xs
xsm
sm
md
lg

โดมทอง ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดมทอง ตอนที่ 1

พระจันทร์เต็มดวงส่องแสงนวลกระจ่างตาทั่วท้องนภาคืนนี้ ครู่ต่อมาจันทร์ดวงนั้นเคลื่อนตัวลอยผ่านเข้าไปในกลุ่มเมฆสีดำมองเหมือนรูปเงาของปีศาจ ดูช่างลึกลับและน่ากลัว

พระจันทร์ดวงเดิมนั้นเคลื่อนคล้อยออกมา ทว่าแสงนวลตาเมื่อครู่ได้กลายเป็นสีแดงเหมือนสีเลือด! ส่งให้คฤหาสน์โดมทอง ที่ตั้งทะมึน อยู่เบื้องล่าง ถูกอาบไปด้วยแสงสีเลือดนั้น ซุ้มประตูหน้าต่างทั่วทั้งอาคารรูปทรงโกธิกปิดสนิท จนดูเหมือนคฤหาสน์ร้างอยู่กลางหว่างหมู่ไม้ร่มครึ้ม

ท่ามกลางความเงียบสงัด ยินเสียงม้าร้องแผดขึ้น และมีเสียงเหยาะย่างกุบกับตามมา เสียงนั้นดังมาจากบริเวณโรงเก็บรถม้าเก่าของคฤหาสน์โดมทองแห่งนี้
ประตูเปิดออกกลางหมอกควันจางๆ ที่กระจายตัวลอยอ้อยอิ่งออกมาปกคลุมครอบรอบบริเวณ ความเก่าของประตูทำให้เกิดเสียงดังออดแอดขณะเปิด ก่อนจะแลเห็นชายนิรนามในชุดเสื้อคลุมสีดำ สวมหมวก บังคับม้าวิ่งออกมา ชายคนนั้นพารถม้าเคลื่อนตัวไปท่ามกลางหมอกควันหนาทึบ

เสียงกุบกับของรถม้าดังแว่วมาไกลๆ พร้อมๆ กันนั้น บริเวณยอดโดม ค่อยๆ สว่างขึ้นด้วยแสงเทียน ราวกับมีคนจุดขึ้น พร้อมๆ กับแสงเทียนวับแวม มีเสียงซอสามสายดังขึ้นอย่างโหยหวนเป็นทำนองเพลงนางครวญ ตามด้วยเสียงร้องละห้อยสร้อยเศร้า

โอ้ว่าป่านนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวนหวนหา
ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง
...
นอกจากนี้ ยังแลเห็น มโหรีทั้งวง เป็นเงาดำๆ วูบวาบไปมา ราวกับมีงานฉลองอยู่บนยอดโดมนั้น

รถม้าแล่นมาเรื่อยๆ ท่ามกลางหมอกควันจางๆ จนมาหยุดที่ใต้ยอดโดม ชายคนขับรถม้าค่อยๆ เงยหน้าแหงนมองขึ้นไปยังยอดโดม ในจังหวะเดียวกับที่ก้อนเมฆเคลื่อนตัวมาบดบังดวงจันทราอีกครั้ง ใบหน้าของชายผู้นั้นจึงตกอยู่ในเงามืด ภายใต้ปีกหมวกที่ปิดบังเอาไว้ จนยากจะดูออกว่าเขาคือใคร?

ขณะเดียวกัน ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ นอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนอนในห้อง อุไร สาวใช้ประจำตัวนอนหลับสนิทอยู่ตรงมุมห้อง ระหว่างนี้มีเสียงเหมือนใครสักคนลากโซ่เดินลงบันไดมา พร้อมเสียงหวานละห้อยของเพลงนางครวญ
ท่านผู้หญิง ลืมตาตื่นขึ้นมา กลอกตาไปมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ยินเสียงแหบแห้งเล็ดลอดออกมาจากปากหญิงชรา
“นังพลับพลึง!”

ส่วนที่ด้านนอก แลเห็นขาคู่หนึ่งซึ่งถูกล่ามด้วยโซ่ ก้าวลงบันไดคฤหาสน์มาอย่างช้าๆ โซ่ถูกลากไปตามพื้น ขาคู่นั้นก้าวเดินไม่ถนัดนัก ราวกับถูกล่ามมานาน และมีร่องรอยของบาดแผลเป็นเลือดเกรอะกรัง เหมือนคนพยายามจะดึงโซ่ออก
ขาคู่นั้นดุ่มเดินมาจนถึงประตูเหล็ก ที่ถูกปิดล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ แล้วล็อคด้วยกุญแจดอกใหญ่ดูแน่นหนาอีกชั้น ทั้งโซ่ และ กุญแจมีสนิมเกาะด้วยวันเวลาอันยาวนาน
จู่ๆ กุญแจก็ปลดล็อคเองราวกับมีใครมาไข เช่นเดียวกับโซ่ เหมือนมีใครมาดึงออก
ประตูเหล็กเปิดออก ให้ขาคู่นั้นก้าวออกมา แล้วเดินไปตามทาง เสียงเพลง นางครวญ ยังดังแว่วหวานเศร้าสร้อยอย่างต่อเนื่องไม่ขาดระยะ

จังหวะนี้ ท่านผู้หญิงสรรักษ์เบิกตากว้าง จ้องมองเขม็งไปที่ประตูห้อง เมื่อเสียงโซ่ลากเข้ามาใกล้ทุกทีๆ จนถึงหน้าประตูแล้วหยุดกึก ราวกับจะแกล้งให้หญิงชราทรมานด้วยความหวาดกลัว
ท่านผู้หญิงเอื้อมมืออันสั่นเทามากุมพระที่ห้อยคอไว้แน่น สักครู่หนึ่งความกลัวในใจ ได้แปรเปลี่ยนเป็นความกล้าบ้าบิ่น จนร้องท้าออกไป
“เข้ามาเลย นังพลับพลึง เข้ามา กูไม่กลัวมึง”
ประตูค่อยๆ เปิดออก เห็นขาคู่นั้นเดินลากโซ่เข้ามาเรื่อยๆ ท่ามกลางหมอกควันอ้อยอิ่งอยู่ด้านหลัง
“นังพลับพลึง”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์จดสายตามองจ้องเขม็ง ครั้นพอหมอกควันพลันจางลง หญิงชราก็กรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อเห็นใบหน้าของผู้มาเยือนที่ท่านเรียกขานว่า ‘นังพลับพลึง’ ถนัดตา
มันเป็นใบหน้าที่เหลือแต่กระโหลก ทัดดอกพลับพลึงสีขาว ตรงข้างหู แขน ขา ล้วนเป็นกระดูกหมดสิ้น

ท่านผู้หญิงสรรักษ์ร้องกรี๊ดๆๆ จนตกใจตื่น เหลียวมองไปโดยรอบห้องอย่างหวาดผวา แล้วจึงพบว่าทุกอย่างยังเป็นปกติ
มีเสียงรถม้ากุบๆ ดังผ่านบริเวณด้านนอกไป
ในแสงสลัว นัยน์ตาท่านผู้หญิงสรรักษ์วาวโรจน์ คำรามออกมาด้วยสุ้มเสียงแหบโหย ซึ่งเต็มไปด้วยอย่างเคียดแค้น และอาฆาตพยาบาทสุดจะพรรณนา
“มาหากันเรอะ ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ พวกแกจะไม่มีวันได้พบกัน”

คฤหาสน์โดมทองยังคงงดงาม สวยสง่า จนล่วงเข้าสู่ปี พ.ศ. 2556 นี้ กาลเวลาที่ผ่านไป กลับยิ่งทำให้โดมทองดูลึกลับและเข้มขลังมากยิ่งขึ้น ต้นไม้โดยรอบร่มครื้ม บรรยากาศโดยรอบและสภาพทั่วไปดูราวกับว่า...

กาลเวลาใน โดมทอง จะหยุดนิ่งอยู่กับที่!

ภายในห้องทำงานของ อดิศวร์ ศิโรดม หรือ ลบ ภายในคฤหาสน์โดมทอง เช้าวันนี้ อดิศวร์ ซึ่งยืนหันหลังคุยโทรศัพท์ติดพันอยู่กับคู่สนทนา คุณสุรภี ซึ่งอยู่ที่บ้านในกรุงเทพฯ ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

“ขอโทษนะครับ... คุณอา... มีคนมา...” อดิศวร์เว้นไปนิดหนึ่ง ตะโกนถามออกไป “นั่นใคร”
“อุไรเองค่ะ” เป็นอุไรสาวใช้ประจำตัวของท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์
อดิศวร์เดินไปเปิดประตู พลางถาม “มีอะไร”
“ท่านผู้หญิงให้มาตามคุณลบไปพบค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้ารับรู้ “เดี๋ยวฉันตามไป”
อดิศวร์ปิดประตู ขณะพูดโทรศัพท์ต่อ แล้วเดินกลับเข้ามายังโต๊ะทำงาน
“คุณอาครับ”
“คุณลบต้องการเร็วไหมล่ะ” สุรภีคู่สนทนาถามกลับ
“เร็วหน่อยก็ดีครับ....เพราะคนเก่าเพิ่งลาไปเมื่อเช้านี้เอง”
“เอาเป็นว่าอาจะพยายามก็แล้วกัน...ว่าแต่คุณลบต้องช่วยพูดกับท่านผู้หญิงให้หน่อย คนเดี๋ยวนี้หายาก อาก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องคอยเอาอกเอาใจอะไรมากมาย เพียงแต่ว่าอย่าให้ท่านดุเขามากนัก...คนที่แล้วเป็นพยาบาลด้วย...เอาอกเอาใจเก่ง...น่าเสียดาย ...”
“ผมรับรองว่า คนใหม่นี่ผมจะดูแลเอง จะไม่ให้เสียชื่อคุณอาเลยครับ”
“อาน่ะไม่ได้กลัวเสียชื่อหรอก...ห่วงแต่ว่าคุณลบจะเดือดร้อนหาคนใหม่เรื่อยๆ คุณลบไปหาคุณย่าเถอะ...เมื่อกี้ได้ยินว่ามีคนมาตามไม่ใช่หรือ...”
“ครับ...ขอบคุณมากนะครับ”
“ไม่เป็นไร...อาจะช่วยเท่าที่จะช่วยได้ก็แล้วกัน”
สุรภีวางโทรศัพท์ลง แล้วถอนใจเฮือกใหญ่
“หาให้กี่คนๆ ก็ออกกันหมด”

ครู่ต่อมา อดิศวร์เดินเข้ามาภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ ซึ่งพบว่ามีอุษาอยู่ในห้องนั้นด้วย ท่านผู้หญิงร้องเรียกหลานชาย ในท่าทีตื่นเต้นดีใจ
“ลบ...ลบมาแล้วหรือลูก! นังอุษา ออกไป! หลานข้ามาแล้ว”
อุษารับคำเบาๆ แล้วออกไปเงียบๆ
อดิศวร์นั่งลงข้างๆ ตัว จับมือท่านผู้หญิงถามด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณย่าให้อุไรไปตามผมทำไมหรือครับ”
“ย่าไม่อยากนอนหลับเลย...พอจะเคลิ้มๆ ทีไร นังพลับพลึงมันต้องมาหาย่าทุกที ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน... ทำไมไม่รู้จักไปผุดไปเกิดเสียที!”
“คุณย่าอาจจะพะวงถึงแต่คุณย่าน้อย...ไม่ใช่ความผิดของคุณย่าหรอกครับที่ท่านหนีไป..อีกอย่าง...เรื่องนั้นก็ผ่านไปนานมากแล้ว...ถ้าหากคุณย่าน้อยยังมีชีวิตอยู่...สักวันหนึ่งท่านก็คงจะกลับมา...”
ท่านผู้หญิงสะดุ้งเฮือก รีบโบกไม้โบกมือ “ไม่! อย่าให้มันกลับมา มันตายไปแล้ว...ลบต้องคอยดูอย่าให้มันกลับมานะลูก...นังพลับพลึงจะแก้แค้นย่า”
ท่านผู้หญิงเริ่มออกอาการเลื่อนลอย พูดเพ้อเจ้อ
“มันเกลียดย่า ย่ารู้ว่า มันเกลียดย่า”
อดิศวร์โอบกอดหญิงชรา ลูบหลังอย่างปลอบโยน “ไม่มีใครเกลียดคุณย่าหรอกครับ...ทุกคนรักคุณย่ากันทั้งนั้น”
ท่านผู้หญิงน้ำตาไหลพราก “...นังพลับพลึงเกลียดย่า...เจ้าคุณปู่ของลบก็เกลียดย่า...ท่านไม่ยอมพูดกับย่าเลยจนตายจาก...” พูดถึงตรงนี้ท่านผู้หญิงสะอึกสะอื้นเป็นการใหญ่ “...ไอ้พวกคนทรยศ เนรคุณ! เลี้ยงไม่เชื่อง! ย่าขอสาปแช่งพวกมันให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ไปผุดไปเกิด”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ คร่ำครวญสะอึกสะอื้นจนตัวโยน อดิศวร์ลูบหลังลูบไหล่ปลอบโยน ราวกับปลอบเด็ก

อุษากับแสงแขกำลังคุยกันเคร่งเครียดอยู่ที่หน้าห้อง
“ถ้าเห็นมันอีก ฉันจะฟ้องคุณลบ คอยดู” แสงแขออกอาการเข่นเขี้ยว
อุษารีบบอก “จุ๊...แสงแข...”
ประตูห้องเปิดออก อดิศวร์เดินออกมา แสงแขรีบถลาเข้ามาหา ทำหน้าตาวิตกกังวลอย่างหนัก
“คุณย่าท่านเป็นยังไงบ้างคะ คุณลบขา...แขมัวแต่ไปเก็บดอกไม้มาจัดแจกัน พอรู้เรื่องตกใจแทบแย่...”
อุษาปรายตามองน้องแว่บหนึ่งขณะพูด
“ก็เป็นเหมือนเดิม...นี่เพิ่งจะหลับไป...” อดิศวร์เบือนหน้ามาทางอุษาซึ่งยืนสงบเสงี่ยมอยู่
“คะ” อุษาขานรับ
“ระหว่างที่พี่ไม่อยู่ ช่วยดูแลคุณย่าให้ดีนะ” อดิศวร์กำชับ
อุษาอ้าปากจะพูด แต่แสงแขรีบขัดขึ้นก่อน
“คุณลบไม่ต้องห่วงเลยค่ะ...แขจะคอยดูแลท่านเป็นอย่างดีที่สุด...ให้สมกับที่คุณลบไว้วางใจ”
“ขอบใจ” อดิศวร์เดินออกไป
แสงแขมองตามชายหนุ่มด้วยแววตารักใคร่ บูชา สุดหัวใจ ส่วนอุษามองสายตาของน้องสาวด้วยความหนักใจ แล้วเดินเข้าไปในห้อง

อดิศวร์เดินออกมาตรงเฉลียงหน้าคฤหาสน์ แล้วหยุดยืน ทอดสายตาออกไปยังทิวเขาเบื้องหน้าซึ่งมีหมอกปกคลุม เสียงของท่านผู้หญิงดังก้องในหู
“พลับพลึงเกลียดย่า เจ้าคุณปู่ของลบก็เกลียดย่า ท่านไม่ยอมพูดกับย่าเลยจนตายจาก..ไอ้พวกคนทรยศเนรคุณ เลี้ยงไม่เชื่อง ย่าขอสาปแช่งพวกมันให้ตกนรกหมกไหม้อย่าได้ไปผุดไปเกิด”
อดิศวร์ ศิโรดม นิ่วหน้าราวกับมีสิ่งสงสัย ติดค้างในใจ ภาพจำในอดีตผุดขึ้นในห้วงคิดของหนุ่มรูปงาม

