ไฟหวน ตอนที่ 12
ค่ำคืนนั้น คุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมต่างมีสีหน้าตกใจเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านเทพบริบาล
“ตายจริงพ่อต้น! มีเรื่องอย่างนี้ด้วยเหรอนี่พ่อต้น ท่านนายพลก็ดูเป็นคนรักลูกรักเมียดีแท้ๆ ไม่นึกเลยว่าจะไปมีเมียซุก เมียซ่อน จนมีลูกนอกสมรสขึ้นมาอีกคนอย่างนี้น่ะ”
“นั่นสิคะ แล้วอย่างนี้คุณหญิงมณีท่านจะรับได้หรือคะ” โฉมว่า
“จะรับได้ หรือรับไม่ได้ แต่ก็คงต้องทำใจให้รับให้ได้ในที่สุดละครับ เพราะยังไงตอนนี้...ท่านนายพลก็ประกาศให้คนในบ้านรับรู้ว่าบุปผาเป็นคนของ ‘เทพบริบาล’ คนหนึ่งไปแล้ว” ไอศูรย์บอก
ไม่ต่างจากเพ็ญซึ่งอยู่ที่หอโคมแดง ก็ออกอาการตาโตด้วยความตื่นเต้น
“บุปผาเป็นลูกสาวนายพลเทพ มันเป็นยังงี้ได้ยังไงกันคะคุณผกา”
“ไม่น่าเชื่อ แต่มันก็เป็นไปแล้วละเพ็ญ ท่านนายพลยังมีหมอที่โรงพยาบาลที่นครปฐมเป็นพยานช่วยยืนยันได้อีกคน...ว่าฉันขอเด็กมาเลี้ยง หลังจากที่ป้าอิ่มเสียสติวิ่งหนีออกจาโรงพยาบาลไปในคืนนั้น” ผกาบอก
“จู่ๆ...อีกาก็กลายเป็นหงส์..ง่ายๆ อย่างนี้เอง” เพ็ญอึ้งไม่น้อย
“มันเป็นเรื่องของบุญ กรรม และวาสนาน่ะเพ็ญ ที่ผ่านมา บุปผามันคงมีกรรมเก่ามาก เลยต้องมาเป็นผู้หญิงขายตัวอย่างนี้ พอกรรมเก่าหมด ถึงได้เสวยบุญ กลาย เป็นคุณหนูตระกูลใหญ่ แต่ต่อจากนี้ไปหากบุปผามันสร้างกรรมใหม่ขึ้นใหม่ มันก็คงต้องชดใช้ในสักวันนั่นละ ไม่มีใครหนีกรรมที่ตัวเองทำพ้นสักคนหรอกเพ็ญ”
เพ็ญพยักหน้า เห็นด้วย
เวลาเดียวกัน สวิง ทับทิม และคนอื่นๆ ในครัว ก็ตั้งวงสนทนาเรื่องเดียวกัน
“โอย..ลมจะใส่ นังบุปผาเนี่ยนะ เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่งของท่านนายพล โอย” สวิงเปิดประเด็น
“เฮ้ย..ต่อไปแกจะเรียกเขาว่า...นังบุปผาไม่ได้แล้วนะ ต้องเรียกเขาว่า..คุณบุปผา” ทับทิมบอก
“เออ..จริงๆ คุณบุปผา คุณบุปผา เรียกๆ ไป เดี๋ยวก็คงคล่องปากไปเองแหละนะ แต่คนที่เห็นจะเรียกคล่องปากยากกว่าใครน่าจะเป็น...” สวิงพูดทิ้งท้ายเป็นนัย ทุกคนรับรู้ตรงกันว่าจะเป็นใครไม่ได้
นอกจากสร้อย! ที่เวลานี้ พยายามทำหน้าเรียบเฉยที่สุดเมื่อรับคำสั่งจากนายพลเทพ
“สร้อย ดูแลจัดห้องให้คุณบุปผาใหม่ทีนะ”
“ค่ะท่าน”
“เดี๋ยวมัทพาบุปผาเดินดูห้องก่อนดีกว่าค่ะคุณพ่อ ชอบห้องไหนก็ค่อยให้จัดห้องนั้นเป็นห้องใหม่ของบุปผา” มัทนาหันมาพูดกับบุปผา “ดีไม๊จ๊ะ”
บุปผายิ้มหน้าซื่อตาใส “ขอบคุณค่ะคุณหนู”
“ไม่ๆ ต่อไปบุปผาต้องเรียกพี่...ว่าพี่มัทนะ”
“ค่ะพี่มัท”
“แล้วก็เรียกพ่อ...ว่าพ่อด้วยนะ”
บุปผามองนายพลเทพ นิ่งไปสักครู่ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้น แล้วกราบแทบเท้านายพลเทพ เงยหน้าขึ้นพูดคำที่หล่อนโหยหามาตลอดชีวิตออกมา
“ค่ะคุณพ่อ”
นายพลเทพปลาบปลื้มใจมาก คว้าตัวบุปผามากอดแน่น
“บุญรักษานะลูกนะ พ่อเสียใจจริงๆ ที่ลูกต้องตกระกำลำบากมาตั้งแต่วันที่ลืมตาดูโลก วันที่พ่อเห็นบ้านแม่อุ่นไหม้วอดวายไปทั้งหลัง”
สร้อยอยู่ตรงนี้ด้วย ทำหน้าส่อพิรุธ เพราะเธอเป็นคนเผาบ้านนั้นเอง
“พ่อเข้าใจว่าพ่อสูญเสียไปหมดแล้วทั้งแม่อุ่นและลูก กว่าจะรู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ก็ผ่านมาหลายปี แต่จากนี้ไป...พ่อจะให้ลูกได้มีชีวิตอย่างสุขสบาย ให้สมฐานะคุณหนูของตระกูลเทพบริบาลเลยทีเดียว”
บุปผากราบนายพลเทพอีกครั้ง ท่านนายพลกอดบุปผา แล้วคว้าเอามัทนามากอดอีกคนสร้อยลอบทำท่าจะอ้วกใส่บุปผาแต่ไม่ให้ใครเห็น เพราะรับไม่ได้กับสถานะใหม่ของคู่ปรับ ส่วนบุปผาตาเป็นประกายอย่างมีความสุข
นายพลเทพเดินกลับมาที่ห้องนอน พบคุณหญิงมณีกำลังหอบเครื่องนอนจะเอามาโยนใส่หน้าสามี นายพลเทพมองด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“อย่าได้ทำในสิ่งที่คิดอยู่เชียวนะคุณหญิง”
“แต่ดิฉันทนขยะแขยงคุณไม่ได้ อยู่ที่สูงดีๆ ไม่ชอบ กลับชอบลงจากที่สูงไปเกลือกกลั้วกับอาจม จนมีกลิ่นติดตัวกลับมาทำให้ขายหน้าในภายหลังจนได้” พูดจบมณีทำท่าจะขว้างเครื่องนอนใส่หน้านายพลเทพ
“ถ้าคุณให้ผมไปนอนที่อื่น ผมก็จะไปนอนที่อื่น…ตลอดไป”
เจอคำขู่นี้เข้าคุณหญิงมณีเลยนิ่ง กลัวเสียผัวไปอย่างถาวร นายพลเทพเห็นอย่างนั้นเลยคว้าเครื่องนอนจากมือคุณหญิงแล้วเดินเข้าไปในห้อง
คุณหญิงมณีได้แต่ยืนกำมือแน่น แทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความแค้นใจสุดขีด
ส่วนมัทนาพาบุปผาเดินดูห้องต่างๆ ในบ้าน โดยมีสร้อยเดินตาม
“บุปผาไม่เคยรู้เลยนะคะว่า บนตึกนี่มีห้องมากมายขนาดนี้ ความจริงก็อยู่กันไม่กี่คน ทำไมถึงได้มีห้องนอนหลายห้องนักละคะคุณหนู” มัทนาหันมามองจิกตาดุ “เอ้อ...พี่มัท”
มัทนายิ้มออก “ก็มีเอาไว้เผื่อสำหรับเวลาที่มีเพื่อนฝูง ญาติหรือแขกมาค้างคืนน่ะจ้ะ” พูดแล้วหญิงสาวแสนดีก็รู้สึกขำๆ “แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาพักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะคุณแม่ไม่ชอบให้ใครขึ้นมายุ่มย่ามบนนี้ ตกลงบุปผาชอบห้องไหนจ๊ะ”
บุปผาทำหน้ายุ่ง เหมือนยังไม่ถูกใจ แล้วก็มองเห็นประตูห้องหนึ่งปิดอยู่
“นั่นห้องใครคะ”
“ห้องพี่เองจ้ะ”
มัทนาเดินไปเปิดประตูห้องให้บุปผามองเข้าไป บุปผากวาดตามองเข้าไปในห้องนอนของมัทนา เห็นเป็นห้องนอนที่หรูหรา สวยงาม น่าอยู่ สมฐานะคุณหนูแห่งตระกูลเทพบริบาล
บุปผายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ สีหน้าครุ่นคิดคิดบางอย่าง
วันรุ่งขึ้นคุณหญิงมณีเดินออกมาจากห้องนอนตัวเองแล้วชะงักเมื่อห็นสร้อย สวิง และไสว กำลังขนข้าวของออกมาจากห้องมัทนากันอย่างโกลาหล คุณหญิงมณีสงสัย
“นั่นจะขนข้าวของยายมัทไปไหนกัน” แล้วเดินเข้าไปดูของ “ของยังใหม่ๆ ดีๆ อยู่เลยนี่ ยายมัทจะเอาไปบริจาคแล้วเหรอ”
สร้อย สวิง และไสวต่างอึกอัก มัทนาเดินถือของตามออกมาจากในห้อง
“ไม่ได้จะเอาไปบริจาคหรอกค่ะคุณแม่ มัทแค่จะย้ายห้องเท่านั้นเอง”
มณีตกใจระคนแปลกใจ “ย้าย! ย้ายทำไม”
“บุปผาเขาชอบห้องนี้น่ะค่ะคุณแม่ มัทก็เลยยกห้องให้บุปผา ส่วนมัทจะย้ายไปอยู่ห้องเล็กข้างๆ นี้น่ะค่ะ” เด็กสาวแสนดีบอก
“ไม่ได้นะ ห้องนี้แม่สั่งช่างเขาทำเป็นห้องให้หนูโดยเฉพาะเลยนะลูก”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณแม่ ในเมื่อน้องเขาชอบ มัทก็ยินดีที่จะยกห้องนี้ให้แก่น้องค่ะ คุณแม่ขา บุปผาเขาลำบากมามากแล้วนะคะ มัทอยากให้เขาได้อยู่อย่างสุขสบายเสียที มัทขอตัวก่อนนะคะคุณแม่”
ว่าแล้วมัทนาก็ช่วยกันกับพวกคนใช้ย้ายข้าวของต่อ สร้อยยังรีรอมองคุณหญิงมณีอยู่เมื่อเห็นคุณหญิงมณียังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม
“อีบุปผา! อีคางคกขึ้นวอ”
คุณหญิงมณีคำรามออกมาอย่างคับแค้นใจ จนเลือดกำเดาไหลซึมออกมา
สร้อยตกใจ “อุ๊ย..คุณหญิง” รีบวางของแล้วถลาเข้ามาดู
คุณหญิงมณีเอามือแตะที่ปลายจมูก แล้วเห็นเลือดติดปลายนิ้วตัวเอง
“ทั้งเครียด ทั้งแค้นน่ะนังสร้อย แต่แกไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะไม่ยอมตายจนกว่าจะได้เห็นอีบุปผามันหายนะด้วยตาฉันเองเสียก่อน”
“ไม่ว่าคุณหญิงคิดจะทำอะไร สร้อยช่วยเต็มที่ค่ะ เพราะสร้อยไม่มีวันลืมว่า..ที่ไอ้แสงต้องกระเด็นออกไปจากที่นี่ ก็เพราะอีบุปผาคนเดียว”
นายใจชั่วกับบ่าวใจอำมหิตผู้สอพลอ ต่างสะสมความแค้นที่มีต่อบุปผาไว้เช่นกัน
ส่วนบุปผากำลังเดินกรีดกรายอย่างอารมณ์ดีอยู่ในห้องสิน
“ไอ้สินเอ๊ย ฉันไม่นึกเลยนะว่าบุญจะหล่นทับฉันอย่างนี้ จากอีบุปผา ดาราคาตัวแพงแห่งหอโคมแดง จู่ๆก็ได้กลายมาเป็นคุณหนูคนใหม่ของตระกูลเทพบริบาล ส่วนแก” บุปผาตบหัวสินเบาๆ คล้ายเอ็นดู “แกก็ได้กลายเป็นพี่ชายบุญธรรมของฉัน” พูดแล้วก็นึกขำ “ฉันไปละนะ ฉันจะต้องไปเก็บของ ย้ายขึ้นไปอยู่บนตึกใหญ่แล้ว”
แล้วบุปผาก็เดินนวยนาดหัวเราะชอบใจออกไป
“เป็น..ไปได้..ยัง..ไง”
สินงวยงง ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่นานต่อมาบุปผากระโดดขึ้นไปนอนแผ่หลาบนเตียงเก่าของมัทนาแล้วหัวเราะอย่างมีความสุขที่ได้ครอบครองสิ่งที่เคยเป็นของมัทนาสาสมใจ อย่างน้อยก็ห้องนี้เป็นอันดับแรก สักครู่มีเสียงเคาะประตู
