xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 7

ทางด้านปกรณ์ อั๋น อิ่ม เอื้อย และอ้ายเดินมาด้วยกันที่ถนนอีกด้าน ปกรณ์มองเลยไปเห็นภาณุทัศนัยเดินกอดสาวไทยตรงมา

“อ้าว นั่นท่านชายทัศน์” ปกรณ์เอ่ยขึ้น
แฝดสะดุ้งเฮือก เอื้อยรีบดึงผมลงมาปิดหน้า
อ้ายร้อง “ว้าย”
อั๋นงง “เป็นอะไรหรือครับ”
อ้ายรีบชี้ไป “ของในร้านฝั่งโน้นค่ะ สวยมาก หนูเอื้อยไปดูกันเถอะ”
สองแฝดรีบตรงไปอีกฟากถนน ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม รออยู่
จอยสาวไทยที่เดินคู่มากับภาณุทัศนัย หยุดอยู่หน้าร้านแห่งหนึ่ง แล้วเดินเข้าร้านไป ปล่อยให้ชายทัศน์
ยืนอยู่ลำพัง ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม เข้าไปสวัสดีทักทายภาณุทัศนัย สองแฝดมองอยู่อีกฟาก แล้วรีบหลบไป
ภาณุทัศนัย มองทั้งกลุ่มปกรณ์ด้วยความรำคาญอย่างเห็นได้ชัด อิ่มมองท่านชายตาเยิ้ม หล่อล่ำถูกใจ
“ท่านชายขา ดีใจจังได้พบท่านชายอีกครั้ง หม่อมฉันขอกราบถวายบังคม...” สาวอวบทำท่าจะถอนสายบัว
อั๋นรีบห้าม “จุ๊ จุ๊ คุณอิ่ม ไม่ใช่”
อิ่มชะงักไป
“สวัสดีครับ ท่านชาย มาขึ้นจุงเฟราเหรอครับ” ปกรณ์โค้งทักทาย
“ใช่ แต่ยังไม่ได้ขึ้น”
จอยเดินมาแล้วแยกไป ปกรณ์มองตามแล้วหันมา
“พวกเราเพิ่งขึ้นไปเมื่อวานน่ะครับ ทัศนียภาพบนยอดจุงเฟรายอร์ก สวยงามน่าประทับใจมาก”
อั๋นกระซิบ “คุณปกรณ์ ไม่ใช้ราชาศัพท์ล่ะครับ”
ภาณุทัศนัยได้ยิน “ไม่เป็นไรผมไม่ถือ พูดธรรมดาก็ได้ เพราะบางคนภาษาไทยไม่แตกฉาน โดยเฉพาะไอ้พวกที่มาอยู่เมืองนอกเมืองนานานๆ คงลืมภาษาแม่ของตัวเองไปหมดแล้วละ” ชายทัศน์แดกดันปกรณ์ตอนท้าย
ปกรณ์เอาเรื่องทันที “แหม..ไม่ถึงกับลืมหรอกครับ ผมเองพยายามศึกษาอยู่ พอพูดได้บ้างเหมือนกัน”
ภาณุทัศนัยย้อนในท่าทีหยามหยัน “งั้นเหรอ พ่อค้าร้านอาหารอย่างนาย วันๆ อยู่หน้าเตา หั่นหมูอยู่หน้าเขียง จะมารู้อะไรเรื่องเจ้าเรื่องนาย”
ปกรณ์อยากชกเต็มที แต่ข่มไว้ด้วยการหัวร่อ
“แฮ่ะแฮ่..พอรู้บ้างครับ เพราะที่ร้านก็ต้อนรับเจ้ารับนายอยู่เนืองๆ เอ..งั้นผมลองหัดพูดบ้างดีกว่า อย่าง...ฝ่าบาทเด็จมาจุงเฟราคราวนี้ทรงเอาน้องลิลลี่แสนสวยไปทิ้งไว้ข้างไหนล่ะกระหม่อม”
ชายทัศน์หน้าตึง โกรธปวรรุจ แล้วยังมาโกรธปกรณ์ต่อ
“อุ๊ย..ลิลลี่ไหนเพคะ หม่อมฉัน “ทรง” รู้จักบ้างรึเปล่า”
อั๋นหน้าเสีย ปกรณ์มองอิ่มอย่างทึ่ง ทีแรกนึกว่าแกล้งพูด แต่เห้นชัดว่าสาวอวบไม่ได้แกล้ง จึงรีบผสมโรง
“คุณอิ่ม ต้อง “ทรง” รู้จักอยู่แล้ว คืนนั้นไงที่คุณอิ่ม “เด็จประทับ” ที่งานเลี้ยงสถานทูต “ทรง” พบลิลลี่ที่งานนั้นแหละ”
อิ่มเจอลูกคู่เลยเอาใหญ่ “อ๋อ สาวฝรั่งผมบลอนด์หน้าเหมือนตุ๊กตาคนนั้น หม่อมฉัน “ทรง” รู้จักแล้วเพคะ
ยัง “ตรัส” กับคุณลิลลี่เลยว่า...ทรงพระสิริโฉมงดงามมาก พระพักตร์ยังกะตุ๊กตา”
ปกรณ์สนุกมาก อั๋นพยายามจะห้ามทั้งคู่ แต่พูดไม่ทัน
“ยังทูลเชิญให้ลิลลี่กับท่านชาย เด็จมาเหวย “พระกระยาหารค่ำ” ที่บ้านของหม่อมฉันเลยเพคะ ท่านชายจำได้ใช่ไหมคะ”
ภาณุทัศนัยโกรธมาก พูดเสียงกร้าว “ฉันไม่มีความทรงจำเรื่องมโนสาเร่แบบนี้”
อิ่มยังไม่รู้ตัว จ้อเพลิน
“อุ๊ย...ต้องจำได้ซีเพคะ เพราะคืนนั้นท่านชายเต้นรำกับ “หญิง” ด้วย หญิงยัง “ตรัส” กับท่านชายว่า...ท่านชายเต้นได้พลิ้วเหลือเกิน แล้วท่านชายก็ชมหญิงว่า หญิงเองทรงพระสเต็ปได้พลิ้วราวกับปุยนุ่น”
ปกรณ์ยิ้ม “แหม...น่าประทับใจนะฝ่าบาท แล้วฝ่าบาทยังไม่ได้ตรัสเลยว่า ลิลลี่หายไปไหน แล้วสาวคนใหม่ที่จะขึ้นจุงเฟรากับฝ่าบาท เป็นใคร”
“พวกนายนี่มันเหลือขอจริงๆ ฉันไม่น่ามาเสียเวลากับพวกนายเลย”
ภาณุทัศนัยหน้าตึง แยกตัวไปทันที
“อ้าว หญิงทำอะไรให้ท่านชายไม่โปรดเพคะ ท่านชายขา...เดี๋ยวค่ะได้เจอ “ท่านชาย” ปวรรุจรึยังเพคะ”
ชายทัศน์สะดุดกึกกับคำว่า “ท่านชายปวรรุจ” หันมามองอย่างเคืองเต็มที
อิ่มจ้อต่อ ไม่รู้สึกรู้สา “ท่านชายรุจทรงเสด็จ มาพร้อมกับพวกเราด้วย พวกเรากะว่าจะ “ทรงเสด็จ” ไปประทับอยู่ที่อินเตอร์ลาเคน ท่านชายมาเยี่ยมได้ ตลอดเวลานะเพคะ”
ภาณุทัศนัยมองอิ่มเหมือนตัวประหลาด รีบเดินดุ่มไปทันที ปกรณ์ชอบอกชอบใจหัวเราะดังลั่นถนน
“คุณอิ่ม วันนี้ผมรักคุณอิ่มมากเลยครับ”
“อุ๊ย...มารักอิ่มเรื่องอะไรคะ เห็นมีแต่จะไม่ให้อิ่มร่วมคณะเดินทาง” อิ่มค้อนขวับ
“รัก “ราชาศัพท์” ของคุณอิ่มน่ะซีครับ รับสั่งแต่ละคำ...แหม...ท่านชายหน้าม้านแล้วม้านอีก”
“อย่าชมมากค่ะ อิ่มเขิน”
ปกรณ์หัวเราะแล้วแยกไป
อั๋นขึ้นเสียง “คุณอิ่ม”
“ขา...”
“อีกแล้วนะ”
“อะไรคะพี่อั๋น”
“พูดราชาศัพท์กับตัวเอง แต่กับท่านชายใช้คำสามัญ โอย เหามันขึ้นหัวก็คราวนี้แหละ”
“หา...ผิด ผิดอีกแล้วเหรอ”
อิ่มทำหน้าเบ้ เป็นปลาปักเป้าอีกครั้ง

“ฮือๆ พี่อั๋น หิว”

ขณะที่วรรณรสาเดินเพลียๆ มาตามลำพัง พยายามระงับอารมณ์ แฝดวิ่งหน้าเริดมาหา

“ท่านหญิง หลบก่อนเถอะ” เอื้อยร้องบอก
“ทำไม” วรรณรสางง
“ท่านชายทัศน์น่ะซีคะ มาเดินช็อปปิ้งแถวนี้เหมือนกัน เดี๋ยวจะมาจ๊ะเอ๋กันเข้า” อ้ายว่าหน้าตื่น
“ฉันเจอเขาแล้วละ”
เอื้อยร้อง “หา...เจอแล้วเหรอ แล้วท่านหญิงหลบยังไง”
“ก็หลบเข้าร้านไป เห็นว่ามีสาวไทยมาด้วยอีกคนใช่ไหม”
อ้ายกะเอื้อยมองหน้ากัน ไม่อยากบอก แต่เห็นวรรณรสาบอกว่ารู้แล้วก็เลยพูด
“ว่าจะไม่พูดแล้วเชียวนะ แต่ท่านหญิงเห็นแล้ว” เอื้อยเสียงอ่อย
“ใช่...เห็นแล้ว หน้าตาน่ารักเสียด้วย แสดงว่าไม่ได้มีแค่ยายลิลลี่คนเดียว” อ้ายว่า
“คงอย่างนั้นล่ะค่ะ” เอื้อยบอก
“หญิงตัดสินใจแล้วละ”
“ว่าอะไรคะ” อ้ายงงๆ
“กลับบ้านคราวนี้ หญิงจะทูลขอเด็จพ่อให้ระงับการหมั้น อย่างด่วนเลยด้วย”
อ้ายตกใจ “ท่านหญิง”
“ไม่ใช่แค่เรื่องผู้หญิงหรอกที่หญิงรับไม่ได้ ยิ่งได้รู้จักความเป็นพี่ชายทัศน์ โดยเนื้อแท้ หญิงยิ่งขยะแขยง เขาไม่ใช่ผู้ชายที่หญิงจะฝากชีวิตไว้กับเขาเลยแม้แต่วินาทีเดียว”
เอื้อยและอ้าย มองหน้ากัน วรรณรสามีสีหน้ามุ่งมั่นมาก
“ขอโทษนะ หญิงขออยู่ลำพังสักพัก”
พูดจบวรรณรสาแยกตัวไปทันที แฝดได้แต่ถอนใจสงสารท่านหญิง

วรรณรสาทรุดตัวลงนั่งสงบสติอารมณ์อยู่ที่เก้าอี้ข้างน้ำพุ ทอดถอนใจ สักครู่ปวรรุจเดินมานั่งข้างๆ
“ตามหาเสียแทบแย่ มาหลบอยู่ที่นี่เอง”
“ตามหาฉันทำไมคะ”
“บอกแล้วไงว่าฉันเป็นห่วงเธอ กลัวเธอจะหลงไปไหนต่อไหนอีก”
วรรณรสาแกล้งถาม “ผู้ชายเมื่อกี้ ใครคะ”
“กำลังจะแนะนำให้รู้จักอยู่พอดี หม่อมเจ้าภาณุทัศนัย เลขาเอกของท่านทูตพลเทพ”
วรรณรสาพูดด้วยน้ำเสียงหยัน “เสียดายจังไม่ได้ทำความรู้จัก”
“ที่จริง เธอแยกไปน่ะดีแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรหรอก ที่เธอจะไปทำความรู้จักกับคนประเภทนี้”
วรรณรสาสนใจขึ้นมาทันที “ทำไมคะ คุณชายพูดเหมือนรู้จักท่านชายดี”
“ไม่มาก แต่พอรู้จักนิสัยใจคอ ความนับถือก็หมดลง”
“เล่าให้ฟังหน่อยซีคะ”
“ทำไมอยากรู้นัก”
“ก็...ไม่เคยเห็นคุณชายพูดถึงใครในแง่ลบขนาดนี้”
ปวรรุจยิ้มขัน
“เธอคงไม่รู้ ฉันจะไม่รู้สึกลบกับท่านชายขนาดนี้เลย ถ้าท่านไม่ใช่พระคู่หมั้นของ...หญิงแต้ว”
วรรณรสาชาวาบไปทั้งตัว เมื่อรู้ว่าปวรรุจรู้เรื่องของเธอมากขนาดนี้
“หญิงแต้ว”
“ใช่...หญิงแต้วที่เราคุยกันนั่นแหละ”
“ทำไมคะ ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยเถิด ฉันอยากฟัง”
“ช่วงเวลาสั้นๆ ที่ฉันได้ทำงานกับท่านชายที่กระทรวง ก็เห็นความไม่ซื่อสัตย์ต่อพระคู่หมั้นของท่านเข้าเต็มตา”
วรรณรสายิ่งอยากรู้ “เล่าเถอะค่ะ ไม่ซื่อสัตย์ยังไง”
ปวรรุจจ้องหน้า “ดูเธอสนใจเรื่องของ “หญิงแต้ว” กับ “ท่านชาย” เป็นพิเศษนะ”
วรรณรสาหลบตา “ก็คุณชายเล่าสนุก และเล่าต่อเนื่องจนฉันอยากรู้น่ะซีคะ”
“ได้...จะเล่าให้ฟัง แต่ฉันมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรคะ”
ปวรรุจยิ้มกริ่ม หน้าตามีแผน
“ถ้าฉันเล่าเรื่องทั้งหมด เธอต้องไปค้างที่บ้านวาดดาวกับฉัน”
วรรณรสาอึ้งไป