เวลานั้นสองย่าหลานอยู่ในบริเวณสวนกุหลาบสวยงามบานสะพรั่ง อดิศวร์กำลังเข็นเก้าอี้รถเข็นให้ท่านผู้หญิงนั่งมาอย่างช้าๆ เพื่อชมความงามของดอกไม้
“พอแล้ว...ลบ...พาย่ากลับเถอะ”
“ไม่ไปอีกหน่อยหรือครับ”
“ไม่! ย่าไม่อยากเห็นทุ่งพลับพลึง ทุ่งดอกไม้ผีสิง จะกำจัดยังไงมันก็ไม่ตาย”
อดิศวร์เข็นรถกลับไปเรื่อยๆ
“เดี๋ยวแวะเก็บดอกมณฑาให้ย่าหน่อย” ท่านผู้หญิงว่า
อดิศวร์ เข็นรถเลยเรื่อยมาจนถึงต้นมณฑา ซึ่งกำลังออกดอกสวย ชายหนุ่มเก็บมาส่งให้ย่า ท่านผู้หญิงก้มลงมองพินิจพิเคราะห์
อดิศวร์ถามด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณปู่ปลูกให้คุณย่าใช่ไหมครับ”
ท่านผู้หญิงยังคงมองดอกไม้นิ่ง น้ำตาซึม
“แสดงว่า ท่านก็รักคุณย่ามาก” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
“ลบ”
อดิศวร์ คุกเข่าลงตรงหน้า “ครับ...คุณย่า”
หญิงชรามองหน้าหลานชาย “ลบเหมือนคุณปู่มาก...มากเหลือเกิน...ลบเป็นเหมือนตัวแทนของท่าน”
“ทำไมในบ้านไม่มีรูปท่านล่ะครับ...ผมอยากเห็นว่า ผมเหมือนท่านมากขนาดไหน”
“ส่องกระจกดูซิ...แล้วลบก็จะเห็น”
“เหมือนมากขนาดนั้นเลยหรือครับ”
ท่านผู้หญิงไม่ตอบ ถอนใจยาว “กลับเข้าบ้านเถอะ...อากาศชักจะเย็นขึ้นแล้ว” พลางกระชับเสื้อหนาวกับตัว
อดิศวร์ลุกขึ้น แล้วเข็นรถต่อไป

นึกขึ้นมาแล้ว อดิศวร์ยืนนิ่งอยู่ตรงเฉลียงหน้าบ้าน สายตายังคงเหม่อมองออกไปไกล

วันเวลาผ่านไป อดิศวร์ ศิโรดม เดินทางมาทำธุระที่กรุงเทพฯ วันนี้เขานัดเพื่อนเก่ามาสังสรรค์ที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ลูกค้าในร้านมีมากพอสมควร แต่ไม่ถึงขนาดคึกคัก

อดิศวร์ นั่งร่วมโต๊ะกำลังคุยกันกับเพื่อน 3-4 คน ตรงมุมหนึ่ง  
“ต้องขอบคุณ คุณลบมากที่ช่วยให้ผมชนะคดี” เพื่อนคนที่ 1 บอก
“ไม่เป็นไร คดีไม่ได้ซับซ้อนอะไรมาก”
เพื่อนคนที่ 2 ซึ่งนั่งหันหน้าไปทางประตูร้านชะงัก ออกอาการเพ้อ “สวยจัง”
ทุกคนหันไปมองตาม
จู่ๆ เหมือนมีคลื่นอะไรบางอย่างมาปะทะใบหน้าอดิศวร์ขณะที่เขามองตามไป

เป็นสาวสวย วิรงรอง เดินคุยเข้ามากับ อนิรุทธิ์ ดูเธอมีสีหน้าเหมือนกำลังกังวลอะไรบางอย่าง
บริกรพาทั้ง 2 คน มานั่งโต๊ะ ไม่ห่างจากโต๊ะอดิศวร์ มากนัก
อนิรุทธิ์สั่งอาหารแล้วหันมาทางวิรงรอง “เอ้า...คุยต่อได้”
วิรงรองถอนใจเฮือกใหญ่ “ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากพิชญ์เขาเปลี่ยนไป...เคยอารมณ์ดีก็กลายเป็นหงุดหงิด ไม่รู้ซิท่าทางเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ”
“ทำไมไม่ถามเขาล่ะ” อนิรุทธิ์พูดแบบยั่วๆ ให้โกรธ
วิรงรองหน้าเสียแต่ยังเชิดหน้า “เก๊าะมีไป ไม่ง้อ”
“ไม่ง้อจริงอ้ะ”
วิรงรองตีแขนอนิรุทธิ์อย่างแรง
อนิรุทธิ์ร้องเสียงดังลั่น “โอ๊ย”
ลูกค้าที่โต๊ะบริเวณใกล้เคียงหันมามอง ในขณะที่อดิศวร์มองมาด้วยสายตาตำหนิ แล้วเบือนกลับไปคุยกับเพื่อนต่อ โดยไม่สนใจอีก
“บ้า ร้องซะดังลั่น”
จังหวะนี้พิชญ์เดินเข้ามากับเพื่อน พิชญ์หยุดชะงักเมื่อเห็นวิรงรองหัวเราะสดใสอยู่กับอนิรุทธิ์ พิชญ์เดินตรงเข้ามาหา แล้วเรียกเสียงดังด้วยความหึงหวงและระแวง
“พลับพลึง”
วิรงรองและอนิรุทธิ์ หันไปมอง
อดิศวร์ ศิโรดม เองก็สะดุ้งกับชื่อพลับพลึงที่พิชญ์เรียก ถึงกับพึมพำ
“พลับพลึง”
เพื่อนคนที่ 3 เอ่ยขึ้น “ชื่อแปลก...ไม่เคยได้ยินผู้หญิงสมัยนี้ชื่อ พลับพลึง”
เพื่อนคนที่ 4 กลับบอก “รถไฟชนกันดังโครม”
อดิศวร์ เบือนหน้ากลับมามอง สายตายังฉายแววดูถูก ในขณะที่วิรงรองพยายามอธิบายกับพิชญ์
“พิชญ์คะ นี่ รุทธิ์ เพื่อนพลับพลึงค่ะ รุทธิ์...”
พิชญ์มองอนิรุทธิ์ นัยน์ตากร้าวขณะบอก “พลับพลึงเป็นแฟนผม”
โต๊ะอื่นๆ หันมามองอีก ขณะที่วิรงรองหน้าแดงด้วยความอับอาย
อนิรุทธิ์ฉุน ลุกขึ้นเผชิญหน้า “ผมเป็นเพื่อนกับวิรงรอง”
“เพื่อนแล้วทำไมมากินข้าวด้วยกัน 2 คน” พิชญ์พาลเห็นๆ
“อ้าว! แล้วคุณจะให้กินกันกี่คนล่ะครับ”
ไม่มีใครคาดคิด พิชญ์ต่อยสีหน้ายียวน กวนอารมณ์ของอนิรุทธิ์จนหน้าหงาย
วิรงรองรีบคว้ากระเป๋าเดินก้มหน้าก้มตาออกไปด้วยความอับอายและโกรธ ท่ามกลางความวุ่นวายโกลาหล
อดิศวร์ ศิโรดม มองตามไปอย่างดูถูก

วิรงรองยืนสีหน้าไม่ดีอยู่หน้าร้าน ชะเง้อหาแท็กซี่ พิชญ์ตามออกมา
“พลับพลึง”
วิรงรองโบกแท๊กซี่เข้ามาจอด พิชญ์วิ่งมา ขณะที่อนิรุทธิ์ตามออกมาเช่นกัน วิรงรองขึ้นแท็กซี่ออกไปพอดีกับที่พิชญ์มาถึง
พิชญ์กำหมัดท่าทางหงุดหงิด หันมาทางคู่กรณี “เพราะแกคนเดียว !
อนิรุทธิ์มีสีหน้าเคร่งขรึม มองพิชญ์แน่วนิ่ง “รีบตามไปง้อเธอซิ”
พิชญ์ชะงัก มองหน้าอนิรุทธิ์อย่างแปลกใจ
“ผมเป็นเพื่อนของเธอจริงๆ อยากจะเปลี่ยนฐานะเหมือนกันแต่วิรงรองจิตใจมั่นคงแน่วแน่ แล้วที่เธอมาทานข้าวกับผมวันนี้ ก็เพราะจะปรึกษาเรื่องที่คนรักของเธอเปลี่ยนไป”
พิชญ์นิ่งอึ้ง
“คุณเป็นผู้ชายที่โชคดีที่สุด เสียอย่างเดียว...งี่เง่า”
อนิรุทธิ์เดินย้อนกลับไปยังที่จอดรถ พิชญ์มองตาม พลางถอนใจเฮือกใหญ่

เวลานั้นคุณปรางมารดาของวิรงรองกำลังทำขนมง่วนอยู่ในครัวโดยมีจิ๋วเป็นลูกมือ เสียงกริ่งหน้าประตูดังขึ้น
“ใครมา...ไปดูซิ” ปรางบอก
“ค่ะ” จิ๋วลุกออกไป
วิรงรองซึ่งนอนซมอยู่บนเตียงในห้องนอน รีบลุกขึ้นไปมองที่หน้าต่าง เห็นจิ๋วกำลังเปิดประตูบ้าน ให้รถของพิชญ์แล่นเข้าบ้าน วิรงรองเม้มปาก สีหน้าเศร้าสร้อย ทั้งเสียใจและน้อยใจ

ด้านปรางหยิบมาการองที่เพิ่งทำเสร็จชิมดู
“อร่อย...นี่ขนาดทำครั้งแรกนะ”
จิ๋วเดินกลับเข้าครัวมา ค้อมตัวเรียบร้อย
“คุณพิชญ์มาค่ะ”
“จิ๋วขึ้นไปบอกคุณวินะ”
“ค่ะ” จิ๋วออกไป

ปรางจัดมาการองใส่จาน

พิชญ์นั่งอยู่ในห้องรับแขกได้สักครู่ ท่าทางกระวนกระวาย ปรางเดินเข้ามาพร้อมถาด วางจานมาการอง และน้ำเปล่า พิชญ์รีบยกมือไหว้ แล้วรับจานมา

“คุณน้าต้องลำบาก”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ไม่ได้หนักหนาอะไร ลองชิมมาการองซิ...น้าเพิ่งลองทำครั้งแรก...” พร้อมกับทรุดตัวลงนั่ง
พิชญ์หยิบมากินอย่างเอาใจ “อร่อยมากครับ...ไม่น่าเชื่อว่า ลองทำเป็นครั้งแรก”
พิชญ์พูดพลาง ชะเง้อมองไปที่ทางเข้าห้องรับแขก
ปรางรับรู้จึงขยับตัว “แม่หนูยังไม่ลงมาอีก น้าไปตามให้ดีกว่า”
พิชญ์ออกอาการเกรงใจ “ไม่เป็นไรครับ...เอาไว้ผมค่อยมาใหม่”
“เดี๋ยวน้ามา...รออยู่นี่แหละ”
ปรางลุกเดินออกไป พิชญ์มองตาม พร้อมกับถอนใจยาว

ปรางเดินมาถึงบริเวณหัวบันไดขึ้นชั้นบน ขณะที่จิ๋วลงมาพอดี
“คุณวิรงรองไม่ยอมลงมาค่ะ” จิ๋วบอก
ปรางพยักหน้า แล้วเดินขึ้นไป

ปรางเข้ามาในห้องลูกสาวแล้วมองวิรงรองอย่างเพ่งพิศ
“ไหนแม่หนูบอกได้ไหมว่า โกรธคุณพิชญ์เขาเรื่องอะไรเมื่อวานตอนที่พาเขาแนะนำให้คุณรู้จัก ยังเห็นดีๆ กันอยู่เลย”
วิรงรองไม่ตอบ เอาแต่ทอดถอนใจ
“แม่หนู”
“เขาเปลี่ยนไปค่ะ...หนูก็พูดไม่ถูก”
“งั้นก็ไปถามกันให้รู้เรื่อง”
วิรงรองมองหน้าผู้ให้กำเนิดท่าทีลังเล
“หรือว่าแม่หนูจะยอมทนทรมานใจเพราะความไม่รู้...ไม่แน่ใจอยู่อย่างนี้”
วิรงรองกอดแม่น้ำตาซึม ปรางลูบเรือนผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน

บ้านของพิณทอง เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่บ่งบอกฐานะมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ
ภายในห้องรับแขก สาวใช้ถือถาดน้ำผลไม้ และน้ำเปล่ามาวางให้อดิศวร์
“คุณพิณให้มาเรียนว่า เดี๋ยวจะลงมาค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้ารับทราบ “ขอบใจ”
สาวใช้ออกไป ในจังหวะที่พิณทองเดินเข้ามา ไหว้ทักทายด้วยสีหน้าแจ่มใส
“น้าลบขา...สวัสดีค่ะ”
อดิศวร์รับไหว้ “นี่อยู่บ้านคนเดียวหรือ คุณพิณ”
“ค่ะ...คุณแม่ออกไปทำผม ส่วนคุณพ่อตีกอล์ฟ...น้าลบอยู่ทานข้าวเย็นกับพิณนะคะ...พิณมีคนพิเศษจะแนะนำให้น้าลบรู้จัก”
อดิศวร์เยื้อนยิ้มอย่างเอ็นดูหลานสาวคนสวย “เขาเป็นใครกันล่ะ”
“พิชญ์ ธิติบดีค่ะ” พิณทองมีสีหน้าอายๆ ปนภาคภูมิใจ “เรารู้จักกันตั้งแต่เด็ก...เขาเป็นลูกชายของเพื่อนคุณแม่ เพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อวานซืนนี้เอง” พิณทองเว้นระยะไปนิดหนึ่ง สีหน้าเริ่มลังเลไม่แน่ใจขณะพูดประโยคต่อมา “น้าลบว่าเร็วไปไหมคะ ถ้าพิณจะรับหมั้นเขา”
“ก็ไหนว่ารู้จักกันมานานแล้วไง”
“ใช่ค่ะ! แต่เราก็ไม่ได้เจอกันนานเลย ทางคุณแม่ของเขากับคุณแม่พิณสนับสนุน”
“แล้วคุณพิณคิดว่ายังไงล่ะ”
พิณทองออกอาการเขินๆ
“น้าลบชักอยากจะเห็นหน้าคุณ...อะไรนะ”
คราวนี้พิณทองยิ้มหวาน “พิชญ์ค่ะ...เขาชื่อพิชญ์”

