โดมทอง ตอนที่ 7
อีกสักครู่หนึ่ง แสงแขเดินเข้ามาหยุดยืนในครัว พลางกอดอกบอกด้วยสีหน้าเยาะๆ
“พี่อุษา! คุณย่าให้มาตามไปพบ”
อุษาวางมือ เปิดก๊อกล้างมือ
“ไม่ถามหรือว่าเรื่องอะไร”
“เดี๋ยวคุณย่าก็บอกเอง”
อุษาเดินออกไปเลย
แสงแขมองจ้องหน้าวิรงรองเขม็ง “เธอล่ะ...อยากรู้ไหม! เห็นชอบสอดรู้สอดเห็นนักนี่”
วิรงรองทำหูทวนลมใส่
แสงแขกระชากวิให้หันมาอย่างหงุดหงิด “นังวิรงรอง”
วิรงรองสบตาแสงแขเขม็งปัดมืออีกฝ่ายออกไป “ว่ายังไงคะ ... “คุณ” แสงแข” วิรงรองจงใจเน้นคำว่า “คุณ”
“แก”
“ถึงดิฉันจะไม่ใช่พวกผู้ดีเก่าเก็บ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็คอยสั่งสอนอบรมไม่ให้พูดจาหยาบคาย! ไม่ให้ดูถูกคน! ไม่ให้อิจฉาริษยาใคร!”
“แกด่าฉันไม่พอ ยังด่าคุณย่าอีก” แสงแขว่า
“ขอโทษนะคะ...กรุณาทบทวนให้ดี...ทุกประโยคของดิฉันไม่มีคำหยาบเลยสักคำ! มีแต่คุณที่เรียกจิกดิฉันบ่อยๆ เออ! ถ้าดิฉันเรียกคุณว่า “อีแสงแข” ก็ว่าไปอย่าง” วิรงรองย้อนแสบ
“นังวิรงรอง! แกกล้าเรียกฉันว่า...อี”
วิรงรองทำหน้าตาอ่อนอกอ่อนใจ “เอาอีกแล้ว...ดิฉันพูดว่า “ถ้า” ค่ะ ไม่ได้เรียกจริงๆ สักหน่อย”
แสงแขมองอย่างอาฆาตแล้วเดินออกไป วิรงรองไม่สนใจหันกลับมาทำงานต่อ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตบหน้าอุษาจนหน้าหัน อุษาเบือนกลับมาแล้วก้มหน้า น้ำตาปริ่ม...แก้มเป็นผื่นแดงรูปนิ้ว
ท่านผู้หญิงจิ้มหน้าผากอีกจนหน้าหงาย “นังอุษา! นังคนเนรคุณ”
“ไม่จริงค่ะ! อุษาไม่เคยแม้แต่จะคิดอย่างนั้น”
“แล้วนังแสงแขมันจะเอามาจากไหน” หญิงชราเว้นนิด “ตั้งแต่นังพลับพลึงมันมาอยู่ที่นี่ แกก็สมคบกับมันลอบกัดฉัน”
อุษาอธิบายน้ำตาไหลพราก “คุณย่าขา! อุษาไม่เคยคิดร้ายกับคุณย่าเลย...วิรงรองก็เหมือนกัน”
“อย่าเอ่ยชื่อนังคนนั้น! ต่อไปนี้ฉันขอสั่งไม่ให้แกพูดกับมัน บอกนังอุไรด้วย ห้ามไปสุงสิงยุ่งเกี่ยวกับมันเด็ดขาด ฉันจะดูซิว่ามันจะยังหน้าด้านอยู่ในโดมทองได้อีกหรือเปล่า เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะ”
“ไสหัวไปได้แล้ว”
อุษาคลาน แล้วลุกเดินออกไป
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามนัยน์ตาเป็นประกายวาวโรจน์อย่างน่ากลัว
วิรงรองรู้เรื่องก็ถอนใจยาว สีหน้าขรึมลง
“วิเข้าใจค่ะ...วิจะพยายามเลี่ยงไม่เข้าใกล้ใคร...ทุกคนจะได้ไม่ต้องเดือดร้อน”
อุษาน้ำตาไหลอีกด้วยความอัดอั้นตันใจ
วิรงรองบอกด้วยเสียงอ่อนโยน “พี่อุษาไปหายาทาแผลเถอะค่ะ แดงเป็นผื่นเลย”
อุษาพยักหน้า แล้วเดินออกไป วิรงรองถอนใจยาว น้ำตารื้นขึ้นมา
“คุณขา...วิคิดถึงคุณเหลือเกิน...วิอยากกลับบ้าน”
ตรงมุมสวยๆ ภายในอาณาเขตคุ้มภูไทเวลานั้น ไม้ดอกไม้ใบอวดความสวยแข่งกัน สร้างให้บรรยากาศสดชื่น อนิรุทธิ์อยู่ในบริเวณนั้น และกำลังพยายามโทรศัพท์ถึงวิรงรอง แต่ไม่มีใครรับ จนอนิรุทธิ์เริ่มกังวล
“ทำไมไม่รับสักที”
ลานนาเดินเข้ามา สีหน้าแจ่มใสแบบคนขี้เล่น
“คุณอนิรุทธิ์คะ”
อนิรุทธิ์หันกลับมาหา “ทำไมวิไม่ยอมรับโทรศัพท์”
ลานนานัยน์ตาพราวประสาคนขี้เล่น “สงสัยจะถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์แล้วมั้งคะ”
อนิรุทธิ์มองลานนาด้วยสีหน้านิ่งสนิท “ไม่ตลก”
รอยยิ้มลานนาค่อยๆ เลือนหายไป หน้าเจื่อนแล้วพูดแบบไม่รู้จะพูดอะไรให้ดีไปกว่านั้น
“เหรอคะ”
“ใช่!”
ลานนาพึมพำในลำคอ “อ้อ”
ลานนาเกาหัวเหวอๆ ครู่หนึ่ง แล้วหันหลังจะเดินออกไป
“เมื่อกี้คุณเรียกผมทำไม”
ลานนาทวนคำงงๆ “เรียกคุณทำไม”
“เฮ้อ...นี่ความจำสั้นหรือเปล่าเนี้ย”
“อ้อ...นึกออกแล้ว...พี่ชายให้มาตามคุณอนิรุทธิ์ไปทานข้าวค่ะ”
“นำทางไปเลย ผมหิวขนาดจะกินคนได้อยู่แล้ว”
ลานนารีบเดินนำไป อนิรุทธิ์มีสีหน้าขันๆ ที่อำลานนาสำเร็จขณะเดินตาม ลานนาหันกลับมามองอีกที อนิรุทธิ์รีบปรับสีหน้าเป็นนิ่งๆ ตามเดิม
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่งแล้ว ภายในห้องอาหาร บัวคำถือจานซึ่งจัดวางผลไม้อย่างสวยงามเข้ามา ขณะที่สาวใช้อีกคนยกจานอาหาร ที่กินกันเสร็จเรียบร้อยแล้วออกไป
เท้าบัวคำจอมซุ่มซ่ามสะดุดกัน ร่างเซถลา
ลานนามองอยู่รีบลุกขึ้นคว้าไว้ได้ด้วยความว่องไว ในขณะที่บัวคำเซถลามาเกาะเก้าอี้อนิรุทธิ์ไว้ ภูไทและพันธุ์สูรย์พลอยลุกขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ
“บัวคำ” สองหนุ่มอุทานพร้อมกัน
“ขอประทานโทษค่ะ อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด” จอมซุ่มซ่ามว่า
“ระวังจะถูกตัดเงินเดือนโดยไม่ได้คาดคิดเหมือนกัน” ภูไทดุขำๆ
บัวคำยิ้มแห้งๆ
“ยังจะมาทำหน้าเปิ่นอีก! ขอโทษคุณอนิรุทธิ์แล้วรีบออกไปให้พ้นหน้าเลย”
บัวคำทรุดตัวลงกราบที่ตักอนิรุทธิ์ “ขอประทานโทษค่ะ ! อุบัติเหตุ...”
ภูไทเสียงเขียว “บัวคำ...ออกไป”
“ค่ะ” บัวคำลุกขึ้นถอนสายบัวผลุบหนึ่งแล้วรีบออกไป พร้อมกับเสียง “โครม” ตามมา
ทุกคนทำหน้าเซ็งๆ
“เชิญทานผลไม้ดีกว่าค่ะ...มีใครจะรับกาแฟบ้างมั้ยคะ” ลานนาถาม
ภูไทส่ายหน้า
“ไม่ครับ...ขอบคุณ” พันธุ์สูรย์บอก
“ผมก็ไม่เหมือนกันครับ”
อนิรุทธิ์บอก ในจังหวะที่เสียงโทรศัพท์รุทธิ์ดังขึ้น ชายหนุ่มรีบหยิบขึ้นมาดู รอยยิ้มสดใlปรากฏขึ้นทันทีเมื่อเห็นชื่อคนโทร.
“ขอโทษนะครับ”
อนิรุทธิ์ขอตัวแล้วเดินออกไป พร้อมเสียงทักทาย ท่ามกลางสายตาทั้ง 3 คน
“ท่าทางพี่ชายจะมีคู่แข่งซะแล้ว” ลานนาว่า
ภูไทปราม “ฮื้อ....ยัยน้อง”
วิรงรองเดินโทรศัพท์เข้ามาในห้องตัวเอง
“ขอโทษนะจ้ะรุทธิ์ ที่ไม่ได้รับโทรศัพท์เมื่อกี้”
อนิรุทธิ์ประชดเล็กๆ “มัวแต่รับใช้เจ้านายอยู่น่ะซิ... แม้แต่ลานนายังคิดว่าวิอาจจะถูกเปลี่ยนให้เป็นแวมไพร์แล้ว”
คราวนี้วิรงรองหัวเราะคิก แล้วเปลี่ยนเป็นสุ้มเสียงจริงจัง “ลานนาเป็นไงบ้าง”
อนิรุทธิ์รู้ทัน “วิ.....” เขาลากเสียงยาว
“เขานิสัยดีมากนะ น่ารักด้วย...สวยอีกต่างหาก” แม่สื่อสาวบอก
“ไม่ต้องพยายามถึงขนาดนั้นหรอก” สุ้มเสียงน้อยใจขึ้นมาเล็กๆ “...ใจคนไม่ได้เปลี่ยนง่ายๆ เหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้า”
วิรงรองเบิกตากว้าง “ต๊าย! นี่หมายความว่า รุทธิ์มีแฟนแล้วละซี งั้นก็ต้องขอโทษด้วยนะจ้ะ ที่วิละลาบละล้วงจะหาแฟนให้...ว่าแต่ใครคือผู้โชคดีคนนั้น! เอ๊ะ! หรือว่าหนุ่ม”
“แค่นี้ละนะ...ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว”
อนิรุทธิ์ปิดโทรศัพท์งอนๆ ขณะที่วิรงรองมีสีหน้างงๆ
“มีแฟนแล้วก็ไม่บอก! ต้องล้วงความลับให้ได้ว่านางเป็นใคร”
อีกมุมหนึ่งในคุ้มภูไท ลานนาพยายามให้กำลังใจพี่ชาย
“สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร เพราะฉะนั้น พี่ชายอย่าเพิ่งท้อคะ ...จะว่าไปน้องว่าพี่ชายยังมีภาษีดีกว่าอีตาอนิรุทธิ์นั่นอีกนะคะ นี่พูดกันอย่างแฟร์ๆ ไม่ได้เข้าข้าง”
“นั่นละ เขาเรียกว่า เข้าข้าง”
ขณะที่ทั้ง 2 คุยกัน อนิรุทธิ์เดินเข้ามาจะลากลับ เลยยืนฟัง
“พี่ชายของน้องออกจะหล่อ...เป็นผู้ดิบผู้ดีมีชาติตระกูล ....ส่วนนายคุณอนิรุทธิ์...”
จังหวะนี้อนิรุทธิ์กระแอมเบาๆ สองพี่น้องหันกลับมามองแล้วต่างสะดุ้ง
“ผมมาลาครับ...ขอบคุณสำหรับอาหารที่อร่อยดี มีชาติมีตระกูล”
2 คนสะอึก แล้วตั้งสติได้ จึงทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ภูไทรีบพูด
“ผมต้องขอโทษแทนลานนาด้วยครับ...เขาเป็นคนพูดไม่ค่อยคิด”
ลานนาหันขวับไปมองทันที “อ้าว! พี่ชาย”
“คุณอนิรุทธิ์พักที่ไหนครับ...ผมจะให้รถไปส่ง”
สองคนเดินคุยกันออกไป
“ขอบคุณมากครับ” อนิรุทธิ์บอก
ลานนาฉุนพี่ชายงอนตุ๊บป่อง “อะไรอ่ะ...เอาตัวรอดเฉยเลย พี่ช้าย....ย”
บรรยากาศยามค่ำในโดมทอง สวยแกมวังเวง อดิศวร์เปิดประตูเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์
“อ้าว…ลบยังไม่ได้ไปปาร์ต้ง...ปาร์ตี้อะไรกับเขาหรือลูก”
“ครับ...ผมมีงานอีกนิดหน่อย เดี๋ยวค่อยตามไป”
ท่านผู้หญิงถอนใจยาว “ลบมีอะไรเหมือนคุณปู่หลายอย่าง...ทั้งรูปร่างหน้าตา...แล้วก็เป็นคนรักงานรักการ”
“เสียดายที่ไม่มีรูปคุณปู่เหลืออยู่เลย...ผมเลยไม่รู้ว่าเหมือนแค่ไหน” อดิศวร์ว่า
หญิงชราตัดบททันที “ไปทำงานเถอะ...เดี๋ยวจะได้ไปสนุกกับเขา”
“ผมก็ไม่ได้นึกสนุกอะไรหรอกครับ”
“แต่ยังไงก็ต้องไป”
อดิศวร์กอดย่าพลางชวน “คุณย่าจะไปด้วยกันไหมครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ขืนตัวทันที นัยน์ตาเป็นประกายวาว “ไม่! ย่าเกลียดงานเลี้ยง”
อดิศวร์นิ่วหน้าเหมือนแปลกใจ ขยับจะถามแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ สีหน้าหญิงชรายังคงแข็งกร้าว
ขณะที่อดิศวร์เปิดประตูออกมาจากห้อง เห็นโอบอ้อมซึ่งแต่งตัวเรียบร้อยเตรียมจะไปปาร์ตี้เดินตรงมา
“แต่งตัวจะไปไหน” อดิศวร์ถาม
“ก็ไปช่วยปิ้งบาร์บิคิวไงคะ” สาวใช้จอมสอพลอบอก
“ไม่ต้องไป”
โอบอ้อมชะงักและผิดหวังสุดๆ “ทำไมล่ะคะ...ก็ท่านผู้หญิงให้ไป”
“ยังไงก็ต้องมีคนอยู่กับคุณย่า”
โอบอ้อมแย้ง “แต่...”
