xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 16

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 16

ตะวันฉายนอนอยู่บนเตียงในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาล ไผ่พญานั่งอยู่ข้างๆ กำลังป้อนน้ำให้ตะวันฉายดื่ม

“นี่ถ้าพวกฉันไม่อยู่ตรงนั้นจะเป็นยังไง เกิดหัวกระแทกพื้นไม่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เหรอ”
“ดีซิครับ เป็นหนักๆ คุณไผ่จะได้อยู่ดูแลผมนานๆ”
ไผ่พญาชะงักคิดถึงคำพูดของหมอก่อนจะหันมาบอกกับตะวันฉาย
“ผ่าตัดเถอะนะคะ”
“อาการผมแย่แล้วใช่มั้ยครับ”
“เปล่าหรอกคะ คุณจะได้อยู่ให้ฉันเห็นหน้านานๆ ไง”
“ผมว่าอย่างนั้นมันยิ่งทรมานมากกว่าครับ...ทำไมคุณถึงไม่ชอบผมละครับ” ตะวันฉายตัดสินใจถาม ไผ่พญา
ชะงักมองสงสัย “คุณไผ่พยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามผมอยู่ตลอด แต่การที่คุณทำอย่างนั้น มันก็เป็นคำตอบในตัวมันเองอยู่แล้ว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ เฮ้อ...ฉันจะบอกยังไงดีเนี่ย”
ตะวันฉายมองนิ่งงันก่อนจะรวบรวมความกล้าถามขึ้น
“คุณชอบคุณภูใช่มั้ย”
“ฉัน...”
“ความรักน่ะง่ายจะตาย ถ้าชอบคุณก็บอกว่าชอบ ถ้าไม่ชอบก็แค่ไม่ชอบ คุณไผ่...ยิ่งคุณทำเป็นไม่รักมันก็ยิ่งเห็นความรักที่ซ่อนอยู่นะครับ”
ไผ่พญาไม่รู้จะพูดยังไง ตอนนี้เหมือนทั้งโลกอื้ออึงสำหรับเธอไปหมด
“เดี๋ยวฉันไปบอกพยาบาลว่าคุณฟื้นแล้ว”
ไผ่พญาลุกเดินออกจากห้องไป ตะวันฉายมองตามเศร้าๆ ด้วยความผิดหวัง

ที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล พยาบาลพันผ้าพันแผลที่แขนของภูวนัยเสร็จ
“ขอบคุณครับ”
หมอกำลังเขียนใบสั่งยาให้กับภูวนัย
“แน่ใจนะว่าโดนสังกะสีมา”
“ครับ”
“แต่ผมว่าไม่ใช่นะ เพราะแผลของคุณมันมีรอยไหม้บริเวณรอบๆ”
“ผมถูกสังกะสีบาดจริงๆ ครับ”
หมอมองภูวนัยอย่างสงสัย แต่พอเห็นแววตาของภูวนัยก็พยายามทำหน้าปกติ ภูวนัยเริ่มเอะใจ
“ได้...งั้นเดี๋ยวคุณรอแป๊ปนึงนะ หมอขอไปสั่งยาก่อน”
หมอลุกออกไปคุยกับพยาบาลที่อยู่อีกด้านของฉากกั้น ภูวนัยมองตาม
“นี่คุณลองโทรเช็คตำรวจให้หน่อยว่ามีผู้ร้ายถูกยิงบาดเจ็บบริเวณนี้หรือเปล่า”
หมอคุยกับพยาบาล พยาบาลรับคำสั่งก่อนจะรีบเดินออกไป หมอเดินกลับมาบริเวณที่ทำแผลก็ต้องแปลกใจเมื่อภูวนัยไม่อยู่ตรงนั้นซะแล้ว

ภูวนัยเดินก้มหน้าก้มตามาตามทางเดิน เร่งฝีเท้าเพื่อจะออกไปจากโรงพยาบาลเร็วที่สุด ระหว่างนั้นภูวนัยก็ชนเข้ากับไผ่พญาบริเวณหัวมุมพอดี ไผ่พญาร้องขึ้นอย่างตกใจ ขณะที่ภูวนัยร้องขึ้นด้วยความเจ็บ แล้วพอทั้งสองตั้งสติได้ต่างก็อึ้งไปเมื่อเห็นกันและกัน
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
ไผ่พญาไม่รู้จะบอกยังไง มองไปที่แขนของภูวนัย
“เอ่อ...นายบาดเจ็บเหรอ”
ภูวนัยไม่อยากจะบอกไผ่พญาว่าเรื่องอะไร ระหว่างนั้นภูวนัยเหลือบไปเห็นว่า รปภ.ของโรงพยาบาลกำลังวิ่งเข้ามา
“ผมต้องไปแล้ว”
ภูวนัยหันหลังจะเดินไปอีกทาง แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักเพราะเห็นหมอกับพยาบาลกำลังวิ่งเข้ามาเหมือนกัน
ไผ่พญาเห็นอาการของภูวนัยก็รู้ทันทีว่าภูวนัยกำลังตกที่นั่งลำบาก ไผ่พญาตัดสินใจคว้ามือของภูวนัยแล้วดึงไปทันที
“มาทางนี้”

ตะวันฉายเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่แล้วตะวันฉายก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญากับภูวนัยวิ่งเข้ามาในห้อง
“คุณภู” ตะวันฉายมองสังเกตทุกอย่างทั้งท่าทางและบาดแผลก็สงสัย “มีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ภูวนัยเห็นตะวันฉายเองก็แปลกใจเหมือนกัน
“เอ่อ...คุณตะวันเขาอาหารเป็นพิษ ก็เลยมานอนให้น้ำเกลือ ใช่มั้ยคะคุณตะวัน” ไผ่พญาบอก ตะวันฉายจึงต้องรับมุข
“ครับ”
ภูวนัยเห็นไผ่พญามาอยู่กับตะวันฉายอย่างนี้ก็ยิ่งปวดใจ ภูวนัยจะเดินออกไปแต่ไผ่พญาดึงเอาไว้
“จะไปไหน”
“ผมเอาตัวรอดได้ แต่ถ้ามีคนมาเห็นผมอยู่กับพวกคุณ พวกคุณนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”
“เลิกทำเป็นอวดเก่งซะทีได้มั้ย” ภูวนัยชะงักไป
ตะวันฉายเห็นภูวนัยกับไผ่พญาเถียงกันก็ทำให้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งสองคน และรับรู้เรื่องราวของภารกิจต่างๆ
“อยู่ในห้องนี้แหละ เดี๋ยวฉันมา”
ไผ่พญาจะเดินออกไป ภูวนัยคว้ามือไผ่พญาเอาไว้
“จะไปไหน”
“เปิดทางให้นายไง”
ไผ่พญาพูดแล้วก็เดินออกไป ภูวนัยหนักใจเป็นห่วงไผ่พญา เสียงตะวันฉายดังขึ้น
“เจอคุณภูก็ดีแล้ว ผมกำลังอยากคุยกับคุณภูอยู่พอดี”
“คุณกับผม เรื่องอะไร”
“เรื่องคุณไผ่ครับ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป

ไผ่พญาเดินมาตามทางแล้วเธอก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหมอกำลังคุยกับรปภ.ของโรงพยาบาลอยู่ ไผ่พญาครุ่นคิดหาวิธี
“ผมว่าต้องเป็นคนร้ายแน่ๆ ไม่อย่างนั้นจะหนีทำไม”
ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“โทษนะคะ” หมอกับรปภ.หันมา “ไม่ทราบว่าพอจะเห็นผู้ชายคนนี้มั้ยคะ”
ไผ่พญาหยิบมือถือที่มีรูปของภูวนัยให้หมอกับรปภ.ดู พอหมอกับรปภ.เห็นก็มองไผ่พญาแปลกๆ
“คุณเป็นอะไรกับชายคนนี้”
“เป็นเมียเขาคะ”
“แล้วคุณรู้มั้ยว่าสามีคุณไปทำอะไรมา ถึงได้ถูกยิง”
ไผ่พญาอึ้งไปเหมือนกันเมื่อรู้ว่าภูวนัยถูกยิง อุทานเบาๆ
“ถูกยิง” ไผ่พญาตั้งสติสร้างเรื่องโกหกหมอ “อ๋อ...คือฉันเป็นคนยิงเขาเองน่ะคะ” ทั้งหมอกับรปภ.พอได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับหน้าเหวอ ไผ่พญาเริ่มเล่นละครอย่างมีอารมณ์ “ผู้ชายก็เป็นเหมือนกันหมดแหละ มักมากในกามเห็นผู้หญิงหน่อยไม่ได้ ยิ่งพูดยิ่งโมโห...ตกลงเห็นสามีฉันมั้ย” ไผ่พญาหันไปตวาดหมอ หมอถึงกับสะดุ้ง
“เอ่อ...เขามาทำแผล แล้วคงกลับไปแล้ว คุณลองกลับไปดูที่บ้านนะ ยังไงหมอขอตัวก่อนเดี๋ยวคนไข้รอ”
ทั้งหมอและรปภ.ต่างรีบชิ่งไผ่พญาออกไปเพราะกลัวในความโหดของเธอ

ไผ่พญาทำหน้าตึงอยู่อย่างนั้น จนหมอกับรปภ.ไปจึงคลายความโล่งอก

ตะวันฉายนั่งอยู่ภายในห้อง ระหว่างนั้นไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาอย่างระแวดระวังตัว

“คุณไผ่ไม่เป็นอะไรนะครับ”
“สบายมากคะ” ไผ่พญามองไปในห้องแล้วไม่เห็นภูวนัย “อ้าว...แล้วคุณภูละคะ”
“ไปแล้วครับ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็เหมือนใจหายเล็กน้อย ตะวันฉายเอื้อมมือมาจับมือของไผ่พญาขึ้นมา
“ทำอะไรคะคุณตะวัน”
“ก่อนที่คุณภูจะไป เขาฝากผมดูแลคุณ” ตะวันฉายสบตาซึ้ง “ให้ผมดูแลคุณนะครับ”
ไผ่พญาอึ้งไป

ภูวนัยเดินมาที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล แต่แล้วภูวนัยหยุดก่อนจะนึกไปถึงตอนที่เขาคุยกับตะวันฉายภายในห้องพัก
“มีอะไร”
ตะวันฉายเดินเข้ามา
“ผมรู้มาว่าตอนนี้คุณภูกับคุณไผ่กำลังทำภารกิจลับบางอย่างอยู่”
“เธอบอกคุณอย่างนั้นเหรอ”
“อาจจะไม่ทั้งหมด แต่เท่าที่เห็นผมก็พอจะรู้ คุณภู...ผมรู้ว่าคุณเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วคุณภูก็ต้องการทวงความยุติธรรมกลับคืนมา”
“คุณตะวันอยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“ผมชอบคุณไผ่”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“แล้วคุณมาบอกผมทำไม”
“เพราะผมคิดว่าคุณภูเองก็ชอบคุณไผ่เหมือนกัน”
ภูวนัยชะงักทันทีเมื่อตะวันฉายเล่นยิงหมัดตรง ภูวนัยรีบกลบความรู้สึกทันที
“ผมน่ะเหรอชอบเธอ...หึ”
“คุณภู ทำไมเราไม่เปิดใจคุยกันครับ ผมอยากรู้ว่าคุณภูชอบคุณไผ่หรือเปล่า”
ภูวนัยนิ่งไปเหมือนไตร่ตรองทุกอย่าง ในที่สุดภูวนัยก็ตัดสินใจได้
“ผมไม่ได้ชอบเธอ แล้วก็จะไม่มีวันชอบด้วย”
“ก็ดีครับถ้าคุณภูคิดอย่างนั้น” ภูวนัยหันมองมาที่ตะวันฉาย “เพราะผมไม่อยากให้คุณภูเจอกับคุณไผ่อีก” ภูวนัยถึงกับอึ้งไปเมื่อได้ยินตะวันฉายประกาศโต้งๆ ออกมา “คุณภูอาจจะคิดว่าผมเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็แล้วแต่...แต่ที่ผมบอกคุณภูอย่างนี้เพราะผมไม่อยากให้คุณไผ่ต้องอยู่ในอันตราย”
ตะวันฉายพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง ภูวนัยอึ้งไป
ภูวนัยยืนนิ่งหลับตายากจะทำใจ

วันต่อมาที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด ชาติกล้าเดินออกมาจากห้องทำงาน วีระกับราชัยรีบเข้ามาหาชาติกล้า
“หัวหน้าครับ”
“มีอะไร”
“หัวหน้าอ่านข่าวหรือยังครับ” ชาติกล้าทำหน้าสงสัย “ก็เสี่ยแคนน่ะซิครับ เห็นว่าขับรถประสานงากับสิบล้อตายแล้วเมื่อคืนครับ”
ชาติกล้าแกล้งทำสีหน้าอึ้ง
“น่าแปลกนะครับหัวหน้า”
“ทำไม”
“เอ้า...ก็หลังจากที่เราประกาศนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล ไอ้พวกห้าเสือก็ตายไปทีละคนสองคน เหมือนมีใครจงใจเก็บพวกมันยังไงไม่รู้ หัวหน้าว่ามั้ยครับ”
“คนพวกนั้นทำชั่วมาเยอะ ผมว่าไม่แปลกที่จะมีใครคิดฆ่าพวกนั้น” ชาติกล้าจะเดินไปแล้วนึกได้ “เออ...ผมอยากให้ตามเรื่องแม่เลี้ยงรัญญาหน่อย”
“เรื่องอะไรครับ”
“ทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเธอ”
วีระกับราชัยรับคำสั่งก่อนจะรีบเดินออกไป ชาติกล้าหรี่ตาลงอย่างเลือดเย็น

ชาติกล้ามาหาวศินที่บ้าน วศินหันมาแล้วพูดอย่างชอบใจ
“ถูกสิบล้อชนเหรอ...ใช้ได้” ชาติกล้าอยู่ภายในห้องทำงานกับวศิน วศินเดินลงมานั่งที่โต๊ะทำงานก่อนจะเห็นสายตาของวศินกร้าวขึ้น “แล้วปล่อยให้แม่เลี้ยงรอดไปได้ยังไง”
“เธอบอกว่าเธอมีสิ่งที่ทำให้ท่านต้องปล่อยเธอไปครับ”
วศินได้ยินอย่างนั้นถึงกับชะงัก
“แล้วลื้อก็เชื่อ ก็เลยปล่อยมันไปหรือไง”
“ไม่ใช่ครับ มีคนช่วยเธอ”
“ช่วย”
“ท่านครับ ผมว่าอาจจะมีคนบางกลุ่มที่กำลังคิดต่อกรกับเรา”
วศินได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าเครียดลงทันที ชาติกล้าเองก็เช่นกัน

เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ อภิวัฒน์หันมาหาภูวนัย
“หมวดทำถูกต้องแล้วที่ปล่อยแม่เลี้ยงไป ยังดีกว่าที่ให้แม่เลี้ยงตกไปอยู่ในมือของพวกมัน แผลเป็นไงมั้ง”
“แค่ถากไป ไม่เป็นไรมากครับ” อภิวัฒน์พยักหน้ารับทราบ “แล้วท่านได้ข่าวเรื่องแม่เลี้ยงหรือยังครับ” อภิวัฒน์ส่ายหน้า
“แต่ผมมั่นใจว่าแม่เลี้ยงยังอยู่ในเมืองไทย เพราะผมให้คนของเราดูทุกเส้นทางที่จะหนีออกนอกประเทศได้ แต่ก็ไม่มีเบาะแสอะไร”
“ถ้าอย่างนั้น แม่เลี้ยงอาจจะหลบไปอยู่กับใครบางคน”
ภูวนัยสีหน้าเครียดลงอย่างหนักใจ

ที่โรงพยาบาล ไผ่พญานั่งเฝ้าตะวันฉายอยู่ที่โซฟา นึกไปถึงเรื่องที่ตะวันฉายบอกเธอเมื่อคืน คำพูดของตะวันฉายดังแว่วเข้ามา
“ก่อนที่คุณภูจะไป เขาฝากผมดูแลคุณ”
ไผ่พญาน้ำตาคลอเสียใจที่เหมือนถูกภูวนัยผลักไสไล่ส่ง ระหว่างนั้นตะวันฉายตื่นขึ้น ก่อนจะหันไปเห็นไผ่พญานั่งอยู่ที่โซฟา
“คุณไผ่อยู่เฝ้าผมทั้งคืนเลยเหรอครับ” ไผ่พญาได้ยินเสียงตะวันฉายดังขึ้นก็รีบปาดน้ำตา ตะวันฉายแอบสังเกตเห็น “คุณไผ่คิดเรื่องคุณภูทั้งคืนเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกคะ ฉันอยู่เฝ้าคุณตะวันนั่นแหละ คุณตะวันไม่สบายแล้วฉันจะนอนหลับได้ยังไงละ”
“แต่ผมต้องเป็นดูแลคุณนะ”
ไผ่พญาพยายามร่าเริง
“นั่นซิ...แต่เอาไว้ให้คุณตะวันหายก่อนนะ”
“ได้ครับ ผมสัญญา”
ไผ่พญายิ้มให้ก่อนจะลุกขึ้นบิดขี้เกียจ
“ฮ้ายย...นั่งมาทั้งคืน ฉันขอไปเดินเล่นบิดขี้เกียจหน่อยนะคะ”
“ครับ”
ไผ่พญายิ้มให้ตะวันฉายก่อนจะเดินออกไป
ไผ่พญาเดินออกมาจากห้องพักของตะวันฉาย พอพ้นประตูห้องไผ่พญาก็ยืนพิงกำแพงอย่างหมดแรงกายแรงใจ ที่ประตูห้องพัก

ตะวันฉายยืนมองไผ่พญาอยู่ที่ประตูด้วยความเป็นห่วง

ไผ่พญานั่งอยู่ที่สวนหย่อมกำลังปล่อยใจไปกับความผิดหวัง ระหว่างนั้นเสียงของตะวันฉายดังขึ้น

“ไปกันหรือยังครับ”
ไผ่พญาหันมาก็เห็นตะวันฉายเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดของตัวเองแล้ว ไผ่พญาทำหน้าแปลกใจ
“ไปไหนคะ”
“ก็ไปเที่ยวไงครับ”
“เที่ยว? แต่คุณตะวัน”
“ผมขออนุญาตหมอแล้ว ไปกันเถอะครับ”
ตะวันฉายรีบดึงไผ่พญาออกไป ไผ่พญางงไม่ทันตั้งตัว