ชายหนุ่มผู้ที่พิณทองเอ่ยถึง พิชญ์ ธิติบดี กำลังมองวิรงรองซึ่งนั่งหันหน้ามองไปอีกทางอย่างง้องอน
“ผมยอมรับว่าผมผิดที่ทำให้คุณต้องอับอายขายหน้า”
“อ้อ! รู้เหมือนกันหรือคะ”
“ขอโทษนะครับพลับพลึง วันสองวันมานี่ ผมมีแต่เรื่องที่ทำให้หงุดหงิดไม่สบายใจ”
วิรงรองชะงัก หันกลับมามองทันทีด้วยความเป็นห่วง “เรื่องอะไรหรือคะ”
“ผมไม่อยากให้พลับพลึงไม่สบายใจไปด้วย...เอาเป็นว่า ผมกำลังพยายามแก้ปัญหาอยู่ก็แล้วกัน”
“พิชญ์” วิรงรอิงทำท่าจะพูดบางอย่าง แต่กลับอ้ำอึ้งไปนิดหนึ่ง “ช่างเถอะ”
พิชญ์หยิบกล่องเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วเปิดออก วิรงรองเบิกตากว้างมองแหวนเพชรน้ำงามในนั้น แล้วมองพิชญ์ด้วยสีหน้าตื้นตันใจ
“แหวนวงนี้ ผมเก็บเงินซื้อเอง เพชรเม็ดอาจจะไม่ใหญ่นัก”
วิรงรองขัดขึ้นทันที “ขอบคุณมากค่ะ พิชญ์...ต่อให้เพชรเม็ดเล็กกว่านี้ แต่เป็นความตั้งใจจริงของพิชญ์ที่ซื้อให้ด้วยน้ำพักน้ำแรง...พลับพลึงก็ดีใจและเต็มใจจะรับไว้”
“พลับพลึง” พิชญ์ยกมือวิรงรองขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา “ขออนุญาตนะครับ”
“ค่ะ” วิรงรองเต็มตื้น น้ำตารื้นขึ้นมา
พิชญ์วางกล่องลง หยิบแหวนขึ้นมาจะสวมให้ที่นิ้วนางของวิรงรอง
วิรงรองขอเปลี่ยนเป็นนิ้วนางข้างขวา “ข้างนี้ดีกว่านะคะ...เอาไว้ให้พิชญ์พูดกับคุณของพลับพลึงเป็นทางการก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนเป็นข้างซ้าย”
คุณที่หญิงสาวพูดถึงคือ คุณปราง ผู้เป็นมารดา นั่นเอง
พิชญ์หน้าเสียไปนิดหนึ่งแต่แล้วก็พยักหน้า “ตกลงครับ”
มือพิชญ์จะสวมแหวน แต่แล้วก็ชะงัก เมื่อมีเสียงกระแอมดังขึ้นเบาๆ วิรงรองรีบชักมือออก ทั้ง 2 คน หันไปทางเสียง พบว่าปรางซึ่งเดินทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เข้ามา
“ทำอะไรกันจ๊ะ” มองหน้าลูกสาวที แล้วเลยไปมองพิชญ์เขม็ง
พิชญ์หลบตาลง
วิรงรองบอกมารดา ท่าทีเขินๆ “พิชญ์เขาซื้อแหวนมาให้หนูค่ะ ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงตัวเอง เชียวนะคะ”
ปรางยังคงมองจ้องพิชญ์เขม็งอยู่อย่างนั้น ขณะบอกลูกสาว “ดีจ้ะ...แต่ของอย่างนี้ต้องให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้ง 2 ฝ่ายก่อน จะมามุบมิบให้กัน 2 คนไม่ได้ คนไทยเราถือจ้ะต่อให้สมัยใหม่แค่ไหน ก็ต้องให้เกียรติผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย และให้เกียรติคนที่เรารักด้วย”
พิชญ์นึกละอาย และมีพิรุธขณะพึมพำขอโทษพร้อมยกมือไหว้ “ผม...ขอโทษครับ”
วิรงรองรีบแก้แทน “พิชญ์เขาจะสวมมือขวาค่ะ...ไม่ใช่มือซ้าย”
“ก็นั่นแหละจ้ะ...” ปรางทอดคำเว้นไปนิด “นอกจากว่า...คุณพิชญ์จะสวมให้เล่นๆ ไม่มีความหมายอะไร”
พิชญ์อึกอักอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
วิรงรองมองพิชญ์ “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอนใช่ไหมคะ พิชญ์”
พิชญ์ยังคงอึดอัดอึกอัก
วิรงรองชักสังหรณ์ใจ “พิชญ์”
พิชญ์เหมือนลำบากใจสุดๆ “พลับพลึง”
ปรางขยับตัว “คุยกันเสียให้รู้เรื่องก่อนที่จะตัดสินใจสวมแหวนให้กันนะจ้ะ”
ปรางเดินเข้าไปข้างในบ้าน
“พิชญ์ มีอะไรก็บอกพลับพลึงตามตรงเถอะค่ะ” วิรงรองเอ่ยขึ้น
พิชญ์ตัดสินใจบอก “คุณแม่ท่านหมั้นผู้หญิงไว้ให้ผมแล้ว ท่านเพิ่งบอกผมตอนไปรับที่สนามบิน...คงคิดว่าจะเซอร์ไพร์สผม แต่...” พิชญ์อึ้งไป พูดไม่ออกด้วยความอัดอั้นตันใจ

วิรงรองมองพิชญ์อย่างตกตะลึง พูดอะไรไม่ออก

อ่านต่อหน้า 2

โดมทอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

ทางด้านพิณทองถือจานพายหน้าตาน่ากินเข้ามา แล้ววางลงบนโต๊ะตรงหน้าอดิศวร์

“ระหว่างรอ...น้าลบทานพายไก่ฝีมือพิณไปพลางๆ ก่อนนะคะ”
“งั้นต้องอร่อยแน่ๆ”
อดิศวร์ตัดพายชิม พิณทองมองด้วยสีหน้าลุ้นๆ
“อร่อยมั้ยคะ”
“ทำขายได้เลยละ” อดิศวร์ว่า
พิณทองยิ้มหวานดีใจ
“คุณพิณยังไม่ได้บอกน้าลบเลยว่า นิสัยใจคอคุณพิชญ์เขาเป็นยังไง”
“เขาเป็นคนดีค่ะ...เท่าที่รู้จักน่ะนะคะ แต่พิณไม่แน่ใจว่า เขาจะ เอ้อ ...รักพิณหรือเปล่า...พิณดูไม่ออก”
สีหน้าพิณเหมือนลังเล ไม่แน่ใจเอาเลย

ส่วนวิรงรอง และพิชญ์ เดินออกมาหน้าบ้านด้วยกันช้าๆ สีหน้าเศร้าทั้งคู่ สองคนเดินมาหยุดที่รถ แล้วยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น
วิรงรองเป็นฝ่ายพูดขึ้นในที่สุด “ลาก่อนค่ะ พิชญ์”
พิชญ์ใจหล่นวูบ รวบมือวิรงรองไว้ “ขอเวลาให้ผมหน่อยนะ พลับพลึง ผมจะพยายามอธิบายให้คุณแม่ฟัง”
“ถ้าถึงกับต้องพยายาม ก็อย่าดีกว่าค่ะ”
“ผมรักพลับพลึง...เรารักกัน” ชายหนุ่มพูดพร่ำ
“แล้วคุณไม่รักคุณแม่คุณหรือคะ”
พิชญ์อึ้ง
“ทำตามความต้องการของท่านเถอะค่ะ”
คราวนี้พิชญ์เริ่มพาล มองวิรงรองอย่างคลางแคลงใจ “คุณพูดเหมือนไม่รักผม พยายามขับไล่ไสส่งผม เพราะไอ้เจ้าอนิรุทธิ์”
“เขาเป็นเพื่อนพลับพลึง อย่าเอาเขาเข้ามาเกี่ยว”
พิชญ์แดกดัน “อ๋อ...แตะต้องไม่ได้”
วิรงรองถอนใจแล้วเม้มปาก แน่น
พิชญ์เสียงอ่อนลง “ผมจะพูดกับคุณแม่...รอผมนะพลับพลึง ผมจะบอกคุณแม่ว่า ผมมีคนที่ผมรักแล้ว...คุณแม่ต้องเห็นใจเรา...ผมมั่นใจ”
วิรงรองมีสีหน้าดีขึ้น ใจชื้นขึ้น
“พรุ่งนี้ผมจะมาหาแต่เช้าพร้อมกับข่าวดี”
พิชญ์บีบมือวิรงรองเบาๆ เหมือนจะให้กำลังใจ แล้วขึ้นรถขับออกไป
วิรงรองยืนมองส่งชายคนรัก ด้วยสีหน้ามีความหวัง

ออกจากบ้านวิรงรอง พิชญ์ขับรถมาเรื่อยๆ ตามท้องถนน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
พิชญ์เหลือบมองแว่บหนึ่งแล้วรับ
“ครับคุณแม่”
2 คุณหญิงอยู่ในร้านเพชร โดยคุณหญิงแก้วกำลังเลือกแหวน ตุ้มหู ในขณะที่ คุณหญิงวัชรี หรือ คุณหญิงวัชรวิชิต โทรศัพท์คุยกับลูกชาย
“พิชญ์ไม่ต้องมารับแม่แล้วนะลูก...เดี๋ยวแม่จะกลับไปกับคุณหญิงแก้ว...พิชญ์ไปหาน้องก่อน เพราะหนูพิณทองอยู่บ้านคนเดียว...แม่อยากให้พิชญ์ไปคุยเป็นเพื่อนน้อง”
พิชญ์สีหน้าอึดอัด แต่ก็รับคำสั้นๆ “ครับ”
“คุยกับน้องดีๆ นะ” วัชรีหัวเราะล้อเลียนลูกชาย
พิชญ์ถอนใจยาว แล้วปิดโทรศัพท์
แก้วหันมา “ตาพิชญ์ว่าไงคะ”
“อุ๊ย ก็ตื่นเต้นดีอกดีใจไปเท่านั้นน่ะซี คุณน้อง จำตอนที่เราไปรับที่สนามบิน แล้วที่แนะนำว่าหนูพิณทองเป็นคู่หมั้นได้มั้ย”
แก้วลังเล “ค่ะ...ดูแกอึ้งๆ”
“อึ้งเพราะตื่นเต้นดีใจไง โถ...หนูพิณน่ะทั้งสวยทั้งเพรียบพร้อมไปหมด ใครได้เป็นคู่หมั้นก็ต้องตื่นเต้นดีใจทุกคนนั่นแหละ...ตกลง คุณน้องเอาวงไหนคะ”
ทั้ง 2 ปรึกษาหารือกัน โดยเจ้าของร้านให้คำแนะนำอย่างนอบน้อม

เวลาเดียวกันพิณทองกำลังอวดกล้วยไม้สวยๆ ในสวนกับอดิศวร์
“พวกนี้คุณพ่อเพิ่งได้มาใหม่ค่ะ...น้าลบชอบมั้ยคะ พิณจะได้จัดให้”
“ที่ โดมทอง ก็มีเยอะแยะไปหมด เอาไว้ที่นี่เถอะ” อดิศวร์ว่า
“จริงซีคะ พูดถึงโดมทองแล้วนึกได้ ถ้าพิณแต่งงานแล้ว ขออนุญาตไปฮันนีมูนที่นั่น”
อดิศวร์ตอบทันที “เอาเลย”
เสียงแตรรถดังขึ้น พิณทองมีสีหน้าตื่นเต้นยินดีจนเห็นได้ชัด
“พิชญ์คงมาแล้ว”
“เชิญคุณพิณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวอึ่งก็คงพามาที่นี่”
“ไปเถอะ...น้าลบเดินไปด้วย คุณพิณจะได้ไม่ตื่นเต้น”

พิณทองยิ้มอายๆ แล้วคล้องแขนอดิศวร์เดินไป

ด้านพิชญ์เปิดประตูรถก้าวลงมา ในจังหวะที่อดิศวร์และพิณทองเดินอ้อมมาถึงพอดี

“พิชญ์คะ” พิณทองร้องทัก
พิชญ์หันมามอง อดิศวร์ชะงัก สีหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที ภาพเหตุการณ์หึงหวงกันในร้านอาหารแว่บเข้ามาในห้องความคิด เขาจดจำชายหนุ่มคนนี้ได้ทันที
“น้าลบคะ พี่พิชญ์ค่ะ...พิชญ์...นี่น้าลบของพิณ”
พิชญ์ไหว้ทักทาย “สวัสดีครับ...น้าลบ”
อดิศวร์รับไหว้ ขณะพิชญ์หันมาคุยกับพิณทอง
“คุณแม่ให้ผมล่วงหน้ามาก่อน...เดี๋ยวท่านจะมากับคุณแม่คุณ”
“งั้นเชิญข้างในดีกว่าค่ะ...ไปค่ะ...น้าลบ”
“น้าลบนึกได้ว่ามีธุระอื่นอีก เอาไว้จะแวะมาใหม่ก่อนกลับ...โดมทอง” อดิศวร์ออกตัว
พิชญ์ทวนคำทึ่งๆ “โดมทอง”
“ชื่อบ้านน้าลบค่ะ...พิณเคยเห็นแต่ในรูป...ยังไม่เคยไปเหมือนกันแต่รับรองได้ว่าสวยมาก”
“อย่าลืมนะคุณพิณที่เมื่อกี้เราพูดกันไว้” อดิศวร์บอก
“ค่ะ” พิณทองยิ้มให้
“น้าลบไปละ”
พิณทองไหว้ลาอดิศวร์ พิชญ์ไหว้ตาม
อดิศวร์รับไหว้ทั้ง 2 คนแล้วเดินไปขึ้นรถ ขับออกไป
“น้าลบของพิณมองผมแปลกๆ” พิชญ์เปรยขึ้น
“พิชญ์คิดมากไปเอง...น้าลบใจดีออกค่ะ”
ทั้ง 2 เดินคุยกันเข้าไปข้างในบ้าน

อดิศวร์ขับรถออกมาจากบ้านพิณทอง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึมขณะพึมพำออกมา
“น่าสงสารคุณพิณ”

บ้านของสุรภี เป็นบ้านหลังขนาดไม่ใหญ่โตนัก แต่ก็สวยทันสมัย ปลูกไม้ดอกไม้ใบเป็นระเบียบ ภายในบ้าน สุรภีกำลังคุยโทรศัพท์กับปรางซึ่งเป็นฝ่ายโทร.มาหาด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“พรุ่งนี้พี่สุรภีอยู่บ้านหรือเปล่าคะ หนูจะไปหา”
“อยู่...ทำไม สุ้มเสียงเธอเหมือนมีเรื่องร้อนอกร้อนใจ”
“ร้อนมากเลยค่ะ...เรื่องเกี่ยวกับแม่หนู”
“ทำไม! แม่หนูมีอะไร” สุรภีพลอยร้อนใจไปด้วย
“หนูไม่อยากพูดทางโทรศัพท์” ปรางบอก
“งั้นพี่จะไปหาเธอเดี๋ยวนี้”
“อุ๊ย อย่าเพิ่งเลยค่ะ...เดี๋ยวแกจะสงสัย”
“งั้นเอาไงดี” สุรภีคิดนิดหนึ่ง “อ้อ เจอกันที่ร้านขนมเค้กหน้าปากซอยบ้านเธอดีกว่า...ฉันจะได้ไม่ต้องไปบ้านเธอให้แม่หนูสงสัย...นี่เพิ่งจะบ่ายสามโมงเอง”
“ได้ค่ะ...เดี๋ยวหนูจะออกไปรอที่ร้าน”
“โอเค.” สุรภีวางสาย ก่อนจะร้องเรียกสาวใช้เสียงดัง “จอย...จอยเอ๊ย ไปบอกเจ้าโชคเอารถออก ฉันจะไปธุระ”