“ถึงท่านไม่ให้เข้าไปก็อยู่หน้าห้อง...อุไรเขาไปคอยช่วยคุณอุษากับคุณแสงแข”
โอบอ้อมก้มหน้าลง ด้วยความหงุดหงิดผิดหวัง
“ไม่พอใจหรือ” อดิศวร์ถามเสียงเย็นชา
โอบอ้อมรีบเงยหน้าขึ้นทันที “เปล่าค่ะ”
อดิศวร์เดินออกไป
โอบอ้อมมองตามหน้างอพึมพำ “ใช่ค่ะ…ผิดหวังโคตรๆ เฮ้อ! สงสัยเป็นแผนของคุณอุษาที่สั่งให้มาดูท่านผู้หญิงก่อนไป ฮึ นังอุไรเลยสนุกคนเดียว”
ส่วนภายในห้อง ท่านผู้หญิงสรรักษ์เอนตัวลง แล้วหลับตาลง ภาพจำครั้งอดีตผุดขึ้น เป็นงานเลี้ยงที่จัดขึ้นภายในห้องโถงใหญ่ของโดมทอง บรรดาแขกกำลังเต้นวอลซ์ลีลาพลิ้วไหวอย่างสวยงาม
ที่ด้านนอกพลุถูกจุดสว่างจนกลบแสงจันทร์ที่สว่างนวลเหนือยอดโดม ขณะที่ด้านในแขกเหรือยังคงเต้นรำกันต่อ
ภาพเหล่านั้นเลือนหาย ท่านผู้หญิงสรรักษ์ยังคงนอนนิ่ง หยาดน้ำตาแห่งความแค้นไหลรินออกมา หญิงชราพึมพำ
“งานเลี้ยงเรอะ งานเลี้ยงพรากความสุขจากฉันไปจนชั่วชีวิต ฉันเกลียดมัน”
เวลาเดียวกัน ท้องฟ้าเหนือบริเวณชายหาดดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าด้วยเป็นคืนข้างแรม กองไฟสุมสว่าง กองขนาดไม่ใหญ่โตนัก ห่างออกมาอุษาและวิรงรอง และอุไร กำลังช่วยกันปิ้งบาร์บิคิวอาหารทะเลอยู่ ส่วน รัฐมนตรีพจน์ นั่งล้อมวงคุยกับวัชรี แก้ว พิณทอง และพิชญ์ โดยมีแสงแขคอยดูแล
พิชญ์ลอบมองไปที่วิรงรองบ่อยๆ โดยที่พิณทองเองก็ลอบสังเกตสามีอย่างน้อยใจแกมครุ่นคิดเช่นเดียวกัน
“เอ๊ะ! ป่านนี้คุณลบยังไม่มาอีก หรือว่าจะทำงานเพลิน” พจน์เอ่ยขึ้น
“นั่นซิคะ...แขว่าแขไปตามดีกว่า”
“พิณไปเป็นเพื่อนค่ะ”
“ไม่ต้องมั้ง! เดี๋ยวก็คงมา” แก้วว่า
“ลองโทรศัพท์ไปตามซิลูก” วัชรีแนะ
“พิณไม่ได้เอาโทรศัพท์มาค่ะ”
พจน์หยิบมือถือของตัวเองส่งให้ “เอ้า”
“ขอบคุณค่ะ”
พิณทองกดโทรศัพท์
โทรศัพท์มือถือของอดิศวร์ที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานดังขึ้น ภายในห้องไม่มีใครอยู่ ขณะที่เสียงโทรศัพท์ยังดังขึ้นเรื่อยๆ
พิณทองส่งโทรศัพท์คืนให้พ่อ
“ไม่มีใครรับค่ะ...สงสัยน้าลบกำลังจะมา” พิณทองหันมาทางแสง “เอายังไงดีคะ คุณแสงแข”
“งั้นก็คงไม่ต้องไปตามหรอกค่ะ”
จังหวะนี้อุไรยกจานวางบาร์บิคิวมาเสิร์ฟ พร้อมกับอาหารทะเลให้ทุกคน
วิรงรองหันมาบอกอุษาเบาๆ “เหม็นควันไฟจัง...ขออนุญาติไปสูดอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ”
“เชิญค่ะ...อย่าไปไกลนักล่ะ”
วิรงรองยิ้มเป็นเชิงรับคำ แล้วเดินเลี่ยงออกไป
พิชญ์ซึ่งลอบมองอยู่ก่อน แอบเดินตามไปเงียบๆ ในขณะที่คนอื่นกำลังคุยกันไปแล้วกินกันไปออกรส
เกลียวคลื่นซัดเข้าหาฝั่งดังซู่ซ่า เป็นระลอก วิรงรองเดินมาเรื่อยๆ ตามชายหาดด้วยความรู้สึกที่ปลอดโปร่งและรื่นรมย์ขึ้น
พิชญ์เดินตามมาห่างๆ ขณะที่วิรงรองยังคงรื่นรมย์กับบรรยากาศสงบสงัดโดยรอบ บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองดาวที่กระจายเต็มฟ้า บางครั้งก็เดินไปหยุดให้น้ำทะเลไหลขึ้นมาบนเท้าครู่หนึ่งแล้วเดินต่อ
พิชญ์ยืนมองห่างๆ ด้วยสายตาอ่อนโยนรักใคร่อาลัยอาวรณ์
วิรงรองเดินต่อไปเรื่อยๆ ทอดอารมณ์ไปโดยไม่รีบร้อน
ดวงจันทร์ข้างแรมลอยรุบหรู่อยู่เหนือยอดโดม และค่อยๆ ลอยเข้าไปในกลุ่มเมฆสีเทา บรรยากาศของอาณาบริเวณโดมทองดูวังเวง เสียงแมลงกลางคืนที่ดังอยู่ดีๆกลับเงียบสนิทอย่างพร้อมเพรียงกัน
ด้านในของปราสาทโดมทองก็เงียบวังเวงจนน่าขนลุก
ส่วนภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีลมพัดเข้ามา ม่านหน้าต่างปลิว โอบอ้อมซึ่งนั่งบีบขาให้ท่านผู้หญิงอยู่ถึงกับขนลุกเกรียว แล้วยกแขนขึ้นกอดอกด้วยเกิดหนาวยะเยือกขึ้นมาในทันทีทันใด ในขณะที่ท่านผู้หญิงสรรักษ์ผงกหัวขึ้น นัยน์ตาเป็นประกายวาวด้วยความตื่นเต้นมองเขม็งไปที่ประตู
“มาแล้วเรอะ...พิศ”
โอบอ้อมค่อยๆ เบือนหน้าไปมองตามอย่างหวาดๆ ทว่าบริเวณหน้าประตูว่างเปล่า ไม่ปรากฏเงาของสิ่งใด
“เข้ามาซิ” ท่านผู้หญิงขยับตัวขึ้นนั่ง
โอบอ้อมตะกุกตะกักถามงงๆ “คะ...คะ...ใคร....ใครหรือคะ”
“ก็บอกแล้วว่านังพิศ”
โอบอ้อมกลืนน้ำลายเอื๊อก
“แกออกไปได้ ! นังพิศมันจะได้เข้ามา”
“ทะ....ท่าน...ผู้หญิง”
ท่านผู้หญิงตวาดเสียงขุ่น “บอกให้ออกไป๊”
โอบอ้อมรีบตาลีตาลานไปที่ประตู แล้วเปิดออกช้าๆ และจังหวะนี้เหมือนมีใครคนหนึ่งเดินสวนเข้ามาในลักษณะก้าวผ่านตัวโอบอ้อมไปอย่างช้าๆ โอบอ้อมรู้สึกได้ถึงกับผงะ
โอบอ้อมรีบก้าวออกไป หลังจากยืนอกสั่นขวัญแขวนตกตะลึงครู่หนึ่ง แล้วหันกลับไปมอง เห็นท่านผู้หญิงลุกขึ้นนั่งอย่างกระฉับกระเฉง แล้วก้มหน้าลงพูดราวกับมีใครคนหนึ่งซึ่งนั่งอยู่หน้าเตียงฟังอยู่
โอบอ้อมกลืนน้ำลายอีกครั้งแล้วรีบปิดประตูอย่างแผ่วเบา
โอบอ้อมอยู่หน้าห้องแล้วหันกลับมา ก้มมองแขนตัวเอง เห็นว่าขนลุกตั้งชัน โอบอ้อมยกมือลูบแขนตัวเอง มองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้
“ท่านผู้หญิงเลี้ยงผี หรือไม่ก็เป็นบ้าไปแล้ว”
สาวใช้ผู้สอพลอพูดพลางรีบจ้ำไปจากที่นั้นทันที
ด้านวิรงรองเดินมาจนถึงบริเวณซากเรือริมชายหาด จังหวะที่วิรงรองกำลังจะทรุดตัวลงนั่ง แต่แล้วก็สะดุ้งเฮือก เมื่อเสียงหนึ่งซึ่งคุ้นหูดังขึ้น
“พลับพลึง”
วิรงรองสะดุ้ง เหลียวขวับไปมอง เห็นพิชญ์ก้าวเข้ามาใกล้ สีหน้าแววตาดูยินดีอย่างยิ่งที่ได้อยู่กับวิรงรองตามลำพังเสียที
“ผมรอเวลาที่เราจะได้อยู่กันตามลำพังอย่างนี้นับตั้งแต่ได้พบคุณที่นี่”
วิรงรองขยับตัวจะก้าวเดินเลี่ยงไป พิชญ์ขยับขวางไว้
“กรุณาหลีกทางด้วยค่ะ ฉันจะกลับ”
“คุยกับผมสักประเดี๋ยวจะเป็นไร โอกาสอย่างนี้หาได้ที่ไหน ที่คุณตั้งใจจะมาหาผม น้าลบก็ยังอุตส่าห์ตามมา”
วิรงรองเสียงแข็งขึ้นทันที “ฉันไม่ได้ตั้งใจจะไปหาคุณ กรุณาเข้าใจให้ถูกด้วย”
พิชญ์พยายามประณีประณอม “โอเค...โอเค ไม่ได้ตั้งใจก็ไม่ได้ตั้งใจ...พอเห็นคุณแยกตัวมา...ผมก็เป็นห่วง รีบตามมาทันที”
น้ำเสียงวิรงรงรองฟังดูคล้ายจะเยาะหยันตัวเอง “ตามมาทำไม หรือคิดว่าฉันจะกระโดดน้ำตาย”
“อย่าประชดประชันผมนักเลย” พิชญ์สีหน้าจริงจังขึ้น “พลับพลึง...คุณรู้ใช่ไหมว่า ผมกับพิณทองจะมาฮันนี่มูนที่นี่ ....คุณถึงได้มาดักรอที่โดมทอง...ผมไม่เชื่อว่า ทุกอย่างจะเป็นการบังเอิญ”
“ฉันขอยืนยันว่า มันเป็นเรื่องบังเอิญ”
พิชญ์แปลกใจ “งั้นทำไม คุณมาอยู่ที่นี่”
“ก็...คุณลบบอกไปแล้วไม่ใช่หรือ”
“ผมไม่เชื่อ” พิชญ์บอกเสียงแข็ง
“ไม่เชื่อก็ตามใจ”
วิรงรองออกเดินหนี พิชญ์คว้าแขนไว้
“พลับพลึง”
“ปล่อย!..และฉันชื่อวิรงรอง ไม่ใช่พลับพลึง”
พิชญ์มีนัยน์ตาเป็นประกายกร้าว “คุณคือพลับพลึงของผม”
วิรงรองกระทืบเท้าด้วยความโกรธ “ไม่ใช่! คุณไม่มีสิทธิ์”
“เรารักกัน! ผมมีสิทธิ์” พิชญ์พูดพร่ำ
“อย่ามามั่ว! คุณแต่งงานแล้ว! เรื่องของเรามันจบไปตั้งแต่ตอนนั้น”
“แต่ผมเชื่อว่ายังไม่จบ”
“เฮอะ! คุณกล้าพูดต่อหน้าคุณพิณทองและบรรดาวงศาคณาญาติของเธอมั้ยล่ะ” วิรงรองท้า
“กล้า! ไปด้วยกันเดี๋ยวนี้เลยก็ได้”
พิชญ์คว้าข้อมือวิรงรองออกเดินวิรงรองขืนตัวไว้เต็มที่ แล้วสะบัดมือ
“ฉันไม่บ้าไปกับคุณหรอก”
“ทำไมล่ะ ก็คุณท้าผม”
“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว ทุกอย่างมันสายไปแล้ว” วิรงรองบอกย้ำ
“ยังไม่สาย ถ้าหากคุณบอกมาคำเดียวว่ายังรักผมอยู่”
วิรงรองเหนื่อยใจ “พิชญ์”
“ผมจะสารภาพกับพิณทองตามตรงว่า ผมไม่เคยรักเขา คุณต่างหากคือคนที่ผมรัก”
“บ้า! คุณจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด”
“ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อเรารักกัน! อย่าทรมานตัวเองอีกต่อไปเลยนะพลับพลึง”
พูดพลางรวบตัววิรงรองมากอดไว้
วิรงรองตกใจและพยายามดิ้น “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะพิชญ์ อย่าทำบ้าๆ นะ”
พิชญ์ไม่ปล่อยแถมก้มหน้าลงมา “ไม่ปล่อย”
วิรงรองรวบรวมกำลัง กระทืบเท้าลงไปบนเท้าพิชญ์เต็มแรง
พิชญ์ร้อง “โอ๊ย”
วิรงรองถือโอกาสผลักพิชญ์ออกไป แล้วตบเปรี้ยงจนพิชญ์หน้าหัน
สีหน้าและแววตาของวิรงรองเป็นประกาย ด้วยความโกรธจัด
“จำไว้ว่า อย่าทำอย่างนี้อีก เพราะถึงแม้ฉันจะให้อภัยคุณได้สำหรับทุกเรื่อง...แต่กรณีนี้ ฉันถือว่าคุณหมิ่นน้ำใจฉันและยังเหยียบย่ำศรัทธาที่ฉันเคยมีต่อคุณจนหมดสิ้น กลับไปเถอะค่ะพิชญ์ สำหรับเราถือว่าทุกอย่างจบแล้ว คุณมีหน้าที่กับคุณพิณทอง... สำหรับฉันก็จะทำหน้าที่ที่มีกับคุณลบให้ลุล่วงไปด้วยดี”
พิชญ์มองวิรงรองด้วยสีหน้าแววตาเจ็บปวด “พลับพลึง...”
“กลับไปเถอะค่ะ”
จังหวะนี้มีแสงจากไฟฉายส่องมาไกลๆ วูบวาบพร้อมเสียงร้องเรียกชื่อพิชญ์แว่วๆ
“มีคนมาตามแล้ว...คุณรีบไปดีกว่า”
สีหน้าแววตาของพิชญ์ยังคงเดิม แต่เสียงที่เปล่งออกมาสั่นนิดๆ ด้วยความสะเทือนใจสุดๆ
“ก็ได้...แต่จำไว้สักนิดว่า ผมรักคุณคนเดียวเท่านั้น”
พิชญ์ตัดใจเดินจากไป วิรงรองมองตามชายที่เธอเคยรักสุดหัวใจอย่างเจ็บปวดเช่นกัน พร้อมกับเข่าอ่อนยวบลง แล้วปิดหน้าร้องไห้
เสียงอดิศวร์ดังขึ้น “แก้มนายพิชญ์คงจะระบมไปอีกหลายวันทีเดียว”
วิรงรองสะดุ้งเฮือก หันขวับมาทันทีใบหน้าที่ยังมีน้ำตามองอย่างตกตะลึง อดิศวร์ซึ่งนั่งอยู่อีกด้านของซากเรือ ลุกขึ้นยืน
“อยากรู้ว่า เขาจะแก้ตัวกับพิณทองว่ายังไง”
วิรงรองยังคงมอง อดิศวร์ ศิโรดม ด้วยดวงตาเบิกกว้าง...คำพูดจุกอยู่ที่คอ
เมื่อพิชญ์เดินมาจนกระทั่งเห็นผู้ที่ถือไฟฉาย 2 คนชัดเจน เป็นวัชรีและพิณทองที่มองตอบมาอย่างสำรวจตรวจตราและคลางแคลงใจ
“ไปไหนมาตาพิชญ์”
“ผม...เหม็นควันไฟน่ะครับ เลยเดินมาเรื่อยๆ”
ตลอดเวลาพิณทองมองพิชญ์คลางแคลงใจแต่ไม่พูดอะไร
“แม่คนนั้นก็หายไปด้วย”
“ใครครับ”
พิณทองบอก “วิรงรองค่ะ”
พิชญ์ออกเดินไปขณะพูด “ผมไม่เห็นใคร”
พิณทองและวัชรีสบตากัน
ส่วนอดิศวร์เดินมาหยุดตรงหน้าวิรงรอง แล้วยื่นมือมาให้จับเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น แต่วิรงรองลุกขึ้นเองโดยไม่สนมือนั้น ...ตายังคงมองผู้เป็นนายจ้างโดยที่พูดไม่ออก
“ขอโทษที่ฉันต้องบังเอิญมารับรู้เรื่อง “ส่วนตัว” ของเธอกับสามีหลานฉัน แต่จะว่าไปก็ช่วยไม่ได้ที่อยากมาพูดกัน โดยที่ไม่ดูตาม้าตาเรือว่ามีใครเขานั่งอยู่ก่อน”
วิรงรองตั้งสติได้ “คุณ...ไม่มีมารยาท! คุณน่าจะบอก”
“จะให้บอกช่วงไหนล่ะในเมื่อเธอกับนายพิชญ์ทำท่ายังกับมีอยู่แค่ 2 คนในโลก ขืนฉันทะลุกลางปล้องขึ้นมา เดี๋ยวก็จะหาว่าไม่มีมารยาทอีก” อดิศวร์ เว้นอีกนิดประชัดตัวเองกลายๆ “ผิดทั้งขึ้นทั้งล่องทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากฟังสักนิด”
วิรงรองทั้งเจ็บใจและอับอาย “คุณมัน ...เจ้าเล่ห์ที่สุด”
วิรงรองสุดกลั้น น้ำตาไหลพรากออกมาอีก แล้วสะอื้นด้วยความรู้สึกหลายอย่างประดังกันเข้ามา
อดิศวร์พูดเหมือนเอ่ยถึงเรื่องไร้สาระที่สุด “จะมัวมาร้องไห้เสียใจอยู่ทำไม...เขาแต่งงานได้...เราก็แต่งได้เหมือนกัน” อดิศวร์เว้นไปอีกนิดก่อนบอกออกมา “...แต่งงานกับฉันไหมล่ะ...วิรงรอง...แล้วก็อยู่ด้วยกันที่โดมทองนี้ตลอดไป”
วิรงรองสะอื้นค้าง มองหน้าอดิศวร์เหมือนไม่เชื่อหู
“ทำไม...เธอคิดว่าฉันพูดเล่นหรือ...”
วิรงรองเม้มปาก แล้วขยับจะเดินไปโดยไม่พูดไม่จา
อดิศวร์พูดด้วยเสียงวางอำนาจทันที “ฉันกำลังพูดกับเธอ ยังไปไหนไม่ได้”
วิรงรองหันขวับมามอง “ดิฉันไม่ใช่คุณแสงแข”
“ฉันไม่ได้บ้าจนไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใครหรอก...” เขาเว้นนิดแล้วถามเอาคำตอบ “เธอจะว่ายังไง”
วิรงรองสบตาอดิศวร์ “นี่เป็นแผนการขั้นสุดท้ายที่จะมัดฉันเอาไว้โดยไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพิชญ์และคุณพิณทองอีกเลยใช่ไหมคะ”
“เธอคิดว่า คนอย่างฉันจะทำอย่างนั้นหรือ”
“คนอย่างคุณน่ะทำอะไรที่คนดีๆ เขาไม่ทำกันได้ตั้งหลายอย่าง”
อดิศวร์รวบตัววิรงรองมากอด และระดมจูบอย่างไม่ปราณี “งั้นเรอะ! ฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันอยากแต่งงานกับเธอเพราะความดื้อดึง! จองหอง! อวดดีของเธอนั่นแหละ...พอใจหรือยัง!”
วิรงรองพยายามผลักไสสุดแรง “ปล่อย! บอกให้...”