ด้านปกรณ์และอั๋นยกกระเป๋าเดินทางที่ฝากร้านอาหารที่ทานเมื่อครู่ มาวางตรงหน้าอ้ายและเอื้อย ที่ทำหน้าสลดที่ต้องจากกันแล้ว อั๋นและเอื้อยแยกไปอีกมุม อิ่มมองตามอย่างไม่พอใจ
“แล้วเจอกันนะครับ”
“จะเจอกันที่ไหนละคะ ฉันอยู่สวิตอีกไม่กี่วันก็ต้องกลับเมืองไทยแล้ว” อ้ายใจแป้ว หน้าม่อย
“นั่นซีครับ เอางี้ แล้วผมจะไปเยี่ยมที่กรุงเทพฯ”
อ้ายยิ้มออก “ไกลนะคะ”
ปกรณ์ยิ้มเผล่ “ระยะทางไม่ใช่ปัญหา”
“แล้วเวลาล่ะคะ ใช่ปัญหารึเปล่า”
“ยังไงครับ”
“ก็เมื่อไหร่ที่คุณปกรณ์จะไปกรุงเทพฯ บอกให้มั่นเหมาะมาเลยดีกว่า”
“เอาอย่างนี้ นับแต่คุณบินจากผมไปจากสนามบินซูริค นับเวลาถอยหลังได้เลย สามสิบวัน”
อ้ายคิดๆ แล้วถามย้ำ “สองเดือน แน่นะคะ”
“ครับ เพราะผมวางแผนแล้วว่า ผมจะกลับไปเยี่ยมกรุงเทพฯ พร้อมเจ้ารุจ หลังเจ้ารุจมันประชุมเสร็จในเดือนหน้า”
“หนูอ้ายจะรอนะคะ ...สัญญานะ”
“ครับ สัญญา”

สองคนมองตาซึ้งๆ ยิ้มให้กัน

ฝ่ายอั๋นและเอื้อยเดินมาด้วยกันตรงมุมถนนใกล้ร้าน สีหน้าสลดทั้งคู่

“ผมเรียนอีกแค่สองปีก็จบ รอผมนะครับ”
“ค่ะ เอื้อยจะรอ อย่าลืมเขียนจดหมายมานะคะ”
“ครับ”
อั๋นจับมือเอื้อยมากุมไว้ เอื้อยสะท้าน แต่แล้วทันใดอิ่มตรงเข้ามา กระชากมืออั๋นออก
“พี่อั๋น หยุดที เธอก็ด้วย ยายเอื้อย หยุดยุ่งกับพี่ชายฉันเสียที”
เอื้อยหน้าเสีย
“พี่อั๋น...นี่อย่าบอกนะว่ากำลังจีบยายลูกปลาบู่ทองอยู่”
เอื้อยตกใจ
“คุณอิ่ม ทำไมไปเรียกเขาอย่างนั้นล่ะ” อั๋นไม่พอใจ
“ก็มันชื่อยายเอื้อย ยายอ้าย ลูกปลาบู่ทองจริงไหมล่ะ”
“ขอโทษคุณเอื้อยเดี๋ยวนี้” อั๋นสั่งเสียงดัง
“ไม่ขอโทษ ยายเอื้อยหล่อนหยุดยุ่งกับพี่ชายฉันเสียที พี่ชายฉันเขามีคู่หมั้นคู่หมายอยู่แล้ว”
“จริงเหรอคะคุณอั๋น” เอื้อยตกใจ
“ไม่จริงครับ อิ่มอย่าสร้างเรื่อง”
“พี่อั๋น ถ้าพี่อั๋นไม่เลิกยุ่งกับยายนี่ อิ่มจะฟ้องคุณพ่อ”
อิ่มขู่ อั๋นนิ่งงันไป มองหน้าเอื้อย แล้วสูดลมหายใจเต็มปอด ยืดอกขึ้น
“อิ่ม...ฟ้องไปเลย พี่ไม่กลัวแล้ว”
“อะไรนะ” อิ่มแทบไม่เชื่อหู
“พี่ไม่ใช่เด็กๆ อีกแล้ว และพี่มีสิทธิ์ที่จะเลือกทางเดินของพี่เอง อิ่มหยุดยุ่งกับพี่ได้แล้ว”
“พี่อั๋น”
“ไปได้แล้วอิ่ม”
“พี่อั๋นไล่อิ่มเหรอ”
“ใช่...ไป ไปเดี๋ยวนี้”
อิ่มร้องไห้โฮ วิ่งตึงๆๆ ไป อั๋นหอบหายใจ แล้วยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นเอื้อยยิ้มให้อย่างภูมิใจในตัวอั๋น
“คุณอั๋น...คุณเก่งมากค่ะ คุณไม่กลัวคุณอิ่มแล้ว”
“ครับ ผมเอาชนะความกลัวได้แล้ว ขอบคุณคุณเอื้อยที่ช่วยผม”
“เอื้อยช่วยยังไงคะ”
“ไม่ได้คำเตือนและกำลังใจจากคุณ ผมคงไม่กล้าเอาชนะความกลัวนี้ได้หรอกครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน อั๋นหน้าแดงหูแดง เคอะเขินขึ้นมาทันที
“เออ...ผมขอเอาชนะความกลัวอีกอย่างได้ไหมครับ”
“อะไรคะ”
“ผะ...ผมขออนุญาตกอดคุณเอื้อยนะครับ”
“คุณอั๋น”
“เออ....ผะ...ผมขอโทษครับ ผมไม่น่าพูดเลย”
“อนุญาตแล้ว กอดเลยค่ะ”
อั๋นยิ้มกว้าง อาการประหม่าหายไปหมดสิ้น รวบร่างเอื้อยเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม

ด้านอิ่มกำลังโทรศัพท์อยู่ในตู้สาธารณะ ร้องไห้สะอึกสะอื้นไปด้วย
“ใช่ค่ะคุณป้า พี่อั๋นกำลังเสียผู้เสียคนไปจีบยายแฝดคนน้องเข้า”
คุณหญิงอารีพูดสายอยู่ที่สถานทูต มีท่านทูตฟังอยู่ไม่ห่าง
“ยายแฝดที่มีเรื่องกับหนูที่ร้านคุณปกรณ์น่ะเหรอ”
“ค่ะ ร้ายทั้งพี่ทั้งน้อง คุณป้าต้องรายงานคุณพ่อเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”
“จ๊ะ ป้าจะรีบโทร.ไปบอก แล้วตอนนี้หนูอยู่ที่ไหน”
“ตอนนี้อิ่มอยู่อินเตอร์ลาเคนค่ะ รถคุณปกรณ์เสียที่กรินเดอวอลด์ เราเลยมาเที่ยวกันที่นี่”
“อ้อ อยู่อินเตอร์ลาเคนนะลูก” คุณหญิงทวนคำ
ท่านทูตพลเทพเงยหน้าขึ้นทันที
“เอ..คุณหญิง ขอสายฉันหน่อย”
ท่านทูตมารับสายแทน
“หนูอิ่มอยู่อินเตอร์ลาเคนเหรอ”
“ใช่ค่ะคุณลุง”
“ได้เจอท่านชายทัศน์บ้างรึเปล่า”
“อุ๊ย...ได้เจอค่ะ เมื่อกี้นี่เอง ยังทักทายกับท่านชายอยู่เลย”
“แล้วท่านชายอยู่กับพระคู่หมั้นของท่านไหม”
“พระคู่หมั้น ใครกันคะ”
“หม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา อรุณรัศม์น่ะซี”
“ไม่เห็นค่ะ เห็นแต่หญิงไทย ชื่อจอย หรือแจ๋ว อะไรนี่ล่ะค่ะ”
ท่านทูตเป็นกังวลขึ้นมาทันที
อิ่มฟังความต่อ มีสีหน้าประหลาดใจขึ้นทุกที

ทุกคนเฮลั่นที่รู้ว่าวรรณรสายอมไปค้างบ้านวาดดาว มีแต่อิ่มเท่านั้นที่หน้าบึ้งตึง
“ทำไมคุณรสาถึงเปลี่ยนใจละครับ” ปกรณ์ถาม
“คงเพราะคุณชายมีข้อเสนอแปลกๆ ละมังคะ” วรรณรสาบอกขันๆ
“หืมม์...ข้อเสนอแปลกๆ อะไรเหรอ” เอื้อยสงสัย
“ข้อเสนอแบบนักการทูตของคุณชายน่ะซี” วรรณรสาเย้า
ปวรรุจยิ้มกริ่ม ทุกคนแปลกใจกับคำพูดของวรรณรสาที่บอกแค่นัยๆ
“ยังไงก็ตาม...เราก็ยังเป็นหมู่คณะเดียวกันอยู่ดี” อ้ายระรื่น
“เสียใจ ไม่ได้อยากเป็นหรอกนะ” อิ่มแหลมขึ้นมา
“เสียใจเช่นกันค่ะ ที่เรายังต้องเห็นหน้ากันอีกหลายวัน คุณผีเสื้อ”
“อุ๊ย ขอบคุณนะยะที่ชมว่าฉันงามเหมือนผีเสื้อ”
“ค่ะ ยายผีเสื้อสมุทร”
ทุกคนกลั้นหัวเราะ อิ่มกระฟัดกระเฟียดเพราะไม่มีใครเข้าข้างแม้แต่คนเดียว
“เอาละครับ เนื่องในโอกาสอันดีเช่นนี้ ผมขอฉลองให้ทุกคน ด้วยของว่างระดับเฟิร์สคลาส ช็อคโกแล็ตฟองดูครับ”

ทุกคนเฮ อิ่มพลอยเฮไปกับเขาด้วย

ขณะเดียวกัน แลเห็นจอยอยู่ในร้านเห็นไกลๆ โดยที่ภาณุทัศนัยรออยู่นอกร้าน สีหน้าทั้งเบื่อและรำคาญ วรัทวิ่งตรงมาหาสีหน้ากระวนกระวาย

“อ้าว วรัท มาทำอะไรแถวนี้ อย่าบอกนะว่าหยุดงานมาเที่ยว”
วรัทหอบหายใจ “เปล่าขอรับท่าน กระหม่อมมาตามหาท่าน”
“หา...ตามหาฉัน”
“ขอรับ...เฮ้อ...นับว่าโชคดีที่ทางโรงแรมบอกว่าท่านเด็จมาเที่ยวที่อินเตอร์ลาเคน กระหม่อมเลยตามมาถูก”
ชายทัศน์ฉงน “มีเรื่องอะไร”
วรัทกลัวๆ กล้าๆ “เออ...หม่อมจะถามว่า ท่านเด็จมาที่นี่กับใคร”
ภาณุทัศนัยมองเข้าไปในร้าน วรัทมองตามไปเห็นจอยยืนอยู่ไกลๆ วรัทเขม้นมอง แล้วเห็นว่าไม่ใช่ท่านหญิงแต้ว
“ธุระอะไรของแกวะ” ภาณุทัศนัยฉงนหนัก
“ธุระของกระหม่อมแน่นอนขอรับ ถึงได้ถ่อสังขารมาถึงนี่” วรัทแกล้งถามให้ภาณุทัศนัยเข้าใจว่าตนไม่รู้จักหญิงแต้วจริงๆ “เออ...ที่อยู่ตรงนั้น ใช่พระคู่หมั้นของท่านรึเปล่าขอรับ”
“พระคู่หมั้น? แกหมายถึงหญิงแต้วน่ะเหรอ”
“ขอรับ ท่านหญิงวรรณรสา น่ะขอรับ”
“แกจะบ้าเหรอ นั่นชื่อยายจอย หญิงแต้วอยู่ที่เมืองไทย จะมากับฉันที่นี่ได้ยังไง”
วรัทไม่กล้าบอกความจริงว่าวรรณรสาเดินทางมาตามหาภาณุทัศนัยที่นี่แล้ว และเดินทางไปกับกลุ่มปวรรุจ
“กระหม่อมเพิ่งทราบจากท่านทูต พระองค์เจ้าฉัตรอรุณทรงโทร.ทางไกลมาที่สถานทูต ถามถึงพระธิดาที่เสด็จมาสวิตตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วน่ะขอรับ”
ชายทัศน์ตะลึง “หา...หญิงแต้วเด็จมาสวิต จริงรึเปล่า หรือแกอำฉันเล่น”
“โธ่...กระหม่อมจะไปอำทำไมล่ะ มันเรื่องจริงขอรับ ท่านทูตเลยให้กระหม่อมมาตามหาท่านนี่ไง”
“อะไรกัน หญิงแต้วเด็จมา แล้วทำไมไม่ติดต่อฉันเลย”
วรัทหลบตา “นั่นซีขอรับ”
“แล้วตอนนี้หญิงแต้วอยู่ที่ไหน”
“ถ้าท่านชายไม่ทรงทราบ ก็ไม่มีใครทราบหรอกขอรับ”
“นี่มันเรื่องใหญ่แล้วนะ กลับโรงแรมกับฉันเดี๋ยวนี้”
พูดจบภาณุทัศนัยจะเดินไป
“ฝ่าบาท แล้วสาวน้อยในร้านนั่นละขอรับ”
“ปล่อยไว้อย่างนั้นละ มันบ้าช้อปปิ้งก็ให้มันช็อปไป”
ชายทัศน์เดินลิ่วนำไป วรัทวิ่งตาม

