วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8
จ้าวฉินเจียงผลักประตูเข้ามาในห้องทำงานที่บ่อนคาสิโนมาเก๊า มีบอดี้การ์ดคาสิโนสองคนตามเข้ามา สุริยะนั่งหน้าเครียดอยู่ที่โซฟาถึงกับสะดุ้งหันไปมอง ฉินเจียงพุ่งตรงเข้ามากระชายคอเสื้อสุริยะยกตัวขึ้น
“บอกมามันเป็นใคร แกบอกว่ารู้จักมันดีนักไม่ใช่เหรอ”
สุริยะงง กลัวจนหน้าซีด
“เดี๋ยวก่อนๆ ใครครับ ใครเป็นใคร ผมงงไปหมดแล้ว”
“ไอ้จ้าวซันของแกไง มันเป็นใครมาจากไหน เล่ามา เร็ว!”
“เอ่อ...คือ มันก็เป็น เอ๊ย...คุณชายจ้าวซัน ก็เป็นพี่ชายคุณฉินเจียง แล้วก็เป็นประธานที่ปรึกษาบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เป็น...”
ฉินเจียงผลักสุริยะหงายหลังกระแทกลงไปที่โซฟา
“ไม่ตลกคุณสุริยะ ลืมสถานะของตัวเองตอนนี้ไปแล้วหรือไง คุณติดหนี้ที่บ่อนเรา 7 ล้านเหรียญ แล้วคุณก็อ้างว่าสนิทสนมกับจ้าวซันเป็นอย่างดี แล้วไหนล่ะ” ฉินเจียงลงไปนั่งข้างๆ สุริยะระแวง ไม่รู้ฉินเจียงจะมาไม้ไหน มองบอดี้การ์ดรอบๆ ด้วยความลนลาน “คุณรู้จักมันได้ยังไง แล้วลูกสาวคุณ บราลี คุณคิดจะขายลูกสาวให้จ้าวซันหรือไง แล้วทำไมจ้าวซันถึงรักใคร่เทิดทูนบราลีขนาดนั้น ฉันรู้จักนิสัยจ้าวซันดี มันไม่ใช่คนบ้าผู้หญิง แล้วบราลีก็ไม่ใช่เทพธิดามาจากสวรรค์ไหน แต่ทำไมไอ้จ้าวซันมันถึงได้จะเป็นจะตายเพราะผู้หญิงคนนี้นัก แล้วทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้กล้าทำฤทธิ์ทำเดชใส่จ้าวซันอย่างไม่กลัวเกรง แต่จ้าวซันก็ยอมทุกอย่าง มันมีอะไรอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า”
สุริยะกลืนน้ำลายเฮือกใหญ่ หันซ้ายหันขวา ลังเล ไม่รู้จะตอบยังไง ฉินเจียงเอื้อมมือไปโอบไหล่สุริยะ สุริยะสะดุ้งด้วยความกลัว ตัวหงอ
“ถ้าคุณยอมบอกความจริงทั้งหมดให้เรารู้ ผมสัญญาว่าจะยกหนี้ทั้งหมดให้คุณเป็นการตอบแทน” สุริยะตาลุกวาว หันไปมองฉินเจียงแบบไม่เชื่อหูตัวเอง “ว่าไง ข้อเสนอของผม พอจะทำให้คุณพูดอะไรออกมาได้ไหม”
สุริยะถอนหายใจอย่างแรง
“ก็เพราะความรักไง คุณฉินเจียง ความรักอย่างเดียว จ้าวซันรักลูกสาวผมมากก็แค่นั้น คุณคงไม่เคยรักใครจริงน่ะสิ คุณถึงนึกไม่ออกว่าคนเขาไม่ต้องมีอะไร แค่เขารัก เขาก็ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะบอกให้เขาไปขึ้นสวรรค์ ลงนรก เขาก็ยอมทั้งนั้น หึๆๆ คุณคงไม่เคยมีสินะ ไอ้ความรักแบบนี้น่ะ”
ฉินเจียงแค้นจัด
หลินจื้อเหม่ยเดินลากกระเป๋าของบราลีลงบันไดนำมา บราลีถือถุงและกระเป๋าใบเล็ก หนีบกระเป๋าคอมพ์ฯวิ่งตามหลินจื้อเหม่ยลงมา