นอกจากจะไม่ปล่อยแล้วอดิศวร์ยังก้มลงจูบโดยที่วิรงรองยังพูดไม่ทันจบ วิรงรองพยายามดิ้นรนเต็มที่ แล้วค่อยๆหมดแรง...ความรู้สึกหลายๆ อย่างรวมกันเป็นก้อนสะอื้นติดอยู่ที่ลำคอ...เนื้อตัวสั่นเทา...น้ำตาไหลพราก
อดิศวร์เงยหน้าขึ้นแล้วชะงักไป “เป็นอะไรไป...วิรงรอง”
วิรงรองพยายามกลั้นสะอื้น อดิศวร์โอบกอดกระชับไว้ ถามเสียงแปร่งปร่า
“โกรธฉันหรือว่ายังอาลัยอาวรณ์นายพิชญ์”
วิรงรองเม้มปาก น้ำตายังไหลพรากๆ
อดิศวร์เยาะหยัน “คงรักเขามากซินะ แต่น่าเสียดายที่กลายเป็นของ “ต้องห้าม” ไปแล้ว ขืนแย่งก็บาปกรรมเปล่าๆ”
วิรงรองยกแขนขึ้นเช็ดปาก และใบหน้าแรงๆ ด้วยความแค้นใจ อดิศวร์คลายแขนออก
“ใจคอจะลบให้หมดกลิ่นสาปเชียวเรอะ! ที่จริง...ถึงยังไงไอ้มนุษย์อย่างฉันมันน่าจะดีกว่านายพิชญ์ตรงที่ไม่ใช่คนโลเล...พอทางนี้ไม่ได้ ก็หันไปคว้าทางโน้น”
วิรงรองโกรธจัดผลักอดิศวร์เต็มแรง แล้ววิ่งหนีไป
อดิศวร์มองตามอย่างหงุดหงิด แล้วก้าวตามไป
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ที่บริเวณปาร์ตี้แสงแขเอาแต่ชะเง้อมองอย่างกังวล
“ทำไมป่านนี้คุณลบยังไม่มาอีก”
“หนูวิรงรองก็หายไปเลย ! เมื่อกี้ไม่เจอแกหรือพิชญ์” พจน์ถาม
พิชญ์อึกอักเล็กๆ
“โอ๊ย! ป่านนี้เขากลับไปนอนสบายแล้วมั้ง” แก้วแหลมขึ้นมา
บนฟ้าเริ่มมีแสงฟ้าแลบแปลบปลาบ
“ท่าทางฝนจะตกแล้วล่ะค่ะ” อุไรว่า
“กลับกันดีกว่า...ชักจะไม่สนุกแล้ว” วัชรีชวน
“กลับกันไปก่อนก็แล้วกัน ...ผมจะเดินหาหนูวิก่อน” พจน์บอก
แก้วหมั่นไส้ขึ้นมาทันที “จะต้องห่วงใยอะไรกันนักหนา...กลับพร้อมกันหมดนี่แหละ”
อุษาเองก็ชะเง้อมองหาวิรงรองด้วยความกังวล
อุไรรู้ทันกระซิบถาม “เป็นห่วงคุณวิหรือคะ”
อุษาหันมามองแล้วพยักหน้า
สองคนเดินอยู่ตรงชายหาด อดิศวร์ก้าวยาวๆ มาทันแล้วดึงแขนวิรงรองไว้
วิรงรองกระชากแขนออก “อย่ามายุ่งกับฉัน”
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งอะไรด้วยนักหรอก แต่จะเตือนให้ทำหน้าตาท่าทางให้มันเป็นปกติหน่อย ไม่อย่างนั้นคนอื่นเขาอาจจะสงสัยได้ว่า เราไปทำอะไรมา”
“ไม่มีใครเขาคิดบ้าๆ อย่างคุณหรอก”
“ทำไมจะไม่มี! อย่างน้อยก็นายพิชญ์คนหนึ่งละ”
วิรงรองสะบัดหน้าออกเดินเร่งฝีเท้าหนีอย่างหงุดหงิด อดิศวร์เงยหน้าดูฟ้าที่แลบแปลบปลาบแล้วเดินตาม
ทุกคนที่บริเวณปาร์ตี้ช่วยกันเก็บของเดินไปไว้ในรถซึ่งจอดอยู่เลยหาดทรายไป สมรีบเดินแกมวิ่งตรงมา
อุษาโล่งใจ “นายสมมาพอดี...ฉันกำลังนึกว่าจะไปตามได้ยังไง”
“ผมเห็นท่าทางฝนจะตกก็เลยรีบมาครับ”
สมกุลีกุจอไปช่วยเก็บของ สักพักหนึ่ง จึงเห็นวิรงรอง กับอดิศวร์ก็เดินกลับมา
ทุกคนมองอย่างแปลกใจ
“อ้าว ! ไปเจอกันที่ไหนล่ะนั่น” พจน์ทักถาม
พิชญ์ขบกรามกับท่าทีของอดิศวร์ วิรงรองซึ่งเดินตรงมาอย่างไม่รีบร้อน
“ไม่เห็นจะต้องถาม แม่คนนี้เขารู้วิธีหาผู้ชายเจออยู่แล้ว” แก้วเอ่ยแดกดันขึ้น
ทุกคนมีสีหน้าต่างๆ กันไป อุษาเหลือบมองอย่างประหลาดใจแวบหนึ่งว่าอะไรจะพูดได้ขนาดนี้ ส่วนแสงแขยิ้ม
อย่างพอใจและสะใจ ที่มีแนวร่วมเกลียดวิรงรองเหมือนกัน ฟากอุไรห่อปากแบบไม่เชื่อหู ด้านพิชญ์ขบกรามนัยน์ตาเป็นประกายแวบหนึ่ง ขณะที่พิณทองจ้องแม่อย่างอึดอัด และแสงแขมองอย่างริษยา และเกลียดชัง
พจน์ปรามๆ “ฮื้อ...คุณละก็”
“คุณแก้วพูดได้เห็นภาพจริงๆ เลยค่ะ...พี่เห็นด้วย” วัชรีบอก
“ขอบคุณค่ะ แต่สามีน้องท่าทางจะไม่เห็นด้วย” แก้วค้อนพจน์ขณะพูด
พิณทองพยายามทำเสียงและสีหน้าแจ่มใสเพื่อสร้างบรรยากาศ “น้าลบกับคุณวิรงรองไปพบกันได้ยังไงคะเนี้ย”
อดิศวร์ตัดบท “ฝนจะตกแล้ว...กลับไปเล่ากันที่โดมทองดีกว่า...ของพวกนี้เดี๋ยวคนงานเขามาเก็บเอง น้าลบสั่งไว้แล้ว” พลางแตะข้อศอกวิรงรองอย่างอ่อนโยนราวกับรักกันนักหนา “...ไป”
วิรงรองจำใจเดินตาม
ท้องฟ้าเริ่มร้องครืนครันเหนือยอดโดม แสงแขเปิดประตูเข้ามาในห้อง สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้น ภาพอดิศวร์เดินเคียงเข้ามากับวิรงรองราวกับคู่รัก และตอนอดิศวร์แตะข้อศอกวิรงรองอย่างอ่อนโยน ผุดเข้ามาในห้วงความคิดอย่างต่อเนื่อง
“นังวิรงรอง” แสงแขขบกรามขณะพูด
แสงแขอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง แล้วเสียงเคาะประตูดังขึ้นเบาๆ
“ใคร”
“โอบเองค่ะ” น้ำเสียงดูร้อนรนนิดๆ
แสงแขเปิดประตู โอบรีบเข้ามาหน้าตาตระหนก
“ท่านผู้หญิงเลี้ยงผีค่ะ”
แสงแขฉุน “แกจะบ้าเรอะ”
“จริงๆ นะคะ...คุณแข น่ากลัวเหลือเกิน โอบหัวใจจะวายเสียให้ได้”
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ผุดขึ้นแทนคำเล่าของโอบอ้อม ภาพเลือนไป แสงแขกัดปากครุ่นคิด
“โอบสาบานเลยว่าไม่ได้โกหกซักคำ”
“คุณย่าเป็นบ้าไปแล้ว ไม่ใช่ผีเผอที่ไหนหรอก”
“แต่โอบขนลุกเลยนะคะ”
“แกรีบโทรศัพท์ไปให้พี่ชายแกมาพบฉันแต่เช้าที่น้ำตก”
“ได้ค่ะ!...แล้ว...” โอบอ้อมจ้องจะพูดเรื่องผี
“ซักตี 5 ครึ่ง...แกไปกับฉันด้วย”
“ค่ะ…แล้วเรื่องผี...”
“ก็บอกแล้วไงว่า ยายแก่นั่นเป็นบ้าไปแล้ว...ไปนอนซะ! แล้วอย่าลืมที่ฉันสั่งล่ะ”
“ค่ะ...”
โอบอ้อมเดินไปอย่างไม่เต็มใจนัก ด้วยยังพูดไม่จบ
แสงแขมีสีหน้ามาดหมาย
พจน์กำลังเดินขึ้นบันไดจะกลับห้อง วิรงรองรีบตามมา
“คุณลุงคะ”
พจน์หยุดหันมา “อ้าว! หนูวิ...มีอะไรหรือ”
“ถ้าคุณลุงกลับไปแล้ว...วิจะโทรศัพท์ปรึกษาคุณลุงได้ไหมคะ...คือ...ถ้าหากวิ...เห็นอะไรอีกน่ะค่ะ”
พจน์ยิ้มให้ “ได้ซิ”
วิรงรองยิ้มโล่งใจ “ขอบคุณมากค่ะ...เอ้อ...เรื่องแบบนี้วิไม่ทราบจะปรึกษาใคร ดีไม่ดีเขาจะหาว่าบ้า”
“ลุงเข้าใจ...ลุงจะให้ทั้งเบอร์มือถือ กับ อีเมล์ ไว้เลย”
แก้วและพิณทองเดินเข้ามา ทั้ง 2 แม่ลูกชะงัก เมื่อเห็นทั้ง 2 คนกำลังแลกเบอร์โทร.กัน!
“คุณพจน์” แก้วเรียกสามีเสียงเข้มสุดๆ
2 คนหันมามอง
“หนูไปเถอะ” พจน์บอก
วิรงรองไหว้ “ขอบคุณมากค่ะ”
วิรงรองเดินเลี่ยงออกไป โดยมีแก้วมองตามอย่างเกลียดชังและไม่พอใจอย่างยิ่ง
“นี่มันอะไรกันคะ ทำไมต้องต้องซุบซิบกับนังนั่น”
“ขึ้นไปพูดกันข้างบน” พจน์เดินไป
แก้วตามอย่างโกรธเกรี้ยว “อีตาพจน์”
พิณทองรีบร้องเตือน “ใจเย็นๆค่ะ คุณแม่”
แก้วตามพจน์ เข้ามาแล้วปิดประตูอย่างแรง
“ไหนแก้ตัวมาซิ”
“เหลวไหล” พจน์ฉุน
“คุณนั่นแหละเหลวไหล! คิดยังไงถึงได้เป็นกิ๊กกับนังนั่น”
พจน์โมโห “จะบ้าเรอะ! หนูวิกับผมมีซิกซ์เซ้นส์เหมือนกัน”
แก้วทำเสียงแดกดัน “ซิกซ์เซ้นส์! โธ่เอ๊ย! ฉันไม่ได้โง่หรอกนะ ฉันเชื่อสายตาของฉัน”
“งั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน” พจน์บอก
“ฉันจะพูด”
พจน์สุดทน “ถ้าขืนพูด...ผมจะไปพักโรงแรมในเมืองเดี๋ยวนี้เลย”
รัฐมนตรีพจน์เดินหนีเข้าห้องน้ำอย่างหงุดหงิด
คุณหญิงแก้วมองตามอ้าปากค้าง แล้วเม้มปากด้วยความเจ็บใจแค้นใจสุดๆ
เช้ามืดวันต่อมา แสงเงินแสงทองส่องฟ้า ฝูงนกออกหากินและส่งเสียงร้องดังเป็นระยะ
แสงแขขี่ม้าเข้ามาบริเวณป่าละเมาะ โดยมีโอบอ้อมซึ่งหลับหูหลับตาด้วยความกลัวซ้อนท้ายมาด้วย แสงแขลงจากรถม้า โอบอ้อมลงตามด้วยความงุ่มง่ามไม่เคยชิน เลยทำให้ตกลงมาร้องลั่น
“โอ๊ย”
แสงแขดุ “เสียงดัง”
“ก็มันเจ็บนี่คะ”
“คุณแสงแข” เสียงเรียกดังมาจากมุมหนึ่ง
แสงแขและโอบอ้อมหันไปมอง เป็นอ๊อดพี่ชายโอบอ้อมเดินเข้ามา
“นายอ๊อด เมื่อไหร่จะลงมือเสียที ค่าจ้างฉันก็จ่ายไปแล้ว”
“ผมก็ทำงานให้คุณไปแล้วนี่ครับ” อ๊อดบอกหน้าตาเฉย
แสงแขฉงน “ทำงาน! ฉันยังไม่เห็น”
อ๊อดพูดแทรกทันที “ก็งานถ่ายรูปนั่นไงครับ ผมส่งมาให้เรียบร้อยรวดเร็วทันใจ แล้วนี่...”
แสงแขอึ้ง “ตั้งหมื่นนึงน่ะเรอะ”
อ๊อดบอก “ครับ”
แสงแขหันขวับมาทางโอบอ้อม “นังโอบ”
“พี่อ๊อด...อย่าเค็มนักเลยน่า...นี่เจ้านายของฉันนะ”
“เรื่องธุรกิจไม่มีพี่น้อง...ไม่มีเจ้ามีนาย เงินมางานไป...เงินดีงานเดิน” อ๊อดบอก
แสงแขพยายามระงับความโกรธ “แกต้องการอีกเท่าไหร่”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่า งานง่ายหรืองานยาก” อ๊อดถาม
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกายวาววับขณะบอก “งานฆ่าคน”
ที่พึ่งของแสงแขคือ ท่านผู้หญิงสรรักษ์ เวลานั้นท่านผู้หญิงหยิบกุญแจใต้หมอนส่งให้แสงแข หลังฟังจบ
“เอาไปไขตู้เซฟนั่นแล้วหยิบเงินไป”
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกายด้วยความยินดีขณะยื่นมือไปรับ “ค่ะ”
มือท่านผู้หญิงยังไม่ปล่อยกุญแจ แต่กลับยึดมือแสงแขไว้แน่น นัยน์ตาวาวโรจน์ขณะก้มลงมอง
จนแสงแขอดสะดุ้งกับความน่ากลัวนั้นไม่ได้
“อย่าทิ้งร่องรอยเอาไว้แม้แต่นิดเดียว เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ”
“ดี!...ทำให้สำเร็จ! แล้วตาลบจะเป็นของแก”
“ค่ะ...คุณย่า”
ท่านผู้หญิงปล่อยมือ แล้วแสงแขรีบคลานไปที่ตู้เซฟแล้วไขกุญแจ
ท่านผู้หญิงมองตามเยาะๆ พึมพำคนเดียว “นังหน้าโง่”
ด้านสมและพิชญ์ กำลังช่วยกันยกของบรรดาแขกไว้ท้ายรถ โดยมีพจน์เข้าช่วย
“ไม่ต้องครับ คุณอา...ผมเอง”
พจน์สัพยอก “เฮ่ย! เปลี่ยนเป็นคุณพ่อได้แล้ว”
เวลาเดียวกันบนหน้าต่าง วิรงรองกำลังมองลงมา เห็นกลุ่มแขกกับเจ้าของบ้านกำลังร่ำลา และขอบอกขอบใจกัน
กลุ่มแขกขึ้นรถ อดิศซร์ปิดประตูให้ สมขับรถออกไป
อดิศวร์ยืนมองครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมาเงยหน้ามอง วิรงรองรีบหลบเข้าไปในห้องด้วยความตกใจ
อดิศวร์รู้สึกหงุดหงิด “คงจะอาลัยอาวรณ์กันมากละซี”
ขณะที่วิรงรองเปิดประตูออกมา แล้วชะงักด้วยความประหลาดใจ เห็นแสงแขกำลังเดินตรงมา วิรงรองทำท่าจะเดินผ่านไปเพราะไม่อยากทะเลาะด้วย และคิดว่าแสงแขมาหาอดิศวร์มากกว่ามาหาตน
แสงแขรีบเรียกไว้ “เดี๋ยว! วิรงรอง!”