ขณะเดียวกันทุกคนกำลังทานช็อคโกแล็ตฟองดูกันอย่างเอร็ดอร่อยชื่นบาน โดยเฉพาะอิ่ม ที่จิ้มผลไม้ราดช็อคโกแล็ตทานปากเปรอะ ฟันดำ อ้ายกะเอื้อย ก็ร่วมจิ้มด้วยลืมเรื่องบาดหมางกันไปชั่วครู่ อิ่มเปรยขึ้น
“พี่อั่นคะ เมื่อกี้อิ่มโทร.หาคุณลุงที่สถานทูต มีเรื่องแปลกๆ ค่ะ”
“เรื่องอะไรเหรอ” อั๋นถาม
“คุณลุงกำลังกังวลเรื่องพระคู่หมั้นของท่านชายภาณุทัศนัย”
สามสาวแทบสำลักออกมาพร้อมกัน ปวรรุจเงยหน้าขึ้นมองอิ่มทันที อย่างสงสัยใคร่รู้
“พระคู่หมั้น? มีเรื่องอะไรเหรอคุณอิ่ม”
“อิ่มก็ไม่ทราบค่ะ เห็นบอกว่าถ้าเจอตัวท่านชายทัศน์อีกครั้ง ให้ถามว่าพระคู่หมั้นของท่านมาด้วยกันรึเปล่า”
“ใช่เด็กสาวที่เดินอยู่กับท่านเมื่อกี้รึเปล่าล่ะ” อั๋นว่า
ปวรรุจบอกทันที “ไม่ใช่...นั่นไม่ใช่ท่านหญิงแต้วแน่ๆ”
วรรณรสาเหลียวมองไปยังปวรรุจ
“อ้อ..ท่านหญิงแต้ว ที่นายเล่าให้ฟังใช่ไหม” ปกรณ์พยักหน้า
“ใช่ คุณอิ่ม ผมยังไม่เข้าใจ หมายความว่าท่านหญิงเด็จมาสวิตงั้นเหรอ”
“ใช่ค่ะ มาตั้งเกือบสองอาทิตย์แล้วด้วย” อิ่มบอก
ปกรณ์นิ่งคิด “เกือบสองอาทิตย์ ก็ช่วงเดียวกับที่นายเดินทางมาน่ะซี”
“ก็พร้อมกันกับคุณรสา หนูอ้าย หนูเอื้อย” อั๋นว่าอีก
สามสาวลอบมองหน้ากัน หายใจไม่ทั่วท้อง
“มีใครเห็นบ้างไหมครับ” ปกรณ์ถามขึ้น
สามสาวตอบพร้อมกัน “ไม่เห็นค่ะ”
ทุกคนมองสามสาวที่พูดราวกับนัดกันไว้
“น่าแปลก ถ้าท่านหญิงมาช่วงนั้น ก็น่าจะพบท่านชายแล้ว แต่ตอนที่ฉันไปทำงานที่เจนีวากับท่านชาย ไม่เห็นท่านรับสั่งถึงหญิงแต้วสักครั้งเดียว”
ปกรณ์ต่อให้ “แถมยังควงสาวนอก สาวไทยให้ปร๋อ”
“เป็นไปได้ไหมครับว่าท่านหญิงอาจไม่ได้พบท่านชายเลยก็ได้” อั๋นตั้งข้อสังเกต
อิ่มเสริม “หรืออาจจะได้พบ แต่พบฝ่ายเดียว ท่านหญิงมาเจอท่านชายกำลังควงสาวคนอื่นอยู่ ก็เลยโกรธ เตลิดหนีหายไปเลย โดยท่านชายไม่รู้ตัว”
ปกรณ์ กะอั๋นพยักหน้าเห็นด้วย วรรณรสายิ่งอึดอัด
“เออ...ฉันขอตัวไปเดินเล่นก่อนนะ”
วรรณรสารีบแยกไป อ้าย กะเอื้อยมองตาม
“ฮึ...ทำเป็นแยกตัวโดดเดี่ยวอีกแล้ว” อิ่มพูดอย่างหมั่นไส้ แล้วหันมาทางปวรรุจ “เอ...แล้วคุณชายรู้จักท่านหญิงด้วยเหรอคะ เห็นเรียก...หญิงแต้ว”
“รู้จักสมัยเด็กน่ะ ท่านทูตได้พูดอะไรถึงท่านหญิงอีกไหม”
“ก็... เห็นคุณลุงบอกว่า ท่านหญิงเด็จมากับสาวใช้สองนางค่ะ”
คำพูดของอิ่มทำเอาอ้ายกะเอื้อยสะดุ้ง อิ่มจ้อไม่หยุด
“มาดูแลรับใช้ท่านหญิงโดยเฉพาะ เอ...สาวใช้ที่ดีก็ไม่น่าพานายหนีไปแบบนั้นนะคะ”
อ้ายกะเอื้อยมองหน้ากัน
“แสดงว่าเป็นสาวใช้ชั้นเลว” อิ่มจีบปากว่า
อ้ายสุดทน เอาคืนด้วยการแกล้งปัดแก้วน้ำลงตักของอิ่มทันที
“ว้าย...ตายแล้วชุดชั้น แกล้งกันใช่ไหมเนี่ย”
“เปล่า...มือบังเอิญไปโดน แต่ไม่ขอโทษหรอกนะ”

อิ่มบ่นบ้าก่นด่าอีกยาว อั๋นมาช่วยเช็ด ปวรรุจครุ่นคิดถึงหญิงแต้ว

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ส่วนวรรณรสาเดินมาตามถนน ทอดถอนใจเรื่องชักยุ่งเหยิงมากขึ้น แล้วต้องตัวเย็นวาบเมื่อได้ยินเสียงของภาณุทัศนัยดังมาจากเบื้องหลัง

“เร็วหน่อยซีแก ฉันจะรีบกลับไปโทร.ทูลพระองค์ฉัตร”
วรรณรสารีบหยุดยืนตรงหน้าร้านค้า ทำเป็นก้มหน้ามองหน้ากระจกร้าน ภาณุทัศนัยเดินกึ่งวิ่งนำหน้าวรัทอยู่หลายช่วงตัว
“โทร.ทูลทำไมขอรับ”
“ทูลท่านเรื่องหญิงแต้วน่ะซี บอกว่าฉันยังไม่ได้พบเธอเลย ไม่รู้เธอหายไปข้างไหนแล้ว”
วรัทยิ่งกลัว ไม่กล้าบอกว่าไปกับปวรรุจ “เออ...จะดีเหรอขอรับ”
“รีบตามมาเถอะน่า”
ชายทัศน์เดินผ่านวรรณรสาไป วรัทจะวิ่งตาม ท่านหญิงเรียกวรัท
“วรัท”
วรัทตะลึง “ท่านหญิง”
“เบาๆ”
วรรณรสาดึงวรัทหลบเข้ามุมตึก ภาณุทัศนัยเดินลิ่วไปแล้วเลยไม่ได้หันมามอง

สองคนอยู่ตรงมุมตึก วรัทยังตื่นเต้น หอบหายใจ แฮ่กๆ
“ฝ่าบาท อยู่นี่เอง โอย หม่อมฉันเป็นห่วงแทบแย่ นึกว่าฝ่าบาทประทับอยู่กับท่านชายแล้ว ไปขอรับ เด็จไปพบท่านชายเดี๋ยวนี้เลย ก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปกันใหญ่” วรัทพูดกับท่านหญิงรสา ใช้ราชาศัพท์ถูกต้องครบถ้วน
“ไม่...ฉันไม่พบท่านชายเด็ดขาด”
“อ้าว...ทำไมล่ะขอรับ”
“ไม่ต้องรู้เหตุผลหรอก”
“แต่เดี๋ยวท่านชายจะโทร.ทูลพระองค์ฉัตรแล้วนะขอรับ ถ้าทูลเรื่องฝ่าบาทหายไป กระหม่อมต้องถูกเล่นงานในฐานะผู้สมรู้ร่วมคิดแน่ๆ” วรัทโอด ท่าทีน่าสงสาร
“ไม่ต้องห่วง เธอหาทางให้ฉันได้คุยกับพี่ชายทัศน์ก็พอ เดี๋ยวนี้เลย”
วรัทยิ่งฟังยิ่งงง

ภายในห้องพักหรูหรา กว้างใหญ่ ภาณุทัศน์เดินไปมาที่ห้องกลาง วรัทกำลังถือสาย พูดขอบคุณทางโอเปอร์เตอร์เป็นภาษาเยอรมันสวิต วางสายแล้วหันมามอง ชายทัศน์อย่างมีแผน แต่ก็กลัวๆ กล้าๆ เช่นเคย
“ฝ่าบาท กระหม่อมให้ทางโอเปอร์เตอร์ต่อทางไกลไปที่วังอรุณรัศมิ์แล้ว คงอีกสักครู่”
ชายทัศน์มองมาอย่างขัดใจ แล้วเดินไปมา
“ฉันจะรายงานยังไงดี พระองค์ฉัตรถึงจะไม่กริ้ว ทำไมหญิงแต้วทรงทำอย่างนี้นะ”
กริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นทันที ชายทัศน์หันขวับมา
“รับเร็ว”
วรัทรับสาย
“ฮัลโหล...” วรัทฟังหน่อยหนึ่งแล้วแกล้งทำเป็นประหลาดใจ “นั่นใครพูดครับ หา...ท่านหญิงวรรณรสา... ฝ่าบาท ท่านหญิงทรงโทร.มา”
“หา...หญิงแต้ว”
ภาณุทัศนัยรีบรับสายทันที

ที่แท้วรรณรสาใช้เครื่องโทรศัพท์ของโรงแรมตรงล็อบบี้ โทร.ไปหาชายทัศน์ที่ห้อง
“สวัสดีค่ะพี่ชายทัศน์”
“หญิงแต้ว พี่เพิ่งรู้ว่าหญิงเด็จมาสวิต แล้วตอนนี้หญิงประทับอยู่ที่ไหนคะ”
“ที่ไหนไม่สำคัญหรอกค่ะ หญิงเพิ่งรู้ว่าเสด็จพ่อทรงโทร.ทางไกลมา”
“รู้ได้ยังไง”
“แหม...คนที่สถานทูตเป็นสายให้หญิงตั้งหลายคน”
“เจ้าวรัทเหรอ” ภาณุทัศนัยว่า
วรัทสะดุ้งโหยง
“วรัทไหนคะ หญิงไม่รู้จัก”
“หญิงเด็จมาแล้ว ทำไมไม่มาหาพี่”
“ที่จริงหญิงไปพบพี่ชายมาแล้วนะคะ”
“หา...ที่ไหน”
วรรณรสาบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “ที่โลซานน์ไง”
ภาณุทัศนัยเป็นอึ้ง กลืนน้ำลายเอื๊อก พยายามใจดีสู้เสือ
“หญิงเด็จที่โลซานน์? แล้ว....ทำไมไม่ไปพบพี่”
“เพราะพี่ชายทัศน์กำลังทรงมีภารกิจนัวเนียกับสาวฝรั่งอยู่น่ะซีคะ หญิงไม่อยากรบกวน”
“หญิงแต้ว อย่าเข้าพระทัยผิดนะ ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เป็นอะไรกับพี่”
“เหรอคะ แล้วที่กอดกัน จุมพิตกัน แถมยังเรียกกันว่า ดาร์ลิ่ง จะให้หญิงเรียกความสัมพันธ์แบบนี้ว่าอะไรดี”
“โธ่...หญิง เข้าพระทัยผิดไปใหญ่แล้ว อ้อ...เพราะอย่างนี้หญิงถึงเด็จหนีพี่ไป เด็จกลับมาหาพี่เดี๋ยวนี้เลย แล้วเรามาคุยกันให้รู้เรื่อง มันไม่ใช่อย่างที่หญิงเข้าพระทัย”
“เอ...กลับไปตอนนี้ แล้วพี่ชายจะทรงซุกซ่อนแม่สาวคนไทยคนใหม่คนนั้นไว้ที่ไหนล่ะค่ะ” วรรณรสาตอกกลับทุกเม็ด
ชายทัศน์ตกใจ “หญิงแต้ว นี่หญิงตามพี่มาตลอดงั้นเหรอ”
“เปล่าค่ะ หญิงไม่ได้ตามพี่ชายทัศน์ เพราะหญิงหมดอาลัยในตัวพี่ชายนับแต่ที่โลซานน์แล้ว แต่มันคงเป็นกรรมลิขิตของหญิง ที่ต้องบังเอิญมาเห็นพี่ชายเข้าอีกครั้งกับสาวคนใหม่ เดี๋ยวหญิงจะโทร.กลับไปหาเสด็จพ่อ ทูลท่านว่าหญิงสบายดี กำลังเที่ยวสนุกกับหนูอ้าย หนูเอื้อย”
ภาณุทัศนัยตกใจยิ่งขึ้น “หญิง....อย่าทูลเรื่องของพี่ให้เสด็จพ่อทราบนะ”
“กลัวเหรอคะพี่ชาย ได้ค่ะ หญิงรับปาก เท่านี้”
วรรณรสาวางสายไป
“เดี๋ยว หญิงแต้ว วางสายไปแล้ว”
วรัทรีบถาม “เอาไงขอรับ ให้ทางโรงแรมต่อทางไกลไปกรุงเทพฯไหม”
“ไม่ต้องแล้ว”

วรัทโล่งอก

ภาณุทัศนัยติดใจคำพูดของวรรณรสา หันมาคาดคั้นวรัท

“เจ้าวรัท แกเป็นสายให้หญิงแต้วรึเปล่า แล้วมาตีหน้าซื่อใส่ฉัน”
“กระหม่อมไม่รู้เรื่อง องค์จริงท่านหญิงหม่อมก็ไม่เคยเห็น เห็นแต่ในรูปถ่าย”
“สายอยู่ในสถานทูตนั่นแหละ ไปสืบมาว่ามันเป็นใคร” ชายทัศน์สั่ง
วรัทโล่งอก “ได้ขอรับ”
“รีบไปกันเลย”
“ไปไหนขอรับ”
“ตามหาท่านหญิงน่ะซี”
ชายทัศน์ออกไป วรัทหน้าเหวอรีบตามไป

