย์ถึงที่บ้าน
“บุปผาเห็นคุณหมอไม่ค่อยสบาย ไม่ไปทำงานหลายวันแล้ว บุปผาก็เลยทำขนมมาเยี่ยมค่ะ ลองชิมหน่อยนะคะ”
“ไว้ก่อนเถอะบุปผา ว่าแต่บุปผารู้ไม๊ ทำไมน้องมัทเขาถึงไม่รับหมั้นฉัน”
“รู้ค่ะ เพราะพี่มัทจะรับหมั้นคุณเพชรค่ะ”
“อะไรนะ สองคนนั่นไปคบกันตอนไหน ทำไมฉันไม่รู้”
“ความจริงสองคนนั่นเขาคบกันมาได้สักพักแล้วล่ะค่ะแต่ที่ไม่มีใครรู้ก็เพราะเขามักนัดกันไปพบข้างนอกบ้านบ่อยๆ บุปผาอยู่บ้านเดียวกับพี่มัท บุปผารู้ค่ะ”
ไอศูรย์อึ้ง “ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”
เสียงพลอยแทรกเข้ามา “จริงค่ะ พลอยก็อยู่บ้านเดียวกับพี่เพชร พลอยก็รู้เหมือนกันค่ะ”
ไอศูรย์กับบุปผาหันไปมอง เห็นพลอยเดินเข้ามา พลอยจ้องตากับบุปผาอย่างคนที่รู้ทันกัน บุปผามองพลอยอย่างชิงชัง
บุปผาหงุดหงิดเอามากๆ ที่เห็นพลอยโผล่มาขัดจังหวะ
“หมดนังคุณหนูหน้าจืดไปคน ยังเหลือนังนี่อีกคน ฮึ่ย”
พลอยเดินเข้ามา แต่ไม่เห็นบุปผา แต่พอเดินคล้อยหลังไป บุปผาก็ยกเท้าถีบพลอยจนพลอยล้มหน้าคว่ำไปเลย พลอยโมโห
“แกแกล้งฉันเหรอ อีลูกเมียน้อย”
บุปผาทำหน้าไม่กลัวเกรง
“ฉันรู้นะว่าแกพูดจาใส่ไฟยายมัทว่าแอบออกไปพบกับพี่เพชรบ่อยๆ ทั้งๆ ที่มันไม่จริง ก็เพราะแกคิดจะจับพี่ต้นใช่ไม๊ล่ะ”
“ถ้าใช่แล้วจะทำไม แกก็ใส่ไฟเพราะคิดจะจับหมอเหมือนกันนั่นแหละ”
พลอยโมโห พุ่งเข้าตบบุปผา แต่บุปผาสู้กลับ และพลอยสู้ไม่ได้ ถูกบุปผาจับหัวโขกพื้นอย่างแรง
“จำไว้ อย่าริสู้กับฉัน ไม่งั้นครั้งหน้า..แกจะไม่เจอแค่นี้แน่”
ไอศูรย์โผล่เข้ามางงๆ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ไหนว่าจะไปห้องน้ำกันไง”
“ใช่ค่ะ แต่คุณพลอยสะดุดอะไรก็ไม่ทราบค่ะ เลยหกล้มหน้าฟาดพื้นไป บุปผากำลังจะช่วยประคองคุณพลอยขึ้นไปนั่งที่เก้าอี้พอดีเลยค่ะ”
ไอศูรย์รีบเข้ามาช่วยประคองพลอย พลอยมองบุปผาอย่างอาฆาต บุปผาแอบยิ้มเยาะใส่ แต่ไอศูรย์ไม่เห็น
บุปผากลับมาถึงห้อง ทิ้งตัวลงนั่งอย่างหงุดหงิด
“นอกจากหมอจะเอาแต่นั่งเศร้าซึมคิดถึงแต่นังคุณหนูอยู่ได้ ยังจะมีมารอีกตัว ฉันเห็นจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ไม่งั้นมีหวังชวดคุณหมอแน่ๆ”
บุปผาคิดแผนอะไรบางอย่างออก
วันต่อมาบุปผาทำของกินมาเอาใจไอศูรย์ถึงที่บ้านอีก
“คุณหมอขา..วันนี้บุปผาทำขนมจ่ามงกุฎมาให้ชิมค่ะ”
ไอศูรย์มองขนม แล้วรับมากินอย่างเนือยๆ คุณหญิงแจ่มจันทร์ กับโฉม ยืนดูอยู่ไกลๆ สีหน้ากลุ้มใจ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ยแม่โฉม อยู่ๆ หนูมัทก็ไม่ยอมรับหมั้นพ่อต้น หันไปรับหมั้นพ่อเพชรแทนเสียอย่างนั้น แล้วแม่บุปผานี่ก็มาเทียวไล้เทียวขื่อพ่อต้นแทบทุกวัน มันจะผิดฝาผิดตัวกันไปถึงไหนเนี่ย ฉันกลุ้มใจจริงโฉม”
โฉมเองก็กลุ้มใจไม่แพ้นายเหมือนกัน
ขณะเดียวกันนายพลเทพยืนดูมัทนาที่นั่งเศร้าซึมอยู่สักพัก จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหา
“คุยกับพ่อหน่อยได้ไม๊”
“มีอะไรหรือคะคุณพ่อ”
“พ่อรู้...มัทยังรักพ่อต้นอยู่ ทำไมถึงจะไปรับหมั้นพ่อเพชรแทนเสียล่ะ แล้วหลังๆ มานี่ พอเห็นมัทแทบจะไม่พูด คุยกับน้องเลย มันเกิดอะไรขึ้นลูก”
มัทนาส่ายหน้า พูดไม่ได้ เอาแต่น้ำตาไหลริน นายพลเทพได้แต่ถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
ด้านไอศูรย์ จู่ๆ ก็ขมวดคิ้ว สีหน้าดูไม่ดีขึ้นมา
“คุณหมอเป็นอะไรไปคะ”
“ไม่รู้สิ อยู่ๆ ก็ลิ้นชาๆ แขนขาไม่มีแรงขึ้นมาเสียเฉยๆ อย่างนั้นละ”
“สงสัยคุณหมอจะไม่สบายน่ะค่ะ บุปผาพาคุณหมอไปนอนพักก่อนดีกว่านะคะ”
ไอศูรย์จะปฏิเสธ “ไม่” แต่ไม่มีแรงพอ
บุปผาประคองไอศูรย์ไปที่ห้องนอนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพึงพอใจ
บุปผาประคองไอศูรย์มาที่เตียง จับไอศูรย์นอนลง ไอศูรย์เริ่มขยับแขนขาไม่ได้ ได้แต่กลอกตาไปมา บุปผาปลดกระดุมเสื้อไอศูรย์ช้าๆ
“ปลดกระดุมหน่อยนะคะหมอ จะได้หายใจสะดวก”
บุปผาปลดกระดุมไอศูรย์ยังไม่ทันเสร็จ ไอศูรย์ก็หมดสติไปเสียก่อน บุปผายิ้มสมใจ
ฟากคุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมเดินมา ไม่เห็นไอศูรย์กับบุปผาที่เดิมก็แปลกใจ
“เอ๊ะ..ไปไหนกันแล้วล่ะ หรือว่าแม่บุปผาจะกลับบ้านโน้นไปแล้ว”
โฉมเหลียวมองไปเห็นรองเท้าของบุปผายังถอดวางอยู่ที่หน้าประตูบ้าน
“รองเท้าของแม่บุปผายังอยู่เลยค่ะ”
“อ้าว..แล้วไปไหนกันล่ะ”
สองคนเดินสอดส่องมองหาไอศูรย์กับบุปผาไปรอบๆ บ้าน
“ไม่ได้ไปเดินเล่นในสนามด้วยค่ะ” โฉมบอก
แจ่มจันทร์ชักสังหรณ์ใจ “หรือว่า...”