ไม่นานต่อมา สุรภีเดินหิ้วกระเป๋าเข้ามาในร้านขนมเค้ก บรรยากาศน่ารักๆ แล้วตรงไปยังโต๊ะที่ปรางนั่งจิบชารออยู่แล้วด้วยสีหน้ากังวล
ปรางไหว้ทักทาย “มาเร็วจังเลยค่ะ”
“โอ๊ย บ้านฉันไม่ได้อยู่ไกลนอกฟ้าป่าหิมพานต์นี่จ๊ะ รถก็ไม่ติด ไหน แม่หนูมีเรื่องอะไร”
“พี่สุไม่สั่งอะไรก่อนหรือคะ”
“เอาชาเหมือนเธอก็แล้วกัน...ขนมไม่เอา เธอทำให้กินบ่อยๆ อยู่แล้ว”
ปรางหันไปสั่งชาให้สุรภี

วิรงรองนอนขดตัวอยู่บนเตียง เหตุการณ์ที่คุยกับพิชญ์ ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“ผมจะพูดกับคุณแม่ รอผมนะพลับพลึง ผมจะบอกคุณแม่ว่า ผมมีคนที่ผมรักแล้ว”
ภาพพิชญ์ เลือนหายไป มีภาพปรางซ้อนขึ้นมาแทน
“แล้วแม่หนูคิดว่า ชีวิตแต่งงานจะราบรื่นมีความสุขหรือลูก ถ้าหากครอบครัวเขาไม่ยอมรับเรา”
ภาพปรางเลือนหายไป พร้อมๆ กับน้ำตาของวิรงรองเอ่อซึมขอบตา

สุรภีรับฟังเรื่องของวิรงรองแล้วเคาะโต๊ะเบาๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญ ตริตรอง
“จริงของเธอ...ชีวิตแต่งงานของแม่หนูคงไม่มีความสุขแน่ แล้วพี่ก็เชื่อว่าแม่หนูคงรู้ดีเหมือนกัน”
“แต่ถ้านายพิชญ์ พยายามง้องอนออดอ้อนทุกวัน แม่หนูต้องใจอ่อนแน่...บอกตามตรงว่าหนูไม่อยากให้ลูกได้ชื่อว่าไปแย่งคู่หมั้นคู่หมายเขา” ปรางว่า
“ฮื้อ...แม่หนูกับคุณพิชญ์เขารักกันมาก่อนต่างหาก คุณพิชญ์เองก็เป็นคนดี ตอนเขาคบหากันที่อเมริกาก็อยู่ในสายตาพี่ตลอด” สุรภีเว้นไปนิด “แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าพ่อแม่เขาไม่ชอบ มันก็มีปัญหา เฮ้อ…” สุรภีจิบชาแล้วชะงักเหมือนนึกได้ “เอาอย่างนี้ ส่งแกไปอยู่ที่อื่น”
“ที่ไหนคะ หรือว่าพี่สุจะพาไปอเมริกาด้วยอีก...หนูไม่อยากให้แกไปไกลๆ อย่างนั้นอีกแล้ว...คิดถึงค่ะ”
“เปล่าน่า...อยู่ในเมืองไทยนี่แหละ เธอเคยได้ยินชื่อ โดมทอง ไหม”

ปรางฟังแล้วทวนคำ “โดมทอง”

ค่ำนั้น 2 คนแม่ลูกนั่งคุยกันที่สนามหญ้าหน้าบ้าน

“แม่หนูจะว่ายังไงล่ะลูก”
วิรงรองทอดถอนใจ ขณะก้มลงมองมือตัวเอง
“คุณขอโทษที่เล่าเรื่องนี้ให้คุณป้าสุรภีฟังโดยที่ไม่ได้บอกแม่หนู”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูรู้ว่าคุณเป็นห่วงหนู อีกอย่างคุณป้าสุรภีก็เหมือนแม่ของหนูอีกคน ท่านส่งเสียให้เรียนเมืองนอกเมืองนา...แล้วก็ดูแลหนูอย่างดี”
ปรางพยักหน้า “คุณก็คิดว่าอย่างนั้น...คุณป้าห่วงหนูมาก อีกอย่าง ท่านเห็นว่าหนูยังอยู่ว่างๆ”
“คุณคิดว่าหนูควรจะไปหรือเปล่าล่ะคะ” วิรงรองถามผู้ให้กำเนิด
“หนูคิดเองดีกว่า...คุณไม่อยากฟันธงลงไป”
วรงรองสูดลมหายใจยาว “ตกลงค่ะ...ญาติผู้ใหญ่ของคุณป้าเจ็บหนัก...ทำไมหนูจะทดแทนพระคุณด้วยการไปช่วยดูแลให้ไม่ได้”
ปรางครวญ “แม่หนู”
“อีกอย่างหลบหน้าหลบตาพิชญ์ไปสักพักก็คงจะดี...ทั้งเขาแล้วก็หนูจะได้มีเวลาใคร่ครวญว่า เราควรจะทำอย่างไรกันต่อไป”
“ถ้าอย่างนั้น คุณจะโทร.บอกคุณป้าเดี๋ยวนี้เลยนะลูก”
“ค่ะ”
ปรางลุกเดินไปด้วยความโล่งใจ ขณะที่วิรงรองน้ำตาซึม
“พิชญ์...อย่าโกรธพลับพลึงเลยนะ”

ขณะเดียวกัน อดิศวร์อยู่ในห้องพัก ที่คอนโดมิเนียมหรู ด้านนอกเป็นอาคารรูปทรงทันสมัยดูสง่า และเงียบสงบ เขากำลังคุยโทรศัพท์กับสุรภี
“ขอบคุณคุณอามากนะครับ...ผมรับรองว่าจะดูแลหลานคุณอาเป็นอย่างดี”
“ขอบใจมากจ้ะ เออ คุณลบอยากเห็นหน้าแกไหม อาจะส่งรูปไปให้ดู คุณลบจะได้ตัดสินใจอีกที”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไว้ใจคุณอา คุณอาบอกว่าดี ผมก็ว่าดี”
“อาจะส่งรูปให้ดู...ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรเลยนี่ รอรับก็แล้วกัน”
ว่าแล้วสุรภีปิดโทรศัพท์แล้วเลื่อนรูปไปเรื่อยๆ จนได้รูปที่ต้องการ แล้วกดส่ง
อดิศวร์มองดูภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดเป็นอย่างยิ่ง
“แม่คนนี้นี่เอง”
สีหน้าอดิศวร์เหมือนกำลังวางแผนบางอย่างในใจ


ภายในห้องนั่งเล่น พิชญ์นั่งกุมขมับอยู่ ในขณะที่คุณหญิงวัชรีมองลูกชายอย่างไม่แน่ใจ
“ลูกอยากให้ ทางครอบครัวคุณหญิงแก้วเขาถอนหงอกแม่เรอะ ตาพิชญ์”
“คุณแม่ก็แค่บอกเขาไปว่า ผมมีแฟนของผมอยู่แล้ว หรือจะให้ผมไปพูดเองก็ได้นะครับ”
“อย่านะ! อย่าทำให้แม่ต้องเสียเพื่อน”
“ผมรักพลับพลึง” พิชญ์บอกหนักแน่น
“ก็แค่ดอกพลับพลึง ดอกไม้ไม่มีราคา”
“เขาเป็นคนดีนะครับ...คุณแม่เห็นแล้วจะต้องชอบ”
“แม่ไม่ชอบใครนอกจากหนูพิณทอง...ตาพิชญ์ ลูกต้องเห็นแก่หน้าพ่อหน้าแม่”
“แล้วผมล่ะครับ ทำไมคุณแม่ไม่เห็นแก่ผมบ้าง ชีวิตผมทั้งชีวิตเชียวนะครับ”
“เอ๊ะ! แม่คิดว่าเราพูดกันเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วนะ”
พิชญ์นั่งนิ่ง
วัชรีตั้งสติใหม่แล้วพูดเสียงอ่อนลง “ลูกอยากให้แม่รู้จัก ผู้หญิงคนนั้นใช่ไหม”
พิชญ์ชะงัก สีหน้าดีขึ้น “ใช่ครับ”
วัชรีพยักหน้าช้าๆ “ก็ได้”
พิชญ์มีสีหน้าโล่งใจ

เช้าวันรุ่งขึ้นวิรงรองมีสีหน้าประหลาดใจและตกใจ เมื่อจิ๋วมาบอก จนต้องย้อนถาม
“ใครมานะ”
“เห็นบอกว่า เป็นคุณแม่ของคุณพิชญ์ค่ะ”
“แล้วคุณล่ะ” วิรงรองถามถึงมารดา
“คุณสุรภีมารับไปทำบุญตั้งแต่เช้าเลยค่ะ”
วิรงรองพยักหน้าแล้วเดินลงไป จิ๋วตามมา

คุณหญิงวัชรีนั่งตัวตรง ปรายตามองโดยรอบอย่างดูถูก ขณะที่วิรงรองเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ” วิรงรองไหว้ทัก ท่าทีนอบน้อม
วัชรีรับไหว้แค่หน้าอก มองคนรักลูกชายหัวจดเท้า และจากเท้าขึ้นหัวอีกหน อย่างดูถูก
“เธอน่ะเรอะ ชื่อพลับพลึง”
วิรงรองทรุดตัวลงนั่งตรงข้าม พลางอธิบายเสียงอ่อนๆ “ความจริง หนูชื่อวิรงรองค่ะ วิรงรองแปลว่าดอกพลับพลึง ... พิชญ์เขาก็เลยเรียกว่า พลับพลึง”
“ฉันอุตส่าห์ดั้นด้นมาถึงนี่ก็เพื่อจะบอกให้เธอเลิกติดต่อกับลูกชายของฉัน” คุณหญิงเข้าเรื่องโดยไม่อ้อมค้อม
วิรงรองนิ่งอึ้ง ด้วยไม่คาดคิด
“เขาเป็นลูกชายคนเดียวของฉัน ฉันจึงต้องการให้เขาได้สิ่งที่ดีที่สุด และหนูพิณทองก็คือผู้หญิงที่ดีที่สุด คู่ควรที่สุดกับพิชญ์”
วิรงรองยังคงพูดไม่ออก
“เธอก็หน้าตาสะสวย น่าจะหาผู้ชายมาเป็นแฟนได้ไม่ยาก แต่ต้องระวังหน่อย อย่าหลับหูหลับตาไปคว้าเอาคนที่เขามีคู่หมั้นคู่หมายอีกก็แล้วกัน”
วัชรีลุกขึ้น พูดทิ้งท้าย “หวังว่าเธอคงเข้าใจทั้งหมดที่ฉันพูดมานี่”
วิรงรองลุกขึ้นบ้าง “ค่ะ แล้วก็ขอให้ท่านเข้าใจเหมือนกันว่า ถ้าดิฉันจะดื้อดึงยึดพิชญ์ไว้ก็ไม่น่าจะยาก”
คราวนี้ วัชรีเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งไม่คาดคิดบ้าง
“แต่เพื่อเห็นแก่ท่านซึ่งอุตส่าห์ดั้นด้นมาจนถึงที่นี่ ดิฉันก็จะปล่อยพิชญ์ไป...เอาบุญ”
วัชรีโกรธมาก “แก”
“เชิญค่ะ ดิฉันจะออกไปส่ง”
“ไม่ต้อง ฉันไปเองได้”
วัชรีเชิดหน้าสะบัดตัวเดินออกไป
วิรงรองเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่ง พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล เสียงโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะดังขึ้น
หญิงสาวหยิบขึ้นมาดู ที่หน้าจอ เป็นชื่อ “พิชญ์”

วิรงรองตัดสินใจกดปิดมือถือทันที

ขณะที่อดิศวร์หยิบกระเป๋า และกุญแจรถ โทรศัพท์มือถือ เดินตรงไปที่ประตู เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายหนุ่มก้มลงมองแล้วรับ

“ครับ...คุณอา”
สุรภีนั่นเองโทร.มา และเดินคุยโทรศัพท์โดยมีปรางเดินมาด้วยจนถึงลานจอดรถในวัดแห่งหนึ่ง คนรถรีบลุกมาเปิดประตูให้ทั้งสอง
“คุณลบจะให้วิรงรองไปโดมทองเมื่อไหร่จ๊ะ”
“เขาพร้อมเมื่อไหร่ก็มาได้เลยครับ แต่ขอให้บอกมาก่อน...ผมจะได้จัดการเรื่องการเดินทางให้” อดิศวร์บอก
“งั้นอาจะให้แกโทร. หาคุณลบเองก็แล้วกัน”
“ก็ได้ครับ”
“แล้วนี่คุณลบอยู่ที่ไหน”
“ผมกำลังจะกลับโดมทอง”
“อุ๊ย งั้นอาไม่รบกวนแล้ว...ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะจ๊ะ”
“ขอบคุณครับ”
อดิศวร์เก็บโทรศัพท์แล้วเดินออกไป
สุรภีหันมาทางปรางที่รอฟังความอยู่ “เรียบร้อย ทีนี้ก็กลับไปถามแม่หนูของเราดู”
“ขอบคุณพี่มาก ที่ช่วยจัดการทุกสิ่งทุกอย่างให้”
ทั้ง 2 ขึ้นรถ คนรถขับออกไป

วิรงรองบอกมารดาและป้าด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ “พรุ่งนี้เลยค่ะ ถ้าหากไม่เป็นการรบกวนทางโน้น”
“อุ๊ย ไม่รบกวนเลยลูก คุณลบอยากได้คนดีๆ ไปช่วยดูแลคุณย่าเขาจะแย่” สุรภียิ้มแย้ม
“แม่หนูอย่าทำให้เสียชื่อคุณป้าสุรภีนะลูก”
“ค่ะ”
“ฮื่อ เธอละก็...แม่หนูน่ะไม่มีวันทำอย่างนั้นหรอก” สุรภีมองหน้าวิรงรอง ขณะให้ข้อมูลคนที่ต้องไปดูแล “หนูเองก็ต้องใช้ความอดทนสูงเหมือนกัน ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ คุณย่าของคุณลบน่ะ เอาใจยากอยู่เหมือนกัน ป้าต้องบอกความจริงกับหนูว่าคนที่ป้าส่งไปคนที่แล้ว อยู่ได้เดือนเดียวก็ออก...ท่านผู้หญิงท่านอารมณ์ร้าย”
ปรางได้ฟังชักกังวล “ตายจริง”
“คุณไม่ต้องห่วงค่ะ ยังไงที่นั่นก็คงจะดีกว่ากรุงเทพฯ แน่นอน..หนูจะพยายามอดทน” วิรงรองบอก
“ถ้าทนไม่ไหว ก็กลับบ้านเรานะลูก”
“หนูว่าหนูไหวค่ะ”
สีหน้าแววตาของวิรงรอง ดูมั่นอกมั่นใจและแน่วแน่อย่างยิ่ง

