หัวใจเรือพ่วง ตอนที่ 3
ขณะเดียวกันนั้น ทิพปภากำลังขัดพื้นห้องน้ำอยู่นั้น สายตาดันไปเห็นซองพลาสติกเล็กๆ เหน็บอยู่ใต้ซิงค์น้ำ ทิพปภาเอื้อมมือเข้าไปแกะออกมาดู จึงพบว่าเป็นซองใส่ยาบ้าราว 5-6 เม็ด
ทิพปภาตกใจมือไม้สั่นจนทำซองหล่น พอจะก้มลงไปเก็บ ปรากฏว่าเท้าของสมขาใหญ่ประจำคุก เหยียบเท้าทิพปภาเอาไว้
“อะไรที่ไม่ใช่ของเอ็ง ก็อย่าเสือกเข้ามายุ่งอีทิพ”
“แล้วมีตรงไหนที่มันติดป้าย ว่าเป็นของเอ็งเหรอ”
“อีทิพ มึงอยากลองดีกับกูใช่มั้ย
สมโกรธจัดพุ่งเข้าใส่ทันที ทิพปภาดิ้นรนต่อสู้ จนล้มกลิ้งไปกับพื้นทั้งสองคน ในที่สุดขาใหญ่ก็จิกหัวทิพปภาได้ ลากเข้าไปกดลงในถังน้ำใบใหญ่ที่วางอยู่ ทิพปภาเกือบไม่ไหวอยู่แล้ว เพื่อนนักโทษของทิพปภา วิ่งเข้ามาเห็นไม่รู้ทำไง เลยตะโกนช่วย
“ผู้คุมมา”
ได้ผล สมชะงัก จำต้องปล่อยทิพปภา แต่ยังขู่ทิ้งท้าย
“วันนี้ถือว่าเอ็งโชคดีนะอีทิพ แต่ถ้ายังซ่าแบบนี้อีก ระวังเอ็งจะไม่ได้ออกไปเห็นหน้าลูกสาวสุดที่รักของเอ็งอีก”
ทิพปภาสะดุ้งทันทีเมื่อได้ยินสมพูดถึงลูก สมรีบเก็บถุงยาบ้ายัดไว้ในเสื้อ ก่อนจะรีบออกไป ทิพปภาสำลักน้ำหน้าดำหน้าแดง
เพื่อนรีบเข้ามาดูถามอาการ “เป็นไงบ้าง”
ทิพปภาไม่ทันพูดอะไร พอดีผู้คุมเดินเข้ามา
“อ้าว เกิดเรื่องอะไร”
“เปล่าจ้ะ ฉันลื่นล้มตอนขัดห้องน้ำน่ะ” ทิพปภาตัดสินใจพูดปด
ผู้คุมไม่เชื่อนัก แต่เมื่อทิพปภาไม่ได้ว่าอะไร ก็ได้แต่ทักเป็นนัยๆ “ถ้าไม่มีเรื่องก็ดี อย่าไปเพิ่มโทษให้ตัวเองแล้วกัน ทีหลังก็ระวังๆ ไว้” พลางชี้ไปที่ทิพปภา “อ้าว มีคนมาขอเยี่ยมเรา”
รัญธิดาเข้ามานั่งรออยู่ที่ห้องเยี่ยม นั่งกุมมือแน่นบิดไปมาอย่างกังวลและเครียดจัด
ทิพปภาเดินมาตามทางเดินพร้อมกับผู้คุม สีหน้าตื่นเต้นดีใจ ที่จะได้พบลูก เพราะก่อนหน้านี้ได้ถามผู้คุมแล้ว
“พี่บอกว่าไม่ใช่ยายแพท...แล้วเป็นใครเหรอจ๊ะ”
“ไม่รู้สิ...ไม่เคยเห็นหน้า แต่เห็นลงชื่อในสมุดเยี่ยมไว้ว่า รัญธิดา”
ทิพปภาตาเป็นประกาย
ในขณะที่ทิพปภาดีใจจะได้พบหน้าลูกสาว รัญธิดากลับยิ่งเครียดขึ้นๆๆๆ มือปัดกันอยู่บนตักไปมา
ผู้คุมเปิดประตูให้ ทิพปภาเดินเข้ามาในห้องเยี่ยมอย่างดีใจ
“รัญลูกแม่”
ทว่าทุกอย่างเงียบกริบ ทั้งห้องว่างเปล่า บนเก้าอี้ที่รัญธิดาเคยนั่งอยู่ ไม่มีร่างของใครแล้ว ทิพปภามองไปรอบตัวอย่างผิดหวัง
รัญธิดาเดินจ้ำอ้าวออกมาจากเรือนจำ เหมือนหนีอะไรสักอย่าง เหงื่อกาฬออกเต็มหน้า ก่อนจะทนไม่ไหว ทรุดลงนั่งตัวสั่น ไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากด้วยความอัดอั้น ภาพจำแสนเจ็บปวดครั้งอดีตผุดขึ้นมาหลอกหลอน
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นที่สนามหญ้าโรงเรียน รัญธิดาอายุราวๆ 10 ขวบ ตกใจตื่นอยู่ในวงล้อมของเพื่อนๆ 4- 5 คน ที่พากันล้อเรื่องทิพปภาอย่างสนุกสนาน
“ไอ้ลูกขี้คุก ๆๆๆ”
รัญธิดาทั้งอับอายและเสียใจ พยายามปิดหูไม่ฟัง พอจะเดินออกเพื่อนก็เอามือกั้นไม่ให้ไปไหน แถมยังล้อต่อ รัญธิดาทนไม่ไหวตัดสินใจผลักเพื่อนเต็มแรงจนเพื่อนเซออกไปและล้มลงระเนระนาด รัญธิดาตกใจ เด็กผู้ชายตัวอ้วน มาดนักเลงหัวโจกกลุ่มชี้หน้าขู่อีก
“แกล้งเพื่อนเหรอ เดี๋ยวเรียกตำรวจมาจับเหมือนแม่เธอหรอก”
รัญธิดายิ่งตกใจ
“เราๆๆ เปล่านะ”
รัญธิดาถอยหลังหนี
เด็กอ้วนชี้หน้าด่าต่อ “เด็กนิสัยไม่ดี” ว่าแล้วก็เอากล่องนมที่อยู่ในมือขว้างใส่หน้ารัญธิดา พร้อมกับตะโกนบอกเพื่อนๆ “เร็วพวกเราช่วยกัน”
จากนั้นเด็กนรก ก็ช่วยกันเอากล่องนมในมือขว้างใส่ รัญธิดาได้แต่เอามือบัง แต่ไม่ทัน มีคนหนึ่งเอาก้อนหินเล็กๆ ขว้างมาโดนตรงขมับรัญธิดาเข้าอย่างจัง จนหัวแตกเลือดไหลออกมา แก๊งเด็กนรกวิ่งหนีออกไปโดยเร็ว รัญธิดาเอามือแตะขมับดู เห็นเลือดติดมือ ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยว
รัญธิดาดึงตัวเองกลับมา แต่อดเอามือแตะตรงขมับที่เคยโดนหินขว้างไม่ได้ แม้จะไม่ได้มีแผลให้เห็นที่ผิวหนัง แต่มันกลับเป็นแผลฝังลึกในใจ กลายเป็นความโกรธเกลียดแม่แทน รัญธิดาไม่ได้ร้องไห้ แต่นัยน์ตาแข็งกร้าวด้วยความเจ็บแค้น
แพทแวะมาหาเตอร์ที่ร้านกาแฟ ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ป่านนี้พี่ทิพย์คงมีความสุขที่เห็นยายรัญไปเยี่ยม”
“ไหนเธอว่า ไม่อยากให้รัญคบกันคุณพีทยังไง แล้วให้ไปบอกแม่ทำไม” เกย์ผมทองคาใจ
“ก็มีผู้ชายมาติดพันลูกสาว ขนาดหมั้นหมายกัน ไม่บอกได้ยังไงล่ะ
“อ๊าย นี่คุณพีทหมั้นกับรัญแล้วเหรอ โอ๊ย ใจหนึ่งก็อยากจะร้องไห้ด้วยความเสียดาย แต่อีกใจก็ต้องดีใจกับหลานเธอ สงสัยคงเป็นได้แค่การยิ้มทั้งน้ำตา” เตอร์พิราบรำพัน
“ดีใจทำไม ไปแอบหมั้นกันสองคน แบบนี้มันให้เกียรติที่ไหน ยายรัญก็เหมือนกัน รับปากกันเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วเชียว ว่าจะลองคนดูนานๆ ก่อน”
“แต่ถ้าคุณพีทขอฉัน ฉันก็ไม่ปฎิเสธเหมือนกันนะ” เตอร์เพ้อ
แพทตาเขียวเสียงขุ่น “เตอร์”
“แหม แพท คุณพีทเค้าทำขนาดนี้ ก็แสดงว่าเค้าต้องการแสดงความจริงใจให้เธอเห็นไม่ได้คิดจะเล่นๆ กับรัญ จะหาผู้ชายดีๆ เพอร์เฟ็กท์ตัวอย่างนี้ได้ที่ไหนอีก...หล่อ รวย นิสัยดี เพียบพร้อม”
แพทหยัน “นายคนนั้นเนี่ยนะ นิสัยดี”
“ถ้าไม่ดีเค้าจะหมั้นหมายถึงขั้นจะแต่งงานกับเด็กธรรมดาๆ อย่างยายรัญเหรอจ๊ะเธอ”
แพทถอนใจ “การแต่งงานมันเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิตนะ คนสองคนจะแต่งงานกัน ก็ต้องรู้จักตัวตนจริงๆ ของกันและกัน ไม่มีความลับต่อกัน ไม่งั้นจะอยู่กันยืดได้ไง”
“ตัวตนอะไรยะ แล้วไอ้ความลับที่ว่า มันหมายถึงของคุณพีทหรือว่า ของรัญ” เตอร์คาใจอยู่นั่น
แพทเลยคิดได้ว่าพูดมากไป รีบหยุด “ฉันก็..หมายถึงคุณพีทนะซิ เธอบอกเองไม่ใช่เหรอว่าเค้านะ เพอร์เฟค เป็นผู้ชายที่สมบรูณ์แบบขนาดนี้ ผู้หญิงตามกันเกรียว แล้วทำไมมาลงเอยที่ยายรัญหลานชั้น มันต้องมีอะไรสักอย่าง นี่อย่าพูดมาก แล้วเบอร์ที่ฉันให้หานะ ได้หรือยัง”
เวลาเดียวกันนั้นพีทกอดทักทายกันตาอย่างแสนรัก
“โทร.ตามให้ลูกออกมาเวลางาน ขอโทษทีนะ”
“โธ่ แม่ครับ ขอโทษทำไม ผมมีเวลาให้แม่เสมอ งานที่รีสอร์ตก็มีประทินดูอยู่ แม่มีอะไรเหรอครับถึงโทร.หาผม หรือว่าอยากไปไหน อยากได้อะไร”
“ไม่ใช่ ๆ แม่แค่อยากคุยกับพีทนะ เรื่อง หนูรัญ”
“ผม...ก็อยากคุยกับแม่เรื่งนี้เหมือนกันครับ”
กันตาหัวเราะชอบใจ “ฮะ ๆๆๆ วันนี้ดูเหมือนพวกเราทุกคน จะใจตรงกันนะ”
“พวกเราทุกคน” พีทรู้สึกสะดุดหู คำที่แม่ใช้มันฟังดูแปลกๆ
กันตาพาพีทเดินเข้ามาในบ้าน แพทที่นั่งรออยู่ลุกขึ้นยืน
“สวัสดีค่ะ ฉันขอคุยเรื่องรัญด้วยคนนะคะ”
