ไฟหวน ตอนที่ 10
บุปผาต้องตกตะลึงตาค้าง เมื่อพบว่าคนที่ใช้มีดจี้หล่อน เป็นคู่กรณีที่เคยโดนเล่นงานจนต้องระเห็จออกจากบ้านเทพบริบาลนั่นเอง
“ไอ้แสง”
“เออ ขอบใจที่ยังจำกูได้ แต่กูน่ะ จำมึงได้ไม่มีลืมเลย อีผู้หญิงหยำฉ่า” แสงคำรามอย่างเคียดแค้น
บุปผาตั้งสติอย่างรวดเร็ว “แกจะเอาอะไร”
แสงกดมีดลงที่แก้มบุปผา “กูจะกรีดหน้ามึง แล้วต่อไปทุกครั้งที่มึงเห็นแผลที่หน้าตัวเอง มึงจะได้คิดถึงกู”
บุปผาตกใจ “อย่านะ แกอยากได้อะไรฉันจะให้ แกจะเอาเงินไม๊ ฉันมีเงินนะ เยอะด้วย อยู่ในกระเป๋านี่แหละ” พลางตบกระเป๋าให้ดู
แสงเริ่มสนใจ จึงล้วงกระเป๋าบุปผาเพื่อหาเงิน พอเจอ แสงเอาเงินขึ้นมาดูแล้วตาโต
“โห..อีบุปผา มึงไปเอาเงินมาจากไหนตั้ง 500 มึงขโมยเงินจากคุณๆ ท่านๆ ในบ้าน ใช่ไม๊เนี่ย”
“เงินฉัน”
“กูไม่เชื่อมึงหรอก ผู้หญิงอย่างมึงจะมีเงินมากขนาดนี้ได้ยังไง”
“ทำไมฉันจะมีไม่ได้ ในเมื่อพวกผู้ชายหลงฉันหัวปักหัวปำ”
แสงเยาะ “รวมทั้งท่านนายพลด้วยใช่ไม๊”
“แกบ้าแล้ว ฉันไม่เคยมีอะไรกับท่านนายพล”
“กูไม่เชื่อ ผู้หญิงอย่างมึง ไม่มีวันขาดผู้ชายได้”
“ก็เพราะฉันมีอะไรดีน่ะสิ” บุปผาจ้องตาแสงอย่างท้าทาย “แล้วแกไม่อยากรู้บ้างเหรอว่าฉันมีอะไรดี”
แสงหลงกล มองบุปผาตาวาว บุปผาเลยฉวยจังหวะที่แสงเผลอ ยกเข่าขึ้นกระทุ้งเป้าแสงเต็มแรง แสงร้องโอ๊ย กุมเป้าตัวงอ แล้วทรุดลงไปกองกับพื้น หน้าเขียว เจ็บจุกจนพูดไม่ออกเลย
“อีโธ่! นึกว่าแกจะแน่สักแค่ไหน”
บุปผาคว้าเงินของหล่อนคืนมาจากแสง ยัดเก็บเข้าที่เดิม มองแสงอีกครั้งอย่างเจ็บใจที่แสงคิดทำร้ายเธอ บุปผาหยิบมีดของแสงขึ้นมา แล้วก่อนที่แสงจะทันตั้งตัว บุปผาก็ตวัดมีดเข้าที่ใบหน้าของแสงจังๆ แสงร้องโอ๊ย เลือดไหลซึมออกจากแผลทันที
บุปผาเย้ยโดยใช้คำพูดของแสง “ต่อไปทุกครั้งที่มึงเห็นแผลที่หน้าตัวเอง มึงจะได้คิดถึงกู”
แล้วบุปผาก็เดินหัวเราะเข้าบ้านไป ปล่อยให้แสงนอนร้องครวญครางอยู่อย่างนั้น แสงยิ่งอาฆาตแค้นบุปผาสุดชีวิต
ไอศูรย์นั่งทำงานยู่ที่โต๊ะ พยาบาลเดินเข้ามา
“ผลการตรวจเลือดของเด็กคนนั้นมาแล้วค่ะคุณหมอ” พลางพยาบาลส่งเอกสารผลตรวจเลือดให้ไอศูรย์ แล้วเดินออกไป ไอศูรย์อ่านผลตรวจเลือดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“เด็กนั่นถูกมอมยามานานเสียจนในร่างกายเกิดภาวะเลือดเป็นพิษแล้ว ใครนะ..ใจร้าย ใจทมิฬ ทำกับเด็กได้อย่างนี้”
ฝ่ายตาเถากำลังเดินมาซื้อข้าวกิน แต่โชคร้ายเพราะเพชรกับลูกน้องตำรวจเดินผ่านมา พอดี เพชรเห็นตาเถาก็วิ่งพุ่งจะเข้าจับทันที
“เฮ้ย ตาเถา หยุดนะ”
ตาเถาหันมาเห็นเพชร ก็รีบทิ้งห่ออาหารที่ซื้อแล้ววิ่งหนีสุดชีวิต เพชรกับลูกน้องวิ่งตามไม่ลดละ
ตาเถาวิ่งหนีเพชรมาอย่างลนลาน พอหันไปเห็นเพชรวิ่งตามมาอย่างกระชั้นชิด ตาเถาก็ก้มลงหยิบท่อนไม้ เขวี้ยงใส่ และโดนที่หัวคิ้วเพชร ทำให้เสียจังหวะไล่ตามตาเถา
ตาเถาฉวยจังหวะที่เพชรเสียท่านั้น วิ่งลอดใต้ราวตากผ้านุ่งของชาวบ้านเข้าโดยไม่ทันคิด แล้ววิ่งข้ามรั้วหนีไปได้ เพชรวิ่งตามไม่ทัน รู้สึกเจ็บใจมาก
กำพลยืนคอยเดือนอยู่อย่างกระวนกระวาย สลับกับดูนาฬิกาอยู่หลายครั้ง
“ทำไมนังเดือนมันยังไม่มาสักทีวะ”
กำพลเริ่มงุ่นง่าน เดินกลับไป กลับมา แล้วมาหยุดยืนใกล้ตรงเก้าอี้ที่บุปผากับเดือนเคยนั่งคุยกัน กำพลเหยียบอะไรบางอย่างเข้า เขาก้มลงดู เห็นกระทงใบตองที่บุปผาเอาของกินมาให้เดือนหล่นอยู่
กำพลก้มลงเก็บกระทงขนมใบนั้น ก่อนจะเดินเอาไปทิ้งถังขยะ แล้วดูนาฬิกาอีกครั้ง ออกอาการหงุดหงิดจนถึงขีดสุด
ไม่นานนักกำพลพาตัวเองมาอยู่ที่หอโคมแดง กำลังถามถึงเดือนกับผกา
“เดือนมันไม่อยู่หรอกค่ะ ออกไปซื้อของตั้งแต่เช้าแล้วค่ะ คุณกำพลไม่สนใจจะให้คนอื่นรับใช้คุณกำพลแทนนังเดือนบ้างหรือคะ”
มุกเดินแทรกเข้ามาส่งสายตาให้ กำพลมองมุก
ภายในห้องรับลูกค้า มุกพยายามเข้ามาคลอเคลียบีบนวดให้กำพลอยู่อย่างเอาอกเอาใจ แต่กำพลเบี่ยงตัวออก
“ฉันไม่มีอารมณ์”
มุกงง “อ้าว..ก็มุกเห็นคุณกำพลเรียกนังเดือนขึ้นห้อง มุกก็นึกว่า…”
กำพลตัดบทอย่างไม่สบอารมณ์ “ตกลง..เธอรู้หรือยังว่าบุปผาอยู่ที่ไหน”
มุกออกอาการเซ็ง “ยังเลยค่ะคุณกำพล พระนครออกจะกว้าง การหาคนๆ เดียวไม่ใช่เรื่องง่ายนะคะ”
กำพลรู้แล้วว่าไม่ได้เรื่องอะไรจากมุกแน่ เลยลุกเดินออกไป มุกตกใจ รีบตามไป
กำพลเดินหน้าบึ้งออกมาจากห้องมุกถึงโถงกลาง มุกวิ่งตามมา
“เดี๋ยวสิคะคุณกำพล”
แต่กำพลเดินออกไปแล้ว มุกยืนอึ้ง ผกาและคนอื่นเข้ามา
“แกไปทำอะไรให้คุณกำพลเขาไม่พอใจเอารึเปล่า...หา นังมุก”
“มุกยังไม่ได้ทำอะไรเลยแม่ ยังไม่ได้ทำอะไรจริงๆ ขนาดเสื้อผ้า...ยังไม่ทันจะถอดออกจากตัวเลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าลงถึงขั้นถอดเสื้อแล้ว คุณกำพลอาจจะวิ่งออกไปเร็วกว่านี้อีกนะพี่มุก” พิกุลแซว
สิรีกับเพ็ญหัวเราะ มุกโกรธจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
“อีพิกุล” มุกเงื้อมือจะตบพิกุล
พิกุลร้องวี๊ดว๊ายแล้ววิ่งไปหลบหลังผกา มุกวิ่งตามจะตบพิกุลให้ได้ พิกุลเอาผกาบัง ผกาตะโกนอย่างหัวเสียเสียงดังลั่นซ่อง
“หยุด”
“นังมุก แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้ทำอะไรให้คุณกำพลเขาไม่พอใจน่ะ แกก็รู้ใช่ไม๊ว่าถ้าเขาไม่พอใจอะไรเรา หอโคมแดงนี่ก็คงจะอยู่ลำบากกันละ” ผกาไม่พอใจมุก
“ฉันมั่นใจจ้ะแม่..ว่าฉันไม่ได้ทำอะไรให้คุณกำพลไม่พอใจ”
สิรีแทรกขึ้น “แม่จ๊ะ ถ้าจะมีใครทำให้คุณกำพลไม่พอใจละก็ คงจะเป็นนังเดือนมากกว่าล่ะจ้ะแม่ โทษฐานที่มันไม่อยู่รับแขกคนสำคัญ”
“แล้วนี่นังเดือนมันไปซื้อของที่ไหนไม่กลับสักทีนะ”
ผกาเริ่มกังวล
ส่วนกำพลกลับมาถึงบ้านอย่างหัวเสีย
“นังเดือนมันหายไปไหนของมันนะ แล้วนี่เราจะรู้ได้ยังไงว่านังบุปผามันอยู่ที่ไหน”
กำพลเดินเข้าบ้าน แสงเข้ามารับ กำพลมองหน้าแสงแล้วชะงัก เพราะเห็นแสงมีพลาสเตอร์ปิดแผลติดอยู่ที่หน้า ตรงที่โดนบุปผาเอามีดกรีด
“เฮ้ย ไอ้แสง หน้าแกไปโดนอะไรมาน่ะ”
แสงมีสีหน้าเจ็บใจ “โดนนังงูพิษมันทำร้ายเอาน่ะครับ”
“ผู้หญิง”
แสงพยักหน้ายอมรับ
“ผู้หญิงที่ไหน”
“คุณกำพลไม่รู้จักมันหรอกครับ นังนี่..มันเป็นศัตรูตัวฉกาจของผมเลย มันเป็นคนทำให้ผมต้องระเห็จออกจากบ้าน ต้องเร่รอนอยู่ข้างถนนเสียตั้งหลายวัน ก่อนจะได้มาอยู่ที่นี่น่ะครับ”
กำพลส่ายหน้า “เหอะ ดูท่าว่าแกกับฉันนี่..ดวงจะแพ้ผู้หญิงพอๆ กันเลยเว้ย” พลางคลำที่ข้อมือตัวเอง เห็นแผลที่ถูกบุปผากัดยังคงเป็นรอยอยู่