ไวเท่าความคิดคุณหญิงแจ่มจันทร์เดินดิ่งไปที่ห้องนอนไอศูรย์ทันที โฉมตามไปด้วย
คุณหญิงแจ่มจันทร์ถือวิสาสะเปิดประตูห้องนอนไอศูรย์เข้าไป แล้วก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นไอศูรย์กำลังนอนอยู่บนเตียงกับบุปผา
“พ่อต้น”
คุณหญิงแจ่มจันทร์พุ่งเข้าไปกระชากตัวไอศูรย์ขึ้นมาจากที่นอน
“ทำไมพ่อต้นทำเรื่องบัดสีอย่างนี้ในบ้าน”
ไอศูรย์มีสีหน้างงๆ รู้สึกตัวแต่ยังมึนอยู่มาก เหลียวไปมองที่เตียง เห็นบุปผานอนร้องไห้อยู่
“คุณหญิงขา..ช่วยบุปผาด้วยค่ะ คุณหมอ..โกรธบุปผา ที่บุปผาบอกว่าให้ตัดใจจากพี่มัทเสียเถอะ เพราะพี่มัทจะหมั้นกับคุณเพชรแล้วค่ะ พูดได้แค่นี้คุณหมอก็โกรธบุปผา แล้วก็เลย…”
บุปผาแสร้งทำเป็นพูดต่อไม่ได้ ร้องไห้กระซิกๆ ไอศูรย์ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่ได้ทำ บุปผาเลยยิ่งร้องไห้ใหญ่ คุณหญิงแจ่มจันทร์กลุ้มใจสุดๆ
เรื่องรู้ถึงหูคุณหญิงมณีและนายพลเทพ ไม่นานหลังจากนั้น
“ดิฉันไม่เชื่อหรอกค่ะว่าพ่อต้นจะเป็นผู้ชาย สิ้นคิดขนาดนั้น”
บุปผาทำเป็นร้องไห้ ซบอกนายพลเทพคล้ายคนเสียขวัญขนาดหนัก คุณหญิงมณีกับสร้อยมองอย่างหมั่นไส้ ในขณะที่ไอศูรย์หน้าเครียด ไม่พูดอะไรสักคำ
แจ่มจันทร์หน้าจ๋อย “ดิฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันล่ะค่ะคุณหญิง ลูกดิฉัน ดิฉันก็พอรู้อยู่ว่านิสัยใจคอเป็นยังไง แต่ดิฉันก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับตา ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน”
นายพลเทพพูดเสียงแข็ง “พูดไม่ออกก็ไม่ต้องพูดแล้วครับคุณหญิง ยังไงๆบุปผาเสียหายไปแล้ว และบุปผาเป็นลูกสาวคนหนึ่งของผม พ่อต้นต้องรับผิดชอบ ไม่อย่างนั้น..ผมจะถือว่าพ่อต้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย ตายจากกันก็ไม่ต้องมาเผาผีกันเลย”
ไอศูรย์อึ้ง ในขณะที่คุณหญิงมณี คุณหญิงแจ่มจันทร์ สร้อย และโฉม มีสีหน้าหนักใจตามๆ กัน
มัทนายืนแอบฟังอยู่ที่ประตู ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ จนในที่สุดร่างมัทนาก็ร่วงผล็อยลงเป็นลมไป สวิงวิ่งเข้ามาเห็นพอดี
“คุณหนู”
วันต่อมาพลอยปาหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะอย่างอารมณ์เสียสุดๆ
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้ได้ยังไงกันคะพี่เพชร พี่ต้นจะหมั้นกับนังบุปผานั่น ตามฤกษ์เดิมที่เคยจะหมั้นกับยายมัท มันเกิดอะไรขึ้นกันคะเนี่ย”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าพี่ต้นหมั้นๆ ไปซะ พี่ก็จะได้สบายใจเต็มที่ว่าน้องมัทจะไม่มีวันหวนกลับไปคืนดีกับพี่ต้นได้อีก”
พลอยเริ่มพาล “พี่เพชรก็คิดแต่เรื่องของตัวเอง ไม่คิดถึงใจพลอยมั่งเลย”
“ถึงพี่จะคิดถึงใจพลอย แล้วพี่จะทำอะไรได้ล่ะ ในเมื่อเขาลงข่าวหมั้นในหนังสือพิมพ์ชัดเจนอย่างนี้แล้วน่ะ”
พลอยหงุดหงิดสุดขีด เดินกระทืบเท้าปึงปังออกไป
ทางด้านแสงหนีมากบดานอยู่ที่ต่างจังหวัด กำลังอ่านข่าวในหนังสือพิมพ์เช่นกัน
“เฮ้ย มันเกิดอะไรขึ้นวะ หมอไอศูรย์จะหมั้นกับอีนังงูพิษ แทนคุณหนูมัทนาเหรอเนี่ย”
แสงงงปนเครียด
วันต่อมาคุณหญิงมณีเดินเข้ามาที่สมาคม ประไพเห็นก็รีบปราดเข้าไปหาทันที
“จริงหรือคะคุณหญิงที่ว่าลูกสาวคนเล็กของท่านนายพล จะหมั้นกับลูกชายคุณหญิงแจ่มจันทร์น่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีทำหน้าระอาสุดขีด แทบจะเก็บอารมณ์ไว้ไม่อยู่แล้ว
หลายวันต่อมา ผกากำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่หอโคมแดง สีหน้าตกใจมาก
“คุณพงษ์ศักดิ์ว่าอะไรนะคะ”
ผกาฟังปลายสายอยู่อีกสักพักก็วางสายลงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง มุกพุ่งเข้ามาด้วยความอยากรู้
“เกิดอะไรขึ้นเหรอแม่ คุณพงษ์ศักดิ์โทร.มาว่าอะไร ทำไมแม่ถึงทำหน้าอย่างงี้”
“คุณพงษ์ศักดิ์เขาโทรมาบอกว่า...คุณศักดิ์ชัยลูกชายเขา...เป็นโรค”
ทุกคนตกใจ “เป็นโรค”
มุกโพล่งขึ้น “ถ้างั้น..อีบุปผามันก็...”
ทุกคนทำหน้าอี๋ ผกาหน้าเสียสุดๆ
วันหมั้นมาถึง โดยถือฤกษ์หมั้นเดิมของมัทนา บุปผากำลังแต่งตัวอยู่ที่หน้าโต๊ะกระจกตามลำพัง มองเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
“ในที่สุด..ความฝันของฉันก็กำลังจะเป็นจริงแล้ว”
แต่แล้วบุปผาก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจกเป็นมัทนาที่เดินเข้ามา สีหน้า
เซื่องซึมแต่พยายามทำร่าเริง
“วันนี้บุปผาสวยจริง”
“พี่มัทคงไม่โกรธใช่ไม๊คะ ที่สุดท้าย เรื่องราวมันก็มาลงเอยเอาแบบนี้”
“พี่จะโกรธได้ยังไงละจ๊ะ ดีใจมากกว่า..ที่บุปผาจะได้เป็นคู่ครองของคนที่ดี...อย่างพี่ต้น”
บุปผาแกล้งเสียดสี “แต่ถ้าวันนั้นคุณหมอไม่ขาดสติ ไม่..เอ่อ...” บุปผาแสร้งทำอายไม่อยากพูดออกมา “งานวันนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรอกค่ะพี่มัท เพราะยังไงๆ เสีย คุณหมอก็ยังรักพี่มัทอยู่ค่ะ”
มัทนาน้ำตาร่วง รีบขอตัว
“พี่ขอตัวไปดูคุณแม่ก่อนนะ” มัทนาออกไปอย่างเร็วรี่
บุปผา ยิ้มสะใจที่เห็นมัทนาเสียใจ
มัทนาเดินร้องไห้ออกมาจากห้องบุปผา แล้วเดินต่อไปไม่ไหว หยุดยืนพิงผนังแล้วร้องไห้ คุณหญิงมณีเดินผ่านมาเห็น
“ยายมัท” คุณหญิงวิ่งเข้าไปประคองแล้วกอดลูกสาวไว้ “โธ่”