พีทแปลกใจที่เห็นแพทอยู่ที่บ้านแม่
ด้านรัญธิดามองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใคร รีบผลักประตูเข้าไปในห้องหนึ่ง มีป้ายหน้าห้องติดบอกไว้ว่า “ฝ่ายบุคคล”
รัญธิดานั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เปิดเข้าที่ไฟล์ข้อมูลพนักงาน
ที่หน้าข้อมูลพนักงาน เป็นชื่อ และรูปใบหน้ารัญธิดาปรากฏขึ้นมา รัญธิดาเลื่อนเมาท์ไปที่ “ชื่อมารดา” นางทิพปภา ธุวดา อาชีพ ....(แม่บ้าน).... รัญธิดาเปลี่ยนเป็นขีดว่าง โดยคิดไปถึงตอนที่ไปกินข้าวกับกันตาคืนนั้น
“อ้าว แล้วพ่อแม่ล่ะจ๊ะ ไปไหน” กันตาถาม
“พ่อเสียไปแล้วค่ะ ส่วนแม่...แม่ก็...” รัญธิดาพูดเบาๆ “ไม่อยู่ น้าสาวเป็นคนเลี้ยงรัญมาน่ะค่ะ”
ประทินแทรกขึ้น “ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นี่หนูรัญหมายถึง พ่อกับแม่แยกทางกันตั้งแต่เด็กๆ ใช่มั้ย”
แล้วเลื่อนลงมาที่สถานะ จากที่แจ้งว่า...ยังมีชีวิตอยู่ เปลี่ยนมาติ๊กที่...แยกกันอยู่...แทน
ระหว่างนี้มือของเฉิดโฉมผลักประตูเข้ามา รัญธิดาสะดุ้งสุดตัว
“นั่นใคร ทำอะไรน่ะ”
รัญธิดารีบก้มตัวตั้งท่าจะมุดไปใต้โต๊ะ แต่ให้บังเอิญว่ามือปัดไปโดนเอกสารหล่นสองสามแผ่นไปด้วย แต่ไม่ เพราะเฉิดโฉมพุ่งเข้ามาแล้ว
“เธอเข้ามาทำอะไรที่นี่”
“เอ่อ คือ...รัญ...รัญ เอาเอกสารของลูกค้ามาให้พี่เจี๊ยบน่ะค่ะ”
เฉิดโฉมไม่เชื่อ “แต่ที่ฉันเห็น เหมือนเธอตั้งใจหลบฉัน”
“ไม่ใช่ค่ะ พอดีรัญทำเอกสารหล่น ก็เลยก้มลงเก็บ”
รัญธิดาทำเป็นก้มลงเก็บเอกสารที่ทำหล่น
เฉิดโฉมจับมือรัญธิดาหมับ รัญธิดาตกใจสุดขีดคิดว่าถูกจับได้ แต่เฉิดโฉมกลับถามเรื่องอื่น จ้องไปยังแหวนที่รัญธิดาใส่ตาเหลือก
“เธอไปเอาแหวนนี่มาจากไหน”
ไม่นานต่อมาเฉิดโฉมลากแล้วผลักรัญธิดาเข้าไปท่ามกลางวงพนักงานคนอื่นๆ ในรีสอร์ตที่มุงดูอยู่ ฝนเข้ามาช่วยประคอง
เฉิดโฉมหันไปหาประทิน “ผู้จัดการค่ะเรียกตำรวจ มาเอาตัวไปเลย”
ประทินงง “ใจเย็นๆ นี่มันเรื่องอะไร”
“ก็แม่คนนี้ เค้าขโมยแหวนของคุณพีทมานะซิคะ” เฉิดโฉมบอกเสียงดัง
ทกคนอึ้ง เชอรี่ เจี๊ยบ ชบา มีสีหน้าตกใจ
“ไม่จริงนะคะ รัญไม่ได้ขโมย คุณพีทเป็นคนให้แหวนวงนี้กับรัญเอง”
“กล้าพูดจริงนะ เค้าจะให้เธอทำไมยะ กะอยู่แล้วเชียวว่าหน้าตาอย่างเธอมันไว้ใจไม่ได้จริงๆ”
เชอรี่ กะชบาประสานเสียง “ต๊าย...น่าไม่อายจริงๆ”
ฝนเข้ามาเป็นพวกรัญธิดา
“โธ่เอ๋ย ก็เข้าใจง่ายนิดเดียวค่ะคุณเฉิด แหวนคุณพีทอยู่ที่นิ้วคุณรัญ ก็แปลว่า น้องรัญกับคุณพีทเค้าแลกแหวนแทนใจกันแล้วนะซิ”
ทุกคนชะงักกึก เฉิดโฉมอ้าปากค้าง
“ขอโทษนะคะ รัญไม่มีแหวนแลกหรอกค่ะ”
ฝนแก้ให้อีก “อ๋อ ถ้าให้ฝ่ายเดียวแบบนี้ก็ต้องเรียกว่าแหวนหมั้นแล้วล่ะค่ะ ผิดคำพี่เสียที่ไหน เห็นมั้ยล่ะ เรื่องที่คุณพีทเอาประวัติไปดู มันเห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าเค้าจริงจังกันคุณรัญ แล้วก็..ยังพาไปไหว้แม่นายอีก”
เฉิดโฉมกรี๊ด “พาไปหาแม่นายแม่ ไม่นะ นี่พี่ฝน เลิกเต้าข่าวได้แล้ว ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ถ้าไม่เชื่อก็ถามพี่ทิน ดูซิ ก็พี่ทินเป็นคน...” ฝนจะพูดว่า...บอก
แต่ถูกประทินกระแอมๆ ขัดคอฝนให้หยุด
“นังฝน...เอาแต่เนื้อๆ พอ”
“เอาล่ะ ใครจะบอกก็ช่างเถอะ แต่สรุปว่า คุณพีทหมั้นกับน้องรัญแล้วใช่มั้ยคะ”
เฉิดโฉม เชอรี่ เจี๊ยบ แหกปากพร้อมกัน “หมั้น”
รัญธิดาก้มหน้ารับ ยิ้มเขินๆ ฝนตบมือแสดงความยินดี
“งั้นก็ขอแสดงความยินดีด้วยนะหนูรัญ”
“ยังไงฉันก็ไม่เชื่อ ฉันจะรอถามคุณพีท ให้แน่ใจเมื่อคุณพีทกลับมา”
เฉิดโฉมทำอะไรไม่ได้ ก็เลยเดินออกไป แต่ตั้งใจกระแทกโดนไหล่รัญธิดา ก่อนจะหันมามองหน้า
“คนอย่างเธอไม่เห็นจะมีอะไรดีสู้ฉันได้เลย อย่าพลาดก็แล้วกัน ฉันจะคอยจับตาดูเธอ”
รัญธิดาไม่ตอบโต้ เฉิดโฉมเดินปึงปังออกไป เชอรี่ตาม ฝนออกรับแทนตามหลัง
“โอ๊ย คนดีๆ อย่างหนูรัญ มีอะไรให้จับผิด คนเรานี่หนอ ไม่กล้ายอมรับความจริง”
รัญธิดาหันมายิ้มรับเรียบๆ แต่ในใจแอบหวั่นไหว
ส่วนแพทยกมือไหว้กันตาอีกครั้งอย่างสุภาพเรียบร้อย กันตากับพีทมายืนส่งที่หน้าบ้าน
“ขอบคุณนะคะ ที่เข้าใจว่าแพทไม่อยากให้ทั้งสองคนรีบร้อน เอาเป็นว่าเรื่องหมั้นขอแค่ผู้ใหญ่รับรู้ก็พอ จะได้ไม่มีอะไรออกนอกลู่นอกทาง ไม่ต้องจัดงานอะไร ส่วนเรื่องแต่งงาน...แพทคงต้องขอเอาไว้ก่อนจนถึงเวลาเหมาะสม”
พีทเหลืออดสวนทันที “แล้วเมื่อไหร่ล่ะถึงจะเหมาะสมของคุณ”
“เมื่อฉันอนุญาตค่ะ” แพทหันมาพูดกับกันตานิ่มๆ “คือ แพทรับปากพี่สาวว่าจะดูแลรัญอย่างดีแพทก็ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่”
“จ้ะ ฉันเข้าใจ อ๋อ เรียกฉันว่า แม่นายก็ได้นะจ๊ะ เหมือนคนอื่นๆ” กันตายิ้มแย้ม
“ได้ค่ะ แม่นาย งั้นแพทลานะคะ”
ทันทีที่หันหลังให้กันตากับพีท แพทก็ยิ้มกริ่ม สบายใจเฉิบที่ทำงานสำเร็จ เดินตัวปลิวออกมา
“ลูกไปทำอะไรรุ่มร่ามให้น้าเค้าไม่ไว้ใจหรือเปล่าจ๊ะ” กันตาแซวลูกชาย
“โธ่ แม่ครับ มองผมเป็นไอ้หื่นกามไปได้”
กันตามองลูกชายขำๆ ไม่จริงจัง พลางหัวเราะ “ฮะๆๆ ก็แม่รู้สึกอย่างนั้น” แล้วกันตาก็ต้องถอนหายใจ เมื่อคิดถึงอาการป่วยของตัวเอง “เฮ้ย เสียดายนะถ้าได้รีบแต่งกันก็คงดี”
พีทอึ้งไปนิด ก่อนบอก “นั่นซิฮะ ไม่ควรต้องเสียเวลารออะไรอีก” ชักโกรธขึ้นมา “เพราะยาย
น้าตัวแสบนี่ทีเดียว ตัวเองเป็นแม่ม่าย คงผิดหวังในชีวิตคู่ ก็เลยไม่อยากให้หลานสาวแต่งงานน่ะซิ”
กันตาเอ็ด “พีท อย่าพูดแบบนี้นะ ไม่น่ารักเลย แม่ก็เป็นแม่ม่ายเหมือนกันนะ หลังจากพ่อลูกเสีย ก็ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวมาเหมือนกัน รู้ดีว่ามันต้องใช้ความเข้มแข็งทั้งใจและกาย นี่เค้าต้องเลี้ยงทั้งลูกและหลานด้วยตัวคนเดียว มันหนักมากนะลูกสำหรับผู้หญิงตัวเล็กๆ แบบนั้น”
“ขอโทษฮะแม่ ผมเจ้าอารมณ์ไปหน่อย” ชายหนุ่มทอดถอนใจ “ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะดูถูกอะไรเขา แต่...” ไม่รู้จะอธิบายยังไง “เค้าเหมือนทำทุกอย่างเพื่อกีดกันเรื่องผมกับรัญ”
กันตาปลอบลูกชาย “ใจเย็นๆ นะลูก คนเราคู่กันแล้วมันก็ไม่แคล้วกันหรอก ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไร เชื่อแม่เถอะลูก”
พีทมองตามไปทางที่แพทจากไป ด้วยสีหน้าแค้นๆ
วันต่อมา ธาริศประชุมงาน กำลังดูแบบบ้านในคอมพิวเตอร์กับลูกน้อง 2-3 คน
“คุณธาริศคะ คุณอรโทร.มาอีกแล้วค่ะ” เลขาเข้ามารายงาน
“บอกไปซิ ผมติดประชุม”
เลขาอึกอัก “บอกแล้วค่ะ แต่ว่า เธอยืนยันว่าจะให้คุณไปให้ได้ เพราะเธอจองที่นั่ง เอาไว้แล้ว เออ.. เธอโทร.มา หลายครั้งแล้วนะคะ”