“แต่ฉันไม่ยอมแพ้มันตลอดไปหรอกเว้ย สักวัน ฉันจะต้องชนะมันให้ได้ สักวัน”
กำพลทั้งรัก ทั้งแค้นบุปผา อยากเจอตัวบุปผาอย่างที่สุด
ส่วนบุปผา คนที่ทำให้สองหนุ่มคั่งแค้น กำลังบ่นงึมงำ”
“นี่ถ้าเราได้น้ำมันพรายมาละก็ นังเดือนก็คงไม่ต้องไปตายอย่างนั้นหรอก”
บุปผาหงุดหงิดใจมากๆ
เช้านั้นเพชรในชุดนายตำรวจ นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน กำลังสำรวจหัวคิ้วที่มีแผลเขียวช้ำปรากฏอยู่ แล้วใครคนหนึ่งก็เดินเข้ามาหา เพชรเงยหน้าขึ้นมอง ต้องแปลกใจ
“พี่ต้น”
ไอศูรย์มองแผลช้ำที่หัวคิ้วเพชรอย่างสงสัย “นั่นเพชรไปโดนอะไรมา”
เพชรไม่ตอบคำถามนั้น “พี่ต้นมาที่นี่ทำไมครับ”
“พี่อยากรู้ว่า..เพชรหาตัวเด็กคนนั้นพบรึยัง”
เพชรทำหน้าหยันใส่ไอศูรย์ “พี่ต้นรู้สึกผิดละสิที่ปล่อยให้เด็กคนนั้นหนีออกไปจากโรงพยาบาลของพี่ต้นได้”
ไอศูรย์ยอมรับ “ใช่ เพราะเด็กนั่นเป็นคนไข้ของพี่”
“และเป็นเบาะแสของผมที่จะจับตาเถาได้”
“พี่รู้ว่ามันเป็นความบกพร่องของพี่ ที่ปล่อยให้เด็กนั่นหนีออกจากโรงพยาบาลไปได้ และพี่พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะเอาตัวเด็กคนนั้นกลับมาให้ได้”
“พี่ต้นก็ควรจะทำอย่างนั้น” เพชรบอก
ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้า สู้สายตากัน
ค่ำคืนนั้นตาเถาหลบหนีการจับกุมมาได้ เวลานี้กำลังนั่งบริกรรมคาถาอยู่หน้ากระท่อมร้างแห่งหนึ่ง
“โอม..ผีป่าจงฆ่ามัน..อีนังผู้หญิงหยำฉ่า”
ตาเถาก็เอาหุ่นฟางที่ทำเป็นรูปคนตัวเท่าฝ่ามือขึ้นมา แล้วเอาเข็มแหลมยาวออกมาทิ่ม แต่แล้วหุ่นฟางนั้นก็ค่อยๆแบะออกจากกัน ไม่เป็นรูปร่างคนอีกต่อไป
“เฮ้ย ทำไมมันเป็นอย่างนี้วะ”
ตาเถาพยายามจะจับหุ่นในมือให้ขึ้นรูปเป็นรูปคนอีกครั้ง แต่หุ่นนั้นก็แบะออกอีก
“ทำไมมนต์คาถาของข้ามันไม่สัมฤทธิ์ผลวะ !
ตาเถาเครียด สีหน้าครุ่นคิด นึกถึงตอนที่ตนวิ่งหนีเพชร แล้วลอดใต้ราวตากผ้านุ่งของชาวบ้านโดยไม่ทันคิด
ตาเถานึกออกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
“กูวิ่งลอดราวตากผ้านุ่ง คาถาอาคมของกูถึงได้เสื่อมหมด” แล้วตาเถาก็ตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้นจัด “อ๊าก... อีนังผู้หญิงหยำฉ่า เพราะมึงคนเดียว กูถึงต้องเป็นอย่างนี้ ! เพราะมึงคนเดียว”
ตาเถาคั่งแค้นใจบุปผาเป็นที่สุด
ตกดึกใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาบุปผา ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างช้าๆ ที่เท้าของใครคนนั้น มีน้ำหยดลงมาจากตัว หยดลงพื้น จนพื้นมีรอยน้ำหยดเป็นทางไปตลอดทางที่เท้าคู่นั้นเดินไป
บุปผา เริ่มรู้สึกตัวมีใครเดินเข้ามาใกล้ ลืมตาขึ้นมองแล้วก็ต้องตะลึง เมื่อเห็นเดือนหน้าซีดเหมือนคนตาย เนื้อตัวเปียกโชกไปทั้งตัว ยืนมองบุปผาอยู่อย่างโกรธแค้น
“นังเดือน”
บุปผาสะดุ้งตกใจตื่น พอรู้ตัวว่าแค่ฝันไปก็ถอนใจโล่งอก แล้วก็ลุกเดินออกไปเพื่ออาบน้ำแต่งตัวเตรียมเริ่มต้นทำงานต่อไป
เช้าวันเดียวกันเพชรเพิ่งเดินกลับเข้าบ้านมา เสื้อผ้ายู่ยี่อย่างคนไม่ได้นอนทั้งคืน พลอยมองอย่างแปลกใจ
“นี่พี่เพชรเพิ่งกลับบ้านหรือคะเนี่ย”
เพชรพยักหน้า “พี่นอนที่ทำงานน่ะ นี่กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ แล้วก็จะรีบกลับไปทำงานต่อ ช่วงนี้พี่คงจะไม่ค่อยกลับบ้านนะพลอย จนกว่าจะจับตัวคนร้ายได้”
“แล้วนั่นหน้าพี่เพชรไปโดนอะไรมาคะ”
“แผลจากการวิ่งไล่ตามจับคนร้ายนี่แหละ”
“เจ็บมากไม๊คะ”
เพชรส่ายหน้า
“ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เจ็บใจมากกว่า เออ เมื่อวานพี่ต้นไป หาพี่ด้วย ไปถามข่าวเด็กที่ถูกมอมยาแล้วหนีออกจากโรงพยาบาลพี่ต้นไป ไม่รู้เป็นไง หลังๆ มานี่พี่ไม่อยากมองหน้าพี่ต้นเลย เห็นหน้าทีไร อารมณ์ก็ขุ่นมัวทีนั้นละ”
พลอยถอนใจกลุ้มๆ “ความจริงจะพูดไปก็น่าเสียดายนะคะ พี่ต้นกับพี่เพชรอุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี มาผิดใจกันก็เพราะผู้หญิงคนเดียวแท้ๆ เลย”
“พลอยกับน้องมัทก็เหมือนกันแหละ อุตส่าห์เป็นเพื่อนกันมาตั้งหลายปี มาผิดใจกันก็เพราะผู้ชายคนเดียวเหมือนกัน”
พลอยอึ้งนิ่งงันไป
ฟากไอศูรย์นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน แต่พาดต้นคออยู่กับพนักเก้าอี้หลับอยู่ พยาบาลเปิดประตูห้องเข้ามา ไอศูรย์รู้สึกตัวตื่นทันที พยาบาลพอเห็นไอศูรย์ก็ตกใจ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหมอมาทำงานแล้ว”
“เปล่า ผมยังไม่ได้กลับ” ไอศูรย์ดูนาฬิกา แล้วก็ลุกพรวดออกไปทันที
ขณะเดียวกันบุปผากำลังช่วยทับทิมกับไสวทำครัวอยู่ สวิงวิ่งเข้ามา
“บุปผา คุณหนูให้หาแน่ะ”
บุปผามีสีหน้าประหลาดใจ
มัทนา คุณหญิงมณี และสร้อย กำลังยืนรอใส่บาตรอยู่ด้วยกัน
มณีถามลูกสาวอย่างไม่พอใจ “มัทให้นังหวิงมันไปตามนังบุปผามาทำไมลูก”
มัทนายังไม่ทันจะตอบ บุปผาก็เดินเข้ามา พอเห็นคุณหญิงมณีกับสร้อยอยู่ด้วย บุปผาก็รีบก้มหน้าทำท่าสงบเสงี่ยม
“คุณหนูเรียกบุปผาหรือคะ”
มัทนายิ้ม “จ้ะ ฉันอยากให้บุปผามาใส่บาตรด้วยกัน”
คุณหญิงมณีกับสร้อยอึ้ง
มัทนาบอกกับคุณหญิงมณี “มัทอยากให้บุปผาได้ใส่บาตร อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรของนายสินน่ะค่ะคุณแม่ เผื่อว่า..บางทีนายสินจะอาการดีขึ้นเร็วๆ ไงคะคุณแม่”
คุณหญิงมณีจะปฏิเสธ แต่พอเห็นหน้ามัทนายิ้มดีใจ คุณหญิงก็จำใจต้องพยักหน้าอนุญาต มัทนายิ้มดีใจ ขยับที่ให้บุปผาเข้ามาร่วมวงใส่บาตรด้วย ทันใดนั้นไอศูรย์ก็ขับรถเข้ามาจอด แล้วรีบลงมา ทุกคนสีหน้าแปลกใจ ไอศูรย์ยกมือไหว้คุณหญิงมณี แล้วรับไหว้มัทนากับบุปผา
“พี่นึกว่าจะมาไม่ทันเสียแล้วสิ”
มัทนามองชุดไอศูรย์ที่ดูยับยู่ยี่ผิดปกติ ไอศูรย์รีบบอก
“เมื่อคืนพี่มีเคสฉุกเฉินน่ะ กว่าจะเสร็จก็ดึก ก็เลยนอนที่โรงพยาบาลเลย”
มัทนาพยักหน้ารับรู้ แล้วทั้งหมดก็เริ่มใส่บาตรด้วยกัน
ในขณะที่คุณหญิงมณีกับสร้อย ยืนดูอย่างไม่สบอารมณ์มาก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
อ่านต่อหน้า 2
ไฟหวน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ครู่ต่อมาสามคนกำลังกรวดน้ำอยู่ด้วยกัน โดยไอศูรย์กรวดน้ำอยู่กับมัทนา ส่วนบุปผากรวดน้ำคนเดียว บุปผาแอบเหลือบมองไอศูรย์ที่กรวดน้ำกับมัทนาด้วยความริษยา
ทั้งหมดกำลังจะเดินกลับเข้าตึกใหญ่ สร้อยเอาขันใส่น้ำมนต์ส่งให้มัทนา