คุณหญิงมณีร้องไห้สงสารมัทนา แล้วสักครู่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคียดแค้นใจสุดๆ เมื่อนึกถึงว่าคนที่ทำให้ลูกรักของเธอต้องเสียน้ำตาก็คือบุปผานั่นเอง
ทางด้านบุปผายังคงแต่งตัวต่อ สักครู่นายพลเทพก็เข้ามาพร้อมกล่องเครื่องเพชร
“บุปผา”
“คุณพ่อ”
“ไม่ว่าการหมั้นครั้งนี้จะเกิดขึ้นด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่พ่อก็ยังหวังว่าลูกสาวพ่อคนนี้ จะได้มีความสุขกับเขาเสียที เอ้า..พ่อมีของขวัญมาให้ลูกด้วย”
นายพลเทพส่งกล่องเครื่องเพชรให้ บุปผาเปิดดูแล้วตาโต
“ถึงจะไม่ใช่เครื่องเพชรเก่าประจำตระกูล เพราะของพวกนั้น พ่อให้คุณหญิงมณีเขาไปหมดแล้ว แต่เครื่องเพชรชุดนี้พ่อก็สั่งทำมาพิเศษสำหรับลูกจริงๆ”
บุปผาปลื้มใจจนน้ำตาซึม ยกมือไหว้นายพลเทพ
“บุปผาขอบคุณคุณพ่อมากนะคะที่เมตตาบุปผามาตลอด”
“ยังไงบุปผาก็เป็นลูกคนหนึ่งของพ่อนี่ แล้วในงานวันนี้ นอกจากจะเป็นงานหมั้นของลูกกับพ่อต้นแล้ว ยังมีวาระสำคัญอย่างอื่นอีกด้วยนะ”
“อะไรคะ”
“พ่อจะประกาศต่อหน้าทุกคนในงานให้เขาได้รู้ว่า..บุปผาคือลูกของพ่อ เป็นสายเลือดคนหนึ่งของตระกูลเทพบริบาลเหมือนกัน”
บุปผาตาโตยิ้มด้วยความดีใจ แล้วสวมกอดนายพลเทพไว้แน่น บุปผามีความสุขสุดๆ ในวันนี้
ทั้งสามคนเดินเข้ามายังบริเวณจัดงาน
“ทำหน้าดีๆ หน่อยสิพ่อต้น ถึงต้นจะไม่เต็มใจหมั้น แต่เกิดมาเป็นลูกผู้ชาย เมื่อทำอะไรลงไปแล้ว ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองทำ” แจ่มจันทร์บอก โฉมอยู่ข้างๆ
“แต่ถ้าเรื่องไหนผมไม่ได้ทำ ผมต้องรับผิดชอบด้วยเหรอครับคุณแม่”
“อย่าพูดอย่างนี้ให้ท่านนายพลเทพได้ยินเชียวนะต้น แค่นี้ก็มีเรื่องให้ปวดหัวกันมากพออยู่แล้ว”
ไอศูรย์สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่ยังไม่กล้าบอกใคร จังหวะนี้เห็นเพ็ญมาชะเง้อมองเข้ามาในบ้านอย่างสนใจ
ผกายืนรอเพ็ญอยู่ที่หอโคมแดงด้วยสีหน้าร้อนใจ สักพักหนึ่งเพ็ญเดินเข้ามา
“ได้พบบุปผาไม๊เพ็ญ”
“ไม่พบค่ะ แต่..คุณผกาคะ รู้ไม๊คะว่าวันนี้คุณบุปผาเขาจะหมั้นน่ะค่ะ”
ผกางง “หมั้น ! หมั้นกับใคร ทำไมฉันถึงไม่รู้เรื่อง”
“เพ็ญแอบถามคนแถวนั้น เขาบอกว่าจะหมั้นกับคุณหมอไอศูรย์ค่ะ”
“จริงเหรอ แล้วทำไมบุปผาไม่เห็นบอกฉันเลยล่ะ..ไม่ได้ละ..ฉันจะต้องหาทางบอกบุปผาให้ได้เรื่องคุณศักดิ์ชัยเป็นโรค ต้องรีบบอก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ไปเพ็ญ ไปหาบุปผาที่บ้านเทพบริบาลกัน”
ผกาคว้ากระเป๋าแล้วลากเพ็ญออกไปด้วยกัน
ทั้งคู่กำลังจะเดินไปที่จัดงานด้วยกัน
“พ่อจัดการ์ดให้มาคอยดูแลรอบๆ งานหลายคนเลยนะบุปผา เพื่อดูแลความเรียบร้อยทั้งงาน”
“คุณพ่ออย่าลืมย้ำพวกเขานะคะว่า..ถ้าใครไม่มีบัตร อย่าให้เข้ามาในงานเลย”
“พ่อบอกแล้วลูก งานนี้..มีแต่คนกันเองที่เราเชิญมาเท่านั้นจริงๆ”
บุปผายิ้มกว้างพอใจ
ขณะเดียวกันคุณหญิงมณีเดินโอบบ่ามัทนาเข้ามาทางหนึ่ง คุณหญิงแจ่มจันทร์ และโฉม เดินเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง พอทั้งสองฝ่ายเห็นกัน ต่างฝ่ายต่างก็ชะงัก โดยเฉพาะไอศูรย์กับมัทนา
“ขอผมคุยกับน้องมัทส่วนตัวสักครู่นะครับ”
สองคุณหญิงทำหน้ากระอักกระอ่วนใจไปตามๆ กัน
“นะครับ ผมขอร้อง” ไอศูรย์ยกมือไหว้คุณหญิงมณีขอร้อง
คุณหญิงมณีกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ และโฉม จึงจำต้องเดินไป
“น้องมัท”
มัทนารีบชิงพูดก่อน “มัทฝากน้องบุปผาด้วยนะคะพี่ต้น”
“น้องมัทจะหมั้นกับเพชรจริงๆเหรอ”
มัทนานิ่งไปนิดหนึ่ง “จริงค่ะ”
“แล้วน้องมัทรักเพชรเขารึเปล่า”
มัทนานิ่ง ไม่ตอบ
“น้องมัทยังรักพี่อยู่ไม๊”
มัทนาไม่ตอบ แต่น้ำตารื้นขึ้นมาทันที
“เราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วค่ะ และหลังจากวันนี้แล้ว มัทคิดว่าเราสองคนไม่ควรจะพบกันอย่างนี้อีก มัทไม่อยากให้น้องบุปผาไม่สบายใจ มัทขอตัวก่อนนะคะ แขกเริ่มทยอยมากันแล้ว” สาวแสนดีเดินออกไปทันที
ไอศูรย์มองตามหน้าเครียด ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
เวลานั้นเพชรเดินเข้างานมากับพลอย พบกับมัทนา เพชรยิ้มร่า
“วันนี้น้องมัทของพี่สวยจริง แต่ว่าวันงานหมั้นของเรา น้องมัทต้องสวยกว่านี้อีกนะครับ ใครๆจะได้อิจฉาว่าพี่เป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุดในโลก โชคดีกว่าพี่ต้น”
มัทนาอึ้งไป เลยเสหันไปทักพลอย
“พลอย ไม่ได้เจอเสียนาน พลอยสบายดีนะ”
“ยังไงฉันก็คงจะสบายกว่าเธอละ เพราะฉันไม่ได้เสียคนรักให้น้องสาวต่างแม่อย่างเธอนี่”
เพชรเอ็ด “พลอย”
พลอยลอยหน้าไม่สนใจ ทั้งหมดเดินเข้างานไป แลเห็นผู้คนทยอยกันเดินเข้างานไม่ขาดระยะ
ขณะที่สร้อยเดินทำงานวุ่นวายอยู่แถวครัว แล้วจู่ๆ ก็มีมือใครคนหนึ่งเอื้อมมาปิดปากสร้อยไว้ สร้อยดิ้น แสงรีบบอก
“แม่ ! นี่ฉันเอง”
“ไอ้แสง” สร้อยดีใจจนน้ำตาไหลริน แล้วนึกได้ “แกมาที่นี่ทำไม แกรู้ไม๊ว่าตอนนี้แกเป็นผู้ร้ายมีค่าหัวด้วย ถ้าใครมาเห็นแกเข้า มีหวัง..” สีหน้าสร้อยกังวล และร้อนอกร้อนใจมากๆ
“ช่างมันเถอะแม่ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด แล้วที่ฉันต้องเสี่ยงกลับมาที่นี่ ก็เพราะฉันเห็นข่าวว่าอีนังบุปผามันจะหมั้นกับคุณหมอไอศูรย์ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอแม่ ทำไมกลายเป็นมัน ไม่ใช่คุณหนูมัทนาล่ะ”