ธาริศหันไปมองหน้าเลขา “ตกลงนี่คุณเป็นเลขาของใครกันแน่..ของผมหรือภรรยาผม”
“ค่ะ”
เลขาจ๋อยสนิท จะผลักประตูออกไป ในจังหวะเดียวกับที่ทักษอรเปิดเข้ามา เลขาต้องถอยกรูดทันที ลูกน้องคนอื่นๆ มองหน้ากันเลิ่กลัก
“พี่ธาริศ เห็นอรเป็นตัวอะไรคะ ทำไมอรโทร.มาถึงไม่รับ”
“ไม่เห็นเหรอว่าผมกำลังประชุมอยู่ พรุ่งนี้ต้องไปฟรีเซ้นต์ลูกค้า พาคุณอรไปรอที่ห้องผมก่อน”
“ไม่ค่ะ อรไม่รออีกแล้ว... ยกเลิกประชุม หรือไม่ ก็ให้คนอื่นทำแทนไปซิ ไม่งั้นเราจะจ้างพวกนี้เอาไว้ทำไม ถ้าพี่ธาริศต้องทำเอง”
ลูกน้องมองหน้ากันเหลอหลา
“ไม่เอาน่าอร อย่าทำตัวเป็นเด็กเลย ก็อรก็ไม่ยอมบอกล่วงหน้านี่นา ผมจะได้เคลียร์งาน”
“แค่พาภรรยาไปดูละคร ทำไมต้องบอกล่วงหน้า พี่ธาริศเป็นสามีอร มีหน้าที่ดูแลอรอยู่แล้ว พี่เห็นงานสำคัญกว่าอรงั้นเหรอ”
“ผมว่าเราค่อยกลับไปคุยกันที่บ้านดีกว่า ตอนนี้ผมต้องทำงานนะอร”
“คุยกันที่นี่แหละ จะได้รับรู้โดยทั่วกันว่าใครคือเจ้าของบริษัทตัวจริง เพราะดูเหมือนพี่ธาริศคงลืมไปแล้วว่าคุณพ่ออรเป็นคนลงทุนทำบริษัทนี้ ซึ่งก็หมายความว่าอรเป็นคนจ่ายเงินเดือนของทุกคนที่นี่” ทักษอรมองจ้องหน้าธาริศ “รวมทั้งพี่ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอรบอกให้ยกเลิกการประชุม ก็ต้องยกเลิก แล้วพี่ก็ ต้องไปดูละครเวทีกับอร เข้าใจมั้ยคะ”
ลูกน้องแอบมองหน้ากัน บ้างก็สะกิดกัน ธาริศอับอายขายหน้าสุดๆ และยิ่งอัดอั้นใจ
ตกกลางคืนทักษอรอารมณ์ดีเดินเข้าบ้านมา ขณะที่ธาริศหน้าตาเรียบเฉย
“นักแสดงเล่นดี๊ดีนะคะ เพลงก็เพราะดีจัง วันหลังเราไปดูกันใหม่นะคะ”
“ครับ” ธาริศไม่มองหน้า
ทักษอรหันไปกอด “เย้ พี่ธาริศรับปากอรแล้วนะ งั้นประมาณเดือนหน้าเค้าจะมีเรื่องใหม่ อรจะจองบัตรเอาไว้เลย คราวนี้จะได้นั่งแถวหน้าสุด เรียกว่าเห็นรูขุมขนนักแสดงเลยละค่ะ”
“ครับ” ธาริศปลดมือทักษอรอย่างสุภาพ แล้วเดินหนีเข้าบ้าน
“นี่พี่ธาริศยังไม่หายโกรธอร อีกเหรอ อรรู้ว่าอรฉีกหน้าพี่ไปหน่อยตอนที่อยู่บริษัท แต่อรก็แค่ไม่อยากให้พี่เห็นงานหรืออย่างอื่นสำคัญกว่าอร”
“ถ้าอรไม่อยากให้พี่ทำงาน อรก็ควรปิดบริษัทดีกว่านะ”
ทักษอรหน้าตึง ชักไม่พอใจ “อย่ามาพูดประชดอรแบบนี้นะอรไม่ชอบ อรหวังดีนะคะ เห็นพี่ธาริศทำงานเหนื่อย อรก็อยากให้พี่ธาริศได้พักผ่อนเปิดหูเปิดตาบ้าง อรทำผิดเหรอ”
“โอเค. อรไม่ผิด” ธาริศตัดบท อึดอัดเต็มที่ “พี่ขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะ”
ธาริศเดินไป ทักษอรเซ็งนิดๆ แต่ก็นึกแผนการบางอย่างขึ้นมา
ธาริศนอนอยู่ในอ่างน้ำ ใบหน้าหล่อเหลาปริ่มน้ำมองดูเพดานอย่างอึดอัด ก่อนจะค่อยๆ หลับตา ปล่อบใบหน้าให้จมลงอยู่ใต้น้ำอยู่พักใหญ่ เหมือนอยากหนีปัจจุบัน หลบไปอยู่ในอดีต
ยินเสียงหัวเราะแจ่มใสของหญิงสาว ดังเข้ามาในมโนนึก
เสียงหัวเราะนั้น พาธาริศย้อนไปในอดีตหวานเมื่อวันวาน ที่เขาและเธอขี่จักรยานด้วยกัน สองคนหัวเราะชอบใจ ในภาพจำของธาริศเห็นแต่แขนขาของผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มา เพราะตัวธาริศบัง
ที่แท้เป็นธาริศกับหญิงสาวคนหนึ่งไปเที่ยวด้วยกัน สองคนหัวเราะอย่างแจ่มใส จังหวะต่อมาธาริศและสาวน้อยคนนั้นนั่งดูท้องฟ้ากัน เห็นมือของเธอชี้ชวนดูก้อนเมฆ ในนิ้วนางข้างนั้นสวมแหวนซึ่งปรากฏอยู่ในรูปด้วย แต่ไม่เห็นหน้าหญิงสาวชัดเจน เห็นเพียงข้างหลัง และผมที่ปลิวสยายไปตามแรงลม
“พี่ ว่าเมฆก้อนนั้นเหมือนอะไรคะ” หญิงสาวคนนั้นถามเสียงใส
“นก” ธาริศบอก
“ไม่ใช่อ่ะ ต้นไม้ต่างหาก” สาวน้อยหัวเราะคิกคัก
จังหวะนี้มือของทักษอรเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา ขณะที่ธาริศยังนอนนิ่งอยู่ใต้น้ำในอ่าง ครู่ต่อมาเท้าทักษอรเดินเข้ามาใกล้อ่าง จับมือธาริศที่จับขอบอ่างอยู่ ธาริศตกใจตื่นจากภวังค์ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ หันไปมองเห็นทักษอรใส่เสื้อคลุมนั่งยิ้มยั่วอยู่ขอบอ่าง
“อร” ธาริศแปลกใจ
“อรทำให้พี่ตกใจเหรอคะ” ธาริศส่ายหน้า ทักษอรส่งสายตาเยิ้ม “อรถูหลังให้มั้ย”
ทักษอรไล้ไปตามแขนจนถึงไหล่ ธาริศมองตาม แล้วจับมือภรรยาขาวีน แต่ยังไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร
อ่านต่อหน้า 2
หัวใจเรือพ่วง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ครู่ต่อมาธาริศอุ้มร่างภรรยาวางลงบนที่นอน ทักษอรยิ้มกริ่มคิดว่าธาริศเสร็จเธอแน่
“อรรู้ว่าตัวเองไม่ค่อยแข็งแรง ทำหน้าที่ภรรยาได้ไม่เต็มที่ แต่อรรักพี่มากนะคะ”
ธาริศยังไม่พูดอะไร แค่ลูบผมทักษอรให้เข้าที่เข้าทาง
“พี่ธาริศห้ามทิ้งอรไปไหน ต้องอยู่กับอรตลอดไปนะคะ”
ทักษอรหลับตาพริ้มรอรับจูบจากสามี แต่กลายเป็นธาริศหอมแค่หน้าผาก
“วันนี้อรออกไปข้างนอกคงเหนื่อยมากแล้ว นอนพักดีกว่านะ ฝันดีจ้ะ”
ธาริศลุกขึ้น ทักษอรลุกพรวดขึ้นนั่งทันที
“เดี๋ยวซิคะ แล้วพี่จะไปไหน”
“ผมมีงานต้องเคลียร์ต่อ อรนอนก่อนได้เลยไม่ต้องรอ”
ธาริศเดินออกไป ทิ้งทักษอรอรไว้ให้หงุดหงิด อารมณ์ค้างเติ่ง
“ทำงานอีกแล้วเหรอ บ้าจริงๆ”
ทักษอรหงุดหงิดเหวี่ยงวีน ปัดของที่อยู่ใกล้มือ จนพาลมายังหนังสือที่วางอยู่ฝั่งธาริศ จะจับทุ่มจู่ๆ รูปภาพที่ธาริศเคยดูวันที่แม่แวะมา กระเด็นตกลงมาอยู่ที่พื้น ทักษอรเดินไปหยิบขึ้นมาดู
ปรากฏว่าธาริศย้อนกลับมาพอดี ธาริศตกใจเห็นรูปในมืออร
“ขอคืนพี่เถอะ...” ทักษอรเห็นสีหน้าธาริศก็ไม่ให้ “รูปพี่ถ่ายไว้เล่นๆ นะ”
ทักษอรพินิจดู “...เอ๊ะ นี่มือผู้หญิงนี่ มือใครคะ”
ธาริศเงียบไม่ตอบ ทักษอรของขึ้นทันที
“อรถามว่ามือใคร นังผู้หญิงคนนี้มันเป็นใคร ขนาดไม่เห็นหน้าพี่ยังเก็บรูปมันเอาไว้”
“อย่าเหลวไหวน่ะอร ขอรูปผมคืนเถอะ”
“เหลวไหลอะไร ถ้าพี่ไม่ได้รักมัน พี่จะเก็บไว้ทำไม” ทักษอรทำท่าจะฉีก ธาริศกระชากคืนมาอย่างรุนแรง
“นี่มันของส่วนตัวของผมนะอร”
“ไม่มีทั้งนั้น ตั้งแต่วันที่พี่แต่งงานกับอร แม้แต่ลมหายใจก็เป็นของอร”
ธาริศมองหน้าทักษอรอย่างเย็นชา
“พี่ยังเป็นคนอยู่นะอร...อย่าทำกับพี่เหมือนกับพี่เป็นสัตว์เลี้ยงของอร”
ธาริศเดินออกจากห้องไปพร้อมรูป ทักษอรร้องกรี๊ดอย่างโกรธแค้น ขว้างปาข้าวของระบายอารมณ์
วันต่อมา ตอนพักเที่ยงที่โรงอาหารของพนักงานฟ้าเคียงดินรีสอร์ต ฝนกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะยาวสำหรับนั่งกินข้าว พร้อมกับชูแก้วขึ้น
“ตอนนี้รีสอร์ตฟ้าเคียงดินของเรา ได้มีว่าที่นายหญิงคนใหม่แล้ว”
ชูคนสวน นำคนงานร้องเฮดังลั่น แต่แล้วก็ชะงัก ทักท้วงด้วยอาการกึ่มๆ เหมือนคนเมาค้าง