ส่วนที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ สมสุขกำลังหัวเราะร่า
“นี่ผมช่วยท่านมาเยอะแล้ว ท่านไม่คิดจะช่วยอะไรผมบ้างเหรอครับ”
“อย่ามัวเล่นลิ้น ยิ่งนายบอกเราช้าเท่าไหร่ ไอ้พวกวศินอาจจะถึงตัวแม่เลี้ยงก่อนพวกเราเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นนายก็ไม่ต้องมาเจ็บใจที่ทำอะไรมันไม่ได้ก็แล้วกัน”
“แหม...หมวดเล่นกระตุ้นต่อมอย่างนี้ใครจะไปทนไหว”
“บอกมา นายคิดว่าแม่เลี้ยงจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“ลองไปหาๆ ดูแถวพัทยาซิครับ ถามหาคนชื่อโจอี้” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้นจะเดินออกไป ระหว่างนั้นเสียงสมสุขพูดขึ้นอีก “แนะนำว่างานนี้หมวดควรจะใช้ผู้หญิงกรุยทางไปก่อนน่าจะดีกว่า”
“ทำไม ไอ้โจอี้มันเป็นใคร” สมสุขเดินอ้อมภูวนัยเข้ามาด้านหลังก่อนจะเขี่ยติ่งหูภูวนัยเล่น ภูวนัยปัดมือทิ้งลุกขึ้นจะเอาเรื่อง “จะทำอะไร”
“เอ้า จะไปหาผู้กำกับหนังโป๊ มันก็ต้องเรียนรู้ท่าทางลีลาหน่อยซิหมวด ไอ้โจอี้มันเป็นผู้กำกับหนังโป๊ที่ใช้หญิงไทยเล่นหนังจนทำให้มันเป็นเจ้าพ่อหนังโป๊ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในวงการหนังใต้ดิน ถ้าเอ่ยชื่อมันก็รู้จักกันทุกคน”
“หมวด งานนี้เราต้องใช้คุณไผ่” อภิวัฒน์บอก
“ไม่ครับ” ภูวนัยสวนขึ้นทันที แล้วตั้งสติได้ “เอ่อ...คือผมว่าเธอไม่เหมาะกับงานนี้”
“อ้ะๆๆ หึงเหรอหมวด”
“หุบปากไปเลยสมสุข” แล้วภูวนัยก็นึกขึ้นมาได้ “ท่านครับ ผมรู้แล้วครับว่าใครที่จะทำงานนี้ได้”
อภิวัฒน์กับสมสุขสงสัยว่าเป็นใคร

วันเดียวกันนั้นที่ห้างสรรพสินค้า เท้าของผู้หญิงคนนึงใส่ส้นสูงสูงปรี้ดเดินมาตามทาง ผู้คนที่ผู้หญิงคนนั้นเดินผ่านต่างมองตามกันเป็นแถว ผู้หญิงคนนั้นหยุดก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมากด
“ภูคะ พั้นซ์มาถึงแล้ว ภูอยู่ไหนคะ”
ผู้หญิงคนนั้นคือพรรณรายนั่นเอง

อีกมุมหนึ่งของห้างสรรพสินค้า ไผ่พญาเดินมากับตะวันฉาย ไผ่พญาถามตะวันฉายด้วยความสงสัย
“นี่คุณตะวันพาฉันมาห้างทำไม”
“ก็งานแรกของผมไงครับ” ไผ่พญายิ่งสงสัย “ตอนนี้ผมเป็นบอร์ดี้การ์ดคุณแล้วนะ”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะคว้ามือไผ่พญาวิ่ง
“เฮ้ย! คุณตะวันจะทำอะไร”
“ทำให้คุณสบายใจไงครับ”
ตะวันฉายรีบจูงมือไผ่พญาวิ่งออกไป

ตะวันฉายกับไผ่พญากำลังนั่งทานไอศครีมอยู่ในร้าน
“นี่เหรอที่ทำให้ฉันสบายใจ”
“ครับ ไม่เคยได้ยินเหรอครับว่าการกินของหวานๆ ทำให้คนอารมณ์ดี”
“โห...ถ้าคุณหมอที่ดูแลคุณตะวันรู้ว่าคุณหนีออกมาทานไอติมกับฉันละก็ ฉันต้องโดนว่ายกใหญ่แน่ๆ เลย”
ตะวันฉายมองหน้าไผ่พญาแล้วก็ขำเมื่อเห็นไอศกรีมเลอะปากของไผ่พญา ตะวันฉายหยิบกระดาษขึ้นมาเช็ดให้
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ได้ดูแลเฉพาะร่างกายคุณไผ่นะ ผมอยากดูแลหัวใจของคุณด้วย”
ไผ่พญายิ้มให้ตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มให้อย่างจริงใจ

ขณะนั้นภูวนัยซึ่งยืนใส่หมวกอยู่บริเวณทางเดินของห้าง จนกระทั่งเสียงของพรรณรายดังขึ้น
“ภู” ภูวนัยหันมาก็เห็นพรรณรายยืนอยู่ พรรณรายวิ่งโผเข้ามาหาภูวนัยแล้วกอดด้วยความคิดถึง “ภูอ่ะ พั้นซ์คิดถึงภูจังเลย”
“อย่าพั้นซ์”
“ทำไมละคะ ก็พั้นซ์คิดถึงภูนี่ แล้วนี่ภูหายไปไหนมา...เกิดอะไรขึ้น...ทำไมไม่ติดต่อพั้นซ์มาบ้างเลย...แล้วทำไม”
ภูวนัยเริ่มเห็นว่าผู้คนเริ่มมอง ภูวนัยกลัวเป็นจุดสนใจจึงพูดสวนขึ้น
“พั้นซ์...ผมจะเล่าให้คุณฟังทุกอย่าง แต่ตอนนี้ผมว่าเรารีบไปจากตรงนี้เถอะ”
พรรณรายสงสัยว่าทำไมภูวนัยถึงได้ดูลับๆ ล่อๆ

ภูวนัยเดินมาตามทางเดิน พรรณรายพยายามจ้ำฝีเท้าเดินตาม
“ภูอ่ะ ถ้าภูไม่บอกว่าเรียกพั้นซ์มาทำไม พั้นซ์กลับจริงๆ ด้วย”
ภูวนัยหยุดเดินแล้วหันมา
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟังได้มั้ย”
พรรณรายหน้ามุ่ย แล้วเหมือนนึกขึ้นมาได้
“อ๋อ...พั้นซ์รู้แล้ว” ภูวนัยแปลกใจ “ภูคิดถึงพั้นซ์ใช่ม้า แล้วภูก็อยากไปบอกพั้นซ์ที่อื่น เพราะภูอายละซิ” พรรณรายเดินเข้ามาคล้องคอภูวนัยอย่างยั่วยวน “อายทำไมคะ”
“พั้นซ์ อย่าทำอย่างนี้”
ระหว่างที่ภูวนัยกำลังจะแกะมือของพรรณรายที่คล้องอยู่ออกเสียงของตะวันฉายก็ดังขึ้น
“คุณภู”
ภูวนัยกับพรรณรายหันมาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นตะวันฉายกับไผ่พญายืนอยู่ ไผ่พญาเองก็อึ้งไปเพราะภาพทีเห็นเหมือนกับภูวนัยกำลังนัวเนียกับพรรณรายอยู่นั่นเอง ภูวนัยกับไผ่พญาต่างคนต่างสบตากัน
“ว้าย...ตายแล้ว นี่เธอสองคนกิ๊กกันเหรอเนี่ย” พรรณรายถามออกมา
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ เดี๋ยวคุณไผ่จะเสียหาย”
พรรณรายแอบยิ้มเยาะไผ่พญา
“สวัสดี”
“สวัสดีคะคุณพั้นซ์”
“คุณพั้นซ์มาทำธุระที่กรุงเทพฯเหรอครับ”
“เปล่า ภูเขาคิดถึงฉันเขาก็เลยโทรเรียกให้ฉันมาหา...ใช่มั้ยคะภู”
ภูวนัยหันมองไปที่ไผ่พญากับตะวันฉายก็เลยพูดขึ้นอย่างประชดรักซะเลย
“ก็เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนี่”
อยู่ๆ พรรณรายก็ร้องขึ้น
“ว้าย...” ทุกคนงงว่าพรรณรายร้องทำไม “ภูอ่ะ บอกรักอย่างนี้พั้นซ์ก็เขินแย่ซิ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หมั่นไส้ ไม่ยอมแพ้
“เราไปดูหนังกันต่อมั้ยคะคุณตะวัน”
ตะวันฉายงง ตั้งตัวไม่ถูก
“เอ่อ”
ไผ่พญาออดอ้อนเหมือนพรรณราย
“ไหนคุณตะวันบอกว่าจะตามใจไผ่ไงคะ” ไผ่พญาจับมือตะวันฉายโชว์ภูวนัยซะเลย “ไปกันเถอะคะ”
ตะวันฉายเองก็อึ้งไปที่ไผ่พญาจับมือเขา ไผ่พญาดึงตะวันฉายจับมือกันออกไปภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็ไม่พอใจ
“ไม่น่าเชื่อว่าสองคนนั้นจะชอบกันนะคะภู” ภูวนัยมองตามก็ยิ่งไม่พอใจจึงเดินออกไปเลย “แต่ดูๆ ไปแล้ว ก็เหมาะกันดีนะคะ พวกวรรณะต่ำทั้งคู่”
พรรณรายหันมาแล้วก็ตกใจเพราะภูวนัยเดินออกไปแล้ว

“อ้าว...ภู รอพั้นซ์ด้วย”

ไผ่พญาเดินจับมือตะวันฉายมาตามทาง ก่อนที่ตะวันฉายจะสะอึกไปเมื่อไผ่พญาอยู่ๆ ก็ปล่อยมือ

“เอ่อ...คุณตะวันอยากดูเรื่องอะไรคะ”
ตะวันฉายสำรวจความรู้สึกแล้วตัดสินใจบอก
“ไม่ต้องดูหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณไผ่ไม่ได้อยากดู”
ไผ่พญาชะงักไปที่ตะวันฉายรู้ทัน จึงรู้สึกผิด
“ขอโทษนะคะ”
ตะวันฉายยังยิ้มให้อย่างเต็มใจเช่นเดิม
“ไม่เป็นไรครับ แค่ได้ทานไอติมกับคุณ แค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว”
ไผ่พญาอมยิ้มให้ตะวันฉาย แต่ก็แอบหึงภูวนัยกับพรรณราย

ภูวนัยพาพรรณรายเดินเข้ามาในเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ พรรณรายมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ
“โห...ภูทำงานลับที่นี่เหรอคะ” ภูวนัยพยักหน้า “แล้วไอ้งานลับที่ว่ามันเหมือนในหนังหรือเปล่าคะภู แบบพวก 007 อะไรอย่างนั้นน่ะคะ”
“นั่นมันหนังนะพั้นซ์ ที่นี่ไม่มีเรื่องอย่างนั้นหรอก”
พรรณรายหันมาหาภูวนัยก่อนจะเริ่มยั่วอีก
“แล้วภูชอบทำงานลับอย่างเดียว หรือชอบทำอะไรลับๆ ด้วยคะ พาพั้นซ์ขึ้นไปดูห้องภูหน่อยซิคะ”
ระหว่างนั้นเสียงอภิวัฒน์ดังขึ้น
“ผู้หญิงคนนี้น่ะเหรอ”
พรรณรายหันไปก็เห็นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“ภู ไอ้แก่นี่ใครน่ะคะ” อภิวัฒน์สะดุ้งเล็กน้อย
“ท่านอภิวัฒน์ หัวหน้าผมเอง”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็หันมาก่อนจะถอนสายบัวไหว้แทบจะติดพื้น
“สวัสดีคะท่าน”
อภิวัฒน์มองพรรณรายอย่างพิจารณา
“ผู้หญิงคนนี้เหมาะกับงานนี้จริงๆ”
พรรณรายทำหน้าสงสัยก่อนจะหันไปถามภูวนัย
“งานอะไรคะภู”
ภูวนัยกระอักกระอ่วนไม่รู้จะพูดยังไง

ส่วนแม่เลี้ยงรัญญาหลังจากหนีมาได้ ตอนนี้เธออยู่ภายในห้องแห่งหนึ่งที่ปิดทึบแสงน้อย แม่เลี้ยงรัญญาเอานิ้วคลึงไปที่หัวแหวนอย่างครุ่นคิดซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวว่าเวลาที่แม่เลี้ยงรัญญาใช้ความคิดจะใช้นิ้วคลึงที่หัวแหวน
ระหว่างนั้นแม่เลี้ยงรัญญาได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมา เธอตื่นตัวรีบลุกขึ้นมาหยิบปืนเตรียมพร้อม
แม่เลี้ยงรัญญาพิงที่ข้างประตู กระชับปืนพร้อมยิง มือของผู้ชายคนนึงจับลูกบิดแล้วเปิดประตูเข้าไป แม่เลี้ยงรัญญาเดินไปด้านหลังชายคนนั้นก่อนจะเล็งปืนไว้
“หันมา”
ชายคนนั้นหันมาจึงเห็นว่าเป็นโจอี้ โจอี้กับแม่เลี้ยงรัญญาต่างจ้องตากันไม่หลบอย่างไม่มีใครกลัวใคร แต่แล้วทั้งแม่เลี้ยงรัญญากับโจอี้ก็ยิ้มกันออกมา
“ยังดุเหมือนเดิมนะแม่เลี้ยง”
“นายก็ยังระวังเหมือนเดิมนะโจอี้”
โจอี้กับแม่เลี้ยงรัญญาจับมือกันแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดี
“เด็กๆ ผมต้อนรับดีมั้ยแม่เลี้ยง”
“ให้ฉันมาอยู่ในฉากถ่ายหนังโป๊แกอย่างนี้เนี่ย เขาเรียกว่าต้อนรับดีหรือเปล่าละ”
โจอี้หัวเราะชอบใจ
“แหม...ไม่คิดว่าเจ้าแม่ค้ามนุษย์จะแคร์เรื่องอย่างนี้ด้วย”
แม่เลี้ยงรัญญายกมือบอกประมาณว่าไม่เป็นไร
“ฉันไม่สนใจเรื่องนั้น แต่ฉันอยากรู้ว่านายได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
“ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่” แม่เลี้ยงรัญญานิ่งไปด้วยความสงสัย “แม่เลี้ยงคิดมากไปเองหรือเปล่า ผมไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“แกอยู่วงการนี้มานานก็น่าจะรู้นี่ว่ายิ่งเงียบเท่าไหร่มันก็ยิ่งน่ากลัว”
“แล้วแม่เลี้ยงกลัวอะไร”
แม่เลี้ยงรัญญานิ่งเงียบ โจอี้มองแม่เลี้ยงรัญญาอย่างสงสัย

ห้องทำงานชาติกล้า ชาติกล้ากำลังอ่านแฟ้มอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ทั้งหมดนี่คือเครือข่ายที่มีความสนิทสนมกับแม่เลี้ยงใช่มั้ย”
“ครับ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกค้าประเวณี”
“จัดกำลังให้พร้อม เราจะบุกทุกที่ที่อยู่ในแฟ้มนี้”
“ครับ”
วีระจะเดินออกไป ระหว่างนั้นชาติกล้าเรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนหมู่”
“ครับหัวหน้า”
“ถ้าหมู่เป็นแม่เลี้ยง หมู่จะหลบไปอยู่กับใคร”
“ขอโทษนะครับหัวหน้า” วีระเข้าไปดึงแฟ้มแล้วเปิดๆๆ แล้วยื่นให้กับชาติกล้า ชาติกล้ามองแฟ้มแล้วเห็นว่าเป็นรูปของโจอี้นั่นเอง “ผมคงไปอยู่กับไอ้หมอนี่มั้งครับหัวหน้า เพราะไอ้นี่ถือว่ามาเฟียที่แม้แต่ตำรวจพื้นที่ยังไม่กล้าทำอะไรมัน ผมว่ามันน่าจะคุ้มหัวแม่เลี้ยงได้ครับ”
ชาติกล้ามองรูปของโจอี้ ครุ่นคิดบางอย่าง

คืนนั้นที่หน้าผับแห่งหนึ่ง รถของภูวนัยจอดอยู่ที่ไม่ไกลจากผับ ภูวนัยจ้องมองไปที่หน้าผับนั้น
“นั่นคือผับของไอ้โจอี้ที่มันเอาไว้เป็นฉากหน้า มันมักจะจับผู้หญิงที่มาเที่ยวที่นี่แหละ พั้นซ์...คุณพร้อมมั้ย”
พรรณรายแต่งตัวเซ็กซี่ แต่มีอาการสั่นกลัว
“ภูจะให้พั้นซ์ทำงานนี้จริงๆ เหรอคะ”
“ไม่ต้องกลัวพั้นซ์ คุณแค่โยนเหยื่อให้มันติดกับแล้วล่อมันออกมาไปที่อื่นแล้วผมจะขับรถตามแล้วค่อยจัดการ”
“แล้วภูไม่มี แบบว่าวิทยุดักฟังติดให้พั้นซ์หน่อยเหรอคะ”
“ไม่ได้ ที่ไอ้โจอี้มันรอดมือตำรวจมาได้ทุกวันนี้เพราะความระวังตัวของมัน มันพกเครื่องดักสัญญาณอิเลคโทนิคทุกชนิด ถ้าคุณติดไปรับรองว่ามันต้องจับได้แน่นอน”
“แต่พั้นซ์กลัว”
“ไม่ต้องห่วงนะพั้นซ์ คุณจะปลอดภัย...ผมให้สัญญา”
ภูวนัยเอื้อมมือไปจับมือพรรณราย พรรณรายรู้สึกช๊อตขึ้นมาทันที
“ได้คะ เพื่อภู พั้นซ์ทำได้ทุกอย่าง พั้นซ์ขอกำลังใจหน่อยนะคะภู”
“กำลังใจ”
ภูวนัยทำหน้างงทันใดนั้นพรรณรายก็ขโมยหอมแก้มภูวนัยทันที แล้วพรรณรายก็เปิดประตูลงไป