วิรงรองหยุดเดิน แล้วหันกลับมามองด้วยสีหน้าเรียบสนิท
“ฉัน...เอ้อ...ฉันอยากจะทำความเข้าใจกับเธอ”
วิรงรองยังคงนิ่งฟัง แสงแขถอนใจยาว
“ฉันรักคุณลบ...รักมานานแล้ว...และก็แอบหวังลมๆแล้งๆ ว่าคุณลบจะรักฉันตอบ...แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้น”
“ขอโทษนะคะ...เรื่องนี้คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับดิฉัน” วิรงรองขยับจะเดินไป
แสงแขโพล่งขึ้น “คุณลบรักเธอ”
วิรงรองสะดุ้ง
“เพราะอย่างนั้น ฉันถึงได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ”
“ดิฉัน”
แสงแขก้มหน้าลงแล้วบีบน้ำตา “มันน่าอายจริงๆ” แล้วเงยหน้าขึ้น “ฉันอยากจะขอโทษเธอ”
วิรงรองมองแสงแขอย่างประหลาดใจ
วิรงรองอยู่ในห้อง โทร.เล่าเรื่องแสงแขให้ลานนาซึ่งอยู่ที่คุ้มภูไทฟัง
“ต๊าย อย่าได้หลงเชื่อน้ำตาจระเข้เป็นอันขาดเลยนะวิ ยัยนั่นต้องมีแผนร้ายแน่ๆ”
“รู้แล้วล่ะน่า เขาต้องการให้ฉันหลีกทางให้ทั้งๆ ที่ฉันไม่ได้มีอะไรสักหน่อย” สีหน้าวิรงรองผิดปกติไปเล็กน้อย
“ไม่มีน่ะดีแล้ว ฉันไม่อยากให้พี่ชายอกหัก” ลานนาว่า
“ฮื้อ! ลานนาละก็...แค่นี้นะ...ไม่อยากคุยด้วยแล้ว”
“ไม่คุยก็อย่าคุย...แต่จำไว้เลยว่า อย่าไว้ใจยัยแสงแขแสงจันทร์เด็ดขาด”
“เออน่า”
วิรงรองหัวเราะแล้วกดปิดสาย สีหน้ายิ้มแย้มค่อยๆ คลายลงเป็นครุ่นคิด
อีกมุมหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศสวยงามสดชื่นด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ทั้ง 3 นั่งคุยกันใต้ร่มไม้ใหญ่
“พี่ชายกับพี่พันธุ์สูรย์ว่าแปลกมั้ยคะ” ลานนาปรารภขึ้น
“ไม่เห็นจะแปลก” ภูไทบอก
“ผมว่าแปลก” พันธุ์สูรย์พูดด้วยสีหน้ากังวล
ลานนาดีใจมีคนเข้าข้าง “นั่นไง”
“ฉันไม่เห็นแปลก” ภูไทย้ำ
“นั่นเป็นเพราะเจ้ายังไม่รู้จักคนพวกนี้ดี ตระกูล “ศิโรดม” เป็นตระกูลอำมหิต” พันธุ์สูรย์ว่า
“เฮ้ย! นายไปรู้ได้ยังไง”
“อย่าลืมซิครับว่า คุณปู่กับคุณพ่อของผมเคยอยู่ที่นั่น” พันธุ์สูรย์บอก
ลานนามีสีหน้าแววตาตื่นเต้นตั้งแต่ฟังพันธุ์สูรย์พูด “เล่ามาเลยค่ะ...เล่าเลย”
“ยัยน้อง” ภูไทเอ็ด
ลานนาบอก “ก็น้องอยากรู้นี่คะ ยังไงจะได้ช่วยวิทันเวลา พี่พันธุ์สูรย์รู้อะไรก็เล่ามาให้หมดเลยค่ะ”
พันธุ์สูรย์ลุกขึ้น “ผมก็ฟังเขามาอีกที เลยไม่อยากยืนยัน...ต้องขอตัวก่อนนะครับ” แล้วเดินไป
ลานนามองตามงงๆ แกมผิดหวัง “อะไรอ้ะ”
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเขา จำเอาไว้”
ภูไทลุกเดินออกไปอีกคน
ลานนาเซ็ง “เฮ้ย เลยไปกันหมด”
ขณะที่อุษากำลังจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น อุษาเดินมาเปิดประตู
อุษามีสีหน้าแปลกใจ “น้องวิ”
“คุณพันธุ์สูรย์โทร.มาให้วิไปพบวันพรุ่งนี้ค่ะ เห็นบอกว่ามีเรื่องสำคัญมาก”
“พี่ไปด้วยไม่ได้ค่ะ”
“ว้า! ยังไม่ทันบอกซักหน่อยว่าจะชวนไป”
อุษามีสีหน้าจริงจังขึ้น “น้องวิเองก็ไม่ควรไป”
วิรงรองถอนใจเฮือก
“พี่พูดจริงๆนะคะ...แล้วก็ขอร้องด้วยว่าอย่าไป”
“พี่อุษาทำไมใจแข็งจัง”
“สำหรับพี่...ความรักเป็นเรื่องรอง...บุญคุณคือสิ่งที่สำคัญที่สุด”
สีหน้าอุษาแน่วแน่ทั้งๆ ที่มีน้ำตารื้นขึ้นมา
เวลาผ่านไปสักครู่หนึ่ง วิรงรองเดินเหลียวซ้ายแลขวาตรงมา จนถึงหน้าห้องเก็บของ แล้วกอดอกมองดูอย่างพิจารณา
“ทำยังไงถึงจะเข้าไปได้นะ”
วิรงรองขยับเข้าไปดูตามรอยแยกบานประตู และหน้าต่าง เห็นดวงตาคู่หนึ่ง จ่อมองออกมาจากในห้องราวกับรออยู่แล้ว วิรงรองกรีดร้องลั่น แล้วเซผงะออกมาปะทะใครคนหนึ่ง วิรงรองกรีดร้องอีกครั้งด้วยความตกใจ แล้วหันขวับไปมอง
เป็นอดิศวร์ที่มองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผีหลอกอีกละซิ อยู่เฉยๆ ไม่เป็นบ้างหรือไง”
วิรงรองละล่ำละลักบอก
“ผะ...ผะ....ผี...ผีค่ะ! ผีจริงๆ ...เมื่อกี้มันจ้องฉัน”
อดิศวร์มองพลางส่ายหน้า
“ถ้าไม่เชื่อก็ดูซิคะ”
อดิศวร์ยังคงมองอีกฝ่ายนิ่งๆ
“ซิคะ! ...จะได้ไม่คิดว่า ฉันโกหกหรือคิดไปเอง”
คราวนี้อดิศวร์เดินมา แล้วก้มลงมองตามรอยแยกเข้าไป พบว่าภายในห้องนั้นมีข้าวของวางจัดไว้โดยมีผ้าคลุม ฝุ่นผงฟุ้ง กระจายอยู่ทั่วไป โดยเห็นจากแสงสว่างที่ส่องผ่านเข้ามาทางกระจกสีแบบโบราณ ตรงจุดที่สูงๆ คล้ายกรอบรูปขนาดใหญ่ 2 บานนั้น มีผ้าสีดำคลุมอยู่
อดิศวร์หันกลับมาทางวิรงรอง ด้วยสีหน้าเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง
วิรงรองยังกระตือรือร้นอยู่ “คุณเห็นแล้วใช่มั้ยคะ”
“เห็นแล้ว...”
วิรงรองยิ้มอย่างโล่งใจ
อดิศวร์พูดต่อ “...เห็นว่าถ้าเธอไม่ได้โกหก ก็คงจะมีปัญหาทางจิต”
รอยยิ้มโล่งของวิรงรองค่อยๆ หุบลง
“ซึ่งฉันคิดในแง่ดีว่า น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า”
วิรงรองฉุนกึก “คุณหาว่าฉันเป็นโรคจิต”
นัยน์ตาอดิศวร์ยามนี้ปรากฏแววเยาะเย้ยเล็กๆ “งั้นเราก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดโรคจิตอยู่กับโรคจิต”
“คุณมันบ้าไปแล้ว”
พูดพลางวิรงรองหันหลังกลับ แล้วออกเดินแต่ถูกอดิศวร์คว้าตัวไว้
“เธอก็บ้า...ฉันก็บ้า...จะหาใครที่เหมาะสมคู่ควรกันกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว...คู่ควรกันเหมือนผีเน่ากับโรงผุไง”
“ปล่อย”
“เธอนั่นแหละปล่อย...ปล่อยพิชญ์ให้เป็นอิสระเสียที เขาจะได้ไปมีความสุขกับลูกเมียของเขา”
วิรงรองพยายามดิ้นให้เป็นอิสระ
“เรื่องที่ฉันพูดกับเธอเมื่อคืน...เป็นอันว่าตกลงนะ” อดิศวร์ไหวไหล่นิดๆ “เขาแต่งงานกันได้... เราก็แต่งได้เหมือนกัน!”
“ให้ฉันอยู่เป็นโสดไปจนตายดีกว่าจะต้องแต่งงานกับคุณ”
วิรงรองพูดใส่หน้า ผลักอกนายจ้างแล้วเดินแกมวิ่งออกไป อดิศวร์มองตาม
ระหว่างนี้เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังลอบมองท่าทีของอดิศวร์อยู่จากในห้อง อดิศวร์ทำท่าเหมือนจะรู้สึกตัว หันกลับมาดู และพบว่าเหมือนมีความเคลื่อนไหวอยู่ภายในห้อง
อดิศวร์นิ่วหน้า แล้วเดินเข้ามาใกล้ตรงซอยแยกระหว่างห้อง แนบหน้ามองเข้าไปในห้อง เห็นว่าภายในห้องไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เช่นเดิม อดิศวร์ละตัว หันหลังเดินกลับออกไป
เหมือนใครคนนั้นมองตามอดิศวร์ไปจนกระทั่งลับตา
วิรงรองเดินแกมวิ่งจะไปขึ้นห้อง คนอื่นมองแล้วเหมือนวิ่งหนีอะไรบางอย่างมา อุไรเดินเข้ามาในบริเวณนั้นพอดี
อุไรเบิกตากว้าง คิดว่าวิรงรองหนีผี รีบวิ่งตาม
“รอด้วยค่ะ! คุณวิ! รอป้าอุไรด้วย”
อุไรเห็นวิรงรองวิ่งหนีอดิศวร์ แต่เหมือนวิรงรองวิ่งหนีผี อุไรหลับหูหลับตาวิ่งตามจนสะดุดบันไดหน้า ข้อเท้าพลิกเข้าไปติดอยู่ที่ลูกกรงราวบันได แล้วอุไรนึกว่าผีดึง
“ว้าย! คุณวิ! ช่วยป้าอุไรด้วย ผีมันฉุดเท้าป้า” อุไรพยายามหลับหูหลับตาดึงขาออก “ช่วยด้วย”
วิรงรองหยุดชะงักด้วยเสียงร้องอย่างหวาดกลัวของอุไร
“เป็นอะไรน่ะป้า”
อุไรหลับหูหลับตาคว้ามือวิไว้ทันที “คุณวิขา! ช่วยไล่มันไปที!”
“ไล่ใคร”
“ไล่...ผะ...ผะ...ผี...ไงคะ มะ มะ....มัน...จับ...จับ...ตะ....ตี...เอ๊ย ! เท้าป้าไว้”
วิรงรองถอนใจเฮือก “ลืมตาซิ”
“โอ๊ย!...ไม่เอาค่ะ ... ป้าอุไรกลัว”
“บอกให้ลืมตาเถอะน่า”
ขณะที่ทั้งสองพูดกัน อดิศวร์เดินมาถึงพอดี
“คุณวิ ....ช่วย ....ช่วยป้าด้วย”
วิรงรองคอแข็งขึ้นทันทีที่เบือนหน้ามาเห็นใคร อดิศวร์มองลูกจ้างสาวครู่หนึ่งแล้วมองอุไร
“อุไร”
อุไรสะดุ้ง “ว้าย! มันรู้จักชื่อป้าด้วย”
อดิศวร์เสียงเข้มขึ้น “อุไร”
อุไรชักสะดุดหู “เอ๊ะ...เสียงคุ้นๆ ด้วย”
“ลืมตา” อดิศวร์สั่ง
ขณะที่ทั้ง 2 พูดกันนั้น วิรงรองถือโอกาสลุกเดินหนีไป อุไรยิ่งหลับตาปี๋
“บอกให้ลืมตา”
อุไรค่อยๆ ลืมขึ้นแล้วสะดุ้งโหยง “คุณลบ” เหลียวซ้ายแลขวาเลิ่กลั่ก “แล้ว..หะ...หายไปไหนแล้วคะ”
“เขาก็กลับไปห้องของเขาน่ะซิ” อดิศวร์หมายถึงวิรงรอง
อุไรเบิกตากว้าง “กะ...กะ...กลับไปห้อง” อุไรเข้าใจผิดไปใหญ่ว่า...ผี
“อุไร” อดิศวร์อย่างเซ็ง
“ทำ...ทำไม .... ไม่กลับป่าช้าล่ะคะ” อุไรพูดด้วยสีหน้างุนงง ใสซื่อที่สุด
อดิศวร์สะดุ้ง
อุไรมีสีหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ “มิน่า...คุณวิถึงได้เจอบ่อยๆ ผีมีห้องอยู่ที่นี่นี่เอง”
“เหลวไหล! ผีสางบ้าบออะไร เรานี่ถูกวิรงรองล้างสมองหมดแล้วล่ะซิ”
อุไรมองท่าทีสีหน้าหงุดหงิดของลบ แล้วกลืนน้ำลาย
“น่ารำคาญที่สุด”
อดิศวร์พูดพลางเดินหนีไป
อุไรค่อยๆ ดึงเท้าออกมา “ไอ้บันไดผีสิง”
วิรงรองเข้ามาในห้อง แจกันปักดอกพลับพลึงช่อใหญ่วางอยู่ใกล้หน้าต่าง วิรงรองเดินเข้ามาแล้วทรุดตัวลงนั่ง
ภาพเหตุการณ์ที่ซากเรือเมื่อตอนกลางคืนผุดขึ้นมาในห้วงคิด โดยเฉพาะประโยคที่อดิศวร์ชวนแต่งงานเหมือนชวนไปเดินเล่น
วิรงรองเม้มปากกำมือแน่น ภาพอีกเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ ผุดเข้ามาอีก
“งั้นเราก็เป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุด โรคจิตอยู่กับโรคจิต เธอก็บ้า! ฉันก็บ้า! จะหาใครเหมาะสมคู่ควรกันกว่านี้ไม่มีอีกแล้วคู่ควรกันเหมือนผีเน่ากับโลงผุไง”
คิดแล้วก็ยิ่งแค้นวิรงรองกำมือแน่น
ใบหน้าสวยคมของวิรงรองมีน้ำตาคลอด้วยความเจ็บใจแค้นใจ
ที่กรุงเทพฯ รถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอดหน้าบ้านปรางมารดาของวิรงรอง ภายในรถ วัชรีและแก้วนั่งคู่กันมาที่เบาะหลัง ขณะคนรถบีบแตรเรียก
แก้วมองสภาพบ้านแล้วพูดด้วยวาจาเหยียดหยัน
“บ้านเล็กกระจิ๊ดเท่ารูหนู ... มิน่า! ถึงได้พยายามจับผู้ชายรวยๆ”
สาวใช้เดินแกมวิ่งมาเปิดประตู คนรถ...ขับเข้าไปภายใน ขณะที่สาวใช้ปิดประตู”
เวลานั้นปรางสวดมนต์เสร็จ ก้มกราบพระแล้วเดินไปที่ประตู เปิดออก ขณะที่สาวใช้เดินมาถึงพอดี
“มีแขกมาพบคุณผู้หญิงค่ะ”
สักครู่หนึ่งปรางเดินเข้ามาในห้องรับแขก เห็นวัชรีและแก้ว วางท่าวาดสีหน้าเย่อหยิ่ง และมองปรางอย่างดูหมิ่น
สาวใช้ยกน้ำใบเตยเย็นเจี๊ยบมายังไม่ทันจะวาง
“เอากลับไป! ฉันไม่กินของบ้านนี้”
สาวใช้มองมาที่ปราง
ปรางพยักหน้ากับสาวใช้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาไปเททิ้งที่โคนต้นไม้ใหญ่ๆ นะ”
“ค่ะ” สาวใช้ออกไป
วัชรีและแก้ว มองหน้ากันแล้วเบิกตากว้าง
วัชรีแหวขึ้นเสียงขุ่น “นี่...นี่แกหาว่าฉันตายแล้วเรอะ ถึงจะได้กรวดน้ำให้”
“กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ ยังดีกว่าสาปแช่งไม่ใช่หรือคะ” ปรางบอกเสียงเรียบเช่นเคย
“ปากเหมือนนังลูกสาวไม่มีผิด” แก้วแขวะ
“ค่ะ! ก็เราเป็นแม่ลูกกันนี่คะ โบราณท่านยังว่า “ดูนางให้ดูแม่”...แม่เป็นยังไง ลูกสาวก็เป็นอย่างนั้น” ปรางพูดแล้วเว้นวรรคอีกนิด “คุณมีลูกสาวหรือเปล่าล่ะคะ” นัยน์ตามีแววเหมือนจะยิ้มเยาะ
แก้วเชิดหน้าทันที “มี! ลูกสาวฉันเพิ่งจะแต่งงานกับตาพิชญ์...”
“อ้อ...” เสียงปรางเหมือนเยาะๆ ในลำคอ
“ยัง!…ยังไม่จบ อย่าเพิ่งอ้อ!...และฉันยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกับคุณลบ หรือคุณอดิศวร์ที่เป็นนายจ้างของลูกสาวเธออีก!”
คราวนี้ปรางเป็นฝ่ายชะงักบ้าง วัชรีและแก้วยิ้มอย่างมีชัย
วัชรีรับลูกต่อ “เราเพิ่งกลับจาก “โดมทอง” พร้อมกับข่าวใหม่ ซึ่งก็คือหลังจากที่ ลูกสาวเธอพลาดจากตาพิชญ์ แล้วคิดจะจับคุณลบต่อ...เดชะบุญที่คุณลบไม่เล่นด้วย เพราะเขามีแฟนอยู่แล้ว...คราวนี้ก็เลยหันมาจะจับสามีของคุณแก้ว”
วัชรีหันมาพยักหน้ากับแก้วเป็นเชิงให้รับไม้ต่อ
“ลูกสาวเธอคงจะหน้ามืดจริงๆ แปลกนะ...แม่วิรงรองหน้าตาก็ดี อายุก็ยังน้อย...แต่ทำมั้ย...ถึงได้ชอบเป็นมือที่ 3”
ปรางสุดทน “ออกไปให้พ้นบ้านฉัน”
“ฝากเตือนแม่นั่นด้วยว่า ให้หัดหาผัวเป็นของตัวเองเสียบ้าง! ตายไปจะได้ไม่ต้องไปปีนต้นงิ้ว! ไป! คุณแก้ว”
สองคุณหญิงหัวเราะหัวใคร่ แล้วเดินออกไป ปรางมองตามโกรธจนตัวสั่น
จากนั้นไม่นานวิรงรองซึ่งอยู่ตรงมุมหนึ่งของโดมทอง กำลังพูดโทรศัพท์กับมารดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ทุเรศที่สุด! หนูไม่นึกเลยว่าผู้ใหญ่ขนาดนั้นจะกล้าใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นได้”
ปรางคุยสายกับลูกสาวอยู่ในห้อง “คุณว่าหนูกลับมาอยู่บ้านเราดีกว่า จะได้ใช้ความรู้ที่เรียนจบมาทำงานให้เป็นเรื่องเป็นราวเสียที...คุณป้าสุรภีคงเข้าใจ”
“ถ้าหนูกลับไปก็เหมือนยอมแพ้ พวกนั้นจะยิ่งเยาะเย้ย”
“ช่างเป็นไร เพราะเราคงไม่ไปติดต่อหรือรับรู้อะไรกับพวกเขาอีก”
วิรงรองนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ขอเวลาหนูคิดสักวันสองวันก่อนนะคะ”
“ตามใจ...แต่จำไว้ว่า คุณอยากให้หนูกลับบ้าน...ขอร้องเถอะนะลูกนะ”
วิรงรองรับคำเสียงเบา “ค่ะ...สวัสดีค่ะ...หนูรักคุณมากนะคะ”
วิรงรองวางโทรศัพท์ลง ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
สักครู่หนึ่งวิรงรองเปิดประตูกลับเข้ามาในห้อง เดินมาทรุดตัวลงนั่ง แล้วชะงัก เมื่อเห็นกระดาษเขียนข้อความติดไว้ที่กระจก เพื่อให้สะดุดตาทันที
วิรงรองเดินไปดึงกระดาษนั้นออกมาอ่าน
บนแผ่นกระดาษปรากฏลายมือตัวบรรจง ข้อความว่า “ถ้าอยากรู้เรื่องทั้งหมด ให้ไปพบกันที่ชายหาดตรง
ซากเรือ 2 ยามคืนนี้....ห้ามพาใครไปด้วย แต่ถ้ากลัวก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
วิรงรองเงยหน้าขึ้น ใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
ขณะเดียวกันพิชญ์อยู่ที่ห้องรับแขกในบ้าน กำลังมองวัชรีเหมือนไม่เชื่อสายตา
“ไปบ้านวิรงรองมา...ไปทำไมครับ”
“ก็ไปบอกให้แม่ของมันสั่งสอนลูกไม่ให้เที่ยวแย่งผัวคนอื่นเขาน่ะซิ”
“คุณแม่” พิชญ์ยิ่งตกใจ
“ป่านนี้คงโทร.ไปเรียกนังลูกสาวกลับบ้านแล้วมั้ง” วัชรีจ้องหน้าพิชญ์เขม็ง “และถ้ามันกลับมาจริงๆ ละก็...แม่ขอสั่งห้ามไม่ให้แกไปติดต่อวุ่นวายด้วยเด็ดขาด”
วัชรีหันหลังจะเดินไปขึ้นห้อง
พิชญ์พูดขึ้นเสียงดัง “คุณแม่ทำเหมือนในละครน้ำเน่าไม่มีผิด”
วัชรีบอกอย่างเย็นชา “แกเคยได้ยินไหมที่เขาว่า “ดูหนังดูละครแล้วย้อนกลับมาดูตัว” หลายๆ เรื่องที่เกิดขึ้นในละคร มันก็เคยเกิดขึ้นมาแล้วในชีวิตจริงแทบทั้งสิ้น! โดยเฉพาะเรื่องมือที่สาม”
“พลับพลึงไม่ใช่มือที่สาม”
“ขอให้มันจริงเถอะ... อ้าว! นั่นจะไปไหน”
พิชญ์เดินขึ้นข้างบนไป วัชรีบเดินตาม
ส่วนพิณทองนั่งอยู่ตรงโต๊ะสนามมองแก้วน้ำหวานตรงหน้าด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด แก้วเดินเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งด้วย
“เมื่อกี้คุยอะไรกับคุณพ่อ”
“ก็...เรื่องทั่วๆ ไปค่ะ...เอ้อ...คุณแม่ไปไหนมาหรือคะ...พอลงจากเครื่องก็ไปกับคุณป้าเลย”
“ไปบ้านนังวิรงรอง”
พิณทองสะดุ้ง “คุณแม่”
“แม่ของมันจะได้รู้ซะบ้างว่า ลูกสาวเหลวแหลกเละเทะยังไง”
พิณทองตกใจ “โอ๊ยตาย! เยอะไปมั้งคะ พิณว่าเขาไม่ถึงขนาดนั้น”
“นังนั่นมันไล่ตามจับผู้ชายทีเดียว 3 คนเลยนะจ๊ะ คุณลูกจ๋า”
พิณทองครุ่นคิด “พิณว่า...”