“เฮ้ย พี่ฝน ว่าที่นายหญิงคนใหม่ ฟังดูแปลกๆ วะ เพราะนายหญิงคนเก่า คุณพีทก็ยังไม่มีเลย
“เออ จริง งั้น...ตอนนี้คุณพีทได้มีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ฉันขอถือโอกาสอันดีนี้ ชวนพวกเราร่วมฉลองความสุขกัน”
ชูเป็นต้นเสียงร้อง “เฮ” ทุกคนเฮตาม
สิ้นเสียเฮ ก็มีเสียเสียงร้องไห้ “ฮือๆ ” แผดแทรกขึ้นมา ทุกคนมองไปตามต้นเสียงเห็นเฉิดโฉมนั่งร้องไห้อยู่
“ฮือๆๆ”
ชูชักลังเล ว่าจะเอายังไงต่อดี แล้วตัดสินใจยกแก้วนำเฮต่อ
“เฮ” ทุกคนเฮตามอีก
เฉิดโฉมร้องไห้ดังขึ้นกว่าเดิมอีก “ฮือๆๆ”
ชูร้อง “เฮ” เฉิดโฉมก็ร้อง “ฮือๆๆ” แข่ง
ชูทนไม่ไหว “เอ่อ...ประทานโทษครับ ญาติเสียหรือครับ คุณเฉิดโฉม ถึงมานั่งร้องไห้ตรงนี้”
เฉิดโฉมแว้ดใส่ “ญาติผู้ใหญ่แกนะซิเสีย ไอ้ชู” ชูสะดุ้งโหยง จู่ๆ ก็โดนด่า เฉิดโฉมบ่นบ้าต่อ “ฉันทนไม่ได้ต่างหาก ฉลองบ้าบออะไรกัน ไม่เห็นจะน่ายินดีตรงไหน เชอะ กะอีแค่เด็กจบใหม่ เป็นแค่พนักงานต๊อกต๋อยธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเองทำไมคุณพีทถึง เอามันมาเป็นแฟน ของดี ๆ สวยๆ อยู่ใกล้ตัวแท้ๆ กลับไม่มอง คุณพีทนะคุณพีท เพชรกับพลอยมันต่างกันชัดๆ อยู่แล้วยังแยกไม่ออก”
“แต่ฉันว่า คุณพีทนะตาถึงเลยล่ะค่ะ ถึงคว้าเอาเพชรมากกว่าพลอยพาสติกขายตามตลาดนัด” ฝนแขวะเอา
เฉิดโฉมโมโห คิดตามคำฝนอยู่สักพักแล้วก็คิดได้ “อ๊าย นี่แกว่าฉันเป็นพลอยพลาสติกเหรอ นัง
ฝน วันนี้ฉันขอตบปากสั่งสอนแกแทนผู้จัดการหน่อยเถอะ”
เฉิดโฉมยกฝ่ามือจะตบ แต่ฝนรู้ทันก้มหลบ จนเฉิดโฉมเสียหลัก เซหลุนๆ ถลาไป
จังหวะนี้เปลี่ยนหัวหน้าคนงานรีสอร์ต กับลูกน้อง 2 คน เดินเข้ามา เฉิดโฉมเซมาปะทะกับอกเปลี่ยน แต่ยังไม่ได้มองดูหนังหน้า
เฉิดโฉมจับๆ หน้าอกดู “อุ๊ย อกผู้ชาย”
แต่ครั้นพอเงยหน้าขึ้นดูถึงเห็นว่าเป็นเปลี่ยน ส่งสายตากระลิ้มกระเหลี่ยมาให้ แถมยังลูบแขนเฉิดโฉมอีก พีอาร์สาวอึ๋มรีบเด้งออก
“นายเปลี่ยน อึ๋ย” เฉิดโฉมทำหน้าขยะแขยง
“ผิวคุณเฉิดนี่นิ่มมือดีนะครับ” เปลี่ยนมองตาเป็นมัน
เฉิดโฉมรีบสะบัดตัวออกทันที เปลี่ยนยิ้มในสีหน้าไม่ได้ว่าอะไร
เปลี่ยนเดินเข้ามาในโรงอาหาร พร้อมลูกน้องประจำตัวอีกสองคน หนึ่งในนั้นคือไอ้ชิด จอมโหด
“มาสุ่มหัวอะไรกันตรงนี้” เปลี่ยนพูดเสียงดุ
หมู่มวลคนงานเงียบกริบรวมทั้งชู ที่หลบๆ หน้า เพราะกลัวเปลี่ยน มีแต่ฝนที่ไม่กลัวเพราะเป็นหลานประทิน
“ก็แค่ฉลองที่คุณพีทหมั้นกับน้องรัญ กันนิดหน่อย แล้วตอนนี้มันก็เป็นเวลาพักด้วย”
เปลี่ยนฉงน เพราะเพิ่งรู้ “คุณพีทหมั้นงั้นเหรอ” แล้วมองเห็นแก้วอยู่ในมือพนักงาน
“แต่ยังไง ก็ถือว่าอยู่ในเวลางาน กินเหล้าในเวลางาน ฉันจะหักค่าแรง 10 เปอร์เซ็นต์ สำหรับพวกลูกจ้างรายวัน ส่วนพวกพนักงานประจำ ก็ต้องโดนลงโทษเหมือนกัน” เปลี่ยนมองไปที่ฝนอย่างเอาเรื่อง “อย่าคิดว่าเป็นญาติ ผู้จัดการแล้วจะพ้นผิด”
เสียงคนงานบ่นงึมงำตามมา
“มีใครมีปัญหา ก็ออกไป มีคนอยากทำงานที่นี่เยอะแยะ”
เปลี่ยนสำทับอย่างวางอำนาจ คนงานเงียบกริบไม่มีใครกล้าหืออีก
“เดี๋ยวพี่เปลี่ยน” ฝนเดินถือแก้วมา เทต่อหน้าให้เปลี่ยนเห็น “เรากินน้ำแดงฉลองกัน มันผิดตรงไหน ไม่มีใครกินเหล้าซักคน จริงมั้ย”
ชูรีบเชียร์ “ใช่จ้ะ พวกเราก็เมาน้ำแดงกัน บางคนเมาน้ำเปล่ายังมีเลย หัวหน้าชิมดูซิ”
เปลี่ยนปัดแก้วชูทิ้ง ลูกน้องสองคนเข้าจับล็อคตัวชูไว้ แก้วน้ำกระเด็นไปที่หยุดที่เท้าพีท ซึ่งเดินเข้ามาพอดี
“มีเรื่องอะไรเหรอ พี่เปลี่ยน”
เปลี่ยน เปลี่ยนท่าทีเป็นอ่อนน้อมกับพีท ทันที
พีทมาคุยกับเปลี่ยนอีกมุมในรีสอร์ต มีชิดยืนอยู่ไม่ไกลนัก
“สรุปว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด แล้วเค้าก็ทำเพราะต้องการแสดงความยินดีกับผม งั้นก็คงไม่มีอะไรต้องลงโทษ”
“ครับ คุณพีท” เปลี่ยนหันไปสั่งชิด “ไปบอกให้แยกย้ายกันไปทำงาน”
ชิดก้มหัวรับคำ แล้วเดินไปทางกลุ่มคนงาน
“ผมว่า น้าทำรุนแรงกับคนงานไปหน่อยนะครับ” พีทเอ่ยขึ้น เป็นเชิงตำหนิ
“คนงานพวกนี้ รับค่าจ้างเป็นรายวัน ส่วนมากก็หวังแค่ค่าจ้าง ไม่ค่อยตั้งใจทำงานเท่าไหร่ ผมถึงต้องดูแลเข้มงวดครับ”
พีททักท้วง “แต่ว่า...”
เปลี่ยนสวนขึ้นมา “ตั้งแต่สมัยพ่อคุณพีท เราก็ดูแลแบบนี้มาตลอด”
พีทเลยพูดไม่ออก
“ความจริง ผมกำลังคิดอยากปรับปรุงส่วนนี้อยู่เหมือนกัน อีกหน่อยเราจะรับคนงานส่วนนี้ทั้งหมดเป็นพนักงานประจำได้”
เปลี่ยนรับทราบ “ครับ” แล้วทำท่าจะเลี้ยวเดินออกไป
“อ้อ น้าเปลี่ยนครับ เรื่องที่ผมให้ถามเรื่องที่ดินตรงหุบเขา ตกลงได้เรื่องยังไงบ้างครับ”
“ชาวบ้านยังไม่อยากขายครับเค้าบอกว่าอยากเก็บให้ลูกหลานมากกว่า” เปลี่ยนว่า
“ไม่ใช่เพราะ กำนันคงใช้อิทธิพลข่มขู่ซื้อเก็บไว้เองเหมือนคราวก่อนหรอกนะครับ” พีทดักคอ
“เค้ายืนยันกับผมแบบนั้น แต่ผมจะสืบให้อีกที”
“ฝากด้วยนะครับ”
เปลี่ยนก้มหน้ารับ แต่แอบยิ้มเยาะในที ก่อนเดินจากไป
วันต่อมา ขณะที่รัญธิดากับเพื่อนพนักงานฟ้าเคียงดินรีสอร์ต กำลังช่วยกันจัดเอกสารตั้งบู๊ธในชอปปิ้งมอลล์ของปากช่อง ส่วนเฉิดโฉมเอาแต่ตบแป้งอยู่ข้างๆ
“ที่จริง หนูรัญไม่ต้องเข้ากรุงเทพก็ได้งานออกบู๊ธแค่นี้ ทำกันไม่กี่คนก็ได้ กลับไปรีสอร์ตดีกว่า เผื่อคุณพีทจะเรียกหา” ประทินซึ่งอยู่ด้วยเอ่ยขึ้น
“ปกติ เวลาทำงานก็ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอกค่ะ รัญก็ทำงานของรัญ คุณพีทก็ดูแลในส่วนของเธอ”
“ไม่เหมือนกัน ตอนนี้หนูรัญเป็นคู่หมั้นแล้ว” ประทินท้วง
“งั้นยิ่งทำค่ะ จะได้ไม่มีใครว่าได้”
เฉิดโฉมได้ยินแล้วก็หมั่นไส้ แถเข้ามาทันที
“แหม แค่นี้ต้องออกตัวกลัวไม่รู้เหรอย่ะ ว่าเป็นคู่ขา เอ๊ย คู่รักเจ้านายถึงต้องทำตัวติดตลอดเว...ไม่ใช่ภรรยาสักหน่อย”
รัญธิดาพยายามไม่โต้ตอบ
“ก็คงอีกไม่นาน และถ้าถึงตอนนั้น หนูรัญก็จะกลายเป็นนายหญิง ซึ่งก็คือนายจ้างพวกเราด้วยซ้ำ” ประทินพูดใส่หน้า
เฉิดโฉมไม่อินังขังขอบ “แต่อะไร มันก็ไม่แน่นอนหรอกนะคะ ตราบใดที่ยังไม่ได้แต่ง ถึงตอน
นั้นนายหญิงของรีสอร์ตฟ้าเคียงดินอาจจะ เป็นคนอื่นที่ดูดีกว่า สวยกว่า เหมาะสมกว่า” ขณะพูดเฉิดโฉมย้ำคำพร้อมกับมองรัญจิกตาใส่ “เด็กกะโปโลแบบนี้จริงมั้ย”
“จริงค่ะ พี่เฉิดพูดถูก แต่เสียดายเรื่องแบบนี้บางทีมันก็อยู่ที่ฝ่ายชายนะคะ ถ้าเค้าชอบของเก่า คงเลือกไปนานแล้ว...จริงมั้ยคะ”
เจอรัญธิดาย้อนแสบทรวง เฉิดโฉมจี๊ด ประทินเองก็อดหัวเราะ เฉิดโฉมหยิบโบรชัวร์มาปึกใหญ่
“แต่ตอนนี้มันคือเวลาทำงาน ในฐานะที่ฉันแก่กว่า เอ๊ย อาวุโสกว่าเอ๊ย มีประสบการณ์ทำงานมามากกว่าเธอ ฉันเป็นซีเนียร์ เพราะฉะนั้น...” พลางยื่นโบรชัวร์ให้ “เอาไป แจกให้หมดนะ”