“น้ำมนต์ค่ะคุณหนู”
“ขอบใจจ้ะ”
บุปผามองอย่างสงสัย
ไอศูรย์หันมาพูดกับบุปผา “ไหนๆ ก็เจอเธอแล้ว ฉันแวะไปดูอาการนายสินด้วยเลยดีกว่า”
บุปผายกมือไหว้ไอศูรย์ “ขอบพระคุณค่ะคุณหมอ”
บุปผาเดินนำไอศูรย์กับมัทนาไปที่ห้องพักของสิน คุณหญิงมณียิ่งไม่สบอารมณ์อย่างแรง
แต่ต้องระงับกิริยา เพราะไม่อยากแสดงอะไรออกไปต่อหน้าไอศูรย์
ไอศูรย์กำลังตรวจดูอาการสินโดยทั่วไปอยู่อย่างตั้งใจ บุปผาแสร้งใส่ใจ ท่าทีกระตือรือร้น
“พี่สินอาการดีขึ้นบ้างไม๊คะหมอ”
“โดยรวมแล้ว..ก็ดูแข็งแรงดีนะ แต่ฉันอยากจะให้เธอทำอะไรเพื่อพี่ชายเธออีกหน่อย”
บุปผาสงสัย
“ฉันอยากให้เธอทำกายภาพบำบัดอย่างง่ายๆ ให้นายสิน เป็นการกระตุ้นกล้ามเนื้อ โดยให้เธอยกแขนนายสิน ขึ้น ลงๆ อย่างนี้ ข้างละ 10 ครั้ง ขาก็เหมือนกัน..เช้าครั้ง เย็นครั้ง ทุกวัน เธอทำได้ไม๊”
“ได้ค่ะ ถ้าอะไรที่จะทำให้พี่สินอาการดีขึ้นได้ ต่อให้เหนื่อยยากยิ่งกว่านี้ บุปผาก็จะทำค่ะ”
คุณหญิงมณีอดรนทนไม่ไหว พูดเข้ามาแทรก
“เสร็จแล้วใช่ไม๊จ๊ะพ่อต้น งั้นขึ้นบ้านเถอะ จะได้ทานข้าวเช้าด้วยกัน”
“ครับ คุณป้า”
คุณหญิงมณีดึงให้ไอศูรย์ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมมัทนา สร้อยรีบตามไปประจบ
“คุณหนู อย่าลืมอาบน้ำมนต์นะคะ ครั้งนี้ครั้งที่ 9 แล้ว”
บุปผายิ่งสงสัย ลุกขึ้นเดินมองตามคนอื่นๆ ออกไป ส่วนสินพยายามจะยกขาถีบบุปผาด้วยความเกลียดชัง แต่ไม่มีแรงถีบพอ ขาร่วงผล็อยลงไปอีกก่อนที่บุปผาหันกลับมา
บุปผามัวแต่ติดใจสงสัยเรื่องการอาบน้ำมนต์ของมัทนาอยู่อย่างนั้น
ไม่นานต่อมาบุปผามาเข้าที่ครัวถามทับทิมอย่างเก็บความสงสัยเอาไว้ไม่อยู่
“ทำไมคุณหนูต้องอาบน้ำมนต์จ๊ะป้า”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยได้ยินนังสร้อยมันพูดว่า...คุณหนูต้องใส่บาตรพร้อมกับหมอไอศูรย์ แล้วรดน้ำมนต์ให้ได้ครบ 10 ครั้งก่อน แล้วถึงค่อยหมั้นกับคุณหมอน่ะ”
บุปผาพยักหน้ารับรู้ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
บุปผาเดินสีหน้าครุ่นคิดมาตามทางเดินในบ้านเทพบริบาล
“ใส่บาตร.. รดน้ำมนต์ 10 ครั้ง. แล้วถึงค่อยหมั้น นี่มันเหมือนวิธีล้างซวยนี่นา” คิดแล้วก็ยิ้มร้ายออกมา “ดีละ”
บุปผาแอบย่องขึ้นมาบนตึกอย่างระแวดระวัง ชะโงกหน้าไปดูในห้องอาหาร เห็นมัทนา ไอศูรย์ และคุณหญิงมณีกำลังนั่งกินข้าวอยู่ด้วยกัน โดยมีสร้อยยืนคอยปรนนิบัติอยู่
บุปผาเหลียวไปมองอีกทาง เห็นขันใส่น้ำมนต์ของมัทนา ตั้งอยู่บนโต๊ะนอกห้องอาหาร
บุปผายิ้ม แล้วค่อยๆ เดินย่องเข้าไปหยิบขันน้ำมนต์ เหลียวดูคนอีกครั้ง เมื่อเห็นไม่มีใคร บุปผาก็ถือเอาขันน้ำมนต์นั้นเดินห่างออกมา
บุปผาเดินมาในมุมลับตาเอาขันน้ำมนต์มาวางลงกับพื้น
“น้ำมนต์ล้างซวยใช่ไม๊” บุปผาเบ้ปาก “หึ แต่ฉันขอให้แก นังคุณหนูหน้าจืด ซวยๆๆๆๆ”
บุปผาค่อยๆ เดินข้ามขันน้ำมนต์นั้น ชายผ้าถุงของบุปผาระผ่านเหนือขันน้ำมนต์ไป
จนพอบุปผาเดินข้ามขันน้ำมนต์นั้นเสร็จแล้ว จึงหยิบขันน้ำมนต์นั้นขึ้นมา แล้วแอบเอากลับไปวางที่เดิม โดยไม่มีใครเห็น
บุปผาวางขันน้ำมนต์นั้นไว้ที่เดิม ยิ้มสะใจกับตัวเอง แล้วก็จะรีบแว่บ ออกจากตึกไป แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อจู่ๆ คุณหญิงมณีมายืนดักหน้าไว้ แล้วจิกหัวบุปผาจนบุปผาหน้าหงาย
“แกขึ้นมาบนตึกนี่ทำไมหา นังบุปผา”
บุปผารีบพนมมือไหว้คุณหญิงมณี แสร้งทำท่ากลัวจนลนลาน
“บุปผานึกว่าได้ยินเสียงพี่สร้อยเรียกน่ะค่ะ”
มณีไม่เชื่อ “ไม่มีใครเรียกแกหรอก กลับลงไปอยู่ในครัวโน่นไป แล้วไม่ต้องเสนอหน้าขึ้นมาบนตึกนี่อีก หึ..นี่ถ้าท่านนายพลไม่ขอไว้ละก็ ฉันเฉดหัวแกออกจากนี่ไปนานแล้วรู้ไม๊ ไป๊ ลงไป”
คุณหญิงมณีผลักไสบุปผาให้ลงจากตึกไป พอเห็นบุปผาลงจากตึกไปแล้ว จึงเดินกลับเข้าไปในห้องอาหารอีกครั้ง
บุปผาเดินฮึดฮัดออกมาจากตึก
“เกลียดฉันนักใช่ไม๊อีนังคุณหญิง คอยดูเถ๊อะ..สักวัน ฉันจะทำให้แกต้องเสียน้ำตาจนแทบจะกระอักออกมาเป็นเลือดเพราะฉันให้ได้ คอยดู”
บุปผาคำราม ด้วยสีหน้าเกลียดชังคุณหญิงมณีจับหัวใจ
ส่วนในห้องอาหาร บรรยากาศแสนชื่นมื่น จังหวะหนึ่งคุณหญิงมณีเอ่ยขึ้น
“นี่เราก็ใส่บาตร กรวดน้ำ แล้วมัทก็จะอาบน้ำมนต์ครบ 9 ครั้งแล้วนะ”
คุณหญิงมณีเยื้อนยิ้ม เป็นอันรู้กันว่า หลังจากใส่บาตร อาบน้ำมนต์ครบ 10 ครั้งแล้ว ก็จะเดินเรื่องหาฤกษ์หมั้นกันต่อทันที ไอศูรย์หันไปมองหน้ามัทนาอย่างรักใคร่ มัทนาเขิน คุณหญิงยิ้มชื่น สร้อยเลยพลอยปลื้มใจไปด้วย
เวลาเดียวกันนั้น แม่หมอชไมกำลังนั่งเจริญสมาธิอยู่ในเรือนที่เชียงใหม่
สักครู่หนึ่งจึงเห็นภาพในนิมิต เป็นภาพของคุณหญิงมณีกับมัทนา ในห้องอาหารบ้านเทพบริบาล และภาพที่มัทนากับไอศูรย์ยิ้มให้แก่กัน แต่เห็นมีเงาดำๆ คล้ายใครคนหนึ่งแทรกอยู่ระหว่างกลางของทั้งสอง
ชไมลืมตาขึ้น สีหน้าไม่สบายใจเลย ขณะพึมพำออกมา
“ขออย่าให้เกิดเรื่องอะไรร้ายๆ เลย”
ด้านอิ่มนั่งเหม่อซึมอยู่มุมหนึ่งในบ้านไอศูรย์
“อุ่น..ฉันควรทำไงดี..ถ้าฉันกลับไปที่บ้านท่านนายพลอีก เพื่อจะบอกว่าลูกแกยังไม่ตาย แล้วถ้านังคนนั้นมันจำได้ว่าฉันเป็นพี่สาวแก มันคงไม่ปล่อยฉันไว้แน่ มันคงจะฆ่าฉันทิ้งเหมือนอย่างที่ฆ่าแก ฉันควรทำยังไงดี”
อิ่มทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม โดยไม่รู้ว่าเวลานั้นผีอุ่นนั่งอยู่ข้างๆ และจับมืออิ่มปลอบใจ และพูดออกมา
“แต่ยังไงๆ พี่ต้องหาทางบอกท่านนายพลให้ได้ว่าลูกฉันยังไม่ตาย ลูกฉันยังมีชีวิตอยู่ ลูกของฉัน ลูกท่านนายพล”
อุ่นนั่งกุมมืออิ่มอยู่ แต่อิ่มไม่รู้ตัวใดๆ
ส่วนผกาออกอาการกังวล ว้าวุ่น และเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอันมาก
“นี่นังเดือนมันยังไม่กลับอีกเหรอ เกิดอะไรขึ้นกับมันรึเปล่าเนี่ย”
“นั่นสิจ๊ะแม่ ปกติมันไม่เคยออกไปค้างอ้างแรมข้างนอกที่ไหน ถึงจะมีแขกมารับมันออกไปเที่ยวข้างนอกบ่อยๆ แต่ยังไงๆสุดท้ายมันก็กลับมานอนที่บ้านนี่ทุกคืน” สิรีก็ไม่ต่างกัน
“แม่ชักเป็นห่วงมันแล้วสิ”
ผกาว้าวุ่นใจหนัก ในที่สุดผกาก็ผุดลุกขึ้น
“แม่จะไปแจ้งความ”
“งั้นฉันไปด้วยจ้ะแม่” สิริบอก
“ฉันไปด้วย” พิกุลว่า
ขณะที่ สามคน ผกา สิรี และพิกุล เตรียมจะเดินออกไปข้างนอก
เสียงมุกดังขึ้น “แม่”
ทุกคนหันไปมองมุก