“เรื่องมันยาว แต่มันกำลังจะหมั้นกับคุณหมอจริงๆ ละ”
“มันเป็นยังงี้ได้ยังไงกัน ! คนเลวอย่างมันกำลังจะได้เสวยสุขบนความทุกข์ของคนดีๆอย่างคุณหนู ฮึ่ย”
แล้วแสงก็เผลอตัวเอามือจับแผลเป็นบนหน้า สีหน้าแค้นใจสุดขีด
บรรยากาศของงานโดยทั่วไปเป็นไปอย่างชื่นมื่น ผู้คนทักทายกัน ประไพคุยอยู่กับคุณหญิงมณี และคุณหญิงแจ่มจันทร์
“ตกลงแม่บุปผา ลูกนอกสมรสของท่านนายพลเทพนี่ วาสนาดีจริงนะคะคุณหญิง เพิ่งจะปรากฏตัวขึ้นมา ก็จะได้หมั้นหมายกับลูกชายคุณหญิงแจ่มจันทร์เสียแล้ว เรื่องมันโอละพ่อแท้ๆเชียวนะคะ”
คุณหญิงมณีกับคุณหญิงแจ่มจันทร์ทำหน้ากระอักกระอ่วนใจไปตามๆกัน
นายพลเทพพาบุปผาไปแนะนำตัวกับแขกในงาน พลอยมองบุปผาไม่วางตา ด้วยสีหน้าชิงชัง
สร้อยเข้ามาช่วยดูแลความเรียบร้อยของงาน โดยที่แสงตามเข้ามายืนแอบๆ ในเงามืดเพื่อจะดูหน้าบุปผาที่มันแสนเกลียดชัง
นายพลเทพดูนาฬิกาเห็นได้เวลาอันสมควร จึงเดินขึ้นไปบนเวที ผู้คนเริ่มหันไปมอง
“สวัสดีครับท่านผู้มีเกียรติทุกท่าน ผม..นายพลเทพ เทพบริบาล ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติมางานหมั้นของลูกสาวผมในวันนี้ และในโอกาสนี้ ผมขอถือโอกาสแนะนำตัวลูกสาวของผม.คนที่จะสวมแหวนหมั้นในวันนี้ให้ทุกท่านได้รู้จักกันเลยนะครับ”
นายพลเทพหันไปมองบุปผาเป็นเชิงบอก บุปผาค่อยๆ เดินขึ้นไปบนเวที ผู้คนซุบซิบกันไปต่างๆนานา บุปผาขึ้นไปยืนข้างนายพลเทพอย่างสง่างาม
“นี่คือบุปผา เทพบริบาล ลูกสาวคนเล็กของผมครับ”
บุปผายกมือไหว้แขกในงานอย่างอ่อนน้อม คนที่รู้เบื้องหลังของบุปผา ต่างทำหน้าเบ้ แต่คนที่ไม่รู้อะไรพากันยิ้มชื่นชมยินดี
ส่วนที่หน้างาน เห็นผกามากับเพ็ญ จะเดินเข้างาน แต่การ์ดของนายพลเทพสะกัดดักหน้าเอาไว้เสียก่อน
“ขอดูบัตรเชิญด้วยครับ”
“บัตรเชิญ ฉันไม่มีหรอก แต่บุปผา ที่ยืนอยู่บนเวทีโน่นน่ะ ฉันเลี้ยงมาตั้งแต่เกิดเองเลยนะ” บุปผาบอก ท่าทีร้อนใจ
“เสียใจครับคุณผู้หญิง งานนี้..ผมได้รับคำสั่งมาว่า ถ้าใครไม่มีบัตรเชิญมาด้วย ห้ามเข้าครับ”
“แต่ฉันจะต้องเข้าไปนะ เพราะฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องบอกบุปผา”
“ไม่ว่าจะยังไง ผมก็ให้คุณผู้หญิงเข้าไปไม่ได้ครับ”
การ์ดกันผกาและเพ็ญออกไป
มัทนามองมา เห็นการ์ดกำลังเชิญผกาและเพ็ญให้ออกไป ท่าทางจะมีปัญหา เพราะผกายื้อจะเข้างานให้ได้ แต่การ์ดก็ไม่ยอม มัทนาตัดสินใจผละออกจากส่วนงาน เดินไปที่ผกาทันที
มัทนาเดินเข้ามาถามการ์ด
“มีอะไรกันเหรอจ๊ะ”
“คุณผู้หญิงคนนี้จะเข้าไปในงาน แต่ไม่มีบัตรเชิญครับคุณหนู แล้วท่านนายพลท่านสั่งนักสั่งหนาว่างานนี้ ถ้าใครไม่มีบัตรเชิญ ห้ามเข้าโดยเด็ดขาดครับ” การ์ดบอก
“เอ้า...ไม่เป็นไรจ้ะ สองคนนี้เขาเป็นแขกของฉันเอง ฉันพาเข้าไปด้วยตัวเอง เธอคงไม่ว่าอะไรนะ”
การ์ดยิ้มแหยๆ “ครับ”
มัทนากวักมือเรียกผกากับเพ็ญให้เดินเข้ามาหา แล้วพาเดินเข้างานไปด้วยกัน
มัทนาพาผกาและเพ็ญเข้ามาในบริเวณงานไม่ไกลจากเวทีนัก
“ขอบคุณนะคะคุณมัทนา” ผกาบอก
“ต้องขอบคุณทำไม คุณผกาเป็นคนเลี้ยงดูบุปผามาตั้งแต่เกิด งานสำคัญของบุปผาอย่างนี้ คุณผกาจะไม่มาร่วมงานได้ยังไงกันละคะ แต่สงสัยว่าบัตรเชิญของคุณผกาไปตกหล่นอยู่เสียที่ไหน ถึงไม่ถึงมือ”
มัทนาพาผกากับเพ็ญเข้าไปยืนดูบุปผา
บุปผากับนายพลเทพอยู่บนเวที ประไพตะโกนถามขึ้นไปด้วยความอยากรู้
“ท่านนายพลกับคุณหญิงมณีมีลูกสาวเพียงคนเดียว คือหนูมัทนา แล้วหนูบุปผานี่ เป็นลูกสาวท่านกับใครรึคะ”
เสียงผู้คนในงานฮือฮาที่ประไพกล้าถาม ในสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ ไม่กล้าถาม)
นายพลเทพทำทีเป็นหัวเราะ “เอ้า..ไหนๆ คุณประไพก็กล้าถามขึ้นมาแล้ว ผมก็กล้าตอบครับ แม่ของบุปผา ชื่อแม่อุ่น ผมพบกับเธอตอนที่ไปราชการที่หัวเมืองครับ”
“แล้วตอนนี้แม่อุ่นอยู่ที่ไหนละคะ แล้วท่านจะให้แม่อุ่น เข้ามาอยู่ในบ้านเทพบริบาลนี่ ร่วมกันกับคุณหญิงมณีด้วยไม๊คะ” ประไพซักไซ้
“น่าเสียดายครับที่แม่อุ่นเสียไปตั้งแต่วันที่บุปผาเกิดครับ” ท่านนายพลตัดบทไปเลย “เอาละครับ คุยกันมานานแล้ว ผมขอนำเข้าสู่พิธีการงานหมั้นเลยดีกว่านะครับ ชักช้านักเดี๋ยวจะเสียฤกษ์ เชิญพ่อต้น”
ผู้หลักผู้ใหญ่พากันขยับตัวประจำที่งานหมั้น แต่ไอศูรย์ยังยืนนิ่งอยู่
แจ่มจันทร์หันไปเร่ง “เอ้า..พ่อต้น เร็วสิลูก”
ไอศูรย์ตัดสินใจเด็ดขาด “ไม่ครับคุณแม่ ผมจะไม่หมั้นเด็ดขาด”
บุปผาหน้าเสีย คนอื่นๆส่งเสียงฮือฮาวิพากษ์วิจารณ์กันอื้ออึง
นายพลเทพหน้าตึงขึ้นมาทันที “นี่พ่อต้นจะฉีกหน้าลุงใช่ไม๊ ทำอะไรลงไปไม่คิดจะรับผิดชอบ มันไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
“ผมเป็นลูกผู้ชายพอที่จะรับผิดชอบทุกเรื่องที่ผมทำครับคุณลุง แต่เรื่องที่ผมไม่ได้ทำ ผมไม่อาจรับผิดชอบได้”
“พ่อต้นหมายความว่ายังไง” มณีถามขึ้น
“ผมกับบุปผา..เราไม่ได้มีอะไรกันครับ”
“จะบ้าเหรอ ก็คุณหญิงแจ่มจันทร์เองยังเห็นกับตาว่า...” นายพลเทพกระดากปากไม่อยากพูดออกมาต่อหน้าคนมากๆ
“ใช่ครับ คุณแม่เห็นผมกับบุปผาอยู่ด้วยกันก็จริง แต่ความจริงวันนั้น ผม...”