ทางด้านแพท กำลังตรวจเช็คคิวงานกับพนักงานชายรุ่นน้อง อยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง เห็นมีพนักงานเดินเข้าออก เตรียมจัดงานแต่งงานกันวุ่นวายพอควร
“ป้ายชื่อบ่าวสาว ที่พี่สั่งให้แก้ เรียบร้อยแล้วใช่มั้ย”
“ครับพี่แพท”
“อ๋อ อย่าลืมนะ ช่วงปล่อยตัวบ่าวสาวเข้ามา พี่อยากให้ดิมไฟลงอีกนิดมันสว่างเกินไป”
เสียงโทรศัทพ์แพทดังขึ้น แพทกดรับสาย ป๋อง ที่โทร.เข้ามา
“ค่ะ พี่ป๋อง กำลังเช็คความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายค่ะ เหลือแต่เก็บรายละเอียดเล็ก ๆ น้อยๆ ค่ะ” แพทเดินไปคุยไปจนออกจากห้องจัดงานมา “อะไรนะคะ เจ้าสาวอยากให้ในห้องจัดเลี้ยงมีกลิ่นดอกมะลิด้วย...นี่มันไม่ใช่วันแม่นะคะ...ล้อเล่นค่ะ ได้สิคะได้”
ไม่นานต่อมาแพทยืนอยู่ตรงล็อบบี้โรงแรม คุยอยู่กับเซลส์ขายงานจัดเลี้ยง ในมือถือสเปรย์ปรับอากาศกลิ่นมะลิ
“ขอบคุณนะคะ ที่ช่วยหาสเปรย์กลิ่นมะลิให้ เจ้าสาวคงประทับใจทางโรงแรมมาก ยังไงก็ฝากด้วยนะคะ” เซลส์คนนั้นยิ้มรับ เดินถือสเปรย์แยกไป
แพทเดินแยกออกมา ขณะกำลังจะขึ้นลิฟท์เหลือบไปทางหนึ่งเห็นพีทนั่งรอใครบางคนอยู่ที่ล็อบบี้ท่าทางกระสับกระส่าย
แพทอดเหลือบดูไม่ได้ สักครู่จึงเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา แพทไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนเก่าของพีทซึ่งเป็นหมอของโรงพยาบาลในปากช่อง โดยพีทนัดเพื่อนมาเจอเพื่อหาข้อมูลการไม่สบายของกันตาผู้เป็นมารดา สองคนจับมือทักทายกันอย่างสนิทสนม จับสองมือกุม ไม่เท่านั้นยังหอมแก้มแนบแก้มแบบฝรั่งอีกด้วย แพทถึงกับชะงัก ตาลุกชันทันที
“คิดถึงจังเลย ไม่เจอกันตั้งนาน” หญิงสาวสวยทักทายพีท
“นั่นสิ โอ้โห ทำไมสวยขึ้นขนาดนี้” พีททักกลับใบหน้ายิ้มแย้ม
แพทอยากรู้อยากเห็น ชะงักทันที คิดอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจ ควักมือถือออกมาถ่ายคลิปแพทกับหญิงคนนั้นเอาไว้ พร้อมกันนี้ยังทำตัวเนียนๆ หยิบแจกันที่วางอยู่ตรงแถวนั้นเอามาบังหน้า พยายามยืนแอบฟัง แต่ไม่ได้ยิน เลยขยับเข้าไปใกล้อีก
“ถ้าคิดจะจีบก็ไม่ทันแล้วย่ะ ลูกสองแล้ว ไหนมีอะไรอยากให้ฉันดู” หญิงนางนั้นแซวขำๆ
พีทมองซ้ายมองขวา เมื่อไม่เห็นใครที่รู้จัก จึงหยิบของในซองเอกสารเล็กๆ ออกมา
“แม่รู้จักคนเยอะ เราไม่อยากให้เรื่องนี้รู้ไปถึงแม่” พีทบอก
“ฉันจะรีบให้เพื่อนที่ดูเรื่องมะเร็งโดยเฉพาะอ่านผลให้ แล้วจะโทร.มาคุยกับเธออีกที” เพื่อนพีทบอก
ขณะเดียวกัน แพทพยายามแทรกตัวเข้าไปนั่งเก้าอี้ที่ใกล้พีทที่สุด โดยนั่งหันหลังให้สองคน
เพื่อนผู้หญิงลุกขึ้นกอดปลอบใจ “เข้มแข็งนะพีท ชั้นเป็นกำลังใจให้”
แพทแอบเงยขึ้นดู ตาโตเท่าไข่นกกระจอกเทศ ตกใจสุดๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นโมโห ว่าพีททำแบบนี้ได้ยังไง ว่าแล้วก็คว้ากล้องมือถือขึ้นมากดด้วยความรีบร้อน และโมโห ทำให้โทรศัทพ์หล่น กระเด็นไปใกล้ทางโต๊ะพีท พีทได้ยินปรายหางตาไปเห็นแพทแล้ว แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็น
“ขอบใจ”
ครั้นพอเพื่อนผู้หญิงเดินออกไป แพทรีบหันหน้าหลบ กำลังตัดสินใจว่าจะเอาไงดี หันไปอีกทีพบว่าพีทไม่อยู่แล้ว แพทดีใจที่รอดตัว
“โชคดีจริงๆ”
แพทถลาไปที่โทรศัทพ์ที่ตกอยู่ที่พื้น กำลังจะก้มลงหยิบ แต่ดันมีมือมาหยิบให้แทน แพทตกใจ
“ขอบคุณค่ะ” แพทเอื้อมมือไปจะหยิบ แต่ต้องรีบหดมือกลับในทันที เมื่อเงยหน้ามอง เห็นเป็นพีทนั่นเอง แพทตกใจล้มก้นกระแทกพื้น
“คุณ”
“ท่าทางคุณแปลกใจจริงๆ นะที่เห็นผมมาที่นี่”
พีทเอาโทรศัพท์แพทใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง แล้วเดินห่างไป แพทตกใจรีบวิ่งตาม
“คุณ..หยุดเดี๋ยวนี้นะ คุณ”
เวลาต่อมาแพทอยู่ในรถพีท ซึ่งขับมาตามถนนเปลี่ยนสายหนึ่ง
“เฮ้ย คุณจอดรถซิ...ฉันไม่อยากไปกับคุณ เอาโทรศัทพ์ฉันคืนมาด้วย”
“ไม่ให้ บอกมาก่อนว่า สะกดรอยตามดูผมทำไม”
“สะกดรอยตาม” แพทหัวเราะอย่างสมเพชนิดๆ “ถ้าฉันไม่ตาม ฉันจะเห็นธาตุแท้ของคุณเหรอ แอบนัดพบผู้หญิงมาพลอดรัก ตามโรงแรม”
“ผู้หญิง! พลอดรัก!” พีทขำ ระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง
“ฉันเห็นเต็มสองตา แล้วก็มีรูปเป็นหลักฐาน คุณยังจะเถียงอีกเหรอ คอยดูนะ ฉันจะเอารูปพวกนั้นให้ยายรัญดู ยายรัญจะได้ตาสว่างแล้วก็เลิกกับคุณ”
พีทโมโหจนทนไม่ไหวจอดรถเอี๊ยด แพทหัวทิ่ม
“คุณนี่! โรคจิตหรือเปล่า อยากให้คนเค้าเลิกกัน”
“งั้นก็บอกมาซิผู้หญิงที่กอดกับคุณเป็นใคร หรือว่า กอดล่ำลาแฟนเก่างั้นเหรอ”
พีทโมโหจนไม่รู้จะเถียงยังไง เปิดประตู แล้วดึงแพทลงมา
“เฮ้ย คุณจะพาฉันไปไหน”
“ลงมาเถอะน่า อยากรู้นักไม่เหรอ ว่าวันๆ ผมทำอะไรบ้าง ตามมาดูสิ เชิญเลย”
“ปล่อย ปล่อยนะ อีตาบ้า” แพทดิ้นรนขัดขืนเป็นการใหญ่
แต่พีทก็ไม่ยอมปล่อย ลากพาแพทเดินฝ่าเข้าไปในดงไร่ข้าวโพดที่อยู่ข้างๆ
สองคนไม่รู้ว่าในไร่ข้าวโพดอีกมุม เหมือนมีสายตาใครคนหนึ่งแอบมองพีทกับแพทที่เดินเข้าไปใครคนนั้นคุยโทรศัทพ์อยู่
“ไอ้พีทมันบุกมาถึงนี่เอง เอาไงดีนาย”
หัวใจเรือพ่วง ตอนที่ 3 (ต่อ)
เวลาเดียวกัน ตรงบริเวณทางเดิน ใกล้ๆ ทางเข้าช้อปปิ้งมอลล์ในปากช่อง มีลานกลางแจ้งสำหรับจัดกิจกรรม รัญธิดายืนแจกโปรชัวร์ให้คนผ่านไปมาอยู่ตรงนั้น
“รีสอร์ตฟ้าเคียงดิน ปากช่องค่ะ”
มีผู้คนยอมรับอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ไม่รับ รัญธิดาไม่ท้อพยายามแจกต่อ
ด้านเฉิดโฉม มาแอบดูพลางยิ้มเยาะที่แกล้งรัญธิดาสำเร็จ เฉิดโฉมดูดกาแฟหันกลับไปอย่างสบายใจ จู่ ๆ รัญธิดาก็ได้ยินเสียงเพลงดังขึ้น เสียงเพลงนั้นทำให้รัญธิดาถึงกับชะงัก เดินไปตามเสียงเพลงโดยไม่รู้ตัว
รัญธิดาเดินเข้ามาหยุดยืนดูอยู่ตรงลานกลางแจ้ง เห็นนักดนตรีเปิดหมวกกำลังเล่นกีตาร์ร้องเพลง ซึ่งมีคนล้อมวงดูประมาณหนึ่ง รัญธิดาหยุดฟัง สะท้อนใจ และนึกถึงเพลงนี้ที่ใครคนนั้นเล่นให้เธอฟัง
ตอนนั้นรัญธิดา อายุ ประมาณ 16 ปี ธาริศเล่นกีตาร์เพลงนี้อยู่ รัญธิดาหน้าตาเคลิ้มฝัน มีความสุข ดูแต่หน้าก็รู้แล้วว่าเด็กสาวอินเลิฟสุดๆ
นึกขึ้นมาแล้ว รัญธิดาน้ำตาคลอ แล้วหักห้ามใจ หันหลังจะเดินห่างออกมา แต่แล้วชะงักเมื่อพบว่า ที่ด้านหน้าร่างธาริศยืนเหม่อฟังเพลงอยู่อย่างตั้งใจ ในระยะห่างออกไปพอสมควร รัญธิดาตกตะลึงอย่างแรง ตัวชา ก้าวขาไม่ได้ ธาริศค่อยเปลี่ยนสายตาหันมา คล้ายรู้ตัวว่ามีคนมองอยู่ จึงหันมามอง สบตากับรัญธิดาอย่างจัง!