ฟากวรรณรสาเดินออกมาที่ถนน ผ่านทะเลสาบสวยของเมือง วรรณรสามายืนร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างของ ปวรรุจเดินเข้ามา
“รสา”
วรรณรสารีบเช็ดน้ำตา แต่เจ้ากรรมไม่มีผ้าเช็ดหน้า มือปวรรุจยื่นผ้าเช็ดหน้าขาวสะอาดมาให้ ท่านหญิงรสามองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น แล้วเงยหน้ามองปวรรุจ ซ่อนน้ำตาไว้ไม่ได้แล้ว
“เช็ดน้ำตาซะ”
วรรณรสารับผ้ามาเช็ดน้ำตา พยายามสะกดอารมณ์กลั้นก้อนสะอื้น แต่ก็ไม่อาจกลั้นไว้ได้ วรรณรสาร้องไห้ออกมาอีก
ปวรรุจสงบนิ่งไม่พูดอะไร ดึงร่างวรรณรสามากอดไว้หลวมๆ เป็นเชิงปลอบประโลม แต่แล้วโดยที่ปวรรุจไม่คาดคิด วรรณรสากอดปวรรุจไว้แน่น ร้องไห้กับแผ่นอกของปวรรุจอยู่อย่างนั้น
ปวรรุจกอดวรรณรสาไว้ ท่านหญิงปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น แม้จะไม่รู้สาเหตุแต่ปวรรุจก็กอดไว้อย่างปกป้องเต็มที่
ร่างของทั้งคู่ กอดกันอยู่ริมทะเลสาบของเมือง

ส่วนภาณุทัศนัยเดินลิ่วตามหาวรรณรสา สอดส่ายสายตาไปทั่ว มีวรัทตามติด
“ท่านชายทรงแน่พระทัยนะขอรับ ว่าท่านหญิงอยู่ที่นี่”
“ท่านหญิงบอกเองว่าเห็นฉันกับ....ยายจอย ท่านหญิงอยู่อินเตอร์ลาเคนแน่ ๆ
“ตระเวนหาทั้งเมืองแบบนี้ ลำบากอยู่นะขอรับ”
ชายทัศน์ตวาด “ยังไงก็ต้องหา เอ....เมื่อกลางวันฉันเพิ่งเจอไอ้คุณชายรุจกับกลุ่มนายปกรณ์ พวกมันอาจจะเห็นหญิงแต้วก็ได้ เอ๊ะ หรือ หญิงแต้วมากับพวกมัน”
วรัทสะดุ้ง ภาณุทัศนัยเดินหาตามที่ท่องเที่ยวต่อไป วรัทจะตาม แล้วมองเลยไปที่หน้าร้านอาหารที่กลุ่ม ปกรณ์นั่งอยู่
“เอาละซี โอละพ่อ แน่ๆ”
วรัทตรงไปยังกลุ่มทันที

พอวรัทเข้ามาถึงหน้าร้านอาหาร ปกรณ์ อั๋น และอิ่ม ทักทายวรัทอย่างดี อ้าย กะเอื้อยมีอาการระแวดระวัง
“ไง...วรัท นี่ไม่ใช่วันหยุดเสียหน่อย ทำไมมาเที่ยวได้”
“ครับ ผมมาทำงานน่ะครับ”
“เห็นท่านชายทัศน์ไหมวรัท” อิ่มถาม
“เห็นครับ ท่านทรงเดินเที่ยวแถวๆ นี้ละครับ”
วรัทพูดพลางเหล่มาทางอ้ายกะเอื้อย แฝดสะดุ้ง
“อยู่ตรงไหนเหรอ อยากเจอท่านจัง เพราะคุณลุงฝากให้ถามว่าท่านหญิงพระคู่หมั้นอยู่กับท่านรึเปล่า” อิ่มถามต่อ
อ้ายรีบขัดขึ้น “เออ...วรัท เดี๋ยวช่วยถ่ายรูปให้เราสองคนหน่อยซี”
“ได้ครับ”
ทั้งสามแยกไป อิ่มมองตามอย่างสงสัย
“คุณปกรณ์คะ ยายแฝดรู้จักนายวรัทด้วยเหรอ”
“รู้จักซีครับ”
“รู้จักกันยังไง”
“ไม่แน่ใจ แต่เหมือนจะรู้กันอยู่แล้ว เพราะวรัทพามาพักที่ห้องเช่าของผมเลย”
อิ่มยักไหล่พรึดไม่สนใจอีก หันกินฟองดูปากเขรอะต่อไป

วรัท อ้าย และเอื้อย หลบมุมมาคุยกัน
“อะไรนะ ท่านหญิงโทร.คุยกับท่านชายทัศน์แล้ว” อ้ายตื่นตกใจ
“ครับ แล้วก็บอกเรื่องที่เห็นท่านชายควงแหม่มลิลลี่แล้วด้วย”
“ว้ายตายแล้ว” เอื้อยตกใจ
“ตอนนี้ท่านชายกำลังตามหาท่านหญิงอยู่ รวมทั้งคุณชายรุจด้วย เพราะท่านคิดว่าท่านหญิงอาจจะมากับคุณชายก็ได้”
“ท่านชายเดาไม่ผิดหรอก แล้วเราจะทำยังไงดี ถ้าท่านชายมาสืบความจากคุณชายและคุณปกรณ์ พวกเราถูกจับได้กันทั้งทีม” อ้ายกังวลหนัก
“ต้องไม่ให้เจอกันครับ ผมว่ารีบพากลุ่มคุณชายไปจากที่นี่ดีกว่า เดี๋ยวผมจะกันท่านชายไปทางอื่นเอง”
เอื้อยรับคำทันที “ได้”
ทั้งหมดรีบกลับไปที่กลุ่ม ปกรณ์

ทั้งสามวิ่งกลับมาที่ร้าน แต่แล้วต้องเบรคตัวโก่ง เพราะเหมือนชายทัศน์กำลังสอบถามคาดคั้นกับ ปกรณ์ อิ่มและอั๋น ทั้งสามจึงแอบฟัง ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ
“บอกความจริงมา นายพาหญิงแต้วมากับนายด้วยใช่ไหม”
“ท่านครับ ทำไมท่านคิดว่าท่านหญิงจะมากับพวกผมละครับ”
“คุณชายปวรรุจเคยเป็นเพื่อนหญิงแต้วสมัยเด็ก อาจจะช่วยเหลือกันก็ได้”
“ไม่มีครับ คุณอิ่มคุณอั๋น เป็นพยานได้”
“ที่ร่วมทัวร์กับพวกเรา มีแค่คุณรสากับเพื่อนเท่านั้นละกระหม่อม”
ชายทัศน์ชะงัก “หา...รสาไหน”
วรัท อ้าย และเอื้อย แทบกลั้นหายใจ
“ฮิฮิ ท่านชายขา...รสาซิ่มน่ะค่ะ” อิ่มแหลมขึ้น
“ไม่เข้าใจ”
“ยายรสานี่เป็นอาซิ่ม ลูกเจ้าสัวแถวเยาวราชกระมัง มาเที่ยวตามประสาลูกเสี่ยมีเงินนะค่ะ” อิ่มยิ้มเยาะ
“หน้าตาเป็นยังไง”
“ฮิฮิ ดูไม่ได้เลยค่ะ ซิ่มสะพานหันดีๆ นี่เอง เห็นว่ามาหาแฟนด้วยใช่ไหมคุณปกรณ์”
“ใช่ครับ ชื่อเฮียเพ้ง เห็นว่าเป็นเอเยนต์นำเข้านาฬิกาสวิตน่ะครับ”
ชายทัศน์ซักไม่เลิก “ก็แล้วไป”
อ้าย เอื้อย และวรัท ถอนใจ
“คุณวรัท ไปพาท่านชายทัศน์ออกมาเถอะ โอกาสดีแล้ว” อ้ายบอก
“ครับ ครับ”
วรัทรีบวิ่งเข้ามาสมทบกลุ่ม ภาณุทัศนัยเห็น ด่าอย่างอารมณ์เสีย
“หายหัวไปไหน”
“เออ...กระหม่อมไปชักรูปน่ะขอรับ”
“ฉันบอกให้แกตามหาท่านหญิง ไม่ใช่ไปทำธุระอย่างอื่น”
“ประทานอภัยฝ่าบาท”
“ไป”
ภาณุทัศนัยเดินนำไป วรัทตาม ปกรณ์มองอย่างหมั่นไส้เต็มที แฝดรีบเข้ามาสมทบ
“คุณอิ่ม ทำไมไปว่าคุณรสาไม่สวย เธอสวยออกอย่างนั้น” อั๋นตำหนิน้องสาว
“ในสายตาอิ่ม ยายรสาไม่มีความสวยเลยแม้แต่นิด ไม่ต้องมาโกรธแทนเพื่อนนะยายแฝด”
อ้ายยิ้มหวาน “นอกจากไม่โกรธแล้ว ยังขอบคุณคุณอิ่มด้วยค่ะ”
เอื้อยด้วย “ค่ะ เป็นครั้งแรกที่คุณอิ่มพูดจาได้เสนาะหูที่สุดเลยค่ะ”
อิ่มเป็นงง มองพี่ชายที่งงเช่นกัน
“คุณ ปกรณ์คะ หนูอ้ายว่าเราไปไปบ้านคุณวาดดาวกันเถอะค่ะ ใกล้ค่ำแล้ว”
“ครับ แต่ว่าเจ้าคุณชายกับคุณรสาอยู่ที่ไหนละครับ”

ทุกคนต่างเหลียวมองหา วรรณรสากับปวรรุจ

ยามเย็นวรรณรสานั่งเคียงข้างปวรรุจอยู่ตรงม้านั่งริมทะเลสาบสวย อาการเศร้าคลายลงไปมากแล้ว แต่ขอบตายังแดงช้ำ

“บอกได้รึยังว่าร้องไห้เรื่องอะไร”
“ฉันเพิ่งโทร.ไปคุยกับ....เออ คู่หมั้นฉัน”
ปวรรุจจำได้ “เฮียเพ้ง”
“ค่ะ...เขาปฏิเสธทุกข้อหาเรื่องสาวๆ ที่เขาควงด้วย เป็นผู้ร้ายที่ปากแข็งที่สุด เห็นแก่ตัวที่สุด”
“ทำใจเถอะนะ...ดีแล้วละที่เธอได้เห็นธาตุแท้ของเขา ก่อนที่เธอจะถลำลึกไปมากกว่านี้”
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจ และอยู่เป็นเพื่อนฉัน ยามที่ฉัน... รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวเหลือเกิน และขอบใจสำหรับ...”
ปวรรุจฉงน “หืมม์?”
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ค่ะ”
ปวรรุจหัวเราะเบาๆ “เก็บไว้เถอะ ไว้ซับน้ำตาที่อาจไหลออกมาอีก เมื่อเธอนึกถึงเขา แต่ฉันขออะไรอย่างได้ไหม”
“คะ”
“ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้ ไม่อยากให้เธอซับแค่น้ำตา แต่อยากให้มันซับความเจ็บปวดในใจเธอด้วย เพื่อที่...”
วรรณรสามองหน้าปวรรุจ ที่ยามนี้มีสีหน้าเครียดจริงจังขึ้น
“ให้ใจเธอมีที่ว่างพอ พอที่จะตอบได้ว่า เธอจะลืมเขา และพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง...ได้ไหม”
คำพูดแสนอ่อนโยนนุ่มละมุนนั้นทำเอาวรรณรสานิ่งงันไป ครู่หนึ่ง
“คุณชาย”
ทั้งสองประสานสายตากัน ปวรรุจดึงร่างวรรณรสาเข้าไว้ในวงแขน ท่านหญิงรู้สึกเหมือนคุณชายกำลังก้มลงมาเพื่อจุมพิต แต่แล้วเสียงดังมาจากเบื้องหลัง ดังขัดจังหวะก่อน
“ไอ้คุณชาย” เป็นเสียงปกรณ์
“รสา มาหลบอยู่นี่เอง” ตามด้วยอ้าย
ปวรรุจและวรรณรสาเลยต้องผละออกจากกัน
“เมือกี้เจอไอ้เจ้าท่านชายอีกแล้วว่ะ”
“ว่ายังไงบ้าง” ปวรรุจถาม
“มาหาว่าท่านหญิงแอบเดินทางมากับเรา คิดอะไรบ้าๆ”
วรรณรสาและอ้ายมองหน้ากัน
“แล้วตกลง หญิงแต้ว อยู่ที่ไหน” ปวรรุจถาม
“คงเด็จมากับกรุปทัวร์นั่นแหละ เห็นว่าติดต่อกันทางโทรศัพท์แล้ว คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วละ”
ปวรรุจคลายกังวลในใจลง
“ฉันอยากเจอท่านหญิงมาก ตอนนั้นที่กระทรวงที่ท่านหญิงเด็จมาเยี่ยมท่านชาย ฉันมีโอกาสได้เห็นท่านหญิงแค่แว่บเดียว”
วรรณรสาสบตากับอ้ายอีก ท่านหญิงทึ่งปนงง เจอแล้วทำไมจำเธอไม่ได้ล่ะ
“คุณชายได้เจอท่านหญิงเหรอคะ” วรรณรสาตัดสินใจถาม
“ใช่...ได้เจอ”
“แล้ว...ท่านหญิงสวยไหมคะ” อ้ายถาม
“บอกไม่ได้ เพราะฉันเห็นท่านหญิงแค่ด้านหลัง”
วรรณรสาเข้าใจทันที หันมาอมยิ้มกับอ้าย
“รถมาถึงแล้ว ไปเถอะ ไปช่วยขนกระเป๋าขึ้นรถให้สาวๆ กัน”
ปวรรุจหันมามองวรรณรสายิ้มอย่างอบอุ่นมาให้ ก่อนจะแยกไปกับปกรณ์
“ท่านหญิง...เมื่อกี้ทำอะไรกันน่ะ” อ้ายถามทันที
“ไม่มีอะไร”
“เหมือนคุณชายกำลังจะจุมพิตท่านหญิงอย่างนั้น”
“หนูอ้ายคิดอะไรฟุ้งซ่าน...เมื่อกี้เจอพี่ชายทัศน์เหรอเป็นยังไง”
“อู๊ย....หลบแทบตาย เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ว่าแต่ท่านหญิงโทร.คุยกับท่านชายแล้วเหรอคะ”
“ใช่....ต่อว่าไปเรียบร้อยแล้วด้วย”
สองสาวเดินไปด้วยกัน คุยเรื่องชายทัศน์กับเหตุการณ์เมื่อครู่ไปตลอดทาง