ไอศูรย์เริ่มออกอาการถูกวางยา แล้วบุปผาประคองไปที่ห้องนอน
ไอศูรย์เล่าประกอบจนเห็นภาพ “วันนั้น..ผมมีอาการแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
ภาพจำ เหตุการณ์ที่ไอศูรย์ถูกคุณหญิงแจ่มจันทร์กระชากให้ลุกขึ้นจากที่นอน ไอศูรย์ยังออกอาการมึนยาอยู่ผุดขึ้นมา
ผู้คนในงานพากันฮือฮา บุปผาเสียหน้ามาก
“วันนั้นผมก็เลยไปที่โรงพยาบาลของผม แล้วเอาเลือดตัวเองไปตรวจหาสารแปลกปลอมในร่างกาย”
ภาพตอนไอศูรย์ตรวจเลือดผุดขึ้นมา
ไอศูรย์เล่าต่อ
“และผลตรวจเลือดของผมที่ออกมา ทำให้ผมมั่นใจว่า ผมถูกวางยา และยาตัวที่อยู่ในร่างกายผม เป็นยาที่จะมีผลทำให้ร่างกายไม่มีแรง อ่อนเปลี้ยเหมือนคนเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต เพราะฉะนั้น..มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมกับบุปผาจะมีอะไรกัน” ไอศูรย์หันไปจ้องบุปผา
“จริงเหรอลูก” แจ่มจันทร์หันมาทางบุปผา “นี่หล่อนวางยาพ่อต้น เพราะคิดจะจับพ่อต้นใช่ไม๊เนี่ย”
บุปผาอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี “เปล่านะคะ บุปผาไม่ได้ทำ”
แสงทนไม่ไหว ลืมตัวโพล่งขึ้นมา
“แต่ฉันเชื่อว่าแกทำ ผู้หญิงหยำฉ่าอย่างแก ทำอะไรก็ได้”
สร้อยตกใจมาก “ไอ้แสง”
สร้อยรีบเดินไปหาแสง แต่ยังไม่ถึงตัว
ประไพถามเสียงดัง “ผู้หญิงหยำฉ่าอะไรกัน”
“ผู้หญิงหยำฉ่าก็ผู้หญิงหากินยังไงล่ะ งานหมั้นของมัน วันนี้ถึงได้มีแม่เล้ามาร่วมงานได้ นั่นไง”
แสงชี้ไปที่ผกา ที่ยืนอยู่ข้างมัทนา ผกาหน้าเสีย ประไพเขม้นตามอง แล้วพูดดังๆราวกับประกาศ
“จริงด้วย แม่นั่นมันคือแม่เล้าที่หอโคมแดงจริงๆ ด้วย ดิฉันเคยพานักเลงไปลุยมาที่นั่นแล้ว ดิฉันจำได้ค่ะ”
บุปผาหันไปเห็นผกายืนอยู่ข้างมัทนาก็แค้นใจ พึมพำอยู่คนเดียวแค้นมัทนาสุดๆ
“ฉันอุตส่าห์ไม่บอกแม่ผกาแล้ว อีนังคุณหนูมันยังไปเอาตัวแม่มางานจนได้ นี่มันคิดจะเปิดโปงฉันใช่ไม่เนี่ย”
จังหวะนี้เพชรพุ่งเข้ามาจับตัวแสงล็อคแขนไว้ด้านหลัง แสงตกใจเอะอะเสียงดัง และพยายามดิ้น
“นายแสง แกถูกจับแล้ว...ข้อหาฆ่ากำพลตาย”
แสงดิ้นร้องโวยวาย “ไม่จริง! ผมไม่ได้ฆ่า ผมไม่รู้เรื่อง”
“ไอ้แสงมันเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย พูดจาอะไรเชื่อถือไม่ได้”
นายพลเทพเรียกการ์ดให้เข้าไปล็อคตัวแสงแทนเพชร พร้อมกับสั่งการ์ด
“เอาตัวมันไปส่งตำรวจ”
การ์ดล็อคตัวแสงแทนเพชร แสงฉวยจังหวะที่เปลี่ยนมือกัน สลัดจนหลุด แล้วคว้าปืนจากการ์ด กราดส่ายไปทั่ว ผู้คนวี้ดว้ายตกใจตามๆ กัน
“อย่าเข้ามานะ ใครเข้ามาจับกู กูยิงจริงๆ ด้วย”
เพชรกับพวกการ์ดหยุดไม่กล้าเข้าใกล้ กลัวคนอื่นมีอันตราย แสงถอยหนี แต่ดันสะดุดล้มลง เพชรรีบพุ่งเข้าไปตระครุบตัวแสงไว้ แต่แสงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ดิ้นสู้เต็มที่ เพชรกับแสงปล้ำสู้กันอยู่สักพักก็มีเสียงปืนดังปัง ทุกคนชะงักค้างก็ไปชั่ววินาทีราวกับโลกหยุดหมุน เพชรถอยออกจากแสง ทำให้ทุกคนได้เห็นว่าแสงถูกยิงเข้าที่ท้อง สร้อยกรี๊ด
“ไอ้แสง” สร้อยวิ่งเข้าไปกอดร่างแสงไว้
“แม่...อย่าให้นังงูพิษนั่นมันรอดไปได้นะแม่”
“แสง แกอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย” สร้อยห้ามลูก แล้วหันไปหาไอศูรย์ “คุณหมอช่วยไอ้แสงด้วยค่ะ ช่วยไอ้แสงด้วย
ไอศูรย์วิ่งเข้ามาดูอาการแสง จัดการปฐมพยาบาลเบื้องต้น แล้วสั่งการ์ด)
“กระสุนทะลุออก ไม่โดนอวัยวะสำคัญภายใน ผมห้ามเลือดแล้ว รีบเอาตัวนายแสงไปส่งโรงพยาบาลเถอะ”
บรรดาการ์ดช่วยกันหามร่างแสงออกไป สร้อยตามไปด้วย
แจ่มจันทร์ประกาศกร้าว “ท่านนายพลคะ ดิฉันขอยกเลิกการหมั้นวันนี้ค่ะ ถ้าพ่อต้นจะต้องหมั้นเพราะถูกวางยา ดิฉันยอมไม่ได้ค่ะ”
“ยกเลิกไม่ได้นะคะคุณหญิง บุปผาไม่ได้วางยาคุณหมอจริงๆ ค่ะ”
“ฉันไม่เชื่อหล่อนหรอก ฉันเชื่อลูกชายฉันมากกว่า ฉันเลี้ยงพ่อต้นมากับมือ ฉันรู้ดีว่าลูกฉันเป็นคนยังไง” แจ่มจันทร์บอก
“ดิฉันก็ไม่เชื่อคำพูดของผู้หญิงที่มีแม่เล้ารับเลี้ยงเป็นลูกเหมือนกันค่ะ มีแม่เลี้ยงเป็นแม่เล้า มันก็คงไม่พ้นเป็นผู้หญิงหยำฉ่าอย่างที่ไอ้แสงมันว่า” คุณหญิงมณีเหยียดหยัน
“แต่ดิฉันเคยบอกแล้วว่าดิฉันส่งบุปผาไปให้พ่อแม่ของนายสินเลี้ยงอยู่ที่ต่างจังหวัดจนโต” ผกาว่า
คุณหญิงมณีจ้องผกาเขม็ง “แกกล้าสาบานต่อหน้าพระไม๊ล่ะ”
ผกาเริ่มอึกอัก
คุณหญิงหันมาทางนายพลเทพ “เห็นไม๊คะคุณ มันไม่กล้าสาบาน ก็เพราะว่ามันโกหก แล้วลงว่า..มันโตขึ้นมาเพราะมีแม่เล้าเลี้ยง มันก็คงจะป็นอะไรไปไม่ได้..นอกจากผู้หญิงขายตัว”
บุปผาโกรธจัด “ถ้าฉันเป็นผู้หญิงขายตัว คุณหญิงก็เป็นฆาตกร ป้าอิ่มบอกฉันก่อนตายว่า..แกส่งนังสร้อยไปฆ่าแม่อุ่นของฉัน”
นายพลเทพตกใจ “คุณหญิงทำเรื่องเลวร้ายอย่างนั้นจริงๆ รึ”
บุปผาเล่าต่อ “ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะคุณพ่อ นอกจากจะส่งนังสร้อยไปฆ่าแม่อุ่นแล้ว คุณหญิงยังซื้อยาจากตาเถาเอามาให้คุณพ่อกินทุกวัน เพื่อให้คุณพ่อเป็นหมัน ไม่สามารถมีลูกกับใครได้อีก”
“จริงเหรอคุณหญิง” นายพลเทพถาม
คุณหญิงมณีพูดไม่ออก ส่อพิรุธอย่างเห็นได้ชัด มัทนามองแม่อย่างผิดหวังสุดๆ
“งั้นที่พี่เพชรเล่าให้มัทฟัง ก็เป็นความจริงเหรอคะเนี่ย” มัทนาปวดใจเหลือแสน
คุณหญิงมณีเจ็บปวดเมื่อเห็นสายตาของนายพลเทพ และมัทนาที่มองมา คุณหญิงมณีเริ่มออกอาการสติแตก
“มัทอย่ามองแม่อย่างนี้สิ ก็ที่แม่ต้องทำลงไปทั้งหมดนั่น ก็เพราะคุณชไมบอกแม่ว่า...ลูกของคุณพ่อที่เกิดกับผู้หญิงอื่น ที่ไม่ใช่แม่ มันจะย้อนกลับมาทำร้ายลูกจนตาย เพราะฉะนั้นแม่ก็เลยต้องตัดไฟแต่ต้นลม”
“ด้วยการส่งสร้อยไปฆ่าแม่อุ่น แล้วก็วางยาคุณพ่อน่ะเหรอคะ มัทไม่นึกเลยว่าคุณแม่จะกล้าทำเรื่องเลวร้ายขนาดนี้”
มัทนามองแม่ด้วยสายตาผิดหวังเป็นที่สุด หนำซ้ำผู้คนในงานก็มองมายังคุณหญิงมณีแล้วซุบซิบๆ กัน ทำให้คุณหญิงมณีสติแตกมากขึ้นเรื่อยๆ
“ผมผิดหวังในตัวคุณหญิงจริงๆ” นายพลเทพว่า
“ฉันก็ผิดหวังในตัวคุณ ผิดหวังแล้วก็หมดความนับถือในตัวคุณ ตั้งแต่วันที่ฉันรู้ว่าคุณไปคว้าอีอุ่นมาเป็นเมียน้อย”
“พอทีเถอะคุณหญิง ถ้าคุณหญิงเชื่อว่า..คนที่มาทีหลังคือเมียน้อย ผมก็อยากจะบอกคุณว่า..ผมได้อุ่นเป็นเมียก่อนคุณ”
คุณหญิงมณีตกตะลึง แล้วก็กรีดร้องออกมาสุดเสียง “ไม่จริ๊ง...”