“ฉันคิดว่า...นังเดือนมันอาจจะออกไปรับแขกข้างนอกนะ มันเคยบอกฉันว่า..มันแอบออกไปรับแขกข้างนอกเองหลายครั้งแล้ว เพราะมันจะได้เต็มๆ ไม่ต้องโดนหักหัวคิว เพราะมันอยากได้เงินเยอะๆ เอาไปส่งให้แม่กับน้องที่บ้านนอกโน่น”
ผกาฟังแล้วตกใจ “จริงเหรอ”
มุกพยักหน้าหงึก ผกาหน้าเครียด
“ยิ่งรู้อย่างนี้ แม่ยิ่งต้องไปแจ้งความ เพราะมันอาจจะออกไปรับแขกข้างนอก แล้วโดนแขกทำร้ายก็ได้”
แล้วผกาก็เดินไปที่ประตูอย่างร้อนใจ สิรีกับพิกุลตาม มุกเลยต้องไปด้วย
ขณะเดียวกันนั้นชายชาวบ้านคนหนึ่ง กำลังหว่านแหหาปลาอยู่ ในคลอง แล้วขณะดึงแหกลับ ปรากฏว่าแหเหมือนไปติดอะไรบางอย่างที่หนักมาก
ชาวบ้านพยายามออกแรงดึงสุดแรง แล้วพอสิ่งนั้นก็ลอยเข้ามาใกล้ชาวบ้านคนนั้น ก็ตาเหลือกลาน ตกใจจนหงายหลังโครม ร้องตะโกนออกมาสุดเสียง
“เฮ้ย”
สิ่งที่ติดแหของชาวบ้านมา เป็นศพเดือนที่หน้าตา เนื้อตัวซีดขาวดังเช่นคนตกน้ำตายทั่วไป แต่นัยน์ตาเบิกโพลงอย่างน่ากลัว
ฝ่ายบรรดานางโลมแห่งหอโคมแดง ผกา มุก สิรี และพิกุล กำลังเดินตรงไปยังสถานีตำรวจละแวกซ่อง ทันใดนั้นพิกุลก็หันไปเห็นเหมือนคนกำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่ที่ริมน้ำ
“แม่ แม่ นั่นคนมุงดูอะไรกันก็ไม่รู้นะ”
สองนางโลม และหนึ่งแม่เล้าที่เหลือหันไปมองดู
“สงสัยจะมีคนตกน้ำตายนะแม่นะ” สิรีว่า
ผกากับสิรีทำหน้าแหยงๆ
“ไปดูกันดีกว่าแม่”
“ไม่เอา ดูอะไรไม่ดู ดูคนตาย รีบๆ ไปแจ้งความคนหายเรื่องนังเดือนมันก่อนเถอะ”
“แหม..ไปดูเดี๋ยวเดียวเองแม่ ไปเหอะๆ”
พูดจบพิกุลก็รีบเดินนำไปที่ริมน้ำตามประสาคนอยากรู้อยากเห็นทันที มุกตามไปด้วย ผกาส่ายหน้า จำใจต้องตามไป สิรีตามไปเป็นคนสุดท้าย ด้วยสีหน้าหวาดกลัว
พิกุลเดินนำทุกคนมาที่ริมน้ำ เห็นตำรวจกับชาวบ้านกำลังช่วยกันนำร่างซีดๆ ของเดือนขึ้นมาที่ริมฝั่ง พิกุลเดินแทรกคนเข้าไปยืนดูแถวหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น พอเข้าไปถึง พิกุลก็ต้องตะลึง เข่าอ่อนทรุดลงนั่งอยู่ตรงนั้นเอง มุกที่ตามเข้ามาเป็นคนที่สอง พอเห็นศพ ก็ยืนตะลึงตัวแข็งค้างไปอีกคน แต่สิรีกับผกายังไม่เห็น จึงเป็นห่วงพิกุลว่าเป็นอะไร
“พี่พิกุลเป็นอะไรไปน่ะ” สิรีงง
“จะเป็นลมล่ะสิ ก็แม่บอกแล้วว่าอย่ามาดูเลย..คนตาย..มันน่าดูตรงไหนกัน”
ผกากับสิรีประคองพิกุล ทว่าพิกุลยังลุกไม่ขึ้น ได้แต่น้ำตาไหลพรากแล้วชี้ไปที่ศพ
“แม่...” พิกุลที่ไปชี้ศพมือสั่นระริก
ผกาเอะใจ หันไปดูตามที่พิกุลชี้ เห็นเป็นศพเดือน ผกาเข่าอ่อนทรุดลงนั่งกองกับพื้นอีกคน สิรีเห็นเข้าอีกคน ก็กรีดร้องเสียงดัง
“นังเดือน” แล้วจากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมาอย่างไม่อายใคร
สิรีกับพิกุลโผเข้ากอดกันอย่างขวัญเสีย และเสียใจ เพชรซึ่งเป็นหัวหน้าทีมตำรวจหันขวับมามองพวกผกา แล้วเดินเข้ามาหาทันที
“รู้จักกับคนตายเหรอครับ”
ผกาพยักหน้า “เดือน มันชื่อเดือน”
ผกาน้ำตาไหลพราก มองศพเดือนอย่างเสียใจสุดซึ้ง
ศพของเดือน ยังลืมตาโพลงอย่างคนที่ตายอย่างไม่สงบ
ทุกคนอยู่บนโรงพัก ผกานั่งเช็ดน้ำตาอยู่ สิรีกับพิกุลนั่งกอดกันร้องไห้ ส่วนมุกนั่งนิ่งอั้นอยู่คนเดียว
“นังเดือนมันบอกว่าจะออกมาซื้อของตั้งแต่เมื่อวาน แล้วก็ไม่กลับบ้านอีกเลย ดิฉันเป็นห่วง วันนี้ก็เลยคิดจะมาแจ้งความคนหายอยู่พอดีเลยค่ะ แต่ก็มาพบมันที่ริมน้ำนั่นเสียก่อน ตกลงมันเป็นอะไรตายคะคุณเพชร”
“จากผลการตรวจสภาพศพเบื้องต้น เราไม่พบร่องรอยถูกทำร้ายเลยครับ แล้วกระเป๋าสตางค์ในตัวผู้ตายก็ยังอยู่ครบ แสดงว่าไม่ได้ถูกจี้หรือถูกปล้น แล้วฆ่าอำพรางศพแน่” เพชรบอก
“แล้วตกลง..นังเดือนมันตายเพราะอะไรคะ มันผลัดตกน้ำตายรึคะ”
“อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ หรือไม่ก็..ตั้งใจจะโดดน้ำฆ่าตัวตาย”
“ฆ่าตัวตาย ไม่น่าเป็นไปได้หรอกค่ะคุณเพชร นังเดือนมันไม่ได้มีปัญหาชีวิตอะไรร้ายแรงเสียจนทำให้มันต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายหรอกค่ะ”
มุกตัดสินใจพูดขึ้นมา “มีจ้ะแม่”
ทุกคนหันไปมองมุกอย่างแปลกใจ
2 คนอยู่ห้องทำงานส่วนตัวของเพชรแล้ว มุกเล่าเรื่องเดือนให้ผกาฟัง
“นังเดือนมันเป็นโรคจ้ะแม่”
ผกาตกใจ “นังเดือนเป็นโรค มันเป็นได้ยังไง แม่เลือกแขกที่มาเที่ยวหอโคมแดงของเราทุกคนว่าไม่เป็นโรค แล้วนังเดือนมันไปติดโรคมาจากไหนกัน” ผกาไม่อยากเชื่อ
“มันก็ไปติดโรคมาจากแขกที่มันแอบออกไปรับงานเองข้างนอกนั่นละแม่ แล้วมันก็ไม่มีเงินจะรักษาตัว เพราะมันส่งเงินกลับไปให้แม่ให้น้องที่บ้านนอกหมด”
“แล้วแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไงหา นังมุก”
“ก็เพราะมันมายืมเงินฉันไปหาหมอบ่อยๆ น่ะสิแม่ นี่แหละที่ระยะหลังมันถึงไม่ยอมรับแขกอีก ก็เพราะมันเป็นโรคนี่แหละแม่”
“งั้นก็อาจจะเป็นไปได้ครับที่คุณเดือนฆ่าตัวตายเพื่อหนีโรคร้ายที่เป็นอยู่” เพชรแทรกขึ้น
“โธ่..ทำไมมันไม่บอกแม่ ทำไม”
ผกาก้มหน้าร้องไห้ด้วยความเสียใจ
บุปผามานั่งคอยอยู่ก่อนแล้วตรงจุดนัดในสวน สักครู่ผกาในชุดดำ ก็เดินหน้าเศร้าซึมเข้ามา บุปผาเอะใจว่าผกาคงรู้เรื่องเดือนตายแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจนัก บุปผาแสร้งทำเป็นตกใจขณะถาม
“ทำไมแม่ใส่ชุดดำล่ะจ๊ะ มีใครเป็นอะไรเหรอจ๊ะ”
“นังเดือน” ผกาพูดต่อไม่ได้ เพราะร้องไห้ออกมา
บุปผาร้องขึ้นท่าทางตกใจมาก “นังเดือนมันเป็นอะไรเหรอแม่”
“นังเดือน..มัน..ตายแล้วบุปผา”
“อะไรนะแม่ นังเดือนตาย ตายได้ยังไง”
“ตำรวจสันนิษฐานว่ามันโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อหนีโรคร้ายที่มันเป็น แม่ไม่เคยรู้เลยว่ามันเป็นโรค แต่นังมุกมันเล่าว่านังเดือนมันแอบออกไปรับแขกข้างนอกเองเพื่อจะได้ไม่ต้องโดนหักหัวคิว มันเลยติดโรคมาจากแขก”
“โธ่”
บุปผาก็ล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมาให้ผกาจำนวนหนึ่ง
“แม่..ฉันคงไม่ได้ไปงานศพนังเดือนมันหรอกนะ ฉันฝากเงินนี่ให้แม่เอาไปทำบุญแทนฉันทีนะจ๊ะ ส่วนนึง..ฉันฝากช่วยทำศพมัน แล้วอีกส่วนแม่ช่วยส่งไปให้แม่นังเดือนที่บ้านนอกทีนะแม่นะ”
ผการับเงินไว้ “ขอบใจนะ นี่ถ้านังเดือนมันรู้ว่าแกมีน้ำใจกับมันมากอย่างนี้ มันคงดีใจ” ผกาปาดน้ำตา “แม่มาส่งข่าวแค่นี้ละ แม่ต้องรีบไปแล้ว จะไปจัดงานศพให้นังเดือนมัน ป่านนี้พวกนังมุกไปรอแม่อยู่ที่วัดแล้ว”
“ฉันก็ต้องรีบไปเหมือนกันจ้ะแม่ นี่ฉันมากับนังคุณหนู นังคุณหนูมันมาซื้อของที่ตลาด ฉันเลยแอบแว่บมาที่นี่ แม่ดูแลรักษาตัวเองดีๆด้วยนะจ๊ะ ฉันเป็นห่วงแม่นะ”