ภูวนัยมองตามพรรณรายด้วยอาการลุ้นๆ

อ่านต่อหน้า 2

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 16 (ต่อ)

พรรณรายเดินเข้ามาในผับแล้วมองไปรอบๆ และแล้วพรรณรายก็หันไปเห็นโจอี้นั่งอยู่ที่มุมส่วนตัวโดยมีบรรดาสาวๆ และลูกน้องโจอี้อยู่มุมหนึ่งแล้วพรรณรายก็นึกถึงคำพูดภูวนัย

“เมื่อคุณเจอโจอี้แล้ว คุณจะรู้ว่าคุณเข้าถึงตัวเขาไม่ได้ง่ายๆ”
“คอยดูเถอะ ไม่มีใครรอดมารยาของพั้นซ์ไปได้หรอก”
พรรณรายเดินเข้าไปในมุมที่โจอี้เห็น โจอี้หันมาเห็นพรรณราย พรรณรายยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ โจอี้ยิ้มตอบแต่กลับไม่สนใจแล้วหันไปยกแก้วดื่มกับบรรดาสาวๆ กันอย่างสนุกสนาน พรรณรายถึงกับเสียความมั่นใจ
“แล้วเสน่ห์ที่คุณคิดว่าคุณมี ก็ใช้ไม่ได้กับโจอี้เพราะโจอี้คือผู้กำกับหนังแบบนั้น เพราะฉะนั้นมันย่อมเห็นผู้หญิงเป็นเรื่องธรรมดา”
พรรณรายครุ่นคิดก่อนจะหันไปบอกกับพนักงานที่เดินผ่านมา
“นี่...ฉันเอากามิกาเซ่แล้วก็เบียร์สดแก้วนึง”
พนักงานเดินออกไป พรรณรายหันไปมองโจอี้ก่อนจะมีเสียงของภูวนัยดังขึ้นมาอีก
“สิ่งที่คุณต้องทำก็คือ ใส่ยานี่ลงไปในเครื่องดื่มของโจอี้”
พนักงานยกเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้กับพรรณราย พรรณรายยกแก้วกามิกาเซ่ของตัวเองขึ้นก่อนจะบอกกับพนักงาน
“เอาเบียร์ไปในชายคนนั้น บอกว่าฉันสั่งให้”
พนักงานหันไปมองที่โจอี้ พรรณรายก็แอบใส่ยาลงในแก้วโดยที่พนักงานไม่รู้ พนักงานรับทราบแล้วเดินเข้าไปหาโจอี้
“พี่โจอี้ ผู้หญิงคนนั้นสั่งเบียร์เลี้ยงพี่น่ะ สงสัยเธอจะอยากเป็นนางเอก”
โจอี้รับแก้วเบียร์มาก่อนจะหันไปมองพรรณรายที่ยกแก้วขึ้นชน โจอี้ยิ้มให้ก่อนจะยกแก้วเบียร์ขึ้นดื่มพรรณรายดื่มตามก่อนจะหันไปมองทางอื่นทำเป็นไม่สนใจ
“ยานี่จะทำให้โจอี้อยากอาเจียน”
โจอี้นั่งไปได้ซักพัก อยู่ๆ ก็เกิดพะอืดพะอมขึ้นมา
“เป็นไรพี่”
“เดี๋ยวพี่มา”
โจอี้รีบลุกออกไปทันที พรรณรายแอบมองตามอย่างไม่เชื่อสายตา
“โห ยาของภูดีจริงๆ”
พรรณรายมองตามโจอี้อย่างกล้าๆ กลัวๆ ในที่สุดพรรณรายก็ลุกเดินตามไป

ภูวนัยนั่งอยู่ภายในรถจับจ้องไปที่หน้าผับรอให้พรรณรายพาโจอี้ออกมาตามแผน ระหว่างนั้นมีคนมาเคาะกระจกรถ ภูวนัยชะงักจับปืนทันทีด้วยความระวังตัวแต่พอหันไปแล้วเห็นว่าเป็นเด็กขายดอกไม้จึงได้คลายความกังวลลง
อีกมุมเห็นชาติกล้าเดินเข้ามาที่หน้าผับ ภูวนัยคุยกับเด็กขายดอกไม้เลยทำให้ไม่ทันเห็นชาติกล้าเดินเข้าไปในผับ
“ซื้อดอกไม้ให้สาวมั้ยเพ่”
“ไม่ละ ไม่มีสาว ไปขายข้างหน้านะน้อง”
“อะไร หน้าก็หล่อแต่ไม่มีแฟนเป็นเกย์ปะเนี่ย”
“อ้าวเฮ้ย” ภูวนัยทำท่าจะเปิดประตูรถลง เด็กขายดอกไม้รีบวิ่งจู้ดออกไป “ทำไม ไม่มีแฟนมันแปลกตรงไหน”
ภูวนัยพูดไปก็แอบคิดถึงไผ่พญา

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่โรงพยาบาล ไผ่พญายืนอยู่ที่สวนหย่อมเหม่อมองไปยังทิวทัศน์เบื้องหน้า ตะวันฉายเดินเข้ามาด้านหลัง
“มาอยู่นี่เอง”
ไผ่พญาหลุดจากภวังค์หันมาเห็นตะวันฉายเดินเข้ามา
“เอ่อ...คุณหมอว่าไงมั้งคะ”
“หมอบอกว่า ถ้าผมยังหนีเที่ยวอีกคราวนี้เขาจะใส่กุญแจมือล่ามไว้กับเตียงเลย”
“เห็นมั้ย นี่ยังดีที่คุณไม่เป็นไร”
ตะวันฉายยิ้มก่อนจะหันไปยืนมองวิวเบื้องหน้าเช่นเดียวกับไผ่พญา
“ผมว่า การที่คุณภูเอาคุณพั้นซ์มาช่วยงานแทนคุณก็ดีเหมือนกันนะครับ”
“หือ”
“คุณไผ่กำลังคิดเรื่องนี้อยู่ไม่ใช่เหรอครับ”
ไผ่พญาสะอึกที่ตะวันฉายรู้
“เปล่าซะหน่อย แล้วที่คุณตะวันพูดเมื่อกี้หมายความว่าไงเหรอคะ”
ตะวันฉายเงียบเหมือนมีบางอย่างอยากจะบอก แต่ก็ตัดสินใจยังไม่บอก
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่เห็นคุณไผ่ไม่ต้องไปทำงานที่อันตรายอย่างนั้นผมก็ดีใจแล้วครับ”
ไผ่พญามองตะวันฉายที่ดีแสนดีกับเธอเหลือเกิน ไผ่พญาลองพยายามจะเปิดใจให้กับตะวันฉาย
“ทำไมคุณตะวันถึงชอบฉันคะ”
ตะวันฉายชะงักไปที่ไผ่พญาเล่นถามตรงๆ อย่างนี้
“เอ่อ...ไม่รู้ซิครับ...ผมก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงชอบคุณไผ่ แล้วผมก็ตอบตัวเองได้ว่าเพราะผมชอบคุณไผ่ งงมั้ยครับ”
“คุณตะวันนี่พูดอะไรไม่เข้าใจจริงๆ”
“นั่นซิครับ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าความรักหรือความรู้สึกมันไม่ต้องการเหตุผลมั้งครับ”
“ทั้งๆ ที่ฉันก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ดีเท่าแหละ โกหกเป็นไฟแล่บก็เท่านั้น แถมยังชอบทำให้คนอื่นเดือดร้อน คุณตะวันยังชอบฉันอยู่อีกเหรอคะ”
“นี่คงเป็นข้อดีของการเป็นปศุสัตว์มั้งครับ” ไผ่พญาทำหน้างง “คือพอผมทำงานกับสัตว์เยอะๆ แล้วนี่ จะเห็นว่าสัตว์พวกนั้นมันรักได้โดยไม่มีเงื่อนไข ผมเองก็เหมือนกันไม่ว่าคุณไผ่จะเป็นอะไรจะเป็นยังไง ความรู้สึกผมก็ยังเหมือนเดิม”
ตะวันฉายพูดพร้อมหยิบกล่องกำมะหยี่ออกมาให้ไผ่พญา ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็รู้ทันที
“อย่าคะคุณตะวัน”
ตะวันฉายงงและอึ้ง
“ทำไมครับ”
“ฉันไม่สามารถรับมันได้ ถ้าฉันยังไม่ได้รู้สึกว่าชอบคุณ ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ”
ไผ่พญาเดินจากไป ตะวันฉายมองตามเศร้าๆ

ส่วนที่ผับ โจอี้เดินเช็ดหน้าเช็ดตาเช็ดปากออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาเจียนเสร็จแล้ว ระหว่างนั้นเสียงของพรรณรายก็ดังขึ้น
“ฉันอยากเล่นหนัง”
โจอี้หันมาก็เห็นพรรณรายยืนโพสต์ท่าเซ็กซี่อยู่
“อะไรนะ พี่ฟังไม่ถนัด”
“พี่โจอี้เป็นผู้กำกับไม่ใช่เหรอ”
“แล้วรู้เหรอว่าพี่กำกับหนังอะไร”
พรรณรายเดินเข้ามาที่โจอี้ก่อนจะใช้นิ้วไล้ตามซอกใบหู ซอกคอ ลงมาที่แผ่นอก
“อย่างนี้น่ะ เขาเรียกว่ารู้มั้ย”
พรรณรายสบตาโจอี้เหมือนเชื้อเชิญ แต่แอบเห็นความหวาดหวั่นอยู่ด้วย โจอี้สบตาพรรณราย ก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือพรรณรายขึ้นมา
“ครั้งแรกเหรอ”
“อะไร” พรรณรายงง
“รู้มั้ยว่าในชีวิตฉันผ่านผู้หญิงมาหลายพันคน แค่ฉันมองดูก็รู้แล้วว่าใครเป็นยังไง ฉันสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นผ่านปลายนิ้ว...ผ่านดวงตา...ภายนอกเธออาจจะทำให้คนอื่นเชื่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ร้อนแรง แต่สำหรับโจอี้คนนี้ ดูก็รู้ว่าเธอกำลังกลัวอยู่” พรรณรายคิดว่าแผนแตกแน่ๆ แต่โจอี้คว้าพรรณรายเข้ามากอด “ แต่อย่างนี้แหละ ฉันชอบ”

พรรณรายถึงกับเหวอไปเพราะตอนแรกคิดว่าจะเหลวแล้วแต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร

ชาติกล้าเดินเข้ามาในผับแล้วมองไปรอบๆ อย่างสังเกตการณ์ ก่อนจะเรียกพนักงานคนหนึ่งมาถาม

“โจอี้อยู่ไหน”
พนักงานชะงัก
“โจอี้ไหนพี่”
“แกก็น่าจะรู้นะว่าโจอี้ไหน”
“แล้วพี่เป็นใคร”
ชาติกล้าไม่พูดแต่โชว์ตราตำรวจให้ดู พนักงานคนนั้นเห็นก็ตกใจก่อนจะพยายามเก็บอาการแล้วบอกชาติกล้า
“อุ้ย ขอโทษครับ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าพี่เป็นตำรวจ”
“โจอี้อยู่ไหน”
“ไม่เข้าครับ พักนี้พี่โจอี้ไม่ได้มานี่เลย”
“เหรอ ขอบใจมาก”
พนักงานคนนั้นรีบเดินหลบชาติกล้าออกมา

โจอี้กับพรรณรายเดินมาตามทางเดิน
“เราจะไปที่ไหนกันคะ”
“ที่ถามเนี่ยไม่รู้จริงๆ เหรอ” พรรณรายงง “ก็ไปสวรรค์ไง” พรรณรายชะงักนิดนึง แต่รีบเปลี่ยนท่าทีเป็นยิ้มยั่วให้โจอี้ “เดี๋ยวน้องพั้นซ์รอพี่ข้างหน้านะ พี่ขอจัดการกับธุรกิจที่นี่ก่อน”
“ได้คะ อย่านานนะคะ”
พรรณรายโปรยเสน่ห์ให้โจอี้ก่อนจะเดินออกไป โจอี้มองตามกำลังจะเดินไประหว่างนั้นพนักงานคนที่ชาติกล้าถามเดินเข้ามาอย่างร้อนรน
“พี่...พี่”
“อะไร”
“มีตำรวจมาถามหาพี่”
“แล้วแกบอกว่าไง”
ระหว่างนั้นเสียงชาติกล้าดังขึ้น
“อยู่นี่เอง...โจอี้”
โจอี้หันไปก็เห็นชาติกล้าที่มีสีหน้าจริงจังก็แปลกใจว่าชาติกล้าเป็นใคร

ที่หน้าผับ ภูวนัยดูนาฬิกาข้อมือเริ่มหวั่นใจกลัวว่าพรรณรายจะเป็นอะไรหรือเปล่า ภูวนัยตัดสินใจหยิบปืนพกติดตัวกำลังจะเปิดประตูรถ แต่แล้วพรรณรายก็เดินออกมาหน้าผับ ภูวนัยชะงักแล้วโล่งอก ภูวนัยแปลกใจเมื่อไม่เห็นโจอี้เดินตามมาด้วย
พรรณรายส่งสัญญาณทำมือว่า”โอเค” ให้ภูวนัย ภูวนัยจึงนั่งรออยู่ในรถเหมือนเดิม
โจอี้ยืนคุยกับชาติกล้าอยู่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยมีผู้คน
“ทำไมถึงคิดว่าแม่เลี้ยงจะหนีมาอยู่กับผมละครับ”
“เพราะถ้าขาดแม่เลี้ยง ไอ้ธุรกิจคาวๆ ของแกก็คงอยู่ไม่ได้”
“แน่ใจเหรอครับคุณตำรวจ ไอ้ธุรกิจพวกนี้มันกว้างขวางนะครับ ถึงไม่มีแม่เลี้ยงผมก็หาผู้สนับสนุนรายอื่นได้”
“แต่ช่องทางการขายในต่างประเทศ แกก็ต้องพึ่งแม่เลี้ยงอยู่ดี” โจอี้ชะงักไป “บอกฉันมาว่าแกซ่อนแม่เลี้ยงเอาไว้ที่ไหน”
“ผมไม่รู้ ทำไมคุณตำรวจถึงได้ปักใจเชื่อว่าแม่เลี้ยงอยู่กับผม ผมไม่รู้จริงๆ”
“ฉันไม่มีเวลามาก รีบบอกมาไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ธุรกิจหนังโป๊ของแกจะกลายเป็นแค่เรื่องเล่าที่ไม่ใครจดจำ ผับอีกสามที่ที่แกใช้ไว้ล่าผู้หญิงก็จะถูกปิด แล้วคดีที่ผู้หญิงหลายคนหายสาบสูญไปก็จะถูกสืบสวนอย่างจริงจัง ยังไม่รวมถึงเงินที่แกเก็บเอาไว้ที่บ้านหลังนึงที่อ่างศิลา ฉันจะอายัดมันทั้งหมด” ชาติกล้าเดินเข้าไปจ้องหน้าโจอี้ “ส่วนแก...ก็จะตายเหมือนหมาในคุก”
โจอี้สบตาชาติกล้าแล้วเห็นชาติกล้าเอาจริง โจอี้ยกมือยอมแพ้
“ก็ได้ๆ เอามือถือมา” ชาติกล้าหยิบมือถือให้ โจอี้กดเบอร์โทรศัพท์ให้แล้วยื่นมือถือคืน
“เบอร์ใคร”
“ลูกพี่ลูกน้องผมเอง ผมให้มันพาแม่เลี้ยงไปซ่อน”
“แล้วแกไม่รู้หรือไง”
“เพื่อความปลอดภัยไงครับ ผมบอกมันว่าจะไปซ่อนแม่เลี้ยงไว้ไหนก็ไม่ต้องบอกผม เพราะไอ้ผมมันเป็นคนปากโป้ง ใครขู่นิดขู่หน่อยก็บอกหมดโทรหามันแล้วบอกชื่อผมไป”
ชาติกล้ากดโทรศัพท์โทรออกทันที ก่อนจะรอสายแต่แล้วชาติกล้าก็ต้องเจ็บใจเมื่อได้ยินในมือถือบอกว่าเบอร์ที่ท่านเรียกยังไม่เปิดให้บริการ ชาติกล้าหันกลับไปแล้วก็ต้องเจ็บใจเมื่อไม่เห็นโจอี้อยู่ตรงนั้นแล้ว
ชาติกล้าวิ่งออกมาบริเวณในผับที่นักเที่ยวกำลังดื่มกินเต้นรำกันอย่างสนุก ชาติกล้ามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโจอี้

ภูวนัยนั่งรออยู่ที่รถอย่างสงสัยว่าทำไมพรรณรายถึงได้ยืนรอโจอี้อยู่นาน พรรณรายชักจะหงุดหงิดที่โจอี้ปล่อยให้รออยู่นานสองนาน
“ทำอะไรชักช้าเนี่ย”
ระหว่างนั้นมีรถคันนึงแล่นเข้ามาจอดตรงหน้าพรรณราย รถคันนั้นลดกระจกลง
“พี่มาแล้วจ้ะ”
“นึกว่าจะหนีกลับบ้านซะแล้ว”
“พอดีเจอเพื่อนเก่าน่ะ จะไปมั้ย”
พรรณรายยิ้มให้ ก่อนจะแอบชำเลืองมองไปทางภูวนัยส่งสัญญาณว่ากำลังทำตามแผน พรรณรายขึ้นรถ รถของโจอี้ขับออกไป ภูวนัยรอเวลาซักนิดเพื่อให้ได้ระยะก่อนจะค่อยๆ ออกรถตามโจอี้ไป
ระหว่างที่รถของภูวนัยกำลังวิ่งผ่านหน้าผับ ชาติกล้าก็วิ่งออกมาพอดีเพื่อตามหาโจอี้ แต่แล้วชาติกล้าก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยนั่งอยู่ในรถขับผ่านหน้าเขาไป
“ไอ้ภู”
ชาติกล้าครุ่นคิดว่าภูวนัยมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วชาติกล้าก็ตัดสินใจวิ่งมาที่รถก่อนจะรีบขับตามภูวนัยออกไปอีกคัน