จากนั้นคุณหญิงมณีก็พุ่งเข้าไปทุบตีนายพลเทพพัลวัน นายพลเทพยืนนิ่ง ไม่โต้ตอบอะไร มัทนาทนไม่ไหว เข้าไปดึงตัวแม่ออกมา
“พอทีเถอะค่ะคุณแม่”
คุณหญิงมณีหันมามองหน้ามัทนา มัทนาทนดูหน้าแม่ไม่ไหว ร้องไห้แล้วเมินหน้าหนีไปทางอื่น
“มัทอย่าเมินหน้าหนีแม่อย่างนี้สิลูก”
แต่มัทนาก็ไม่ยอมมองมา ทำให้คุณหญิงมณีเจ็บปวดแทบขาดใจที่ถูกลูกสาวหมางเมิน เลยหันไปลงกับบุปผาแทน
“เพราะแกคนเดียวอีบุปผา ทำไมแกไม่ตายๆ ไปเสีย ตั้งแต่วันนั้นนะ แกไม่น่ารอดมาจนถึงวันนี้เลย ดีละ”
โดยที่ไม่มีใครคาดคิด คุณหญิงมณีวิ่งไปหยิบปืนที่แสงเอามาจากการ์ด ทำหล่นไว้เมื่อตอนบาดเจ็บ ยกขึ้นมาเล็งไปใส่บุปผา
“แกก็ตายเสียวันนี้เถอะ ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้แกทำร้ายลูกฉันได้เป็นอันขาด”
คุณหญิงมณีจะยิงบุปผา แต่มัทนาที่ยืนใกล้คุณหญิงที่สุด รีบพุ่งตัวเข้าไปผลักปืนในมือให้หันกระบอกปืนขึ้นฟ้า ปืนลั่นดังปัง แล้วร่วงหล่นจากมือคุณหญิงมณี ทั้งคุณหญิงมณีและมัทนาล้มลง ทุกคนยืนนิ่งกันไปชั่วขณะด้วยความตื่นตะลึง
“มัทมาห้ามแม่ทำไม แม่จะต้องฆ่ามัน ก่อนที่มันจะฆ่ามัท”
คุณหญิงมณีตะกายไปเก็บปืนอีก แล้วเอาปืนเล็งใส่บุปผาอีก มัทนาไม่ยอม พยายามยื้อยุดปืนไว้
“อย่าค่ะคุณแม่”
บุปผาแค้นใจสุดขีดที่คุณหญิงมณีพยายามจะฆ่าเธอให้ได้
“แกคิดจะฆ่าฉันให้ตายวันนี้ให้ได้เลยใช่ไม๊”
บุปผาวิ่งไปฉวยปืนจากการ์ดอีกคน แล้วเอามาเล็งใส่คุณหญิงบ้าง
“งั้นเราก็มาตายด้วยกันหมดนี่ละ”
บุปผากำลังจะเหนี่ยวไกยิงใส่คุณหญิงมณี แต่แล้วกลับมีเสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น ร่างบุปผาสะดุ้งสุดตัว แล้วหันไป เห็นว่าคนที่ยิงเธอนั้นคือสินนั่นเอง
ทุกคนตกใจที่เห็นสิน
“นายสิน”
บุปผาล้มลง เลือดแดงฉานไหลออกมาจากบาดแผลที่ถูกยิง ไอศูรย์ได้สติก่อนใคร รีบวิ่งเข้ามาดูอาการทันที จะแตะดูที่แผล แต่ผการีบห้าม
“ระวังค่ะคุณหมอ นังบุปผามันเป็นโรค”
ไอศูรย์งง “โรคอะไร”
ผกาอึกอัก สินเดินโขยกเขยกเข้ามาตอบแทน
“จะโรคอะไรได้ล่ะครับคุณหมอ ถ้าไม่ใช่โรคอย่างที่ผู้หญิงขายตัวมันเป็นกันน่ะ”
“จริงเหรอแม่ผกา” นายพลเทพถามขึ้น
ผกาจำใจพยักหน้ายอมรับ
“แต่ชีวิตคนสำคัญที่สุด”
ไอศูรย์ไม่สนใจที่เนื้อตัวจะเปื้อนเลือดบุปผา รีบช่วยรักษาเบื้องต้นทันที บุปผาสะอึกๆ อยู่ 2-3 ครั้ง ก็แน่นิ่งไป
“บุปผา” นายพลเทพกับผกาตะลึง
ทั้งสองพุ่งเข้าไปดูบุปผา ในขณะที่คุณหญิงมณีมองบุปผาที่แน่นิ่งไปแล้ว แล้วก็หัวเราะออกมาด้วยความสะใจอย่างที่สุด
“ในที่สุด แกก็ไม่สามารถจะทำร้ายยายมัทได้อีก ลูกของท่านนายพลที่เกิดกับหญิงอื่น ไม่สามารถทำร้ายลูกของฉันได้อีกแล้ว”
คุณหญิงมณีคว้าตัวมัทนามากอดอย่างรักใคร่สุดหัวใจ พลางหัวเราะอย่างคนสติแตกไปแล้ว คุณหญิงแจ่มจันทร์ และคนอื่นๆ มองอย่างรังเกียจ และสังเวชใจ
เมื่อมองมาจากมุมบน แลเห็นบุปผานอนทอดร่างอยู่มุมหนึ่ง เลือดแดงฉานเต็มตัว โดยมีไอศูรย์กำลังช่วยชีวิตเธออยู่อย่างสุดความสามารถโดยไม่รังเกียจโรคร้ายที่บุปผาเป็นอยู่ ส่วนอีกมุมหนึ่ง เห็นคุณหญิงมณีกอดมัทนาพลางหัวเราะอย่างคนสติแตก
เช้าวันต่อมา มัทนากับนายพลเทพกำลังร่วมกันกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่คนตายอยู่ด้วยกัน
“แม่อุ่น ป้าอิ่มขา อโหสิกรรมให้คุณแม่ด้วยนะคะ”
สองพ่อลูกกรวดน้ำจนเสร็จ แล้วก็ลุกขึ้น นายพลเทพโอบบ่ามัทนา ไอศูรย์เดินเข้ามาหา
“ขอโทษนะครับที่มาช้า แต่คุณแม่...” ไอศูรย์ไม่อยากพูดต่อ
นายพลเทพแค่นหัวเราะด้วยความเศร้าใจ)
“ลุงเข้าใจพ่อต้น แล้วลุงก็ต้องขอบใจพ่อต้นด้วย ที่พ่อต้นไม่นึกรังเกียจคนบ้านเทพบริบาลเหมือนอย่างคนอื่น ก็อย่างว่าละนะ..คนบ้านนี้ มีชีวิตเบื้องหน้าสวยงาม แต่มีความลับที่สกปรกซ่อนอยู่เบื้องหลัง ก็สมแล้วละที่จะถูกตัดขาดจากสังคม”
“แต่ผมคิดว่า..เราควรจะแยกแยะ ไม่ควรเหมารวมไปเสียทั้งหมด แล้วอีกอย่าง ผมก็เป็นหมอ ที่ไหนมีคนเจ็บ ผมก็ต้องไป”
“งั้นก็ไปเยี่ยมคนเจ็บกันค่ะคุณหมอ” มัทนาชวน
นายพลเทพพยักหน้า
ตรงทางเดินในบ้านเทพบริบาล สินเดินผ่านมาบริเวณนั้น พบมัทนา ไอศูรย์ และนายพลเทพ กำลังจะเดินไปเยี่ยมบุปผา สินยกมือไหว้ไอศูรย์
“สวัสดีครับคุณหมอ”
“นายสินเดินและพูดได้ดีขึ้นมากแล้วนะ”
“ก็เพราะคุณหมอ ท่านนายพล แล้วก็คุณหนูละครับ ที่เมตตารักษาตัวผม..จนผมกลับมามีชีวิตใหม่ได้อย่างนี้อีกครั้ง บุญคุณครั้งนี้ชดใช้จนวันตายก็ไม่มีวันหมดครับ”