ผกาพยักหน้ารับ สีหน้ายังเศร้าอยู่ แล้วผกาก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
บุปผาโล่งใจ รู้แล้วว่าไม่มีใครสงสัยเลยว่าเดือนถูกหล่อนฆ่าตาย
อ่านต่อหน้า 3
ไฟหวน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ขณะที่มัทนากำลังเดินซื้อของอยู่ในตลาด โดยมีคนขับรถเดินตาม มัทนามองไปมุมหนึ่งเห็นหลงกำลังคุ้ยขยะหาของกินอยู่อย่างน่าเวทนา เนื้อตัวมอมแมม
มัทนาผู้แสนดีเห็นหลงกำลังคุ้ยขยะหาของกินอยู่ก็สงสาร เลยเดินเข้าไปหา หลงเห็นคนเดินเข้ามา ก็ออกอาการหวาดระแวง และกลัวจนตัวสั่น โบกไม้โบกมือไล่มัทนาเป็นการใหญ่ คนรถกลัวหลงทำอะไรมัทนาก็รีบห้าม
“อย่าเข้าไปใกล้มันครับคุณหนู เดี๋ยวมันอาจจะทำร้ายคุณหนูนะครับ”
มัทนาไม่เชื่อ “ไม่หรอกจ้ะ เขาไม่ทำร้ายฉันหรอก เขาน่าสงสารออก”
แล้วมัทนาก็หันไปค่อยๆ ตะล่อมหลงอย่างเมตตา
“ใจเย็นๆนะจ๊ะหนู ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก หิวเหรอจ๊ะ”
พอหลงเห็นมัทนาพูดเสียงอ่อนโยน ก็คลายอาการหวาดระแวงลง หลงพยักหน้าให้ แล้วหันไปคุ้ยขยะหาของกินต่อ มัทนาเลยเดินเข้าไป คว้ามือหลงไว้ไม่ให้คุ้ยขยะ
“ของเนี่ย มันกินไม่ได้รู้ไม๊ มันสกปรกแล้ว ถ้าหนูหิว มากับฉันสิ ฉันจะพาไปกินข้าว”
หลงยังทำท่าคลางแคลงใจ มัทนาทำท่ากินข้าว
“กินข้าวไง ฉันจะพาไปกินข้าว”
มัทนาค่อยๆ เข้าไปจูงมือหลงจะพาไปร้านอาหารในตลาด หลงยอมให้มัทนาจูงมือแต่โดยดี เพราะสัมผัสได้ว่ามัทนาเป็นคนจิตใจดี มัทนายิ้มให้ไอ้หลงอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปสั่งคนรถ
“เธอรีบไปตามคุณหมอไอศูรย์ที่โรงพยาบาลมาทีเร้ว ฉันคิดว่าเด็กนี่อาจจะเป็นเด็กคนเดียวกับที่คุณหมอตามหาอยู่ก็ได้ แล้วพาคุณหมอตามไปพบฉันที่ร้าน..ฉันจะพาเด็กไปกินข้าวที่นั่น”
คนรถอิดออดเป็นห่วงมัทนา “แต่”
“ไปสิ”
คนรถจำใจออกไป มัทนาจูงไอ้หลงไปร้านอาหาร
จังหวะนี้บุปผาเดินมาที่ตลาด มองหามัทนาบ่นกระปอดกระแปด
“ไหนอีนังคุณหนูมันบอกว่าจะมาซื้อผลไม้ เราก็อุตส่าห์เดินมาตามหาตามแผงผลไม้ ก็ไม่ยักอยู่ หายหัวไปไหนนะ”
บุปผาเดินชะเง้อหามัทนาต่อ โดยไม่รู้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งของใครคนหนึ่ง แอบซุ่มดูบุปผาอยู่ไกลๆ
ที่แท้ คือตาเถานั่นเอง
“อีนังผู้หญิงหยำฉ่า เพราะมึงทีเดียว..ที่ทำให้กูต้องมาตกระกำลำบากอย่างนี้”
ตาเถามองบุปผาสีหน้าชิงชัง แล้วตาเถาก็แอบตามไปโดยที่บุปผาไม่รู้ตัว
บุปผาเดินมาเจอมัทนาพาหลงมานั่งกินข้าวอยู่
“อ้าว..อีนังคุณหนูนั่งกินข้าวอยู่กับเด็กที่ไหนล่ะนั่น”
แต่พอบุปผาจะเดินเข้าไปหามัทนา ก็ถูกตาเถาพุ่งเข้าชาร์จจากทางด้านหลัง เอามือปิดปากบุปผาไว้แน่นไม่ให้บุปผาร้องออกมาได้ บุปผาตกใจดิ้นสู้สุดฤทธิ์ แต่ก็สู้แรงผู้ชายไม่ได้
ตาเถากำลังจะลากตัวบุปผาออกไป
ด้านมัทนามัวแต่ดูแลให้หลงได้กินข้าวอยู่ หลงเงยหน้าขึ้นมาพอดี และเห็นตาเถากำลังจะลากบุปผาออกไป
พอหลงเห็นตาเถาก็ออกอาการสติแตกขึ้นมาทันที ส่งเสียงร้องอื้ออ้าๆ ช้อนในมือตกกระจาย มัทนาตกใจ
“เป็นอะไรไปล่ะจ๊ะหนู”
หลงไม่ตอบ แต่ชี้มือไปที่บุปผา มัทนาเหลียวไปดูตามที่หลงชี้ ส่วนหลงก็วิ่งเตลิดหนีไปทันที
มัทนาเห็นตาเถาลากตัวบุปผาไปก็ตกใจมาก
“บุปผา”
มัทนารีบวิ่งไปช่วยบุปผาทันที
ฟากตาเถาลากบุปผาห่างออกมาจากตลาด มัทนาตามมาไม่ลดละ
“จะทำอะไรบุปผาน่ะ”
“อย่ามายุ่งเรื่องของกู กูไม่ได้มีเรื่องอะไรกับมึง” ตาเถาบอกเสียงแข็ง
แต่มัทนาไม่ยอมทิ้งบุปผา ตัดสินใจวิ่งเข้าไปทุบตีตาเถาเพื่อให้ปล่อยบุปผา
“ปล่อยบุปผาเดี๋ยวนี้นะ”
“เฮ้ย อีนี่ มาตีกูทำไม” ตาเถาชักโมโห
มัทนาไม่ยอมหยุดทุบตีตาเถาเพื่อจะให้ปล่อยบุปผาให้ได้ ตาเถาโมโหสุดขีด สะบัดหลังมือตบมัทนาเปรี้ยงเดียว ร่างมัทนากระเด็นออกไปฟุบพี่พื้นแล้วแน่นิ่งไปทันที บุปผาฉวยโอกาสจังหวะนั้นวิ่งหนี ตาเถาหันขวับแล้ววิ่งตามไปจิกหัวบุปผาจนหน้าหงาย ตบบุปผาดังผลัวะ บุปผาฟุบไปที่พื้นอีกคน
ตาเถาตามไปจับบุปผาหงายขึ้น แล้วตบตีอีก บุปผาสู้ตาย ตาเถาเลยบีบคอบุปผาแล้วจับหัวบุปผาโขกกับพื้นจนบุปผาสู้ไม่ไหว ตาเถาหยุดตบ แล้วล้วงหยิบของบางอย่างออกมาจากถุงย่าม
ของที่อยู่ในมือตาเถา เป็นขวดเล็กๆ บรรจุของเหลวบางอย่าง
ตาเถาชูขวดนั้นขึ้นดู ตาลุกวาว
“กูไม่ฆ่ามึงหรอกอีผู้หญิงหยำฉ่า ถ้ามึงตายง่ายๆ มันไม่สาแก่ใจกู กูจะให้มึงมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างคนหน้าผี”
ตาเถาจะเทของเหลวในขวดนั้นลงบนใบหน้าบุปผา บุปผารู้ทันทีว่าของเหลวในขวดนั้นคือน้ำกรด ก็พยายามจะส่ายหน้าหนี
“อย่า..อย่า”
แต่ตาเถาไม่สนใจใยดี จะเทน้ำกรดลงบนหน้าบุปผาให้ได้ แต่ทันใดนั้น ก็มีมือใครบางคนเข้ามาปัดขวดนั้นอย่างแรง จนขวดกระเด็นหลุดจากมือตาเถาไป
ขวดนั้นตกแตกกับพื้น เห็นน้ำกรดนองพื้นเกิดเป็นฟองฟู่ ตาเถาหันขวับไปมองคนที่เข้ามาตบขวดนั้นทิ้ง เห็นเป็นไอศูรย์
โดยที่ตาเถาไม่ทันตั้งตัว ไอศูรย์ก็ชกตาเถาเปรี้ยง
ตาเถาผงะหงายไป แล้วพอเห็นไอศูรย์มองมาสีหน้าถมึงทึงเอาเรื่อง ก็ลนลานตะเกียกตะกายหนีไป
ไอศูรย์ตัดสินใจไม่ตามตาเถา เพราะเป็นห่วงผู้หญิงสองคนมากกว่า คนรถวิ่งเข้ามาดูแลบุปผา ส่วนไอศูรย์ถลาเข้าไปดูมัทนา
“น้องมัท..น้องมัท”
มัทนาลืมตาขึ้นแล้วผวาเข้ากอดไอศูรย์อย่างเสียขวัญ ไอศูรย์กอดมัทนาไว้แน่น สักครู่มัทนาก็ตั้งสติได้ นึกเป็นห่วงบุปผา
“บุปผาละคะพี่ต้น บุปผาเป็นยังไงบ้าง”
มัทนาลุกขึ้นวิ่งไปดูบุปผา ไอศูรย์ตามไป
“พี่ต้นช่วยบุปผาด้วยค่ะ ช่วยบุปผาด้วย”
ไอศูรย์ดูอาการบุปผา พบว่าบุปผาสลบไปแล้ว ไอศูรย์จึงตัดสินใจอุ้มบุปผาไปที่รถทันที มัทนากับคนรถตามไป
บุปผาถูกนำตัวกลับมาที่บ้านเทพบริบาลในเวลาต่อมา บุปผาอยู่ในห้องพักค่อยๆ ได้สติ ลืมตาขึ้น
บุปผาเห็นหน้ามัทนาเป็นคนแรก มัทนาคอยเอายาดมมาอังใต้จมูกให้บุปผาดม มัทนาที่ยิ้มดีใจทันทีที่เห็นบุปผาได้สติแล้ว คนอื่นๆ ชะเง้อดู
“บุปผาฟื้นแล้วค่ะพี่ต้น”
ไอศูรย์รีบแทรกเข้ามาดูอาการบุปผา
“บุปผาไม่น่าจะเป็นอะไรมากแล้วละ แต่คงจะระบมแผลที่ถูกทำร้ายมาอีกสัก 2-3 วัน”
สร้อยหมั่นไส้พูดเปรยขึ้น “ก็ไม่รู้มันไปก่อคดีกับใครมาน่ะนะ ถึงได้ ถูกโจทก์ตามคิดบัญชีเสียน่วมอย่างนี้ โจทก์ คนนี้ของแก มันใครกันหา..บุปผา”
“ฉันไม่รู้จักเลยจ้ะ ทีแรกฉันคิดว่ามันเข้ามาปล้น แต่พอฉันบอกว่าฉันไม่มีเงินหรอก มันก็เลยจะลากตัวฉันไป”