บุปผาบอกเสียงเข้ม “เข้ามาได้”
พอเห็นเป็นมัทนากับนายพลเทพเปิดประตูเข้ามา บุปผารีบทำท่าเรียบร้อยทันควัน
“เป็นไงจ๊ะบุปผา จัดของเสร็จรึยัง”
“บุปผาไม่มีของอะไรจะให้จัดมากหรอกค่ะพี่มัท เด็กบ้านนอกอย่างบุปผาไม่มีสมบัติอะไร นอกจากเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้น”
“เออ...จริง” นายพลเทพมีสีหน้าครุ่นคิด “ลูกมัท งั้นพ่อคงต้องขอแรงให้ลูกช่วยอะไรหน่อยแล้ว”
บุปผากับมัทนามองหน้านายพลเทพอย่างสงสัย
ขณะเดียวกันไอศูรย์อยู่ที่โรงพยาบาลกำลังตรวจดูแผลพุพองตามตัวตาเถา แล้วสั่งงานพยาบาล
“เอายาทาที่แผลคนไข้บ่อยๆ อย่าปล่อยให้ผิวคนไข้แห้งอย่างเด็ดขาดนะ”
พยาบาลรับคำ แล้วถอยออกไป เพชรซึ่งอยู่ด้วยขยับเข้ามาหาไอศูรย์
“เมื่อไหร่คนไข้ของผมจะฟื้นครับพี่ต้น ผมจะต้องสอบปากคำเขา”
“คงอีกพักใหญ่ละเพชร เพราะพี่ต้องให้ยาเพื่อบรรเทาอาการปวดแก่เขาตลอดเวลาก่อน โดนน้ำมันเดือดลวกมาแบบนี้ มันเจ็บมากนะเพชร”
เพชรออกอาการหงุดหงิด “แล้วนายหลงละครับ ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง หวังว่าพี่ต้นจะไม่ปล่อยมันหนีหายไปจากโรงพยาบาลอีกเป็นครั้งที่สองนะครับ”
ไอศูรย์ถอนใจเหนื่อยใจที่ถูกเพชรแดกดัน และกดดันอยู่ตลอดเวลา
ไอศูรย์พาเพชรมาดูอาการหลง เห็นหลงนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่อาละวาด หรือหวาดกลัวจนสติแตกอย่างเคยแล้ว
หมอปรีชาเอ่ยขึ้น “หมอให้ยาแล้ว ก็เลยสงบลงได้ แต่แกถูกมอมยามานานจนสมองเสียหายไปมาก คงจะให้การอะไรไม่ค่อยได้หรอกครับ”
เพชรยิ่งหงุดหงิดใหญ่ ไอศูรย์มองอย่างเห็นใจเลยตบบ่าเพชรเพื่อปลอบใจ แต่เพชรกลับปัดมือไอศูรย์ออกอย่างไม่ใยดี แล้วเดินออกไปโดยไม่มองหน้าใครเลย
ไอศูรย์ถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม
ด้านกำพลมานั่งรอเพชรอยู่ในบ้าน ในใจคิดถึงรสสวาทของบุปผาไม่หาย ภาพจำครั้งเก่าผุดขึ้นในห้วงคิด ตอนที่บุปผาเอาผ้าผูกปิดตากำพลแล้วเอาน้ำผึ้งหยุดบนตัว
“แล้วบุปผาจะหยดน้ำผึ้งทำไม”
บุปผายิ้มพราย “ก็บุปผาอยากให้คุณกำพลเป็นผู้ชายตัวหวานนะสิคะ”
ภาพนั้นเลือนหายไป กำพลพึมพำอย่างถวิลหา
“ไม่มีใครเหมือนเธอจริงๆ บุปผา”
จังหวะนี้เพชรเดินหงุดหงิดกลับเข้าบ้านมา
“อ้าว..กำพล มารอนานแล้วเหรอ
“พักหนึ่งแล้ว” พลางยกขวดเหล้านอกชั้นดีให้เพชรดู “ฉันเอานี่มาฝาก พ่อฉันเพิ่งได้มา”
เพชรยิ้มเนือยๆ “ขอบใจๆ”
ฟากสองสาวอยู่หน้าร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง ในย่านขายสินค้าของพระนคร
มัทนาพบบุปผามาซื้อเสื้อผ้า เครื่องประดับ บุปผาใส่เสื้อผ้ามัทนามาช้อปปิ้ง
“โชคดีจริงที่บุปผาใส่เสื้อพี่ได้พอดีเลย แต่บุปผาก็ควรจะมีเสื้อผ้าของตัวเองอย่างที่ชอบ คุณพ่อให้เงินพี่มาเยอะเลยนะ ให้พี่พาบุปผามาซื้อเสื้อผ้า ข้าวของเครื่องใช้ใหม่ทั้งหมด วันนี้เราสองพี่น้องคงได้ซื้อของสนุกกันทั้งวันละ”
ว่าแล้วมัทนาก็เดินโอบบ่าบุปผาเข้าไปในร้าน
มัทนากุลีกุจอพาบุปผาเข้ามาเลือกซื้อเสื้อผ้า บุปผาเลือกอย่างเมามันมาก
เสร็จจากร้านเสื้อผ้ามัทนาพาบุปผามาซื้อรองเท้าและกระเป๋าหรู
จากนั้นมัทนาพาบุปผามาซื้อเครื่องสำอาง เห็นถุงข้าวของพะรุงพะรังไปหมด
ช้อปปิ้งเสร็จสมใจ มัทนาพาบุปผามานั่งกินข้าวในร้านอาหารและร้านไอศกรีม ร้านประจำ
“พี่มาทานอาหารที่ร้านนี้กับพี่ต้นบ่อยๆ เพราะร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่อง...” มัทนาบอกชื่ออาหารสุดโปรดของไอศูรย์ “อร่อยมาก พี่ต้นชอบมาก”
บุปผาตาลุกวาว จดจำข้อมูลเกี่ยวกับไอศูรย์ไว้ จังหวะนี้พลอยกับเพื่อนสาว 2 คนเดินเข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นมัทนากับบุปผานั่งอยู่ในร้านก่อนแล้ว
“เอ๊ะ..นั่นยายมัทนี่ ไม่ได้มากับว่าที่คู่หมั้นรูปหล่อ แต่มากับใครก็ไม่รู้” เพื่อนคนแรกว่า
เพื่อนอีกคนจำได้ เพราะเคยเจอที่บ้านเทพบริบาล “หน้าคุ้นๆ นะ”
พลอยไม่มัวคิดสงสัย เดินตรงไปที่มัทนาทันที มัทนาเห็นพลอยกับเพื่อนมาก็ยิ้มดีใจ
“พลอย มาทานข้าวเหรอ นั่งด้วยกันไม๊”
พลอยไม่ตอบ แต่มองบุปผาเขม็ง บุปผาทำหน้าใสซื่อ ยกมือไหว้พลอยและเพื่อนอย่างอ่อนน้อม
“อ้อ..นี่บุปผา” มัทนาแนะนำ
พลอยสวนขึ้นทันที “นี่มันคนใช้บ้านเธอนี่”
มัทนาพูดช้าๆ เน้นคำ ปกป้องบุปผาเต็มที่ “บุปผาเป็นน้องสาวฉัน”
ทางด้านเพชรซึ่งนั่งดื่ม กิน เหล้าอยู่กับกำพลที่บ้าน แต่แทบสำลักเหล้าออกมาเมื่อพลอยมาเล่าเรื่องบุปผาให้ฟัง
“น้องสาว! น้องมัทมีน้องสาวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ยายพลอย”
“เป็นลูกต่างแม่ค่ะพี่เพชร ที่บ้านนั้นก็เพิ่งทราบเรื่องเหมือนกัน”
“คุณหญิงแม่ของน้องมัทคงยังช็อคไม่หาย” เพชรบอก
กำพลมีสีหน้าสงสัย “น้องพลอยบอกว่า..น้องสาวต่างแม่ของน้องมัทนา ชื่ออะไรนะครับ”
“บุปผาค่ะ แม่นั่น..ชื่อบุปผา”
สีหน้ากำพลตกตะลึง ภาพจำตอนที่บุปผาหลอกให้กำพลสอนขับรถมาจนถึงบ้านเทพบริบาล ผุดขึ้นในหัวแว่บหนึ่ง
ภาพนั้นเลือนหาย กำพลมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะเดียวกันมัทนาพาบุปผาแวะมาที่บ้านไอศูรย์เพื่อรับตัวอิ่ม บุปผากำลังยกมือไหว้คุณหญิงแจ่มจันทร์อย่างอ่อนน้อม แจ่มจันทร์รับไหว้ตีหน้าไม่ถูก
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” แล้วเสไปพูดกับมัทนา “หนูมัทจะรับแม่อิ่มไปวันนี้เลยใช่ไม๊จ๊ะ นี่พ่อต้นก็รีบกลับมาจากโรงพยาบาลมาคอยส่งแม่อิ่มน่ะ”
มัทนายิ้มให้ไอศูรย์แล้วหันไปตอบคุณหญิงแจ่มจันทร์
“ค่ะคุณป้า ป้าอิ่มเป็นป้าแท้ๆ ของบุปผา คุณพ่อก็เลยอยากให้ป้าหลานได้ไปอยู่ด้วยกันเร็วที่สุดน่ะค่ะ”
“เอ้อ..อยู่ดีๆ ท่านนายพลก็มีลูกสาวเพิ่มมาอีกหนึ่งคน มีพี่เมียเพิ่มมาอีกหนึ่งคน บ้านคงอบอุ่นดีพิลึกละ” คุณหญิงหันไปเห็นอิ่มพอดี “เอ้า..แม่อิ่ม เขามารับตัวแล้ว เก็บข้าวของเสร็จรึยังล่ะ”
อิ่มไม่ตอบ แต่เอากระเป๋าเดินทางใบเล็กนิดเดียวขึ้นมาวางให้คุณหญิงแจ่มจันทร์ดู ประมาณว่า..พร้อมจะไปนานแล้ว แล้วอิ่มก็หันไปยิ้มกับบุปผา
ไอศูรย์เดินมาส่งทุกคนขึ้นรถ
“แล้วพี่จะไปหาที่บ้านนะน้องมัท”
“งั้นมัทไปก่อนนะคะพี่ต้น”
มัทนากับบุปผาไหว้ลา ไอศูรย์รับไหว้ แล้วยืนดูทั้งหมดขึ้นรถนั่งออกไป
ไอศูรย์ยืนส่งผู้หญิงทั้งสามคนขึ้นรถออกไปนั้น อยู่ในสายตาของคุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมทั้งหมด คุณหญิงแจ่มจันทร์ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
“ฉันหวังว่า...แม่บุปผานั่น คงจะเป็นคนดีนะโฉม ไม่อย่างนั้น..บ้านเทพบริบาลคงได้ลุกเป็นไฟแน่”
โฉมพยักหน้าเออออไปด้วย
รถแล่นพามัทนา บุปผา และอิ่ม กลับมาที่บ้านเทพบริบาล รถเลี้ยวเข้าบ้านไป โดยมีรถของกำพลที่จอดซุ่มดูอยู่ที่หน้าบ้าน กำพลจ้องมองคนในรถเขม็ง และเห็นบุปผานั่งอยู่ในรถกับมัทนา และอิ่ม
กำพลจำนางโลมยอดชีวันได้แม่น
“ใช่บุปผาจริงๆ” กำพลสมใจ “เธอหนีฉันไม่พ้นแล้วบุปผา”
กำพลยิ้มร้ายออกมาอย่างสาสมใจ
อิ่มมองห้องพักที่เรือนคนใช้หลังตึกใหญ่อย่างพอใจ แล้วพูดกับมัทนา
“ป้าเป็นคนบ้านนอก อย่าให้ป้าขึ้นไปอยู่บนตึกเลย ได้อยู่ห้องเก่าของบุปผานี่..ป้าก็พอใจแล้ว”
“แต่...” มัทนาพูดไม่จบ ถูกบุปผาขัดขึ้น
“ตามใจป้าอิ่มแกเถอะค่ะพี่มัท ถ้าแกสบายใจที่จะอยู่ที่นี่มากกว่าบนตึก ก็ให้แกอยู่ที่นี่เถอะค่ะ”
มัทนาจำยอม “เอ้า...ก็ได้จ้ะ แต่ถ้าป้าอิ่มขาดเหลืออะไรก็บอกมัทได้เลยนะจ๊ะ”
อิ่มพยักหน้า แล้วมัทนากับบุปผาก็ออกไป อิ่มกวาดตามองรอบห้องอีกครั้ง พอใจแล้วกับห้องนี้ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นสร้อยเดินผ่านไป อิ่มมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาทันที
“นังสร้อย” อิ่มนิ่งไปสักพัก แล้วคิดอะไรได้ “นังอุ่น นังสร้อยมันฆ่าแกไปคนหนึ่งแล้ว แต่ฉันจะไม่ยอมให้มันทำร้ายลูกแกได้อีกครั้งหรอก ฉันจะคอยดูแลปกป้องลูกแกเอง”
อิ่มมองตามสร้อยไปอย่างอาฆาตแค้น
ด้านนายพลเทพกำลังดูรูปอุ่นในมุมหนึ่ง แล้วยิ้มออกมาทั้งน้ำตา