อดิศวร์นั่งมาในแท็กซี่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เขารับสายด้วยสีหน้าเย็นชา “ว่าไง...แสงแข”
“คุณลบจะกลับเมื่อไหร่หรือคะ” แสงแขอยู่ที่โดมทอง
“ถามทำไม...” อดิศวร์ตำหนิอยู่ในที เว้นไปอีกนิด ก่อนบอก “ฉันกำลังไปสนามบิน..เท่านี้ใช่ไหม”
“ค่ะ...” แสงแขกำโทรศัพท์แน่นด้วยความน้อยใจ
ขณะที่อดิศวร์จะเก็บโทรศัพท์ แต่เสียงดังขึ้นอีกสาย เขามองเบอร์อย่างแปลกใจ
“ฮัลโหล”
วิรงรองโทร.จากในห้องนอนที่บ้าน
“ขอประทานโทษที่โทร.มารบกวนค่ะ ดิฉันชื่อ...วิรงรอง”
อดิศวร์นิ่งอึ้งไป
“คุณป้าสุรภีบอกว่า ถ้าดิฉันพร้อมจะไปโดมทอง เมื่อไหร่ให้โทร.มาบอกคุณ”
“แล้วไง” น้ำเสียงดิศวร์เย็นชาจนจับได้
“พรุ่งนี้ค่ะ ดิฉันจะออกเดินทางพรุ่งนี้ ไม่ทราบว่า…”
อดิศวร์พูดขัดออกมา “ไปรถไฟดีที่สุด”
วิรงรองแทบจะไม่เชื่อหู “อะไรนะคะ”
“ฉันบอกว่าไปรถไฟดีที่สุด” อดิศวร์ย้ำ
วิรงรองยังคงมีสีหน้าประหลาดใจสุดๆ

ครู่ต่อมาแม่ลูกคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก ปรางออกอาการงงพอฟังลูกสาวเล่าจบลง
“ไปเครื่องบินไม่ได้หรือลูก”
“หนูก็ถามเขาอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ แต่เขากลับทำเสียงเหมือนหนูโง่เง่า หนูว่า เขาต้องร้ายยิ่งกว่าคุณย่าเขาอีกค่ะ”
“ยังเปลี่ยนใจทันนะลูก” ปรางบอก
วิรงรองบอกอย่างแน่วแน่ “ไม่ค่ะ หนูตั้งใจแน่นอนแล้ว อีกอย่างหนูไปพยาบาลคุณย่าเขา ไม่ใช่ไปพยาบาลเขา คิดในแง่ดีเขาอาจอยากให้หนูได้ชื่นชมทิวทัศน์ 2 ข้างทางก็ได้...หรือไม่ก็งกจัดไม่อยากเสียค่าเครื่องบิน”
ปรางหัวเราะ “คิดได้อย่างนั้นก็ดี”
วิรงรองยิ้มแล้วกอดแม่ สีหน้าขรึมลง
ปรางลูบผมลูกอ่อนโยน “แม่คงคิดถึงหนูมาก”
“คิดถึงก็โทร.หาซิคะ หรือไม่หนูก็จะมาเยี่ยมคุณบ่อยๆ”
ปรางยังคงลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยนรักใคร่

ดึกสงัด วิรงรองพบว่าเธอกำลังเดินเข้ามาเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูรั้วโดมทอง ท่ามกลางแสงจันทร์กระจ่าง บรรยากาศโดยรอบทั้งเงียบและวังเวง มีหมอกจางๆ ลอยอ้อยอิ่งอยู่ทั่วบริเวณ
ประตูรั้วคฤหาสน์เปิดออกเองช้าๆ ราวกับรับรู้การมาของเธอ วิรงรองลังเลเล็กน้อย แล้วสืบเท้าก้าวเข้าไป หญิงสาวเดินเหลียวซ้ายแลขวาไปเรื่อยๆ เสียงแมลงกลางคืนดังแว่วๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลง “นางครวญ” ดังแทรกขึ้นมา เสียงร้องนั้นฟังดูโหยหวนและเศร้าสร้อย วิรงรองหยุดชะงัก มองหาทิศที่มาของเสียง
“ใครน่ะ!…ใครร้องเพลง”
เสียงเพลงยังคงดังต่อเนื้อง วิรงรองก้าวไปตามเสียงนั้น มาจนถึงทุ่งดอกพลับพลึงอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่และวังเวง
ในเสียงเพลงหวานเศร้า คราวนี้ปนด้วยเสียงสะอื้น ด้วยความโศกเศร้าอาดูรอย่างที่สุด
“ใคร...ใครน่ะ”
วิรงรองกอดตัวเองด้วยอากาศหนาวเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนดังใกล้ๆ
วิรงรองมองหาทางออก “มีใครอยู่แถวนี้บ้าง!..ช่วยพาฉันออกไปหน่อย”
ท้องฟ้าข้างบนคำรามครืนครัน อย่างไม่มีเค้ามาก่อน และจู่ๆ ฝนก็ตกกระหน่ำ พายุพัดโหมแรงจัด
วิรงรองกลัวจนร้องไห้ “พิชญ์ พิชญ์ช่วยพลับพลึงด้วย”
ท่ามกลางสายฝนและพายุพัดโหมกระหน่ำ วิรงรองร้องเรียกพิชญ์พลางวิ่งหาทางออก แล้วเท้าของเธอก็สะดุดหกล้ม วิรงรองฟุบหน้ากับพื้น ร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความหวาดกลัว จู่ๆ มีใครคนหนึ่ง ช้อนร่างวิรงรองขึ้นมากอด ใครคนนั้นเอ่ยขึ้น
“พลับพลึง...พลับพลึงยอดรัก”
วิรงรองลืมตาขึ้นมาทันที เธอเห็นชายคนหนึ่งในชุดเสื้อผ้าสากลแบบโบราณ มีผ้าคลุมยาว มองลงมาแววตาเศร้าหมอง ทว่าใบหน้านั้นเห็นไม่ชัดนัก ด้วยมีหมวกสวมอยู่ และเงาของหมวกยังบดบัง วิรงรองจึงเห็นเพียงเสี้ยวหน้า
“ใคร! คุณเป็นใคร”

วิรงรองตกใจ สะดุ้งตื่นกลางดึก ด้วยสีหน้าแววตาตื่นตระหนก หญิงสาวนึกทบทวนพบว่าตัวเองฝันไป เสียงฟ้าร้องครืนครัน และฝนตกหนักอยู่ข้างนอก
“ทำไม ฝันน่ากลัวจัง”
วิรงรองค่อยๆ เอนตัวลงนอน ใบหน้าที่เธอยังไม่รู้ว่า เป็นใบหน้าของ เจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ ผุดเข้ามาในความคิดแว่บหนึ่ง

วิรงรองมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

อ่านต่อหน้า 3

โดมทอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

บรรยากาศยามเช้าวันนี้แสนสดชื่นแจ่มใส หลังฝนตกหนักเมื่อตอนดึก ปรางกำลังกอดลูกสาว และอวยชัยให้พร อยู่หน้าบ้าน ในขณะที่อนิรุทธิ์ช่วยจิ๋วยกกระเป๋าใส่ท้ายรถ เพื่อไปส่งวิรงรองที่สถานีรถไฟ

“ขอให้เดินทางโดยปลอดภัยนะลูก ระหว่างทางต้องระวังตัวให้ดีอย่าไว้ใจคนแปลกหน้า ใครเอาอะไรให้กินก็อย่ารับ พอถึง “โดมทอง” แล้วรีบโทร.บอกคุณทันที...อ้อ ! ตอนที่ยังไม่ถึงก็ต้องโทร. เป็นระยะๆ ด้วย...” ปรางพูดจนนึกไม่ออก เว้นไปอีกนิด “มีอะไรอีกล่ะ”
วิรงรองนึกขำ อารมณ์ดีตลอดเวลาที่แม่พูด พูดเย้าออกมา “ยังมีอีกหรือคะ...แค่นี้หนูก็จำไม่หวาดไม่ไหวแล้ว”
ปรางดุ พูดจริงจัง “อย่าทำเป็นเล่นไป ผู้คนสมัยนี้ไว้ใจได้ที่ไหน ! นี่ถ้าไปเครื่องบินก็หมดเรื่อง! เฮ้อ! ไม่รู้คุณลบคุณบวกนั่นเขาคิดยังไง”
“ช่างเขาเถอะค่ะ ที่จริง ไปรถไฟก็ดีเหมือนกัน หนูไม่ได้นั่งรถไฟมาตั้งนานมากแล้ว”
ขณะที่วิรงรองพูดลามารดา อนิรุทธิ์เดินเข้ามา แล้วเหลือบดูนาฬิกาข้อมือ
“ไปกันหรือยังครับ เดี๋ยวรถติด ไปไม่ทัน”
วิรงรองสวมกอดและหอมแก้มแม่ “หนูไปละนะคะ คุณ”
“เดินทางโดยปลอดภัยนะลูกนะ แล้วอย่าลืมที่แม่สอน”
“ไม่ลืมแน่ค่ะ...หนูรักคุณมากที่สุดในโลกนะคะ”
ปรางน้ำตารื้น “คุณก็รักหนูมากที่สุดในโลกจ้ะ”
2 แม่ลูกกอดกันนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้ววิรงรองจึงเดินไปขึ้นรถ
“ผมไปก่อนนะครับ...คุณ” ชายหนุ่มไหว้ลา
“จ้ะ ขอบใจมากนะที่พาแม่หนูไปส่ง”
“ไม่เป็นไรครับ”
อนิรุทธิ์ขึ้นรถแล้วขับออกไป ปรางยืนโบกมือให้ลูกสาวสุดที่รักจนลับตา

ขณะที่อนิรุทธิ์ขับรถเลี้ยวออกจากปากซอยบ้านวิรงรองนั้น ภายในรถจู่ๆ วิรงรองรีบเลื่อนตัวลงไปทันที
“เป็นอะไรน่ะ” อนิรุทธิ์ฉงน
“รถพิชญ์กำลังจะเลี้ยวเข้าไป”
อนิรุทธิ์มองไป จึงพบว่าพิชญ์ขับรถสวนเข้ามาในซอย โดยไม่ทันสังเกตเห็นอนิรุทธิ์ ด้วยกำลังหมกหมุ่นครุ่นคิด
อยู่กับเรื่องวิรงรอง
สักครู่นั้นเองวิรงรองจึงเลื่อนตัวขึ้นมานั่งตามเดิม เมื่ออนิรุทธิ์ขับรถออกจากซอยไป
“คลาดกันนิดเดียว”
“เขาเห็นรุทธิ์หรือเปล่า”
“ไม่มั้ง! ถ้าเห็นคงขับชนแล้ว”
วิรงรองเอนหลังพิงพนัก ถอนใจเบาๆ สีหน้าแววตาเศร้าหมองลงถนัดตา
อนิรุทธิ์ชำเลืองมองเพื่อนสาวแว่บหนึ่ง “ถ้ารักเขามากขนาดนี้ แล้วจะหนีไปทำไม”
วิรงรองไม่ตอบ แล้วหลับตาลง น้ำตาปริ่มขอบตา

ด้านปรางกำลังต้อนรับพิชญ์อยู่ในห้องรับแขก ก่อนจะบอกคนรักของลูกสาวด้วยสีหน้าราบเรียบ
“แม่หนูไม่อยู่”
“เขาไปไหนหรือครับ”
ปรางจ้องหน้าผู้ถาม “จะถามไปทำไม”
พิชญ์อึ้ง
“คุณกับแม่หนูไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
น้ำเสียงพิชญ์ฟังดูขมขื่นขณะบอก “ผมรักพลับพลึง...รักมาก”
“ขอบใจที่รักลูกสาวของน้า...แต่รักไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะคุณกำลังจะมีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ! ภรรยาของคุณคงไม่ชอบใจแน่ ถ้าหากสามีจะยังละเมอเพ้อพกถึงผู้หญิงอื่นอยู่”
พิชญ์ขบกรามแน่น น้ำตารื้นขึ้นมา
ปรางเห็นก็อดสงสารไม่ได้ สีหน้าและสุ้มเสียงอ่อนลง “คุณกับแม่หนูไม่ควรจะพบกันอีกเพื่อตัวคุณเอง แล้วก็แม่หนูด้วย...คิดเสียว่า ไม่ใช่เนื้อคู่กัน ถึงต้องแคล้วคลาดไป”
พิชญ์ลุกขึ้นยืน แล้วไหว้ลา “ผมลาละครับ...ฝากบอกพลับพลึงด้วยว่า...”
ปรางสวนคำออกมา “ไม่รับฝากจ้ะ”
พิชญ์คอตก แล้วหันหลังเดินไป
“อ้อ...แม่หนูเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์แล้ว...อย่าพยายามโทร.ถึงเขาเลย”

พิชญ์อึ้งไปอีก แล้วเดินออกไป ปรางถอนใจเฮือกใหญ่ อย่างโล่งอก


จิ๋วเปิดประตูรอให้พิชญ์ขับรถออกไป พิชญ์ชะลอรถ แล้วกดเปิดกระจก
“รู้ไหมว่า คุณวิรงรองไปไหน”
“ไปต่างจังหวัดค่ะ” จิ๋วบอก
พิชญ์ชะงัก “จังหวัดไหน”
“ไม่ทราบค่ะ”
พิชญ์สีหน้าผิดหวัง ปิดกระจกขับออกไป

เวลาต่อมาพิชญ์ขับรถออกมาจากบ้านแล้ว ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในที่สุดพิชญ์ตัดสินใจกดโทรศัพท์หาเพื่อน
“เฮ้ย...วัฒน์ ขอความช่วยเหลือหน่อย แกช่วยเช็คสายการบินในประเทศทุกสายให้ด้วยว่า มีผู้โดยสารชื่อ วิรงรอง นกุล หรือเปล่า...เออ...แล้วจะเล่าให้ฟัง...ขอบใจมากว่ะ”
พิชญ์ปิดโทรศัพท์ สีหน้าโล่งใจขึ้น แววตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

“ผมจะตามหาคุณจนพบให้ได้”

ด้านอนิรุทธิ์เปิดประตูห้องโดยสารชั้น 1 เข้ามา พร้อมกระเป๋าเสื้อผ้า 2 ใบค่อนข้างใหญ่เข้ามาวางให้อย่างเรียบร้อย แล้วตรวจดูความแข็งแรงของประตูจนพอใจ

“โอเค แน่นหนาดี”
“ขอบใจมากนะ รุทธิ์...ขอบใจจริงๆ”
“เราเป็นเพื่อนกัน...อย่าลืม”
วิรงรองยิ้มตื้นตันใจ
อนิรุทธิ์พูดทีเล่นทีจริง “ความจริงก็อยากจะเป็นมากกว่าเพื่อนเหมือนกัน”
วิรงรองพูดแล้วมองดุๆ “รุทธิ์”
“เฮ้อ! เพื่อนก็เพื่อน...นี่ถ้าไม่ติดราชการสำคัญผมจะไปส่งให้ถึงโดมทองเลย”
อนิรุทธิ์เปิดประตู เบี่ยงตัวให้วิรงรองก้าวออกไป แล้วตัวเองจึงก้าวตาม

ครู่ต่อมาอนิรุทธิ์ก้าวลงไปจากรถไฟ แล้วหันกลับมากำชับอีกด้วยความเป็นห่วง
“อย่าลืม! ใครมาเคาะประตู ห้ามเปิด! สงสัยยังไงก็ห้ามเปิด”
“รู้แล้วน่า”
อนิรุทธิ์จะไปแล้วนึกได้อีก “อ้อ! สเปรย์พริกไทยล่ะ”
วิรงรองตบกระเป๋าสะพาย “อยู่ในนี้...มีดก็อยู่”
“ดีมาก...แล้วผมจะโทร.มาบ่อยๆ”
“ขอบใจจ้ะ”
อนิรุทธิ์ยิ้ม วิรงรองโบกมือให้ พร้อมส่งยิ้มหวาน
อนิรุทธิ์มัวแต่มองยิ้มเพลิน ขณะเดินถอยหลัง จนชนพันธุ์สูรย์ซึ่งกำลังเดินมาจะขึ้นรถไฟ
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไร”
วิรงรองมองท่าทีของอนิรุทธิ์ขำๆ ขณะพันธุ์สูรย์มองวิรงรองอย่างทึ่งๆ แว่บหนึ่ง