ทั้งคู่ตกตะลึง พูดไม่ออก รัญธิดาได้สติก่อน หันหลังกลับ วิ่งหนีออกไปเต็มแนง
ธาริศได้สติ “รัญธิดา” ออกวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว
รัญธิดาวิ่งออกไปตามทางในห้างอย่างเสียขวัญ ธาริศวิ่งตามไม่ลดละ แต่มีคนมาขวางทางตลอด รัญธิดาวิ่งขึ้นบันไดเลื่อน ด้านหลังธาริศตามมา
“รัญ...รอเดี๋ยว”
บนบันไดเลื่อนมีหญิงสูงอายุยืนบังอยู่ หันมามองธาริศว่าเรียกใคร ทำให้ยืนขวางทางเต็มบันได ธาริศพยายามขอทาง
“ขอโทษนะครับ ขอทางหน่อย..รัญ”
รัญธิดาวิ่งนำหน้าไปตามทางชั้นบน แล้วหลุดไปตามทางแยก
ธาริศวิ่งตามมาจนถึงทางแยก แต่ไม่มีร่างของรัญธิดาแล้ว ธาริศมองรอบทิศ ท่าทางผิดหวังมาก
ส่วนรัญธิดาวิ่งหนีมาก่อนจะหลบเข้าไปในมุมลับตาคน น้ำตาไหลพราก
“ไม่จริง..มันไม่ใช่เรื่องจริง..ไม่จริง”
รัญธิดาพึมพำ พยายามปิดปากห้ามตัวเองไม่ให้ร้อง แต่เหมือนน้ำตาก็ยิ่งไหลออกมา เหมือนความทุกข์ที่อยู่ในใจ
แพทกับพีทเดินดูไร่ มองวิวทิวทัศน์สวยงามอย่างเบิกบานใจ
“นี่คุณ..คุณบ้าหรือดี คุณพาชั้นมาที่นี่ทำไม ชั้นมีงานทำค้างอยู่นะ” แพมบ่นอุบ
ทั้ง2คนชะงัก เมื่อเดินผ่านต้นไม้ใหญ่ เมื่อมีปืนยาวจ่ออยู่ที่เอวพีทและแพทคนละกระบอก
“ก็บอกแล้วว่าไม่ขายไง พวกเอ็งยังไม่กลับไปอีกเหรอ” เสียงผู้ชายดังขึ้น
แพทกับพีทตกใจ ยกมือขึ้นอัตโนมัติ แสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีอาวุธ
“ใจเย็นๆ ครับ ผมเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกนะครับ แล้วก็ไม่ได้พกอาวุธอันตรายอะไรมา”
“จริงค่ะ รถเราเสียหลักตกข้างทางอยู่ตรงถนนข้างนอกโน้น เราเลยมาหาคนช่วยค่ะ”
ที่แท้เป็นป้าลุงสองผัวเมียเจ้าของที่ดินซึ่งมองหน้ากันงงๆ
แพทกับพีทค่อยๆหันหลังไปมองช้าๆ หน้าตาตื่นกลัว
“เรามาดีจริงๆ นะครับ ใจเย็นๆ นะครับ”
ลุงกับป้าค่อยๆ ลดปืนลงช้าๆ
ครู่ต่อมา พีทคุยกับลุง สามคนอยู่ในโรงเก็บอีกมุม
“ตอนเด็กๆ พ่อผมเคยพามาแถวนี้ ผมจำได้ ตอนนี้เริ่มมีคนสนใจที่แถวนี้แล้วเหรอครับ”
“ถ้ามาขอซื้อดีๆ ก็คงพอคุยกันได้ แต่นี่มันมากดราคาจะเอาไปขายต่อ ถึงผมเป็นชาวนาชาวไร่ แต่ก็ไม่ได้โง่นะ” ลุงบอก
พีทเงียบไม่พูดอะไร แพทไม่รู้เรื่องรู้ราวพูดไปเรื่อย
“อย่าขายดีแล้วค่ะ ลุง พวกที่มาซื้อ ก็คงเอาไปขายต่อกับพวกนายทุน ซึ่งก็คงซื้อไปทำสนามกอล์ฟบ้าง บ้านพักตากอากาศบ้าง นับวันคนพื้นที่ก็ยิ่งไม่มีที่ทำมาหากิน”
“อย่าเหมารวมซิคุณ แต่คนที่ซื้อเค้าอาจไม่เป็นอย่างนั้นทุกคนก็ได้”
ป้าเดินเข้ามาพร้อมขันน้ำในมือ
“กินน้ำก่อนคุณ”
ป้าส่งขันน้ำให้แพทกิน แพทดื่มน้ำจากในขันอย่างชื่นใจ
“น้ำหวานจังเลยจ๊ะป้า”
“น้ำฝนในตุ่มข้างนอกน่ะ” ป้าบอก
“ไม่ได้กินน้ำฝนแบบนี้มานานแล้วชื่นใจกว่าน้ำในตู้เย็นเสียอีก งั้นขออีกหน่อยนะป้า”
“เออ เอาเถอะ มีเยอะแยะ ไปตักเอาเลยจะกินแค่ไหน ไม่หวงหรอก น้ำจากฟ้าไม่ได้ซื้อได้หาอะไร”
“ขอบคุณค่ะ”
แพทยิ้มแป้น รีบออกไป
“แม่สาวคนนั้น...” ป้าตั้งท่าจะพูดต่อ พีทรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่ ครับ ไม่ใช่ ผมรู้ว่าป้าจะถามอะไร ไม่ใช่เมียผมครับ แฟนก็ไม่ใช่นะครับ เค้าเป็นน้าของแฟนผม”
“เปล่า...ป้าจะถามว่าคุณหิวน้ำหรือเปล่าล่ะ แม่สาวคนนั้นกินจนหมดขัน คุณตามไปกินซิ”
พีทหน้าแตก
ขณะที่แพทเดินไปตักน้ำจากตุ่มที่วางเรียงกันอยู่ด้านนอก เห็นมีมือใครคนหนึ่งเลื่อนกระเบื้องจากหลังคา ทำให้กระเบื้องนั้นค่อยๆ เลื่อนลงมา ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเป็นฝีมือลูกน้องของกำนันที่เป็นคนทำ พีทเดินตามออกมาเห็นพอดี
“ระวัง คุณ”
พีทโถมเข้าไปทั้งตัว เอาตัวเองบังแพทไว้ได้ แต่กลับล้มลงไปทั้งคู่ สองคนผัวเมียวิ่งออกมาดู ตกใจเช่นกัน แต่มีกระเบื้องอีกแผ่นเลื่อนลงมาอีก
แพทตะโกนบอก “ระวัง คุณ”
พีทกลิ้งตัวหลบอีกที ทั้งสองกอดกันกลมกลิ้งออกไป ต่างคนต่างรู้สึกแปลกๆ ทั้งคู่ฟุบอยู่ตรงบริเวณใกล้ๆ นั้นสักครู่
“เป็นยังไงกันมั้งคุณ...คุณ” ลุงเรียกทั้งสองคน
แพทกับพีท ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
“ผมไม่เป็นไร” พีทค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น
“แต่ฉันเป็น...โอ๊ย!!”
แพทจับที่เท้า พบว่าเศษกระเบื้องบางส่วน กระเด็นมาโดนหลังเท้าของเธอ จนมีเลือดไหลซึมออกมา
ในเวลาเดียวกัน ที่ร้านสปาของรุจรวีในกรุงเทพฯ ทักษอรเลื่อนซองกระดาษให้แม่สามี รุจวีรับมาท่าทางเขินๆ แล้วเปิดดู เป็นเช็คเงินสดจำนวน 2 ล้านบาท
“แค่นี้คงพอนะค่ะคุณแม่” ทักษอรเอ่ยขึ้น
รุจรวีดูจำนวนเงินบนเช็คอย่างพอใจ “พอจ๊ะขอบใจมากนะลูก ความจริงแม่ติดค่าตกแต่งไม่เท่าไหร่หรอกนะ แต่ช่างมันทำเหมือนเรื่องคอขาดบาดตาย เดี๋ยวพอแม่หมุนเงินได้เมื่อไหร่จะรีบเอาไปคืนลูกอรนะจ๊ะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะคุณแม่ เงินของหนูก็เหมือนของคุณแม่นั่นแหละค่ะ แต่คุณแม่ต้องรับปากนะค่ะว่าจะจัดการเรื่องพี่ธาริศให้หนู” ทักษอรบอกเงื่อนไข
รุจรวีมีท่าทีอ่อนลง “เรื่องรูปนั่นเหรอจ๊ะ”
“ผู้หญิงคนนั้นมันเป็นใครคะคุณแม่ ขนาดเห็นแค่มือ พี่ธาริศก็ยังเก็บรูปมันไว้”
รุจรวีหลบตาวูบ “มันก็คงจะเป็นแค่ป๊อปปี้เลิฟน่ะจ้ะ”
ทักษอรจี๊ดขึ้นมา “นี่มันเป็นเรื่องจริงเหรอคะ คุณแม่ก็รู้เห็นเป็นใจ หลอกอรด้วยเหมือนกัน”
รุจรวีรีบออกตัว “แม่ก็...ไม่ค่อยรู้อะไรมาก เรื่องมันตั้งแต่สมัยตาธาริศยังเรียนมหาวิทยาลัย ผู้หญิงคนนั้น หน้าตายังไงแม่ยังไม่เคยเห็นเลย” หญิงสูงวัยทอดถอนหายใจพยายามปลอบ “ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะอร เรื่องในอดีตปล่อยมันไปเถอะ”
“คุณแม่คงต้องบอกพี่ธาริศมากกว่า ตั้งหลายปีแล้วยังแอบเก็บรูปเอาไว้
“มันไม่สำคัญหรอก เพราะตอนนี้ตาธาริศเค้าเป็นสามีหนู แม่คิดว่า บางทีลูกสองคนอาจจะเครียดเกินไป ตาธาริศก็ทำแต่งาน หนูก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว เรื่องแค่นิดเดียวถึงได้กลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้”
“แล้วคุณแม่จะให้อรทำยังไง” ทักษอรเริ่มมีท่าทีอ่อนลง
“บางที เราก็ควรใช้ไม้นวมกับผู้ชายบ้างนะจ๊ะ การทะเลาะกันมันไม่ช่วยมให้อะไรๆ ดีขึ้นหรอก...เชื่อแม่เถอะจ้ะ”
ทักษอรชะงักครุ่นคิดตาม
ตกตอนกลางคืน พีทเดินออกมาจากห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ท่าทางเครียดๆ เฉิดโฉมถลาเข้ามาหา จับแขนถามอย่างห่วงใย
“คุณพีท คุณพีทเจ็บตรงไหนมั่งคะ พอเฉิดรู้ข่าวว่าคุณพีทเกิดอุบัติเหตุนะคะ เฉิดก็ร้อนใจ กรุงเทพฯ ปากช่องระยะทางแค่นี้เอง ชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึง แต่คราวนี้ทำไมมันช่างนานแสนนาน เหลือเกิน”
พีทดึงมือออกจากเฉิดโฉม เงยหน้ามองรัญธิดาที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักกับประทิน
“ผมไม่ได้เป็นอะไร” พลางเดินไปหารัญธิดา “แต่คุณน้าของคุณ...”
รัญธิดาใจหล่นวูบ หน้าซีดลงทันที “น้าแพทเป็นอะไรไปค่ะ” รัญธิดาเสียงดังขึ้น “น้าแพท”
พร้อมกันนั้นรัญธิดาทำท่าจะถลาเข้าไปในห้องฉุกเฉิน แต่ต้องชะงัก เพราะ บุรุษพยาบาลเข็นรถพาแพทออกมาพอดี
“น้าไม่ได้เป็นอะไรหรอกจ้ะ”
รัญธิดาชะงัก แพทยิ้มให้ เห็นที่เท้าข้างหนึ่งมีผ้าพันอยู่เต็ม
ไม่นานต่อมา ที่หน้าบ้านแพท อะตอมกระโดดเข้ากอดแพทเต็มแรง
“แม่แพทครับ แม่แพทไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
“แม่แพทไม่เป็นอะไร เราเข้าบ้านกันก่อนเถอะจ้ะ” แพทโขยกเขยกมีไม้เท้าพยุงเดินเข้าบ้านไปกับอะตอม
พีทซึ่งมาส่งมองตามแล้วหันมาทางรัญธิดา
“คุณหมอบอกว่าเย็บแผลให้เรียบร้อยส่วนที่โดนกระเบื้องบาด เอ็กเรย์เรียบร้อย ไม่มีกระดูกเท้าร้าวหรือหัก แต่คุณน้าของรัญอาจจะคงเดินไม่ถนัดไปหลายวัน อีกอย่าง เรื่องค่าใช้จ่าย รัญไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะรับผิดชอบทุกอย่างเอง”
“ขอบคุณค่ะ”
“ขอบคุณทำไม ผมเป็นคนพาคุณแพทไปได้รับบาดเจ็บ ผมก็ต้องรับผิดชอบสิ” ชายหนุ่มถอนใจโล่งอก “ผมขอตัวกลับก่อนนะ”
พีทเดินจะไปขึ้นรถ แต่ชะงักนึกบางอย่างขึ้นได้ หันมา
“เกือบลืม” พีทควักกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ของแพทออกมา “ฝากคืนโทรศัพท์นี้ให้น้าของคุณด้วย...ฝากบอกเค้าด้วยว่า...ผมขอโทษ”
พีทเดินขึ้นรถขับออกไป รัญธิดายังยืนถอนใจอยู่ อาการยังไม่ค่อยดีนัก เพราะเพิ่งเจอธาริศมาไม่นาน
แพทนั่งพักกึ่งเอน พันผ้าไว้ ข้างเตียงมีไม้เท้าข้างหนึ่งไว้ยันช่วยลุกขึ้น รัญธิดาตามมาเอาโทรศัพท์วางไว้ให้
“คุณพีทฝากมาให้ น้าแพทค่ะ”
แพทดีใจ รีบกดหารูป
“โชคดีนะ ที่ยังไม่ได้ลบ”
“ตกลงมันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมโทรศัพท์น้าแพทไปอยู่ที่คุณพีท แล้ว...”