“นี่ จื้อเหม่ย เธออยากให้ฉันไปพักที่บ้านคุณชายจ้าวซันขนาดนั้นเลยเหรอ”
หลินจื้อเหม่ยเอาของมาวางรวมๆ
“อะไรของเธอ เปล่าซะหน่อย ก็อย่างที่คุณชายว่า อยู่ที่โน่นเธออาจจะปลอดภัยมากกว่าก็ได้”
“ใครจะมาทำอะไรฉัน”
“ก็ คนเมื่อคืน มันไม่น่าใช่ขโมยธรรมดา หรือเปล่า” หลินจื้อเหม่ยเดินไปหยิบเสื้อที่จ้าวซันเอามาให้ ที่ยังใส่อยู่ในถุงไว้เป็นอย่างดี “อย่าลืมนี่ล่ะ”
“อ๋อ เขาเอามาจะให้ฉันใส่ไปงาน”
บราลีรับมาแล้วรูดซิปถุงเสื้อออก เห็นชุดแค่ครึ่งตัว บราลีชะงัก ตกตะลึงกับความสวยงามหรูหราของชุด บราลีค่อยๆ ดึงชุดขึ้นมาจากถุง
“โอ้โห สวยมาก”
เสื้อเหมือนชุดประจำชาติของคีรีรัฐ เป็นผ้าไหมที่ทอขึ้นอย่างวิจิตรพิสดาร หลินจื้อเหม่ยวิ่งไปหยิบกล่องเครื่องประดับที่วางอยู่ข้างๆ ตั้งแต่ทีแรกมาให้ด้วย
“นี่ๆ ยังมีนี่อีก” บราลีรับกล่องเครื่องประดับออกไปเปิดดู แล้วตะลึง บราลีหยิบเครื่องประดับศีรษะ คล้ายปิ่นดอกไม้ไหว สีทองอร่าม มีเพชรซีกประดับพราวเป็นเกสรออกมา และมีสายเพชรห้อยๆ เป็นหางที่ปลายปิ่นนั้นด้วย
“เฮ้ย อะไรอะ”
“ปิ่นทอง ช่อดอกเอื้องคำ”
“ทองจริงหรือเปล่า”
บราลีหยิบเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ ออกมาดู ทุกชิ้นล้วนสวยงามแปลกตา
“ทอง เพชรซีก ทับทิม ไพลิน ทั้งหมดเป็นของจริง”
“หา”
“ฉันใส่ไม่ได้หรอก ทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับพวกนี้ นี่มันของระดับเจ้านางชั้นสูง ทำไมคุณชายจ้าวซันถึงจะเอามาให้ฉันใส่”
บราลีมองปิ่นทองดอกไม้ไหวที่ถือในมืออยู่นาน รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา ความทรงจำในอดีตก็ผุดเข้ามา
ภาพบ้านเรือนไทยริมน้ำ พระเทวีศุลีมานเดินขึ้นเรือนมา ปิ่นทองที่ปักอยู่บนศีรษะพระเทวีศุลีมานสั่นไหว และมีสายเพชรหางห้อยๆ จากปิ่นส่องแสงวูบวาบจับตา
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง เมย”
“บรีๆๆ” หลินจื้อเหม่ยเรียกแต่บราลียังตกอยู่ในภวังค์ ภาพพ่อบาทหลวงจูงมือเมยที่กระโดดลั้นลาร่าเริง กำลังก้าวลงเรือไป...หลินจื้อเหม่ยเดินไปเขย่าตัวบราลี “บรี เป็นไรหรือเปล่า”
บราลีอึ้งไป กระพริบตามึนๆ พยายามนึกภาพความทรงจำในอดีตอย่างหนัก แต่ก็นึกไม่ออก จู่ๆ บราลีก็ลุกพรวดขึ้นมา เก็บปิ่นทองนั้นใส่กล่องเครื่องประดับ
“เดี๋ยวฉันมา”
บราลีรีบออกจากห้องไป พร้อมกับถือเอากล่องเครื่องประดับนั้นไปด้วย
“อ้าวบรี เดี๋ยว เธอจะไปไหน คุณชายจะมารับอยู่แล้วนะ”
