xs
xsm
sm
md
lg

สังคมตกผลึกรู้ทัน รำคาญ “แม้ว-ลิ่วล้อ”เอาเปรียบไม่เลิก !!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

นาทีนี้ไม่ว่าจะมาไม้ไหน จะเปลี่ยนลิ่วล้อกี่รายเปลี่ยนหน้ามาเป็นใครก็ตาม หากคิดจะ “เอาเปรียบ” ชาวบ้านด้วยวิธีการที่จะลบล้างความผิดให้กับตัวเองและพวกพ้องเมื่อไหร่ก็ตาม เป็นต้องถูกโห่ไล่อย่างรู้ทันทุกทีไป

คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน มีความพยายามใหม่อีกรอบ โดยเปลี่ยน “โต้โผ” รายใหม่จากเดิมที่เคยใช้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม มีการใช้ประธานสภาผู้แทนราษฎร อย่าง สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็น “หน้าม้า” หรือแม้กระทั่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทย ใช้คนที่เคยปฏิวัติยึดอำนาจถีบตกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่าง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ให้ตบตาเปลี่ยนชื่อใหม่เปลี่ยนเป็นร่างพระราชบัญญัติปรองดอง

หรือแม้แต่จะหักดิบด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันทิ้งไปแล้วใช้ “เด็กๆ”ของตัวเองในสภาใช้เสียงข้างมากโหวตเอาตามใจชอบ ทำกันทุกทาง แต่ก็ยังไม่เคยประสบความสำเร็จสักที ล่าสุดก็เช่นเดียวกัน “เปลี่ยนหน้าใหม่” ใช้รองประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมล ออกหน้าแทนเป็นโต้โผนัดตัวแทนทุกกลุ่มมาหารือเพื่อ “หยั่งท่าที” เสียก่อน แต่ก็อย่างว่าเมื่อคนอื่นเขารู้ทัน มันก็เป็นอย่างที่เห็นคือมีแต่เฉพาะคนกันเองพวกเดียวกัน หรือแค่ลูกน้องระดับ “ขี้ข้า” เท่านั้นที่เข้าร่วมเป็น “ขุนพลอยพยัก” เช่น ตัวแทนจากรัฐบาล พรรคเพื่อไทย แกนนำคนเสื้อแดง เป็นต้น ในการประชุมที่รัฐสภาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม

ขณะที่ตัวแทนที่มีส่วนได้เสียโดยตรงกลุ่มอื่นๆรู้ทันว่านี่คือปาหี่เพื่อสร้างความชอบธรรมสำหรับเตรียมการในการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมเข้าสภาเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ และแกนนำคนเสื้อแดง โดยเอามวลชนคนเสื้อแดงเป็นตัวประกัน หรือบังหน้า โดยกลุ่มดังกล่าวไม่เข้าร่วม

สิ่งที่น่าพิจารณาก็คือขณะที่กำลังมีการหารือกันเพื่อรับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายเพื่อสร้างพิธีกรรมปรองดอง แต่อีกด้านหนึ่งก็มีการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมโดยกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดงเข้าสภาคู่ขนานกันไป เมื่อรวมกับร่างเดิมที่ใช้ชื่อพระราชบัญญัติปรองดองตบตาค้างคาอยู่ในสภาอีก 4 ฉบับรวมเป็น 5 ฉบับ

ความหมายคนพวกนี้ที่เสนอเข้ามาล่าสุดพยายามแสดงท่าทางขึงขังว่ามีเป้าหมายเพื่อนิรโทษกรรมให้กับมวลชนคนเสื้อแดงที่ต้อง “คดีอาญา” เป็นหลัก โดยไม่ครอบคลุมถึงบรรดาแกนนำและคนสั่งการ แต่คำถามก็คือแล้วใครละจะพิสูจน์ว่าใครเป็นแกนนำและใครสั่งการ และจะพิสูจน์กันอย่างไร เพราะที่ผ่านมาบรรดาพวกหัวโจกทั้งหลายที่ปลุกระดมว่า “เผาเลยพี่น้องผมรับผิดชอบเอง” อย่าง ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในช่วงที่เป็นไพร่เต็มขั้น มาบัดนี้กลายพันธุ์มาเป็นอำมาตย์ได้เป็นถึงรัฐมนตรี มีความสุขสบาย ก็ยังกล้าสาบานว่าไม่ได้สั่งเผา ทำนองว่าไม่ใช่แกนนำ