แพทมองอะตอม
“อะตอมออกไปข้างนอกก่อนไป” อะตอมออกไป
“น้าคิดว่า ถ้าจะเล่าเรื่องทั้งหมด เราควรเริ่มที่รัญดูรูปที่น้าถ่ายมาก่อน”
แพทยื่นโทรศัทพ์ให้ รัญธิดารับมาดู เห็นเป็นรูปพีทที่กอดกับผู้หญิงตรงล็อบบี้โรงแรม ก็อึ้งไปนิดหนึ่ง
“เพราะรูปพวกนี้แหละ น้าถึงโดนนายนั่นลากไปด้วย เห็นรึยังรัญธิดา ว่าผู้ชายที่เธอเลือกเค้าร้ายขนาดไหน”
แพทบอกสีหน้าเรียบเฉย
ส่วนธาริศ เดินกลับไปกลับมาอย่างวุ่นวายใจ ภาพในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในห้วงคำนึงราวกับสายน้ำ
ภายในห้องพักขนากเล็ก สภาพเหมือนหอพักทั่ว ข้าวของอุปกรณ์การเรียนดูออกว่าเป็นห้องนักศึกษาสถาปัตย์ ด้วยมีกองกระดาษ เขียนแบบ และโมเดลต่างๆ วางอยู่
ธาริศเค้กก้อนเล็กๆ วางลงตรงหน้าของรัญธิดา ในวัย 15 ปี
“สุขสันต์วันเกิดจ๊ะ รัญ”
รัญธิดามีสีหน้าปลาบปลื้ม
“ขอบคุณค่ะพี่ริศ เค้กน่ากินจังเลย”
“อธิษฐานสิจ๊ะ แล้วเป่าเทียนคำอธิษฐานจะได้เป็นจริง”
รัญธิดายิ้มกว้างท่าทีน่ารัก หลับตาอธิษฐาน แล้วเป่าเค้กอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พี่มีของให้รัญด้วย” ธาริศบอก
รัญธิดายิ้ม “อะไรคะ”
“เปิดดูสิ”
รัญธิดาเปิดกล่องดู ข้างในเป็นแหวนวงเล็กๆ วงเดียวกับในรูปถ่ายที่ธาริศหวงแหน และวงเดียวกับที่บ้านของรัญธิดานั่นเอง รัญธิดาตื่นเต้นปนตกใจ ธาริศหยิบขึ้นมา แล้วจับมือรัญธิดาไว้
รัญธิดาตื่นตกใจพยายามดึงมือออก
“พี่ริศ!”
“พี่ยกให้แหวนวงนี้เป็นตัวแทนความรักของเรา ที่จะไม่มีจุดสิ้นสุดเหมือนวงกลมของแหวนวงนี้”
ธาริศใส่แหวนให้รัญธิดาที่ตะลึงอยู่
“อีกไม่กี่เดือนพี่ก็จะเรียนจบแล้ว พี่จะรีบหางานทำแล้วเก็บเงินสักก้อน สร้างบ้านเล็กๆ ที่พี่ออกแบบเอง แล้วเราก็จะอยู่ด้วยกัน พี่จะไม่มีวันให้รัญโดนทำร้ายอีกแล้ว พี่จะเป็นคนดูแลรัญเอง”
รัญธิดาตื้นตันใจ “พี่ธาริศ”
“สัญญากับพี่นะ ว่าจะแต่งงานกันทันทีที่พี่เรียนจบ”
ทั้งคู่สบตากัน รัญธิดาพยักหนีรับ แล้วโผเข้ากอดธาริศอย่างเด็กที่ดีใจได้ของถูกใจ ทั้งคู่กอดกันแนบแน่น
ธาริศดึงตัวเองกลับมา ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม
อ่านต่อหน้า 4 เวลา 09.00 น.
หัวใจเรือพ่วง ตอนที่ 3 (ต่อ)
จังหวะนี้ประตูบ้านเปิดออก ทักษอรเดินเข้ามาทั้งคู่ชะงัก สบตากัน ธาริศเป็นฝ่ายเดินเลี่ยงหนีเข้าห้องไป
ทักษอรฉุนกึก “พี่ธาริศ!” ธาริศชะงัก “นี่ใจคอจะไม่ทักไม่ทาย ถามไถ่กันหน่อยเลยเหรอค่ะว่าอรไปไหนมา”
ธาริศถอนใจนิดๆ “อรไปไหนมาละจ๊ะ”
“อรไปหาคุณแม่ของพี่มาค่ะ”
“จ้ะ....ก็ดี” ทำท่าจะเดินหนีอีก
ทักษอรโพล่งขึ้น “พี่ริศ อรถามจริงๆ เหอะ พี่ริศเคยรักอรบ้างมั้ยคะ”
ธาริศชะงัก “พูดอะไรอย่างนั้นละอร ดึกแล้วนือรกลับมาเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนเถอะ”
“ว่าไงค่ะ” ทักษอรน้ำตาคลอ แล้วค่อยๆ ไหลลงมาอาบสองแก้ม
ธาริศมองทักษอร เห็นน้ำตาและท่าทีแสนเจ็บช้ำ จึงเริ่มอ่อนโยนลง เดินไปหาทักษอรโอบไหล่เบาๆใจอ่อนเล็กน้อย นึกถึงเรื่องราวในอดีต
ตอนนั้นธาริศอายุเพียง 20 ปี รุจรวีผู้เป็นแม่น้ำตาคลอ ขณะพูดอ้อนวอนธาริศที่มีท่าทีโกรธแค้นอยู่
“เถอะนะ ธาริศ ...เห็นแก่แม่ ทักษอรเป็นเด็กดีแล้วเค้าก็รักลูกมากนะจ๊ะ”
“แต่ผมไม่ได้รักเค้า ผมจะแต่งงานกับเค้าได้ยังไง”
“ธาริศ พ่อของลูกเค้าทิ้งเราสองคนไว้กับหนี้ก้อนใหญ่นะ ถ้าหนูไม่แต่งงานกับหนูอร เราสองคนจะมีปัญญาอะไรไปใช้หนี้เค้า”
ธาริศแทบคลั่ง
“แต่ผม...ผมรักคนอื่นอยู่แล้วครับแม่”
“หรือลูกจะปล่อยให้แม่ล้มละลาย แล้วก็หนีไปอย่างพ่อเค้า ความรักน่ะมันกินไม่ได้นะลูก”
ธาริศอึ้ง รุจรวีเข้ามากุมมือลูกชายไว้
“แม่เลี้ยงลูกมาให้ทั้งความรักความเข้าใจ ตามใจลูกทุกอย่าง แล้วเวลานี้ แม่ขอให้ลูกช่วย ลูกจะไม่ยอมทำเพื่อแม่เลยหรอจ๊ะ”
ธาริศสบตาแม่ พูดไม่ออก
นึกเรื่องนี้ขึ้นมาแล้ว ธาริศหันมาหาภรรยา พูดเอาใจด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“คิดมากอะไร วุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว ไปอาบน้ำเถอะจ้ะ เดี๋ยวพี่ผสมน้ำอุ่นไว้ให้นะ”
ธาริศจูบผมทักษอรอย่างอ่อนโยน แล้วโอบไหล่พาเข้าห้องไป
สองคนอยู่มุมหนึ่งในบ้าน ท่าทีแพทโมโหหนัก
“อะไรนะ นี่รัญไม่เชื่อน้าเหรอ”
“เปล่าค่ะ รัญเชื่อว่าถ้าแพทถ่ายรูปนั้นมาจริงๆ ไม่ได้สร้างเรื่องหรือโกหก”
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปบอกเลิกตานั้นได้เลย” รัญธิดาอึ้งๆ ไป “หรือถ้ารัญไม่กล้า น้าจะไปพูดให้เอง”
“น้าแพทคะ สมัยนี้ ผู้หญิงกับผู้ชายที่เป็นเพื่อนกันกอดทักทายกันแบบนี้เยอะแยะนะคะ ไม่ได้เป็นเรื่องที่เป็นไปทางชู้สาวอย่างเดียว สถานที่ที่เค้าพบกันมันก็เป็นที่สาธารณะ ไม่ได้ทำในที่ลับตาคน”
แพทขึ้นเสียง “พอแล้ว! ไม่ต้องยกเหตุผลร้อยแปดมาหรอก ทั้งหมดมันเป็นเพราะรัญไม่อยากเลิกกับนายพีทนั่นต่างหาก”
“รัญจะไปถามเค้าให้รู้เรื่องก่อนค่ะ ว่าเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่” รัญธิดาบอก
แพทอดฉุนไม่ได้ “จะต้องถามทำไมอีกในเมื่อมันเห็นอยู่ชัดๆ แบบนี้แล้ว”
“น้าแพทคะ รัญทราบว่าน้าแพทหวังดี แต่คนเราถ้าจะคบกัน แต่ไม่เชื่อใจกัน แล้วจะคบกันต่อไปยังไง จริงมั้ยคะ”
“น้าดีใจที่รัญพูดแบบนี้ แล้วรัญละ ทำอะไรให้เค้าเชื่อในตัวรัญบ้างแล้วหรือเปล่า คนเราถ้าจะคบกันแล้วมีเรื่องปกปิดเรื่องโกหก ความสัมพันธ์มันจะไปรอดได้ยังไง...ถ้าวันนึงคุณพีทเค้ารู้ว่ารัญ” แพทอดพูดเรื่องอดีตขึ้นมาไม่ได้
รัญธิดาตวาดขึ้นมาสุดเสียง “พอแล้วค่ะ...พอที”
แพทชะงัก
“น้าแพทไม่เข้าใจหรอกค่ะ ไม่มีวันเข้าใจ”
รัญธิดาน้ำตาคลอแล้ววิ่งหนีออกจากห้องนั้นทันที แพทถอนใจ ทั้งเหนื่อยอ่อนและหนักใจ
รัญธิดาวิ่งเข้ามาในห้อง น้ำตาคลอ ภาพตอนเจอธาริศแว่บเข้ามาในห้วงคิด ตอนสองคนตาสบกันอย่างตะลึง และธาริศวิ่งตาม
รัญธิดาน้ำตาไหลเป็นทาง มองแหวนของพีทในมือ ครวญคร่ำ
“คุณพีทค่ะ ช่วยรัญด้วย รัญอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่ รัญต้องลืมเค้าให้ได้”
รัญธิดาน้ำตาไหลอาบแก้ม แต่แววตาแน่วแน่ตัดสินใจได้เด็ดขาด
เช้ามืดวันต่อมา เปลี่ยนโมโห ตบหัว ชิด ลูกน้องอย่างแรงที่สะเออะ แต่ดันทำพลาด สองคนอยู่ที่ลานบ้านกำนันคง
“บอกแล้วไง เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
“ก็แค่เตือนมันนิดๆ หน่อยๆ จะเป็นอะไรไป” ชิดบ่น
“เป็นซิวะ มันทำให้ข้าทำงานยากขึ้น แกมันประมาท ทำกระเบื้องหล่นใส่มันอย่างไม่มีลีลาอย่างนี้นะ ไอ้พีทมันไม่ใช่ไก่อ่อนไม่รู้เรื่องอะไรนะโว้ย มันต้องรู้ว่ามีคนจงใจทำร้ายมัน...ถ้ามันไม่ฉลาด มันคงไม่ขึ้นมาคุมรีสอร์ทแทนพ่อมันได้หรอก”
“แล้วก็คุมพวกเอ็งด้วยใช่มั้ย” เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
เปลี่ยนชะงัก “ไอ้ชัย!”