แก้วตัดบท “ไม่ต้องว่าอะไรทั้งนั้น...คุณป้ากับแม่จะจัดการให้เอง! หน้าที่ของลูกคือดูแลปรนนิบัติสามีให้ดีๆ อย่าให้ผู้หญิงคนไหนเข้ามาแทรกได้”
พิณทองก้มหน้าลง
“ไปเตรียมตัวได้แล้ว ประเดี๋ยวตาพิชญ์เขาจะมารับกลับ”
“พิณยังไม่อยากกลับค่ะ”
“จะงอนก็งอนแต่พองามนะลูก...อย่าให้มันมากเกินไป...นังวิรงรองมันยิ่งจ้องจะงาบอยู่”
พิณทองถอนใจ “เขาเป็นแฟนกันมาก่อนนะคะ”
แก้วฉุนจิ้มหน้าผากจนพิณทองหน้าหงาย “ห้ามพูดอย่างนั้นอีก...จำเอาไว้...ไป๊! ไปเตรียมตัว...พิชญ์มาถึงเขาจะได้เห็นว่า เรากระตือรือร้นที่จะกลับบ้านกับเขา”
พิณทองถอนใจยาว อึดอัดกับความวุ่นวายทั้งปวง
อ่านต่อหน้า 3
โดมทอง ตอนที่ 7 (ต่อ)
วัชรีทุบประตูห้องพิชญ์ ร้องเรียกเสียงดังลั่น
“ตาพิชญ์! เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ประตูเปิดออก พิชญ์ทำสีหน้าหงุดหงิดใส่
“อย่ามาทำหน้าทำตาหงุดหงิดกับฉันนะ! ไปรับพิณทองกลับมาเดี๋ยวนี้”
“ก็เขาบอกชัดเจนตั้งแต่ตอนลงจากเครื่องแล้วนี่ครับว่าจะไปค้างกับคุณแม่เขา”
“เขาพูดเพราะน้อยใจแก”
“เรื่องอะไรเขาจะมาน้อยใจผม ในเมื่อเราไม่ได้รักกัน”
“ตาพิชญ์”
“เขาก็เหมือนกับผมที่ถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อความเหมาะสม ...ใครจะไปรู้ว่า เขาอาจมีแฟนอยู่แล้วก็ได้”
วัชรีกอดอก เปลี่ยนท่าทีจากเอะอะโวยวายมาเป็นเคร่งขรึม...จ้องมองพิชญ์ด้วยสีหน้าแววตาเรียบสนิท
“ถ้ายังคิดว่าฉันเป็นแม่แกอยู่ก็ไปรับเมียแกกลับมา”
วัชหันหลังเดินกลับไป พิชญ์มองตามพลางถอนใจเฮือก สีหน้าเซ็งสุดขีด
ไม่นานหลังจากนั้น แก้วกุลีกุจอลุกไปต้อนรับพิชญ์
“เข้ามาซิจ๊ะ...พิชญ์...เดี๋ยวน้าจะให้เด็กขึ้นไปตามยัยพิณ ปอง”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมขึ้นไปตามเองดีกว่า...” พิชญ์มองไปโดยรอบแวบหนึ่ง “คุณน้าพจน์ไม่อยู่หรือครับ”
“ไปเยี่ยมท่านรัฐมนตรีพินิจจ้ะ...เป็นไข้หวัด 2009 แอดมิต เมื่อเช้านี่เอง”
ขณะ 2 คนพูดกัน สาวใช้เข้ามารอรับคำสั่งอย่างเรียบร้อย
“ไม่ต้องแล้วปอง! จะไปทำอะไรก็ไป”
“ค่ะ” ปองรับคำเบาๆ แล้วออกไป
“ผมขอขึ้นไปคุยกับพิณก่อนนะครับ”
“เชิญจ้ะ”
พิชญ์เดินขึ้นไป แก้วมองตาม ยิ้มออกมาอย่างโล่งใจ
พิณทองเปิดประตูรับพิชญ์ด้วยสีหน้าเย็นชา
“ผมมารับ”
“พิณบอกแล้วไงคะว่าจะขอค้างที่บ้านสัก 4-5 วัน”
พิชญ์ลอบถอนใจ “คุณโกรธผมเรื่องอะไร”
“เปล่านี่คะ...พิชญ์ทำอะไรผิดล่ะ ถึงได้นึกว่าพิณโกรธ”
พิชญ์ไหวไหล่นิดหนึ่ง “เท่าที่รู้...ไม่มี”
“ไม่มีก็ไม่มี” พิณทองจับประตูจะปิด
พิชญ์ยกมือดันประตู “ไหนว่าไม่โกรธ”
“ก็ไม่ได้โกรธ” พิณทองพยายามดึงประตูให้ปิดขณะพูด
พิชญ์ดันประตู แล้วเข้าไปห้องจนได้
“ไม่โกรธแล้วปิดประตูทำไม”
พิณทองเดินไปนั่งหันหลังให้ไม่พูดไม่จา
“กลับบ้านเราเถอะพิณ”
พิณทองน้ำตารื้นขึ้นมาทันที “บ้านคุณค่ะ ไม่ใช่บ้านเรา”
พิชญ์อึ้งไปนิดหนึ่ง แล้วเดินมานั่งข้างๆ จับมือพิณทองไว้
พิณทองดึงมือออก แต่พิชญ์จับไว้ไม่ปล่อย จับไว้ครู่หนึ่งแล้วบีบเบาๆ พร้อมกับดึงพิณทองให้ลุกขึ้น
“ไปกันได้แล้ว”
พิณทองขืนตัว พิชญ์โอบเอวอย่างอ่อนโยนแล้วพาออกไปจนได้
เวลาผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง วัชรีเข้ามากอดพิณทองพาไปนั่งด้วยสีหน้าโล่งใจ โดยพิชญ์ยังคงยืนมองเงียบๆ
“โล่งใจไปทีที่ตาพิชญ์พาหนูกลับมาจนได้” คุณหญิงหันไปค้อนลูกชายแว่บหนึ่ง “ถ้าลูกชายแม่ทำอะไรให้หนูเสียใจละก็...บอกแม่นะ... แม่จะจัดการให้”
“ค่ะ “พิณทองรับเสียงเบาแล้วฝืนยิ้ม
“ขึ้นไปพักผ่อนเถอะลูก...พิชญ์ พาน้องไปซิ”
พิชญ์เดินมา แล้วยื่นมือให้พิณทองจับ พิณทองจำใจจับมือพิชญ์ แล้วเดินขึ้นไปข้างบนด้วยกัน
วัชรีมองตามอย่างโล่งใจ แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มากด
“คุณแก้ว...เรียบร้อยแล้วจ้ะ”
พอทั้ง 2 คน เดินเข้ามาในห้อง พิณทองดึงมือออกจากพิชญ์ แล้วมองอย่างเป็นงานเป็นการ
“เราจะต้องอยู่ในสภาพอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่คะ”
พิชญ์เลิกคิ้ว “สภาพอย่างไหน”
พิณทองหงุดหงิด “ก็...สภาพที่ต้องพยายามทำเป็นดีกันเพื่อตบตาผู้ใหญ่ไงคะ”
“ไม่รู้ซิ ! ตกบันไดพลอยโจนไปแล้วนี่”
“แต่ก็ยังไม่สาย ถ้าเราจะหย่ากัน” พิณทองว่า
พิชญ์แค่นหัวเราะ ประชดกลายๆ “ผู้ใหญ่คงยอมละ”
พิณทองกระแทกเสียง “อ๋อ...ต้องยอมแน่นอนค่ะ...พิณจะพูดกับคุณพ่อคุณแม่เอง”
“เป็นผู้ใหญ่หน่อยซิ! พิณ”
“พิณไม่เคยเป็นผู้ใหญ่เท่านี้มาก่อนเลย! …พิณใคร่ครวญทุกอย่าง อย่างรอบคอบแล้วคิดว่าการหย่าเป็นทางออกที่ดีที่สุดของเรา! คุณเองก็จะได้กลับไปใช้ชีวิตของคุณ ไปหาคนที่คุณรัก”
“ถามจริง...คุณพร้อมที่จะใช้คำว่าแม่ม่ายหย่าผัวทั้งๆ ที่เพิ่งแต่งงานกันได้ไม่กี่เดือนแล้วหรือ”
“อ๋อ! พร้อมที่สุดค่ะ”
“แต่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายคงไม่พร้อม”
พิณทองท้าวสะเอว “นี่...คุณ”
พิชญ์ขัดขึ้นทันที “ผมเพิ่งรับปากกับคุณแม่ว่า จะพยายามประคับประคองชีวิตแต่งงานให้ดีที่สุด...คุณเองก็คงเหมือนกัน! เพราะฉะนั้น เราคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเพื่อพิสูจน์ให้ท่านเห็นว่า เราไปกันไม่ได้จริงๆ แล้วค่อยคุยกันเรื่องหย่า! คุณเห็นด้วยไหม”
พิณทองนิ่งงันไป
ตกตอนดึก เวลาเกือบ 2 ยาม บรรยากาศวังเวงทั่วโดมทอง โดยเฉพาะที่บริเวณชายหาดซึ่งไร้ผู้คน เกลียวคลื่นค่อนข้างสูงด้วยลมค่อนข้างแรง ซัดเข้าหาฝั่ง
วิรงรองอยู่ในชุดรัดกุม ยืนอ่านจดหมายอยู่ที่หน้าต่างทบทวนไปมาเพื่อความแน่ใจ สีหน้าวิเหมือนยังลังเล ไม่แน่ใจ
แต่ในที่สุด วิรงรองนึกอยากรู้ พับจดหมายใส่กระเป๋ากางเกง แล้วหยิบไฟฉายเดินออกจากห้อง ไปตามนัด
วิรงรองเดินลัดเลาะวิ่งไปตามหมู่ไม้ เพื่อตรงไปยังชายหาด ส่วนที่หน้าต่างห้องโถงชั้นล่าง แสงแขยืนอยู่ในเงามืดมองออกไป ใบหน้าแสงแขยิ้มนิดๆ อย่างโหดเหี้ยม ขณะมองตามร่างวิรงรองไป
วิรงรองเดินแกมวิ่งมาเรื่อยๆ สักครู่หนึ่ง แล้วหยุดชะงัก เมื่อเห็นจักรยานคันหนึ่งจอดพิงต้นไม้อยู่
สีหน้าวิรงรองยิ้มออกมาอย่างพอใจ
“พอดีเลย”
วิรงรองตรงไปที่จักรยาน แล้วถีบออกไปจากที่นั้นทันที
คลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวเข้าหาฝั่ง ท่ามกลางลมค่อนข้างแรง วิรงรองถีบจักรยานมาจนถึงใต้ร่มมะพร้าว แล้วลงจอดจักรยานพิงไว้ มองไปโดยรอบ เห็นบริเวณหาดทรายเวิ้งว้างปราศจากผู้คน บรรยากาศดูน่ากลัวและวังเวง วิรงรองเดินตรงไปยังบริเวณซากเรือ มือถือไฟฉายส่องไปโดยรอบ
จังหวะนี้เหมือนมีใครกำลังจับตามองอยู่ วิรงรองเดินมาหยุดห่างๆ ด้วยความระมัดระวังตัว
แล้วส่งเสียง “สวัสดีค่ะ...ฉันมาแล้ว”
ไม่มีปฏิริยาหรือเสียงโต้ตอบใดๆ นอกจากเสียงลมและคลื่น
“สวัสดีค่ะ” พูดพลาง วิรงรองค่อยๆ เดินไปที่ซากเรือ
วิรงรองมาหยุดยืนมอง สีหน้าแววตาราวกับจะทบทวนเหตุกาณ์ที่เกิดขึ้น ภาพจำเหตุการณ์ระหว่างอดิศวร์และวิ รงรองผุดเข้ามาในห้วงความคิดแวบหนึ่ง
วิรงรองเบิกตากว้าง “หรือจะเป็น .... คุณอดิศวร์”
มีความเคลื่อนไหวอะไรบางอย่างจากทางข้างหลัง วิรงรองหันขวับไปมอง เห็นอ๊อดและลูกน้องยืนอยู่ นัยน์ตาทั้ง 2 คนเป็นประกายวาวเมื่อเห็นผู้หญิงสาวสวยตรงหน้าถนัด
อ๊อดยิ้มกริ่ม “สวัสดี...สาวน้อย”
วิรงรองกลืนน้ำลายแล้วขยับตัวจะเดินกลับ 2 คนขยับเข้ามาขวางทางไว้
“จะไปไหนล่ะ...ฉันยังไม่ทันเล่าอะไรให้ฟังเลย...อุตส่าห์มาจนถึงที่นี่แล้ว”
วิรงรองชะงักรู้ทันที “นายเป็นคนเขียนจดหมายนั่น”
อ๊อดแสยะยิ้ม
“ใครใช้ให้นายทำแบบนี้”
“ฉันใช้ตัวเอง”
อ๊อดและลูกน้องเดินเข้ามา นัยน์ตาวิรงรองตื่นตระหนก แล้วตัดสินใจวิ่งหนี 2 คนหัวเราะก้อง แล้ววิ่งตามอย่างอารมณ์ดี
วิรงรองเหลียวหน้ามามองแวบหนึ่ง แล้วหลับหูหลับตาวิ่งไม่คิดชีวิตท่ามกลางคลื่นลมแรง
เวลาเดียวกันนั้นตัวบ้านโดมทองดูทะมึนท่ามกลางท้องฟ้าคืนข้างแรม และลมพัดโหมจัด แสงแขยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องนอนตัวเอง มองออกไปข้างนอกทางชายหาดด้วยนัยน์ตาเป็นประกายวาวราวกับสะใจอะไรสักอย่าง
“นังวิรงรอง! ถ้าแกกลายเป็นเมียไอ้อ๊อดไปแล้ว...จะยังมีใครต้องการแกอีกมั้ย”
แสงแขแสยะยิ้ม
ฟากวิรงรองยังคงหลับหูหลับตาวิ่ง โดยมีอ๊อดและลูกน้องวิ่งเข้าใกล้เข้ามาทุกที วิรงรองวิ่งสุดชีวิต ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อ๊อดและลูกน้องวิ่งไล่ตามราวกับเสือไล่ตะปบเหยื่อด้วยความย่ามใจ เกมระหว่างผู้หนีกับ 2 คนร้ายไล่ล่า ดูลุ้นๆ หวาดเสียวตลอดเวลา
จนในที่สุด วิรงรองเกิดเท้าสะดุดกันหกล้ม กรีดร้องด้วยความตกใจและหวาดกลัว
2 วายร้ายผ่อนฝีเท้ามาหยุดยืนที่หัวและเท้าของวิรงรอง เพื่อกันไว้ไม่ให้หนีไปไหน
“ไม่รอดแล้วหนู” อ๊อดก้มหน้าลงมา
วิรงรองกำทรายขึ้นมาสาดใส่หน้าอ๊อด จนมันร้องลั่น “โอ๊ย”
ลูกน้องร้อง “เฮ้ย”
“จับมันไว้” อ๊อดรีบบอกทั้งยังซวนเซ
ลูกน้องหันมา วิรงรองกำทรายปาหน้าอีก จนลูกน้องอ๊อดผงะ ร้อง “โอ๊ย”
วิรงรองสบโอกาสรีบลุกขึ้น กำทรายปาหน้าทั้ง 2 คนอีก แล้วโขยกเขยกวิ่งหนีด้วยสภาพขาแพลง 2 คนพยายามปัดทรายออกจากตา แล้ววิ่งตาม ขณะที่วิรงรองโขยกเขยกหนีมาตามชายหาด
ฝ่ายแสงแขเปิดประตูรับโอบอ้อมกลับเข้ามา
แสงแขตวาดเบาๆ “มาทำไม! เดี๋ยวใครก็เห็นเข้าหรอก”
“โอบระวังไม่ให้ใครเห็นหรอกค่ะ!... ทำไมพี่อ๊อดยังไม่โทร.มาอีก”
“คนกำลังมีความสุข มันจะโทร.มาทำไม! แกไม่มีธุระอะไรก็กลับไปห้องไป๊”
“คือ....โอบตื่นเต้นน่ะค่ะ”
“ไป” แสงแขสั่ง
“ค่ะ”
โอบอ้อมค่อยๆ เปิดประตูออกไป แล้วเหลียวมองซ้ายมองขวา
“ระวังให้ดีนะ”
โอบอ้อมค่อยๆ ย่องออกไป แสงแขปิดประตูอย่างเบาที่สุด
ด้านวิรงรองโขยกเขยกมาตามชายหาดจนมุมอีก ด้วยขาแพลงฝืนวิ่งต่อไปไม่ไหว
“จะหนีไปไหน” อ๊อดตวาด
“อย่าเข้ามานะ”
2 วายร้ายทำหน้าทำตาล้อเลียน “อย่าเข้ามานะ”
วิกระชับไฟฉายในมือแน่น ... ราวกับจะยึดไว้เป็นอาวุธ ...นัยน์ตาจ้องเขม็ง
ทั้ง 2 คนย่างสามขุมเข้าหาเรื่อยๆ จนวิรงรองถอยร่นมาถึงทะเลที่มีคลื่นลมจัด พยายามมองหาทางหนีทีไล่
“ไม่มีทางไปแล้วนอกจากลงทะเลไปเลย” อ๊อดบอก
วิรงรองหันไปมองแวบหนึ่ง แล้วตัดสินใจก้าวถอยหลังลงไป
ลูกน้องอ๊อดร้องลั่น “อ้าวเฮ้ย! ลงไปจริงๆ ด้วย...ลูกพี่”
อ๊อดตะโกนใส่ “จะบ้าเรอะ! ขึ้นมา”
วิรงรองบอกด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ให้ฉันตายเสียดีกว่า” พูดพลางถอยออกไปเรื่อยๆ
“นังนั่นมันเป็นบ้าไปแล้ว” ลูกน้องบอกอ๊อด
“ขึ้นมา ! เดี๋ยวได้ตายจริงๆ หรอก”
วิรงรองหลับตาลง ขณะถอยออกไปเรื่อยๆ พึมพำถึงมารดา
“คุณขา....หนูขอโทษนะคะที่ต้องทำอย่างนี้”
คลื่นลูกใหญ่ซัดเข้ามา จนวิรงรองเสียหลักร่างจมลงไปในน้ำทะเล วิรงรองพยายามตะเกียกตะกายสู้กับแรงคลื่นลม
ส่วนบนฝั่งอ๊อดกับลูกน้อง หน้าตาตื่น เหลียวหาที่มาของเสียงม้า ทว่าบริเวณโดยรอบว่างเปล่า ขณะที่เสียงม้ายังดังก้อง
อ๊อดตะโกนแข่งเสียงลม “เสียงม้าที่ไหนวะ”
“ม้าผีหรือเปล่าพี่”
อ๊อดและลูกน้องสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบิกโพลง เมื่อหมุนกลับมาที่เดิม เห็นร่างสูงสง่าของท่านเจ้าคุณแต่ยังเห็นหน้าไม่ชัดอยู่บนหลังม้าที่ยกขาหน้าทั้ง 2 ขึ้นเหมือนจะทำร้ายอ๊อดและลูกน้อง