“อุ่นเอ๊ย ในที่สุดฉันก็หาลูกเราพบแล้ว...ฉันสัญญานะว่า ฉันจะทำทุกอย่างให้ลูกเรามีความสุข เพื่อชดเชยกับที่ฉันไม่ได้อุ้มชูเลี้ยงดูเขามาก่อน เธอหมดห่วงได้แล้วนะอุ่นนะ”
ส่วนมัทนากับบุปผาเดินมาที่ห้อง สร้อยกับสวิงช่วยกันหิ้วถุงของพะรุงพะรังมาด้วย
“บุปผาต้องขอบคุณพี่มัทมากนะคะ...ที่ดูแลบุปผาทั้งวันเลย พี่มัทไปพักเถอะค่ะ เดี๋ยวข้าวของพวกนี้ บุปผาจัดการต่อเองค่ะ”
“ให้หวิงกับสร้อยช่วยรื้อออกจากถุงก็ได้จ้ะ เสื้อใหม่จะได้ให้เขาเอาลงไปซักเสียเลย”
“ค่ะ”
มัทนาออกไป บุปผาหันไปมองสร้อยกับสวิงที่ยังอยู่รอรับใช้อย่างเสียไม่ได้ บุปผาออกลายทันที
“เกลียดฉันกันนักเหรอ ช่วยไม่ได้นะ ก็นี่แหละที่โบราณเขาว่า..แข่งเรือแข่งพายน่ะแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาน่ะ มันแข่งกันไม่ได้ เมื่อวานฉันยังเป็นลูกไล่พวกแกอยู่ในครัวอยู่เลย แต่วันนี้...ฉันกลายเป็นคุณหนูที่พวกแกต้องคอยรับใช้เสียแล้ว” บุปผาหัวเราะชอบใจ “นังหวิง ขอน้ำเย็นฉันกินสักแก้วสิ”
สวิงมีสีหน้าแค้นใจ จำใจออกไปเอาน้ำ บุปผาเดินไปรื้อเสื้อผ้าใหม่ออกจากถุง แล้วเขวี้ยงเสื้อใหม่ใส่หน้าสร้อยอย่างแรงโดยสร้อยไม่ทันตั้งตัว
“เอาไปซัก”
สร้อยโมโหปรี๊ดแตก “อีบุปผา”
บุปผาหันมามอง แล้วลอยหน้าใส่สร้อย “โอ๊ะ เรียกใครไอ้อีกันจ๊ะนังสร้อย? แกลืมไปแล้วเหรอว่าตอนนี้แกต้องเรียกฉันว่า...คุณหนู”
“ฉันไม่มีวันเรียกแกว่าคุณหนูหรอก คุณหนูแห่งตระกูลเทพบริบาลมีคนเดียวคือคุณหนูมัทนา! ส่วนแกน่ะ..โตมาจากข้างถนน สักวัน...แกก็ต้องกลับไปอยู่ข้างถนนอย่างเดิม”
บุปผาโมโห เดินเข้าไปด่าใส่หน้าสร้อย
“ไม่มีวันเสียหรอก ถ้าจะมีใครต้องไปอยู่ข้างถนนละก็ มันต้องเป็นแก ไม่ใช่ฉัน ฉันทำให้ลูกชายแกกระเด็นออกจากบ้านนี้ไปได้คนหนึ่งแล้ว ทำไมฉันจะทำให้แกกระเด็นออกจากบ้านนี้ไปอีกคนไม่ได้”
บุปผามองสร้อยอย่างเย้ยหยันและเป็นต่อ สร้อยแค้นใจสุดๆ คว้าเสื้อใหม่ของบุปผาแล้วเดินปังๆ ออกไป บุปผามองตามอย่างสะใจ
สร้อยเดินหงุดหงิดอารมณ์เสียเข้ามาตรงริมรั้ว
“อีนี่มันงูพิษจริงๆ เผลอทีไรมันแว้งกัดทีนั้นสิน่า”
แล้วสร้อยก็ชะงักเมื่อเห็นแสงมาชะเง้อเรียกอยู่ที่ริมรั้วบริเวณใกล้ๆ
“แม่..แม่”
“ไอ้แสง” สร้อยรีบเดินไปหา “อ้าว..นั่นหน้าแก..ไปโดนอะไรมาล่ะ”
แสงจับแผลเป็นที่หน้าตัวเอง “ฝีมืออีบุปผาน่ะสิแม่”
“ฮึ่ย! อีนี่อีกแล้ว”
“มันทำอะไรแม่เรอะ”
สร้อยฮึดฮัดอารมณ์เสีย
แสงตกใจพอฟังแม่เล่าจบ
“อีนังบุปผากาลีเนี่ยนะเป็นลูกท่านนายพล จะเป็นไปได้ยังไงกันแม่”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วละไอ้แสง ตอนนี้มันก็เลยนั่งชูคอเป็นคุณหนูอยู่ในบ้าน แถมมันยังยึดห้องคุณหนูมัทนาเป็นห้องของมันอีกด้วยนะ คุณหนูมัทนาก็เลยต้องย้ายไปอยู่ห้องเล็ก แล้วมันยังขู่แม่ด้วยนะว่ามันจะทำให้แม่ต้องกระเด็นออกจากบ้านนี้ไปเหมือนอย่างแก”
“ฮึ่ย อีนี่มันร้ายจริงๆ อย่าให้ฉันเจอมันนะ ฉันจะกรีดหน้ามัน จะทำให้หน้ามันบากยิ่งกว่าหน้าฉันอีก”
หลังจากนั้นไม่นานแสงเดินลูบแผลเป็นที่หน้าเข้ามาหยุดหน้าบ่อนแห่งหนึ่ง
“อีตัวแสบ” แล้วหยุดที่หน้าทางเข้าบ่อน
“ไง..แสง หายหน้าไปนานเชียวนะแก วันนี้แกจะเสี่ยงโชคไม๊ล่ะ” นักเลงคุมบ่อนถามอย่างคุ้นเคยกัน
แสงพยักหน้า แล้วเดินเข้าบ่อนไป
ตกกลางคืนคุณหญิงมณีกับสร้อยกำลังกระซิบกระซาบคุยหารือเรื่องชั่วช้ากันอยู่
“จะเอายังไงดีคะคุณหญิง ยาของตาเถาชุดสุดท้ายนี่จวนจะหมดแล้วล่ะค่ะ ถ้ามันหมดแล้ว เราจะไปเอาใหม่จากไหนกันดีคะ เพราะสภาพของตาเถาที่สร้อยไปเห็นที่โรงพยาบาลมา ถ้าไม่ตายก็ต้องพิการแล้วล่ะค่ะ”
“ตอนนี้เรื่องยาท่านนายพลกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้วละนังสร้อย ฉันมีเรื่องใหญ่กว่านั้นที่จะต้องคิด”
คุณหญิงมณีโบกมือไล่สร้อย พอสร้อยออกไป แล้วทันใดนั้นบุปผาก็เดินออกมาจากมุมมืดที่คุณหญิงมณีไม่ทันได้สังเกตมาก่อน แล้วบุปผาก็ประกาศตัวพูดเย้ยคุณหญิงขึ้นมา
“โถ “คุณหญิงแม่” ขา...อุตส่าห์วางยาท่านนายพล..เอ๊ย..คุณพ่อ..ให้เป็นหมัน แต่พระไม่เข้าข้างคนผิด คุณหญิงแม่ก็เลยต้องมีลูกเลี้ยงชื่อ “บุปผา” จนได้ สงสัยยาจะไม่ได้ผลนะคะ”
แล้วบุปผาก็เดินหัวเราะเยาะคุณหญิงมณี โดยเดินเฉียดแทบจะกระแทกคุณหญิงออกไป
คุณหญิงมณีทนไม่ไหว วิ่งตามบุปผาไป
ไฟหวน ตอนที่ 12 (ต่อ)
คุณหญิงมณีพุ่งตามมาเงื้อมือขึ้นหมายจะตบบุปผา แต่บุปผาไม่กลัว หันกลับไปจับข้อมือคุณหญิงมณีไว้แน่นไม่ให้ตบได้ จ้องตาอย่างไม่หวั่นเกรง แล้วก็ผลักคุณหญิงมณีออกไปเต็มแรง
คุณหญิงมณีเซล้มลง และยิ่งโมโห ลุกขึ้นจะพุ่งเข้ามาตบให้ได้ บุปผาเห็นจากหางตาว่านายพลเทพเดินมาแต่ไกลๆ ก็คิดอะไรได้ รีบทรุดลงนั่งกับพื้น ยกมือไหว้คุณหญิงมณีปลกๆ แล้วร้องเสียงดัง
“คุณหญิงอย่าทำอะไรบุปผาเลยค่ะ บุปผากลัวแล้ว”
คุณหญิงมณีงง เพราะยังไม่ทันได้ตบบุปผาเลยสักฉาด บุปผาแอบยิ้มร้าย แล้วกัดมุมปากตัวเองอย่างแรง จนเลือดไหลซึมออกมา
บุปผายังไหว้คุณหญิงมณีปลกๆ
“บุปผากลัวแล้วค่ะคุณหญิง..บุปผากลัวแล้ว”
นายพลเทพวิ่งถลันเข้ามา มัทนาก็วิ่งเข้ามาสมทบด้วย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น คุณหญิงตบบุปผาทำไม”
“ฉันยังไม่ได้ตบมันเลยนะ”
บุปผาแสร้งเอามือเช็ดเลือดที่มุมปาก แล้วทำเป็นแบมือดูเลือดที่เปื้อนมือ
พอนายพลเทพเห็นเลือดที่มือบุปผา ก็เข้าใจว่าคุณหญิงมณีตบตีบุปผาไปแล้ว
“ถ้าคุณหญิงยังไม่ได้ตบบุปผา แล้วบุปผาจะปากแตกได้ยังไง”
คุณหญิงมณีแค้นหนัก “อีนี่มันตอแหล คนตอแหลอย่างนี้ มันก็ต้องโดนตบจริงๆ”
ว่าแล้วคุณหญิงมณีก็พุ่งเข้าไปตบตีบุปผาจริงๆ บุปผาทำเป็นไม่สู้ ยอมให้คุณหญิงมณีตบตีเอาฝ่ายเดียว นายพลเทพทนไม่ไหว พุ่งเข้าไปคว้าตัวคุณหญิงมณีแล้วเหวี่ยงออกไปให้ห่างบุปผา คุณหญิงมณีถึงกับเสียหลักเซไปชนเหลี่ยมตู้
“โอ๊ย”
“คุณแม่” มัทนาวิ่งเข้าไปดูแม่ “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ”
คุณหญิงมณีเอามือแตะแผล เห็นเลือดที่หัวแตกก็ยิ่งโมโห
“เดี๋ยวนี้คุณกล้าทำร้ายดิฉัน เพื่อจะปกป้องอีลูกเมียน้อยนี่แล้วใช่ไม๊”
คุณหญิงมณีลุกขึ้นแล้วพุ่งเข้าไปตบตีนายพลเทพ พร้อมกับระเบิดอารมณ์ใส่
“ฉันเกลียดคุณ! ฉันเกลียดคุณ”
นายพลเทพผลักคุณหญิงมณีออกไป แล้วพูดเสียงเข้มใส่หน้า
“อย่าให้ผมเกลียดคุณเข้าบ้างก็แล้วกัน”
พูดจบนายพลเทพก็เดินผละไปประคองบุปผา แล้วพาเดินออกไป บุปผาแอบหันมามองคุณหญิงมณี เห็นมัทนาไม่ทันมองเพราะมัวแต่ห่วงอาการแม่อยู่ บุปผาเลยทำหน้าเย้ยหยันใส่อย่างสะใจ คุณหญิงมณีเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งแค้นใจ ร้องกรี๊ดๆๆ ออกมาด้วยความแค้นใจ มัทนาตกใจเข้าไปดูแม่ใกล้ๆ เห็นเลือดกำเดาไหลก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก
“คุณแม่”
มัทนาประคองผู้เป็นมารดาไว้ คุณหญิงมณีหายใจแรง ตาขุ่นขวาง มองตามหลังนายพลเทพกับบุปผาไปอย่างเคียดแค้นสุดขีด
นายพลเทพพาบุปผามาที่มุมหนึ่ง แล้วแตะที่มุมปากบุปผาเช็ดเลือดให้
“พ่อขอโทษบุปผาแทนคุณหญิงเขาด้วยนะ พ่อไม่นึกเลยว่าเขาจะเป็นคนอารมณ์ร้ายขนาดนี้”
“บุปผาเข้าใจท่านค่ะ บุปผาไม่ถือโทษโกรธท่านหรอกค่ะ”
นายพลเทพกอดบุปผาไว้แล้วถอนใจใหญ่
“ถ้าเรื่องนี้จะมีใครผิด ก็ต้องเป็นพ่อนี่แหละที่ผิด พ่อเลือกคนผิด”
นายพลเทพหน้าเศร้า แต่บุปผามีสีหน้าสะใจที่นายพลเทพเข้าข้างหล่อน
ฝ่ายมัทนากำลังทำแผลให้มารดาอยู่ คุณหญิงมณีไม่พูดอะไรสักคำ แต่น้ำตาไหลพราก
“เจ็บมากไม๊คะคุณแม่”
“แม่ไม่ได้เจ็บแผลหรอกลูก เจ็บที่หัวใจนี่มากกว่า”
คุณหญิงมณีเอามือทุบที่หัวใจตัวเองอย่างเจ็บแค้น
“ตลอดเวลาที่แต่งงานกันมา แม่ซื่อสัตย์กับพ่อเขามาตลอด ไม่เคยออกนอกลู่นอกทางสักครั้ง แต่มัทดูพ่อเขาสิลูก นอกจากเขาจะไม่ซื่อสัตย์กับแม่แล้ว เขายังสับเพร่าปล่อยให้มีลูกนอกสมรสออกมาให้เราต้องขายหน้าคนในสังคมอีกด้วย นี่ถ้าคนอื่นเขารู้เรื่องนี้กันมากๆ เข้า แม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
“คุณแม่ขา...สิ่งที่คุณพ่อทำไว้ในอดีต มันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดที่คุณพ่อถอยกลับไปแก้ไขไม่ได้แล้ว คุณแม่ยกโทษให้คุณพ่อเถอะนะคะ แล้วมัทก็...”
มัทนาทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้นแล้วกราบที่ตักคุณหญิงมณี
“กราบขอความกรุณาคุณแม่ อย่าโกรธ อย่าเกลียดบุปผาไปด้วยเลยนะคะ เพราะบุปผาไม่ได้รู้เรื่องอะไรที่คุณพ่อทำไว้ในอดีตเลย ยังไงๆ บุปผาก็เป็นลูกของคุณพ่อคนหนึ่ง”
คุณหญิงสวนคำออกมาทันที “ไม่ คุณพ่อต้องมีมัทเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น” เสียงเริ่มดังขึ้น “มัทได้ยินไม๊ คุณพ่อต้องมีมัทเป็นลูกคนเดียวเท่านั้น”
คุณหญิงมณีคั่งแค้นใจแทบคลั่ง
ในขณะที่มัทนามองแม่อย่างไม่เข้าใจเลย สีหน้าแววตากลุ้มหนัก
สองคนอยู่อีกมุมในบ้าน อิ่มดูแผลที่มุมปากบุปผาอย่างเป็นห่วง
“คุณหญิงทำกับบุปผาขนาดนี้เชียวเหรอ”
บุปผาแสร้งทำหน้าเศร้าให้น่าสงสาร “ก็บุปผาเป็นแค่ลูกนอกสมรสนี่จ๊ะ เขาเป็นถึงคุณหญิง บุปผาจะไปต่อตีอะไรกับเขาได้ละจ๊ะป้า”
อิ่มมีสีหน้าแค้นใจ เผลอพึมพำ “ส่งคนไปฆ่าแม่ยังไม่พอ ตอนนี้ยังทำร้ายลูกอีก ชาตินี้อีนังคุณหญิงนี่มันคงไม่ตายดีแน่”
บุปผาด้ยินไม่ถนัดหู มองอย่างสงสัย “ป้าอิ่มพูดอะไรจ๊ะ”
อิ่มชะงัก นึกถึงตอนที่รับปากกับนายพลเทพ ซึ่งพูดขอร้องหลังรู้ว่าสร้อยฆ่าอุ่น
“นังสร้อยน่ะเรอะ..ฆ่าแม่อุ่น”
อิ่มพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ “ดิฉันเห็นมาด้วยสองตาของดิฉันเอง ไม่ผิดล่ะค่ะท่าน”
“ฉันขอให้เธอเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับได้ไม๊”
และอีกประโยค “อิ่ม..ที่ฉันขอแบบนี้ ใช่ว่าฉันไม่ใยดีแม่อุ่นนะ แต่เรื่องมันผ่านไปนานแล้ว หลักฐานอะไรก็ไม่มี มีแต่คำบอกเล่าจากปากเธอเพียงคนเดียวเท่านั้น และเวลานี้ฉันก็มีคนที่ฉันจะต้องใส่ใจในความรู้สึกของเขา นั่นก็คือลูก”
“อิ่มลองคิดดูสิว่าถ้ายายมัทรู้ว่า...แม่ของเขา อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าคนตาย ยายมัทจะรู้สึกยังไง”
ภาพและคำพูดเลือนหายไป อิ่มตัดบท
“ช่างเถอะ”
แต่บุปผายังมองอิ่มอย่างสงสัยไม่หาย
จากนั้นอิ่มเดินเลี่ยงออกมาคนเดียว
“ฮึ..เพราะเห็นแก่ที่ท่านนายพลขอไว้กับเห็นแก่คุณหนูมัทนาคนดีหรอกนะ ไม่อย่างนั้น..ฉันจะแฉความเลวของพวกแกให้คนเขารู้ไปทั่วแน่ๆ อีคุณหญิง”
คุณหญิงมณีกับสร้อย คุยกันอยู่มุมหนึ่งในบ้านเทพบริบาล สร้อยตกอกตกใจเมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน
“ท่านนายพลกล้าทำอย่างนั้นกับคุณหญิงเลยหรือคะ นี่มันเกิดขึ้นเพราะอีบุปผาคนเดียวเลย ไม่อย่างนั้นท่านนายพลก็คงจะไม่เปลี่ยนไปถึงขนาดนี้นะคะ”
“ใช่”
“แต่คุณหญิงจะนอนที่ห้องคุณหนูมัทนาอย่างเมื่อคืนอีกไม่ได้นะคะ” สร้อยท้วงขึ้น
“ทำไม”
“ก็แม่ของสร้อยเคยบอกว่า...ผัวกันเมียทะเลาะกัน ถ้าแยกเตียงกันเมื่อไหร่ มักจะไม่ได้กลับมานอนเตียงเดียวกันอีกน่ะสิคะ”
คุณหญิงมณีสีหน้าไม่สบายใจ
ทุกคนกำลังทำงานอยู่ในครัว อิ่มค่อยๆ เดินเข้ามา
“มีอะไรให้ฉันทำบ้างไม๊จ๊ะ”
“อูย..ป้าอิ่มเป็นถึงป้าคุณหนูบุปผา จะมาทำงานในครัวได้ยังไงกันจ๊ะ” ทับทิมว่า
“แต่ถ้าไม่ให้ฉันทำอะไรบ้าง ฉันคงบ้าตายแน่” อิ่มบอก
“อ้าว...ก็ไหนใครเคยเล่าว่าป้าอิ่มเคยบ้าอยู่พักหนึ่งไม่ใช่เหรอ”
ทับทิมเอ็ดเอา “นังหวิง”
สวิงหน้าเจื่อนไป สร้อยเข้ามา พอเห็นอิ่มก็นึกถึงบุปผา เลยพาลหมั่นไส้
“ความจริงเคยบ้าไปแล้ว ก็น่าจะบ้าไปให้ตลอดเลยนะ ดันกลับมามีสติสตัง มายืนยันว่าหลานตัวเองเป็นลูกท่านนายพลได้อีกนะ”
“พระคงเข้าข้างฉันน่ะ ถึงให้ฉันกลับมามีสติ เพื่อทวงความยุติธรรมให้หลานสาวฉันได้ในที่สุด และถ้ามีโอกาส ฉันก็จะทวงความยุติธรรมให้น้องสาวฉันด้วยเหมือนกัน”
อิ่มมองหน้าสร้อยอย่างแค้นๆ สร้อยงง รู้สึกว่าอิ่มพูดแปลกหู
ขณะที่อิ่มเดินมา แต่แล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นสร้อยเดินมาดักหน้าไว้ สร้อยมองหน้าอิ่มอย่างคลางแคลงใจ
“เมื่อกี้..ที่แกพูด มันหมายความว่ายังไง..ที่ว่าจะทวงความยุติธรรมให้น้องสาวแกด้วยน่ะ”
“ฉันก็หมายความอย่างที่พูดน่ะสิ”
อิ่มพยายามจะเดินหนี แต่สร้อยดักหน้าไว้ไม่ให้ไป
“แต่ฉันไม่เข้าใจ”
อิ่มมองหน้าสร้อยนิ่งๆ พูดเน้นคำ “แต่ฉันว่า...แก-เข้า-ใจ”
สร้อยอึ้ง ยอมเปิดทางให้อิ่มเดินไป สร้อยเหลียวมองตามอิ่ม สีหน้าหวาดระแวง
สร้อยเอาเรื่องอิ่มมารายงานคุณหญิงมณี
“คุณหญิงเจ้าขา นังอิ่มมันพูดอย่างงี้ สร้อยว่ามันแปลกๆ นะคะ” แล้วเปลี่ยนเป็นกระซิบ “หรือว่ามันจะรู้ว่าคุณหญิงส่งสร้อยไปฆ่านังอุ่นกับลูกมันคะ”
คุณหญิงพูดตอบเสียงเบา “มันจะรู้ได้ยังไง ก็แกบอกเองว่าคืนนั้นไม่มีใครเห็นแกไม่ใช่เหรอ”
“ก็ไม่มีใครเห็นจริงๆ นี่คะคุณหญิง ตอนนั้นมีแต่สร้อยกับไอ้เพิ่มแค่สองคนเท่านั้น”
“งั้นมันก็อาจจะแกล้งพูดลวงให้แกระแวงก็ได้ ยิ่งมันพูดอย่างนี้ แกก็ต้องระวังตัว ระวังปากเอาไว้ให้ดี อย่าเผลอ หลุดอะไรออกมาให้มันจับได้ล่ะ ถ้าความแตกละก็...แกติดคุกหัวโตข้อหาฆ่าคนตายเชียวนะนังสร้อย”
“คนอย่างอีสร้อย..ไม่มียอมติดคุกหรอกค่ะคุณหญิง ถ้าอีอิ่มมันรู้เรื่องจริงแล้วคิดจะแฉสร้อยละก็ สร้อยไม่เอามันไว้แน่ค่ะ ว่าแต่..เรื่องนังบุปผา คุณหญิงจะเอายังไงต่อคะ”
“รอก่อน แต่ฉันจะต้องส่งมันไปหาแม่มันเร็วๆ นี้ละ”
สีหน้าแววตาของคุณหญิงมณียามนี้เหี้ยมเกรียมและอำมหิตมากๆ
ผกากำลังจะเดินออกจากหอโคมแดง แอบกระซิบสั่งเพ็ญไว้
“ฉันจะออกไปพบบุปผาหน่อย เดี๋ยวบ่ายๆ กลับนะ”
“ค่ะ คุณผกา”
ผกาเดินออกไป มุกมองตามด้วยสีหน้าสงสัยและอยากรู้มากว่าผกาจะไปไหน ตัดสินใจตามผกาไปโดยที่ผกาไม่รู้ตัว
ไม่นานหลังจากนั้นผกาเดินมาตรงจุดนัดพบกับบุปผาในสวนสาธารณะ โดยไม่รู้ว่ามุกแอบติดตามมา พอมุกเห็นบุปผามารออยู่ก่อนแล้วก็ตาโต
“แม่นัดเจอกับอีบุปผาจริงๆ ด้วย”
มุกพยายามตามเข้าไปซุ่มอยู่ที่หลังพุ่มไม้ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะใกล้ได้ แล้วแอบฟัง
“บุปผาแต่งตัวสวยจริง สวยสมกับที่เป็นคุณหนูแห่งตระกูลเทพบริบาลเลย” ผกาว่า
มุกตื่นตะลึง
“เทพบริบาล นี่อีบุปผามันเข้าไปอยู่ที่บ้านเทพบริบาลเหรอเนี่ย แล้วมันไปเป็นคุณหนูที่นั่นได้ยังไงกันวะ”
มุกพยายามจะเข้าไปฟังให้ใกล้มากขึ้น แต่ดันพลาดเหยียบอะไรบางอย่างเข้าจนเกิดเสียงดัง
บุปผาลุกพรวดไปดูทันทีด้วยความระแวง มุกรีบคลานหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
ที่หลังพุ่มไม้ บุปผาไม่เห็นใคร ก็ได้แต่แปลกใจครามครัน
มุกคลานหนีมาจนเหนื่อยหอบ แล้วเจ็บใจตัวเอง
“ฮึ่ย! ซุ่มซ่ามจริงอีมุก” พร้อมกับเขกหัวตัวเอง “กำลังจะได้เรื่องอยู่แล้วเชียวแก! แต่เอาเถอะ...อย่างน้อย...ตอนนี้ฉันก็มีข้อมูลไปบอกคุณกำพลแล้วว่าอีบุปผามันย้ายไปอยู่ที่ไหน คราวนี้ละ คุณกำพลจะต้องให้เงินหมื่นหนึ่งกับฉันเสียที”
กำพลออกอาการฉุนเฉียวใส่มุกที่มาหา หวังจะเอาเงิน
“ฉันไม่ให้”
“อ้าว...ไม่ให้ได้ยังไงกันคะ ก็คุณกำพลสัญญากับมุกแล้วนี่นาว่าถ้ามุกสืบได้ว่านังบุปผามันไปอยู่ที่ไหน คุณกำพลจะให้เงินมุกหมื่นนึงน่ะ”
มุกแบมือแล้วกระดิกๆ นิ้วขอเงิน
“ให้มาซะดีๆ ค่ะ แล้วมุกจะบอกว่าตอนนี้นังบุปผามันอยู่ที่ไหน”
“อยู่บ้านเทพบริบาล” กำพลบอก
มุกเหวอ “อ้าว..รู้ได้ไง”
“ไม่ใช่แค่รู้ แต่ฉันเห็นมากับตาตัวเองเลย” กำพลผลักไสมุกอย่างไม่ปรานีปราศรัย “ไป! ออกไปไป๊”
มุกถูกเหวี่ยงออกไปมาจากในบ้าน เลยพาลโกรธบุปผา
“อี๊! อีบุปผา ฉันอดได้เงินหมื่นนึงเลย แกนี่เป็นตัวมารขวางความสุขความเจริญชีวิตฉันจริงจริ๊ง”