หรือแม้กระทั่ง ทักษิณ ชินวัตร เองที่เคยบอกว่าให้พี่น้องไปรวมกันที่ศาลากลางทั่วประเทศ และผลที่ตามมาก็มีการเผาศาลากลางจังหวัดหลายแห่ง เมื่อถึงเวลาก็อาจจะบอกว่าตัวเองไม่เคยสั่ง ไม่เคยปลุกระดม แต่พี่น้องเสื้อแดงเขามาเอง มาทวงความยุติธรรม มาต่อต้านเผด็จการอำมาตย์และเรียกร้องประชาธิปไตย สารพัด

อย่างไรก็ดีสิ่งที่หลายคนรู้ทันล่วงหน้าก็คือหากสามารถผลักดันจนสามารถพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับหัวโจกเสื้อแดงในสภาได้จริง ก็เชื่อว่าต้องมีการโหวตให้นำ 4 ร่างที่ค้างอยู่ในสภาเข้ามาพิจารณารวมกัน แล้วลองคิดดูว่าเมื่อถึงตอนนั้น เมื่ออ้อยเข้าปากช้างไปแล้ว ก็เรียบร้อย นั่นคือในขั้นแปรญัตติก็จะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงโดยใช้เสียงข้างมากโหวตรวบรัดไปทางไหนได้ไม่ยาก

แต่ถึงอย่างไรจากท่าทีล่าสุดจากฝ่ายรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวสนับสนุนให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเลื่อนวาระร่างพระราชบัญญัติทั้ง 5 ฉบับขึ้นมาพิจารณาก่อน ซึ่งสะท้อนผ่านทางมติของวิปรัฐบาลเมื่อวันที่ 11 มีนาคม

หากเป็นไปตามนี้จริงก็คงเป็นไปตามการคาดการณ์ของหลายฝ่ายที่ระบุตรงกันว่า แม้ร่างพระราชบัญญัติลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่าย จะเร่งด่วนแบบส่วนตัวแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อสังคมรู้ทันและเริ่มรำคาญมากขึ้นเรื่อยๆ หากยังดึงดันเดินหน้าเข้าไปแบบดุ่ยๆเมื่อไหร่ก็ตามมันก็จะเกิดความตึงเครียดและเกิดความเสี่ยงต่อรัฐบาลของตัวเองที่กุมอำนาจรัฐในมือเวลานี้ทันที และที่สำคัญกำลังอยู่ในช่วง “เข้าด้ายเข้าเข็ม” กำลังเสนอร่างพระราชบัญญัติกู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาทเข้าสภาเพื่อนำมาใช้ในโครงการใหญ่สารพัด ลองหลับตานึกภาพเอาแล้วกันว่าการใช้งบประมาณมหาศาลโดยที่อยู่นอกเหนือการตรวจสอบมันน่าสนใจแค่ไหน อีกทั้งคำพูดที่ว่า “ร้อยชักสามสิบ” ที่เห็นรำไรอยู่ข้างหน้าอย่างไหนเร่งด่วนกว่า

ดังนั้นหากบอกว่าการลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ และลิ่วล้อเครือข่ายเป็นเรื่องเร่งด่วนเหมือนกัน แต่ในเมื่อประเมินสถานการณ์แล้วมันมีความเสี่ยงอาจทำให้รัฐบาลล่มกลางคัน ยังไม่ทันเรียกทุนคืนกลับมา เวลาเพียงแค่ไม่ถึงสองปีถือว่ายังไม่คุ้มค่า อีกทั้งสังคมเริ่มตกผลึกมีความรู้ทัน และเริ่มรำคาญหากยังหน้าด้านเอาเปรียบแบบนี้ต่อไป สู้เลิกแตะของร้อนชั่วคราว หันไปทำมาหากินในเรื่องที่เป็นกอบเป็นกำจะคุ้มค่ากว่า

สำหรับมวลชนคนเสื้อแดง หากรัฐบาลและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยมีความจริงใจช่วยเหลือก็สามารถใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ขอประกันตัวออกมาก็ได้ โดยเฉพาะพวกที่เป็นความผิดลหุโทษ หรือประเภทที่ทำผิดพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พระราชบัญญัติความมั่นคง ก็สามารถทำได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาไม่ยอมดำเนินการ แต่จะมุ่งช่วยเหลือเฉพาะพวกแกนนำที่มีความหมายต่อ ทักษิณ ชินวัตร เท่านั้นต่างหาก !!
กำลังโหลดความคิดเห็น