“เฮ้ย! มาได้ไง”
ท่านเจ้าคุณบังคับม้า จนม้านั้นหยุดพยศ แล้วก้มลงมองมา ทำให้เห็นใบหน้าซึ่งเป็นกระโหลกผีถนัดตา
อ๊อดและลูกน้องร้องลั่น ดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวสุดขีด แล้วล้มลุกคลุกคลานเตลิดหนีไป
ใต้ผืนทะเลเวลานั้นวิรงรองเหมือนจะอ่อนแรงลงทุกที ขณะพยายามตะเกียกตะกายจะขึ้นมาเหนือน้ำ ซึ่งคลื่นลมแรงมากจนขึ้นมาไม่ได้ ใบหน้าวิรงรองบอกให้รู้ว่าเธอกำลังจะหมดเรี่ยวแรง...แขนขาอ่อนแรงลงทุกทีๆ
จู่ๆ ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องเรียก “พลับพลึง”
วิรงรองไม่รู้ว่าเป็นเสียงของเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์
วิรงรองลืมตาขึ้นช้าๆ พบว่าใครคนหนึ่งยื่นแขนลงมาจับแขนเธอไว้ วิรงรองรวบรวมกำลังคว้าแขนนั้นไว้แน่น
ร่างวิรงรองถูกดึงขึ้นมาเหนือน้ำ วิรงรองพยายามจะลืมตาขึ้นมอง เห็นใบหน้าท่านเจ้าคุณพร่าเลือน แต่ก็ยังเห็นเค้าหน้าว่าเป็นอดิศวร์ ศิโรดม ในความคิดของวิรงรองก่อนจะหมดสติลง
ขณะเดียวกันอดิศวร์สะดุ้งตื่นจากความฝัน แล้วผุดลุกขึ้น
“วิรงรอง”
ชายหนุ่มลุกขึ้นหยิบเสื้อคลุมสวมทับชุดนอน แล้วเดินออกไปจากห้องทันที
ครู่หนึ่งนั้นอดิศวร์พาตัวเองมาเคาะประตูห้องวิรงรอง
“วิรงรอง! วิรงรอง!”
ทุกอย่างเงียบสนิท มีแต่เสียงลมหวีดหวิวจากภายนอก อดิศวร์เรียกอยู่อีกครู่หนึ่ง ด้วยสีหน้าร้อนใจ แล้วจึงลองจับลูกบิดประตู ด้วยสีหน้าแปลกใจ เมื่อพบว่ามือที่จับลูกบิดหมุนประตูเปิดออกได้ ห้องไม่ได้ล็อค!
อดิศวร์รีบเดินเข้าไป แล้วเปิดไฟ แล้วต้องชะงัก เมื่อภายในห้องปราศจากแม้แต่เงาวิรงรอง อดิศวร์สังหรณ์ใจรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนวิรงรองที่นอนบนพื้นทราย ค่อยๆ ลืมตาได้สติ พึมพำ
“คุณอดิศวร์”
วิรงรองลุกขึ้นนั่ง มองไปโดยรอบ
“หายไปไหน” สีหน้าวิรงรองงุนงงด้วยความแปลกใจ
วิรงรองลุกขึ้นยืนปัดเนื้อปัดตัว แล้วนิ่งคิด ...ลมแรงที่พัดพาความหนาวเย็นมา ทำให้วิรงรองห่อตัว กอดอกแล้วรีบเดินแกมวิ่งไปที่จักรยานจอดอยู่
วิรงรองชะเง้อมองโดยรอบเพื่อหาอดิศวร์อีกครั้ง แล้วขี่จักรยานออกไป
ลมยังคงพัดแรง วิรงรองถีบจักรยานทวนกระแสลมเพื่อกลับโดมทอง สักพักหนึ่ง ปรากฏแสงไฟจากรถคันหนึ่งสวนมา วิรงรองหรี่ตาลงด้วยไฟสว่างวาบพุ่งตรงเข้าตา
รถคันนั้นยังคงแล่นตรงมา ขณะที่วิรงรองหันจักรยานกลับด้วยกลัวว่าจะเป็นคนร้าย รถคันนั้นเร่งความเร็วใกล้เข้ามาทุกที
วิรงรองเร่งถีบจักรยานสุดแรงเกิด จนกระทั่งได้ยินเสียงคุ้นหูของอดิศวร์ร้องเรียก
“วิรงรอง”
วิรงรองชะงัก หันหลังกลับไปมอง ทำให้จักรยานเสียหลักล้มลง
“โอ๊ย” ร่างวิรงรองตกลงจากจักรยาน
อดิศวร์รีบจอดรถ แล้วเปิดประตูเดินลงมามองอย่างตำหนิถามเสียงขุ่น
“นึกยังไงออกมาขี่จักรยานเล่นป่านนี้”
“ทั้งหมดนี่เป็นแผนของคุณใช่ไหม” วิรงรองแค้นใจ
“แผนบ้าแผนบออะไรอีกล่ะ”
วิรงรองพยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ทรุดลงด้วยข้อเท้าเคล็ด
“ไหวหรือเปล่า” อดิศวร์ถาม
วิรงรองเชิดหน้าอย่างถือดี “ไหว”
หญิงสาวพยายามแข็งใจจะลุกแต่ความเจ็บปวดทำให้ต้องทรุดตัวลง ขณะที่อดิศวร์มองอย่างพินิจและประหลาดใจเมื่อเห็นถนัดว่าผมและเสื้อผ้าเปียก
“นั่นไปว่ายน้ำมาหรือ”
“ใครจะบ้าลุกขึ้นมาว่ายน้ำกลางดึก”
“ก็เห็นอยู่ชัดๆ”
“ฉันถูกหลอก” วิรงรองโพล่งขึ้น
อดิศวร์เดินมาช้อนตัววิรงรองขึ้นอุ้มโดยไม่พูดไม่จา
วิรงรองตกใจ “อุ๊ย! ปล่อย! ฉันเดินเองได้!”
อดิศวร์เดินไปที่รถ โดยที่วิรงรองดิ้นรนขัดขืนตลอดเวลา อดิศวร์เดินมาถึงรถ
“แทนที่จะเอามือมาผลักฉัน ช่วยกรุณาเปิดประตูหน่อย”
วิรงรองเงื้อมือชะงัก แล้วเปิดประตูอย่างกระแทกกระทั้น อดิศวร์วางร่างวิรงรองลง
“นี่ถ้าไม่คิดสักนิดเดียวว่า เธอขาเจ็บ ฉันโยนเธอเข้าไปแล้ว”
วิรงรองเบิกตากว้างมองอดิศวร์เขม็ง ขณะที่เขาปิดประตูแล้วอ้อมไปนั่งที่คนขับ ก่อนจะขับออกไป
อดิศวร์ขับรถมาเรื่อยๆ พลางชำเลืองมองวิรงรอง ซึ่งกอดอกด้วยความหนาว อดิศวร์เอื้อมมือปิดแอร์ขณะถาม
“นึกยังไงถึงได้ออกไปว่ายน้ำเกือบจะตี 2”
วิรงรองเม้มปากแล้วควักกระเป๋าหยิบกระดาษที่เขียนจดหมายนัดออกมาจะส่งให้ แต่ต้องชะงักเมื่อก้มลงมองดู... ที่กระดาษในมือเปื่อยด้วยถูกน้ำ...หมึกเลอะอ่านไม่ออก”
“อะไร” อดิศวร์งง
“กระดาษที่มีคนเขียนมานัดฉันให้ไปพบที่ซากเรือ”
อดิศวร์ตำหนิ “แล้วเธอก็ไป”
“ก็ฉันอยากรู้นี่”
“เรื่อง ...”
วิรงรองหันมามองอดิศวร์ด้วยสีหน้าครุ่นคิดแล้วจับผิด “คุณใช่ไหมที่เป็นคนเขียนจดหมาย”
“อ้าว! เลยโทษฉันดื้อๆ ฉันจะทำอย่างนั้นทำไม”
วิรงรองสวนคำทันที “เพราะคุณจะทำให้ฉันกลัว คุณมันโรคจิต”
อดิศวร์ชำเลืองมองลูกจ้างสาวแว่บหนึ่ง ยังคงขับไปโดยไม่โต้ตอบใดๆ
ครู่ต่อมาอดิศวร์เดินนำขึ้นบันไดมาเรื่อยๆ โดยที่วิรงรองเดินแกมวิ่งตามพลางร้องถาม
“คุณทำอย่างนั้นทำไม”
อดิศวร์เดินมาตามระเบียงหน้าห้องเรื่อยๆ
“ทำไมไม่ตอบ”
อดิศวร์เดินมาหยุดหน้าห้อง วิรงรองตามมาติดๆ ยังปากดีต่อ
“หรือว่าไม่กล้า”
อดิศวร์หยุดเดินหันกลับมาทันทีทันใด ทำให้วิรงรองเบรคเกือบไม่ทัน ต้องรีบถอยหลังไป 3-4 ก้าว
อดิศวร์นัยน์ตาเป็นประกาย “คนอย่างฉัน ถ้ากล้าทำก็ต้องกล้ารับ! แต่ฉันไม่รู้เรื่องอะไรด้วย”
“แล้วทำไมฉันถึงเห็นคุณดึงฉันขึ้นจากน้ำ...รับรองว่าฉันตาไม่ฝาดแน่”
อดิศวร์ยิ้มเยาะ “นั่นเธอต้องถามตัวเองว่า ทำไมถึงเห็นใครต่อใครเป็นฉันไปหมด”
วิรงรองถึงกับอึ้งไป
“เธอต่างหากที่ต้องตอบคำถามฉัน...เธอสร้างเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทำไม”
“ฉันเปล่า”
“น่าเชื่อนี่”
อดิศวร์พูดพลาง เปิดประตูห้องจะเดินเข้าไป
วิรงรองบันดาลโทสะ ลืมตัว คว้าแขนอดิศวร์ดึงไว้ด้วยความโมโห
“คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย”
อดิศวร์หยุดชะงัก ค่อยๆ หันกลับมาช้าๆ นัยน์ตาจับจ้องมองวิรงรองเขม็ง
“คุณบอกว่า ถ้าคุณทำ คุณจะยอมรับ! คุณกล้าโกหก”
อดิศวร์ชักโกรธ จับต้นแขนวิรงรองบีบแน่น “ฉันไม่ได้โกหก”
“แล้วทำไม…”
“ไปถามพวกเพื่อนผีของเธอเองซิ”
อดิศวร์ปล่อยแขน แล้วเดินเข้าห้องปิดประตู วิรงรองมองตามอย่างงุนงง
อดิศวร์เดินมาทรุดตัวลงนั่งด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด จนนอนหลับสนิท บรรยากาศทั้งห้องตกอยู่ในความวังเวงแกมหลอนๆ เหมือนมีใครคนหนึ่งกำลังเดินมาที่อดิศวร์ช้าๆ
ร่างอดิศวร์บนเตียงนอน เริ่มกระสับกระส่าย เขากำลังฝันว่า วิรงรองกำลังวิ่งหนีอะไรอย่างหนึ่งอย่างขวัญเสียอยู่ที่หาดทราย อดิศวร์กระสับกระส่าย มือใครคนหนึ่งค่อยๆ ยื่นมาจับแขนของเขา
ความเย็นเฉียบจากมือที่สัมผัสทำให้อดิศวร์ตกใจตื่น
ภาพฝันเหล่านั้นหายไป อดิศวร์ลุกเดินไปที่หน้าต่าง ลมภายนอกยังคงพัดแรง ต้นไม้เอนไหวไปมา ราวกับรากจะหลุดออกมา
ภาพวิรงรองเมื่อไม่นานผุดซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
“แล้วทำไมฉันถึงเห็นคุณดึงฉันขึ้นจากน้ำ ... รับรองว่าฉันตาไม่ฝาดแน่” / “คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย” / ”คุณบอกว่า ถ้าคุณทำ คุณจะยอมรับ คุณกล้าโกหก”
ภาพวิเลือนหายไป อดิศวร์ถอนใจเฮือก
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทางด้านวิรงรองเดินเช็ดผมออกจากห้องน้ำ ในชุดนอนที่เปลี่ยนใหม่แล้ว เดินมาทรุดตัวลงนั่งเช็ดผมหน้ากระจก
มือวิรงรองค่อยๆ เช็ดช้าลง สีหน้าเหมือนกำลังทบทวน ภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปผุดขึ้นมาในห้วงคิด
วิรงรองถอนใจอย่างสับสนงุนงง
“จะว่ามีคุณอดิศวร์ 2 คนก็เป็นไปไม่ได้”
วิรงรองจมอยู่กับความสงสัยนั้น
บรรยากาศเช้านี้ค่อนข้างทึบๆ ด้วยพายุเพิ่งผ่านไปเมื่อคืน แสงแขมีสีหน้าหงุดหงิดมองโอบอ้อมซึ่งมีสีหน้าหวาดๆ 2 คนอยู่ตรงบริเวณใต้ร่มไม้ในอาณาเขตโดมทอง
“เป็นไปไม่ได้ ก็ฉันเห็นมันหลงกลออกไปจากโดมทองกับตา”
“พี่อ๊อดบอกว่ามีผู้ชายขี่ม้ามาช่วยมันค่ะ”
“ผู้ชายบอบอที่ไหน”
โอบอ้อมกลืนน้ำลาย ลดเสียงลง “พี่เขาบอกว่า น่าจะเป็น ...ผะ...ผะ...ผีค่ะเพราะไม่มีหน้า...มีแต่กะโหลก”
“บ้า! ฉันไม่เชื่อ! พี่ชายแกเบี้ยวฉันน่ะซิ”
“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ! พี่อ๊อดแกเป็นโจรมีสัจจะ”
แสงแขไม่เชื่อ “ฉันเคยได้ยินแต่ว่า ไม่มีสัจจะในหมู่โจร”
“ถ้าอย่างนั้น คุณแขไปถามเขาดูเองดีไหมคะ...โอบก็อยากรู้รายละเอียดเหมือนกัน”
แสงแขมีสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด
ไม่นานนักแสงแขเดินเข้ามาในบ้าน ในขณะที่อุษาอยู่แถวนั้นพอดี
“ออกไปไหนมาแต่เช้า”
แสงแขหงุดหงิด ด้วยความร้อนตัว “ทำไม พี่อุษาจะให้แขอุดอู้อยู่แต่ในบ้านเหรอ”
“ถามแค่นี้ทำไมจะต้องหงุดหงิดด้วย”
แสงแขรู้สึกตัวนิ่งไป อุษาขยับจะเดินไป
แสงแขรีบเรียกไว้ “พี่อุษา”
อุษาหันมามองเป็นเชิงถาม
“เอ้อ...แม่คนนั้นเขายังไม่ลงมาอีกเรอะ! ทุกทีเห็นลงมาเกะกะแต่เช้า”
“เห็นคุณลบสั่งว่าอย่าเพิ่งปลุก...เมื่อคืนเขานอนดึก” อุษาบอก
แสงแขชะงัก “คุณลบรู้ได้ยังไง”
“ทำไมไม่ไปถามเองล่ะ”
อุษาหันหลังเดินไป... แสงแขมองตามด้วยความหงุดหงิดและกระสับกระส่าย
“จะไปถามใครดี”
แสงแขพาตัวเองมาอยู่ในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ พอรู้เรื่องเท่านั้นท่านผู้หญิง ก็ปัดข้าวของบนโต๊ะข้างเตียงตกหมดด้วยอารมณ์โกรธ
“นังหน้าโง่! เรื่องแค่นี้ทำไม่สำเร็จก็ ไปตายเสียเถอะ”
แสงแขเม้มปากแล้วก้มหน้าลง
“แกไม่อยากได้ตาลบแล้วใช่ไหม”
แสงแขรีบเงยหน้าขึ้นบอก “อยากค่ะ! แสงรักคุณลบ”
ท่านผู้หญิงหัวเราะเยาะเสียงกร้าว
“นายอ๊อดบอกว่ามีผู้ชายขี่ม้ามาช่วยมัน” แสงแขบอก
ท่านผู้หญิงสะดุ้งเฮือก “อะไรนะ”
“แต่หน้าตาผู้ชายคนนั้นเป็นกะโหลกผีค่ะ” แสงแขเล่าต่อ
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาเป็นประกายกร้าว บ่นบ้าออกมา
“ทำไมไม่ไปผุดไปเกิดเสียที หรือว่าจะรอนังพลับพลึง”
แสงแขมองอย่างพิศวงงงงวยสุดๆ
“ต่อให้ฉันตายไป ฉันก็จะตามขัดขวางแก 2 คนให้ต้องทุกข์ทรมานยิ่งกว่าตกนรกหมกไหม้”
แสงแขอดถามไม่ได้ “คุณ...เอ้อ...คุณย่าหมายถึงใครคะ”
“ก็ท่านเจ้าคุณไงล่ะ ท่านเจ้าคุณกับนังพลับพลึง...นังเมียน้อย รู้เอาไว้ด้วย...นังแสงแข ใครที่มันบังอาจทำกับฉัน จะต้องได้รับผลตอบแทนอย่างสาสม! สมน้ำหน้า”
พูดจบท่านผู้หญิงก็หัวเราะเหมือนคนบ้า ขณะที่แสงแขกลืนน้ำลายอย่างหวาดๆ
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 7 (ต่อ)
ส่วนวิรงรองล้างหน้าล้างตาเรียบร้อย เดินโผเผออกมาจากห้องน้ำ มือยังกุมขมับเหมือนปวดหัว เสียงเคาะประตูเบาๆ ตามด้วยเสียงเรียกอย่างเกรงใจของอุษาดังขึ้น
“น้องวิ...ตื่นหรือยังคะ”
“ตื่นแล้วค่ะ” วิรงรองเดินไปเปิดประตูขณะพูด
อุษามองมาอย่างโล่งใจ ขณะที่อุไรยกถาดวางข้าวต้ม น้ำส้ม น้ำเปล่า และผลไม้จานเล็ก
“ข้าวต้มร้อนๆ ค่ะ” อุไรว่า
“ขอบใจจ้ะ...ไม่เห็นต้องยกมาเลย...” พูดพลางวิรงรองเบี่ยงตัวให้อุไรเดินเข้ามาวางถาดอาหาร
อุษาเดินตามเข้ามากับวิรงรอง “น้องวิเป็นอะไรหรือเปล่า หน้าซีดจัง”
“วิปวดหัวน่ะคะ เมื่อคืน” วิรงรองชะงักนึกได้ว่าไม่ควรพูด
อุไรสอดขึ้นทันที “เมื่อคืนอะไรคะ”
“อุไร...ไปได้แล้ว”
อุไรอิดออด “แหม...”