มุกกระทืบเท้าเร่าๆ ด้วยความเจ็บใจ
บุปผาแวะมาที่โรงพยาบาล กำลังไหว้ไอศูรย์อย่างนอบน้อม
“บุปผาอยากจะมาขอบคุณ-คุณหมอที่เมตตาบุปผามาโดยตลอดน่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรที่ฉันช่วยได้ ฉันก็ยินดีที่จะช่วยเสมอละ”
“บุปผาเลือกคนไม่ผิดจริงที่บุปผาจะมาปรึกษาด้วย”
ไอศูรย์มีสีหน้าแปลกใจ “เธออยากจะปรึกษาเรื่องอะไรเหรอ”
“เรื่องคุณหญิงมณีค่ะ”
ไอศูรย์ยิ่งแปลกใจหนัก
สองคนออกมาคุยกันที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล บุปผาชี้ให้ไอศูรย์ดูร่องรอยที่ถูกคุณหญิงมณีตบตีมาเมื่อคืน
“คุณหญิงท่านโกรธเกลียดบุปผามากค่ะที่บุปผาเป็นลูกนอกสมรสของท่านนายพล” บุปผาบีบน้ำตาร้องไห้อย่างน่าสงสาร “ท่านว่าบุปผาเป็นตัวสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูลเทพบริบาลค่ะ”
ไอศูรย์เห็นสภาพบุปผา เลยไม่พอใจ “ฮื้อ..คุณป้าท่านไม่น่าทำกับบุปผาอย่างนี้เลย บุปผาไม่ใช่ตัวต้นเหตุของเรื่องสักหน่อย เธอเลือกเกิดได้ซะที่ไหนกันล่ะ”
“บุปผาก็เลยไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี จะปรึกษาคุณหนูมัทเธอก็เป็นลูก คงพูดหรือให้คำแนะนำอะไรมากก็ไม่ได้ บุปผาก็เห็นแต่คุณหมอนี่ล่ะค่ะ..ที่คงจะเป็นที่ปรึกษาให้กับบุปผาได้ดีที่สุด”
แล้วบุปผาก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าเวทนา
“ฉันก็คงให้คำปรึกษากับเธอในตอนนี้ได้แค่ว่า..อดทนให้มากที่สุดนะบุปผา พยายามอ่อนน้อมถ่อมตนกับท่านเข้าไว้ ฉันเชื่อว่าสักวันคุณป้าก็คงจะเย็นลงได้เองน่ะ”
บุปผากราบไอศูรย์ที่อกคล้ายซาบซึ้งมาก
“ขอบพระคุณ-คุณหมอมากเลยค่ะ บุปผาจะอดทนตามที่คุณหมอบอกนะคะ”
ไอศูรย์ยิ้มให้กำลังใจ บุปผาพยายามมองไอศูรย์ด้วยสายตาหวานซึ้ง แต่พยาบาลเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
“มีคนมาขอพบคุณหมอค่ะ”
“ญาติคนไข้เหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ เธอบอกว่าชื่อคุณพลอยค่ะ”
ไอศูรย์พยักหน้ารับกับพยาบาล แล้วหันมาหาบุปผา
“ฉันขอตัวก่อนนะบุปผา” ไอศูรย์ก็เดินออกไปกับพยาบาล
บุปผาอารมณ์เสีย “ฉันมีคู่แข่งอีกคนเหรอเนี่ย”
แล้วบุปผาก็ตัดสินใจแอบตามไอศูรย์ไป
ไอศูรย์เดินออกมาหาพลอยที่ยืนคอยอยู่ บุปผาแอบตามมาดู
“พี่ต้นทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่บ้านยายมัทแล้วใช่ไม๊คะ”
“ครับ”
“แล้วพี่ต้นไม่รู้สึกอะไรเลยหรือคะ จู่ๆ คนใช้ ก็กลายมาเป็นน้องสาวต่างแม่กับยายมัท น่าเกลียดที่สุด”
บุปผา โมโหที่พลอยดูถูกหล่อน
“พี่ขอไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรเรื่องนี้ดีกว่าครับ เพราะพี่เห็นว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัวเขา” ไอศูรย์ด่าพลอยกลายๆ “เราเป็นคนนอก ไม่สมควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ถ้าน้องพลอยมาหาพี่ด้วยธุระเท่านี้ พี่ขอตัวก่อน”
ไอศูรย์เดินออกไปเลย พลอยหน้าเก้อไปเลย บุปผามองพลอยด้วยสีหน้าพอไม่ใจอย่างแรง
“แกรู้จักฉันน้อยไปแล้วอีพลอย”
พลอยเดินเซ็งจะกลับบ้าน ผิดหวังที่ไอศูรย์ไม่คุยด้วย แล้วระหว่างที่พลอยกำลังเดินหงุดหงิดๆ ลงบันไดมานั้น ก็มือใครคนหนึ่งเอื้อมมือมาจากใต้ขั้นบันได แล้วจับข้อเท้าพลอยหมับ
พลอยสะดุดหน้าคว่ำทันที กรีดร้องสุดเสียงขณะที่กลิ้งตกบันไดลงไป
ไอศูรย์กับพยาบาล ต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของพลอยเหมือนๆ กัน ไอศูรย์พุ่งไปที่พลอยทันที พยาบาลวิ่งตามไปด้วย
บุปผาเดินออกมาจากใต้ขั้นบันได มายืนมองดูพลอยที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นเชิงบันได แล้วยิ้มชอบใจ
ไอศูรย์กับพยาบาลวิ่งเข้ามา บุปผารีบฉากหลบทันที
“น้องพลอย” ไอศูรย์ร้องลั่น
คนอื่นๆ เริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ บุปผารีบฉวยจังหวะชุลมุนนั้นเดินหลบออกไปเลยด้วยสีหน้าอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
บุปผาเดินออกมาด้วยความสะใจที่แกล้งพลอยได้ ตั้งใจจะกลับบ้าน
“หวังว่าแกจะคอหักตายนะ..นังพลอย”
แล้วทันใดนั้น รถของกำพลก็พุ่งเข้ามาปาดหน้าบุปผาจนแทบจะชน บุปผาตกใจผงะถอยจนล้มลง กำพลวิ่งลงมาจากรถ แล้วฉุดแขนบุปผาไว้หมับ
“ในที่สุด..เธอก็หนีฉันไม่พ้น บุปผา”
บุปผาตะลึง “คุณกำพล”
“ขอบใจนะที่ยังจำฉันได้”
แล้วกำพลก็ฉุดแขนบุปผาให้ขึ้นรถไป
“คุณกำพลจะพาบุปผาไปไหน”
“ไปฟื้นความทรงจำเก่าของเรากันไง”
บุปผาเห็นท่าไม่ดี สะบัดแขนสุดแรง จนหลุดจากกำพล แล้วออกวิ่งหนี
“ฤทธิ์มากจริงเว้ย”
กำพลวิ่งตามจนทันบุปผา ดึงแขนบุปผาไว้อีก บุปผาดิ้นสู้ กำพลตัดสินใจชกเข้าที่ท้องเต็มแรง บุปผาทรุดลงทันที กำพลจัดการอุ้มบุปผาขึ้นรถ แล้วขับออกไป
บุปผาสลบไสลไม่ได้สติ
ส่วนที่บ้านเทพบริบาล คุณหญิงแจ่มจันทร์มาเยี่ยมคุณหญิงมณี ถามไถ่เรื่องราวที่ได้ยินมา
“ดิฉันทราบเรื่องจากพ่อต้นแล้วค่ะคุณหญิง ดิฉันเห็นใจคุณหญิงจริงๆ ที่เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น”
คุณหญิงมณีหน้าเครียด “ขอบคุณค่ะคุณหญิง”
“เอาเถอะค่ะ อย่าไปคิดถึงเรื่องนั้นเลยนะคะ เรามาคิดเรื่องมงคลกันดีกว่าค่ะ ดิฉันจะให้คุณชไมหาฤกษ์หมั้นระหว่างพ่อต้นกับหนูมัทที่เร็วที่สุดให้ บางที ข่าวมงคล จะกลบข่าวลูกนอกสมรสของท่านนายพลได้บ้างนะคะ”
คุณหญิงมณีมีสีหน้าดีขึ้น “ก็ดีค่ะ เพราะถ้ามีอะไรไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก อย่างน้อยดิฉันก็คงตายตาหลับว่าฝากฝังลูกมัทในมือคนที่ดีที่สุดแล้ว”
ไอศูรย์กำลังดูอาการพลอยอยู่ในห้อง เพชรวิ่งเข้ามา
“ยายพลอยตกบันไดได้ยังไงพี่ต้น”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกันเพชร ตอนที่ไปถึง น้องพลอยก็ไม่ได้สติอย่างนี้แล้ว”
“แล้วอาการยายพลอยเป็นยังไงบ้าง”
“ซี่โครงร้าวหนึ่งซี่ แล้วก็คงต้องรอให้น้องพลอยฟื้นเสียก่อน ถึงจะรู้ว่ามีอาการกระทบ กระเทือนทางสมองบ้างหรือเปล่า”
เพชรใจคอไม่ดี มองพลอยที่ยังนอนนิ่งไม่ได้สติ
ด้านแสงเดินเซ็งสุดขีดออกมาจากบ่อน เสียหมดตูด
“เฮ้ย..วันนี้เล่นเสีย พรุ่งนี้ก็เล่นได้ พรุ่งนี้แกมาเล่นวัดดวงอีกสิวะ แก้มือ..แก้มือ” คนคุมบ่อนว่า
แสงส่ายหน้า “ไม่ละ วันนี้เล่นเสียจนหมดตัวแล้ว พรุ่งนี้ฉันจะเอาเงินที่ไหนมาเล่นได้อีกล่ะ”
“แต่ฉันได้ข่าวว่าตอนนี้แกไปอยู่บ้านคุณกำพลไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ แล้วไง”
“คุณกำพลน่ะรวยจะตาย แกหยิบๆ ฉวยๆ อะไรในบ้านมาสักอย่าง สองอย่าง เอาไปเข้าโรงตึ๊ง คุณกำพลไม่รู้หรอกว่ะ”
“ไม่เอาหรอก คุณกำพลน่ะมีบุญคุณกับฉัน ถ้าไม่มีเขา ป่านนี้ฉันคงยังหาที่ซุกหัวนอนไม่ได้อยู่เลย ฉันไปละ”
แสงเดินออกไปอย่างเซ็งๆ
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 12 (ต่อ)
ส่วนบุปผายังคงนอนหลับไม่ได้สติอยู่ สักครู่จึงค่อยๆ ลืมตาตื่นฟื้นขึ้นมา หล่อนเหลียวมองไปรอบๆ พบว่าตนอยู่ในห้องนอนใครบางคน
กำพลเดินเข้ามาในห้อง
“ฟื้นแล้วเหรอบุปผา เธอนี่ฤทธิ์มากไม่ใช่เล่นเลยนะ”
“ที่นี่ที่ไหนคะคุณกำพล”
“บ้านฉันเอง บุปผารู้ไม๊ว่ากว่าฉันจะตามตัวเธอจนเจอได้ ฉันแทบคลั่งขนาดไหน เธอนี่เก่งนะ จากดาราค่าตัวแพงลิบแห่งหอโคมแดง อยู่ๆ ก็กลายไปเป็นคุณหนูแห่งบ้านเทพบริบาลได้ไง ฉันงงไปหมดเลย”
บุปผาตกใจมาก “คุณกำพลรู้”
กำพลพยักหน้า
“แล้วนี่คุณกำพลจะเอายังไงกับบุปผา”