“คนเจ็บเป็นยังไงบ้าง” ไอศูรย์ถาม
สินส่ายหน้า ทั้งหมดเดินเข้าไปในห้อง
เวลาเดียวกันนั้นผกากับมุกมาเยี่ยมบุปผา ที่ห้องพักเก่าของสิน
“บุปผา วันนี้แม่เอาขนมปลากริมไข่เต่าที่แกชอบมาฝาก”
บุปผาอยู่ในสภาพทรุดโทรมสุดขีด เนื้อตัวพุพองอย่างน่ารังเกียจ
“ขอบคุณแม่กับพี่มุกมากนะจ๊ะที่มาเยี่ยมฉัน ไม่รังเกียจฉันอย่างคนอื่นๆ”
“แม่เคยบอกแกแล้วใช่ไม๊ คนอาชีพอย่างเรา มันก็มีแต่พวกเรานี่แหละที่จะเข้าใจกัน”
มัทนา ไอศูรย์ นายพลเทพ และสินตามเข้ามา บุปผาเห็นก็ยิ้มทักเนื้อยๆ มัทนาเข้าไปนั่งใกล้ๆ บุปผาอย่างไม่รังเกียจ
“วันนี้บุปผาเป็นยังไงบ้างจ๊ะ รู้สึกดีขึ้นไม๊”
บุปผาหัวเราะสมเพชตัวเอง “รอดตายมาจากถูกยิงได้ แต่บุปผาก็กำลังจะตายเพราะโรคร้าย น่าสมเพชไม๊ละคะ”
“ไม่เลยจ้ะบุปผา”
“ขอฉันตรวจอาการเธอหน่อยนะบุปผา”
ทุกคนถอยห่างออกมาให้ไอศูรย์เข้าไปดูอาการบุปผา บุปผามองไอศูรย์แล้วน้ำตาริน
“ถ้าบุปผาเป็นอะไรไป หมออโหสิกรรมให้บุปผาได้ไม๊คะ”
“ฉันอโหสิให้เธอมานานแล้วบุปผา ฉันเข้าใจในสิ่งที่เธอทำทุกอย่างฉันไม่ถือโทษโกรธเธอหรอก”
“พี่และคุณพ่อก็ไม่ถือโทษโกรธบุปผาเหมือนกันจ้ะ”
บุปผาหันไปมองผกาและมุก น้ำตารื้น ซาบซึ้งใจที่สองคนนี้มาช่วยดูแลอย่างไม่รังเกียจ ผกากับมุกก็พยักหน้าให้บุปผา เป็นเชิงบอกว่าไม่ถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด บุปผายิ้มแล้วหันไปหาสิน แล้วยกมือไหว้
“พี่สิน อโหสิกรรมให้กับคนใกล้ตายอย่างฉันนะ”
สินถอนใจเฮือกใหญ่ “ทีแรกฉันก็ทำใจอโหสิกรรมให้แกไม่ได้เหมือนกัน แต่พอมาถึงตอนนี้ ฉันก็รู้แล้วว่า..จะโกรธเกลียดเคียดแค้นกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา ทั้งฉัน ทั้งแก ควรใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ให้มีประโยชน์มากที่สุด..จะดีกว่า”
บุปผายกมือไหว้ทุกคนอย่างซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณจ้ะ ขอบคุณทุกคน
แล้วโดยที่ไม่มีใครคาดคิด บุปผาก็คว้ามีดที่ซุกเอาไว้ใต้หมอนจะเอาขึ้นมา
ทุกคนตะลึงร้องลั่น “บุปผา”
“ต่อจากนี้..บุปผาคงจะตายตาหลับแล้ว”
ว่าแล้วบุปผาก็ตวัดมีดจะปาดคอตัวเอง ไอศูรย์พุ่งเข้าไปปัดมือบุปผาเอาไว้ได้ทันท่วงที
“ทำไมบุปผาทำอย่างนี้” มัทนาไม่เข้าใจ
บุปผาแค่นหัวเราะ “แต่ถึงบุปผาจะยังไม่ตายวันนี้ ก็ต้องตายในอีกไม่กี่วันนี่แล้ว และคนอย่างอีบุปผา เมื่อตั้งใจจะทำอะไรแล้ว ก็ต้องทำให้ถึงที่สุด”
ทุกคนมองอย่างงงๆ ไม่เข้าใจว่าบุปผาพูดหมายถึงอะไร แล้วทุกคนก็เข้าใจ เมื่อเห็นจู่ๆ บุปผาก็เกิดอาการตาค้าง สะอึกๆ อีก 2-3 ครั้ง มือแบออก อะไรบางอย่างตกลงจากมือบุปผา เป็นขวดยาพิษของตาเถา ที่บุปผาเคยใช้มาหลายครั้งแล้ว
ผกาเก็บขวดนั้นขึ้นมา “โธ่..บุปผา”
ไอศูรย์รีบตรวจดูอาการบุปผา
“อย่าพยายามช่วยบุปผาเลยค่ะหมอ คุณหมอก็รู้ฤทธิ์ของยาขวดนี้ดี” บุปผาน้ำตารินไหล เริ่มพูดไม่ไหวแล้ว “บุปผา..ขอลา..ทุกคน”
บุปผาจะไหว้ลาทุกคน แต่ยกมือไม่ขึ้นแล้ว มือค้างอยู่กลางอากาศแล้วก็ตกแผละข้างตัว
ไอศูรย์จับชีพแล้วส่ายหน้า มัทนา ผกา และมุกร้องไห้กันระงม บุปผาที่ยังลืมตาค้างอยู่ นายพลเทพเดินเข้าไปเอื้อมมือปิดเปลือกตาให้ลูกสาว
บุปผาสิ้นใจตายแล้ว
วันต่อมาไอศูรย์เดินกลับเข้ามาในบ้าน คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมรีบเดินเข้ามาหา
“แม่ไม่เจอหน้าพ่อต้นเสียหลายวัน ได้ยินคนเขาเล่าลือกันว่า..แม่บุปผาตายซะแล้ว จริงเหรอพ่อต้น”
“จริงครับคุณแม่ ผมต้องขอโทษด้วยครับคุณแม่ที่ไม่ได้บอก เห็นคุณแม่ไม่อยากฟังเรื่องของคนบ้านเทพบริบาล ผมพูดทีไร คุณแม่เดินหนีทุกที”
แจ่มจันทร์ทำหน้าเบื่อๆ “ก็คนบ้านนั้นใจคอเราะร้าย แม่ไม่นึกเลยว่าคุณหญิงมณีจะทำเรื่องเลวร้ายได้ขนาดนั้น ต่อหน้า..ดูเป็นผู้ดี ธรรมะธัมโม แต่เบื้องหลัง ถึงกับฆ่าคนได้ แม่สร้อยคนสนิทนั่นก็เหมือนกัน”
สร้อยติดคุกอยู่ แสงแวะมาเยี่ยม
“คุณหญิงเป็นยังไงบ้างไอ้แสง”
แสงส่ายหัว หน้าตาสร้อยเศร้าสลดหันหน้าเข้าฝาไป แสงถอนใจ ลุกขึ้นยืนมองดูแม่อย่างเป็นทุกข์ เพชรเข้ามา
“ฉันเสียใจด้วยนะแสง แต่ข้อหาฆ่าคนตายน่ะ อายุความมันหลายปี ป้าสร้อยคงต้องชดใช้กรรมที่ทำอีกนานละ ส่วนแกน่ะโชคดีเท่าไหร่แล้ว..ที่ในที่สุดแกก็หลุดพ้นจากข้อหาฆ่ากำพลมาได้”
“ถ้าผมติดคุกแทนแม่ได้ ผมก็อยากจะทำครับคุณเพชร”