“อุไร”
“ไปก็ได้ค่ะ” อุไรเดินออกไป แล้วปิดประตูลง
“มีอะไรหรือเปล่าน้องวิ”
วิรงรองมีสีหน้าเหมือนสับสน
“ไม่เป็นไร ถ้าอึดอัดก็ไม่ต้องเล่า”
“มันเหมือนความฝันเลยค่ะ...วิเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น”
ทางด้านท่านผู้หญิงสรรักษ์ค่อยๆ เลื่อนตัวลงนอน แสงแขรีบจัดหมอน ช่วยประคอง ท่านผู้หญิงพลิกตัวตะแคงหันหลังให้ ตัวสั่นด้วยพยายามกลั้นสะอื้น หลังจากเงียบกันไปครู่หนึ่ง
แสงแขตกใจ “คุณย่าขา...เป็นอะไรหรือคะ”
ท่านผู้หญิงเหมือนกำลังพูดกับใครอีกคน ไม่ใช่แสงแข “คุณพี่...ทำไมคุณพี่ใจร้ายนัก…ดิฉันจะเจ็บจะป่วยเป็นอะไรแค่ไหน...คุณพี่ก็ไม่เคยสนใจ เอาแต่ตามหานังพลับพลึงจนแทบจะพลิกแผ่นดิน”
แสงแขมองเลิ่กลั่กไปโดยรอบ
ท่านผู้หญิงพลิกตัวหันกลับมาหา “แสงแข”
แสงแขสะดุ้ง “คะ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์นัยน์ตาเป็นประกายวาว “แกรู้มั้ยว่านังพลับพลึงมันอยู่ที่ไหน”
แสงแขส่ายหน้าราวกับถูกสะกด
ท่านผู้หญิงตวาด “บอกให้มาใกล้ๆ”
แสงแขสะดุ้ง รีบขยับจะเข้าไป
มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้แสงแขรู้สึกตัว เบือนหน้ามามอง เห็นเป็นอดิศวร์เดินเข้ามา
“ลบ...” ท่านผู้หญิงทักเบาๆ
ผู้เป็นหลานเดินมานั่งแล้วชะงักเมื่อเห็นหน้าย่าถนัด “คุณย่าร้องไห้ทำไมครับ”
“เปล่า”
อดิศวร์มองท่านผู้หญิงอย่างคลางแคลงใจ
“วันนี้อากาศดี...ลบเข็นรถย่าออกไปข้างนอกหน่อยได้ไหม”
อดิศวร์ยิ่งแปลกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือครับ ธรรมดาคุณย่ายังไม่ค่อยจะอยากออกไปจากห้องนี้เลย”
“ย่าอยากไปดูโรงเก็บรถม้า”
ท่านผู้หญิงมีสีหน้ามาดหมาย ขณะที่อดิศวร์มองอย่างประหลาดใจไม่หาย
อุษาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างห้องวิรงรอง ทอดสายตามองออกไปครู่หนึ่ง แล้วหันกลับมา
“พี่รู้ว่าน้องวิไม่ได้โกหก...แต่มันก็ยากที่จะเป็นไปได้...แล้วพี่ก็มั่นใจว่า คุณลบจะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด”
“แต่วิก็มั่นใจว่าวิไม่ได้ตาฝาด แล้วทั้งสองครั้งที่เห็น คุณอดิศวร์ก็แต่งตัวแบบโบราณชุดเดียวกันด้วย”
“เอ...พี่ไม่เคยเห็นคุณลบแต่งตัวโบราณเลยสักครั้ง”
วิรงรองนิ่งคิดทบทวนครู่หนึ่ง “คุณอดิศวร์มีพี่น้องฝาแฝดหรือเปล่าคะ”
“ไม่นะ...คุณลบเป็นลูกชายคนเดียวของคุณลุงอรรถกับคุณป้าอรอนงค์”
“งั้นก็มีคำอธิบายอย่างเดียว ...คนที่วิเห็นเป็นผี”
“ผีใครล่ะคะ”
วิรงรองโพล่งออกมา “ผีท่านเจ้าคุณ” พอพูดแล้วถึงกับสะดุ้ง
“ฮื้อ ! น้องวิ ป่านนี้คุณปู่ท่านคงไปเกิดแล้วมั้ง”
วิรงรองมองหน้าอุษาจริงจัง “วิอยากเห็นรูปท่านเจ้าคุณจังเลย! พี่อุษาพอจะหาให้วิหน่อยได้ไหมคะ”
อุษาส่ายหน้า
“พี่อุษาไม่เคยนึกแปลกใจบ้างหรือที่ในโดมทองมีรูปของบรรพบุรุษของตระกูลทุกคนยกเว้น ท่านเจ้าคุณกับคุณพลับพลึง”
นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วแกล้งพูดเรื่องอื่น “ทานข้าวต้มได้แล้ว เดี๋ยวเย็นหมด”
อดิศวร์เข็นรถพาท่านผู้หญิงสรรักษ์มาหยุดหน้าโรงเก็บรถม้า ท่านผู้หญิงมองโรงเก็บรถม้านั้นเขม็งด้วยสายตาวาววับ
อดิศวร์มองโรงรถม้าแล้วมองย่าอย่างแปลกใจ “มีอะไรหรือครับคุณย่า”
ท่านผู้หญิงสั่ง ตายังคงมองโรงรถม้า “ไปบอกให้สมมาเปิดประตูซิ”
ทั่วบริเวณภายในโรงรถม้าสว่างขึ้นทันทีด้วยแสงแดดส่องเข้ามาทางประตู
สมซึ่งเพิ่งเปิดประตู มองอดิศวร์ซึ่งเข็นรถย่าเข้ามาเล็กน้อยแล้วหยุด
“ดูตรงนี้ก็พอนะครับ...ฝุ่นเต็มไปหมด...เดี๋ยวคุณย่าจะไม่สบาย”
แววตาท่านผู้หญิงสรรักษ์ มีเลศนัยขึ้นมาแว่บหนึ่งขณะบอก “ขนาดมีชีวิตอยู่ยังทำอะไรย่าไม่ได้ นับประสาอะไรกับเถ้าธุลีของมัน”
อดิศวร์มีสีหน้าประหลาดใจขณะที่สมยังคงมีสีหน้าปกติเช่นเดิม
“คือใครครับคุณย่า”
ท่านผู้หญิงมองไปที่พื้น “จากเถ้าธุลีปะปนกับธุลีดิน มันอยากใฝ่ต่ำ”
อดิศวร์ทรุดตัวลงข้างหน้าย่า “คุณย่าครับ...”
ท่านผู้หญิงมองหน้าอดิศวร์เขม็ง “ใครที่มันทำกับย่า...ใครที่มันทำให้ย่าต้องเจ็บปวดทุกข์ทรมาน ...แม้แต่ดวงวิญญาณของมันก็จะไม่มีวันสงบสุข”
ขณะท่านผู้หญิงพูดนั้น คานไม้เหนือศรีษะค่อยๆ ขยับ อดิศวร์ซึ่งอยู่ตรงหน้ากำลังเงยขึ้นพูดกับย่ามองเห็นพอดี ในตอนที่ไม้ตกลงมา
อดิศวร์เบิกตากว้างด้วยความตกใจ แล้วรีบดึงรถเข็นย่าให้พ้นทาง รถเข็นเสียหลักล้ม ร่างย่ากระเด็นออกมาโดยที่อดิศวร์เองก็ล้มกลิ้ง
ไม้ท่อนนั้นตกลงมาถึงพื้นอย่างฉิวเฉียด ท่ามกลางความตกใจของทั้ง 3 คน
ท่านผู้หญิงสรรักษ์นัยน์ตาเบิกโพลง มองท่อนไม้นั้นเขม็ง
ไม่นานต่อมาอดิศวร์อุ้มร่างผอมบางของท่านผู้หญิงสรรักษ์เข้ามาในห้องของท่าน ติดตามด้วย อุษา แสงแข อุไร และโอบอ้อม อดิศวร์ค่อยๆ วางย่าลงบนเตียง
ท่านผู้หญิงด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ยกโขยงกันเข้ามาทำไม! ออกไปให้หมด! ฉันยังไม่ตาย ไม่ต้องมาสมน้ำหน้า”
อดิศวร์หันไปพยักหน้าให้ทุกคน ทุกคนพากันออกไปเงียบๆ
ท่านผู้หญิงน้ำตาไหล “ไม่มีใครรักย่าเลย...ทุกคนเกลียดย่ากันหมด...ลบอย่าเกลียดย่าเหมือนคนอื่นนะลูก”
“ไม่มีใครเกลียดคุณย่าหรอกครับ”
แววตาท่านผู้หญิงเป็นประกาย “เกลียดซิ! คุณปู่ของลบนั่นแหละตัวดี! เมื่อกี้ยังจะฆ่าย่า”
“นั่นเป็นอุบัติเหตุ...ไม้มันเก่ามากแล้ว”
“อย่าแก้ตัวแทนมัน! ย่ารู้จักท่านเจ้าคุณดี”
อดิศวร์เปลี่ยนเรื่อง “คุณย่าเช็ดตัวหน่อยนะครับ...ผมจะไปตามอุษาเข้ามา”
ท่านผู้หญิงนิ่ง เบือนหน้าไปอีกทาง อดิศวร์ค่อยๆ ลุกขึ้นเดินออกไป
อดิศวร์เดินออกมาหน้าห้อง ทุกคนหันมามอง แสงแขทำเนียนเกาะแขนอดิศวร์ถาม
“คุณย่าเป็นอะไรหรือคะ คุณลบ”
“รถเข็นคว่ำ แต่โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก...นอกจากถลอกนิดหน่อย...อุษาเข้าไปเช็ดตัว แล้วดูแผลให้ท่านหน่อยนะ”
“ค่ะ” อุษาเดินเข้าไปในห้อง
“โอบ...อุไร...มีอะไรก็ไปทำ” แสงแขบอก
2 คนรับคำเบาๆ แล้วออกไป
แสงแขยังคงเกาะแขนอดิศวร์อยู่ “ทำไมอยู่ดีๆ รถเข็นถึงล้มล่ะคะ...แปลกจัง”
อดิศวร์ดึงแขนออกอย่างสุภาพ
“พี่จะไปทำงานต่อ”
อดิศวร์เดินออกไป แสงแขมองตามอย่างน้อยใจ
ส่วนวิรงรองกำลังเดินกลับไปกลับมาช้าๆ อย่างใช้ความคิด บนโต๊ะข้างเตียง มีถาดข้าวต้มกินแล้ววางอยู่
ภาพเหตุการณ์เมื่อคืนผุดเข้ามาในความคิดหญิงสาวอีกแว่บหนึ่ง
วิรงรองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเตรียมจะกด พอดีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ”
“ฉันเอง” แสงแขร้องบอกเข้ามา
วิรงรองวางโทรศัพท์ลง แล้วเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าสงบราบเรียบ แสงแขมองไปทั่วตัววิรงรองอย่างพิจารณาหาความผิดปกติ นานจนวิรงรองเอ่ยเตือน
“คุณแสงแขมีธุระอะไรกับดิฉันหรือคะ”
“ได้ข่าวว่า เธอไม่สบาย...” แสงแขเดินเข้ามาในห้องขณะพูดเรื่อยๆ
วิรงรองหันไปมองตามโดยยังยืนอยู่ที่เดิม “ดิฉันสบายดี”
“งั้นทำไมถึงต้องอันเชิญอาหารขึ้นมาเสิร์ฟอย่างเอิกเกริกขึ้นในห้อง”
“ดิฉันคิดว่าเป็นความกรุณาของ...คุณอดิศวร์ค่ะ”
ฟังแล้วแสงแขเม้มปากทันที “อย่าเอาคุณลบเข้ามาเกี่ยว คุณลบไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น...พี่อุษานั่นแหละตัวดี เจ้ากี้เจ้าการยกขึ้นมาประเคนให้เธอ”
วิรงรองนึกสนุก ยิ้มนิดๆ “ไม่ทราบว่าคุณแสงแขได้ถามคุณอดิศวร์หรือยังคะ”
แสงแขอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วสะบัดเสียงพูด “ไม่จำเป็นต้องถาม ฉันรู้นิสัยคุณลบดี” แสงแขเชิดหน้าขึ้นขณะบอก “เราคุ้นเคยกันมานานมาก”
วิรงรองยิ้มมากขึ้น
แสงแขยิ่งโมโห “มาก...ยิ่งกว่าใครๆ ฉันรู้ว่าเขารักฉัน”
วิรงรองเดินมาทรุดตัวลงนั่งด้วยท่าทางสบายๆ
“ไม่ว่าแกจะพยายามยั่วยวนเขาขนาดไหน...เขาก็ไม่สนใจ! เขาจะต้องแต่งงานกับฉัน ใครๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นโดยเฉพาะคุณย่า! จำใส่หัวเอาไว้ด้วย”
แสงแขสะบัดหน้าเดินออกไปปิดประตูดังปัง!