รถของโจอี้แล่นมาตามถนน โดยมีรถของภูวนัยขับตามมา ห่างไปไม่ไกลเห็นรถของชาติกล้าขับตามมาอีกคัน
ภูวนัยมองไปที่รถของโจอี้แล้วภูวนัยก็ตัดสินใจเหยียบคันเร่งแซงขึ้นไป ชาติกล้าที่ขับรถตามห่างออกไปก็มองด้วยความสงสัยว่าภูวนัยกำลังจะทำอะไร
ภูวนัยขับรถแซงรถของโจอี้ขึ้นมาก่อนจะปาดหน้าทันที โจอี้ตกใจ
“เฮ้ย! อะไรวะ”
ภูวนัยลงจากรถก่อนจะตรงเข้ามาหาโจอี้ โจอี้เห็นอย่างนั้นก็คว้าปืนขึ้นมาพรรณรายเห็นอย่างนั้นก็จับมือโจอี้เอาไว้
“อีนี่ ทำอะไรปล่อยซิวะ”
โจอี้กำลังยื้อแย่งปืนกับพรรณราย ทันใดนั้นภูวนัยเดินมาที่หน้ารถก่อนจะเล็งปืนใส่โจอี้ โจอี้ยกมือยอมจำนน ภูวนัยเดินไปเปิดประตูรถก่อนจะลากโจอี้ลงมา
“แกเป็นใครวะ”
โจอี้ถามอย่างแปลกใจ พรรณรายรีบวิ่งลงจากรถไปหาภูวนัยทันที
“ปลอดภัยมั้ย” ภูวนัยถามพรรณราย พรรณรายพยักหน้าทำให้โจอี้เจ็บใจที่เสียรู้พรรณราย ภูวนัยหันไปถามโจอี้ “แม่เลี้ยงอยู่ไหน”
“เฮ้ย! อะไรของแก ชีวิตฉันมีแม่คนเดียว ไม่เคยมีแม่เลี้ยง”
ทันใดนั้นภูวนัยก็ยิงไปที่ขาโจอี้ โจอี้ร้องลั่นทรุดลงไปกับพื้นถนน ภูวนัยเดินเข้าไปกระชากคอเสื้อโจอี้
“ฉันไม่มีเวลาเล่นกับแก พาฉันไปหาแม่เลี้ยงเดี๋ยวนี้” ภูวนัยหันหาพรรณราย “เดี๋ยวคุณขับรถมันกลับไปก่อน”
“ไม่เอา พั้นซ์จะไปกับภู”
“ไม่ได้พั้นซ์ งานนี้อันตรายมาก...เชื่อผมนะ”
“ก็ได้คะ”
ชาติกล้ามองไปก็เห็นพรรณรายขึ้นรถของโจอี้ก่อนจะขับออกไป

ส่วนภูวนัยลากโจอี้ขึ้นรถ ชาติกล้าสงสัย

ภูวนัยพาโจอี้เดินเข้ามาในบ้านพักของโจอี้

“อยู่นี่แหละ ให้ฉันไปโรงพยาบาลได้หรือยังละ” โจอี้ถาม
“ยังก่อน จนกว่าฉันจะเจอแม่เลี้ยง” ภูวนัยหันไปเห็นลูกน้องของโจอี้ที่เฝ้าบ้านอยู่ก็กำชับโจอี้ “อย่าตุกติกละ”
ภูวนัยพาโจอี้เดินเข้ามาที่บ้าน ลูกน้องของโจอี้ 2 – 3 คนที่เฝ้าบ้านอยู่พอเห็นโจอี้เดินกะเผลกเข้ามาพร้อมกับมีภูวนัยเดินเข้ามาด้วยก็ลุกขึ้นทันที โจอี้รีบห้าม
“ไม่มีอะไร ฉันจัดการเองได้ พวกแกเฝ้าอยู่ตรงนี้แหละ”
ลูกน้องมองโจอี้ที่ขาเจ็บพร้อมกับมองภูวนัยที่พาโจอี้เดินเข้าไปในบ้านอย่างสงสัยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น มุมนึงหน้าบ้านชาติกล้าเดินเข้ามามองแล้วยิ้มร้าย
“อยู่นี่เองเหรอ”

แม่เลี้ยงรัญญากำลังนั่งเอานิ้วคลึงที่หัวแหวนอย่างใช้ความคิด ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น แม่เลี้ยงรัญญารีบคว้าปืนที่วางอยู่ขึ้นมาเตรียมพร้อมทันที
“ใคร”
“ฉันเอง เปิดประตูหน่อยแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญาวางปืนก่อนจะเดินไปเปิดประตู โจอี้เดินเข้ามาในห้องก่อนจะเห็นภูวนัยเดินตามเข้ามา แม่เลี้ยงรัญญาตกใจรีบวิ่งไปจะหยิบปืนที่วางอยู่ ภูวนัยยกปืนขึ้นเล็ง
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญาชะงัก หันมา
“ไม่ได้เจอกันนาน เปลี่ยนอาชีพจากตำรวจเป็นผู้ร้ายแล้วเหรอไงหมวด”
“ผมไม่ได้มาฆ่าแม่เลี้ยง” แม่เลี้ยงรัญญาสงสัย
“ไอ้วศินไม่ได้ใช้แกมาเหรอ”
“แม่เลี้ยงไปกับผม แล้วผมจะอธิบายทุกอย่างให้แม่เลี้ยงฟัง”
“ทำไมฉันต้องเชื่อแก ห้าเสือที่เคยยิ่งใหญ่ต้องเป็นอย่างนี้เพราะความเชื่อใจ”
ภูวนัยลดปืนลงเพื่อแสดงความจริงใจ
“ผมมาช่วยแม่เลี้ยง เชื่อใจผม”
“ช่วย” เมื่อแม่เลี้ยงรัญญาเห็นภูวนัยลดปืนลง แม่เลี้ยงรัญญาก็ฉวยจังหวะนั้นหยิบปืนขึ้นมาแล้วเล็งไปที่ภูวนัย
“ฉันไม่เชื่อใครทั้งนั้น”
แม่เลี้ยงรัญญาจ่อปืนไปที่ภูวนัย ภูวนัยสบตารัญญานิ่ง

ลูกน้องของโจอี้นอนตายอยู่กับพื้นกันเกลื่อน ชาติกล้าเดินเข้ามาภายในบ้านกระชับปืนที่ติดที่เก็บเสียงเอาไว้ ชาติกล้าค่อยๆ เดินเข้าไปอย่างเงียบกริบ
ขณะนั้นแม่เลี้ยงรัญญายังจ่อปืนมาที่ภูวนัย
“ถ้าแม่เลี้ยงยิงผม ก็เท่ากับเราปล่อยให้ไอ้วศินมันครอบครองทุกอย่าง”
“หมายความว่าไง”
“เรามีศัตรูคนเดียวกันนะแม่เลี้ยง” แม่เลี้ยงรัญญาชักสนใจ “ผมรู้ว่าแม่เลี้ยงมีสิ่งที่จะทำลายไอ้วศินได้”
ระหว่างที่ภูวนัยกับแม่เลี้ยงรัญญากำลังหยั่งเชิงกันอยู่ โจอี้ก็ค่อยๆ ถอยไปที่ประตูก่อนจะฉวยจังหวะนั้นรีบวิ่งหนีทันที
“โจอี้”
ทันทีที่โจอี้ออกมาพ้นประตู โจอี้ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่ โจอี้มองไปแล้วก็เห็นชาติกล้าถือปืนก็รู้ทันทีว่าลูกน้องของตนข้างล่างได้เสร็จชาติกล้าหมดแล้ว
“เดี๋ยวๆ เราคุยกันได้”
ยังไม่ทันที่โจอี้จะพูดต่อ ชาติกล้าก็ยิงใส่โจอี้ทันที ภูวนัยกับแม่เลี้ยงรัญญากำลังจะตามโจอี้ออกไป แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างของโจอี้หงายหลังกระเด็นมานอนตายกับพื้น พร้อมกับเสียงชาติกล้าดังขึ้น
“แกแน่ใจแล้วเหรอที่ทำอย่างนี้ ไอ้ภู”
ภูวนัยกับแม่เลี้ยงรัญญาชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงชาติกล้า
“ไอ้ชาติ”
ภูวนัยรีบหลบมายืนชิดกำแพง แม่เลี้ยงรัญญาเข้ามายืนชิดกำแพงติดกับภูวนัย ชาติกล้ากับภูวนัยยืนอยู่ที่เดียวกันแต่คนละด้านของกำแพง
“หยุดที่แกทำเถอะ ยังไงแกก็ไม่มีวันชนะฉันหรอก”
“แต่เท่าที่ฉันเห็น ตอนนี้แกกับไอ้พายัพกำลังจนตรอกไม่ใช่เหรอ” ภูวนัยพูดจบก็หันไปเห็นแม่เลี้ยงกำลังปลดเซฟที่ปืน “แม่เลี้ยงทำอะไร”
“ฉันจะฆ่ามัน”
“อย่าแม่เลี้ยง” ภูวนัยมองไปรอบๆ แล้วก็เห็นหน้าต่าง “แม่เลี้ยงหนีไป ผมจะจัดการมันเอง”
แม่เลี้ยงรัญญาได้ยินที่ภูวนัยบอกอย่างนั้นก็ไปที่หน้าต่าง ก่อนจะเปิดหน้าต่างแล้วปีนออกไป
“จะส่งแม่เลี้ยงมาให้ฉัน หรือจะให้ฉันฆ่าแกก่อน”
“ฉันต่างหากจะฆ่าแก แกต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำกับฟ้า”
แล้วภูวนัยกับชาติกล้าก็ต่างคนต่างเงียบเหมือนว่าถ้าใครขยับก่อนจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตำแหน่งของอีกฝ่าย แต่แล้วทั้งภูวนัยกับชาติกล้าต่างก็ตัดสินใจออกมาที่ประตูทั้งคู่
ทั้งคู่เล็งปืนใส่กัน แต่ภูวนัยกับชาติกล้าก็ต่างคนต่างก็จับปืนของแต่ละคนเอาไว้ ภูวนัยกับชาติกล้าต่างประชันกำลังกัน ชาติกล้าเข่าใส่ภูวนัย ภูวนัยจุก ชาติกล้าจะยิงภูวนัย แต่ภูวนัยก็ฝืนเตะจนปืนชาติกล้ากระเด็นร่วงไป ภูวนัยจะยิงชาติกล้า ชาติกล้าจึงหันไปปัดออกก่อนจะเตะจนปืนของภูวนัยหลุดมือไปนอกห้อง
ภูวนัยมองไปที่ปืนที่กลิ้งไปที่พื้นห่างจากขาของชาติกล้าไม่ไกล ภูวนัยรู้ว่าชาติกล้าหยิบปืนได้เร็วกว่าเขา ไวเท่าความคิดภูวนัยรีบกระโดดพุ่งออกจากหน้าต่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่ชาติกล้าหยิบปืนของภูวนัยแล้ววิ่งตามไปที่หน้าต่าง
ภูวนัยหล่นมากระแทกปืน ชาติกล้ายิงใส่ภูวนัยทันที ภูวนัยรีบกลิ้งหลบเข้าใต้หลังคา ชาติกล้ารีบวิ่งออกจากห้องเพื่อตามภูวนัยกับแม่เลี้ยงรัญญาทันที
ชาติกล้าวิ่งลงมาที่หน้าบ้านแล้วก็เห็นแม่เลี้ยงรัญญากำลังวิ่งหนีไปตามถนน ชาติกล้าออกวิ่งตามทันที ภูวนัยที่เจ็บแผลจากที่โดนยิงยังไม่หายดีก็พยายามวิ่งเข้ามาแต่ก็ไม่ทันกับชาติกล้าที่วิ่งตามแม่เลี้ยงรัญญาออกไป ภูวนัยคิดหาทางจะเอายังไงดี

ชาติกล้ากำลังวิ่งไล่ตามแม่เลี้ยงรัญญามาตามถนน แม่เลี้ยงรัญญาวิ่งไปก็หันมองระวังหลังตลอด พอแม่เลี้ยงรัญญาเห็นชาติกล้าวิ่งตาม เธอก็หันมายิงปืนใส่ ปังๆๆ! ชาติกล้ารีบหลบเข้าที่กำบัง
“แม่เลี้ยง ถ้าแม่เลี้ยงให้สิ่งที่ท่านอยากได้ ท่านสัญญาว่าจะปล่อยแม่เลี้ยงไป”
แม่เลี้ยงรัญญายิงสวนชาติกล้าทันที
“นี่ไงคำตอบของฉัน ไปบอกมันด้วย”
แต่แล้วแม่เลี้ยงรัญญาก็ต้องอึ้งไปเพราะยิงจนกระสุนหมด ชาติกล้ายิ้มร้ายก่อนจะเดินออกจากที่กำบังแล้วเดินตรงเข้ามาหาแม่เลี้ยงรัญญา
“คราวนี้แม่เลี้ยงคงจะไปกับผมได้แล้วนะ”
ระหว่างที่ชาติกล้ากำลังเดินเข้าหาแม่เลี้ยงรัญญา ทันใดนั้นชาติกล้าก็สังเกตเห็นมีไฟหน้ารถส่องมาทางด้านหลัง ชาติกล้าหันไปก็เห็นรถของภูวนัยกำลังพุ่งเข้ามาด้วยความเร็ว ชาติกล้ารีบกระโดดจนเกือบไม่พ้น รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดที่แม่เลี้ยงรัญญา ภูวนัยเปิดประตูออก
“ขึ้นรถเร็วแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญามองไปที่ชาติกล้าที่กำลังลุกขึ้นก่อนที่แม่เลี้ยงรัญญาจะตัดสินใจขึ้นไปรถกับภูวนัยทันที ชาติกล้าตั้งหลักได้ก็วิ่งไล่ตามพร้อมกับสาดกระสุนใส่ไม่ยั้ง

“โธ่เว้ย”

วันต่อมา แม่เลี้ยงรัญญายืนอยู่ภายในห้องทำงานของอภิวัฒน์ ระหว่างนั้นภูวนัยเปิดประตูเข้ามากับอภิวัฒน์
แม่เลี้ยงรัญญาหันมาเห็นอภิวัฒน์ก็ทำหน้าแปลกใจ

“เมื่อคืนหลับสบายดีมั้ยแม่เลี้ยง”
“นึกว่าใคร ที่แท้ก็ท่านเอง”
“แม่เลี้ยงรู้จักท่านเหรอ” ภูวนัยถามอย่างสงสัย
“ฉันว่าพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ในประเทศไทย ต้องรู้จักพลตำรวจเอกอภิวัฒน์กันทุกคน เพราะ...” แม่เลี้ยงรัญญามองไปที่อภิวัฒน์ “ท่านเป็นคนที่ใช้นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง”
“เรื่องมันนานมาแล้ว แล้วอีกอย่างตอนนี้วศินก็คงจะจริงจังกว่าผม ไม่อย่างนั้นทั้งห้าเสือคงไม่เป็นอย่างนี้”
“ท่านต้องการตัวฉันทำไม”
“เรารู้ว่าแม่เลี้ยงมีคลิปที่วศินพลาดยิงคนตาย เราอยากได้มัน”
แม่เลี้ยงรัญญาได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งไป
“พอได้แล้วจะยังไง พวกนายก็ไปให้ไอ้วศินแล้วก็ฆ่าปิดปากฉันงั้นเหรอ”
“เราไม่ใช่พวกเดียวกับมัน”
“แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง ตอนนี้ฉันคงจะเชื่ออะไรไม่ได้อีกแล้ว”
“ที่แม่เลี้ยงรอดมายืนอยู่ตรงนี้ได้ ผมว่ามันเป็นข้อพิสูจน์อยู่แล้วว่าเราไม่ใช่พวกเดียวกับมัน”
แม่เลี้ยงรัญญาได้ยินอย่างนั้นก็ครุ่นคิดตามแล้วเดินมานั่ง เอานิ้วคลึงหัวแหวนใช้ความคิด
“แล้วท่านจะบอกได้มั้ย ว่าท่านรู้เรื่องที่ฉันมีคลิปนั่นมาจากใคร เพราะมีเพียงสามคนที่รู้เรื่องนี้...ฉัน...ไอ้วศิน...แล้วอีกคนก็คือเสี่ยสมสุขซึ่งตายไปแล้ว ถ้าท่านไม่ได้รู้มาจากไอ้วศินแล้วจะรู้มาจากใคร”
“ถ้าอย่างนั้น ผมคงต้องให้แม่เลี้ยงได้พบกับใครบางคน”
แม่เลี้ยงรัญญาทำหน้าแปลกใจ

อภิวัฒน์เปิดประตูเข้ามาในห้อง ภูวนัยคุมตัวแม่เลี้ยงรัญญาเดินตามเข้ามา แต่แล้วแม่เลี้ยงรัญญาก็ต้องชะงักเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งเล่นหมากรุกคนเดียวอยู่ที่โต๊ะ แค่เห็นข้างหลังแม่เลี้ยงรัญญาก็ไม่อยากจะเชื่อ
“ฉันพาเพื่อนเก่ามาทักทาย จะไม่ต้อนรับหน่อยหรือไงสมสุข”
สมสุขค่อยๆ หันหน้ามา พอแม่เลี้ยงรัญญาเห็นสมสุขก็ถึงกับอ้าปากค้าง
“เสี่ยสมสุข! แก...แกตายไปแล้วนี่”
“ดีใจที่ได้พบกันอีกครั้งนะแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญายังคงอึ้งอยู่ อภิวัฒน์ต้องอธิบายให้ฟัง
“ตอนที่เราไปถึงที่เกิดเหตุ พบว่าสมสุขยังมีลมหายใจ เราพยายามอย่างเต็มที่จนสามารถช่วยชีวิตเขาไว้ได้”
“เสียใจด้วยนะแม่เลี้ยงที่ฉันไม่ได้ตายอย่างที่แม่เลี้ยงต้องการ”
“แล้วเสี่ยมาทำอะไรที่นี่”
“หลังจากที่สมสุขฟื้นขึ้น เราได้เก็บเขาไว้ที่นี่เพื่อเป็นพยาน”
แม่เลี้ยงรัญญาเริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
“คราวนี้แม่เลี้ยงจะเชื่อพวกเราหรือยัง”
แม่เลี้ยงรัญญายังไม่ทันตอบก็เห็นสมสุขกำลังจะเดินออกจากห้องไป
“จะไปไหนสมสุข”
“คงเป็นเพราะเห็นคนที่ลงขันเพื่อฆ่าผมมายืนอยู่ตรงหน้ามั้งครับก็เลยรู้สึกเจ็บแผลขึ้นมา ผมว่า...ผมขอไปเดินเล่นปรับอารมณ์หน่อยแล้วกัน”
สมสุขปรายตามองแม่เลี้ยงรัญญาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
“แม่เลี้ยงจะให้คลิปนั่นกับเราได้หรือยัง”
“ขอโทษนะที่ฉันต้องบอกว่า ฉันตกใจมากที่เห็นเสี่ยสมสุข แต่ท่านคงจะเข้าใจนะว่าคลิปนั่นเป็นตัวประกันให้ฉันเพียงสิ่งเดียวที่ฉันจะยันกับมันได้”
“ไม่เป็นไร ผมเข้าใจ ถ้าอย่างนั้น ผมขอถามคำถามนึง” แม่เลี้ยงรัญญาพยักหน้า “คลิปนั่นมีอยู่จริงใช่มั้ย”
แม่เลี้ยงรัญญานิ่งไม่ตอบ ทำให้อภิวัฒน์กับภูวนัยสงสัยในท่าทีของแม่เลี้ยงรัญญา