ในบ่อนคาสิโน สุริยะโดนบอดี้การ์ดหิ้วปีกอยู่สองข้าง สภาพสะบักสะบอม ใบหน้าบอบช้ำ ฉินเจียงต่อยเข้าไปที่ท้องสุริยะอีกครั้ง สุริยะตัวโก่งด้วยความเจ็บปวด แล้วลงไปคุกเข่ากองกับพื้น
“ปากแข็งดีนัก มันต้องเจอแบบนี้” ฉินเจียงเข้าไปจับหน้าสุริยะให้เงยขึ้นมา “แล้วทีนี้จะยอมบอกได้หรือยังล่ะ”
สุริยะเงยขึ้นหน้ามาพยายามจะอ้าปากพูด แต่พูดไม่ได้ “ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีอีกร้อยแปดที่จะทำให้แกปริปากพูดออกมาให้ได้”
“หัวหน้า ดูเหมือนมันจะพยายามบอกอะไรนะครับ”
“เอาน้ำให้มันหน่อย”
บอดี้การ์ดอีกคนเอาน้ำใส่แก้วมาถือให้สุริยะจิบเล็กน้อย แล้วสาดน้ำที่เหลือในแก้วใส่หน้าสุริยะ สุริยะเลียริมฝีปาก แล้วถุยเลือดในปากลงบนพื้น
“ไง ยอมบอกได้แล้วเหรอ”
“ใช่...จะ...บอก...ว่า คุณมันเลว คุณไม่มีทางสู้จ้าวซันได้หรอก สุดท้าย คุณต้องพ่ายแพ้ พินาศ ฉิบหายวายป่วง”
ฉินเจียงหน้าเสีย เดินเข้าตบหน้าสุริยะเป็นชุด เพี้ยะๆๆ จนลงไปกอง
“แกนี่มันเป็นคนห่วยแตกจริงๆ เลยนะ ทำตัวไร้สาระไปวันๆ เล่นการพนันก็ไม่ได้เรื่อง เก่งอยู่อย่างเดียวนี่แหละคือปากแข็ง ดี...จัดให้มันอีกชุด”
บอดี้การ์ดอีกสองคนเข้ามารุมสุริยะ
บราลีเดินมาถึงหน้าโบสถ์ ก้มดูนาฬิกาข้อมือตัวเอง
“ยังพอมีเวลา”
บราลีผลักประตูเข้าไป ข้างในโบสถ์เงียบไปมีคน บราลีร้อนใจ กึ่งเดินกึ่งวิ่งหาไปรอบๆ โบสถ์ บราลีเดินมาถึงด้านหลังโบสถ์ที่กั้นออกเป็นคอกดูเป็นสัดส่วน บราลีชะเง้อมองหา มีอาม่าคนนึงกำลังอยู่ในคอกสารภาพบาป นั่งบ่นพึมพำ
บราลีแอบมองลอดตามช่องหน้าต่างด้านนอกเพื่อดูว่าเป็นพ่อโจเซฟหรือเปล่า แต่มองไม่เห็น บราลีกระโดดขึ้นไปดู พอเห็นว่าเป็นพ่อโจเซฟก็ดีใจขึ้นมาเล็กน้อย
บราลีรออยู่ด้านนอกสักพัก ร้อนรน ก้มดูเวลา เดินไปเดินมา กระโดดขึ้นไปดูอีกที พ่อโจเซฟหันมาเห็นพอดี
พ่อโจเซฟขอตัวกับอุบาสิกาที่เป็นอาม่าๆ เดินออกมาด้านนอกโบสถ์
“คุณพ่อ หนูคงไม่ได้มารบกวนใช่ไหมคะ”
“เอ่อ...เมย มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่าลูก”
พ่อโจเซฟหันกลับไปมองทางอาม่าที่นั่งรออยู่ด้านใน
“คุณพ่อเคยบอกให้หนูนึก แล้วสักวันหนูจะนึกออกเองใช่ไหมคะ”
“นึก? ให้นึกอะไร”
“หนูพยายามแล้วค่ะ พยายามแล้ว แต่หนูก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี” พ่อโจเซฟมองบราลีงงๆ ปนสงสารเห็นใจ “ตกลงหนูเป็นใครคะ ชาติกำเนิดของหนู คุณพ่อรับหนูมาจากที่ไหนคะ”
บราลีทำท่าเหมือนจะร้องไห้
“เอ่อ คือ...”