“ฉันคิดถึงบุปผานะ คิดถึงที่เราเคยสนุกด้วยกัน ฉันอยากให้เรากลับไปสนุกด้วยกันเหมือนเก่า”
แล้วกำพลก็เริ่มซุกไซ้ซอกคอบุปผา แต่ถูกบุปผาผลักออกไปสุดแรง
“ไม่”
กำพลถูกผลักจนล้มลง พอลุกขึ้นได้ก็โมโหใหญ่ พุ่งเข้าตบบุปผาผัวะ! บุปผาหน้าหัน กำพลพยายามจะปล้ำ บุปผาสู้สุดฤทธิ์ แต่ก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้ ถูกกำพลยึดข้อมือทั้งสองข้างไว้แน่นแล้วเริ่มไซ้ซอกคออีก บุปผาดิ้นจนมือข้างหนึ่งหลุดออกมาได้ คว้าขวดเหล้าที่วางอยู่หัวเตียงฟาดเข้าที่หัวกำพลสุดแรง เสียงขวดแตกดังโพล๊ะ ประสานกับเสียงร้องอย่างเจ็บปวดของกำพล
กำพลเลือดอาบ เอามือจับที่แผล เลือดติดมาเต็มมือ บุปผาตกใจมาก ไม่รู้ตัวเลยว่ายังถือขวดที่แตกเป็นปากฉลามอยู่ในมือ กำพลเองก็โมโหจนลืมตัว
“บุปผา เธอกล้าตีหัวฉันแตกเลยเหรอ”
กำพลพุ่งจะเข้าบีบคอบุปผาด้วยความโกรธ แล้วเลยพุ่งเข้าใส่ขวดที่แตกเป็นปากฉลามในมือบุปผาอย่างแรง
ทั้งบุปผาและกำพลต่างตะลึง ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจทั้งคู่ แล้วพอกำพลผงะออกจากบุปผา ก็พบว่าขวดที่แตกเป็นปากฉลามนั้น ทิ่มที่ท้องกำพลเสียแล้ว กำพลทั้งตกใจ ทั้งเจ็บปวดจนร้องไม่ออก แล้วทรุดตัวล้มลงแล้วแน่นิ่งไปเลย
บุปผาตกใจสุดขีดกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตรงหน้า หายใจแรง ทำอะไรไม่ถูกเลย
สักพักบุปผาก็เริ่มตั้งสติได้ ค่อยเดินเข้าไปดูกำพล เอานิ้วอังที่ปลายจมูก แล้วมีสีหน้าตกใจ“คุณกำพลตายแล้ว” บุปผาคิดหาทางออก “เราอยู่ที่นี่ไม่ได้”
บุปผารีบสำรวจตัวเองและข้าวของ ไม่ให้มีร่องรอยใดๆ ที่เกี่ยวกับเธอเหลืออยู่ในห้อง พอสำรวจเสร็จ บุปผาก็รีบออกจากห้องนอนกำพลทันที
ทิ้งศพกำพลนอนเหยียดยาวอยู่ที่พื้นห้อง นัยน์ตายังเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น
บุปผาเดินออกมาจากห้องนอนกำพล เหลียวซ้ายแลขวาดูว่ามีใครอยู่ในบ้านหรือไม่ เมื่อไม่พบใคร ก็เตรียมจะเปิดประตูออกไป แต่แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อมองไปที่หน้าบ้าน เห็นแสงเดินเปิดประตูเข้ามาในบ้าน
บุปผารีบฉากหลบทันที ด้วยสีหน้าตื่นกลัว
“ไอ้แสงมันมาอยู่กับคุณกำพลเหรอเนี่ย”
บุปผาพยายามคิดหาทางออก แล้วตัดสินใจถอยกลับเข้าไปในห้องนอนกำพล
แสงเดินมาที่ห้องนอนกำพล
“คุณกำพลครับ ผมเห็นรถคุณกำพลจอดอยู่ในโรง คุณกำพลกลับมาแล้วหรือครับ จะให้ผมไปซื้ออะไรมาให้ทานไม๊ครับ”
บุปผาอยู่ในห้องนอนกำพล มองศพกำพลก็ยังนอนเบิกตาโพลงอยู่ สลับกับมองไปทางประตูฟังเสียงแสงที่เดินพูดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บุปผาร้อนรนมาก
“ถ้าไอ้แสงมันเจอเรา มันต้องไม่ปล่อยเราเอาไว้แน่”
บุปผาเดินกลับไปกลับมา แล้วคิดอะไรได้
นึกถึงตอนที่กำพลกับศักดิ์ชัย กำลังยกปืนขึ้นเล็งใส่หน้าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่อย่างไม่มีใครยอมใคร
บุปผาวิ่งกลับไปค้นหาปืนของกำพลตามลิ้นชักต่างๆ จนพบปืนกำพลที่อยู่ในลิ้นชักหัวเตียง
บุปผาเอาปืนนั้นออกมาถือ มือไม้สั่นไม่เคยจับปืนมาก่อน แล้วยิ่งสะดุ้งเมื่อแสงเคาะประตูห้อง
“คุณกำพลครับ จะให้ผมออกไปซื้ออะไรมาให้ทานไม๊ครับ”
มือบุปผาที่ถือปืนยังสั่นอยู่ แล้วค่อยๆ นิ่งลงตามลำดับ สีหน้าจากตื่นตระหนกเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง แสงยังเคาะประตูอยู่
“คุณกำพลครับ”
แสงชักกังวลที่กำพลไม่ตอบเลย จึงเคาะประตูอีกครั้ง
“คุณกำพลเป็นอะไรรึเปล่าครับ”
แล้วโดยที่แสงไม่ได้คาดคิด ประตูห้องกำพลก็เปิดออกโดยไม่เห็นตัวคนเปิด แสงงง ค่อยๆเดินเข้าไปในห้อง
พอแสงเดินเข้าไปในห้อง เห็นสภาพกำพลก็ตกตะลึง
“คุณกำพล”
แสงพุ่งเข้าไปดูกำพล บุปผาเดินออกมาจากหลังประตู แสงได้ยินเสียงคนเดินข้างหลัง จะเหลียวไปดู แต่ไม่ทันเหลียว บุปผาก็ยิงเปรี้ยงเข้าให้ แสงฟุบลงทันทีโดยไม่ได้เห็นหน้าคนยิง บุปผาหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น ไม่เคยยิงคนมาก่อน จากนั้นจึงค่อยๆ เดินเข้าไปแสง เห็นแสงแน่นิ่งไป บุปผารีบเอาปืนไปยัดใส่มือขวาของกำพล ให้คล้ายกับว่ากำพลเป็นคนยิง โดยในยุคนั้นยังไม่มีระบบตรวจรอยนิ้วมืออย่างปัจจุบันนี้ แล้วบุปผาก็วิ่งไปค้นของตามลิ้นชักในห้องกำพลอีก
ของมีค่าจำนวนหนึ่งของกำพล ที่บุปผาเลือกหยิบมา ประเภทสร้อยคอทองคำ แหวน นาฬิกา เงินสดฯ
บุปผาเอาของมีค่าเหล่านั้น ยัดใส่ในกระเป๋ากางเกงทั้ง 2 ข้างของแสง
“คนต้องนึกว่าไอ้แสงมันมาขโมยของ-ของคุณกำพล แล้วคุณกำพลมาเจอเข้าเลยสู้กัน ไอ้แสงแทงคุณกำพล ส่วนคุณกำพลก็ยิงมัน”
บุปผาเดินเข้าไปตบแก้มแสงเบาๆ อย่างเยาะเย้ย
“ขอโทษทีนะไอ้แสง งานนี้แกได้กลายเป็นแพะรับบาปแทนฉันไปแล้ว”
พูดจบบุปผาก็รีบออกไปจากที่นั้นทันที แสงนอนนิ่ง เป็นหรือตายยังไม่รู้
ฟากสร้อยยังนั่งคิดติดใจในคำพูดของอิ่มอยู่ ตอนอิ่มพูดกับสร้อยเป็นนัย
“ถ้ามีโอกาส ฉันก็จะทวงความยุติธรรมให้น้องสาวฉันด้วยเหมือนกัน”
สร้อยกังวลหนัก
“อีอิ่มมันรู้ว่าเราฆ่าอีอุ่นน้องสาวมัน...หรือว่ามันไม่รู้กันแน่เนี่ย”
ฟากมัทนาเดินเร็วๆ เข้ามาในโรงพยาบาลอย่างร้อนใจ ตรงไปหาเพชรที่นั่งรอฟังผลของพลอยอยู่ที่ม้านั่ง
“พี่เพชรคะ พลอยเป็นยังไงบ้างคะ”
เพชรถือวิสาสะคว้ามือมัทนามากุมไว้
“พี่ต้นบอกว่าต้องรอให้ยายพลอยฟื้นก่อน ถึงจะรู้ว่าสมองกระทบกระเทือนหรือเปล่า ตอนนี้รู้แค่ว่าซี่โครงร้าวซี่นึง”
“โธ่..ยายพลอยเดินท่าไหนกันนะ ถึงได้พลัดตกบันไดลงมาได้”
ไอศูรย์เดินออกมาจากข้างในห้อง พอเห็นเพชรนั่งจับมือมัทนาอยู่ก็ชะงัก มัทนาไม่รู้ตัว
“พี่เพชรโทร.ไปบอกมัทค่ะ ว่ายายพลอยประสบอุบัติเหตุยายพลอยเป็นยังไงบ้างคะพี่ต้น”
“ฟื้นแล้ว”
“ผมพบได้ไม๊”
ไอศูรย์พยักหน้าให้ เพชรกับมัทนารีบเข้าไปในห้องพลอยทันที
ทุกคนมาดูอาการพลอยอย่างห่วงใย
“พลอย เป็นยังไงบ้าง”
“เจ็บ” พลอยแตะที่ชายโครง
“ก็ซี่โครงร้าวไปซี่นึงน่ะ แต่สมองไม่กระทบกระเทือนอย่างที่กลัว น้องพลอยตกบันไดได้ยังครับ”
พลอยนิ่งนึก “พลอยรู้สึกเหมือนมีใครมาจับข้อเท้าไว้ตอนพลอยเดินลงบันไดมาน่ะค่ะ พลอยก็เลยหน้าทิ่ม”
“ใครมันจะมาเล่นพิเรนทร์อย่างนั้นกัน” เพชรแปลกใจ
“นั่นสิ พี่ว่าพลอยคงเดินสะดุดอะไรมากกว่ามั้ง” ไอศูรย์ว่า
“เคราะห์ร้ายจริงพลอย”
มัทนาจับมือพลอยอย่างจะให้กำลังใจ แต่พลอยดึงมือออกอย่างหมางเมิน
“พลอยต้องนอนโรงพยาบาลไม๊คะพี่ต้น”
“นอนสักคืนก็ดี แล้วถ้าไม่มีอาการอะไรผิดปกติ พรุ่งนี้ค่อยกลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้”
“รู้ว่าสมองไม่กระทบกระเทือน พี่ก็ค่อยโล่งใจหน่อย” เพชรยิ้มออก
บุปผาเดินกลับมาบ้านเทพบริบาล ด้วยสีหน้าสงบไม่ร่าเริงอย่างเคย แล้วเดินเข้าห้องไปเลย คุณหญิงมณีกับสร้อยมองอย่างสงสัย
“มันหายไปไหนมาทั้งวันนะคะคุณหญิง”
นายพลเทพ ยืนมองดูคุณหญิงมณีกับสร้อย ที่มองบุปผาอย่างไม่เป็นมิตร นายพลเทพสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เดินไปที่โทรศัพท์ แล้วหมุนโทร.ออก
“คุณพิมานเหรอ ผมอยากให้คุณร่างพินัยกรรมใหม่ให้ผมหน่อย”
บุปผาเดินกลับเข้าห้องมานั่งลงบนเตียง สีหน้าเคร่งเครียด
“หวังว่าตำรวจจะคิดว่าคุณกำพลกับไอ้แสงมันฆ่ากันเองตายอย่างที่เราคิดไว้นะ” สีหน้าบุปผามั่นใจขึ้น “ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะสาวถึงตัวเราได้แน่”
บุปผารู้สึกสบายใจขึ้น
มัทนาลาพลอย
“ได้รู้ว่าพลอยไม่เป็นอะไรมากอย่างนี้ ฉันค่อยโล่งใจหน่อยจ้ะ งั้นวันนี้ฉันกลับก่อนนะจ๊ะพลอย”
พลอยพยักหน้ารับอย่างหมางเมินเช่นเคย
“พี่ไปส่ง”
พลอยสบตากับเพชร
“พี่ต้นอยู่เป็นเพื่อนพลอยก่อนได้ไม๊คะ”
ไอศูรย์อึกอัก เพชรรีบฉวยจังหวะ
“ผมไปส่งน้องมัทที่บ้านเอง เชิญครับน้องมัท”
มัทนาจำใจไปกับเพชร หันมาไหว้ลาว่าที่คู่หมั้น
ไอศูรย์มองตามมัทนากับเพชรไปอย่างไม่สบายใจนัก
เพชรกับมัทนานั่งมาในรถที่จอดอยู่หน้าตึกบ้านเทพบริบาลแล้ว
“น้องมัทจะหมั้นกับพี่ต้นเมื่อไหร่ครับ”
“ก็ต้องแล้วแต่ว่าคุณแม่จะได้ฤกษ์มาเมื่อไหร่น่ะค่ะ”
“ตราบใดที่น้องมัทยังไม่ได้หมั้นกับพี่ต้น พี่ก็คิดว่าพี่ยังมีโอกาสนะ”
มัทนาอึ้ง “ทำไมพี่เพชรพูดอย่างนี้คะ”
“น้องมัทเป็นคนฉลาด พี่จะไม่พูดอ้อมค้อมให้เสียเวลาน้องมัทก็รู้ว่าพี่ชอบน้องมัท ไม่ได้ชอบแบบพี่ชายกับน้องสาว และถ้าน้องมัทคิดว่าพี่ก็ไม่ใช่คนที่น่ารังเกียจอะไร ขอโอกาสให้พี่บ้างได้ไม๊”
มัทนาอึ้งไปครู่หนึ่ง “มัทให้โอกาสนั้นแก่พี่เพชรไม่ได้หรอกค่ะ”
เพชรอึ้ง
“เพราะมัทได้ให้ใจไปกับพี่ต้นหมดแล้ว”
“พี่ด้อยกว่าพี่ต้นตรงไหน”
“พี่เพชรไม่ได้ด้อยกว่าพี่ต้นเลยค่ะ แต่เรื่องของหัวใจ มันกะเกณฑ์กันไม่ได้”
เพชรนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วบอกอย่างดื้อดึง “แต่ตราบใดที่น้องมัทยังไม่หมั้นกับพี่ต้น อะไรๆ ก็ยังเปลี่ยนแปลงได้”
เพชรมองมัทนาอย่างมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้มัทนาอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง บุปผายืนดูทั้งคู่อยู่ที่มุมบ้านอย่างเงียบๆ
มัทนาเดินเข้ามา สีหน้าเหนื่อยใจ กลุ้มใจเรื่องเพชร บุปผาเดินเข้ามาหา
“ไปไหนกับคุณเพชรมาเหรอคะ”
“พี่ไปเยี่ยมพลอยที่โรงพยาบาลมาน่ะ พลอยตกบันได”
บุปผาแสร้งตกใจ “ตายจริง แล้วคุณพลอยเป็นอะไรมากรึเปล่าคะพี่มัท”
“โชคดีแค่ซี่โครงร้าวเท่านั้นล่ะจ้ะ”
บุปผาผิดหวัง นายพลเทพเดินเข้ามาหา
“พรุ่งนี้บุปผาใส่บาตรกับพ่อนะ พ่อให้คนเตรียมของใส่บาตรแล้ว แล้วก็บอกแม่อิ่มแล้วด้วย เราจะใส่บาตรให้แม่อุ่นกัน”
บุปผายิ้มดีใจ
“ให้มัทใส่บาตรด้วยคนนะคะ”
นายพลเทพยิ้มอ่อนโยน “จะไม่มีมัทได้ยังไงกันล่ะ มัทก็ลูกพ่อเหมือนกันนี่”
ทั้งสามยิ้มให้กันอย่างชื่นมื่น โดยไม่รู้ว่าคุณหญิงมณีกับสร้อยยืนมองอยู่ด้วยสีหน้าแค้นใจ
ตกตอนค่ำไอศูรย์เดินกลับเข้าบ้านมา พบคุณหญิงแจ่มจันทร์กับโฉมนั่งอยู่ในห้องโถง
“แม่ครับ ผมอยากหมั้นกับน้องมัทให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ครับ”
แจ่มจันทร์ตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือต้น”
“ผมกลัวจะเสียน้องมัทไปน่ะสิครับแม่”
แจ่มจันทร์พอเดาออก “มีคนมาวอแวกับน้องมัทล่ะสิ แต่ถ้าน้องมัทเขาไม่สนใจ ต้นก็ไม่เห็นจะต้องกังวลอะไรนี่ลูก”
ไอศูรย์พยักหน้ากลุ้มๆ “แต่ผมกลัวๆยังไงก็ไม่ทราบครับแม่ กลัวว่าจะไม่ได้หมั้น ไม่ได้แต่งกับน้องมัท มันบอกไม่ถูก”
ไอศูรย์เหมือนจะมีลางสังหรณ์บางอย่าง
อ่านต่อหน้า 4
ไฟหวน ตอนที่ 12 (ต่อ)
รุ่งเช้านายพลเทพ บุปผา และมัทนา เดินออกมาพร้อมจะใส่บาตร อิ่มเดินเข้ามาอีกทาง
“อิ่ม..มาใส่บาตรด้วยกันเร็ว” นายพลเทพทัก
อิ่มเดินมาสมทบ ทุกคนชื่นมื่น
สักครู่หนึ่งนายพลเทพเดินนำผู้หญิงทั้งสามมาที่หน้าตึกใหญ่ ทั้งหมดพบสวิงนั่งคุกเข่าก้มหน้าอยู่ที่หน้าบ้าน แต่ไม่มีโต๊ะตั้งของสำหรับใส่บาตร
“เอ้า..หวิง พระจะมาแล้ว ทำไมยังไม่ตั้งโต๊ะของใส่บาตรอีกล่ะ”
สวิงก้มหน้าตอบ อ้อมแอ้ม “ไม่ได้เตรียมของใส่บาตรไว้ค่ะ”
ท่าน
นายพลเทพเอะอะ “ได้ยังไง ก็เมื่อวานฉันสั่งด้วยตัวเองว่าให้จัดของใส่บาตรชุดใหญ่เลย ทำไมถึงไม่เตรียม”
สวิงอึกอักใหญ่ “เอ่อ...”
เสียงมณีดังขึ้น “ดิฉันสั่งยกเลิกของใส่บาตรเองแหละค่ะ”
คุณหญิงมณีเดินเข้ามากับสร้อย นายพลเทพมองคุณหญิงมณีอย่างไม่พอใจ
“ผมไม่นึกเลยนะว่าคุณหญิงจะใจจืดใจดำแม้กระทั่งกับคนที่ตายไปแล้วน่ะ รู้ไม๊ว่าคุณทำแบบนี้น่ะ..คุณบาปมากนะ”
“ถ้าดิฉันบาป แล้วคุณละคะ ผิดศีลห้า ข้อที่ว่าด้วยเรื่อง ประพฤติผิดในกาม จนมีลูกนอกสมรสออกมาประจานให้ฉาวโฉ่ จะไม่บาปไปยิ่งกว่าดิฉันรึคะ”
นายพลเทพโกรธจัด หันไปบอกบุปผา มัทนา และอิ่ม
“ทุกคนขึ้นรถ เราจะไปทำบุญที่วัดกัน”
ทั้งหมดไปขึ้นรถ ต่างฝ่ายต่างมองกันอย่างแค้นเคือง ยกเว้นมัทนาคนเดียวที่มีสีหน้าไม่สบายใจ ไม่อยากให้เกิดความบาดหมางอย่างนี้ขึ้นในครอบครัวเลย
ไม่นานนัก บุปผา มัทนา นายพลเทพ และอิ่ม นั่งฟังพระเจริญพุทธมนต์กันอยู่อย่างสงบ
ไม่มีใครรู้ว่าอุ่นนั่งพนมมือฟังพระเทศน์อยู่ด้านหลังของทุกคน นอกจากพระที่มองอุ่นอยู่คนเดียว
“ขอจงอโหสิกรรมต่อกัน อย่าได้ผูกพยาบาทต่อกันต่อไปเลย มิฉะนั้น..บ่วงกรรมก็จะมีต่อไปไม่รู้จบ”
อุ่นมีสีหน้าเริ่มคิดได้ตามที่พระเทศนา
ทุกคนกำลังกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลใต้ต้นไม้ใหญ่ในวัด
“ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้กระทำในวันนี้ ให้แก่แม่อุ่น ขอแม่อุ่นจงไปสู่สุขคติด้วยเถิด อย่าได้มีห่วงมีกังวลอะไรต่อไปอีกเลย” นายพลเทพอธิษฐาน
วิญญาณอุ่นกำลังมองทุกคนที่ตั้งใจอุทิศส่วนกุศลให้แก่เธออย่างซาบซึ้งใจ ร่างของอุ่นค่อยๆ สว่างขึ้นจากบุญกุศลที่ได้รับ และหมดห่วง หน้าตาสะสวย
อุ่นพูดกับอิ่ม แต่อิ่มไม่ได้ยิน “พี่อิ่ม ฉันขอบใจพี่มากนะ ที่พี่พาลูกฉันมาพบกับพ่อที่แท้จริงของเขาได้ในที่สุด”
แล้วอุ่นก็พูดกับนายพลเทพ แต่นายพลเทพก็ไม่ได้ยินเช่นกัน
“ท่านนายพลเจ้าขา..อุ่นวาสนาน้อย ชาตินี้จึงไม่อาจอยู่ร่วมทุกข์ ร่วมสุข กับท่านได้ แม้ยามตายก็ไม่ได้ล่ำลา อย่างไรเสีย..อุ่นฝากลูกด้วยนะเจ้าคะ”
อุ่นกราบนายพลเทพ แล้วหันไปลูบผมบุปผาอย่างแผ่วเบา
“ลูกแม่”
บุปผาหันไปมองทันที รู้สึกเหมือนมีใครอยู่ข้างหลัง แต่ก็ไม่เห็นใคร ด้วยบุปผามองไม่เห็น
วิญญาณอุ่นยิ้มให้บุปผาน้ำตาไหลริน มองบุปผาจนร่างของอุ่นค่อยๆ จางหายไปในที่สุด
ทุกคนกลับถึงบ้าน นายพลเทพพูดกับมัทนาและบุปผา
“พ่อขอคุยอะไรกับลูกทั้งสองคนหน่อย”
อิ่มเดินออกไป เปิดโอกาสให้นายพลเทพได้พูดกับลูกตามลำพัง
“มีอะไรหรือคะคุณพ่อ”
“พ่อจะทำพินัยกรรมใหม่”
คุณหญิงมณีเดินเข้ามาพร้อมเอกสารในมือ
“ฉบับนี้ใช่ไม๊คะ”
นายพลเทพอึ้ง คุณหญิงมณีเดินเข้ามาใกล้ๆ
“คุณพิมานเอามาให้เมื่อกี้ บอกว่าถ้าไม่มีปัญหาอะไร พรุ่งนี้เขาจะเอาฉบับจริงมาให้เซ็น แต่พอดีคุณไม่อยู่ ดิฉันก็เลยรับเอาไว้แทน แล้วดิฉันก็พบว่ามันมี...ปัญหา” มณีเสียงเข้มขึ้น “ดิฉันจะไม่ยอมให้คุณยกสมบัติให้นังลูกนอกสมรสนี่หรอกค่ะ สมบัติทั้งหมดของเราต้องเป็นของยายมัทคนเดียว”
พูดจบคุณหญิงมณีก็ฉีกพินัยกรรมฉบับร่างนั้นออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างบรรจง แล้วเดินไปหาบุปผา
“ส่วนแก..ก็ได้แต่เศษขยะไปเถอะ”
แล้วคุณหญิงมณีก็ปาเศษพินัยกรรมนั้นใส่หน้าบุปผาอย่างไม่ยี่หระ แล้วเดินออกไป
นายพลเทพทนไม่ไหว ตามไป
นายพลเทพวิ่งตามมาดึงแขนคุณหญิงมณีไว้ เห็นมัทนากับบุปผามองเหตุการณ์อยู่ไกลๆ
“คุณไม่มีสิทธิ์ทำอย่างนี้นะ สมบัติส่วนของผม ผมมีสิทธิ์ที่จะยกให้ใครก็ได้ บุปผาก็เป็นลูกคนหนึ่งของผมเหมือนกัน”
“ไม่! ดิฉันไม่มีวันยอมรับนังเด็กนั่นเป็นอันขาด ดิฉันเคยบอกคุณแล้วใช่ไม๊ว่า...คุณมียายมัทเป็นลูกเพียงคนเดียวเท่านั้น”