พิชญ์เดินกลับไปกลับมาอยู่ในบ้าน รอโทรศัพท์อย่างกระวนกระวายใจ ในที่สุด เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
พิชญ์รีบยกขึ้นดูชื่อ แล้วยิ้มโล่งใจ “ว่าไง วัฒน์”
“ไม่มีว่ะ” เสียงเพื่อชื่อวัฒน์ดังลอดออกมา
พิชญ์หน้านิ่วคิ้วขมวดทันที “เฮ้ย ต้องมีซิ”
“ไปรถยนต์หรือเปล่า”
“รถจอดที่บ้าน”
“อาจจะไปรถเพื่อนก็ได้” วัฒน์ออกความเห็น
“รถเพื่อนที่ไหน”
พิชญ์ชะงัก ภาพอนิรุทธิ์ผุดเข้ามาในห้วงความคิดแว่บหนึ่ง พิชญ์ขบกรามแน่น

รถไฟแล่นทะยานไปด้วยความเร็ว มุ่งไปสู่จุดหมาย แลเห็นวิวทิวทัศน์ 2 ข้างทาง เปลี่ยนไปอย่างน่าตื่นตา ส่วนภายในห้องโดยสาร วิรงรองท้าวหน้าต่างมองออกไปด้วยความรู้สึกที่สงบขึ้น
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น วิรงรองหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้ม
“หนูเพิ่งโทรหาคุณเมื่อ 10 นาที ที่แล้วเองนะคะ ไม่เป็นไรค่ะ...หนูสบายดีค่ะ...เพิ่งรู้ว่านั่งรถไฟนี่ก็ดีไปอีกอย่าง วิวสองข้างทางสวย

วิรงรองพูดคุยกับปรางไปเรื่อยๆ ขณะที่ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ มืดลงๆ

ค่ำแล้วผู้โดยสารของรถไฟขบวนนั้น ต่างทยอยเข้ามานั่งกินอาหารที่ห้องอาหารในรถไฟกันเงียบๆ วิรงรองเดินเข้ามา แล้วชะงัก เมื่อเห็นว่าโต๊ะเต็ม บางโต๊ะนั่งคนเดียว หลายโต๊ะที่นั่งกัน 2 คน
 
วิรงรองชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจหันหลังกลับ
พันธุ์สูรย์นั่งอยู่โต๊ะใกล้ๆ เอ่ยขึ้น “นั่งโต๊ะนี้ก็ได้ครับ” 
วิรงรองหันมามอง มีท่าทีลังเลอยู่ พันธุ์สูรย์ยังคงมองมาด้วยสีหน้าแววตา ดูสุภาพ และจริงใจ
“ผมไปนั่งโต๊ะนั้นก็ได้”
พลางพันธุ์สูรย์หยิบจานอาหาร แล้วลุกขึ้น
วิรงรองรีบพูด “นั่งเถอะค่ะ ไม่เป็นไร...ฉันนั่งได้”
พันธุ์สูรย์ลงนั่งตามเดิม วิรงรองลงนั่งตามแล้วผินหน้าไปสั่งอาหารกับบริกร

2 ข้างทางนอกหน้าต่างรถไฟมืดสลัว แลเห็นต้นไม้เป็นเงาตะคุ่มๆ ดูลึกลับน่ากลัว ส่วนภายห้องอาหาร ผู้โดยสารอยู่ในอิริยาบถต่างๆ กัน คุยกันบ้าง หลับบ้าง บางคนอ่านหนังสือ อีกไม่น้อยที่ทอดสายตาดูวิวภายนอกเพลินๆ มีบางคนลุกเดินออกไป

เวลานั้นวิรงรองทานข้าวเงียบๆ ขณะที่พันธุ์สูรย์กำลังดื่มน้ำ
“กลับบ้านหรือครับ”
วิรงรองชะงัก เงยหน้ามอง “คะ”
พันธุ์สูรย์ยิ้มให้ “ขอโทษครับที่อยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมา”
“ไม่เป็นไรค่ะ” วิรงรองลังเลนิดหนึ่ง ก่อนถามออกมา “คุณเคยได้ยินชื่อบ้าน “โดมทอง” หรือเปล่าคะ”
พันธุ์สูรย์ชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปทันที “โดมทอง...ทำไมคุณจะไปนั่นหรือ”
“ค่ะ”
พันธุ์สูรย์อึ้งไป สีหน้าแววตาดูอึดอัดไม่แน่ใจขณะมองมายังวิรงรอง
“ทำไมหรือคะ”
พันธุ์สูรย์มีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “คุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม ผมขอแนะนำว่าถ้าไม่จำเป็นก็อย่าไปเลย”
“จำเป็นค่ะ! จำเป็นมากด้วย” วิรงรองว่า
“ถ้าอย่างนั้น ผมก็ต้องขออวยพรให้คุณโชคดี”
วิรงรองสบตาพันธุ์สูรย์ราวกับจะค้นหาความจริง “คุณทำหน้าเหมือนฉันกำลังจะไปปราสาทผีดิบ”
พันธุ์สูรย์ขยับตัว ไม่ยอมตอบ แล้วเปลี่ยนเรื่อง “ผมต้องขอตัวก่อน” พลางยกมือเรียกบริกร “คิดรวมของผู้หญิงด้วย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน...”
“ขออนุญาตเถอะครับ...ไม่แน่ เราอาจจะได้พบกันอีก”
พันธุ์สูรย์จ่ายเงินแล้วลุกขึ้นเดินไป วิรงรองมองตามอย่างงุนงง

กลางดึกของคืนเดือนแรมข้างขึ้น จันทร์เสี้ยวลอยคล้อยต่ำ รถไฟยังคงแล่นไปเรื่อยๆ บรรยากาศ 2 ข้างทางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วตามจังหวะทะยาน
สักครู่หนึ่ง รถไฟค่อยๆ แล่นช้าลงๆ จนเข้าสู่สถานีปลายทางของวิรงรอง และค่อยๆ หยุดสนิท
ผู้คนทะยอยลงจากรถไฟ ซึ่งมีคนมารอรับไม่มากนัก เพราะบ้างก็ไปต่อเอง
วิรงรองก้าวลงมา โดยพันธุ์สูรย์ช่วยถือกระเป๋าให้
“วางตรงนี้แหละค่ะ...ขอบคุณมาก”
“มีคนมารับแน่นะ”
“ค่ะ” หญิงสาวเหลียวมองไปโดยรอบ “น่าจะใช่คนนั้น”
พันธุ์สูรย์มองตาม เห็นนายสมกำลังเดินตรงมา
พันธุ์สูรย์สวมหมวกที่ถือไว้ทันที “งั้นผมไปละ ขอให้โชคดี”
พันธุ์สูรย์เดินไป
“เดี๋ยวค่ะ”
ทว่าพันธุ์สูรย์เดินหายไปท่ามกลางไฟสลัว และความมืดภายนอก ขณะที่สมเดินมาพอดี สีหน้าแววตานิ่งสนิท ดูลึกลับ
“คุณวิรงรองใช่ไหมครับ”
“ค่ะ”
สมก้มลงหยิบกระเป๋าเดินเนิบๆ ไป โดยไม่พูดไม่จา
วิรงรองรีบเดินตามแทบไม่ทัน

สมเดินพาวิรงรองมาที่รถสีดำซึ่งจอดอยู่มุมหนึ่ง สมเปิดประตูหลังให้ วิรงรองกำลังจะก้าวขึ้นไป แต่เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างเย็นชา
“ไปนั่งข้างหน้า”
วิรงรองชะงัก ถอยออกไป สมเปิดประตูด้านหน้าให้ แล้วเดินไปเอากระเป๋าขึ้นรถ วิรงรองก้าวขึ้นมานั่งด้านหน้า แล้วปิดประตู
เสียงเดิมนั้น ตำหนิเต็มที่ “ปล่อยให้รอตั้งนาน”
วิรงรองทำหน้าเซ็งๆ ก่อนจะหันไปไหว้ แล้วมองเจ้าของเสียงไม่เป็นมิตรเต็มตา เธอคือ แสงแข นั่นเอง สมเข้ามา แล้วสตาร์ทรถขับออกไป
“ยังจะมามองอีก รู้ไหมว่าฉันต้องอดหลับอดนอนมารอรับ”
วิรงรองไม่รู้ว่าพันธุ์สูรย์ลอบทำหน้าจมูกย่น ขณะก้าวออกมาจากเงามืด มองตามด้วยสีหน้าแววตาเคร่งขรึม

บริเวณท้องถนนที่รถวิ่งมาค่อนข้างมืดสลัว ด้วยแสงไฟตามเสาไฟฟ้าไม่สว่างนัก รถแล่นไป ท่ามกลางท้องฟ้าครืนครันเหมือนฝนจะตกอีก
“ไม่เห็นจะต้องขนเสื้อผ้ามาซะมากมาย! ไม่เห็นมีใครอยู่เกินเดือนสักคน”
วิรงรองมองออกไป 2 ข้างทางโดยไม่ได้ตอบอะไร

แสงแขมองมาที่วิรงรองอย่างเกลียดชัง ด้วยว่าหล่อนเกลียดผู้หญิงสวยทุกคนที่อยู่ใกล้อดิศวร์

ไม่นานต่อมา สมขับรถมาจอดหน้าประตูรั้ว แล้วลงไปเปิดประตู วิรงรองอ้าปากค้างมองดู ภาพโดมทองตระหง่านดูเข้มขลังและลึกลับ อย่างตกตะลึง..ยกมือขึ้นขยี้ตา เหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

เนื่องเพราะ ภาพ “โดมทอง” ตรงหน้า กับ “โดมทอง” ในความฝัน เหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
แสงแขมองท่าทางของวิรงรองในท่าทีเยาะหยัน
“อย่าได้หวังว่าจะได้ครอบครอง “โดมทอง” เด็ดขาด”
วิรงรองชักจะไม่พอใจเช่นกัน จึงย้อนเข้าให้ “ไม่บังอาจหรอกค่ะ”
แสงแขกระแทกเสียงใส่ “ดี”
สมซึ่งไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับคำพูดของ 2 สาว ขับรถไปจอดบริเวณหน้าตึก

แสงแขเดินวางมาดสง่านำวิรงรองเข้ามาภายในโถงหน้าบันได โดยมีสมหิ้วกระเป๋ามาวางให้ แล้วเดินออกไปเงียบๆ
อุษาซึ่งในมือถือเชิงเทียนรอรับอยู่แล้ว รับไหว้วิรงรอง “เดินทางสะดวกดีนะคะ...” อุษาถามโดยไม่ได้ต้องการคำตอบ เป็นการพูดตามมารยาท
“ค่ะ”
อุษาก้มลงถือกระเป๋าใบหนึ่ง
“เชิญทางนี้ค่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” วิรงรองรีบเข้าไปดึงไว้ “ดิฉันถือเอง”
“ถือคนละใบดีแล้ว”
อุษาเดินนำ วิรงรองตาม อุษาอธิบาย “ดึกมากแล้ว คนรับใช้นอนกันหมด ไม่มีคนตามปิดไฟเราก็เลยใช้เทียนส่องทางแทน..ง่ายดี” วิรงรองได้แต่ยิ้มรับ
แสงแขซึ่งยืนกอดอกเงียบๆ พูดไล่หลังเย้ยๆ
“ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าหมดหรอกนะ”

ครู่ต่อมาอุษาเปิดประตูเดินนำวิรงรองเข้ามาในห้องพัก ซึ่งทำความสะอาดเรียบร้อย ทั้ง 2 สาววางของลง
วิรงรองยกมือไหว้ “ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยหิ้วกระเป๋า”
“ไม่เป็นไร..ที่นี่ไม่มีแอร์ เพราะอากาศเย็นตลอดปี”
วิรงรองไม่รู้จะพูดอะไร “ค่ะ”
“ขาดเหลืออะไรก็บอก” อุษาเดินไปที่ประตูและนึกได้หันมา “ที่นี่ทานอาหารเช้า 8 โมง”
“ค่ะ”
อุษาเปิดประตูเดินออกไป วิรงรองเดินตามมาล็อคประตู บอกกับตัวเอง
“คนที่นี่แปลกๆ”
วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ภาพคฤหาสน์โดมทองในความฝันผุดซ้อนเข้ามาในความคิดคำนึงอีกครั้ง
“นี่ก็แปลกอีกเหมือนกัน ทำไมฝันได้เหมือนเปี๊ยบ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน” วิรงรองเว้นไปนิดหนึ่ง “แล้วผู้ชายคนนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่านะ”
ภาพเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ที่พบเจอกันในความฝัน ผุดเข้ามาในห้วงคิดอีก วิรงรองถอนใจยาว

อุษาเดินตรงกลับมาที่ห้องตัวเอง โดยมีแสงแขยืนรออยู่
“เขาชื่อ วิรงรอง นกุล” อุษาเอ่ยขึ้น
“ตอนที่คุณลบสั่งให้ไปรับ...แขนึกว่าจะอายุมากเหมือนคนก่อนๆ”
“นอกจากจะอายุน้อย แล้วยังสวยมากด้วย” อุษาว่า
แสงแขตาลุกวาว บอกอย่างมั่นใจ “สวยยังไง คุณลบก็ไม่แลหรอก”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“เอ๊ะ! นี่จะหาเรื่องกันใช่มั้ย” แสงแขขึ้นเสียงอย่างไม่พอใจ
“เปล่า...พี่แค่อยากเตือนว่า ถ้าเธอรักคุณลบ เธอก็ต้องหมั่นคอยดูแลเอาใจคุณย่าให้ดี”
“โอ๊ย! ยายแก่นั่นเอาใจยากจะตาย”
“แสงแข!” อุษาปรามน้องสาว
“แขโผล่เข้าไปทีไร ก็ไล่ออกมายังกับหมูกับหมาทุกที”
“พี่จะเข้านอนละ..ดึกแล้ว”
อุษาพูดตัดบท แล้วเปิดประตูเข้าไป
แสงแขมองตามอย่างหงุดหงิด


ดวงจันทร์เสี้ยวลอยผ่านเข้าไปในก้อนเมฆสีเทา รอบอาณาบริเวณโดมทองยามนี้ มองดูเวิ้งว้าง ลึกลับชวนว้าเหว่
บริเวณห้องใต้โดม มีแสงสว่างจากแสงเทียนวูบๆ วาบๆ ขึ้นมา พร้อมเสียงเพลงอ่อนหวานเศร้าสร้อยและเยือกเย็นชวนขนลุก

โอ้ว่าป่านนี้พระพี่เจ้า จะโศกเศร้ารัญจวนหวนหา
ตั้งแต่ไปแก้สงสัยมา ไม่เห็นขนิษฐาในถ้ำทอง
...ฯลฯ

วิรงรองนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้านวมนุ่มๆ ค่อยๆ ลืมตาตื่นด้วยได้ยินเสียงเพลงแว่วมา หญิงสาวค่อยๆ ลุกนั่ง
“ใครมาร้องเพลงป่านนี้...”
เสียงร้องหายไป กลายเป็นเสียงฌโญซซอสามสายดังวังเวงขึ้นกว่าเดิม
วิรงรองถึงกับลูบแขนตัวเอง “ขนลุก”
จังหวะนั้นวิรงรองขยับจะลุกขึ้น แต่แล้วเสียงเพลงกลับเงียบไปเฉยๆ
วิรงรองเลยล้มตัวลงนอน หลับตาลง