“คุณพ่อช่วยบอกหนูตอนนี้เลยได้ไหมคะ นะคะ มันสำคัญกับหนูมาก ทำไมทุกคนต้องปิดบังเรื่องนี้กับหนูด้วย มันเป็นชีวิตของหนู ชีวิตในวัยเด็กของหนู ทำไมหนูถึงไม่มีสิทธิ์รับรู้ล่ะคะ”
บราลีจ้องหน้าพ่อโจเซฟจะเอาคำตอบ พ่อโจเซฟอึ้ง
บราลีเปิดกล่องเครื่องประดับออกมา แล้วค่อยๆ หยิบปิ่นทองเพชรเพียบขึ้นมาส่งให้พ่อโจเซฟ
“อย่างปิ่นทอง ที่มีแต่เพชรพราว อันนี้หนูจำได้ว่าหนูเคยเห็น มีสุภาพสตรีท่านนึงที่สวยเหลือเกิน มีปิ่นดอกไม้ไหวแบบนี้อยู่บนผม แต่หนูเห็นที่ไหน เมื่อไหร่ไม่รู้ หนูเคยเห็นมาก่อนแน่ๆ แต่หนูนึกไม่ออก แล้วคุณพ่อล่ะคะ คุณพ่อพอจะเคยเห็นเครื่องประดับชิ้นนี้บ้างหรือเปล่า”
พ่อโจเซฟรับปิ่นทองอันนั้นมาถือในมือ มองครุ่นคิดและทอดสายตาออกไปไกล ถอนหายใจ
“ลูกได้ของพวกนี้มาได้ยังไง ก็ลองไปถามคนที่เขาเอามาให้ดูสิ”
“หนูถามมาหลายรอบแล้วค่ะ แต่เขาบอกว่าให้พ้นงานคืนนี้ไปก่อน”
“งานคืนนี้?”
“งานเลี้ยงรับเสด็จเจ้าชายแห่งคีรีรัฐ”
“อืมม ไหนๆ ลูกรอมาได้ตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นไร”
บราลีถอนหายใจ ก้มหน้า มองจ้องดูเครื่องประดับต่างๆ ที่อยู่ในกล่อง พยายามคิด บราลีเห็นถุงผ้าสีแดงอยู่ก้นกล่อง หยิบออกมาเปิดออกดู เห็นเป็นกำไลข้อมือทองที่มีลูกกระพรวนเล็กๆ อยู่
“เอ๊ะ นี่มัน กำไลเหรอ”
บราลีรีบหยิบมา พลิกดูกำไลไปมา เสียงลูกกระพรวนดังเบาๆ เสียงเล็กแหลมใสกังวาน พ่อโจเซฟหันไปมองบราลีช็อค เขย่าๆๆ แล้วตั้งใจฟัง
“หา...เสียงนี้ หนูเคยได้ยิน ทุกครั้งที่นางฟ้ามาหาหนูในฝัน ตอนที่หนูยังเด็กๆ”
บราลีเขย่าๆ หน้าตาตั้งใจฟังมากๆ
ในอดีต ภาพที่บ้านริมน้ำทางเหนือ พระเทวีศุลีมานกำลังหยอกเล่นกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่นอนอยู่บนเบาะ เด็กผู้หญิงคนนั้นเอามือกำลูกกระพรวนไม่ยอมปล่อย
“ม่านฟ้าคนดี ชอบใช่ไหมเนี่ย ถึงกำไว้ไม่ปล่อยเลย ไว้อีกหน่อยเจ้าโต เป็นสาวเมื่อไหร่ เราจะยกให้นะ”
ม่านฟ้าค่อยๆ ปล่อยมือจากลูกกระพรวน
บราลีซึมลงไป เหม่อ คิด เงียบกริบไป พ่อโจเซฟมองแล้วถอนใจอย่างเวทนา
ขณะนั้นเต๋อเป่ากับอาหลี่อยู่ที่หน้าประตูบ้านหลินจื้อเหม่ย เต๋อเป่ากดกริ่งประตูบ้านอยู่หลายครั้งติดต่อกัน แต่ไม่มีใครเปิดประตูออกมา อาหลี่ร้อนใจ เปิดประตูลงมาจากรถลงมาดู
“เอาไงกันดีล่ะทีนี้”