วันเดียวกันที่วังจุฑาเทพ เวลาประมาณสองทุ่ม ธราธร พุฒิภัทร รัชชานนท์ และรณพีร์ คุณชายทั้งสี่นั่งสนทนากันอยู่ในห้องใต้โดม หลังกลับมาจากงานดูตัวกระถินแล้ว
“ถึงจะถูกย้อมแมว แต่น้องกระถินก็น่ารักนะครับ ตอนเต้นรำก็พลิ้วเชียว” รัชชานนท์ว่า
“ถ้าพี่ชายรุจกลับมาอาจหลงรักน้องกระถินก็ได้นะครับ” รณพีร์บอก
ธราธรและพุฒิภัทรมองหน้ากัน
“ทำไมคิดอย่างนั้น” ชายภัทรถาม
“อ้าว...พี่ชายกำลังเจ็บจากการที่ไปเจอคุณวาดดาว กลับมาได้พบน้องกระถินน่ารักขนาดนี้ อาจจะเกิดสิเน่หาในตัวน้องกระถินก็ได้นะครับ”
ธราธรเห็นงามตามน้อง “นั่นซี ชายรุจยังไม่ได้ติดต่อมาเลยว่าไปเจอวาดดาวแล้วเกิดอะไรขึ้น”

ทุกคนนิ่งงันกันไป


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ที่ชาโตส์ของวาดดาว ยังเป็นเวลายามเย็น ตะวันโพล้เพล้ ราวๆ ห้าโมงเย็น ปวรรุจและวรรณรสาคุยกันอยู่ริมทะเลสาบหน้าชาโตส์ของวาดดาว อากาศเริ่มเย็น แสงสีทองสาดไปทั่วบริเวณ

“ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่าสมร ท่านชายรับสั่งให้ฉันพาเธอหลบออกจากห้องทำงาน พาออกไปจากตึก จังหวะที่ท่านหญิงเสด็จมาเยี่ยมท่านชายพอดี”
วรรณรสาฟังนิ่ง สีหน้าทั้งเศร้าและเจ็บปวด
“ท่านชายทรงหลอกท่านหญิงแต้วอย่างโหดร้ายที่สุด แล้ว...คุณชายไม่คิดจะเตือนท่านหญิงเหรอคะ”
“ฉันยังไม่มีโอกาสได้พบท่านหญิงอีกเลย แต่กลับไปพระนครครั้งนี้ ฉันต้องหาทางไปพบท่านหญิงให้ได้ และทูลเล่าความจริงทั้งหมด”
วรรณรสามองปวรรุจน้ำตารื้นด้วยความขอบคุณ
“เป็นอะไรรสา ร้องไห้ทำไม”
วรรณรสารีบเช็ดน้ำตา “สงสารท่านหญิงแต้ว และสงสารตัวเอง เพราะฉันก็โดนคู่หมั้นหลอกลวงเหมือนกันนี่คะ”
ปวรรุจดึงร่างวรรณรสามาโอบไว้
“เข้มแข็งนะรสา และนี่คืออีกสิ่งที่ฉันจะทำเมื่อกลับไปพระนคร”
วรรณรสาผละออกมองหน้าปวรรุจ รอฟัง
“ไปพบครอบครัวของเธอ และบอกเจตจำนงของฉันที่มีต่อเธอ”
วรรณรสาตะลึงนิ่งงันไป ปวรรุจมองด้วยสายตาเคร่งขรึมจริงจังจนท่านหญิงรสาต้องหลบตา
“คุณชาย”
ปวรรุจดึงรสามากอดแนบแน่น วาดดาวเดินมาแต่ไกล ยิ้มอย่างชื่นใจที่เห็นภาพสองคนตรงหน้า

สมาชิกทั้งหมดยกเว้นปวรรุจ ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเป็นที่ครึกครื้น ปกรณ์ลุกขึ้นพร้อมชูแก้วเครื่องดื่ม
“ขอขอบคุณเจ้าภาพของเรา ที่ต้อนรับเราเป็นครั้งที่สอง ดื่มให้ท่านกงสุลและคุณวาดดาวครับ”
ทุกคนปรบมือ ฟิลลิปกับวาดดาวลุกขึ้น และโค้งคำนับ พร้อมชนแก้วกันดื่ม
ที่ห้องนั่งเล่น ปวรรุจกำลังต่อสายโอเปอร์เรเตอร์ สายทางไกลอยู่ ยินเสียงหัวเราะดังมาจากห้องอาหาร ปวรรุจเหลือบไปมอง เห็นวรรณรสากำลังหัวเราะกับทุกคนอย่างมีความสุข ปวรรุจมองท่านหญิงรสาแล้วยิ้มกับตัวเอง

ที่เมืองไทย ดึกมากแล้ว ธราธรกำลังคุยกับพุฒิภัทรเพียงสองคน ที่ห้องใต้โดม
“อะไรนะครับ น้องกระถินมีคนรักอยู่แล้ว”
“ใช่ แต่น้องเกษบอกว่ายังไม่แน่ใจนัก เพราะเห็นกระถินพูดถึงในฐานะพี่ชายที่อยู่ที่เหมืองด้วยกัน คอยช่วยเหลือดูแลทุกอย่าง”
“ถ้าเกิดเป็นคนรักกันจริง ก็ถือว่าเราทำร้ายน้องเขาอย่างมาก” พุฒิภัทรหน้าสลดลง
“ใช่ น้องเกษบอกว่ากระถินไม่มีความสุขเลยที่ต้องจากบ้านมาอยู่ที่นี่”
เสียงโทรศัพท์ในห้องดังขึ้น ธราธรรับสาย

ปวรรุจอยู่ในห้องนั่งเล่นบ้านวาดดาว พูดสายกับธราธรซึ่งอยู่ในห้องใต้โดม วังจุฑาเทพ โดยมีพุฒิภัทรรีบเข้ามาร่วมฟัง
“สวัสดีครับ พี่ชายใหญ่ ผมเองชายรุจ”
ธราธรทักตอบ “กำลังคิดถึงนายอยู่พอดี สบายดีนะ”
“สบายมากครับ และตอนนี้ผมพักที่ชาโตส์ของวาดดาว”
“แล้ว...เรื่องของวาดดาวเป็นยังไง”
“ผมจะเล่าให้พี่ฟังทีหลัง มีปริศนามากมายที่ผมก็เพิ่งเข้าใจ ขอบคุณชายภัทรด้วยที่ยืนยันให้ผมมาพบวาดดาว ปัญหาที่คาใจทุกอย่างได้เคลียร์แล้วเรียบร้อย”
ธราธรหันมาทางพุฒิภัทร “ชายรุจฝากขอบคุณนาย”
ชายภัทรยิ้มรับ “ครับ”
“พี่ชายใหญ่ แต่ตอนนี้ที่ผมอยากเล่าที่สุด คือ....ผมได้พบผู้หญิงคนนึงที่นี่ ผมคิดว่าผมหลงรักเธอเข้าแล้ว เธอชื่อ “รสา” ครับ”

ธราธรนิ่งงันไป พุฒิภัทรเองก็อึ้ง

วันรุ่งขึ้น สี่หนุ่มยืนคุยกันอยู่ที่โถงกลางวังจุฑาเทพ ทุกคนอยู่ในชุดเตรียมพร้อมจะไปทำงาน รณพีร์อยู่ในชุดเครื่องแบบเรืออากาศตรี รัชชานนท์อยู่ในชุดข้าราชการกรมทาง

ทั้งสองหนุ่มตะลึงกับข่าวใหม่
“หา...พี่ชายรุจพบรักใหม่ ชื่อ รสา เหรอครับ” รณพีร์โพล่งขึ้นเสียงดัง
ธราธรและพุฒิภัทรจุ๊ปากพร้อมกัน
ธราธรสำทับ “เบาๆ”
“เป็นสาวร่วมทัวร์กับพี่ชายรุจ แล้วรู้จักกันแค่สองอาทิตย์ก็รักกันแล้ว โอ้โฮ...อย่างกับหนังเรื่อง โรมัน ฮอลลิเดย์” รัชชานนท์อย่างทึ่ง
“ใช่ แต่สลับบทกันนะ ในโรมัน ฮอลลิเดย์ เจ้าหญิงกับหนุ่มนักข่าว แต่ของพี่ชายรุจ เจ้าชายกับหญิงสามัญชน เฮ้อ...อยากเห็นจังว่าสาวเจ้าจะสวยแค่ไหน” รณพีร์ว่า
“อาทิตย์หน้าฉันจะเดินทางไปเยี่ยมน้องมะปรางที่อังกฤษแล้ว จะแวะ ไปเยี่ยมชายรุจที่สวิตด้วย คงได้รายละเอียดเพิ่มเติมละ” ธราธรบอก
จังหวะนี้ ย่าอ่อนเดินมาจากห้องอาหารเข้ามาพอดี เลยแอบฟัง
“แล้วน้องกระถินจะทำยังไงล่ะครับ ท่าจะยุ่งกันใหญ่นะครับทีนี้”
รัชชานนท์เอ่ยขึ้น ย่าอ่อนทะแม่งหูจึงแสดงตัวทันที
“คุยอะไรกันอยู่”
สี่หนุ่มสะดุ้ง ย่าอ่อนมองอย่างเห็นพิรุธ
“เห็นพูดถึงหนูกระถิน มีเรื่องอะไรกันเหรอ ทำไมต้องยุ่งกันใหญ่”
ธราธรรีบแก้ให้ “อ๋อ...ไม่มีอะไรครับ ยุ่งเรื่องที่จะพาน้องมะปรางข้ามจากอังกฤษไปเยี่ยมชายรุจที่สวิตน่ะครับ เจอชายรุจคราวนี้ผมจะเล่าเรื่องน้องกระถินให้ชายรุจฟังด้วย”
“เอารูปถ่ายไปให้ดูด้วยนะ ชายรุจจะได้เป็นปลื้ม นี่ย่ากะว่าจะพาหนูกระถินเขามาฝึกทำอาหารคาวหวานที่วังของเรา ไม่ใช่ทำเป็นแต่อาหารท้องถิ่นจะได้เตรียมตัวเป็นแม่ศรีเรือน ภริยาท่านทูตในอนาคต”
ทั้งสี่มองหน้ากัน ยิ่งลำบากใจมากขึ้น
“เอ้า มาทานข้าวเช้ากันก่อน สำรับเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว”
ธราธร พุฒิภัทร และรัชชานนท์ รีบแยกไปทางห้องอาหาร รณพีร์จะตาม ย่าอ่อนดึงไว้
“เดี๋ยว ชายพีร์”
“ครับ คุณย่า”
“เมื่อกี้ทำท่าเหมือนมีพิรุธกันทั้งสี่คน มีอะไรปิดบังย่ารึเปล่า”
“ไม่มีครับคุณย่า”
“แต่ย่าว่า...”
รณพีร์ตัดบท “เออ คุณย่าครับ ผมสายแล้ว ขอตัวไม่ทานข้าวเช้านะครับ เดี๋ยวเข้ากรมไม่ทัน ผมไปละครับคุณย่า”
รณพีร์เข้าหอมแก้มย่าอ่อนหนึ่งที แล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
“เดี๋ยวซี เดี๋ยว เฮ้อ...” หญิงชราเซ็ง

ขณะเดียวกันที่ห้องครัวในชาโตส์ของวาดดาว ปวรรุจและวาดดาวกำลังช่วยกันทำอาหารเช้าเลี้ยงทุกคน
“อืมม์ ข้าวต้มกุ้ง วาดไม่เคยปรุงได้อร่อยเท่านี้มาก่อนเลย”
“ดีนะครับที่คุณมีเครื่องเคียงครบ มื้อเช้านี่ทุกคนจะต้องรู้สึกว่าตัวเองทานข้าวต้มอยู่ที่เมืองไทยแน่ๆ”
ปวรรุจยิ้มชื่นบาน วาดดาวมองอย่างจับสังเกต
“คนกำลังมีความรักนี่ อะไรก็สดชื่นไปหมด”
ปวรรุจเหลียวมองวาดอย่างตั้งคำถาม “ดูออกด้วยเหรอ”
“ออกซีคะ เวลาคุณชายรุจมีความสุข ทั้งสีหน้าแววตา เป็นประกายวิบวับออกมาหมด”
ปวรรุจเขิน “ว๊า จับได้ เขินแย่”
วาดดาวนิ่งงันไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงจังขึ้น “เธอเหมาะกับคุณชายมากค่ะ”
“คิดอย่างนั้นเหรอครับ ทั้งๆ ที่เราเจอกันแค่สองอาทิตย์ที่ผ่านมาเองนะ”
“แต่ดูเหมือนรู้จักกันมานานแล้ว ใช่ไหม” วาดดาวย้อนถาม
ปวรรุจยอมรับ “ครับ...อย่าหาว่าผมเชื่อในเรื่องพรหมลิขิตหรือชาติปางก่อนเลยนะครับแต่ผมรู้สึกคุ้นเคยกับเธอมากๆ เหมือนเคยเห็น เคยรู้จักมาก่อน”
วาดดาวยิ้มๆ “มันคือพรหมลิขิตค่ะ คุณชายต้องเคยพบเจอเธอมาก่อนแล้วแน่ๆ อาจจะชาตินี้หรือชาติก่อน คู่กันแล้วไม่แคล้วกันหรอกค่ะคุณชาย”
“ขอบคุณวาดดาวที่ช่วยยืนยัน ขอบคุณที่เป็นกำลังใจให้ผม”
วาดดาวโผเข้ากอดปวรรุจอย่างที่เคย ปวรรุจกอดวาดดาวไว้
ระหว่างนั้นวรรณรสาเดินเข้ามาพอดี ท่านหญิงชะงักไป มองภาพทั้งคู่ด้วยใจแตกร้าวอีกครั้ง วาดดาวมองข้ามไหล่มาเห็นหน้าซีดเผือดของรสา จึงคลายการกอดทันที
“คุณรสา”