เปลี่ยนคลักปืนออกมาทันที ชัยควักปืนออกมาด้วย ต่างคนต่างเล็งกัน ด้านหลังชิดก็ควักปืนออกมาด้วยเหมือนกัน บรรยากาศตึงเครียด
เสียงปืนดังปัง!
เป็นกำนันคงยิงปืนขึ้นฟ้า สองคนหันมาดู
“เฮ้ย กินข้าวหม้อเดียว กัดกันทำไมวะ”
“กำนัน” เปลี่ยนอุทาน
“เก็บปืนข้าบอกให้เก็บปืน”
ทุกคนลังเลอยู่อึดใจ แล้วจึงยอมเก็บปืนแต่โดยดี
“เรื่องไอ้พีท ข้าเป็นคนสั่งไอ้ชัยเองว่าให้สั่งสอนมัน” กำนันคงเดินเข้ามาหาเปลี่ยน “ไหนเอ็งว่าไอ้พีทมันไม่สนที่ดินตรงนั้น แล้วทำไมมันถึงลงไปดูเอง”
เปลี่ยนหลบตา “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่กำนันไม่ต้องห่วง เมื่อฉันรับปากว่า จะจัดการให้ ก็ต้องทำให้สำเร็จแน่นอน แต่ขอเวลาฉันหน่อยเถอะ”
“เออ ก็ให้มันได้อย่างปากพูดเถอะ อย่าเป็นแค่ราคาคุยเหมือนคราวก่อนก็แล้วกัน...เลี้ยงคนแล้วไม่มีผลงาน ก็ไม่รู้จะเลี้ยงไว้ทำไมพวก เอ็งว่ามั้ย” กำนันคงว่า
เปลี่ยนชักหนาวๆ อยู่เหมือนกัน
เปลี่ยนกับชิดเดินคุยกันเข้ามาในรีสอร์ตอีกมุม
“ฉันว่าไอ้กำนันมันกำลังขู่พี่เปลี่ยนนะ”
“เออ ข้ารู้แล้ว แต่เอ็งไม่ต้องกลัวไปหรอก มันก็ได้แค่ขู่เท่านั้นแหละวะ ของอย่างนี้ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ข้า ก็กำความลับของมันอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน!”
“แล้วพี่คิดว่าคุณพีทมันจะรู้ไหมว่าเรากำลังทำงานให้ฝ่ายตรงข้ามอยู่”
“จะรู้ได้ยังไง ในเมื่อข้าก็ทำท่าจงรักภักดีออกอย่างนี้...ทั้งๆ ที่ข้าเกลียดไอ้เด็กนั่นอย่างกับอะไร มันชอบทำเป็นว่ารู้อะไรดีทุกอย่าง ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว มันเป็นแค่เด็กที่ปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมใกล้ๆ นั้นมี...”
เสียงพุ่มไม้ไหว เปลี่ยนชะงักทันที
“นั้นใคร! มาทำอะไรตรงนี้”
ชิดควักปืนขึ้นเล็งทันที
“ออกมาบอกให้ออกมา ไม่งั้นฉันยิงสมองกระจุยแน่”
ชูค่อยๆ ออกมา เอาผ้าคลุมลง แล้วยกสองมือขึ้น
“ฉันเองพี่ อย่ายิง”
“ไอ้ชูเอ็งมาทำอะไรแถวนี้ นี่ยังไม่ถึงเวลาเข้างานเลย หรือว่าเอ็งแอบสะกดรอยตามข้า” เปลี่ยนถามเสียงดัง
ชูงง “สะกดรอยตาม ตามไปไหนเหรอพี่” เปลี่ยนไม่ตอบเพราะดูชูไม่รู้ “ฉันมาจับหนอนนะ เช้า ๆ แบบนี้ มันชอบมากินดอกไม้ กลีบสวยๆ ที่ฉันเผ้าประคบประหงมดูแล แหว่งหมด”
ชูทำทีส่องต้นไม้หาหนอนทันที
“งั้นเหรอ” ชูพยักหน้ายืนยันความบริสุทธิ์ใจ “เออดี หัดทำงานให้คุ้มค่าแรงที่จ้างบ้างไปไอ้ชิด”
เปลี่ยนกับชิดเดินออกไป ชูโล่งอก เหลียวหน้าเหลียวหลัง พอไม่เห็นใคร รีบทำสัญญาณส่งเสียง
ก่อนจะมีเสียงส่งตอบออกมา ชูดีใจรีบเข้าไปหาที่พุ่มไม้ ปรากฏว่าเป็นฝน ฝนมองไปทางเปลี่ยน
“น้าเปลี่ยนไปไหนมาแต่เช้ามืดแบบนี้ ดูลับๆ ล่อๆ พิกล”
“ก็อาจจะเหมือนชูก็ได้ ที่ทนไม่ไหวเพราะใจมันสั่งให้ออกมา”
ฝนตีชูดังผัวะ “อี๋ย์ สำนวนลิเกมาก” ฝนออกอาการเขินๆ เล่นตัว “นัดฉันมา มีเรื่องอะไร ก็รีบๆ พูดมาซิ ฉันมีงานต้องทำอีกเยอะแยะ”
“ถ้าบอกว่าเรื่องคิดถึง ฝนจะเชื่อชูมั้ย”
ฝนเขินซัดไปอีกผัวะ ยังไว้ตัวไว้ท่าอยู่นิดๆ เช่นเคย
เช้าวันเดียวกัน แพทกำลังจัดอาหารเช้าให้อะตอม มีเตอร์ทำหน้าหนักใจอยู่ใกล้ๆ แพทยังใช้ไม้เท้าอยู่
“เมื่อคืนพี่ป๋องโทรมาโวยวายกับชั้นจนหูชา หาว่าเธอทิ้งงาน นี่ถ้าเค้ารุ้ว่าเธอเจ็บตัวขนาดนี้เค้าคงจะหายโกรธนะ”
แพทถอนใจ “ถึงยังไงชั้นก็ผิด ที่ทิ้งงานไปแบบนั้น พี่ป๋องคงไม่หายโกรธง่ายๆ หรอก”
“เธอก็ไปขอทาเค้าสิ บอกว่า...ว่าที่น้องเขยลากไปทำธุระ”
“มันสายไปแล้วละ พี่ป๋องโทร.มาเมื่อเช้า ฉันบอกเค้าไปแล้วว่าฉันลาออก”
เตอร์ตาโต ตกใจ “อะไรนะ” / “อะไรนะคะ”
เสียงรัญธิดาดังขึ้นพร้อมๆ กับเตอร์
ทุกคนหันไปมองรัญธิดาที่เดินออกมา
“น้าแพทพูดว่าอะไรนะคะ”
“น้าขอลาออกจากงาน เพราะน้าทำงานบกพร่อง มันก็ถูกแล้วไม่ใช่หรอ น้าทิ้งงานมากลางคัน ทั้งๆที่งานกำลังจะเริ่มอยู่แล้ว พี่ป๋องถูกลูกค้าต่อว่า ชื่อเสียงของบริษัทก็เสียหาย น้าไม่สมควรทำงานกับพี่ป๋องอีกต่อไป”
“แต่ว่า...รัญจะไปอธิบายกับคุณป๋องเอง”
แพทยิ้มให้ “อย่าห่วงเลยรัญ น่าน่ะยังสามารถเลี้ยงอะตอม เลี้ยงรัญได้น่า คนเก่งๆ อย่างน้าน่ะทำงานกับใครก็ได้ทั้งนั้น ไปกันเถอะเตอร์ ชั้นคงขับรถไม่ได้อีกหลายวัน เธอต้องทำหน้าที่เป็นคุณพ่อขับรถคอยรับส่งอะตอมกับชั้นนะ”
เตอร์ร้องลั่น “ว้าย พูดอะไรหยาบคาย พ่อเพ่ออะไร บ้าที่สุด น้าย่ะ น้าสาว”
เตอร์ค้อนขวับ แพทโขยกเขยกจูงอะตอมออกจากบ้านไป รัญธิดามองตามอย่างหนักใจ)
ขณะเดียวกันพีทคุยกับประทินที่ห้องทำงาน
“แม่นายสั่งให้ผมบอกคุณพีทว่า ท่านอยากจะจัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับคุณรัญเข้ามาสู่ครอบครัวในคืนวันศุกร์นี้ครับ”
“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง แม่รับปากกับยัยน้าตัวแสบนั่นว่าจะไม่มีพิธีฉลองหมั้นอะไรทั้งนั้น...ขืนจัดงานแบบนี้เค้าก็ได้อาละวาดอีกสิ”
“ผมว่าแม่นายคงอยากจะมีงานรื่นเริงน่ะครับ หมู่นี้ท่านดูซึมๆ ไป เราก็ทำเหมือนเป็นงานธรรมดา ไม่ได้มีโอกาสพิเศษอะไร แค่อยากจัดงานเฉยๆ แบบนี้ดีไหมครับ”
พีทถอนใจ “ท่ามันจะทำให้แม่มีความสุขก็เอาเถอะ...ตามใจ”
ประทินยิ้มโล่งอก ทำท่าจะออกจากห้องแล้วชะงัก หันกลับมา
“แล้วเรื่องอุบัติเหตุเมื่อวาน”
“มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ฉันเห็นกลับตา ว่ามีคนอยู่บนหลังคา แล้วผลักกระเบื้องหล่นลงมา”
ประทินตกใจ “แล้วมันเป็นใครครับ”
“ฉันเห็นหน้าไม่ถนัด”
“มันเป็นคนของกำนันหรือเปล่าครับ”
“ถ้าเรายังไม่มีหลักฐานก็ไม่ควรไปปรักปรำเค้า เรื่องนี้อย่าพูดออกไปนะ แม้แต่แม่นายก็รู้ไม่ได้ แล้วคุณประทินก็ไปสืบเรื่องนี้มาว่าใครเป็นคนทำ”
“ครับ”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเห็นรัญธิดาโผล่เข้ามา หน้าตาดูร้อนใจ
“คุณพีทคะ รัญขออนุญาตคุยด้วยหน่อยสิคะ”
พีทกับรัญธิดาเดินคุยกันมาในรีสอร์ต
“ตกลงน้าคุณ เค้าจะไม่ยอมมองผมในทางที่ดีบ้างเลยใช่มั้ย ยังดีนะ ที่รัญหนักแน่นพอ ไม่ตามเกมเค้าที่อยากให้เราเลิกกัน”
“ค่ะ”
รัญธิดาพยักหน้ารับ ไม่ได้ถามต่อ จนพีทแปลกใจ
“รัญจะไม่ถามเหรอผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
“ไม่ค่ะ รัญไม่อยากรู้ ...” รัญธิดาหันมายิ้มให้ “ถ้าคุณพีทอยากบอกก็คงบอกไปแล้ว รัญคิดว่างั้นก็ไม่ควรก้าวก่าย คนเราต่อให้สนิทกันแค่ไหน แต่ก็ต้องมีมุมส่วนตัวกันทั้งนั้น เรื่องบางเรื่องเราก็ไม่ได้อยากบอกให้ใครรับรู้”
“ก็เพราะแบบนี้แหละผมถึงเลือกรัญ ถึงรัญจะอายุน้อย แต่ผมว่าดูรัญเป็นผู้ใหญ่เกินตัว ดูเข้าใจโลก ไม่เรื่องมากยุ่งยากเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ”
“ขอบคุณค่ะ”
“มีแค่เรื่องนี้ใช่ไหมที่คุณอยากจะถามผม”
รัญธิดาอึกอัก “คือ...” ตัดสินใจบอกออกมา “คุณพีทคะ...เรื่องเมื่อวาน...ที่น้าแพทไปที่สวนกับคุณน่ะค่ะ คือ...น้าแพทโดนตำหนิเรื่องทิ้งงาน เค้าก็เลยลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ”
“ลาออกงั้นเหรอ”
พีทอึ้งนิ่งงันไปพลอยรู้สึกแย่ไปด้วยว่าตนเป็นต้นเหตุของการลาออก
อ่านต่อตอนที่ 4