“นี่ถ้าคุณหนูไม่ตามไปช่วยแก จนต้องเจ็บเนื้อเจ็บตัวไปด้วย..ป่านนี้แกอาจจะถูกคนร้ายมันลากไปปู้ยี่ปู้ยำแล้ว”
มัทนาปราม “สร้อยอย่าพูดให้บุปผากลัวไปมากกว่านี้เลยจ้ะ แค่นี้บุปผาก็คงจะขวัญเสียมากพออยู่แล้ว”
บุปผาเห็นไอศูรย์มองอยู่ด้วย เลยตัดสินใจยกมือไหว้มัทนา
“บุปผาขอบคุณคุณหนูมากนะคะที่ช่วยบุปผาไว้” แล้วหันไปไหว้ไอศูรย์ “แล้วก็ขอบคุณ-คุณหมอด้วย ถ้าไม่ได้คุณหมอ..บุปผาคง...” แล้วพูดต่อไม่ออก ร้องไห้โฮออกมา
“เอาเถอะ เรื่องร้ายผ่านไปแล้ว ฉันว่าบุปผาพักผ่อนเถอะ”
“พักให้มากๆ นะจ๊ะบุปผา”
บุปผายกมือไหว้มัทนากับไอศูรย์อีกครั้ง พอทุกคนออกไปแล้ว บุปผาก็เปลี่ยนจากสีหน้าเศร้าสร้อย เป็นอาฆาตเคียดแค้นสร้อยทันควัน
เวลาต่อมาคุณหญิงมณีเดินโอบบ่ามัทนากลับขึ้นมาบนตึก ด้วยความเป็นห่วง คนอื่นๆตามมา
“ลูกจ๋า..ทำไมถึงได้กล้าหาญ เข้าไปช่วยนังบุปผา ไม่กลัวภัยอันตรายจะเกิดแก่ตัวเองเล้ย..ทีหลังอย่าทำอย่างนี้อีกนะลูกนะ มันไม่คุ้มเลยที่มัทจะเอาชีวิตมัทไปเสี่ยง เพื่อช่วยคนใช้ในบ้านน่ะ”
“ถึงบุปผาจะเป็นแค่คนในบ้าน แต่บุปผาก็เป็นคนเหมือน เรานะคะคุณแม่ แล้วมัทเห็นอยู่กับตาว่าบุปผากำลังถูกทำร้ายอย่างนั้น จะให้มัทยืนมองเฉยๆ โดยไม่ช่วยเหลืออะไร ก็คงจะใจจืดใจดำเกินไปล่ะค่ะ”
คุณหญิงมณีทำหน้าเหนื่อยใจ มัทนาหันมายกมือไหว้ไอศูรย์
“มัทขอบคุณพี่ต้นด้วยนะคะที่เข้ามาช่วยพวกเราทันเวลา”
“แต่ก็เกือบไม่ทันเหมือนกันละ” ไอศูรย์ส่ายหน้า “ทำไมคนเดี๋ยวนี้ใจคอโหดเหี้ยมกันจริง” แล้วนึกบางอย่างได้ “เอ้อ..แล้วเด็กคนที่น้องมัทพบล่ะ ไปไหนแล้ว”
“ตอนที่เกิดเรื่องชุลมุนกัน แกก็วิ่งหนีไปค่ะ
ไอศูรย์พยักหน้ารับรู้ ถอนหายใจอย่างผิดหวัง แล้วนายพลเทพก็เดินเข้ามา
“คุณพ่อ”
ไอศูรย์หันไปไหว้ผู้เป็นบิดา นายพลเทพเห็นหน้ามัทนาก็ตกใจ
“มัท เกิดอะไรขึ้นลูก”
มัทนายิ้มเจื่อนๆ ให้พ่อ
ไอศูรย์กลับถึงบ้านตอนค่ำ คุณหญิงแจ่มจันทร์ กับโฉม และอิ่ม ต่างมีสีหน้าตกใจ เมื่อรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับมัทนา และบุปผา จากไอศูรย์
“ตาย ทำไมหนูมัท กับแม่บุปผานั่น ถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ อย่านั้นพรุ่งนี้แม่ต้องไปเยี่ยมหนูมัทที่บ้านสักหน่อยแล้ว”
อิ่มสบโอกาส
“คุณหญิงคะ ขอดิฉันไปเยี่ยมคุณหนูมัทนากับแม่บุปผาด้วยคนได้ไม๊คะ เพราะตอนที่ดิฉันป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แม่บุปผาก็ช่วยดูแลดิฉันหลายครั้ง ตอนนี้แม่บุปผามาเจ็บตัวอย่างนี้ ดิฉันก็อยากไปเยี่ยมเขาบ้างน่ะค่ะ”
“ไม่ต้องไปหรอก เดี๋ยวแกก็ไปเป็นลมเป็นแล้งที่โน่นอีก เขาจะวุ่นวายกันมากขึ้นอีก” โฉมบอก
ไอศูรย์พูดกับโฉม “ไม่เป็นไรหรอก ให้อิ่มไปเยี่ยมด้วยก็ดี คนเราใครเคยมีน้ำใจกับเรา เมื่อมีโอกาส เราก็ควรแสดงน้ำใจกลับคืนเขาบ้างนะ”
โฉมเสียงอ่อยๆ ไป “ค่ะคุณหมอ”
โฉมค้อนอิ่มอีกครั้ง แต่อิ่มไม่สนใจ เพราะกำลังนึกดีใจที่จะได้มีโอกาสไปบ้านนายพลเทพ
เธอหวังว่าคราวนี้ และได้บอกเรื่องสำคัญแก่เขาเสียที
คืนนั้น นายพลเทพกำลังเคาะประตูห้องมัทนาอยู่ คู่เดียวมัทนาก็มาเปิดประตู พอเห็นเป็นพ่อ มัทนาก็ยิ้ม
“มีอะไรหรือคะคุณพ่อ”
“พ่อเข้าไปได้ไม๊”
“เชิญค่ะคุณพ่อ”
นายพลเทพเดินเข้ามานั่งที่เตียงนอนลูกสาว มัทนาตามมาแล้วลงนั่งพับเพียบที่พื้น นายพลเทพเอื้อมมือไปแตะแผลที่มุมปากที่ถูกตาเถาตบ แล้วหน้าเศร้า
“พ่อเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับมัทจริงๆ ตั้งแต่มัทเล็กจนโต พ่อกับแม่ไม่เคยตีลูกเลยสักครั้งเดียว แล้วมัทก็เป็นลูกที่ดี ไม่เคยทำให้พ่อแม่ตองหนักใจในเรื่องอะไรเลย ทำไมถึงเกิดเองอย่างนี้ขึ้นกับลูกได้”
“ช่างมันเถอะค่ะคุณพ่อ ชาติที่แล้วมัทอาจจะเคยทำร้ายตาลุงคนนั้นมาก่อน ชาตินี้เขาถึงได้มาเอาคืน มัทไม่โกรธเขาหรอกค่ะ มัทอโหสิให้เขาค่ะ”
“โถ..ลูกมัทของพ่อเป็นคนดีจริง เอ้า..พ่อมีอะไรมาให้ลูกด้วยน่ะ”
มัทนามีสีหน้าแปลกใจ นายพลเทพล้วงหยิบสร้อยพระเส้นหนึ่งออกมา แล้วคล้องคอให้มัทนา มัทนายกมือไหว้ขอบคุณพ่อ
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองลูกของพ่อนะ”
มัทนายกมือไหว้พ่ออย่างนอบน้อม แล้วจบภาพที่หน้านายพลเทพที่อดคิดถึงลูกอีกคนไม่ได้
ไม่นานหลังจากนั้น นายพลเทพกลับเข้าห้อง สองผัวเมียต่างนอนหันหลังให้แก่กัน และต่างฝ่ายต่างนอนไม่หลับ แต่ไม่พูดกัน คุณหญิงมณี คับแค้นใจ
คุณหญิงแจ่มจันทร์ และไอศูรย์ แวะมาเยี่ยมมัทนาแต่เช้า และเวลากำลังนั่งอยู่ในห้องโถง ลูบหัวมัทนาอย่างเอ็นดู
“โถๆๆๆๆ หนูมัทของป้า เคราะห์หามยามร้ายจริ๊ง ขวัญเอ๊ยขวัญมานะลูกนะ”
มัทนายกมือไหว้คุณหญิงแจ่มจันทร์ “ขอบพระคุณค่ะคุณป้า”
“วันนี้หนูมัทกับพ่อต้นจะใส่บาตรครบ 10 ครั้งแล้วนะป้าคิดว่า..พอหนูมัทอาบน้ำมนต์ครั้งสุดท้ายแล้ว ป้าก็ว่าจะชวนคุณหญิงมณี กลับขึ้นไปหาคุณชไมอีกครั้ง ให้คุณชไมหาฤกษ์หมั้นให้เราทั้งสองคนอย่างเร็วที่สุด”
“ดีครับ ยิ่งเร็วยิ่งดีครับ”ไอศูรย์ยิ้มหน้าบาน
มัทนายิ้มเขิน พวกผู้ใหญ่พากันยิ้มเอ็นดูไปตามๆ กัน คุณหญิงแจ่มจันทร์ก็มองดู
ข้าวของที่สร้อยกำลังจัดเตรียมสำหรับใส่บาตร
“ทำไมวันนี้ของใส่บาตรแยะนักละคะคุณหญิง”
คุณหญิงมณีทำหน้าเหมือนไม่ค่อยอยากจะตอบ มัทนาเลยตอบเสียเอง
“วันนี้คุณพ่อจะลงมาใส่บาตรกับเราด้วยน่ะค่ะ”
คำพูดประโยคดังกล่าวกระแทกเข้าที่หน้าอิ่มที่ยืนฟังอยู่ไกลๆ จังๆ แล้วทันใดนั้นนายพลเทพก็เดินลงมาจากตึก คุณหญิงแจ่มจันทร์ ไอศูรย์ โฉม และอิ่มรีบยกมือไหว้ ท่านนายพลรับไหว้ทุกคน โดยมองอิ่มอย่างผ่านๆ
“ไม่ได้พบคุณหญิงแจ่มจันทร์เสียนาน สบายดีนะครับ”
“สบายดีค่ะ แล้วท่านนายพลละคะ สบายดีไม๊คะ”
นายพลเทพจะพูดว่าสบายกาย แต่ไม่สบายใจ แต่ก็ไม่อยากพูดต่อหน้าคุณหญิงมณี เลยเสไป
“สบาย..ตามอัตถภาพ..น่ะครับคุณหญิง เอ้า..พระมาพอดี ใส่บาตรกันเถอะครับ”
ทุกคนเริ่มใส่บาตร อิ่มเอาแต่มองนายพลเทพอย่างตื่นเต้น ใจเต้นระรัว
หลังจากนั้นอิ่มมายืนหลบมุมอยู่คนเดียว
“อุ่น..ฉันเจอท่านนายพลแล้ว วันนี้ละ ท่านนายพลจะได้รู้ความจริงเสียที”
อิ่มหายใจแรงด้วยความตื่นเต้น แล้วนึกอะไรขึ้นได้
“อุ๊ย..ต้องแวะไปเยี่ยมแม่บุปผาเสียหน่อย เดี๋ยวพี่โฉมจะจับได้ว่าเราขอแยกตัวมา แต่ไม่ได้เยี่ยมแม่บุปผาจริงๆ”
อิ่มเดินไปทางเรือนพักคนใช้ทางหลังบ้าน
บุปผานอนซมไข้อยู่บนเตียงในห้องเพราะบาดเจ็บจากเมื่อวาน สวิงเคาะประตูเบาๆ แล้วค่อยๆเปิดประตูแง้มเข้ามา