ปวรรุจหันมามอง วรรณรสาผละไปจากหน้าครัว ทั้งสองรีบตามไป

ปวรรุจตามมาทันที่ห้องโถงกลาง ยึดร่างวรรณรสาไว้ วาดดาวตามมา

“ปล่อยฉันนะ” วรรณรสาดิ้นขัดขืน
“เป็นอะไรรสา”
วรรณรสาหึงจนมืดบอด “ฉันต้องถามคุณสองคนมากกว่า ตกลงคุณเป็นอะไรกันแน่ ปากก็
บอกว่าคุณเป็นอดีตคนรัก แต่ที่คุณทำมันไม่ใช่ คุณกอดจูบกันเหมือนคนที่ยังรักกันอยู่ ทั้งๆ ที่คุณวาดดาวก็เพิ่งแต่งงาน นี่มันอะไรกัน หรือว่านี่คือการลอบเล่นชู้กัน”
วาดดาวตกใจมาก “ตายแล้ว คุณรสาคะ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ”
วรรณรสาไม่ฟังสะบัดมือจากปวรรุจจนหลุด แล้ววิ่งเตลิดออกจากบ้าน
“รสา”
ปวรรุจวิ่งตามไป วาดดาวทั้งตกใจ ทั้งตื่นตะลึง

วรรณรสาวิ่งออกมากลางทุ่งสวยยามเช้า ปวรรุจตามมา วรรณรสาร้องไห้
“คุณชายตามฉันมาทำไม ปล่อยฉันไว้ลำพังเถอะ”
“ฉันต้องมาเพื่ออธิบายทุกอย่างให้เธอเข้าใจ”
“กับคำแก้ตัวฉันได้ยินมาพอแล้ว ผู้ชายมีคำแก้ตัวเหมือนกันทุกคน ทั้งของคู่หมั้นฉันเอง ทั้งของคุณชาย”
“นี่ไม่ใช่คำแก้ตัว แต่นี่คือเรื่องจริง หันกลับมาแล้วตั้งสติ ฟังให้ดีๆ”
วรรณรสาไม่ยอมหัน ปวรรุจจับไหล่ให้หันมา
“นี่คือเรื่องของฉันกับวาดดาว ตั้งแต่ต้นจนจบถึงวันนี้”
วรรณรสาเห็นท่าทีจริงของปวรรุจก็ใจอ่อน เริ่มฟังอย่างตั้งสติ

สองคนลงนั่งด้วยกัน ปวรรุจเล่าเรื่องวาดดาวตั้งแต่สมัยเรียนให้ฟัง วรรณรสาฟังอย่างตั้งใจ ปวรรุจยังเล่าต่อเนื่อง
ไม่นานต่อมา ทั้งสองเดินเคียงกันไปตามเนินสวยในสวน เห็นภูเขาตระหง่านเป็นฉากหลัง ท่าทีวรรณรสาเริ่มผ่อนคลายลง

แล้วทั้งสองก็มานั่งอยู่ใต้ร่มไม้ ปวรรุจเล่ามาถึงตอนท้าย
“ฉันคิดอยู่เสมอว่าวาดดาวไม่ได้รักฉันเลย แถมยังทรยศฉัน หันไปหาสามีร่ำรวยอย่างท่านกงสุล เพื่อหวังสมบัติของเขา โชคดีที่ฉันได้แรงสนับสนุนจากพี่ๆ น้องๆ จุฑาเทพ ทำให้ฉันกล้ามาเผชิญหน้าวาดดาวอีกครั้ง”
“คุณชายถึงได้รู้ความจริงทุกอย่างจากคุณวาดดาว”
“ใช่...และเป็นความจริงที่ทำให้ฉันถ่องแท้กับทุกเรื่อง เรื่องของเราจบไปแล้ว วาดดาวรักท่านกงสุลจริงๆ และฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่าฉันลืมเธอไปนานแล้วเช่นกัน”
“ยังไงคะ” วรรณรสาฉงน
“หลังจากเลิกกัน ฉันมัวเก็บภาพเก่าๆ ของวาดดาวมาทำร้ายตัวเองเสมอ แต่เมื่อได้เจอเธอในครั้งนี้ ฉันมองหน้าวาดดาวแล้วก็รู้เลยว่า ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรกับเธออีกแล้ว”
ปวรรุจมองไปยังขุนเขาเบื้องหน้า
“เรื่องบางเรื่องถ้าเราไม่เผชิญหน้ากับความจริง เราก็คงไม่รู้ว่าที่ผ่านมาเรามัวแต่โง่งมอยู่กับสิ่งที่เราเก็บมาหลอกตัวเองทั้งนั้น”
ท่านหญิงยิ้มกับตัวเองออกมาได้ ปวรรุจหันมามองวรรณรสาด้วยสายตาจริงจัง
“การที่ฉันมาพบวาดดาวในครั้งนี้ ทำให้ฉันได้รู้สึกตัวเป็นครั้งแรก ว่าถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องเริ่มต้นใหม่”
“คุณชาย”
“และเธอคือคนๆ นั้น รสา”
ปวรรุจเชยคางวรรณรสาขึ้นมา แล้วจุมพิตที่ริมฝีปากอย่างอบอุ่นและอ่อนโยน
ทั้งคู่จูบกันอย่างงดงามท่ามกลางทุ่งกว้างและขุนเขาสูงตระหง่าน

ครู่ต่อมาปวรรุจและวรรณรสาเดินกุมมือกันตรงมาหาวาดดาวที่ยืนยิ้มอยู่ วรรณรสาเดินเข้าไปจับมือวาดดาวอย่างรู้สึกผิด
“ลืมสิ่งที่ฉันคิด ฉันพูดไปเมื่อกี้เสียให้หมดนะคะ ฉันหวังว่าคุณจะยกโทษให้สำหรับความผิดของฉัน”
“ไม่มีอะไรผิดหรอกค่ะ ถ้าเรื่องนั้นเกี่ยวกับความรัก”
วาดดาวเยื้อนยิ้มดึงวรรณรสามากอดไว้ ท่านหญิงรสาน้ำตารื้น ปวรรุจยิ้มอย่างซาบซึ้ง วาดดาวคลายกอด มองวรรณรสา น้ำตารื้นเช่นกัน
“ดูแลคุณชายแทนฉันด้วยนะคะ”
“ค่ะ”
สามคนยิ้มให้กันที่หน้าชาโตส์สวยงามราวกับภาพวาด

ที่ลานสกี กรินเดอวอลด์ แลเห็นยอดจุงเฟราตระหง่าน และเห็นนักสกีทั้ง ชาย หญิง เด็ก เล่นกันอย่างสนุกสนาน
วรรณรสา อ้าย และเอื้อย มองดูนักสกีทั้งหลายทั้งอาชีพและสมัครเล่น เล่นกันสนุกสนาน เห็น ปกรณ์ อั๋น ปวรรุจ และอิ่ม กำลังทดลองใส่รองเท้าสกีกันอยู่ หัวเราะกันครื้นเครง เพราะลองเล่นแล้วทั้งอั๋น และอิ่ม ต่างล้มก้นจ้ำเบ้ากันทั้งคู่
“หนูอ้าย หนูเอื้อย หวังว่าพี่ชายทัศน์คงไม่มาเพ่นพ่านแถวนี้อีกนะ” วรรณรสาเอ่ยขึ้น ท่าทีกังวล
“ป่านนี้คงเด็จกลับไปสถานทูตที่เบิร์นแล้วละค่ะ ไม่ทู่ซี้อยู่ที่นี่หรอก ท่านหญิงสบายใจได้”
ฟังที่อ้ายบอก แต่วรรณรสายังทอดถอนใจ
อ้ายงง “ถอนใจทำไมคะท่านหญิง น่าจะดีใจได้แล้ว ทั้งเรื่องที่โทร.ไปเล่นงานท่านชายทัศน์ และที่กำลัง…ปลูกดอกรักกับคุณชายรุจ”
“เรื่องคุณชายรุจนี่แหละ ที่ทำให้หญิงลำบากใจที่สุด”
“ทำไมคะ” เอื้อยถาม
“ต่อไปหญิงจะต้องสารภาพความจริงกับคุณชาย ยังไม่รู้เลยว่าหญิงจะสารภาพอย่างไรดี ไม่ให้คุณชายโกรธหญิงได้” วรรณรสากังวลเรื่องนี้
“คุณชายคงไม่ถือโกรธหรอกค่ะ” เอื้อยปลอบ
“เขาต้องโกรธแน่ๆ เพราะเขาย้ำเตือนเสมอๆ ว่า สำหรับนักการทูตแล้ว ความจริงต่อให้เลวร้ายแค่ไหน ก็ยังดีกว่าการโกหก” วรรณรสาว่า
“มันอยู่ที่ว่าเราพูดความจริงได้มากน้อยแค่ไหนต่างหากล่ะคะ” อ้ายพยายามปลอบ
“แล้วถ้าหญิงบอกความจริงที่ว่า หญิงคือ “หญิงแต้ว” ที่เขาพูดถึงอยู่ตลอด จะเกิดอะไรขึ้น โอย...หญิงไม่อยากนึกเลย”
“นึกในแง่ดีไว้ก่อนเถอะค่ะท่านหญิง”

สาวแฝดได้แต่กอดปลอบใจท่านหญิงไว้

ไม่นานต่อมาปวรรุจกำลังสอนวรรณรสาให้เล่นสกี

“เวลายืนบนสกีให้งอเข่า...ก้มตัวไปข้างหน้านิดนึง ใช้ไม้พยุงตัวไว้ให้มั่นนะ”
พลางปวรรุจกดหลังวรรณรสาให้ค้อมลง ท่านหญิงค้อน
“เจ้าค่ะ”
“ลองดูนะ ทีนี้ก็ยกไม้ขึ้นจากพื้นแล้วสกีตามฉันมา”
ปวรรุจแล่นฉิวไปก่อน วรรณรสาตามไป แต่แล้วก็ลื่นล้มไม่เป็นท่า ปวรรุจหัวเราะแล้วเข้ามานั่งข้างๆ
“ฉันคงเล่นไม่เป็นหรอกค่ะ อย่าเสียเวลากับฉันเลย”
“เรายังมีเวลาเรียนกันอีกเยอะต่างหาก รสา”
ปวรรุจยิ้มให้ วรรณรสายิ้มหวานตอบกลับ
“ไป กลับขึ้นไปข้างบนก่อนดีกว่า”
ปวรรุจประคองวรรณรสาไป โดยที่ร้านอาหารข้างบน อิ่มมองมาอย่างหมั่นไส้เต็มที

วรรณรสาลงนั่งที่โต๊ะ ปวรรุจแยกไปมุมหนึ่ง อิ่มเข้ามาต่อว่าทันที
“นี่...ฉันถามเธอตรงๆ เธอคิดอะไรกับคุณชายรุจ”
“ฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องของเธอเลยนะ” วรรณรสาไม่อยากตอแย
“ที่ฉันพูดเพราะอยากเตือนเธอไว้ เธอไม่คู่ควรกับเขาหรอก เพราะเขาเป็นถึงหม่อมราชวงศ์ เธอคิดว่าเขาจะมาสนใจผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอหรือ เธอดูอย่างคุณวาดดาวซี นั่นก็หญิงธรรมดาเหมือนกัน ในที่สุดคุณชายเขาก็ทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใย”
อิ่มยิ้มเยาะว่าตนรู้เบื้องลึกดีกว่าวรรณรสา
“เป็นผู้หญิงธรรมดาแล้วยังไงคะ คุณเองก็เป็นผู้หญิงธรรมดาเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
“ใครว่า ฉันเป็นถึงหลานสาวท่านทูต”
“ถึงจะหลานสาวท่านทูต คุณหญิง คุณชาย ท่านหญิง ทุกคนเป็นคนธรรมดาเหมือนกันหมดล่ะค่ะ” วรรณรสาว่า
“แต่คุณชายปวรรุจไม่ธรรมดา” อิ่มแย้ง
ปวรรุจเดินกลับมาพอดี อยู่ในระยะที่สองสาวไม่ทันสังเกตเห็น แต่ปวรรุจได้ยินการสนทนาถนัด
“ไม่ธรรมดายังไงคะ ถ้าคุณจะดูว่าเขาเป็นลูกของหม่อมเจ้าเขาก็สูงศักดิ์ แต่ถ้ามองอีกฝั่ง ทางคุณแม่เป็นเพียงนางต้นห้อง เขาก็แสนต่ำต้อย อยู่ที่ว่าคุณจะเลือกมองฝั่งไหนเท่านั้นเอง”
อิ่มหูผึ่ง “เดี๋ยว จริงเหรอคุณชายรุจเป็นลูกนางต้นห้อง ฉันเคยได้ยินข่าวลือมาเหมือนกัน แต่เข้าใจว่าคือคุณชายคนรองคนอื่นๆ”
“คือคุณชายปวรรุจค่ะ”
ปวรรุจนิ่งฟังต่อไป
“รู้อย่างนี้แล้ว คุณยังคิดว่าเขาสูงส่งคู่ควรกับคุณอยู่รึเปล่า ถ้ายังคิดอยู่ ฉันขอเชียร์เต็มที่ อย่างที่คุณพูดน่ะถูกแล้ว คุณคู่ควรกับเขามากกว่า”
วรรณรสาสะบัดหันตัวมา แต่แล้วชะงักเพราะ ปวรรุจแสดงตัว
“คุณชาย”
ปวรรุจพูดด้วยเสียงเย็นชาแข็งกร้าว
“ฉันจะคู่ควรกับใครหรือไม่ ฉันใช้สิทธิ์ของหัวใจตัดสินเองเสมอ แต่ถ้า “ใครคนนั้น” จะคิดว่าฉันไม่คู่ควร ก็มิใช่หน้าที่ของเขาที่จะไปยกต่อให้ใครๆ ได้ง่ายๆ”
“คุณชาย ฉันไม่ได้...”
ปวรรุจอารมณ์เสีย ผลุนผลันจากไปทันที
วรรณรสาหันไปมองอิ่ม ที่ทำหน้าเหวอ วรรณรสาวิ่งตามปวรรุจไป