“ผมไม่นึกเลยว่าคุณจะเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่องขนาดนี้ คุณจะฉีกพินัยกรรมนั่นอีกสักกี่ครั้งก็ได้ แต่ผมก็จะทำมันขึ้นมาใหม่อยู่ดี บุปผาจะต้องได้รับมรดกจากผม”
แล้วนายพลเทพก็เดินออกไปเลย คุณหญิงมณีแค้นใจจนตัวสั่น มัทนากลัวแม่จะเป็นอะไรไปเลยรีบวิ่งเข้ามาดู
“คุณแม่”
บุปผายังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่คิดจะเข้ามาดูอาการคุณหญิงมณีด้วย แถมบุปผายังจ้องตากับคุณหญิงมณีเขม็ง ต่างฝ่ายต่างชิงชังกันเป็นอย่างมาก
อิ่มเดินมารินน้ำดื่มอยู่ สร้อยแกล้งเดินเข้ามาปัดแก้วน้ำในมืออิ่มตกแตกกระจาย น้ำเลอะเทอะไปทั่วบริเวณ
“ทำไมทำอย่างนี้ล่ะ” อิ่มไม่พอใจ
“อุตส่าห์ออกไปทำบุญให้อีอุ่นกันยกใหญ่ เชอะ ถ้ารัก ถ้าอาลัยมันนัก ก็ทำไมไม่ตายตามมันไปเลยล่ะ”
อิ่มอารมณ์พุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ ภาพที่สร้อยแทงอุ่นแว่บเข้ามาในห้วงคิด สลับกับภาพที่อิ่มมาเห็นแล้วกลัวสุดขีด จนต้องอุ้มหลานวิ่งหนีไปในความมืด
อิ่มอดทนต่อไปอีกไม่ไหวแล้ว พุ่งเข้าไปบีบคอสร้อยทันที สร้อยพยายามตบตีอิ่มเพื่อให้อิ่มปล่อย แต่อิ่มก็ไม่ยอมปล่อย ทั้งคู่สู้กันสุดฤทธิ์ ข้าวของแถวนั้นตกแตกกระจายเสียงดังเปรื่องปร่าง อิ่มพูดใส่หน้าสร้อยเสียงกร้าว
“ที่ฉันยังไม่ตาย ก็เพราะฉันจะต้องอยู่เพื่อทำให้แกได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำกับน้องสาวฉันยังไงล่ะ”
ทั้งคู่สู้กันชุลมุน ทับทิม สวิง ไสว คนใช้คนอื่นๆ วิ่งเข้ามาช่วยกันแยกอิ่มกับสร้อยออกจากกันอย่างโกลาหล สร้อยถูกแยกตัวออกมาจากอิ่มได้ หอบแฮ่กๆ แต่ตามองอิ่มเขม็ง รู้แน่แล้วว่าอิ่มรู้ว่าตนฆ่าอุ่น
อิ่มกับสร้อยกลายเป็นศัตรูคู่ปะทะเดือดอีกคู่หนึ่งในบ้านไปแล้ว
ด้านมัทนาคุณหนูผู้แสนดี ตามมาพูดปลอบบุปผา
“บุปผาอย่าถือโทษโกรธคุณแม่เลยนะจ๊ะ คุณแม่ท่านยังทำใจไม่ได้เรื่อง..เอ่อ..แม่อุ่นน่ะ”
“บุปผาเข้าใจค่ะพี่มัท”
มัทนาค่อยยิ้มออก
ขณะที่คุณหญิงมณีนั่งอยู่ที่เตียง สีหน้าเครียด สร้อยค่อยๆ เข้ามาหา
“คุณหญิงขา..สร้อยมีเรื่องจะปรึกษาค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องอีอิ่มค่ะ สร้อยคิดว่ามันรู้...ว่าสร้อยฆ่าอีอุ่น น้องสาวมัน”
“แล้วแกจะเก็บมันไว้ทำไมล่ะ” คุณหญิงพูดหน้านิ่งๆ
“คุณหญิงหมายความว่า...”
คุณหญิงมณีพยักหน้า “นังบุปผามันจะได้ไม่มีญาติโกโหติกาที่ไหนคอยปกป้องคุ้มกะลาหัวมันอีก”
สร้อยรับคำอย่างรู้กัน “ค่ะคุณหญิง”
บ้านเทพบริบาลอันโอ่อ่าสวยงามยามค่ำคืน ตกอยู่ในความมืด มีแสงไฟสลัวเปิดไว้ตรงจุดสำคัญ
อิ่มนอนหลับอยู่บนเตียง ขณะที่ประตูห้องอิ่มถูกใครคนหนึ่งไขกุญแจเข้ามา แล้วเปิดประตูเพียงแค่แง้มๆ ไว้ แล้วใครคนนั้นก็เอากล่องใส่ของบางอย่าง วางลงกับพื้น เทของในกล่องออก เห็นเป็นงูเห่าตัวหนึ่งเลื้อยปราดออกมา
ใครคนนั้นเก็บกล่อง ปิดประตูห้อง ล็อคไว้ตามเดิม งูเห่าเลื้อยปราดไปที่ใต้เตียงอิ่ม โดยที่อิ่มยังหลับสนิทอยู่
ส่วนบุปผาลงมาเดินอยู่ในสนามหญ้าหน้าตึกใหญ่ ด้วยนอนไม่หลับ ภาพจำผุดขึ้นในห้วงคิด เป็นเหตุการณ์ตอนที่คุณหญิงมณีฉีกพินัยกรรมออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วเดินไปหาบุปผา
“ส่วนแก..ก็ได้แต่เศษขยะไปเถอะ”
แล้วคุณหญิงมณีก็ปาเศษพินัยกรรมนั้นใส่หน้าบุปผาอย่างไม่ยี่หระ
ภาพนั้นเลือนหายไป บุปผาคำรามออกมาด้วยความคับแค้นใจ
“แกร้ายกับฉันนักใช่ไม๊นังคุณหญิง แกคอยดูตอนที่ ฉันแย่งหมอไอศูรย์มาจากลูกสาวแกได้แล้ว แกก็จะได้เห็นลูกสาวแกร้องไห้ แล้วแกก็จะได้เสียใจจนแทบกระอักเลือดเลย”
ฟากอิ่มยังหลับอยู่ไม่รู้เรื่องอะไร แล้วพอพลิกตัว ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเห็นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู่ใกล้ตัว อิ่มลุกขึ้นนั่งทันควัน เปิดไฟสว่างพรึ่บ
อิ่มเห็นงูเห่าแผ่แม่เบี้ยอยู่ตรงกลางระหว่างตัวเธอ กับทางออกประตู อิ่มตัดสินใจตะโกน
“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย”
บุปผาเหลียวขวับไปทางที่ได้ยินเสียงอิ่มร้องตะโกนขอความช่วยเหลือมา บุปผาวิ่งไปทันที
อิ่มร้องตะโกนลั่นออกมาจากในห้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย”
บุปผาวิ่งมาถึงหน้าห้อง คนอื่นวิ่งตามเข้ามาสมทบ บุปผาตะโกนถาม
“ป้าอิ่ม เป็นอะไร”
อิ่มร้องบอกขวัญผวาไปหมดแล้ว “งู”
ทับทิม สวิง และไสว ร้องอุทานด้วยความตกใจ บุปผาจะเปิดประตูเข้าไป แต่ติดล็อค คนอื่นๆ ช่วยบุปผากระแทกประตูจนเปิดออกได้ พอประตูเปิด ทุกคนก็เห็นงูแผ่แม่เบี้ยอยู่กลางห้อง ทำให้อิ่มออกมาไม่ได้ สร้อยรีบดึงประตูปิด บุปผาโมโหมาก
“จะบ้าเรอะ ปิดประตูทำไม จะปล่อยให้ป้าอิ่มแกถูกงูกัดตายอยู่ในนั้นหรือยังไง”
“แต่ถ้าเปิดประตูแล้วงูออกมา แล้วเกิดมันเลื้อยขึ้นไปกัดคุณๆ บนตึก จะมิยุ่งกันใหญ่เหรอ” สร้อยอ้าง
บุปผาอารมณ์เสีย ผลักสร้อยออกไปเต็มแรง แล้วเปิดประตูเข้าไป ทันเห็นงูเห่ากำลังฉกอิ่มพอดี
“โอ๊ย”
“ป้าอิ่ม”
บุปผาไม่สนใจงู ไม่กลัว พุ่งเข้าไปดูอาการอิ่ม งูเลื้อยหนีออกนอกห้อง คนอื่นๆ วี้ดว้ายหนีงูกันอุตลุด บุปผาเห็นแผลที่งูกัดอิ่มก็ทำอะไรไม่ถูกเลย
ส่วนสร้อย แอบยิ้มร้ายสีหน้าสะใจ มั่นใจว่าอิ่มไม่มีทางรอดแน่
ไม่นานต่อมา ทุกคนเปลี่ยนจากชุดนอนมาเป็นชุดลำลองเพื่อออกมาโรงพยาบาลกันอย่างเร่งด่วน บุปผา มัทนา และนายพลเทพยืนกระวนกระวายอยู่ที่หน้าห้องฉุกเฉิน ยกเว้นสร้อยที่ยืนเฉยๆ ไอศูรย์วิ่งเข้ามา นายพลเทพรีบบอก
“ต้นดูป้าอิ่มที แกถูกงูเห่ากัด ลุงพามาโรงพยาบาลอย่างเร็วที่สุดแล้ว”
ไอศูรย์พยักหน้ารับทราบ ไม่เสียเวลาทักทายใคร เข้าห้องฉุกเฉินไปทันที
“งูเห่ามันเข้าไปอยู่ในห้องป้าอิ่มได้ยังไงกัน”
ไม่มีใครตอบได้ บุปผามองสร้อยอย่างจะเอาเรื่อง
“ความจริงถ้าพี่สร้อยให้บุปผาเข้าไปช่วยป้าอิ่มเสียตั้งแต่แรก ป้าอิ่มก็คงไม่โดนงูกัดอย่างนี้”
สร้อยเมินหน้าหนีบุปผา สักครู่ไอศูรย์ก็เดินหน้านิ่งออกมาจากห้องฉุกเฉิน มองมาที่บุปผาคนเดียว บุปผาเริ่มใจหาย
“ป้าอิ่มอยากพบบุปผาน่ะ..เร็ว..เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้ว”
บุปผาวิ่งพรวดเข้าไปในห้องฉุกเฉินทันที คนอื่นๆ ตามไปด้วย
บุปผาวิ่งถลาเข้ามาหาอิ่มในห้องฉุกเฉิน ซึ่งเวลานี้แทบจะพูดไม่ได้แล้ว
“ป้าอิ่ม”
อิ่มเหลือบมองบุปผาแล้วพยายามพูดอย่างยากลำบากเต็มที
“ป้า...ต้อง...บอกแก”
“ป้าต้องบอกอะไรฉัน”
“อุ่น..ถูก...” อิ่มรวบรวมแรงครั้งสุดท้ายจะบอกว่าอุ่นถูกสร้อยฆ่า
“แม่อุ่นถูกอะไรจ๊ะป้า”
อิ่มพยายามเต็มที่ “ถูก...” ปรายตามองไปยังสร้อย “ฆะ...ฆะ...”
คุณหญิงมณีกับสร้อยแอบสบตากัน ใจคอไม่ดี ลุ้นระทึกว่าอิ่มจะพูดเรื่องอุ่นถูกสร้อยฆ่าออกมาได้หรือไม่
“ป้าอิ่มจะพูดว่าอะไรจ๊ะ”
อิ่มเกร็งไปทั้งร่าง พูดอะไรจะไม่ได้อยู่แล้ว บุปผาเอียงหูไปชิดริมฝีปากเพื่อฟังว่าอิ่มจะพูดอะไร อิ่มพูดอะไรบางอย่างสั้นๆ ไม่มีใครได้ยินนอกจากบุปผา ร่างของอิ่มก็กระตุกขึ้น 2-3 ครั้ง แล้วอิ่มก็สิ้นใจไป
“ป้าอิ่ม” บุปผาตกตะลึง
มัทนาโผเข้าซบหน้าร้องไห้กับอกไอศูรย์ ในขณะที่นายพลเทพได้แต่อึ้ง คุณหญิงมณีกับสร้อยแอบสบตากันแล้วยิ้มร้าย สะใจที่อิ่มตายไป
และสองคนเข้าใจว่า...ต่อจากนี้อิ่มจะไม่สามารถบอกความจริงเรื่องการตายของอุ่นกับบุปผา หรือใครๆ ได้อีกต่อไป
อ่านต่อตอนที่ 13