หากมองจากภายนอก จะเห็นตรงบริเวณยอดโดม แสงเทียนวูบๆ วาบๆ อยู่พลันดับลง ทุกอย่างกลับเข้าสู่ความมืด

ด้านท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ ค่อยๆ พลิกตัวตะแคงเรียกอุไร ซึ่งนอนอยู่หน้าเตียง
“อุไร”
อุไรยังนอนอย่างสบาย
“นังอุไร”
“เจ้าขา” อุไรสะดุ้ง ลุกนั่งทันที “อะ..อะ..เอา...เอาอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
ท่านผู้หญิงตวาด “ฉันถามว่าได้ยินหรือเปล่า”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
นัยน์ตาท่านผู้หญิงสรรักษ์เป็นประกายกร้าว “นังพลับพลึงมันเจตนาจะร้องให้ฉันฟังคนเดียว! ดี! ร้องอีกซิ! ร้องอีก! ร้องเลย!”
อุไรเลิ่กลั่ก “..อย่า...อย่าท้าซิเจ้าค่ะ ท่าน”
“ข้าจะท้า ร้องเลย นังพลับพลึง! ร้องให้คอแตกตายซ้ำตายซากเลย”
“เอา..เอา ยังงี้ดีไหมเจ้าค่ะ...ถ้า..ถ้า ท่านผู้หญิงอยากฟังเพลง อุไรจะร้องให้ฟัง”
“นังบ้า! เสียงเอ็งยังกับเป็ด ข้าจะฟังเสียงผีร้องเพลง..ไม่ใช่เป็ด! ร้องซิ! นังพลับพลึง! ร้องเลย”
ทุกอย่างยังคงเงียบสนิท
ท่านผู้หญิงสรรักษ์กรีดเสียงหัวเราะดังน่ากลัว จนอุไรสะดุ้ง “มันกลัวข้า นังพลับพลึงมันกลัวข้า! ได้ยินมั้ย นังอุไร ได้ยินมั้ย”

ท่านผู้หญิงกรีดเสียงหัวเราะอย่างสะใจ ขณะที่อุไรมองหญิงชราอย่างหวาดผวา

อ่านต่อหน้า 4

โดมทอง ตอนที่ 1 (ต่อ)

ด้านวิรงรองนอนพอจะเคลิ้มๆ หลับ หูกลับได้ยินเสียงแผ่วๆ แหบโหย เรียกชื่อเธอ

“พลับพลึง...พลับพลึง”
วิรงรองสะดุ้งตื่นลุกขึ้น
เสียงนั้นแผ่วเบามากขึ้นเหมือนมาจากที่ไกลๆ
“พลับพลึง” เสียงเรียกดังขึ้นอีก
คราวนี้วิรงรองตวัดผ้าห่มออก แล้วลุกเดินไปหยิบเชิงเทียน เดินออกนอกห้องไป
วิรงรองก้าวออกมาตรงทางเดินหน้าห้อง เหลียวมองโดยรอบ แล้วตัดสินใจเดินต่อไป เงาที่เกิดจากแสงเทียน ดูใหญ่โตวูบวาบน่ากลัว

วิรองรองถือเชิงเทียนเดินเข้ามาในมุมนั้น โดยไม่รู้ว่าเป็นบริเวณใกล้ห้องทำงานอดิศวร์ เพื่อจะเดินผ่านออกไปข้างนอก
“นั่นใคร” เสียงอดิศวร์ร้องถาม
วิรงรองสะดุ้งเฮือก เชิงเทียนเกือบตกจากมือ
“อุ๊ย!...” หันตัวกลับมาทางเสียง
ไฟฟ้าบริเวณนั้นสว่างขึ้น เห็นอดิศวรยืนอยู่หน้าห้องทำงาน ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มาถึงวันแรกก็เที่ยวได้เดินเพ่นพ่านเลย”
วิรงรองยังคงอ้าปากค้าง มองอดิศวร์เหมือนไม่รู้จะพูดอะไร
“ถ้ารักจะอยู่ที่นี่ อย่าทำเป็นคนสอดรู้สอดเห็น! ฉันไม่ชอบ”
วิรงรองตั้งสติได้ “ดิฉันไม่ได้เดินเพ่นพ่าน แล้วก็ไม่ได้เป็นคนสอดรู้สอดเห็น”
“งั้นเธอจะอธิบายว่ายังไง ที่ออกมาเดินถือเชิงเทียนส่องดูโน่นดูนี่เวลาตี 2”
“ดิฉันได้ยินเสียงคนเรียก”
อดิศวร์เหยียดมุมปากเหมือนเยาะๆ “ใครที่ไหนเขาจะมาเรียกเธอ”
“ดิฉันไม่ทราบ! แต่สาบานได้ว่าได้ยินจริงๆ”
อดิศวร์นิ่วหน้า “ฉันไม่ชอบให้ใครมาสาบาน”
วิรงรองไม่รอฟังให้จบ หันหลังเดินกลับไป
“ฉันยังพูดไม่จบ” อดิศวร์เสียงแข็ง
วิรงรองหันกลับมา “ขอเปลี่ยนเป็นว่ายังหาเรื่องไม่จบได้ไหมคะ”
คราวนี้อดิศวร์เป็นฝ่ายอึ้งบ้าง
“แล้วก็ไม่ใช่วิสัยของดิฉันที่จะต้องมายืนทนให้ใครมาด่าว่าด้วย เมื่อกี้คุณบอกว่าตี 2 แล้ว...ดิฉันต้องไปนอนละค่ะ! เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นสาย จะโดนด่าอีก”
วิรงรองเดินไป โดยมีอดิศวร์มองตามอย่างหงุดหงิด

บรรยากาศยามเช้า ที่มีหมอกลอยอ้อยอิ่งภายนอก ส่วนในห้องวิรงรองลุกขึ้นตาลีตาลานหยิบนาฬิกาข้อมือที่วางไว้หัวเตียงมาดูและเบิกตากว้างตกใจ
“8 โมง! ตายแล้ว”
วิรงรองรีบเดินไปเข้าห้องน้ำ

บรรยากาศสวยๆ ของอาณาบริเวณอันกว้างใหญ่ของโดมทอง เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง วิรงรองรีบลงบันไดมาถึงบริเวณบันไดขั้นสุดท้ายแล้ว ขณะที่อุษาเดินมาพอดี
“ขอโทษค่ะ..ดิฉันหลับเพลินไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร...เมื่อคืนคุณมาถึงเกือบตี1..เชิญทางนี้”
อุษาเดินนำวิรงรองไปยังห้องอาหาร

ส่วนในห้องอาหารแสงแขทานอาหารเช้าเสร็จพอดี ในขณะที่อุษาพาวิรงรองเดินเข้ามา
“อยู่ที่นี่จะมานอนกินบ้านกินเมืองเหมือนอยู่บ้านตัวเองไม่ได้! แล้วก็อย่ามาแก้ตัวว่านอนดึก เพราะฉันกับพี่อุษาก็นอนดึกเหมือนกัน” แสงแขประกาศความไม่เป็นมิตรในทันที
“ขอโทษค่ะ! ดิฉันจะพยายามไม่ให้เกิดเรื่องอย่างนี้อีก” วิรงรองว่า
แสงแขจ้องเขม็ง “ต้องไม่ให้เกิด! ไม่ใช่พยายามไม่ให้เกิด”
“ค่ะ”
อุษาพยักหน้าให้วิรงรองนั่ง ขณะเดียวกันโอบอ้อมยกข้าวต้มร้อนๆ มาวางให้ด้วยสีหน้าเย่อหยิ่งบึ้งตึงเหมือนเจ้านาย
“กินให้เร็วๆ ด้วย เพราะเดี๋ยวต้องไปพบคุณย่า” แสงแขบอก
อุษาทนไม่ไหว ปรามน้องสาว “แสงแข! คุณวิรงรองเป็นคนของคุณลบ..เธอควรพูดกับเขาให้ดีกว่านี้”
แสงแขลุกขึ้นทันที “ฉันพูดดีที่สุดแล้ว”
จากนั้นแสงแขก็เดินเชิดออกไป ตามด้วยโอบอ้อม
อุษามองตามและส่ายหน้าแล้วเบือนกลับมาที่วิรงรอง “...อย่าถือสาอะไรเลยนะ...คุณวิรงรอง”
“เรียกวิรงรองเฉยๆ ดีกว่าค่ะ”
“ทานข้าวต้มเถอะ เดี๋ยวเย็นจะไม่อร่อย”
วิตักข้าวต้มคำแรกเข้าปาก แล้วสะดุ้ง หน้าตาเหยเก
“เป็นอะไร” อุษาแปลกใจ
“เค็มปี๋เลยค่ะ”
“เอ๊ะ!..เป็นไปได้ยังไง เดี๋ยวฉันจะไปทำให้ใหม่”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันยังไม่หิว คุณอุษาพาดิฉันไปพบท่านผู้หญิงเถอะค่ะ”
“งั้นทานแซนด์วิชรองท้องหน่อยก็แล้วกัน...ฉันทำให้เดี๋ยวเดียว”

อุษาลุกเดินหายไปในครัว

บรรยากาศภายนอกโดมทองยามนี้ หนาวเย็น มีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วไป อดิศวร์เดินช้าๆ เหมือนใช้ความคิดอยู่บริเวณภายนอก แสงแขเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“คุณลบขา”
อดิศวร์หันมามองแว่บหนึ่ง
“วันนี้คุณลบจะเข้าไปในเมืองหรือเปล่าค่ะ...แขจะได้ขออนุญาตติดรถไปด้วยจะไปซื้อของใช้ที่จำเป็นนิดหน่อย”
“ก็ให้นายสมขับไปให้ซิ”
แสงแขผิดหวัง ลอบย่นจมูก “เอาไว้แสงไปกับคุณลบดีกว่า”
สีหน้าแววตาอดิศวร์บอกความรำคาญแว่บหนึ่ง แล้วเดินย้อนกลับ แสงแขเดินตาม แล้วเริ่มให้ร้ายวิรงรองทันที
“ที่กรุงเทพฯ อากาศคงไม่ดีเท่านี้...วิรงรองถึงได้นอนหลับเพลิน จนพี่อุษาต้องไปปลุก!”
“เขาเพิ่งตื่นหรือ” ชายหนุ่มฉงน
“ค่ะ...โอบเลยไม่เป็นอันทำอะไรนอกจากคอยอุ่นข้าวต้มให้”
อดิศวร์ยังคงเดินด้วยสีหน้าราบเรียบ แต่นัยน์ตามีแววหงุดหงิดให้เห็น
แสงแขลอบมองอย่างพอใจ

ทั้ง 2 เดินมาถึงหน้าห้อง แล้วเคาะประตูเบาๆ ก่อนที่อุษาจะเอื้อมมือไปเปิด พลางพยักหน้าให้วิรงรองตามเข้าไป

อุไรเดินค้อมตัว มาทรุดลงคุกเข่าใกล้เตียง โดยมีวิรงรองก้มหน้าก้มตาตามมา และอยู่ข้างหลัง ภายในห้องนอนท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ ค่อนข้างมืดทึมทึบ เพราะท่านสั่งให้ปิดม่านหมด
อุไรช่วยประคองให้ท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่งและเอาหมอนซ้อนข้างหลังให้
“คุณย่าขา..อุษาพาคนดูแลคุณย่ามาแล้วค่ะ”
วิรงรองขยับตัวมาข้างหน้าและก้มกราบอีกทีและเงยหน้าขึ้น ท่านผู้หญิงสรรักษ์ เพ่งมองมา แล้วดวงตาเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว
“นังพลับพลึง ไป ออกไปให้พ้น อุษา! เอามันออกไป”
ทั้งวิรงรอง อุษา และอุไร ต่างตกใจ
“คุณย่าคะ” อุษาเรียกสติ
“บอกให้เอามันออกไป เมื่อไหร่แกจะไปผุดไปเกิดเสียที ออกไป๊! ออกไป! ฉันกลัวแล้ว”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ ยกมือปิดหน้าปิดตาตัวสั่นเทาและร้องไห้ด้วยความหวาดกลัว
อุษารีบบอก “อุไร! พาคุณวิรงรองออกไปก่อน”
“เชิญค่ะ”
วิรงรองยังคงมีสีหน้างงๆ ขณะตามอุไรออกไป

วิรงรองตามอุไรออกมาหน้าห้องด้วยสีตกใจระคนงุนงง โดยเสียงกรีดร้องด้วยความกลัวและเสียงขับไล่ไสส่ง
ของท่านผู้หญิงยังดังอยู่ไม่ขาดระยะ
อดิศวร์และแสงแขเดินตรงมาพอดี
“คุณย่าเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” แสงแขถาม
อุไรยังไม่ทันตอบอดิศวร์สั่งโดยไม่มองหน้าใคร
“แสงแข! พาวิรงรองไปรอที่ห้องทำงานฉัน” แล้วรีบเข้าห้องไป
“ค่ะ” แสงแขหันมาทางวิรงรอง “ไปย่ะ”
แสงแขเดินนำวิรงรองไป
“แล้วอุไรล่ะคะ”
แสงแขตวัดเสียงใส่ “แกก็ยืนเบิ่งอยู่ตรงนั้นแหละ”
“ต้องเบิ่งด้วยหรือคะ” อุไรงงๆ