สองคนอยู่บนลานหิมะ วรรณรสาวิ่งตามมาจนทันปวรรุจ
“คุณชาย”
ปวรรุจยังเดินหนี วรรณรสาวิ่งอย่างเร็ว พอถึงตัวถลาเข้ากอดด้านหลังทันที แนบหน้ากับแผ่นหลังกว้างของเขา กอดกระชับไว้แน่น น้ำตารื้น
“อย่าเดินหนีรสาแบบนี้ รสาขอร้อง”
ปวรรุจนิ่งงันไป
“คุณชายไม่เคยเดินหนีรสา คุณชายมีแต่เข้ามาช่วยให้รสารอดปลอดภัย อย่าทิ้งรสานะคะ”
วรรณรสาสะอื้นไห้ ปวรรุจคลายวงแขนออก ค่อยๆ หันมา
“คิดอะไรรสา ถึงจะเสือกไสฉันให้คุณอิ่ม”
“ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“เธอบอกว่าฉันคู่ควรกับคุณอิ่มมากกว่า”
“ฉันกำลังจะบอกว่า...ฉันเองต่างหาก ที่ไม่คู่ควรกับคุณ”
ปวรรุจมองวรรณรสาอย่างสับสนไม่เข้าใจสิ่งที่หญิงสาวพูด
“ฉันไม่เข้าใจ”
“ถ้าฉันพูดความจริงอย่าโกรธฉันเลยนะคะคุณชาย”

วรรณรสาโผเข้ากอดปวรรุจอีกร้องไห้โฮๆ ปวรรุจกอดวรรณรสาไว้แม้ยังไม่เข้าใจทั้งหมด

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 7 (ต่อ)

ขณะเดียวกันวรัทเดินตามภาณุทัศนัยเข้ามาในร้านอาหาร วรัทพยายามโน้มน้าวสุดขีด

“โธ่ ฝ่าบาท ป่านนี้ท่านหญิงเด็จกลับไปเบิร์นแล้วขอรับ ไม่อยู่ที่นี่หรอก เชื่อกระหม่อมเถอะ”
“หญิงแต้วจับตาดูฉันอยู่ ถ้าฉันยังอยู่ที่นี่ หญิงแต้วก็ต้องอยู่ที่นี่”
ยินเสียงหัวเราะดังมาจากกลุ่มปวรรุจ อั๋นเดินควงคู่มากับสาวแฝด วรัทอ้าปากค้าง ชายทัศน์จ้องไปที่แฝดเขม็ง แล้วเดินตรงรี่เข้าไปทันที
“หนูอ้าย หนูเอื้อย”
แฝดหยุดหัวเราะ ค่อยๆ หันมามองภาณุทัศนัย อย่างตื่นตะลึง
“เธอมากับนายปกรณ์ กับนายอั๋นเหรอ”
แฝดพูดอะไรไม่ออก วรัทอยากจะบ้าตาย
ปกรณ์ตอบแทน “ครับ หนูอ้าย หนูเอื้อย มากับผม ทำไมครับ”
ชายทัศน์โมโหมาก “แกก็โกหกฉันน่ะซี เมื่อวานทำไมแกไม่บอกว่าหนูอ้าย หนูเอื้อย มากับแกด้วย”
ปกรณ์ กะอั๋นเป็นงง อิ่มเข้ามาสมทบทันที
“บอกมายายแฝดตัวดี หญิงแต้วอยู่ไหน”
เอื้อยบอกไม่เต็มเสียง “มะ...ไม่รู้ค่ะ”
ภาณุทัศนัยโกรธจัด “อย่าให้ฉันต้องจับเธอส่งสถานทูตนะ”
“หนูเอื้อย เผ่น”
อ้ายดึงเอื้อยวิ่งหนีไป
“จะไปไหน”
ภาณุทัศทัศนัยวิ่งตาม
“หนูอ้าย” / “หนูเอื้อย”
ปกรณ์กับอั๋นตกใจปนงง รีบวิ่งตามไป
“นายวรัท นี่มันเรื่องอะไรกัน” อิ่มหันมาเอาเรื่องวัท ถามรัวเร็ว “ท่านชายถามยายแฝดเรื่องหญิงแต้วทำไม แล้วท่านชายรู้จักยายแฝดตอนไหน เมื่อไหร่ หญิงแต้วเป็นใคร แล้วตอนนี้คุณชายรุจอยู่ไหม”
“ผมเหนื่อยครับคุณอิ่ม ผมตอบอะไรไม่ได้แล้ว”
“ไม่ได้เรื่องเลย ท่านชายขา”
อิ่มวิ่งตามไปอีกคน

วรรณรสาและปวรรุจเดินมาตามทางแทร็คของนักสกี มีนักสกีแล่นผ่านไปหลายคน
“บอกฉันได้รึยังรสาเรื่องความจริงของเธอ”
“คือ...ฉัน...ไม่ใช่รสาอย่างที่คุณชายรู้จัก”
ปวรรุจยิ้มขำ “ฉันไม่เข้าใจ”
วรรณรสามองเลยไป แล้วเห็นภาณุทัศนัยอยู่บนอาคาร กำลังมองหาแฝดอยู่ วรรณรสาหน้าเจื่อนไป
“รสา”
วรรณรสาตกใจ หันหลังวิ่งไปให้พ้นสายตาภาณุทัศนัย
“รสา...อย่าเข้าไปในลานวิ่ง”
ปวรรุจงวยงง รีบวิ่งตามไป

วรรณรสาวิ่งหนีกระเจิงเข้ามาในหุบเขาลึกเข้าไป
“รสา อย่าวิ่งไปตรงนั้น”
แต่แล้ววรรณรสาเสียหลัก ล้มกลิ้งลงเนินไปยังหุบเขาเบื้องล่าง วรรณรสาร้องกรี๊ดสุดเสียง
“อ๊าย...”
“รสา”
ปวรรุจตกใจรีบไต่ลงเนินไป ทว่าเสียหลักพลอยกลิ้งตามมาด้วย แต่ปวรรุจยังประคองตัวเองไว้ได้

ปวรรุจมาถึงร่างของวรรณรสา ที่นอนนิ่งอยู่ใต้หิมะ
“รสา...เป็นยังไงบ้าง”
วรรณรสาเริ่มรู้สึกตัว
“คุณชาย”
“ขยับตัวได้ไหม”
“ได้ค่ะ ฉันไม่เป็นอะไร อูย...”
วรรณรสาขยับข้อเท้า แล้วครางออกมา ปวรรุจเข้ามาดูอาการ ลองจับที่ข้อเท้า
“โอย...เจ็บตรงนั้นน่ะค่ะ”
“ข้อเท้าอาจจะแพลง เธอวิ่งหนีอะไรมารสา”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่ตกใจ ฉันคิดว่าฉันเห็นคู่หมั้นฉันมาที่นี่”
ปวรรุจเป็นงงกับเหตุผล
“ลุกไหวไหม”
“ค่ะ”
ปวรรุจประคองวรรณรสาลุกขึ้น แต่วรรณรสาข้อเท้าแพลงจริงๆ แทบเดินไม่ไหว
“งั้น ฉันต้องอุ้มเธอละ”
“ไม่ค่ะ”
ปวรรุจไม่ยอมให้วรรณรสาปฏิเสธ ช้อนร่างแบบบางอุ้มขึ้นทันทีอย่างง่ายดาย
“เราคงปีนขึ้นไม่ไหว อาจจะต้องไปตามทางเดินเท้านั่น”

ปวรรุจพาวรรณรสาเดินตรงไป

สองคนอยู่ในป่าหิมะ ปวรรุจอุ้มรสาเข้ามาในป่าลึกขึ้นกว่าเดิม และดูเหมือนจะหาทางออกกลับไปยังอาคารไม่เจอ

“พักก่อนนะ”
ปวรรุจวางวรรณรสาลงนั่งที่ขอนไม้ข้างทาง
“เราอยู่ที่ไหนแล้วคะ”
“เฮ้อ...ไม่มีป้ายบอกไว้เลย ต้องเสี่ยงกันละ”
“ไปทางโน้นน่าจะใช่นะคะ”
“ได้ ฉันเชื่อเธอ
ปวรรุจอุ้มวรรณรสาอีกครั้ง และไม่รู้ว่าได้พากันเข้าไปในป่าลึกมากขึ้น หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา

ในที่สุดปวรรุจวางวรรณรสาลงอีกครั้ง เพราะรู้ตัวแล้วว่าหลงป่า วรรณรสามองปวรรุจหน้าเจื่อน
“เรากำลังหลงใช่ไหมคะ”
ปวรรุจลงนั่งข้างๆ พยักหน้า
“ฉันไม่น่าบอกทางคุณเลย” วรรณรสาหน้าจ๋อย
“ฉันก็ไม่น่าเชื่อเธอแต่แรก รู้ทั้งรู้ว่าเธอหลงทางเป็นอาชีพ” ปวรรุจสัพยอก
วรรณรสาค้อนขวับ หยิบหิมะปาใส่ ปวรรุจหัวเราะ วรรณรสาหัวเราะตาม
“ยังจะมามีอารมณ์ขันอยู่อีก หิมะลงแล้วนะคะ เย็นมากแล้วด้วย เราจะรอดกันไหม”
“ไม่ต้องห่วง เธออยู่กับฉัน เธอจะต้องปลอดภัย โน่นแน่ะ ฉันเห็นกระท่อมอยู่ตรงโน้น น่าจะมีคนช่วยเราได้”
ปวรรุจประคองวรรณรสาลุกขึ้นอีกครั้ง
“คราวนี้ขี่หลังฉันดีกว่า”
“ขี่หลัง...” วรรณรสาตกใจ
“ใช่ ตอนนี้แขนฉันล้าไปหมดแล้ว เธอขี่หลังฉันดีกว่า”
“ค่ะ”
ปวรรุจย่อตัวลง วรรณรสาขึ้นขี่หลัง จากนั้นปวรรุจพาวรรณรสาย่ำหิมะตรงไปยังกระท่อม ท่านหญิงรสาซบหน้าอิงแอบกับแผ่นหลังของปวรรุจ คิดถึงอดีต

ครั้งนั้นหญิงแต้ววัยเด็กขี่หลังชายรุจ วิ่งข้ามสนามวัง หญิงแต้วหัวเราะเริงร่า ชายรุจเองก็หัวเราะด้วยกัน ชายรุจซึ่งมีหญิงแต้วอยู่บนหลังวิ่งข้ามสนามวังไปมา อย่างไม่รู้เหนื่อย เป็นที่สนุกสนาน
ปวรรุจแบกท่านหญิงมาถึงหน้ากระท่อม และวางลงให้วรรณรสายืนพิงมุมกระท่อมไว้ แล้วมองผ่านหน้าต่างเข้าไป ไม่มีคนอยู่ในกระท่อม แต่ภายในอุปกรณ์ครบครัน ปวรรุจลองผลักประตูเข้าไป ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย วรรณรสาเกิดอาการหนาวสั่น
“บ้านใครกันคะ”
“น่าจะเป็นกระท่อมที่เขาสร้างไว้เป็นที่พักสำหรับนักเดินป่า หรือนักหลงทางอย่างเรา”
วรรณรสาหัวเราะคิก ปวรรุจเปิดประตูกระท่อมให้ วรรณรสาเขย่งเท้าอย่างลำบากเพื่อจะเดินเอง ปวรรุจตรงมาแล้วช้อนอุ้มวรรณรสาขึ้น พาเข้ากระท่อมไป

ปวรรุจอุ้มวรรณรสาเข้ามาในกระท่อม ค่อยๆ วางลงบนเตียงเล็กๆ มุมห้อง ปวรรุจสำรวจทุกอย่างในห้อง ทุกอย่างดูสะอาดสะอ้าน และมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อม ปวรรุจรีบจุดไฟที่
เตาผิง เขี่ยไฟให้ลุกโชน
“คุณชายยังโกรธฉันอยู่รึเปล่าคะ”
“ฉันจะโกรธเธอเรื่องอะไร”
“เรื่องที่ฉันพูดถึงคุณชายกับคุณอิ่มเมื่อกี้”
“ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธเธอ เธอมีสิทธิ์จะคิดอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“แต่คุณกำลังเข้าใจความคิดของฉันผิด เรื่องที่ฉันพูดเรื่องคุณแม่ของคุณว่าท่านเป็น...นางต้นห้อง”
ปวรรุจยกมือห้าม
“เธอจะผิดอะไร ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนั้น และฉันก็ยืดอกรับในเรื่องนี้ และบอกใครต่อใครมาตลอด เธอพูดถูก ถ้าคนมองจากทางท่านพ่อ ฉันก็นับว่าสูงศักดิ์ แต่ถ้ามองทางแม่ฉันก็ต่ำต้อย”
“ฉันไม่เคยคิดว่าคุณชายต่ำต้อย ฉัน...”
“ช่างเถอะ ฉันไม่แคร์กับเรื่องพวกนั้น บางครั้งฉันก็นึกเบื่อคำว่า “หม่อมราชวงศ์” เสียด้วยซ้ำ ถ้าฉันเป็นแค่ “นายปวรรุจ” แล้วละก็ฉันจะมีแม่เป็นสาวใช้ ก็คงไม่มีใครสนใจหรือว่าอะไร”
วรรณรสาพูดถึงตัวเอง เสียงเบาราวกับรำพึง “จะเป็นสาวใช้ หรือราชนิกุล ก็ไม่ได้มีความหมายเท่ากับเราสร้างคุณค่าของตัวเราเอง มิใช่หรือคะ”
ปวรรุจหัวเราะเบา ๆ
“เธอจำคำฉันมาพูดใช่ไหม”
วรรณรสาพูดพร้อมกับมองหน้าปวรรุจ สีหน้าจริงจังลึกซึ้ง
“ถึงคุณจะเป็นแค่ “นายปวรรุจ” ไม่ใช่หม่อมราชวงศ์ ไม่ใช่ห้าสิงห์แห่งจุฑาเทพ
ฉันก็ยังคิดว่าคุณสูงส่งอยู่ดี”
ปวรรุจมองวรรณรสานิ่ง แล้วแกล้งถาม
“เธอกำลังตบหัวและลูบหลังฉันอยู่ใช่ไหม”
“ฉันกำลังพูดสิ่งที่ตรงกับใจที่สุดต่างหากล่ะคะ”