“อาจจะนอนกลางวันอยู่ ปีนเข้าไปดูไหม”
“เฮ่ย อย่าเพิ่ง เหมือนจะไม่มีคนอยู่” ประตูหน้าบ้านคล้องกุญแจไว้ “รออยู่แถวนี้ก่อนแล้วกัน”“อยู่ไม่ติดที่จริงๆ เลยน้า คุณบราลี”
อาหลี่บ่น เปิดประตูเข้าไปนั่งรอในรถ เต๋อเป่ากลุ้มใจชะเง้อมองเข้าไปในบ้านเพื่อเช็คให้แน่ใจ
ขณะนั้นหลินจื้อเหม่ยซุ่มเงียบอยู่หลังประตู แอบมองลอดช่องประตูแล้วบ่นกับตัวเอง
“ยายบรีนะยายบรี หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ฉันอีกแล้ว”
จ้าวซันถอดเสื้อ นั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องทำงาน ตามตัวมีรอยฟกช้ำและมีแผลแตกที่มุมปากเล็กน้อย
อากงเอายาสมุนไพรจีนมาทาให้ตามรอยฟกช้ำต่างๆ ตามร่างกายจ้าวซัน
“คุณชายรองก็ทำเกินไปจริงๆ เข้ามาอาละวาดทำลายข้าวของแบบนี้ คอยดูเถอะคนที่ไม่เคารพบุพการีชาตินี้ไม่มีวันเจริญ”
อากงยังโกรธไม่หาย ใส่อารมณ์ไปกับการทายาให้จ้าวซัน
“โอ๊ย อากงเบาๆ หน่อย”
อากงวางตลับยาลงบนโต๊ะ หยิบยาใส่แผลสดมาจะแต้มให้ที่มุมปากจ้าวซัน
“นี่ถ้าคุณผู้ชายยังอยู่ คุณชายรองคงจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ได้ถึงวันนี้หรอก”
“อากงก็พูดเกินไป ถ้าเต้อยู่เต้คงมีวิธีสั่งสอนให้ฉินเจียงเป็นคนดีก็ได้” อากงค่อยๆ บรรจงเอายาแต้มที่มุมปากจ้าวซัน “ผมสงสัยว่าถ้าสิ่งที่ฉินเจียงพูดเป็นความจริงว่า เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นรถของสื้อฉวน แล้วใครจะเป็นคนทำ”
“อย่าไปเชื่ออะไรได้กับคำพูดของคนคนนี้”
จู่ๆ โทรศัพท์ของจ้าวซันก็ดังขึ้นจ้าวซันหยิบขึ้นมากดรับ
“มีอะไรเต๋อเป่า อะไรนะ...อีกแล้วเหรอ”
เต๋อเป่าพูดโทรศัพท์อยู่หน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย
“ครับ...ครับ...ตามนั้นครับ” เต๋อเป่ากดโทรศัพท์วางสาย แล้วเอาใส่กระเป๋า เดินไปหาอาหลี่ที่รถ “หลี่กลับไปหาคุณชายก่อน เดี๋ยวทางนี้ชั้นจัดการเอง”
“ได้ ขอให้โชคดี สำลีแปะหัว”
“อ้าว ไอ้นี่! เดี๋ยวปั้ดเหนี่ยว”
อาหลี่หัวเราะ วิ่งหนีขึ้นรถและสตาร์ทเครื่องขับออกไป เต๋อเป่าไปยืนหลบอยู่ข้างเสาไฟฟ้าหน้าบ้านหลินจื้อเหม่ย
สักพักอาสือใส่แว่นดำและหมวกแก๊ปเดินเข้ามาในซอย เต๋อเป่าเห็น จำได้ รีบหลบเข้าไปหลังเสาไฟฟ้า อาสือไม่ทันมองเห็น แต่กำลังเดินตรงมาที่เต๋อเป่ายืนอยู่ เต๋อเป่าหันซ้ายหันขวา ไม่รู้จะหลบออกไปยังไง เต๋อเป่าเหลือบไปเห็นถังขยะใกล้ๆ ก้มลงไปหาของที่จะเอามาใช้บัง คุ้ยๆๆ เจอร่มคันเก่าๆ หยิบขึ้นมา พยายามจะกาง แต่กางไม่ออก