“นังบุปผา มีคนมาเยี่ยมแกแน่ะ”
บุปผามีสีหน้าดีขึ้นมาทันที “คุณหมอเรอะ”
แล้วบุปผาก็ต้องหุบยิ้ม เมื่อเห็นเป็นอิ่ม ไม่ใช่ไอศูรย์อย่างที่หล่อนคิด
อิ่มยิ้มทักบุปผา “เป็นยังไงบ้างแม่บุปผา ป้าได้ข่าวว่าแกถูกคนทำร้ายมา เจ็บมากไม๊แก”
บุปผาตอบอย่างแกนๆ ผิดหวังที่ไม่ใช่ไอศูรย์ “ก็เจ็บมากอยู่ล่ะป้า ขอบใจนะที่ป้าอุตส่าห์มาเยี่ยมน่ะ เออ..แล้วนี่คุณหมอไอศูรย์มาด้วยรึเปล่าป้า”
“มาสิ กำลังทานข้าวเช้าอยู่กับคุณๆ บนตึกโน่นแน่ะ”
บุปผายิ้มออกมาทันที
ไฟหวน ตอนที่ 10 (ต่อ)
ไอศูรย์ มัทนา นายพลเทพ คุณหญิงมณี และคุณหญิงแจ่มจันทร์ นั่งทานข้าวเช้าอยู่ด้วยกัน โดยมีสร้อยกับโฉม คอยยืนปรนนิบัติดูแลอยู่
สักครู่อิ่มก็เดินมายืนสมทบท่าทางสงบเสงี่ยม ในใจมุ่งมั่นแต่จะพบเพื่อคุยกับนายพลเทพให้จงได้
สร้อยคอยปรนนิบัติเจ้านายอยู่ แล้วหันมามองอิ่มโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วสร้อยก็ชะงัก ขมวดคิ้วนิ่วหน้า พยายามคิดทบทวน แล้วพึมพำกับตัวเอง
“เราเคยเห็นแม่นี่..ที่ไหนน๊า” สร้อยนึกไม่ออกเสียที จนหงุดหงิด
ไอศูรย์เอ่ยขึ้น
“วันนี้..มัทยังเจ็บแผลอยู่มากไม๊”
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะพี่ต้น มัทน่ะ..โดนไม่เท่าไหร่ แต่บุปผาสิคะ คงจะระบมอีกหลายวัน ถ้าทานข้าวเสร็จแล้ว มัทรบกวนพี่ต้นแวะลงไปดูอาการบุปผาอีกสักครั้งได้ไม๊คะ”
“ได้สิ พี่ก็ตั้งใจอยู่แล้วละน้องมัท แล้วจะได้แวะดูนายสินด้วย บุปผามาเจ็บอย่างนี้ คงจะดูแลนายสินลำบากอยู่ละ”
ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
ส่วนสิน กำลังทำกายภาพบำบัด กำมือ แบออก แล้วก็กำใหม่ แล้วก็แบออก ทำอย่างนี้ซ้ำอยู่อีกหลายครั้ง สลับกับการขยับขาไปมา และเริ่มพูดได้มากกว่าเก่า อาการของสินดีขึ้นตามลำดับ
“อี..บุปผา..อีกไม่นาน..หรอกมึง ทุกคน..ในบ้านนี้..จะได้รู้..ว่า..มึงเป็นใคร”
สินมุ่งมั่นมากว่า จะรอเวลาเปิดโปงความลับของบุปผาให้ได้เร็วๆ นี้
ทุกคนกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“งั้นผมขอตัวไปดูอาการบุปผา กับนายสิน ก่อนนะครับ” ไอศูรย์เอ่ยขึ้น
“ไปเถอะพ่อต้น ฝากด้วยนะ เดี๋ยวลุงจะขึ้นไปแต่งตัว ออกไปทำงานด้วย”
ไอศูรย์ยกมือไหว้ลานายพลเทพแล้วออกไป มัทนาลุกตามไป
“ป้าไปด้วยหนูมัท” แจ่มจันทร์ตามไปด้วยอีกคน
คุณหญิงมณี สร้อย และโฉม จึงต้องตามไปด้วย ทุกคนเลยลืมอิ่มเสียสนิท อิ่มจึงฉวยจังหวะที่ทุกคนออกจากห้องอาหารไป ตัดสินใจเดินตามนายพลเทพไป
นายพลเทพเดินมาถึงหน้าห้องนอน กำลังจะเปิดประตูเข้าห้อง แล้วก็ต้องชะงัก เมื่ออิ่มวิ่งตามมา
“ท่านนายพลคะ รอเดี๋ยวค่ะ”
นายพลเทพหันมาเห็นว่าเป็นอิ่มที่ตามมาก็ตกใจ
“เธอมีอะไรรึ ถึงตามฉันขึ้นมาถึงบนนี้”
“ท่านนายพลขา ท่านจำดิฉันได้หรือไม่คะ ดิฉันชื่อ อิ่ม เป็นพี่สาวของ นังอุ่น ไงคะ”
ท่านนายพลตื่นตะลึง “อิ่ม”
นายพลเทพรีบเข้ามาหาอิ่ม แล้วมองหน้าอิ่มชัดๆ
“อิ่มจริงๆหรือนี่ ไม่ได้เห็นกันร่วม 20 ปี ฉันจำอิ่มไม่ได้เลย แล้วนี่หายไปไหนมา ตั้งแต่แม่อุ่นตายเสียในไฟ เธอก็หายหน้าไปเลย”
“ท่านนายพลคะ..ดิฉันมีเรื่องสำคัญจะต้องเรียนให้ท่านทราบค่ะ คืนนั้นก่อนไฟไหม้ ลูกนังอุ่นมันคลอดก่อนกำหนด...”
อิ่มเล่าตอนที่อุ่นคลอดลูกแล้ว และพยายามจะชะเง้อมองลูก
“ขอฉันดูหน้าลูกหน่อยสิพี่อิ่ม...ลูกฉันเป็นยังไงบ้าง ทำไมฉันไม่ได้ยินเสียงลูกร้องเลยล่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เด็กหายใจนะ” พยายามจะเขย่าตัวเด็ก “ร้องสิเอ็ง...ร้องสิ”
อิ่มเล่าต่อ
“แต่ทำยังไงเด็กก็ไม่ร้อง ดิฉันก็เลยจะอุ้มไปหาหมอในเมือง เราสองป้า-หลานจึงรอดตายจากกองไฟมาได้อย่างหวุดหวิดค่ะท่าน แต่ดิฉันก็เคราะห์ร้าย”
อิ่มเล่าเหตุการณ์ตอนที่ตนวิ่งถลันลงไปที่ถนน ทันใดนั้น รถของผกาที่แล่นมาจึงเบรกไม่ทัน พุ่งเข้าชนร่างของอิ่มเข้าให้ แม้จะพยายามเบรกแล้ว แต่ก็ยังกระแทกร่างของอิ่มอยู่ดี อิ่มล้มฟุบลงกับพื้นพร้อมเด็กที่ยังอุ้มแนบอกอยู่
อิ่มเล่าต่อ
“พอฟื้นขึ้นมา ความคิด ความจำของดิฉันก็วิปลาสไป จนดิฉันเตลิดเปิดเปิงออกไปเร่ร่อนอยู่ตามที่โน้น ที่นี้ อยู่เสียหลายปี กว่าความจำจะกลับคืนมา แต่ท่านนายพลเจ้าขา”
อิ่มร้องไห้ แล้วทรุดลงกราบนายพลเทพแทบเท้า
“แม่อิ่ม” นายพลเทพตกใจ
“ถึงดิฉันจะพาลูกสาวของท่านหนีตายออกมาจากกองไฟได้ แต่ตอนนั้นดิฉันก็เลอะเลือนเสียจนไม่รู้ว่า..ใครเอาตัวหลาน ไปค่ะ ดิฉันขอโทษค่ะ”
พูดจบอิ่มก็กราบขอโทษนายพลเทพอีกครั้ง
“เอาเถอะๆ แม่อิ่ม อย่าโทษตัวเองไปเลย รู้ไม๊ เมื่อไม่กี่วันก่อน ฉันเกิดไปได้เบาะแสมาว่า..คืนที่แม่อุ่นตายในไฟ แล้วแม่อิ่มพาลูกของฉันหนีออกมาได้น่ะ มีคนมารับลูกฉันไปเลี้ยงต่อ”
“ใครกันคะ”
“ตามฉันมานี่สิ ฉันจะให้เธอดูรูปใครบางคน เผื่อว่าเธอจะจำอะไรขึ้นมาได้บ้าง”
นายพลเทพก็เดินนำอิ่มเข้าไปในห้องนอน โดยไม่ทันได้คิดอะไร
อิ่มรีบรุดตามเข้าไป อยากรู้มากว่านายพลเทพจะให้เธอดูรูปใคร
ด้านไอศูรย์มาตรวจดูอาการของบุปผา คนอื่นๆ คอยอยู่ห่างๆ สักครู่สร้อยก็เริ่มสังเกตเห็นว่าอิ่มไม่ได้มาด้วย ก็เลยสะกิดถามโฉม
“เอ๊..แม่คนใหม่ที่บ้านเธอ ไม่ได้มากับเราด้วยรึ”
“เออ..นั่นสิ มันไปเดินเกะกะอยู่ที่ไหนเนี่ย” โฉมชักร้อนใจ
“ไม่เป็นไร ฉันไปดูเอง” สร้อยออกไป
นายพลเทพเปิดลิ้นชักโต๊ะ แล้วหยิบรูปผกา ที่ถูกคุณหญิงมณีฉีกขาดเป็นชิ้นๆ เมื่อหลายวันก่อนออกมา แล้วนายพลเทพก็ค่อยๆ เอารูปนั้นมาเรียงประกอบขึ้นเป็นรูปใหม่อีกครั้ง อิ่มมองอย่างสนใจ
“เธอจำผู้หญิงคนนี้ได้ไม๊อิ่ม”
อิ่มเพ่งดูรูปผกาที่ประกอบขึ้นใหม่อย่างพินิจพิจารณา
“ไง..อิ่มจำได้ไม๊”
อิ่มพยายามคิด
สร้อยเดินตามหาอิ่มจนทั่วบ้าน
“เอ๊..แม่นั่นมันหายไปไหนของมันนะ”
แล้วสร้อยก็เอะใจขึ้นมา เงยหน้าขึ้นไปมองบันไดขึ้นชั้นบน แล้วสร้อยก็เดินขึ้นไปชั้นบนทันที
เวลานั้นนายพลเทพกำลังคาดคั้นเอากับอิ่ม
“ว่าไงอิ่ม จำได้ไม๊”
อิ่มนิ่งคิด
นึกถึงตอนที่อิ่มเริ่มได้สติ ค่อยๆ ปรือตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ อย่างงุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน สีหน้าหวาดกลัวไปทุกอย่าง แล้วอิ่มก็หันไปทันทีที่ได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออก อิ่มเห็นผกาอุ้มเด็กเดินเข้ามา
อิ่มนึกออกแล้วตาโต
“ใช่ค่ะท่าน ผู้หญิงคนนี้แหละค่ะท่านที่อุ้มลูกท่าน หลานดิฉันไป”