ท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์ เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ขณะที่อดิศวร์กอดไว้อย่างอ่อนโยน
“ลบ! เมื่อกี้นังพลับพลึงมันเข้ามาหลอกหลอนย่า ลบต้องไล่มันไปนะลูกนะ! อย่าให้มันเข้ามาอีก”
“ไม่ใช่คุณย่าน้อยหรอกครับ เขาชื่อวิรงรองผมเป็นคนพามาช่วยพยาบาลคุณย่า”
“ไม่เอ๊า..ไม่เอา!...นั่นแหละนังพลับพลึง! นังพลับพลึงชัดๆ มันจะหลอกลวงให้ลบหลงเชื่อ”
ยิ่งพูดมากท่านผู้หญิงสรรักษ์ยิ่งหอบเหนื่อย
“มันจะทำให้ลบเกลียดย่า”
“ไม่มีใครทำให้ผมเกลียดคุณย่าได้หรอกครับ”
“มีซิ!...ก็นังพลับพลึงไง! มันจะแก้แค้นที่ย่า...” พูดแล้วท่านผู้หญิงชะงัก และน้ำตาไหลพรากๆ “ย่าเกลียดมัน ทั้งเกลียดทั้งกลัว”
อดิศวร์รับผ้าเช็ดหน้าจากอุษามาค่อยๆ ซับน้ำตาให้ย่า พลางพูดอธิบาย “...คุณย่าน้อยท่านไม่อยู่แล้วละครับ...หรือถ้ายังอยู่ท่านต้องอายุมากแล้ว..คนเมื่อกี้ที่คุณย่าเห็นไม่ใช่คุณย่าน้อย..เขาอายุน้อยกว่าแสงแขอีก”
“ก็เพราะมัน “ไป” ตอนอายุเท่านั้นน่ะซิ..มันถึงไม่แก่!” หญิงชราเพ้อ
“เอาอย่างนี้...ผมจะพาเขามาให้คุณย่า...”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เงยหน้าขึ้นและขยุ้มแขนหลานชายอย่างแรง นัยน์ตาลุกวาว “ไม่! ย่าไม่อยากเห็นมัน! ลบต้องไล่มันออกไป! ถ้าลบรักย่า ลบต้องไล่มันออกไป”
อุษาเหลือบมองหน้าอดิศวร์ซึ่งมีสีหน้ายุ่งยากใจ
“รับปากกับย่าซิลบ ว่าลบจะไล่มันออกไป”
อดิศวร์รวบมือของย่าไว้ “คุณย่าต้องรับปากกับผมก่อนว่า จะเลิกคิดเรื่องคุณย่าน้อย คุณย่าจะได้ดีขึ้น”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ส่ายหน้า สะอึกสะอื้น “ชีวิตย่าไม่มีวันดีขึ้นอีกแล้ว นับตั้งแต่วันนั้น เจ้าคุณปู่ของลบก็เกลียดย่า” ขณะพูดนัยน์ตาหญิงชราวาววามขึ้นมาทันที “ไอ้พัน! ไอ้คนทรยศ! ไอ้พวกเนรคุณ” แล้วร้องไห้ออกมาใหม่ “ทำไมถึงเป็นอย่างนี้”
อดิศวร์ลบลูบแขนท่านผู้หญิงเบาๆ อย่างปลอบโยน แล้วพยักหน้ากับอุษาเป็นเชิงบอก
อุษาหยิบยาบนโต๊ะข้างเตียง รินน้ำให้แล้วส่งให้อดิศวร์
“คุณย่าทานยาหน่อยนะครับ”
“ย่ากินแล้ว...ลบต้องไล่มันออกไปนะลูก...อย่าให้ย่าเห็นมันอีก”
อดิศวร์ค่อยๆ ประคองย่านอน
“หลับตานะครับ เดี๋ยวตื่นขึ้นมา คุณย่าจะได้รู้สึกสบาย”

ท่านผู้หญิงสรรักษ์หลับตาลงอย่างว่าง่ายเช่นเดิม แต่ยังถอนสะอื้นเบาๆ มือยังยึดแขนหลานชายไว้แน่น

ส่วนวิรงรองพยายามนั่งสงบเสงี่ยม ก้มลงมองแต่มือตัวเอง ในขณะที่แสงแขยืนจ้องเขม็งด้วยสีหน้าแววตาเอาเรื่อง

บรรยากาศในนั้นเต็มไปด้วยความอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วประตูห้องนั้นจึงเปิดออก เห็นอดิศวร์เดินเข้ามา แสงแขรีบเดินเข้าไปหาและถามเสียงอ่อนหวาน
“คุณย่าเป็นยังไงบ้างคะ”
“หลับไปแล้ว”
แสงแขพยักหน้าและหันมาทางวิรงรองแว่บหนึ่ง ลดเสียงพูดเบาลง ท่าทางเหมือนสนิทกับอดิศวร์มาก
“น่าสงสารวิรงรองจังค่ะ..เขาตกใจมากเลย”
แสงแขเดินออกไป ลบเบือนหน้ามามองวิรงรอง
วิรงรองสบตาอดิศวร์แน่วนิ่ง “ดิฉันขอลาออกค่ะ”
“เหตุผล”
“คุณควรไปถามภรรยาคุณดู เขาอยู่ในห้องด้วย”
อดิศวร์สะดุ้งเล็กๆ “อะไรนะ ใครเป็น...ภรรยาฉัน”
วิรงรองเริ่มงงบ้าง “ก็..คุณแสงแขไงค่ะ”
อดิศวร์จ้องเขม็งราวกับวิรงรองทำผิดมากๆ “แสงแขไม่ใช่ภรรยาฉัน”
วิรงรองทำหน้าเหวอ “อ้าว... แต่ยังไง ดิฉันก็จะลาออก!..คุณย่าคุณท่านไล่ดิฉัน”
“นั่นเป็นเพราะว่าท่านคิดว่าเธอเป็นคนอื่น”
“ดิฉันไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วค่ะ ดิฉันไม่เหมาะกับที่นี่”
นัยน์ตาอดิศวร์มีแววเยาะเย้ยชัดแจ้ง “แล้วเธอเหมาะกับที่ไหนล่ะ แม่วิรงรอง”
วิรงรองเบิกตากว้างกับคำว่า “แม่วิรงรอง”
อดิศวร์ยังเยาะเย้ยต่อ “จะต้องให้ฉันบอกไหม”
วิรงรองฉุนลุกขึ้นและยืดตัวตรง “ไม่ต้อง! ดิฉันบอกเองได้! ดิฉันเหมาะกับสังคมที่ดิฉันจากมา! และดิฉันไม่ชอบให้ใครมาเรียกดิฉันว่า แม่วิรงรอง”
“ชอบให้เรียกว่า “พลับพลึง” หรือไง” อดิศวร์สวนออกมาในทันที
วิรงรองชะงัก “คุณลบ”
“ฉันชื่อ อดิศวร์! คนที่ชอบพอสนิทสนมเท่านั้นถึงจะเรียกชื่อเล่นฉันได้”
วิรงรองกำมือแน่น ทั้งโกรธ เจ็บใจ และอับอาย พยายามตั้งสติและยอกย้อนทันที
“ชื่อพลับพลึงก็เหมือนกัน! คนที่สนิทสนมชอบพอกับดิฉันเท่านั้นถึงจะเรียกได้”
“เช่น นายพิชญ์ใช่ไหม”
วิรงรองทั้งแปลกใจและตกใจจนพูดไม่ออก
“เธอเอาเรื่องคุณย่ามาบังหน้า ก็เพราะจะกลับไปหานายพิชญ์!”
คราวนี้วิรงรองกัดปากแน่นจนเป็นเส้นตรง เดินไปที่ประตู อดิศวร์จับแขนไว้
“อย่ามาตบตาคนอย่างฉัน”
“ปล่อย! ดิฉันจะกลับบ้าน”
“พิณทองเป็นหลานของฉัน” อีกคำหลุดออกมาจากปาก อดิศวร์ ศิโรดม
วิรงรองชะงัก มองหน้าอดิศวร์ อย่างประหลาดใจสุดๆ
“ฉันไม่ปลอยให้เธอไปแย่งคู่หมั้นของหลานฉันแน่...แม่วิรงรอง”
“ดิฉันไม่ได้สิ้นคิดขนาดที่จะไปแย่งของของคนอื่น”
“งั้นก็พิสูจน์ซิ”
วิรงรองมองหน้าอดิศวร์
“ด้วยการอยู่ที่นี่จนกว่า 2 คนนั้นจะแต่งงานกัน”
วิรงรองยังคงมองหน้าอดิศวร์อยู่อย่างนั้น
อดิศวร์บีบแขนวิรงรองจนหญิงสาวนิ่วหน้าร้องเบาๆ “หาผู้ชายอื่นไม่ได้แล้วหรือไงถึงได้คิดแต่จะแย่งคู่หมั้นพิณทอง”
“ก็ได้! ดิฉันจะอยู่ที่นี่จนกว่า หลานสาวคุณจะแต่งงานกับพิชญ์”
สีหน้าอดิศวร์เหมือนมีแววโล่งใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง
“แล้วก็อย่าเรียกฉันว่า แม่วิรงรองอีก ไม่อย่างนั้น ดิฉันจะกลับบ้านทันที”
“ตกลง”
“ทีนี้จะปล่อยแขนดิฉันได้หรือยังค่ะ”
อดิศวร์ปล่อยมือจากแขนหญิงสาว วิรงรองเดินไปที่ประตูแล้วหันมา
“คุณพูดถูก พิชญ์เป็นคนเดียวในโลกนี้ที่เรียก ว่า “พลับพลึง” เพราะชื่อดิฉันแปลว่าอย่างนั้น”
วิรงรอง นกุล เปิดประตูเดินออกไป อดิศวร์ ศิโรดม มองตามด้วยสีหน้าหงุดหงิดไม่พอใจ

วิรงรองพยายามกลั้นน้ำตาเดินแกมวิ่งมาที่ห้อง แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นแสงแขและโอบอ้อมยืนอยู่ที่หน้าห้อง
“โอบ! ฉันบอกแล้วว่าไม่เกินเดือนนึง”
“คุณแสงแขทายแม่นจังค่ะ...แถมยังทำสถิติไปเร็วที่สุดอีกด้วย..มาปุ๊บไปปั๊บ”
“ต้องการคนช่วยเก็บข้าวเก็บของ ฉันจะได้ให้โอบมันช่วย”
“ไม่ต้องค่ะ! เพราะฉันไม่ได้จะไปไหน” วิรงรองบอก
“เอ๊ะ!..แต่คุณย่าไล่แก”
“แต่คุณอดิศวร์ขอให้ฉันอยู่ต่อ ไม่เข้าใจเหมือนกัน ไม่แน่ลองเจ้าของบ้านขอเองแบบนี้ ฉันอาจจะทำสถิติอยู่นานที่สุดก็ได้! คุณแสงแขว่าอย่างนั้นไหมคะ”
“ฉันไม่เชื่อ”
“งั้นก็ไปถาม คุณอดิศวร์เองซิค่ะ! จะได้หายข้องใจ”
วิรงรองเดินผ่านทั้ง 2 คน ไปที่ประตูและเปิดเข้าไป
แสงแขกำมือแน่น “อ๋อ! ฉันถามแน่ ว่าแต่แกเถอะระวังตัวให้ดี ทะเร่อทะร่าเข้ามาอยู่ไม่รู้หรือว่าบ้านนี้ผีดุ”
โอบอ้อมเสริม “พูดแล้วขนหัวลุก”
“ไป! นังโอบ”
โอบอ้อม หัวเราะคิกคักเดินตามแสงแขไป ขณะที่วิรงรองส่ายหน้าและปิดประตูลง

วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่งที่โต๊ะใกล้หน้าต่าง มองออกไปอย่างตั้งใจแล้วชะงัก สีหน้าประหลาดใจและตื่นเต้น
เธอเห็นทุ่งพลับพลึงกำลังออกดอกขาวสะพรั่ง
“สวยจังเลย”
วิรงรองชะงักเหมือนนึกถึงอะไรได้ ภาพทุ่งพลับพลึงในความฝันผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“แปลก”

วิรงรองตัดสินใจเดินออกจากห้องไปอีกครั้ง

ขณะเดียวกันอุษาเดินออกมาตรงหน้าห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ขณะที่แสงแขรออยู่อย่างกระวนกระวาย

“พี่อุษา! วิรงรองบอกว่า คุณลบให้เขาอยู่ต่อ”
อุษาแปลกใจนิดหน่อย “ถ้าคุณลบให้อยู่ เขาก็คงต้องอยู่”
“แต่คุณย่าท่านไล่”
“ช่างเถอะ! ไม่ใช่เรื่องของเรา”
“แขจะฟ้อง คุณย่า”
“อย่านะ” อุษาห้าม
“ทำไม..แขจะบอก!”
“ถ้าเธออยากให้มีเรื่องก็ตามใจ”
อุษาเดินจากไป
“แขไม่ใช่พี่อุษานี่ จะได้ไม่มีปากไม่มีเสียง”
แสงแขพูดตามหลังพี่สาวไป ร่างอุษาเลี้ยวลับไปอย่างไม่สนใจ

ดอกพลับพลึงไหวตามสายลม กลิ่นหอมกรุ่นกระจายไปทั่วบริเวณ
วิรงรองเดินเข้ามาและมองภาพนั้นอย่างตื่นตาตื่นใจ
“ไม่เคยเห็นใครปลูกดอกพลับพลึงเป็นทุ่งอย่างนี้เลย ยิ่งมาดูใกล้ๆ ยิ่งสวยไม่น่าเชื่อว่าเหมือนในความฝันทุกอย่าง”
จังหวะนี้ ภาพท่านผู้หญิงสรรักษ์ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“นังพลับพลึง! ไป ออกไปให้พ้น”
พอภาพนั้นเลือนหาย วิรงรองนิ่งคิดอย่างฉงน
“จะเกี่ยวกับ คนที่ชื่อพลับพลึงหรือเปล่านะ”
วิรงรองมองทุ่งพลับพลึง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด

จังหวะนี้ อดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่าง ทอดสายตามองไปที่ทุ่งพลับพลึง เห็นว่าวิรงรองกำลังเก็บดอกพลับพลึงในทุ่ง
“จุ้นจ้านที่สุด”
อดิศวร์ ศิโรดม หงุดหงิดขึ้นมาครามครัน

ขณะที่วิรงรองหอบช่อดอกพลับพลึงเต็มอ้อมแขนเดินกลับมาที่หน้าคฤหาสน์ แล้วต้องชะงัก เมื่อเห็นอดิศวร์ยืนมองมาด้วยดวงตาตำหนิเหมือนผู้ใหญ่มองดูเด็กที่ทำผิด
“ขออนุญาตใครหรือยัง”
วิรงรองเม้มปาก “ดิฉันไม่ทันคิดว่า คุณอดิศวร์ จะหวง...เห็นเป็นแค่ดอกไม้ธรรมดา แล้วก็มีอยู่เยอะแยะ”
“แต่เธอก็ควรขออนุญาตก่อน แล้วเรื่องที่เธอชอบเพ่นพ่านไปโน่นมานี่ก็เหมือนกัน”
“ดิฉันไม่มีอะไรจะทำ จะให้อุดอู้อยู่แต่ในห้องเฉยๆ ก็ขอสารภาพว่าทำไม่ได้!..เพราะดิฉันไม่ใช่หุ่นถึงจะได้จับไปวางตรงโน้นตรงนี้ได้ตามใจชอบ ถ้าหากคุณไม่พอใจ ดิฉันก็จะกลับบ้าน”
“นึกแล้วว่าต้องพูดอย่างนี้...ใกล้จะถึงวันแต่งงานของนายพิชญ์แล้วนี่”
วิรงรองรับรู้สุ้มเสียงเยาะหยันนั้น ดวงตาวาววับ “กรุณาอย่าดูถูกดิฉันให้มากนัก! คนอย่างดิฉันพูดคำไหนคำนั้น! อีกอย่าง..ก็เหมือนที่คุณพูด ผู้ชายไม่ได้มีแค่พิชญ์คนเดียว แล้วดิฉันก็ไม่ได้สิ้นไร้ไม้ตอก”
“จะบอกว่าคบผู้ชายไว้หลายคนละซิ” อดิศวร์ย้อนให้อีก
“นั่นมันเรื่องของดิฉัน แล้วดอกพลับพลึงพวกนี้ ถ้าคุณจะคิดเงิน ก็หักจากเงินเดือน ของดิฉันได้”
วิรงรองขยับออกเดิน
อดิศวร์ยิ่งหงุดหงิด “เดี๋ยวก่อน”
วิรงรองหยุดและหันหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“อย่าสอดรู้สอดเห็นให้มากนัก จะไปไหนมาไหนก็ชวนอุษาหรือแสงแขไปด้วย อาณาเขตของโดมทองกว้างมาก เธออาจจะหลงทางได้ง่ายๆ”
“ขอบคุณค่ะ ที่กรุณาเตือน”
วิรงรองเดินเข้าคฤหาสน์ไป
“อวดดี”

อดิศวร์ ศิโรดม มองตามร่างระหงไปอย่างหงุดหงิด

อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น