พรรณรายเดินออกมาจากมุมหนึ่งของเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ พรรณรายมองไปรอบๆ
“แล้วภูอยู่ห้องไหนเนี่ย” ระหว่างนั้นมีตำรวจนอกเครื่องแบบที่ทำงานอยู่ในนั้นเดินผ่านมา “นี่เดี๋ยวก่อน” ตำรวจคนนั้นหยุด “รู้มั้ยว่าหมวดภูอยู่ห้องไหน”
“ชั้นสามครับ ขึ้นบันไดไปแล้วอยู่ห้องที่สอง”
“ขอบใจ”
พรรณรายเดินขึ้นบันไดไป พอพรรณรายขึ้นบันไดถึงชั้นสองก็เห็นสมสุขกำลังมองลงมา ทันทีที่สมสุขเห็นพรรณรายยืนอยู่ก็ถึงกับตะลึง
“ว้าว”
พรรณรายหันซ้ายหันขวา ไม่รู้ว่าสมสุขร้องตกใจอะไร
“มีอะไร”
“เธอเป็นคนที่ท่านนัดมาใช่มั้ย”
พรรณรายคิดว่าสมสุขพูดถึงเรื่องภารกิจ
“ก็คงอย่างนั้นมั้ง”
“แหม...สวยถูกใจฉันจริงๆ อย่างนี้ค่อยมีกำลังใจทำงานหน่อย”
พรรณรายทำหน้าสงสัยว่าสมสุขพูดเรื่องอะไร

ภูวนัยเดินมากับอภิวัฒน์
“ถึงแม่เลี้ยงจะไม่บอกว่าคลิปนั่นมีจริงหรือเปล่า แต่ถ้าให้ผมสันนิษฐานตอนนี้ ผมเชื่อว่าแม่เลี้ยงต้องมีจริงๆ”อภิวัฒน์บอก
“ทำไมท่านคิดอย่างนั้นครับ บางทีแม่เลี้ยงเขาอาจจะใช้เป็นข้ออ้างแล้วใช้ที่นี่เป็นที่ซ่อนตัวจากไอ้วศินก็ได้”
“ถึงอย่างนั้นก็ไม่เห็นเป็นไร ถ้าเรามีหลักฐานที่เล่นงานวศินได้ เราก็สามารถกันแม่เลี้ยงไว้เป็นพยานได้อีกคน”
ภูวนัยพยักหน้าเข้าใจ ระหว่างนั้นเสียงพรรณรายร้องดังลั่นไปทั้งเซฟเฮาส์
“ว้ายยยย”
“เสียงพั้นซ์นี่ครับ”

สมสุขกำลังจะลากพรรณรายเพื่อเข้าห้อง สมสุขทั้งกอดทั้งปล้ำพรรณราย
“ไอ้บ้า ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อยไง”
“นี่...จะร้องทำไมเนี่ย”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์วิ่งเข้ามาก็เห็นสมสุขกำลังจะปล้ำพรรณราย ภูวนัยวิ่งเข้ามาผลักสมสุขออก
“ทำบ้าอะไรของแกวะสมสุข”
“ทำอะไร แกนั่นแหละถอยไป นั่นมันผู้หญิงของฉัน ใช่มั้ยท่าน...ท่านเรียกผู้หญิงคนนี้มาให้ผมคลายเครียดใช่มั้ยท่าน”
“สมสุข ฉันเคยบอกนายอย่างนั้นหรือไง”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ถึงฉุนกึกขึ้นมา เดินออกจากด้านหลังภูวนัยเข้ามาหาสมสุข
“นี่แกคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือไง”
“อ้าว...ไม่ใช่หรอกเหรอ”
ทันใดนั้นพรรณรายก็ตบหน้าสมสุข เผียะ!
“ภูคะ ไอ้แก่โรคจิตนี่ใครคะ ไล่มันออกเลยคะ”
“สมสุขเขาเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ไม่ใช่ตำรวจ ไล่ออกไม่ได้หรอกพั้นซ์”
“นักโทษ”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งจู๊ดกลับมาหลบหลังภูวนัยเหมือนเดิม
“นี่คือคุณพั้นซ์ เป็นเพื่อนกับหมวดภูที่มาช่วยภารกิจเรา” อภิวัฒน์บอก
“ไม่ใช่เพื่อนคะท่าน พั้นซ์เป็นเกิร์ลเฟรนด์ของภู” พรรณรายรีบบอก
“เฮ้ย! เนื้อหอมน่าดูนะหมวด แล้วน้องไผ่ละ” พรรณรายได้ยินก็แปลกใจ “ตกลงว่าใครเป็นเกิร์ลเฟรนด์ของหมวดกันแน่”
“ไผ่” พรรณรายหันมาดึงภูวนัยไปถามทันที “นังนั่นน่ะเหรอภู นี่มันเรื่องอะไรกันภูกับมันเป็นแฟนกันเหรอ”
“พั้นซ์ ผมยังไม่อยากคุยเรื่องนี้นะ”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป สมสุขอมยิ้มชอบใจเดินผิวปากออกไป
“คุณไผ่เขาก็แค่มาช่วยภารกิจเหมือนคุณพั้นซ์นั่นแหละ ไม่มีอะไรมากหรอกครับ”
อภิวัฒน์พูดจบก็เดินออกไปอีกคน

แม้ว่าอภิวัฒน์จะบอกอย่างนั้นแต่พรรณรายก็ยังไม่อยากจะเชื่อ

อ่านต่อหน้า 3

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 16 (ต่อ)

ขณะนั้น พรรณรายกำลังเคาะประตูหน้าห้องภูวนัย

“ภู...ภูคะ โกรธพั้นซ์เหรอคะ ภูเปิดประตูให้พั้นซ์หน่อยซิคะ” พรรณรายลองบิดประตูห้องของภูวนัย ก่อนจะเห็นว่ามันเปิดเข้าไปได้ “ภู” พรรณรายเข้ามาในห้อง แต่แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อไม่เห็นภูวนัยอยู่ในห้อง
“ไปไหนนะภู”
พรรณรายกำลังจะเดินออกไป แต่แล้วก็ชะงักก่อนจะหันไปมองที่เตียง พรรณรายเดินไปที่เตียงแล้วก้มมองสำรวจอย่างละเอียด
“อย่าให้จับได้นะว่าภูกับนังนั่นมาฟีเจอริ่งกันที่นี่” เมื่อเห็นว่าบนเตียงไม่มีอะไรก็หันไปที่โต๊ะ พรรณรายเดินไปสำรวจเปิดลิ้นชักดูโน่นนี่ จนเห็นมือถือของภูวนัยอยู่ในลิ้นชัก พรรณรายหยิบขึ้นมาแล้วเห็นว่ามันปิดเครื่อง พรรณรายเปิดเครื่องดูแล้วลองกดดูข้อมูล “ทำไมภูโทร.หาแต่นังไผ่เนี่ย หรือว่า...ภูกับนังนั่นจะเป็นแฟนกันจริงๆ”
พรรณรายครุ่นคิดแผนการบางอย่างในใจ

ไผ่พญากับตะวันฉายเดินมาตามทางในโรงพยาบาล ตะวันฉายถือกระเป๋ากำลังจะกลับบ้าน
“หมอให้กลับบ้านได้จริงเหรอคะ”
“ครับ...ฉายแสงแล้วก็น่าจะดีขึ้น”
“แล้วมันไม่หายขาดเหรอคะ”
“ไม่หรอกครับ ถ้าจะหายขาดต้องผ่าตัดอย่างเดียว แต่มันก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นเหมือนคุณเผ่าพ่อคุณภูน่ะครับ”
ไผ่พญาสงสัย “ก็การผ่าตัดอาจทำให้เสียความทรงจำบางส่วนไป”
“แต่มันก็ยังดีกว่าตายนะคุณตะวัน”
“การอยู่โดยจำคนที่เรารักไม่ได้ ผมว่ามันแย่กว่านะครับ”
ไผ่พญาเศร้าไปด้วย ระหว่างนั้นเสียงข้อความจากมือถือไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมาดูก่อนจะชะงักไปเมื่อข้อความส่งมาจากภูวนัย “ฉันอยากเจอเธอ...เจอกันที่...”
ไผ่พญาทำหน้าแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่าคะ ที่ศูนย์เขาส่งมาทวงค่ามือถือน่ะคะ”
ไผ่พญาเดินต่อ ตะวันฉายลอบมองด้วยความสงสัยเพราะเห็นท่าทีของไผ่พญาเปลี่ยนไป

ภูวนัยเดินมาตามทางกำลังจะถึงห้องแล้วก็เห็นพรรณรายเดินออกมาจากห้องตนเอง
“พั้นซ์”
“เอ่อ...พั้นซ์กำลังหาตัวภูอยู่เลยคะ”
“พั้นซ์ผมขอโทษนะที่หงุดหงิดใส่คุณ”
“ไม่เป็นไรคะ คือพั้นซ์เองก็ต้องขอโทษภูด้วยเหมือนกัน” พรรณรายเหมือนทำท่าคิดบางอย่างแล้วนึกได้ “เย็นนี้เราไปทานข้าวกันมั้ยคะ”
“ผมว่าข้างนอกมันไม่ค่อยปลอดภัยนะ”
“โห...นี่พั้นซ์อุตส่าห์เอาตัวเข้าแลกช่วยภู ทั้งเสี่ยงทั้งเปลืองตัว เลี้ยงข้าวพั้นซ์แค่นี้ไม่ได้เหรอคะ” พรรณรายเข้ามาอ้อน “นะคะ...นะภูนะ”
ภูวนัยทำหน้าหนักใจ

ที่บ้านวศิน วศินมีท่าทางฉุนเฉียวเป็นที่สุด
“ทำไมๆๆ...ห๊ะทำไม” ชาติกล้ายืนสีหน้านิ่ง ไม่ตอบคำถามใดๆ “ไอ้หมวดภูวนัยนั่นมันมีสี่มือสี่ขาหรือไง ลื้อถึงได้สู้มันไม่ได้”
ชาติกล้าหน้าร้อนขึ้นมาด้วยความโกรธทันที
“ถ้ามันไม่เล่นทีเผลอ ผมไม่มีทางพลาดแน่นอนครับท่าน”
“ลื้อยังจะพูดอีกเหรอ ไอ้ความคิดที่ว่าตัวเองดีตัวเองเก่งน่ะ ทำลื้อพลาดมาตั้งเท่าไหร่แล้ว” ชาติกล้ากัดกรามแน่น เสียหน้า “แล้วตอนนี้ยังไง มันพาแม่เลี้ยงหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว จะหาตัวมันยังไง”
“ผมจะใช้หน่วยงานทั้งบนดินใต้ดินหามันให้เจอครับท่าน”
“แล้วรออะไร...ไปซิ” ชาติกล้าทำความเคารพก่อนจะเดินออกไป วศินพูดขึ้น “ถ้าลื้อบอกว่ามันทำไปเพราะต้องการแก้แค้นลื้อ ก็จัดการซะอั้วรำคาญไอ้แมงวี่แมงวันตัวนี่เต็มทีแล้ว ใช้วิธีอะไรก็ได้กำจัดมันซะ”
ชาติกล้าหรี่ตาร้ายเห็นความอำมหิตขึ้นมาทันที

ไผ่พญากับตะวันฉายเดินเข้ามาในบ้าน
“ขิง...งา”
ไผ่พญาเรียกหาขิงกับกระดังงา ตะวันฉายเหลือบไปเห็นกระดาษโน้ตติดอยู่ที่ข้างประตู ตะวันฉายเดินเข้าไปหยิบมาอ่าน
“คุณขิงกับคุณงาไม่อยู่หรอกครับ” ไผ่พญาหันมา ตะวันฉายเลยยื่นกระดาษโน้ตให้
“ฉันกับงาไปขอหวยที่โคราช อะไรเนี่ย...จะไปก็ไม่บอกซักคำ”
“คุณไผ่อยากเสี่ยงโชคเหมือนกันเหรอครับ”
“ไม่ใช่หรอกคะ ฉันห่วงสองคนนั่นชอบทำอะไรแผลงๆ อยู่เรื่อยนะคะ ไม่รู้ว่าไอ้ที่ไปขอหวยเนี่ยจะได้เลขหรือได้เลือดกลับมา”
ตะวันฉายอมยิ้มขำ ก่อนที่ตะวันฉายจะนึกขึ้นได้
“คุณไผ่หิวหรือยังครับ เดี๋ยวผมจะเข้าครัวโชว์ฝีมือให้คุณไผ่ทานเอง” ตะวันฉายเดินไปที่ตู้เย็น “เดี๋ยวขอผมดูก่อนนะครับว่ามีอะไรมั้ง”
“คุณตะวัน” ตะวันฉายหันมา “คือ...เดี๋ยวฉันจะออกไปข้างนอกซะหน่อย คุณตะวันทานไปก่อนนะคะ”
“เอ่อ ได้ครับ”
ไผ่พญายิ้มให้ก่อนจะเดินออกไป ตะวันฉายมองตามอย่างสงสัย

ไผ่พญามาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและนั่งรอภูวนัยอยู่ที่โต๊ะ ไผ่พญาพยายามจัดท่าทางยุกยิกไปมา เดี๋ยวหยิบกระจกขึ้นมาส่อง เดี๋ยวจับผมเผ้า ระหว่างที่ไผ่พญากำลังส่องดูขี้ฟัน พอไผ่พญาลดกระจกลงก็ต้องตกใจเมื่อเห็นบริกรเดินนำภูวนัยเข้ามา
“ไผ่”
ไผ่พญารู้สึกดีแค่ได้เห็นหน้าภูวนัย แต่แล้วก็เห็นพรรณรายเดินแทรกออกมา
“มีอะไรเหรอคะภู” ไผ่พญาเห็นพรรณรายก็ถึงกับอึ้งไป พรรณรายเหลือบมาเห็นไผ่พญาก็แกล้งทำเป็นตกใจ “ว้าย ตายแล้ว โลกกลมจังเลย”
ไผ่พญาเจ็บที่หัวใจ ลุกขึ้น
“นายนัดฉันมาเพื่อทำอย่างนี้ใช่มั้ย”
ภูวนัยไม่เข้าใจที่ไผ่พญาพูด ไผ่พญาเดินออกไป ระหว่างนั้นพรรณรายพูดขึ้น
“จะรีบไปไหนละ อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนซิ”
“ไม่เอาน่าพั้นซ์”
“ทำไมคะ คนเยอะๆ สนุกดีออก เอ...หรือว่าภูกลัวว่าคุณไผ่จะเป็นก้างขวางคอเราเหรอคะ”
ภูวนัยรู้ว่าพรรณรายตั้งใจพูดยั่วไผ่พญา
“พั้นซ์”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่อยู่ขวางทางใครหรอก”
ไผ่พญากำลังจะเดินออกมา แต่แล้วเสียงของตะวันฉายก็ดังขึ้น
“รอนานมั้ยครับคุณไผ่”
ทุกคนหันไปก็แปลกใจเมื่อเห็นตะวันฉายเดินถือช่อดอกไม้เข้ามา
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายรีบมอบดอกไม้ก่อนที่ไผ่พญาจะพูดออกมาเดี๋ยวจะรู้ว่าไม่ได้นัดกัน
“สำหรับคุณไผ่ครับ”
ภูวนัยเหลือบมองด้วยสีหน้าไม่ค่อยพอใจ ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นเลยคิดว่าได้เวลาตอบโต้บ้างแล้ว ไผ่พญารีบฉวยดอกไม้ไปกอดไว้เลย
“ขอบคุณค่ะ คุณตะวันน่ารักจังเลยคะ”
ตะวันฉายยิ้มปลื้มใจ ก่อนจะหันไปทักภูวนัยกับพรรณราย
“บังเอิญจังนะครับ”
“ใช่...บังเอิญมากกกก! ภูขาไปทานร้านอื่นกันเถอะคะ”
“อ้าว ไหนบอกว่าคนเยอะสนุกดีไงคะ” ไผ่พญาย้อนถาม พรรณรายถึงกับไปไม่ถูก
“เอ่อ...”
ภูวนัยมีสีหน้าออกแนวหวงๆ ไม่อยากไปเพราะหึงไผ่พญากับตะวันฉาย
“ใช่ ผมว่าเราทานกันที่นี่แหละ คนเยอะๆ ก็ดี เวลาจะทำอะไรจะได้รู้จักอายกันบ้าง”
“งั้นก็ดีค่ะ”

ภูวนัยและไผ่พญาใช้หางตาเหล่ ๆ มองกันอย่างหมั่นไส้

เวลาต่อมา ทั้งสี่คนนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ตะวันฉายตักอาหารให้กับไผ่พญา ไผ่พญาทำเสียงสูงให้น่าหมั่นไส้