นายพลเทพ ตื่นเต้นดีใจสุดๆ ในที่สุดเรื่องราวที่เขาตามสืบมานานก็เริ่มปะติดปะต่อ และเขามีโอกาสตามหาลูกจนเจอได้
“เธอจำได้ไม่ผิดนะแม่อิ่ม”
“ไม่ผิดหรอกค่ะท่าน..แต่...” อิ่มขมวดคิ้ว เมื่อคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
นั่นคือเหตุการณ์สำคัญตอนที่อิ่มเห็นสร้อยกระซวกแทงอุ่นอย่างเลือดเย็น
อิ่มตั้งท่าพูดต่อ
“แต่มีเรื่องหนึ่งที่ท่านจะต้องรู้ค่ะ”
อิ่มยังไม่ทันจะพูดต่อ ทั้ง 2 คนก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูหน้าห้องดังขึ้นอย่างกะทันหัน พร้อมเสียงสร้อย
“ท่านนายพลขา”
นายพลเทพกับอิ่มมีสีหน้าตกใจมาก
“นี่ถ้าสร้อยมันเห็นเธออยู่ในห้องนี้กับฉัน มีหวังคุณหญิงคงเข้าใจผิดแน่”
นายพลเทพพยายามคิดหาทางออกอย่างรวดเร็ว ท่านนายพลก็รีบชี้ให้อิ่มไปยืนที่หลังประตู ทำท่าให้อิ่มเงียบไว้ แล้วจึงเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มีอะไรรึสร้อย”
สร้อยถือวิสาสะชะโงกหน้าเข้ามาดูภายในห้อง กวาดตามองในห้องนอนนายพลเทพ แต่ก็ไม่เห็นใคร
“เอ่อ..สร้อยจะมาถามว่าท่านจะออกไปที่กรมเลยหรือเปล่าคะ สร้อยจะได้สั่งให้คนเขาเตรียมรถน่ะค่ะ”
“ไปสิ เดี๋ยวฉันแต่งตัวเสร็จก็จะไปเลย”
สร้อยรับคำ พลางกวาดตามองในห้องนายพลเทพอีกครั้ง แต่ก็ไม่เห็นอิ่มที่ยืนซ่อนตัวอยู่ที่หลังประตู สร้อยออกไป นายพลเทพปิดประตูแล้วถอนใจเฮือก เดินไปหยิบเครื่องแบบมาทั้งไม้แขวนโดยไม่เสียเวลาเปลี่ยนชุด แล้วเขาก็หันมาบอกอิ่ม
“ฉันจะลงไปข้างล่างเลย เธอค่อยๆตามลงไป อย่าให้ใครเห็นเชียวนะว่าเธอขึ้นมาบนนี้น่ะ แค่นี้ฉันก็มีเรื่องให้ปวดหัวมากพออยู่แล้ว
“เดี๋ยวค่ะท่าน ดิฉันมีเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้อง บอกท่านค่ะ” อิ่มเรียกไว้
“เอาไว้ก่อนเถอะ ต้องรีบไปแล้ว เดี๋ยวนังสร้อยกลับขึ้นมาอีกจะยุ่งกันใหญ่ ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าเธออยู่บ้านพ่อต้น แล้วฉันจะหาทางติดต่อไป”
แล้วนายพลเทพก็เดินหิ้วเครื่องแบบออกไปเลย อิ่มถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม ที่ไม่มีโอกาสบอกนายพลเทพเรื่องที่ว่า สร้อยเป็นคนฆ่าอุ่น และอุ่นไม่ได้ตายในกองไฟ เพราะไฟไหม้บ้าน
เหมือนอย่างที่นายพลเทพเข้าใจมาโดยตลอด
มัทนา ไอศูรย์ คุณหญิงมณี คุณหญิงแจ่มจันทร์ และโฉม กำลังจะเดินกลับขึ้นตึก ทุกคนเห็นนายพลเทพขับรถออกไปทำงาน มัทนาถามสร้อยซึ่งยืนอยู่ที่หน้าตึก
“คุณพ่อไปทำงานหรือจ๊ะสร้อย”
“ค่ะ”
“เราก็อยู่นานแล้ว เห็นสมควรเวลาจะต้องกลับกันเสียทีแล้วเหมือนกันค่ะคุณหญิง ดิฉันลาล่ะค่ะ”
คุณหญิงแจ่มจันทร์ ไอศูรย์ โฉม ไหว้ลาคุณหญิงมณี
แจ่มจันทร์หันมาพูดกับโฉม “อ้าว..แล้วแม่อิ่มไปไหนล่ะเนี่ย” อิ่มค่อยๆ เดินออกมา
“ไปไหนมายะหล่อน” โฉมถามเสียงขุ่น
“เอ่อ..อิ่มไปเข้าส้วมมาค่ะ”
“เอ้า..ลาท่านซะ เราจะกลับกันแล้ว”
อิ่มไหว้ลาคุณหญิงมณี มัทนา และสร้อย แล้วก้มหน้างุดเดินลงจากตึกไปเป็นคนแรก สร้อยมองตามอย่างสงสัย
ด้านบุปผา แอบแง้มหน้าต่างดูไอศูรย์กับคนอื่นๆ อยู่
บุปผาเห็นมัทนาไหว้ลาคุณหญิงแจ่มจันทร์ กับไอศูรย์ ทั้งหมดแยกย้ายจากกัน บุปผามองตาม
นายพลเทพเข้ามาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนใส่เครื่องแบบ ดำเกิงตกใจ ท่านนายพลไม่พูดพล่ามทำเพลง พอเดินมาถึงตัวดำเกิงก็สั่งทันที
“ดำเกิง ไปกับฉัน”
บรรยากาศในหอโคมแดงเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ผกา มุก สิรี และพิกุล ทั้งหมดใส่ชุดดำ และหน้าเศร้า สิรีและพิกุลยังคงร้องไห้อยู่ เพ็ญเดินเข้ามาหาผกา
“คุณผกาขา...มีแขกมาขอพบคุณผกาอยู่ค่ะ”
ผกาเริ่มหน้าเครียด ท่าทีหวาดระแวง “ใคร”
เพ็ญไม่ทันตอบ เพราะนายพลเทพ กับดำเกิงเดินตรงเข้ามาที่ผกาด้วยตัวเองแล้ว ผกา ตะลึง
ผกายืนกอดอกอยู่ สีหน้าอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง โดยมีนายพลเทพ ดำเกิง ยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นพวก มุก สิรี พิกุล และเพ็ญ ยืนแอบดูเหตุการณ์อยู่ไกลออกไป มุกเอ่ยขึ้น
“ใครน่ะ”
“ไม่รู้สิพี่ แต่ท่าทางเขาจะไม่ได้มาเที่ยวแน่ๆ ไม่งั้นแม่คงไม่พาเขาไปคุยตามลำพังอย่างนั้นหรอก”
“ท่าทางเครียดกันจังนะ ฉันอยากรู้จังว่าพวกเขาคุยเรื่องอะไรกัน” พิกุลคาใจสุดๆ
ไม่มีใครตอบได้ ทุกคนแอบมองผกากับผู้ชาย 2 คนต่อไป
นายพลเทพคาดคั้น
“ยอมรับมาเถอะแม่ผกา..ว่าเธอเป็นคนรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยง อย่าปากแข็งกับฉันต่อไปเลย เพราะตอนนี้ฉันมีคนที่จะเป็นพยานให้กับฉันได้ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงจริงๆ”
ผกาหน้าเครียด แต่ยังไม่ยอมพูดอะไร นายพลเทพทนไม่ไหว เข้าไปเขย่าตัวผกาอย่างร้อนใจ
“บอกฉันมาเถอะ..ว่าเธอรับเด็กคนนั้นมาเลี้ยงใช่ไม๊” เสียงท่านนายพลดังอย่างผู้ทรงอำนาจ “ใช่ไม๊”
ผกายังนิ่งอั้นอยู่ นายพลเทพโมโห
“เธอรู้ไม๊ว่าฉันเป็นใคร” นายพลเทพโมโหสุดขีดประกาศก้อง “ฉันคือนายพลเทพ เทพบริบาล”
ผกาตกใจแทบช็อก นายพลเทพเริ่มขู่
“แล้วถ้าเธอปากแข็ง ไม่ยอมบอกฉัน ฉันจะสั่งให้ตำรวจมาปิดที่นี่ ให้เธอกับคนของเธอไม่มีที่ซุกหัวนอนกันเลยทีเดียว”
“อย่านะคะท่าน”
“งั้นก็บอกมาสิ..แม่ผกา..ว่าเธอรับเด็กผู้หญิงคนนั้นมาเลี้ยงใช่ไม๊”
ผกาจำใจตอบในที่สุด “ใช่ค่ะ”
นายพลเทพสีหน้าดีใจสุดขีด
“แล้วตอนนี้ เด็กคนนั้น ลูกสาวของฉันอยู่ที่ไหน”
นายพลเทพเหลียวมองหาไปรอบๆ
พวกมุก สิรี พิกุล และเพ็ญ แอบยืนดูเหตุการณ์อยู่ไกลๆ พากันหลบวูบกันไปหมด แล้วก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมาดูเหตุการณ์ต่ออย่างอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ แม้จะไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของนายพลเทพ กับผกาเลยก็ตาม
นายพลเทพเร่งใหญ่
“บอกมาเร็ว..ลูกสาวฉันอยู่ที่ไหน”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วค่ะ”
ท่านนานพล มีสีหน้าผิดหวังอย่างแรง “อ้าว...แล้วไปอยู่ที่ไหน แม่ผกาบอกฉันมาสิ ฉันจะไปหา ฉันอยากเจอลูกสาวฉันเต็มทีแล้ว”
ผกาหันมาจ้องตานายพลเทพนิ่ง แล้วพูดช้าๆ อย่างชัดเจน
“ตอนนี้...เด็กคนนั้นออกจากที่นี่ ไปอยู่ที่บ้าน ท่านนายพลเทพ เทพบริบาล แล้วค่ะ”
นายพลเทพ ตื่นตะลึง
สองคนไม่รู้ว่าเวลาเดียวกันนั้นบุปผายังนอนซมอยู่บนเตียงในห้องเพียงลำพัง
อ่านต่อตอนที่ 11