อาสือผิวปากเดินตรงมาใกล้เพื่อจะเข้ามาหลบข้างเสาไฟฟ้าเหมือนกัน อาสือเห็นเหรียญเงินฮ่องกงตกอยู่ ดีใจ ก้มลงไปเก็บ
เต๋อเป่ากางร่มได้พอดี ถือโอกาสจังหวะที่อาสือก้มอยู่ รีบเดินหลบไปด้านหลัง
“โชคดีจริงแฮะเราวันนี้”
อาสือยืนแคะฟันอยู่หน้าบ้านหลินจื้อเหม่ยข้างเสาไฟฟ้า เต๋อเป่าหลบอยู่ไกลๆ ไม่ยอมให้คลาดสายตา เต๋อเป่า เห็นอาสือหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับ สีหน้าไม่ค่อยดี เต๋อเป่าพยายามเขยิบเข้าไปให้ใกล้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาสือหันหลังกลับ แล้วเดินมาทางเต๋อเป่าอย่างเร็ว เต๋อเป่าหาที่หลบไม่ทัน เข้าไปทำตัวลีบกับกำแพง
“ครับๆ โอเคๆ”
อาสือเดินคุยโทรศัพท์ผ่านเต๋อเป่าไป จึงไม่ทันสังเกต อาสือกดวางสาย เอามือถือใส่กระเป๋า แล้วรีบเดินไปอย่างรวดเร็ว เต๋อเป่ารีบตามทันที หลินจื้อเหม่ยเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเพราะแอบอยู่หลังม่านบนชั้นสอง
“เฮ้อ สงสัยจะต้องย้ายบ้านซะแล้วเรา”
จ้าวซันยืนโทรศัพท์อยู่หน้าบ้าน เตรียมตัวจะออกไปข้างนอกอย่างร้อนรน
“ได้หลี่ ฉันออกมารอแล้ว ให้อีกห้านาทีเท่านั้นนะ”
“จะออกไปไหนอีกเหรอค่ะพี่ชายใหญ่”เหม่ยอิงเดินตรงเข้ามาหาจ้าวซัน “อ้าวแล้วนั่น พี่ไปโดนอะไรมา”
จ้าวซันเอามือจับที่มุมปากตัวเอง
“ไม่มีอะไรหรอก เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ”
เหม่ยอิงยิ้มสะใจที่ทุกอย่างเริ่มเป็นไปตามแผน
“พี่น้องทะเลาะกันอีกแล้ว แต่คราวนี้ไท้เผ่งทำให้พี่ใหญ่มีแผลบนหน้าได้นี่ แสดงว่าฝีมือพัฒนาขึ้นไม่เบา”
“น้องมานี่มีธุระด่วนอะไรหรือเปล่า เรื่องงานเลี้ยงต้อนรับไปถึงไหนแล้ว”
“แหม เจอหน้าน้องทีไรก็ถามแต่เรื่องงาน” เหม่ยอิงเดินเข้าไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะรับแขกแล้วบ่นกับตัวเอง “ห่วงใยเราสักนิดก็ไม่มี เฮ้อ”
จ้าวซันตามเข้ามานั่งด้วย
“แล้วทานข้าวมาหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วค่ะ แหม...ต้องให้ทวงนะคะ ถึงจะสนใจได้ ว่าน้องหิวหรืออิ่ม” เหม่ยอิงหัวเราะเยาะๆ ทีเล่นทีจริง “เรื่องงานเลี้ยง น้องสั่งให้เทเรซ่าเป็นคนประสานงานแทนแล้วนะคะ แต่พวกที่มาจากคีรีรัฐเขาขอจัดการทุกอย่างเอง เราแทบเข้าไปยุ่งไม่ได้เลย แต่ก็ดีจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง”