ปวรรุจจ้องตามองวรรณรสาอย่างหยั่งลึกลงไปในใจ ท่านหญิงรสาหลบตาอย่างเขินอาย

ตกตอนกลางคืนปวรรุจและวรรณรสานั่งทานกระป๋องที่มีอยู่ในกระท่อม ข้างเตาผิง

“อาหารกระป๋องพวกนี้ รสชาติไม่เลวเหมือนกันนะ”
“ค่ะ สำหรับยามยากแบบนี้”
ทั้งสองหัวเราะกันเบาๆ ปวรรุจขรึมไป แล้วถาม
“เมื่อเย็น...เธอพบเฮียเพ้งหรือ ถึงหนีไปอย่างนั้น”
วรรณรสางง “อะไรนะคะ เฮียเพ้ง”
“คู่หมั้นเธอไง เธอบอกว่าเธอเห็นเขา”
“เออ...ค่ะ ฉันคิดว่าฉันเห็นเขา เขาคงมาตามหาฉันอยู่”
“แล้วทำไมเธอถึงบอกว่าเธอไม่คู่ควรกับฉัน และพูดว่าฉันอย่าโกรธถ้าเธอจะพูดความจริง”
วรรณรสานิ่งงันไป เกิดกลัวที่จะพูดออกมา ปวรรุจเข้าใจว่าวรรณรสากำลังพูดเรื่องที่เธอเป็นลูกพ่อค้าคนจีนที่ต้อยต่ำกว่าราชนิกุลอย่างตน
“คู่ควรหรือไม่คู่ควรหมายถึงอะไรรสา เราจะมองที่ชาติกำเนิดที่ต่างกันหรือว่า...หัวใจที่ตรงกัน”
วรรณรสาหลบตา ซ่อนหน้ายิ่งรู้สึกใจหายเมื่อความจริง พระยศของเธอสูงกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ
จังหวะนั้นวรรณรสาลุกไปยืนข้างหน้าต่าง ด้านนอกหิมะยังโปรยปราย ปวรรุจตามมา พร้อมห่มผ้าคลุมให้วรรณรสา แล้วกอดวรรณรสาไว้จากเบื้องหลัง
“บอกฉันหน่อยเถิด ว่าหัวใจเธอตรงกับฉันรึเปล่า รสา”
วรรณรสาหนาวสั่นไปทั้งตัว ปวรรุจกอดไว้แน่นขึ้น
“เธอจะกรุณาเฉลยกับฉันสักหน่อยไม่ได้หรือ รสา”
“คุณชายคิดยังไง ฉันก็คิดอย่างนั้นแหละค่ะ ฉันคิดเหมือนคุณชายทุกอย่าง”
ปวรรุจหมุนร่างวรรณรสาให้หันมามองตน
“งั้น...ถ้าฉันบอกว่า...ฉันรักเธอ”
“แต่...ถ้าคุณชายรู้จักตระกูลฉัน คุณชายอาจจะไม่...”
ปวรรุจสวนคำออกมา “เรากำลังพูดถึงหัวใจที่ตรงกัน ไม่ใช่ชาติกำเนิดไม่ใช่หรือ”
ปวรรุจบรรจงจูบที่แก้มของวรรณรสา กระซิบแผ่วเบา
“เธอรักฉันใช่ไหม รสา”
วรรณรสาสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
“แค่เธอรักฉันก็พอแล้วรสา ชนชั้นไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น อยู่กับเธอฉันไม่ต้องการเป็นคุณชาย แต่ต้องการเป็น ผู้ชาย คนนึง ที่จะรัก ผู้หญิงคนหนึ่งอย่างสุดหัวใจ และดูแลหล่อนไปตลอดชั่วชีวิต”
“คุณชาย”
ปวรรุจประทับจูบที่ริมฝีปากวรรณรสาอย่างละมุนละไมทะนุถนอม ดูดดื่ม ร่างทั้งสองอิงแอบกันอยู่ข้างหน้าต่างกระท่อม ที่เห็นหิมะโปรยปรายเป็นฉากหลังแสนสวย

เช้าวันรุ่งขึ้น กระท่อมถูกหิมะคลุมขสวโพลนไปทั้งหลัง มองไปรอบๆ เห็นทุ่งหิมะกับป่าสนยามเช้า ต้นไม้สีดำขาวโพลนไปด้วยหิมะ
ภายในกระท่อมปวรรุจและวรรณรสานอนแนบชิดกันอยู่บนเตียง แสงแดดอ่อนๆ ส่องเข้ามา ปวรรุจค่อยๆ ลืมตาขึ้น หันมามองท่านหญิงรสาที่ยังนอนหลับตาพริ้ม ปวรรุจยิ้มกับใบหน้าหมดจดนั้น แล้วก้มหน้าลง จูบเบาๆ ที่หน้าผาก วรรณรสาค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ เด็กขี้เซา”
“คุณชาย”
วรรณรสารีบลุกขึ้น จัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่
“เช้าแล้ว”
“ใช่...เช้าแล้ว แต่เธอจะนอนต่อก็ได้นะ ฉันจะเตรียมอาหารเช้าให้”
“ให้ฉันช่วยนะคะ”
“อย่าเลย เท้าเธอยังแพลงอยู่ เป็นหน้าที่ของฉันดีกว่า”
ปวรรุจลุกไปเตรียมอาหารกระป๋องเท่าที่หาได้

วรรณรสามองความคล่องตัวของ ปวรรุจ อย่างชื่นชมและทึ่ง

ครู่ต่อมาวรรณรสาทานซุปถั่วร้อนๆ อยู่ลำพัง หม้อซุปอยู่หนือเตาผิง พร้อมด้วยกาน้ำ ปวรรุจอยู่นอกกระท่อม

วรรณรสาชะเง้อมองไปทางหน้าต่าง ครู่เดียวปวรรุจก็เข้ามาพร้อมไม้เท้าที่ใช้กิ่งไม้ทำขึ้น หิมะยังติดเสื้อและกิ่งไม้อยู่ขาวโพลน
“อะไรคะ”
“ไม้เท้าไง ไว้สำหรับเธอเดินฝ่าหิมะ ถ้าไม่มีใครออกมาตามเราจริง”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย”
ปวรรุจลงนั่งร่วมโต๊ะ
“เมื่อกลับไปเมืองไทย รอฉันนะรสา”
“ค่ะ”
“แล้วเรื่องคู่หมั้นของเธอ...”
“ฉันจะจัดการเรื่องนั้นให้เรียบร้อย”
ปวรรุจยิ้มอบอุ่นให้ พร้อมกับกอบกุมมือวรรณรสาไว้

เมื่อทานอิ่ม เก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ปวรรุจและวรรณรสาออกมาหน้ากระท่อม พบกับอากาศยามเช้าที่แสนสดชื่น ปวรรุจยังประคองร่างของวรรณรสาแนบชิดกับตัว ทั้งที่ท่านหญิงมีไม้ค้ำยันอยู่
“สดชื่นจัง”
“นั่นซี ชักไม่อยากกลับเสียแล้ว”
ปวรรุจจูบเข้าที่มุ่นผมของวรรณรสา ท่านหญิงย่นจมูก
“งั้นคุณชายก็อยู่ต่อคนเดียวแล้วกันนะคะ”
“ทำไมล่ะ ไม่อยากอยู่กับฉันหรอกหรือ”
ปวรรุจพูดพลางจ้องนิ่งเข้าไปในดวงตาอีกฝ่าย วรรณรสาเก้อเขินไป พูดขำๆ แก้เก้อ
“อยู่ยังไงคะ คุณชายออกไปล่าสัตว์ ส่วนฉันออกไปหาฟืนหรือไง”
ปวรรุจขำ “รู้ไหม...ฉันอยากกลับเมืองไทยไปพร้อมกับเธอเสียจริง ฉันจะได้ไปพบพ่อแม่เธอและขออนุญาตคบหาเธออย่างถูกต้อง”
วรรณรสาพูดไม่ออก เบือนหน้าหนีไป
“ฉันประชุมที่นี่อีกหลายสัปดาห์ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ สิ่งแรกที่ฉันจะทำคือไปหาเธอ”
“คุณชาย”
“ฉันจริงจังกับเธอนะรสา”
สองคนประสานสายตากันอีกครั้ง ปวรรุจดึงร่างวรรณรสามากอดไว้แนบแน่น ไม่รู้หรอกว่าวรรณรสากำลังรู้สึกทรมานมากกว่าสุข เพราะความจริงกำลังจะเปิดเผยในอีกไม่นานข้างหน้า
เสียงคนพูดแว่วมา ทั้งสองมองไปตามเสียง
“คงมีคนมาตามเราแล้วละ”

ปวรรุจประคองวรรณรสาเดินมาตามเสียง โดยใช้ไม้ค้ำยัน แล้วพบถนนอยู่ไม่ไกล รถจอดอยู่สองคัน ร่างของชายสามสี่คนในชุดเทอะทะ เดินตรงมา
“โธ่...ถนนอยู่ข้างหน้านั่นเอง”
ทั้งสองตรงไปหาทั้งกลุ่ม ปวรรุจและวรรณรสาชะลอลงเมื่อพบว่า ที่เดินนำหน้ามานั้น คือ ภาณุทัศนัย ปกรณ์ และเจ้าหน้าที่ฝรั่งอีกสองคน ทุกคนหน้าเครียด วรรณรสาเย็นวาบไปทั้งตัวเมื่อเห็นชายทัศน์จังๆ
“ปกรณ์ ฝ่าบาท”
ปกรณ์และภาณุทัศนัยไม่ตอบรับ
“หญิงแต้ว” ภาณุทัศนัยทักเสียงขุ่นเขียว
วรรณรสาตะลึงนิ่งงันไป ปวรรุจค่อยๆ หันมามองวรรณรสาอย่างงุนงง
“ทำไมไม่บอกว่าหญิงมาร่วมคณะกับนายปกรณ์ กับ...” มองปวรรุจอย่างเหยียดหยันเต็มที “คุณชายปวรรุจ”
ภาณุทัศนัยมองปวรรุจอย่างชิงชัง
“ไม่มีความจำเป็นต้องบอกนี่คะ” วรรณรสาตอบโต้
“รสา นี่มันเรื่องอะไร เธอคือใคร” ปวรรุจตะลึง
วรรณรสาสลด ก้มหน้าขณะบอก
“นี่ล่ะค่ะ คือความจริงที่ฉันจะบอกคุณชาย”
“พูดมา” ปวรรุจหน้าเครียดเคร่ง
วรรณรสาน้ำตารื้นพูดไม่ออก
ภาณุทัศนัยเยาะหยัน “พูดไปซี อ้อ....ไม่กล้า พี่พูดเองก็ได้ นี่คือหม่อมเจ้าหญิงวรรณรสา
อรุณรัศม์ คู่หมั้นของฉัน”
แม้ปวรรุจจะตกใจ แต่ก็ยังอยู่ในอาการสงบ มองวรรณรสาที่ก้มหน้า น้ำตาหยดลงพื้นหิมะ
ปวรรุจหันไปมองปกรณ์เป็นเชิงถาม ปกรณ์พยักหน้ายืนยันคำพูดของชายทัศน์
“กลับกันเดี๋ยวนี้ หญิงแต้ว”
วรรณรสายังยืนนิ่งภาณุทัศนัยเข้ามาแล้วดึงร่างวรรณรสาค่อนข้างแรง
“โอ๊ย” วรรณรสาเจ็บแผล
“ระวังฝ่าบาท ท่านหญิงข้อเท้าแพลง” ปวรรุจเป็นห่วง
“ไม่ต้องมาออกคำสั่งฉัน” ชายทัศน์โกรธ
“อย่าให้ท่านหญิงเจ็บไปกว่านี้ กระหม่อมขอ”
“อ้อ ห่วงท่านหญิงมากใช่ไหม ไอ้เลว”
ภาณุทัศนัยบันดาลโทสะ สวนหมัดเข้าเต็มหน้าปวรรุจ ชายรุจล้มไปกับพื้นหิมะ วรรณรสากรีดร้อง ชายทัศน์ทำท่าจะเข้าซ้ำ ปกรณ์และสองฝรั่งเข้ารั้งร่างชายทัศน์ ปกรณ์เข้ากันร่างปวรรุจ
“ท่านชกไอ้รุจ ผมชกตอบจริงๆ เจ้าก็เจ้าเถอะวะ”
ชายทัศน์ฮึดฮัดหันไปมองเย้ยปวรรุจอย่างสะใจ
“ขึ้นรถเดี๋ยวนี้”
ชายทัศน์พาวรรณรสาที่สะอื้นขึ้นรถคันแรกไป เหลือเพียงปกรณ์และปวรรุจ ที่ยังมึนงงกับ
เรื่องราวทั้งหมด ปกรณ์ประคองชายรุจลุกขึ้นมา
“นั่นคือท่านหญิงแต้ว เธอปลอมตัวมาร่วมคณะกับเรา”
“พอเถอะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว” ปวรรุจบอก

ทั้งสองหนุ่มกลับขึ้นรถไป รถแล่นออกอย่างเงียบเหงา

ติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น