“กรรมใดใครก่อน คนๆ นั้นต้องชดใช้ ไม่มีใครชดใช้กรรมแทนใครได้หรอกนายแสง”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ยืนยันกับลูก ให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับมัทนา
“แม่ก็เลยไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย และแม่ก็ไม่อยากให้ต้นยุ่งเกี่ยวกับคนบ้านนั้นเหมือนกัน ต้นตัดใจจากหนูมัทเสียเถอะนะ”
“ไม่ครับ ถ้าชาตินี้ผมไม่ได้แต่งงานกับน้องมัท ผมก็จะอยู่อย่างนี้ไปจนตายครับแม่” ไอศูรย์เดินออกไป
แจ่มจันทร์จะร้องไห้ “ทำไมพ่อต้นรักปักใจอย่างนี้นะโฉม แล้วฉันจะทำยังไงดี”
“อโหสิกรรมไงคะคุณหญิง” โฉมว่า
คุณหญิงแจ่มจันทร์มองหน้าโฉมแล้วอึ้งไป
ฟากเพชรเดินหน้าตาเหนื่อยล้าเข้าบ้านมา เจอพลอยนั่งเศร้าซึมอยู่ในห้องรับแขก
“เป็นอะไรยายพลอย”
“พลอยมานั่งทบทวนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นน่ะค่ะพี่เพชร โดยเฉพาะเรื่องของบุปผา มันทำให้พลอยได้คิด”
“ได้คิดว่ายังไง”
“ของอะไรที่ไม่ใช่ของเรา ต่อให้ยื้อแย่งมาด้วยวิธีไหนเราก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของมันได้ พี่ต้นไม่เคยสนใจพลอย เขารักและมีตามองแต่ยายมัทคนเดียวมาตั้งแต่แรก พลอยเลยคิดจะตัดใจจากพี่ต้นค่ะ พลอยว่า..พี่ต้นก็ควรจะตัดใจจากยายมัทเหมือนกันนะคะ”
เพชรพยักหน้ารับอย่างหงอยๆ แล้วโอบบ่าพลอยไว้อย่างรักใคร่ สองพี่น้องมองหน้าแล้วยิ้มให้แก่กัน
เช้าวันต่อมาไอศูรย์กำลังสวมแหวนหมั้นให้มัทนา บรรยากาศในบ้านเทพบริบาลเต็มไปด้วยความสุขสมและชื่นมื่น
“ผมต้องขอบคุณคุณหญิงแจ่มจันทร์มากนะครับ ที่ยอมให้พ่อต้นมาหมั้นยายมัท” นายพลเทพเอ่ยขึ้น
“ดิฉันแพ้ใจลูกค่ะท่านนายพล ที่สุดของชีวิตจิตใจของคนที่เป็นแม่ ไม่อยากเห็นอะไรมากไปกว่าความสุขของลูกค่ะ เพราะคิดได้อย่างนี้..ดิฉันเลยเข้าใจในสิ่งที่คุณหญิงมณีทำลงไป ดิฉันเข้าใจในเหตุผลของเธอ เพียงแต่เธอเลือกใช้วิธีที่ผิด” แจ่มจันทร์ทอดถอนใจ “ตอนนี้คุณหญิงมณีเป็นยังไงบ้างคะ”
นายพลเทพถอนใจ
อีกมุมหนึ่งในสวนบ้านเทพบริบาล คุณหญิงมณี ที่บัดนี้ไม่ได้แต่งหน้าทำผม ใส่ชุดขาวทั้งตัว นั่งพิงต้นไม้ใหญ่อยู่ ขณะที่ไอศูรย์ มัทนา นายพลเทพ คุณหญิงแจ่มจันทร์ และโฉม เดินตรงเข้าไปหาคุณหญิงมณี คุณหญิงมณีนัยน์ตาเหม่อลอย พูดงึมงำอยู่คนเดียว
“ไม่มีใครทำร้ายลูกมัทของแม่ได้อีกแล้ว...ไม่มีใคร”
แจ่มจันทร์เห็นแล้วเวทนา “โธ่..คุณหญิงมณี”
คุณหญิงมณีหัวเราะแล้วร้องไห้สลับกันไปมา อย่างคนที่ควบคุมสติไม่ได้ มัทนาร้องไห้ด้วยความสงสารแม่ แล้วเดินเข้าไปหา คุกเข่าลงตรงหน้า แล้วจับมือทั้งสองข้างของแม่ให้ประสานกัน
“คุณแม่ขา..พยายามทำใจให้นิ่งๆ นะคะ แล้วนับลมหายใจอย่างที่คุณป้าชไมแนะนำ”
นายพลเทพเดินเข้าไปหาบ้าง
“จำได้ไม๊คุณหญิง คุณชไมบอกให้นับลมหายใจยังไง” คุณหญิงมณีมองนายพลเทพแว่บเดียว แล้วหันกลับมามองแต่มัทนา เพราะจำมัทนาได้เพียงคนเดียว
“ลูกมัท ไม่มีใครทำร้ายหนูอีกแล้วนะลูก”
“ไม่เอาค่ะ ไม่คิดเรื่องอื่นนะคะคุณแม่ คิดแต่ลมหายใจเข้า..ออก..เข้า..ออก..”
นายพลเทพช่วยนับ คุณหญิงมณีเริ่มทำตามที่มัทนาบอกอาการจึงค่อยๆ สงบลง คุณหญิงแจ่มจันทร์ถึงกับร้องไห้ แล้วกอดไอศูรย์ ไอศูรย์ลูบหลังคุณหญิงแจ่มจันทร์ปลอบใจ มัทนาก็เหลือบมามองไอศูรย์ ทั้งคู่สบตากัน
หลายวันต่อมา พระพุทธรูปสูงใหญ่ที่ยืนตระหง่านอยู่กลางพุทธมณฑล แลเห็นไอศูรย์กับมัทนากำลังยืนมองดูองค์พระอย่างชื่นชมในความงามเข้มขลัง
“คุณแม่ตั้งใจทำงานบุญ...จัดงานฉลองกึ่งพุทธกาล สร้างพระพุทธมณฑลแห่งนี้มาเป็นปีๆ มัทก็หวังว่าบุญกุศลที่ท่านทำในคราวนี้จะช่วยให้ท่านอาการดีขึ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีความสุขตามอัตภาพน่ะค่ะ”
“พี่ก็หวังว่าอย่างนั้นเหมือนกันครับน้องมัท”
“ความจริง...ถ้าคุณแม่ท่านรับฟังคำทำนายอย่างมีสติ เรื่องเลวร้ายทั้งหมดก็คงจะไม่กลายเป็นไฟที่หวนกลับมาเผาผลาญใจคุณแม่อย่างทุกวันนี้นะคะ” มัทนาคิดขึ้นมาแล้วเศร้า
“คำทำนายน่ะมีไว้ก็เพื่อเตือนให้เรามีสติเมื่อพบปัญหา นอกจากการมีสติแล้ว ถ้าเรายึดมั่นอยู่ในศีลในธรรม ไม่คิดร้ายกับคนอื่น ไม่อยากมีอยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของ-ของเรา ชีวิตเราก็จะสงบและร่มเย็นครับน้องมัท” หมอหนุ่มว่า
มัทนาพยักหน้าเห็นด้วย แล้วสองหนุ่มสาวก็ก้มลงกราบองค์พระอย่างนอบน้อมบูชา ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
จบบริบูรณ์
โปรดติดตาม "นักสู้มหากาฬ" เร็วๆ นี้