อดิศวร์ยืนกอดอกอยู่ในห้องทำงาน มองออกไปข้างนอกอย่างใคร่ครวญครุ่นคิด
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก วิรงรองเดินเข้ามา ยืนนิ่งๆ รอให้ลบหันกลับมา
“ว่าไง”
“ดิฉันจะไปบ้านลานนา”
อดิศวร์หันกลับมาทันที วิรงรองรีบชิงพูดขึ้นก่อน
“ดิฉันโทร.ไปบอกให้เขามารับแล้ว”
“แล้วจะต้องมาขออนุญาตฉันทำไมในเมื่อเธอจัดการทุกอย่างเองเรียบร้อย”
“ไม่ได้ขอนุญาตค่ะ...แต่มาแจ้งให้ทราบในฐานะที่คุณเป็นนายจ้าง”
“ถ้าฉันไม่ให้ไปล่ะ”
“คุณคงไม่ทำอย่างนั้น”
“รู้ได้ยังไง”
“เพราะคุณทราบว่า ดิฉันต้องไปจนได้” วิรงรองบอกอย่างเด็ดเดี่ยว
อดิศวร์ขยับตัวเดินมาใกล้ๆ “ก็ได้...เราจะไปด้วยกัน”
“เอ๊ะ”
“ทำไม! เจ้าภูไทเป็นเพื่อนของฉัน...ฉันจะไปเยี่ยมเขา”
วิรงรองหงุดหงิด “ไม่จริง! คุณจะไปควบคุมฉันต่างหาก”
อดิศวร์เลิกคิ้ว “อ้าว”
“คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร” วิรงรองยิ่งพูดยิ่งหัวเสีย
อดิศวร์ยิ่งเห็นลูกจ้างสาวหัวเสีย ยิ่งใจเย็น “เป็นนายอดิศวร์ ศิโรดม”
“คุณรู้ดีว่าฉันหมายความว่ายังไง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้”
“อ้าว”
วิรงรองโกรธจนพูดไม่ออก ได้แต่ปากคอสั่นสะบัดหน้าเดินออกไป
อดิศวร์มองตาม สีหน้าเหมือนทองไม่รู้ร้อน เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น อดิศวร์รับ
“สวัสดีครับ”
เป็นสายจากปรางซึ่งเวลานั้นอยู่ในบ้าน
“ดิฉัน...แม่ของวิรงรองค่ะ”
“ครับ...ผมจำเสียงได้”
“ดิฉันมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจกับคุณ” ปรางบอก
“ครับ...”
สีหน้าอดิศวร์เคร่งเครียดขึ้นขณะฟังที่ปรางพูด
โปรดติดตามตอนต่อไป
เจ้าภูไทและลานนายืนรออยู่หน้าประตูรั้วโดมทอง ขณะที่วิรงรองเดินตรงมาหาด้วยสีหน้าบึ้งตึง
“หน้าตาไม่ดีเลยวิ...เกิดอะไรขึ้นหรือ” ลานนาทัก
ภูไทเหลือบมองไปทางประตูรั้ว เห็นสมยืนมองอยู่ จึงหันมาทางลานนา
“ไปคุยกันที่บ้านเถอะ”
ทั้งหมดขึ้นรถ แล้วภูไทขับออกไป สมมองตามจนลับตา
ภูไทขับรถมาเรื่อยๆ ตามทาง มุ่งหน้าสู่คุ้มภูไท คอยเหลือบมองวิรงรองทางกระจกหลังที่นั่งนิ่งมองออกไปข้างทางเหมือนกำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่าง
ลานนาหันไปมองวิรงรองขณะเอ่ยขึ้น “วิจะทรมานตัวเองต่อไปทำไม ออกมาเสียเถอะ มาอยู่กับเราก็ได้”
“ฉันจำเป็นจะต้องอยู่ที่ “โดมทอง” ต่อไปจนกว่าจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น”
“พี่ว่ามันไม่คุ้มกันหรอก” ภูไททักท้วง
“สำหรับวิแล้วคุ้มค่ะ...” วิรงรองเว้นไปนิด “วิไม่อยากสงสัยคลางแคลงใจไปจนตลอดชีวิต”
“มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอนี่...” ลานนาบอก
วิรงรองถอนใจยาวเอนพิงพนัก นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดอย่างใคร่ครวญ
“ฉันค่อนข้างมั่นใจว่า โชคชะตาพาฉันมาที่โดมทอง...มีบางสิ่งบางอย่างรอฉันอยู่”
เจ้าพี่กับเจ้าน้องสบตากันแว่บหนึ่ง ก่อนที่ต่างคนต่างนิ่งงันกันไป
พันธุ์สูรย์กำลังนั่งทำงานอยู่ในออฟฟิศ ภายในไร่ สักพักหนึ่งจึงเห็นภูไทเดินเข้ามา
“กลับมาแล้วหรือครับ”
ภูไทกวนนิดๆ ด้วยความหงุดหงิดจากคำพูดวิรงรอง “ถ้าไม่กลับมา แล้วนายจะเห็นได้ยังไง”
พันธุ์สูรย์พยักหน้าหงึกหงักกับตัวเอง “จริงแฮะ”
เจ้าภูไทเดินกลับไปกลับมาอย่างหงุดหงิด “ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ”
พันธุ์สูรย์วางมือ เอนหลังพิงพนักดูอาการภูไทด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทำไมวิรงรองถึงได้ยังทนอยู่ที่นั่น”
พันธุ์สูรย์ยังคงจับตามองดูภูไทเงียบๆ
ภูไทหันกลับมามองพันธุ์สูรย์ “นายคิดว่ายังไง”
“แล้วคุณวิรงรองเขาว่ายังไงล่ะครับ”
“เขาบอกว่า โชคชะตาพาเขามาที่โดมทอง”
“ต้องมีเหตุผลที่ทำให้คุณวิพูดอย่างนั้น” พันธุ์สูรย์ว่า
ภูไทระแวง “อาจจะเป็นนายอดิศวร์”
“ผมว่าไม่มีประโยชน์ที่เจ้าจะมานั่งคิดเอง...เออเองอยู่อย่างนี้”
ภูไทนิ่งไปแล้วทรุดตัวลงนั่ง
“ถ้าผมเป็นเจ้า...ผมจะถามคุณวิให้มันรู้เรื่องรู้ราวกันไปเลย”
ภูไทถอนใจ “บอกตรงๆ นะ...ฉันไม่กล้า”
พันธุ์สูรย์หัวเราะ
ภูไทฉุน “หัวเราะอะไร”
“หัวเราะเจ้าน่ะซิ!...แล้วตอนนี้คุณวิรงรองอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“อยู่กับลานนา”
จังหวะเดียวกันลานนาเบิกตากว้างยกแขนขึ้นลูบ “อุ๊ย! ดูซิ ขนลุกเลย ว่าแต่วิแน่ใจนะว่า เป็นคุณอดิศวร์”
“ฉันจำไม่ผิดแน่...ยังถามคุณอุษาเลยว่าคุณอดิศวร์มีฝาแฝดหรือเปล่า”
“เท่าที่รู้...ไม่มีนะ”
วิรองรองพยักหน้า “คุณอุษาก็บอกว่าอย่างนั้น”
ลานนาเคาะโต๊ะช้าๆ ด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด “มีอีกอย่าง...ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้...อาจจะเป็นผีแถวๆ นั้น...แต่ทำไมผีถึงได้มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคุณอดิศวร์”
“เพราะผีเป็นปู่ของคุณอดิศวร์” อยู่ดีๆ วิรงรองก็โพล่งออกมา
พูดแล้วทั้งสองสาวก็สะดุ้งตกใจขึ้นพร้อมๆ กัน วิรงรองยกมือปิดปากตัวเอง
“เฮ้ย! พูดเป็นเล่น”
วิรงรองยังงงๆ “ไม่รู้ฉันพูดออกไปได้ยังไง!...แปลกจัง”
ลานนามองหน้าวิรงรองอย่างเพ่งพิศ ซึ่งอีกฝ่ายยกมือขึ้นลูบหน้า
“วิ...”
วิรงรองลุกขึ้น เดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด “แต่เป็นไปได้นะลานนา...ฉันได้ยินมาว่า ส่วนหนึ่งที่ท่านผู้หญิงรักและหวงหลานชายมากเพราะเขาหน้าตาเหมือนสามีท่าน”
“ให้เหมือนมากยังไง มันก็ไม่น่าจะเหมือนราวกับคนๆ เดียวกัน” ลานนาท้วง
“ฉันถึงยังไม่ตัดข้อที่สงสัยว่า คุณอดิศวร์เป็นโรคจิต...ดึกๆ ชอบแต่งตัวเหมือนปู่มาหลอกให้คนเข้าใจผิด”
“คนอื่นเขาก็เห็นเหมือนกันเหรอ”
วิรงรองส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ! แต่เพื่อให้เรื่องนี้กระจ่าง...ฉันต้องพยายามหารูปท่านเจ้าคุณให้ได้” วิรงรองเดินกลับมานั่ง “ยิ่งคิดยิ่งเข้าเค้านะ ลานนา”
ลานนาเป็นห่วง “อย่าไปยุ่งกับเขาเลยวิ”
“บอกแล้วไงว่า โชคชะตาพาฉันไปที่นั่น ฉันจะต้องรู้ความลับของ “โดมทอง” ให้ได้”
สีหน้าวิรงรองแน่วแน่ในท่าทีมั่นคง
เวลาผ่านไปอีกระยะหนึ่งแล้ว อดิศวร์นั่งทำงานอย่างไม่มีสมาธินัก คอยเหลือบมองนาฬิกาเป็นระยะๆ จนเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก เห็นแสงแขเดินเข้ามา
“เที่ยงกว่าแล้วค่ะ...คุณลบยังไม่หิวหรือคะ...หรือจะให้แขยกมาให้ที่นี่...”
“ไม่ต้อง...ถ้าหิว พี่จะไปกินเอง”
“เอ้อ...ทานผิดเวลา เดี๋ยวคุณลบจะไม่สบาย”
อดิศวร์เงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ “ขอบใจที่เป็นห่วง...พี่ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก”
รอยยิ้มนั้น ทำให้แสงแขสดชื่นขึ้นทันตาเห็น
“งั้น...แขจะคอยอุ่นอาหารไว้ให้นะคะ”
อดิศวร์พยักหน้า แสงแขเดินตัวลอยด้วยความปลื้มไปที่ประตู
“วิรงรองกลับมาหรือยัง”
คำถามนั้นทำเอาแสงแขหยุดชะงัก สีหน้าที่ปลื้มเปรมยิ้มแย้มหุบลงทันที
แสงแขไม่ได้หันไป แต่พยายามคุมเสียงให้เป็นปกติ “ยังค่ะ”
อดิศวร์เงียบไป แล้วทำงานต่อ แสงแขหันมามองแว่บหนึ่ง แล้วเดินออกไป
ทางด้านวิรงรองกำลังให้อาหารสัตว์อย่างเพลิดเพลินที่ไร่ในคุ้มภูไท พันธุ์สูรย์เดินตรงมาหา
“เจ้าลานนากับเจ้าภูไทไปไหนเสียล่ะครับ”
“เห็นบอกว่า เดี๋ยวจะตามมาค่ะ” วิรงรองนึกขึ้นได้ “ต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นวิผิดสัญญาไม่ได้พาพี่อุษาไปพบ”
“ไม่เป็นไรครับ...เพราะผมคาดไว้แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น...คุณอุษาเธอยึดมั่นความกตัญญูรู้คุณมากกว่าจะนึกถึงตัวเอง”
พันธ์สูรย์หยุดพูด สีหน้าเศร้าลง
“หรือไม่ก็ผมอาจจะคิดไปเองว่าเธอรู้สึกอย่างเดียวกับผม”
วิรงรองมีสีหน้าเห็นอกเห็นใจ “ไม่ใช่อย่างนั้นแน่ค่ะ...ก็อย่างที่คุณพันธุ์สูรย์พูดพี่อุษาเธอยึดมั่นความกตัญญูมากกว่าความรู้สึกตัวเอง”
พันธุ์สูรย์ถอนใจยาว แล้วหันมามองวิรงรองด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น
“ผมมีเรื่องจะเตือนคุณ”
วิรงรองมองหน้าพันธุ์สูรย์อย่างแปลกใจ
ตรงใต้ซุ้มดอกไม้สวยๆ 2 คน กำลังนั่งคุยกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอยู่บริเวณนั้น
“ผมไม่อยากให้คุณอยู่ที่นั่น...มันอันตรายเกินไป”
“วิทราบแล้วก็ขอบคุณ คุณพันธุ์สูรย์มากที่หวังดี...แต่ก็อย่างที่บอกพี่ชายกับลานนาไปแล้วว่า มีอะไรบางอย่างรอวิอยู่ที่นั่น...พูดไปคุณพันธุ์สูรย์อาจจะไม่เชื่อ...วิเคยฝันถึงโดมทองก่อนที่จะมาถึงเสียอีก...แล้วก็เหมือนกันทุกอย่างทั้งๆ ที่วิไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อมาก่อน”
พันธุ์สูรย์ฟังด้วยสีหน้าวิตกกังวลขึ้นไปอีก
วิรงรองเบือนสายตามองไปยังหมู่ไม้เบื้องหน้าแล้วถอนใจยาว
“นอกจากบ้านแล้วยังมีใครอีกคนหนึ่ง”
พันธุ์สูรย์ฉงน “ใครครับ”
วิรงรองส่ายหน้า “ไม่ทราบค่ะ... แต่คนๆ นั้น...” พูดถึงตรงนี้วิรงรองสะดุ้ง นัยน์ตาเป็นประกายตื่นเต้นขึ้นทันที “แต่งตัวเหมือนกับเขาไม่มีผิด”
พันธุ์สูรย์รีบซักแบบกระตือรือร้น “เขาไหน”
“เขาที่วิเคยคิดว่าเป็นคุณอดิศวร์”
พันธุ์สูรย์พึมพำ “ท่านเจ้าคุณ”
วิรงรองชะงัก “คุณพันธุ์สูรย์ทราบได้ยังไงคะ”
“คุณพ่อผมเคยเล่าให้ฟัง...ท่านถึงกับตกใจตอนที่เห็นคุณลบ ซึ่งตอนนั้นยังเป็นวัยรุ่น”
วิรงรองยิ่งกระตือรือร้น “แล้วคุณพ่อคุณพันธุ์สูรย์...”
“ท่านเสียไปนานแล้วครับ...” พันธุ์สูรย์เว้นไปนิด สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น “ผมขอแนะนำให้คุณวิออกมาจากโดมทอง โดยเร็วที่สุด”
“ไม่ค่ะ! ยิ่งรู้อย่างนี้ วิยิ่งต้องอยู่ต่อ...แล้ว...เอ้อ...คุณพ่อคุณพันธุ์สูรย์เล่าอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
นัยน์ตาและสีหน้าของพันธุ์สูรย์เหมือนจะพูดต่อ แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“เท่านี้แหละครับ”
วิรงรองเอนหลังพิงพนัก สีหน้าเหมือนแน่วนิ่งมุ่งมั่นมาดหมายในอะไรบางอย่าง
ดวงอาทิตย์กลมโตสีส้มลอยคล้อยต่ำใกล้จะลับเหลี่ยมเขา ฝูงนกกาบินกลับรัง แล้วส่งเสียงร้องเป็นระยะ
สมเปิดประตูรับวิรงรองขณะที่ภูไทและลานนาเดินมาส่ง
วิรงรองหันไปบอกทั้ง 2 คน “ขอบคุณมากค่ะ พี่ชาย” พลางไหว้ภูไท “ขอบใจนะจ๊ะลานนา”
ทั้ง 2 คนพยักหน้ากล่าวลา แล้วมองจนวิรงรองเดินเข้าไป จากนั้นภูไทและลานนาเดินกลับมาขึ้นรถ แล้วขับออกไป
ส่วนภายในสมเหมือนรออยู่
“คุณหนูครับ”
วิรงรองหันมามอง
“คุณลบรอพบอยู่ครับ...เชิญทางนี้”
สมเดินนำไป วิรงรองลังเลครู่หนึ่งแล้วเดินตาม
ใต้ร่มไม้ใหญ่ครึ้ม อดิศวร์ยืนหันหลังอยู่ตรงนั้น มองทิวทัศน์เบื้องหน้า สมพาวิรงรองมาใกล้แล้วเดินกลับไป
วิรงรองยืนนิ่งครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในระยะห่างพอสมควร นายจ้างหนุ่มยังคงยืนในอิริยาบถเดิม
วิรงรองลังเลครู่หนึ่ง แล้วกระแอมเบาๆ เป็นเชิงให้รู้ตัว
อดิศวร์พูดโดยที่ยังไม่หันมา “รู้ละว่ามาแล้ว”
วิรงรองบ่นอุบอิบพึมพำกับตัวเอง “แล้วทำไมไม่หันมา”
อดิศวร์หันกลับมาขณะถาม “สนุกไหม”
“หมายถึงอะไรคะ”
อดิศวร์รำคาญเล็กๆ “ก็ที่ไปเที่ยวบ้านเจ้าภูไทไง ฉันอยากรู้ว่าสนุกไหม”
“ถ้าสนุกหมายถึงเฮฮาปาร์ตี้ละก็...ไม่ค่ะ...แต่ไปแล้วสบายใจ...ดอกไม้สวย อากาศดี ผู้คนยิ้มแย้มไม่หน้าบึ้ง” วิรงรองจงใจเน้นคำว่า “หน้าบึ้ง”
อดิศวร์ฉุน เลยประชด “แล้วอยากจะไปอยู่เลยหรือเปล่าล่ะ”
“ใครๆ ก็ต้องอยากไปอยู่ในสถานที่อย่างนั้น”
“บอกมาให้ชัดๆ เลยว่าไอ้ “ใครๆ” น่ะหมายถึงเธอ”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วเปลี่ยนเรื่อง “คุณอดิศวร์ให้ฉันมาพบทำไมคะ”
อดิศวร์มองวิรงรองอย่างแน่วแน่ขณะบอก “... “โดมทอง” อาจจะไม่สวยน่าอยู่เหมือนบ้านเจ้าภูไท”
ว่าแล้วอดิศวร์เดินมาหาช้าๆ ขณะพูด ดวงตาจ้องมองราวกับจะสะกด
วิรงรองเงยหน้ามองอดิศวร์ราวกับถูกสะกด
“แต่มันก็เต็มใจจะให้เธออยู่ตลอดไป” อดิศวร์หยุดยืนอยู่ตรงหน้า
วิรงรองพึมพำ “คุณอดิศวร์”
“เธอจะตอบฉันได้หรือยัง...”
อดิศวร์ถามย้ำเอาคำตอบเรื่องขอแต่งงาน
โปรดติดตามอ่าน "โดมทอง" ตอนที่ 8