“คุณตะวันเนี่ย รู้ใจฉันจริงๆ ว่าฉันชอบทานลาบ”
ภูวนัยแอบชำเลืองมองอย่างหมั่นไส้ พรรณรายเองก็แอบสังเกตอาการของภูวนัยกับไผ่พญา เลยได้เวลาลองของซะเลย”
“แหม...ภูดูซิคะ คุณไผ่กับคุณตะวันดูกระหนุงกระหนิงกันน่าดู ภูรู้มั้ยคะว่าสองคนนี่เขาไปรักกันตอนไหน”
ภูวนัยกับไผ่พญามองกัน
“นั่นซิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คุณตะวันพอจะบอกได้มั้ยครับ”
ไผ่พญาหมั่นไส้เลยแกล้งทำเสียงสูงขึ้นทันที
“อุ้ย...คุณตะวันเนี่ย ถึงไผ่จะชอบลาบ แต่ไผ่ก็เกลียดใบสาระแน เอ๊ย...ใบสาระแหน่นะคะ” ภูวนัยสะอึก รู้ว่าไผ่พญาพูดกระแทกเขา “เอ่อ เมื่อกี้คุณภูถามว่ายังไงนะคะ”
พรรณรายปรี๊ดแทนภูวนัย
“ภูเขาอยากรู้ว่าเธอกับคุณตะวันน่ะ ไปรักกันตอนไหน”
“แหม คุณภูเนี่ยมีมารยาทจริงๆ นะคะ อยากรู้เรื่องส่วนตัวของคนอื่นเขาด้วย แต่ฉันจะบอกให้ก็ได้คะ เผื่อไอ้ต่อมความอยากรู้ที่กำลังจะระเบิดของคุณมันจะสงบลงบ้าง”
ภูวนัยสะอึกหันขวับทันที
“ผมก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่มีใครเขาอยากรู้เรื่องของคุณหรอก”
ภูวนัยกับไผ่พญามองหน้าอย่างไม่ยอมกัน ก่อนจะสะบัดหน้าเชิดหนีกันทั้งคู่ ตะวันฉายกำลังตักอาหารให้ไผ่พญา ภูวนัยเห็นก็ไม่ชอบใจแต่ต้องเก็บอาการเพราะพรรณรายอยู่ด้วย พรรณรายเห็นก็คันปากแอบแขวะไม่ได้
“แต่จะว่าไป เราก็น่าชื่นชมคุณตะวันนะคะภู”
“ทำไมเหรอครับ”
“ก็...รู้ๆ อยู่ว่าคุณไผ่เป็นโคโยตี้ คงจะผ่านผู้ชายมานับไม่ถ้วน แต่คุณตะวันก็ยังชอบเธอไงคะ”
พรรณรายพูดพร้อมกับปรายตามองไปทางไผ่พญา ไผ่พญาสะอึก
“พั้นซ์! ทำไมคุณพูดอย่างนี้” ภูวนัยนึกโกรธพรรณราย ขณะที่ตะวันฉายรีบปกป้องไผ่พญา
“แต่การเป็นโคโยตี้ก็ดีเหมือนกันนะครับ มันทำให้คุณไผ่ไม่ถูกคนอื่นว่าต่ำต้อยกว่าเธอ ผมว่าหัวใจของคุณไผ่ดีกว่าผู้หญิงบางคนที่ชอบเหยียดหยามคนอื่น ผมว่าผู้หญิงอย่างนั้นน่ารังเกียจกว่าอาชีพโคโยตี้อีกนะครับ”
“คุณว่าฉันเหรอ” พรรณรายจะเอาเรื่องตะวันฉาย ภูวนัยดึงเอาไว้
“ไม่เอาน่าพั้นซ์”
“ภูไม่เห็นเหรอคะว่าเขาว่าพั้นซ์นะ”
พรรณรายฟึดฟัดแต่ก็ยอมนั่งลงโดยดี ไผ่พญายิ้มสะใจก่อนจะหันไปมองตะวันฉาย ตะวันฉายยิ้มขำขำให้ ภูวนัยหน้าเครียด ไม่พอใจกับท่าทางของไผ่พญากับตะวันฉาย

ไผ่พญากับตะวันฉายกลับเข้ามาในบ้าน
“ขอโทษนะครับ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ก็ที่ผมแอบตามคุณไผ่ไปน่ะครับ พอดีผมไม่อยากให้คุณไปไหนมาไหนคนเดียว”
ไผ่พญามองตะวันฉายอย่างซาบซึ้งใจในความดีของตะวันฉาย
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณตะวัน ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะโดนคุณพั้นซ์...ขย้ำแผลเวอะกว่านี้แล้วก็ได้”
“แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้คุณไผ่ชอบผมใช่มั้ยครับ”
“ฉันให้หนึ่งคะแนนแล้วกัน อย่าโกรธฉันนะคะคุณตะวัน”
“ผมจะโกรธหัวใจคุณได้ยังไงครับ ฝันดีนะครับ”
ไผ่พญายิ้มให้ก่อนจะเดินขึ้นห้องไป ตะวันฉายมองตามสีหน้าเศร้า

คืนเดียวกันนั้นที่บ้านพายัพ ชาติกล้ากระแทกแก้วลงกับโต๊ะก่อนจะหยิบเหล้าเทใส่แก้วอีก พายัพนั่งมองแล้วยิ้มชอบใจ
“ฉันว่าข้อดีของหมวดภูวนัยก็มีเหมือนกันนะ” ชาติกล้าเหล่มอง “เอ้า...อย่างน้อยมันก็ทำให้ฉันเห็นแกตอนโมโหไง นี่ฉันไม่เห็นแกโมโหอย่างนี้มานานแล้วนะ”
ชาติกล้าคว้าคอเสื้อพายัพอย่างมีอารมณ์
“มันไม่มีค่าขนาดนั้น”
“ใจเย็นน่าเพื่อน แทนที่จะโกรธฉัน ฉันว่าเรามาหาคำตอบดีกว่าว่าหมวดภูมันต้องการตัวแม่เลี้ยงไปทำไม”
“มันต้องการล่อให้ฉันไปหามัน”
“แกแน่ใจนะว่ามันไม่ได้ทำงานให้องค์กรอื่น”
“ทำไม”
“ฉันกลัวว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรื่องมันจะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่ แต่เอาเถอะไม่ว่าจะยังไงเราก็ต้องกำจัดมันอยู่ดี”
“บอกพวกลูกน้องแกแล้วกัน ถ้าเจอมันเมื่อไหร่ให้รีบบอกฉัน ฉันจะเป็นคนฆ่ามันเอง”
“คิดอะไรให้มันยาก ในเมื่อมันคิดจะล่อให้แกไปหามัน ทำไมแกไม่ใช้เหยื่อล่อให้มันออกมาหาแกเองละ”
ชาติกล้าคิดตามพายัพแล้วเห็นความอำมหิตขึ้นในแววตา

วันต่อมาที่รีสอร์ตเสกสรร ม่านหมอกและม่านเมฆกำลังเลื่อนจานเค้กที่เหลือคำสุดท้ายให้อีกฝ่าย

“เรานั่นแหละกินไป”
“ไม่เอา ผมอิ่มแล้ว”
“ไม่ต้องมาโกหก กินไปเลย”
“พี่หมอกอ่ะ ก็เมฆบอกว่าไม่กิน”
ระหว่างนั้นเผ่าพงศ์เดินเข้ามาเห็นก็เดินเข้าถาม
“ทะเลาะอะไรกันอีก”
“เปล่าครับตา เมฆรู้ว่าพี่หมอกอยากกินเค้ก เมฆก็เลยอยากให้พี่หมอกกิน”
“ไม่ต้องมาพูดเลย เรานั่นแหละอยากกินทำไมพี่จะไม่รู้ว่าเราน่ะชอบเค้กช็อคโกแลตที่สุด”
“เอ้า...แต่ผมเป็นผู้ชาย ผมก็ต้องเสียสละให้ผู้หญิงซิ”
“แต่พี่เป็นพี่ พี่ก็ต้องให้น้อง”
เผ่าพงศ์เห็นอย่างนั้นก็หัวเราะออกมา
“เหมือนจริงๆ” ม่านหมอกกับม่านเมฆงง “ก็เราสองคนน่ะเหมือนเจ้าภูกับแม่เราตอนเด็กๆ ไง”
“ยังไงเหรอตา”
“ตอนนั้นตาเพิ่งมาทำเล้าหมูที่นี่ ตาจำได้ว่าตาเอาเงินทั้งหมดไปซื้อหมูแม่พันธุ์มา แล้วตาก็เพิ่งรู้ว่ามันเป็นเงินก้อนสุดท้ายจริงๆ ตอนนั้นทั้งบ้านเหลือไข่ต้มแค่ฟองเดียว เจ้าภูกับแม่เราต่างก็ทำเหมือนกับเรานี่แหละเสียสละให้อีกฝ่าย สุดท้ายตาทำยังไงรู้มั้ย” ม่านหมอกกับม่านเมฆส่ายหน้า เผ่าพงศ์เลยเอาจานเค้กมาแล้วตัดแบ่งให้ “อย่างนี้ไง...ทำอย่างนี้ก็ไม่มีใครต้องอด”
ม่านหมอกกับม่านเมฆยิ้มให้กัน ม่านเมฆกินเค้กไปแล้วก็สงสัยขึ้นมา
“แล้วหลังจากนั้นละตา ตากับยายทานอะไรเหรอ”
เผ่าพงศ์ทำหน้าคิด
“ตาลืมไปแล้ว”
ม่านหมอกกับม่านเมฆทำเสียงแบบเสียอารมณ์ ระหว่างนั้นเสียงของเสกสรรดังแว่วขึ้น
“โอ้โฮ สงสัยไอ้เด็กพวกนี้จะไม่ได้ไปโรงเรียนซะนานนะสมหมาย”
“ทำไมเหรอครับเจ้านาย”
“เอ้า...ก็นานจนลืมสำนวนสุภาษิตที่เขาสอนกันว่าอยู่บ้านท่านอย่านิ่งดูดายปั้นวัวปั้นควายให้ลูกท่านเลย”
เผ่าพงศ์ได้ยินอย่างนั้นก็ทำเป็นพูดกับม่านหมอกม่านเมฆ
“เออ...ถ้างั้นเรามาเรียนสุภาษิตกันดีกว่า อันตัวต่ำแล้วอย่าทำให้กายสูง ดูเยี่ยงยูงแววยังมีที่วงหาง ค่อยเสงี่ยมเจียมใจจะไว้วาง ให้ต้องอย่างกิริยาเป็นนารี อันนี้เขาเรียกว่าสุภาษิตสอนหญิง...จำไว้นะหมอก เป็นผู้หญิงน่ะอย่าเที่ยวตามผู้ชายไปกรุงเทพ”
“นี่แกว่าลูกฉันเหรอ” เสกสรรถามอย่างไม่พอใจ
“เปล่า ฉันสอนหลานฉัน แต่ถ้าแกอยากรับให้ลูกแก ฉันก็ไม่ว่าอะไร”
“หนอย...แกรู้ได้ยังไงว่าลูกฉันตามผู้ชาย”
“โอ๊ย! ถ้าไม่ได้ตามผู้ชายงั้นก็ตามสุนัขหรือไง”
“นั่นซิครับ หรือว่าคุณพั้นซ์ไปตามสุนัขครับ” สมหมายถาม เสกสรรหันไปใส่สมหมายทันที
“ไอ้นี่ ปาก...” เสกสรรหันไปจะเอาเรื่องเผ่าพงศ์ต่อ “แก ไอ้...”
“เงียบไปเลยไอ้หนวด ฉันอยู่ที่นี่ในฐานะแขกไม่ได้อยู่ฟรีกินฟรี”
“เหรอ...แล้วไหนละเงิน เดือนนี้ฉันยังไม่เห็นเงินเลยซักบาท”
เผ่าพงศ์ ม่านหมอกและม่านเมฆได้ยินอย่างนั้นก็สะอึกไป

พรรษากำลังดูสมุดบัญชีที่ตัวเลขในบัญชีเหลือเงินอยู่แค่หลักพัน ระหว่างนั้นเผ่าพงศ์เดินเข้ามา
“แม่ษา แม่ษา” พรรษาตกใจรีบซ่อนสมุดบัญชีไว้ “อะไร...เอามาให้ฉันดูซิ”
“ไม่มีอะไรหรอกคะคุณเผ่า”
“บอกให้เอามาซิ”
เผ่าพงศ์เข้าไปเอาสมุดบัญชีจากมือของพรรษา เผ่าพงศ์เปิดดูพอเห็นตัวเลขแล้วก็อึ้งไป เสกสรรกับสมหมายเดินเข้ามา
“แหม ไอ้เราก็คิดว่าจะมีปัญญาหาเงินมาจ่าย ที่แท้ก็วิ่งโร่มาขอเงินผู้หญิง”
เผ่าพงศ์เหลืออด เข้าไปกระชากคอเสื้อเสกสรร
“ฮึ่ยย์”
“เอาซิ...ต่อยเลย ต่อยเสร็จแล้วก็ย้ายก้นออกไปจากรีสอร์ตฉัน ไปนอนห้องขังเพราะฉันจะแจ้งความว่าแกทำร้ายร่างกาย...ติดหนี้...” เสกสรรหันไปทางสมหมาย “มีข้อหาอะไรอีก”
“หมิ่นประมาทเรื่องคุณพั้นซ์ครับนาย”
“เออๆ ใช่ เอาซิ” พรรษาเข้ามาห้าม
“อย่าคะคุณเผ่า ใจเย็นซิคะ คุณเสกคะเงินค่าเช่าที่เราติดอยู่เดี๋ยวฉันจะทำงานแทนได้มั้ยคะ”
“โอ๊ย ใครจะไปกล้าใช้แม่พรรษาละจ้ะ ฉันก็ทวงไปอย่างนั้นแหละ ฉันไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำซะหน่อย ถ้ามัน...” เสกสรรหมายถึงเผ่าพงศ์ “ยอมก้มจูบรองเท้าฉัน”
พรรษาโมโหแทนเผ่าพงศ์
“คุณเสกพูดอย่างนี้ได้ยังไงคะ”
“พรรษา”
ทุกคนหันไปก็เห็นเผ่าพงศ์ยืนนิ่ง พรรษาใจหายเพราะรู้ว่าเผ่าพงศ์คิดอะไร
“ไม่นะคะคุณเผ่า อย่านะคะ”
“ไม่เป็นไร ถ้ามันจะทำให้ทุกคนมีที่กินที่นอน”
เผ่าพงศ์เดินเข้ามาหาเสกสรร เสกสรรยื่นเท้าออกไป เผ่าพงศ์มองกำลังตัดสินใจจะก้มแต่แล้วระหว่างนั้นสมส่วนก็วิ่งเข้ามา
“คุณเผ่าครับคุณเผ่า”
“มีอะไร”
“เพื่อนคุณภูมาครับ”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความสงสัยว่าใคร

เผ่าพงศ์เดินเข้ามาที่มุมหนึ่งก่อนที่เผ่าพงศ์จะชะงักไป
“เราเองเหรอ”
เพื่อนที่ว่านั่นก็คือชาติกล้านั่นเอง ชาติกล้าสวัสดีเผ่าพงศ์
“สวัสดีครับคุณลุง”
“เจอไอ้ภูแล้วใช่มั้ย”
“ผมมาหาคุณอาเพราะเรื่องนี้เหมือนกันครับ แต่ถ้าคุณอาถามผมอย่างนี้แสดงว่าภูไม่ได้ติดต่อมาเลยใช่มั้ยครับ” เผ่าพงศ์พยักหน้า “คุณลุงไม่รู้หรือไม่บอกผมกันแน่ครับ”
“ชาติ...เราก็รู้ว่าลุงรักมันมากแค่ไหน ถ้าลุงรู้เราคิดว่าลุงจะยืนอยู่ตรงนี้หรือไง” เผ่าพงศ์เข้าไปจับตัวชาติกล้าเขย่า “ชาติ...เอาตัวลุงไปแทนได้มั้ย บอกทางผู้ใหญ่ว่าที่จริงแล้วคนที่เป็นคนร้ายคือลุงไม่ใช่ไอ้ภู...ได้มั้ยชาติ...ลุงยอมทำทุกอย่าง ขอให้ไอ้ภูมันไม่เป็นไร”
“ทุกอย่างจริงๆ เหรอครับ”
“ทำไม มีวิธีเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ ผมแค่ชื่นชมคุณลุงในฐานะพ่อน่ะครับผมคงจะช่วยให้ภูพ้นผิดไม่ได้ แต่ถ้าคุณลุงอยากเจอไอ้ภู ผมว่าผมอาจมีทาง”
ชาติกล้ามองเผ่าพงศ์ที่อยากรู้ขึ้นมาทันทีว่าชาติกล้าจะทำยังไง

มุมหนึ่งเห็นเสกสรรแอบมองการสนทนาระหว่างเผ่าพงศ์กับชาติกล้าอยู่

ด้านพรรณรายกำลังคุยโทรศัพท์กับเสกสรร

“พ่อ...หนูบอกว่าหนูมาทำงาน เชื่อกันบ้างซิพ่อ”
เสกสรรไม่วายคาดคั้นต่อ
“งั้นก็แล้วไป แต่อย่าให้รู้นะว่าแกไปอยู่กับไอ้ผู้ร้ายนั่น”
“พ่ออ่ะ เลิกเรียกภูว่าผู้ร้ายได้มั้ย ภูเขาไม่ได้เป็นผู้ร้ายอย่างที่พ่อคิดนะ”
“ไม่ใช่แล้วทำไมตำรวจยังมาที่รีสอร์ตฉันอยู่ละ”
“ตำรวจมาเหรอพ่อ”
“เออซิ เพื่อนมันไง หึ...สมน้ำหน้า จากเพื่อนรักกลายเป็นเพื่อนแค้น”
พรรณรายได้ยินอย่างนั้นก็ทำสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภูวนัยเปิดประตูเข้ามา
“พั้นซ์” ภูวนัยชะงักไปเมื่อเห็นพรรณรายติดสายอยู่ “เดี๋ยวผมมาใหม่แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรคะภู พั้นซ์จะวางแล้ว”
เสกสรรได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“ยัยพั้นซ์ เมื่อกี้แกเรียกใครว่าภู อย่าบอกนะว่าแกอยู่กับ...” แล้วก็ได้ยินเสียงตัดสายดังออกมาจากโทรศัพท์ “หนอย...” เสกสรรโทรกลับไปใหม่ แต่ปรากฏว่าติดต่อไม่ได้แล้ว “นัง...นัง” เสกสรรพูดไม่ออก
พรรณรายกำลังปิดโทรศัพท์รีบวางบนโต๊ะ
“ภูมีอะไรเหรอคะ”
“ผมมีเรื่องอยากให้คุณช่วยหน่อย”
พรรณรายตาโต ก่อนจะทำตายั่วยวนเข้าไปทำปูไต่
“แหม...มาหาพั้นซ์ถึงห้องอย่างนี้ จะให้พั้นซ์ช่วยอะไรเหรอคะ”
ภูวนัยจับมือพรรณราย พรรณรายยิ่งตื่นเต้น
“ช่วยอย่าใช้มือถือผมส่งข้อความหาคนอื่นอีก”
“ได้คะ” พรรณรายเคลิ้มแล้วชะงัก “ภู...พั้นซ์เปล่า”
“ตอนแรกผมก็คิดว่าเรื่องที่ไผ่มาเจอเราเมื่อคืนเป็นเรื่องบังเอิญ แต่เมื่อกี้ผมเปิดมือถือดู อยากให้บอกมั้ยว่าผมเห็นอะไร”
“ภูอ่ะ”
ภูวนัยหน้าตึงเดินออกจากห้องไป

ภูวนัยนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของเซฟเฮาส์อภิวัฒน์กำลังกดลบ sms ที่พรรณรายแอบส่งให้ไผ่พญา พอโทรศัพท์กลับมาหน้าจอเหมือนเดิมก็เห็นหน้าจอเป็นรูปของครอบครัว มีเผ่าพงศ์ ม่านหมอก ม่านเมฆเป็นพื้นหลังในโทรศัพท์
ภูวนัยมองรูปในมือถือด้วยความคิดถึงทุกคน
ที่รีสอร์ตเสกสรร เผ่าพงศ์กับพรรษากำลังถูพื้นอยู่ที่บริเวณเคาน์เตอร์ มีสมหมายยืนออกคำสั่งอยู่
“แรงน่ะมีมั้ย ออกหน่อย...เบาอย่างนั้นแล้วเมื่อไหร่มันจะสะอาด”
“มาคะ เดี๋ยวพรรษาทำเอง”
“อ่ะๆ ห้ามเลยครับ เจ้านายบอกไว้แล้วว่าคุณพรรษาห้ามยุ่งเด็ดขาด ที่จริงแล้วแม้แต่การยืนให้กำลังใจอย่างนี้ก็ไม่ได้นะครับ”
“ไปเถอะแม่ษา ฉันทำได้ไม่ต้องห่วงหรอก”
เผ่าพงศ์บอกพรรษา ระหว่างนั้นเสียงเสกสรรเรียกสมหมายดังเข้ามา สมหมายรีบหันไปบอกกับพรรษา
“เจ้านายเรียกแล้วครับ ไปเถอะครับคุณพรรษา”
พรรษามองเผ่าพงศ์อย่างเห็นใจ ก่อนจะเดินออกไปกับสมหมาย เผ่าพงศ์ถูอยู่อย่างขยันขันแข็งระหว่างนั้นมีเสียงโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ดังขึ้น เผ่าพงศ์มองซ้ายมองขวาไม่มีใคร เลยต้องรับซะเอง
“สวัสดีครับ”
ภูวนัยกำลังอึ้งไปเมื่อได้ยินเสียงเผ่าพงศ์ ภูวนัยอยากพูดกับเผ่าพงศ์เหลือเกิน แต่ก็ทำไม่ได้ เผ่าพงศ์สงสัยเมื่อไม่ได้ยินเสียงพูด
“ฮาโหล...สวัสดี...ใคร...ทำไมไม่พูดละครับ” แล้วนึกได้ “ภู...หรือว่าเป็นแก” ภูวนัยพยายามกลั้นน้ำตา พยักหน้า “แกใช่มั้ยภู พูดกับฉันซิ... แกคงพูดไม่ได้ซินะ แต่แค่แกโทรมาอย่างนี้ ฉันก็สบายใจแล้วดูแลตัวเองดีๆ เคยจำที่ฉันบอกได้มั้ย ความจริงยังไงก็คือความจริง”
เผ่าพงศ์พูดแล้วนิ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงวางสายดังขึ้น เผ่าพงศ์นิ่งไปก่อนจะวางไป ภูวนัยวางสายน้ำตาคลอ
“ขอบคุณครับพ่อ”

คืนนั้นเผ่าพงศ์นั่งอยู่ที่ริมสระน้ำ กำลังดูกระดาษแผ่นนึงในมือ เผ่าพงศ์ถอดถอนใจวางกระดาษแผ่นนั้นลงที่หน้าตักของตนเองจังหวะนั้นมีลมพัดมา กระดาษที่วางอยู่ที่หน้าตักปลิวตกไปในสระน้ำ เผ่าพงศ์ร้องอย่างตกใจเมื่อเห็นกระดาษแผ่นนั้นปลิวลงไปที่สระน้ำแล้ว เผ่าพงศ์พยายามเอื้อมมือไปหยิบแต่มันก็ไกลเกินเอื้อม เผ่าพงศ์มองหาอะไรจะมาช่วยเขี่ยแต่ก็ไม่มี จึงเอื้อมมือไปหยิบให้ถึง แต่แล้วทันใดนั้นเผ่าพงศ์ก็เสียหลักตกลงไปในสระน้ำทันที ตูม!
เผ่าพงศ์ตะเกียกตะกายขึ้นมาเกาะข้างขอบสระ แล้วเผ่าพงศ์ก็เห็นเท้าของใครคนนึงยืนอยู่ที่ขอบสระ เผ่าพงศ์เงยหน้าขึ้นมองแล้วก็เห็นว่าเป็นชาติกล้านั่นเอง
“มีอะไรเจ้าชาติ”
“ผมจำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ”
“พูดอะไรของแก ช่วยลุงขึ้นไปหน่อย”
“ลุงอย่าโกรธผมเลยนะครับ ถ้าจะโกรธ...โกรธไอ้ภูมันแล้วกัน”
เผ่าพงศ์ยังไม่ทันพูดอะไร ทันใดนั้นชาติกล้าก็จับหัวของเผ่าพงศ์กดลงไปในน้ำ เผ่าพงศ์ดิ้นทุรนทุราย ชาติกล้ามองการดิ้นของเผ่าพงศ์อย่างไร้ความรู้สึกใดๆ

วันต่อมาตะวันฉายยกอาหารมาวางไว้ที่โต๊ะซึ่งมีกับข้าว 3-4 อย่าง
“โห...ไม่น่าเชื่อว่าคุณตะวันฉายจะทำกับข้าวได้นะเนี่ย”
“ก็คนโสดน่ะครับ ก็ต้องทำเป็นไว้บ้าง”
“ตานั่นก็โสดไม่เห็นทำอะไรเป็นซักอย่าง ขนาดต้มบะหมี่ยังไหม้เลย” ตะวันฉายชะงักไปเพราะรู้ว่าไผ่พญาพูดถึงภูวนัย ไผ่พญาเห็นตะวันฉายนิ่งไปก็นึกขึ้นได้ ไผ่พญารีบพูดชมตะวันฉายทันที “ต้องอย่างคุณตะวัน รับรองว่าใครได้เป็นแฟนไม่อดตายแน่ๆ” ตะวันฉายมองหน้าไผ่พญา “ไม่ต้องพูดอะไรเลี่ยนๆ เลยนะ คนยังไม่กินข้าวเดี๋ยวจะทานอะไรไม่ลง” ตะวันฉายกลั้วหัวเราะ ก่อนจ้องมองไผ่พญาที่กินข้าวอย่างอร่อย ไผ่พญาเห็นตะวันฉายเงียบ เลยมองแล้วก็เห็นตะวันฉายจ้องอยู่ “เอ่อ...ฉันมูมมามไปเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ”
“อ้าว แล้วคุณตะวันเอาแต่จ้องหน้าฉันทำไม”
“ผมอยากจำทุกวินาทีที่อยู่กับคุณ เพราะผมไม่รู้ว่าถ้าผมผ่าตัดแล้วเกิดมีอะไรผิดพลาด ผมยังจะจำคุณได้หรือเปล่า”
ไผ่พญาอึ้งไป แล้วพยายามพูดปลอบใจ
“ไม่เห็นเป็นไรเลย คุณจำไม่ได้แต่ฉันจำคุณได้นี่”
“ผมอยากรู้จริงๆ นะครับว่าเวลาที่คุณเผ่าแกมีอาการอัลไซเมอร์ขึ้นมา แกเป็นยังไง จำหน้าคนที่ตัวเองรักได้หรือเปล่า”
ไผ่พญาเห็นตะวันฉายดูเครียดๆ เศร้าๆ เลยอยากหาทางทำให้หายเครียด
“ฉันรู้วิธีที่จะทำให้คุณจำฉันได้แล้ว” ตะวันฉายทำหน้างง “คุณให้ฉันยืมเงินซักล้านซิ”
“หือ แล้วถ้าผมจำไม่ได้ละ”
“ก็ยกประโยชน์ให้จำเลย”
ตะวันฉายกับไผ่พญาหัวเราะกันอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วบอกกับตะวันฉาย
“น้าพรรษา” ไผ่พญากดรับสาย “สวัสดีคะน้าพรรษา เอ่อ...คุณภูไม่ได้อยู่กับฉันคะ” ไผ่พญาเงียบฟังแล้วตกใจ
“อะไรนะคะ”

ไผ่พญาร้องออกมาอย่างตกใจ จนทำให้ตะวันฉายสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกัน

อ่านต่อหน้า 4

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 16 (ต่อ)

ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ภูวนัยนั่งอยู่ที่ม้านั่งที่สวน พรรณรายเดินเข้ามาทางด้านหลัง

“ภู”
“พั้นซ์ มีอะไรหรือเปล่า”
“ถามอย่างนี้แสดงว่ายังโกรธพั้นซ์อยู่เหรอคะ”
“ไม่แล้วละ ผมกำลังอยากเจอพั้นซ์อยู่พอดี”
“ทำไมเหรอคะ”
“ตอนนี้ภารกิจที่ผมอยากให้คุณมาช่วยก็เสร็จแล้ว ผมอยากให้คุณกลับบ้าน”
พรรณรายอึ้ง น้ำตาแทบไหล
“ภูอ่ะ ไหนบอกว่าหายโกรธพั้นซ์แล้วไง ไล่กันอย่างนี้ภูเกลียดพั้นซ์แล้วใช่มั้ย”
“พั้นซ์ฟังภูก่อน ที่ผมไม่อยากให้คุณอยู่ที่นี่ต่อเพราะสิ่งที่ผมทำมันอันตราย แล้วอีกอย่างอยากจะให้คุณช่วยดูครอบครัวผม...”
“ไม่ พั้นซ์จะอยู่กับที่นี่”
“พั้นซ์ ผมขอร้อง ผมอยากให้คุณทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุด ถ้าผมไปได้ผมก็อยากดูแลครอบครัวผมด้วยมือของผมเอง แต่พั้นซ์ก็รู้ว่าผมทำไม่ได้...นะพั้นซ์”
พรรณรายหน้าเศร้าไม่อยากจากภูวนัย ทันใดนั้นพรรณรายก็โผเข้ากอดภูวนัย
“พั้นซ์ไม่อยากจากภูไปเลย”
ภูวนัยเองก็เศร้าเช่นกัน ระหว่างนั้นเสียงของตะวันฉายก็ดังขึ้น
“คุณภู”
ภูวนัยหันไปตามเสียงก็เห็นตะวันฉายยืนอยู่กับไผ่พญา ไผ่พญาอึ้งไปเช่นกันเมื่อเห็นพรรณรายกำลังกอดภูวนัยอยู่
“มาทำไม” พรรณรายถามเสียงห้วน
“ฉันมีเรื่องอยากจะบอกนาย”
ไผ่พญากำลังจะเดินเข้าไปหาภูวนัย แต่แล้วพรรณรายก็เข้ามาขวางเอาไว้
“ภูเขาไม่อยากคุยกับเธอ”
“ถอยไป”
“ไม่ถอยจะมีอะไรมั้ย” ไผ่พญาไม่อยากมีเรื่องเลยเดินเบี่ยงจะไปหาภูวนัย แต่พรรณรายกลับดึงมือของไผ่พญาเอาไว้”
“นี่! ฉันบอกว่าภูเขาไม่อยากคุยกับเธอ” พรรณรายพูดยังไม่ทันจบไผ่พญาก็สวนขึ้น
“อย่ายุ่ง”
พรรณรายเจอไผ่พญาตวาดก็ถึงกับชะงักจ๋อยเพราะไผ่พญาไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน ภูวนัยเห็นท่าทางไผ่พญาเปลี่ยนไปก็สงสัย
“อยากคุยอะไรกับฉัน”
“ฉันอยากให้นายทำใจก่อนที่ฉันจะบอก”
“ทำใจ ทำใจเรื่องอะไร”
“คุณเผ่าตายแล้ว”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ก่อนจะยิ้มเยาะออกมา
“ไม่มีอะไรจะเล่นแล้วหรือไง หรือว่าโกหกจนเคยตัว...ห๊า”
ภูวนัยเข้าไปเขย่าตัวไผ่พญา ตะวันฉายรีบเข้ามาห้าม
“คุณภู ใจเย็นก่อนซิครับ คุณไผ่พูดเรื่องจริงนะครับ น้าพรรษาเพิ่งโทรมาบอกคุณไผ่ตอนหัวค่ำนี่เอง”
“พวกคุณจะบ้าหรือไง ผมเพิ่งคุยกับพ่อผมเมื่อตอนกลางวัน”
ภูวนัยพูดอย่างนั้น แต่พอเห็นไผ่พญากับตะวันฉายต่างเงียบ ภูวนัยเริ่มรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น
“ฉันเสียใจด้วย”
ภูวนัยถึงกับอึ้งไปทำอะไรไม่ถูก

ภูวนัยหุนหันเดินมาที่รถ ไผ่พญา ตะวันฉายและพรรณรายวิ่งตามมา
“ให้ฉันไปด้วยนะ”
“ไม่ต้อง”
“แต่นี่มันกลางคืนแล้ว นายจะ...”
“ก็บอกว่าไม่ต้องไง”
ทุกคนถึงกับชะงักเมื่อเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราดของภูวนัย ภูวนัยขึ้นรถก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว ตะวันฉายเข้ามาปลอบไผ่พญา
“เข้าใจคุณภูนะครับ แกเพิ่งเสียคุณพ่อ” ไผ่พญาพยักหน้า
“ตายจริง” พรรณรายนึกบางอย่างออก
“มีอะไรครับคุณพั้นซ์”
“ภูกลับไปอย่างนี้ก็เจอตำรวจซิ” ตะวันฉายกับไผ่พญางง “ก็พ่อฉันบอกว่าเพื่อนเขาคนที่เป็นตำรวจมาถามหาภูที่รีสอร์ต”
“หมวดชาติกล้าน่ะเหรอ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ครุ่นคิดก่อนที่ไผ่พญาจะมีสีหน้าตกใจเหมือนคิดอะไรบางอย่างได้

งานศพของเผ่าพงศ์ ภายในศาลาพรรษากำลังจุดธูปไหว้เผ่าพงศ์ น้ำตาไหลพราก
“คุณเผ่า ทำไมถึงได้แย่อย่างนี้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองว่ายน้ำไม่เก่งแล้วไปนั่งข้างสระน้ำทำไม...ทำไม” พรรษาสะอื้น พยายามกลั้นน้ำตา “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลหนูเมฆกับหนูหมอกให้ดีที่สุด” พรรษาเอื้อมมืออันสั่นเทาไปปักธูป ก่อนจะลุกเดินเข้ามาหาม่านเมฆกับม่านหมอกที่นั่งร้องไห้กันอยู่ “จะไม่ไหว้คุณตาจริงๆ เหรอคะคุณเมฆ”
“ไม่...เมฆไม่เชื่อ คุณตาไม่ได้ตายจริงๆ ใช่มั้ยครับ คุณตาชอบล้อพวกเราเล่นอยู่เรื่อย เดี๋ยวคุณตาจะโผล่มาจากโลงแกล้งเมฆใช่มั้ยครับ”
“เมฆ พี่ก็อยากให้มันเป็นอย่างนั้น แต่...แต่ว่า”
ม่านหมอกน้ำตาไหลพราก ม่านเมฆเห็นอย่างนั้นก็ปล่อยโฮออกมา
“ไม่จริง...เมฆไม่เชื่อ...เมฆไม่เชื่อ”
พรรษาดึงม่านเมฆกับม่านหมอกเข้ามากอดร้องไห้กัน ด้านหลังไม่ไกลเห็นเสกสรรนั่งอยู่กับสมหมาย
“ทำไมเจ้านายทำหน้าอย่างนั้นละครับ ไม่ดีใจเหรอครับ”
“นั่นซิ ฉันก็ยังสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าทำไมไม่ดีใจ...ฉันรู้แล้ว”
“เจ้านายอโหสิกรรมให้คุณเผ่าพงศ์ใช่มั้ยครับ”
“ฉันไม่ดีใจเพราะแกลองมีสระว่ายน้ำที่คนจมน้ำตายในรีสอร์ตแกซิ แกจะดีใจมั้ย”
สมหมายทำหน้าเซ็ง ที่เสกสรรยังไงก็ชั่วอยู่วันยังค่ำ
ระหว่างนั้นชาติกล้ายืนมองงานศพเผ่าพงศ์อย่างเงียบๆ อยู่มุมหนึ่ง
“พ่อแกตายทั้งคน แกยังไม่โผล่มาอีกเหรอไอ้ภู”

ชาติกล้าสายตาเหี้ยมรอการมาถึงของภูวนัย

ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์เวลานั้น อภิวัฒน์ทำหน้าสงสัยหลังจากได้ยินเรื่องราวจากไผ่พญา

“เธอสงสัยว่าการตายของพ่อหมวดภู เป็นฝีมือของชาติกล้างั้นเหรอ”
ไผ่พญาสีหน้าเครียดและร้อนใจ
“คะ...พั้นซ์บอกว่าหมวดชาติกล้าไปหาคุณภูที่รีสอร์ต แล้วคืนวันนั้นคุณลุงก็เสียชีวิต”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่า ชาติกล้าลงมือฆ่าพ่อของหมวดภูเพื่อล่อให้หมวดภูปรากฏตัว”
“ท่านคะ รีบออกคำสั่งให้คนไปช่วยเขาเถอะคะ” ไผ่พญาบอกอย่างร้อนใจ อภิวัฒน์ไตร่ตรองก่อนจะบอกออกมา
“ไม่ได้”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นถึงกับอึ้งไป
“ทำไมไม่ได้คะ”
“นี่อาจจะเป็นแผนของวศินที่ต้องการรู้ว่าหมวดภูทำงานให้ใคร ถ้าเราผลีผลามทุกอย่างก็จะพังลงทันที”
“แล้วท่านจะไม่ช่วยคุณภูเหรอคะ”
อภิวัฒน์นิ่งไปอย่างหนักใจ

ที่วัด ทุกคนยังนั่งโศกเศร้าอยู่ที่หน้างานศพของเผ่าพงศ์ ม่านเมฆหันไปถามม่านหมอก ขณะที่พรรษากำลังโทรศัพท์อยู่ พรรษาวางสายลงด้วยสีหน้าผิดหวัง
“โทรติดมั้ยคะ” ม่านหมอกถาม พรรษาส่ายหน้า “อาภูจะมามั้ยพี่หมอก”
“พี่ไม่รู้จริงๆ เมฆ”
เสกสรรคุยกับสมหมายเพราะได้ยินว่าพรรษาและพวกเด็กๆ กำลังติดต่อภูวนัย
“เจ้านายว่าไอ้ภูวนัยมันจะมามั้ยครับ”
“คงจะกล้ามาหรอก”
“ทำไมละครับ มันเป็นลูกชายนะครับ”
“ก็มันนั่นแหละที่ทำให้พ่อมันตาย” สมหมายทำหน้าสงสัย “เอ้า...ก็ถ้ามันไม่ได้เป็นผู้ร้าย บ้านไม่โดนยึดแล้วตาเผ่าจะมาตายที่สระน้ำฉันมั้ย”
เสกสรรพูดยังไม่ทันจบก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อหันไปเห็นอะไรบางอย่าง ระหว่างนั้นเท้าของใครคนนึงเดินเข้ามาในศาลา พรรษา ม่านหมอกและม่านเมฆหันมาเห็นก็ตะลึงเช่นกัน
“อาภู”
ภูวนัยยืนอยู่ในศาลา ม่านเมฆและม่านหมอกวิ่งโผเข้ามาหาภูวนัย ร้องไห้กันระงม
“คุณภู...น้า...น้าขอโทษที่ดูแลคุณเผ่าไม่ดี” พรรษาบอกทั้งน้ำตา
“ไม่ใช่ความผิดของน้าเลยครับ ทั้งหมดเป็นเพราะผมต่างหาก เอ่อ...คุณพ่อเสียยังไงครับ”
“แกลงไปเก็บนี่ที่ตกลงไปในสระว่ายน้ำนะคะ”
พรรษาส่งกระดาษแผ่นนั้นที่เผ่าพงศ์ลงไปเก็บ ภูวนัยหยิบมาดูแล้วก็ต้องอึ้งไปเพราะมันเป็นรูปของภูวนัยใส่ชุดตำรวจถ่ายรูปคู่กับเผ่าพงศ์ที่เอาหมวกตำรวจภูวนัยไปใส่ เป็นภาพที่เห็นถึงความรักของพ่อลูกที่มีให้กัน
“พ่อ” ภูวนัยพยายามกลั้นน้ำตาก่อนจะเดินไปหยิบธูป แล้วนั่งลงจุดธูปไหว้ “ผมขอโทษ ผมขอโทษ”
น้ำตาของภูวนัยไหลออกมาแม้ว่าพยายามจะกลั้นแล้ว แต่ก็ทำไม่ได้
ชาติกล้าที่แอบซุ่มอยู่เห็นภูวนัยเดินเข้ามาก็ยิ้มเหี้ยมขึ้นมาทันที

ภูวนัยออกมายืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่มุมหนึ่งของศาลา พรรษา ม่านเมฆและม่านหมอกเข้ามาหาภูวนัย
“คุณภูรีบไปดีกว่าคะ ตอนนี้คุณท่านคงจะรับรู้แล้ว” พรรษาบอก
“ไม่ เมฆไม่อยากให้อาภูไป”
“เมฆ อาภูอยู่กับเราไม่ได้นะ”
ทุกคนนิ่งเงียบไม่อยากจะบอกเรื่องที่ภูวนัยเป็นคนร้ายให้กับม่านเมฆรู้เรื่อง
“ตอนนี้อาอยู่กับเราไม่ได้ แต่อาสัญญาว่าอาจะรีบกลับอยู่กับพวกเรา กลับมาเป็นครอบครัวเหมือนเดิมให้เร็วที่สุด”
ภูวนัยกอดม่านหมอกกับม่านเมฆด้วยความรัก
“หนูจะดูแลเมฆให้เหมือนกับที่แม่กับอาภูเคยดูแลกัน” ม่านหมอกให้สัญญา
“ทำไมเหรอ”
“คุณตาเล่าเรื่องไข่ต้มที่อาภูกับแม่ไม่ยอมกินให้พวกเราฟัง เลยทำให้หนูรู้ว่าอารักแม่ของหนูมากแค่ไหน”
“อาภู คุณตาบอกว่าไข่ต้มวันนั้นมันเป็นใบสุดท้ายที่ให้กับแม่กิน แล้วหลังจากนั้นละอา อากับแม่มีข้าวกินเหรอ”
“อยากรู้มั้ยว่าคุณตาทำยังไง ตาเอาหมูแม่พันธุ์ที่ตารักมากไปขาย เพื่อเอาเงินมาซื้อให้อากับแม่ของเรากิน ตาบอกว่าชีวิตของตาไม่มีเงินไม่มีฟาร์มไม่เป็นไร แต่ไม่มีครอบครัวไม่ได้...เมฆ...หมอก...รักกัน...ดูแลกันให้มากๆ นะ”
ม่านหมอก ม่านเมฆพยักหน้าทั้งน้ำตา ภูวนัยกำลังจะไปแต่แล้วเสียงของชาติกล้าก็ดังขึ้น
“ภู”
ภูวนัยและทุกคนหันไปก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
“ไอ้ชาติ”
ม่านหมอกรีบออกมายืนปกป้องภูวนัย พรรษารีบเข้ามาหาชาติกล้า
“คุณชาติ น้าขอได้มั้ยคะวันนี้คุณภูเพิ่งเสียคุณพ่อไป อย่าเพิ่งทำอะไรเลยคะ”
“น้าชาติมาทำไมเหรอครับ”
ภูวนัยส่งสัญญาณให้รู้ว่าไม่อยากให้ม่านเมฆรู้
“ชาติ” ชาติกล้ายิ้มให้
“น้าจะชวนอาภูของเราไปเดินเล่นซะหน่อย ไม่มีอะไรหรอก...ใช่มั้ยภู”
“เมฆ...หมอก...อาไปนะ แล้วอย่าลืมที่คุณตาสอน รักกันให้มากๆ ฝากดูทั้งสองคนด้วยนะครับน้าษา”
“คุณภู” พรรษาหันไปขอร้องชาติกล้าอีก “คุณชาติ ถือว่าน้าขอร้องนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับน้าษา”
ภูวนัยเดินเข้ามาหาชาติกล้า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงม่านเมฆดังขึ้น
“อาภู”
ภูวนัยหันไปก็เห็นม่านเมฆกับม่านหมอกวิ่งเข้ามากอดภูวนัย ภูวนัยซึมซาบความอบอุ่นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นเดินเข้ามาหาชาติกล้า
“แกตัดสินใจถูกแล้ว”
“ไม่ต้องพูดมาก...ไปหรือยัง”
ภูวนัยเดินนำออกไป ชาติกล้ายิ้มมุมปากก่อนจะเดินออกไป พรรษาและม่านหมอกมองตาอย่างเป็นห่วง ขณะที่ม่านเมฆไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร

ชาติกล้าเดินเอาปืนจี้ภูวนัยให้เดินมาตามทางเดิน
“คงจะไกลพอไม่ให้หลานๆ แกเห็นแล้วนะ”
“แกต้องการอะไรไอ้ชาติ”
“แม่เลี้ยงอยู่ไหน”
“แล้วแกต้องการตัวแม่เลี้ยงไปทำไม”
“ตอบคำถามฉันมา ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนต้องตายเพราะแกอีก”
ภูวนัยได้ยินคำพูดของชาติกล้าก็ฉุกคิด
“แกหมายความว่าไง...” ภูวนัยเริ่มเอะใจ “แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าฉันมาที่นี่”
“ก็...ฉันนึกอะไรไม่ออกว่าจะให้แกโผล่หัวออกมายังไง พอดีพ่อแกเขาบอกว่าอยากเจอแก ฉันก็เลยคิดออกว่าถ้าพ่อแกตายยังไงลูกกตัญญูอย่างแกก็ต้องมางานศพพ่อ”
ภูวนัยถึงกับช็อคเมื่อรู้ความจริงจากชาติกล้า
“แกฆ่าพ่อฉัน”
ภูวนัยปรี่เข้าไปหาชาติกล้าด้วยความอดกลั้น แต่แล้วชาติกล้ากลับยิงใส่ที่พื้นจนฝุ่นกระจาย
“ใช่...แล้วก็จะฆ่าหลานแกด้วย ถ้าแกไม่บอกฉันว่าแม่เลี้ยงอยู่ไหน” ภูวนัยนิ่งไปก่อนที่ชาติกล้าจะแปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยทรุดตัวลง “แกจะทำอะไรของแก”
“ฆ่าฉันซิ ทุกอย่างมันจะได้จบ”
“มันจบแน่ ถ้าแกบอกว่าแม่เลี้ยงอยู่ที่ไหน”
“ฉันบอกให้ฆ่าฉัน”
“แกก็บอกมาซิว่าแม่เลี้ยงอยู่ไหน”
ชาติกล้าเดินถือปืนเข้ามาจ่อภูวนัย ทันใดนั้นภูวนัยหยิบทรายที่พื้นปาใส่หน้าชาติกล้าทันที

ชาติกล้าระวังตัวอยู่แล้วหลบได้ทัน แต่พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นภูวนัยวิ่งหนีหลังไวๆ ไปแล้ว ชาติกล้ารีบวิ่งตามออกไปอย่างเร็วรี่

ชาติกล้าวิ่งตามมา ก่อนจะมองหาไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นภูวนัย

“ตกลงจะเอาอย่างนี้ใช่มั้ยไอ้ภู ได้...ฉันจะไม่ตามล่าแก แต่ฉันจะกลับไปฆ่าหลานแก เริ่มจากใครดีม่านเมฆดีมั้ย”
ระหว่างนั้นชาติกล้าเห็นเศษไม้ปลิวลงมาจากเบื้องบน พอเงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็นภูวนัยกำลังโดดลงมาจากต้นไม้โถมตัวเข้าใส่ชาติกล้าจนล้มกลิ้งไปด้วยกันทั้งคู่ ภูวนัยกับชาติกล้าสู้กัน ภูวนัยเตะตัดขาจนชาติกล้าล้มลง ภูวนัยจะเข้าไปเล่นงานต่อแต่ก็โดนชาติกล้าเตะสวนออกมา
ชาติกล้าจะตามเข้าไปเล่นงานภูวนัย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภูวนัยก้มลงไปหยิบปืนของเขาเองที่ทำหล่นเอาไว้ ภูวนัยเอาปืนขึ้นจ่อชาติกล้า
“แกจะฆ่าฉันเหรอ”
“ที่จริงฉันไม่อยากฆ่าแก เพราะมันง่ายเกินไปกับความเลวที่แกทำ”
“ถ้าแกฆ่าฉัน ก็เท่ากับแกฆ่าหลานแกด้วย” ภูวนัยชะงักไป “ถ้าฉันเป็นอะไรไป พวกฉันที่เหลือจะตามล่าแก...หลานแกจนกว่าพวกแกจะตาย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นทำให้คิดหนัก ภูวนัยเล็งปืนไปที่ชาติกล้าอยากจะเหนี่ยวไกแต่ก็เป็นห่วงม่านหมอกและม่านเมฆ ชาติกล้าอาศัยจังหวะนั้นยกมือขึ้นปัดปืนของภูวนัยออกแล้วต่อยเข้าที่หน้าของภูวนัย ภูวนัยล้มลงไปนอนกับพื้น ชาติกล้าคว้าไม้ตรงเข้ามาก่อนจะฟาดภูวนัยอีกครั้ง
ภูวนัยสายตาพร่ามัวใกล้หมดสติเต็มที ชาติกล้าเดินไปหยิบปืนที่ตกอยู่ไม่ไกลขึ้นมาเล็งที่ภูวนัย แต่แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ชาติกล้ารีบหาที่กำบังก่อนจะมองไปรอบๆ ในความมืดแล้วจึงเห็นชายหลายคนกำลังโจมตีเขาอยู่ ชาติกล้าจะตรงเข้าไปหาภูวนัยจะลากภูวนัยไปด้วยแต่ก็โดนกองกำลังไม่ทราบฝ่ายยิงสกัด ชาติกล้าจำต้องหนีไปโดยทิ้งภูวนัยเอาไว้
ภูวนัยใกล้จะหมดสติทุกอย่างพร่ามัว แต่ก่อนที่ภูวนัยจะหมดสติไปก็เห็นเหล่าชายชุดดำเดินมาล้อมเขาเอาไว้ แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลง

วันรุ่งขึ้นภูวนัยค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากสายตาที่พร่ามัวแล้วจึงค่อยๆ เห็นทุกอย่างชัดขึ้น ภูวนัยนอนอยู่ที่เตียง แล้วภูวนัยก็ต้องแปลกใจเมื่อพบว่าตัวเองกลับมานอนอยู่ภายในห้องตัวเอง ไผ่พญา ตะวันฉาย พรรณรายและอภิวัฒน์อยู่ภายในห้อง
“ภูฟื้นแล้วคะ”
พรรณรายบอกอย่างดีใจ ทุกคนรีบกรูกันเข้ามาหาภูวนัยด้วยความเป็นห่วง
“เป็นไงบ้างครับคุณภู”
“ปวดหัวนิดหน่อย เอ่อ...ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“คุณไผ่แกสงสัยเรื่องที่พ่อคุณ” อภิวัฒน์ลำบากใจที่จะพูด “การตายของพ่อคุณอาจจะเป็นฝีมือของหมวดชาติกล้า ผมเลยส่งกำลังไปช่วยคุณเพราะคิดว่าหมวดชาติกล้าต้องดักคุณอยู่ที่นั่นแน่ๆ”
ภูวนัยมองขึ้นไปบนเพดานด้วยสายตาเหม่อลอย
“พั้นซ์”
“คะภู”
“ผมอยากให้คุณกลับไปดูแลหลานๆ ผมได้มั้ย”
“เอ่อ...ก็ได้คะ”
“ฉันว่าตอนนี้นายอย่าเพิ่งคิดอะไรเลย” ภูวนัยพูดขึ้นสวนกับไผ่พญา
“ท่านครับ ผมขอพักผ่อนได้มั้ยครับ”
ทุกคนมองหน้ากัน ไผ่พญารู้สึกปวดใจแต่ก็สงสารภูวนัย ทุกคนรับทราบก่อนจะพากันออกจากห้องไป ภูวนัยนอนมองเพดานด้วยความเศร้าเสียใจ

ไผ่พญา ตะวันฉาย พรรณรายและอภิวัฒน์เดินมาตามทาง
“ที่หมวดภูรอดมาได้ครั้งนี้ก็เพราะเธอนะไผ่พญา ขอบใจมากนะ”
“แหม...ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกคะ”
“ใช่คะ เพราะคนที่ต้องได้ความดีความชอบก็คือพั้นซ์ ถ้าฉันไม่บอกเรื่องเพื่อนเลวนั่นละก็คุณไผ่พญาก็ตรัสรู้ไม่ได้หรอกคะท่าน”
ไผ่พญาทำหน้าเซ็งไม่อยากจะต่อปากต่อคำด้วย
“แล้ว ท่านแน่ใจว่าคุณเผ่าถูกฆาตกรรมจริงๆ ใช่มั้ยครับ”
“แน่นอน เพราะคนของผมที่ให้ไปช่วยหมวดภูเมื่อคืน ผมให้พวกเขาไปตรวจสถานที่เกิดเหตุก่อน สระน้ำที่พ่อของหมวดภูเสียชีวิต มีความสูงแค่ระดับเอวเท่านั้นเอง”
“ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของหมวดชาติกล้า เราจับเขาไม่ได้เหรอคะ”
“ถึงเราจะรู้ แต่เราก็ไม่มีหลักฐาน แล้วถึงมีหลักฐานคนที่อยู่ข้างหลังหมวดชาติกล้าก็ใหญ่เกินกว่าที่เราจะทำอะไรได้”
ทุกคนเหมือนจะอึ้งไปที่เป็นฝ่ายถูกกระทำเพียงข้างเดียว

ที่บ้านวศิน ชาติกล้ายืนก้มหน้าอยู่ต่อหน้าวศิน วศินสีหน้าเครียดเดินเข้ามา
“อะไรนะ มันมีคนมาช่วยงั้นเหรอ”
“ครับ ผมไม่รู้ว่าพวกมันเป็นใคร แต่เท่าที่เห็นคนพวกนั้นต้องได้รับการฝึกมาอย่างดี ทั้งเรื่องการใช้อาวุธและยุทธวิธี”
“ลื้อกำลังจะบอกว่า ไอ้หมวดภูวนัยมีตำรวจช่วย”
“ยืนยันไม่ได้ครับ แต่ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ได้ทำงานคนเดียว แล้วถ้าเรารู้ว่าใครช่วยมันเราก็รู้ว่าแม่เลี้ยงรัญญาอยู่ที่ไหน”
วศินหน้าเครียดขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับชาติกล้าที่กำลังครุ่นคิดว่าใครที่ช่วยภูวนัย

อ่านต่อตอนที่ 17

กำลังโหลดความคิดเห็น