“นั่นแหละที่น่าเป็นห่วง”
“ส่วนเรื่องที่สื้อฉวน ตอนนี้เสื้อผ้าตามออเดอร์ทุกชิ้นเราตัดเย็บเสร็จครบตามจำนวนที่สั่งแล้วพร้อมส่งได้ทันที”
“ยอดไปเลย ขอบใจมากๆ นะ เหม่ยอิง”
เหม่ยอิงยกมือขึ้นมาแบต่อหน้าจ้าวซัน
“รางวัลล่ะคะ”
“อยากได้อะไรล่ะ”
“อะไรก็ได้เหรอคะ” เหม่ยอิงทำหน้ากรุ้มกริ่ม จ้าวซันชักเริ่มไม่ไว้ใจ
“หือ”
“แหมพี่ใหญ่ ไม่ต้องทำหน้าแบบนั้นก็ได้ น้องไม่ได้อยากได้อะไรหรอก แค่อยากขอยืม”
“ยืม ยืมอะไร”
“เครื่องเพชรที่จะเอาไปใส่ในงานคืนนี้”
“อ๋อ ได้สิ เอากุญแจที่อากง”
เหม่ยอิงรีบลุกขึ้นทันที
“จริงนะคะพี่ใหญ่ งั้นเดี๋ยวน้องขอขึ้นไปเลือกดูก่อนนะคะ”
เหม่ยอิงเดินไปอย่างรวดเร็ว กำลังจะก้าวขึ้นบันไดชั้นสอง
“จะเอาอันไหนก็เอาไป แต่ยกเว้นชุดเครื่องเพชรของแม่ใหญ่นะ ห้ามแตะต้องเด็ดขาด”
เหม่ยอิงหยุด ทำตาเขียว ไม่พอใจ แล้วเดินสะบัดขึ้นบันไดไป พลางส่งเสียงดังลั่นบ้าน
“อากง อากง ขอรหัสปัจจุบันตู้เซฟใหญ่เดี๋ยวนี้ เร็วๆ หน่อย”
จ้าวซันส่ายหัว ขำๆ เหนื่อยใจ
เหม่ยอิงค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาในห้องแล้วเปิดไฟที่อยู่ตรงผนัง เผยให้เห็นห้องที่มีแท่นบูชและรูปถ่ายของบรรพบุรษตระกูลจ้าวติดอยู่เต็มผนัง ไกลออกไปอีกด้าน มีรูปเต้ขนาดใหญ่แขวนอยู่ เหม่ยอิงตรงมามองที่รูปเต้
“เกลียดห้องนี้จริงๆ เลย ทำไมต้องเอาเซฟมาอยู่ในนี้ก็ไม่รู้”
เหม่ยอิงเลื่อนรูปเต้ออกไปข้างๆ เผยให้เห็นตู้เซฟติดผนัง เหม่ยอิงกดรหัสอย่างรวดเร็ว เปิดตู้เซฟและดึงถาดที่ใส่เครื่องประดับทั้งหมดออกมา เหม่ยอิงหยิบเครื่องประดับหลายชิ้นออกมา ลองทาบกับตัว
เหม่ยอิงเดินไปที่กระจกบานที่แขวนไว้ตรงมุมห้อง แล้วมองตัวเองในกระจก ยังไม่พอใจ เหม่ยอิงกลับไปที่เซฟ เห็นกล่องกำมะหยี่สีแดงใบใหญ่
“ขอดูสักหน่อยเถอะ”
เหม่ยอิงค่อยๆ ยกฝากล่องออกมา เผยให้เห็นเป็นชุดเครื่องเพชรเม็ดใหญ่ น้ำงามเข้าชุดกัน เหม่ยอิงค่อยๆ เอื้อมมือไปหยิบ แต่เหมือนรู้สึกมีใครอยู่ด้านหลัง ตกใจรีบหันไปมองแต่ภายในห้องไม่มีใคร มีเพียงรูปบรรพบุรุษที่แขวนอยู่เรียงราย
บ้านชิวเทียน หนึ่งในบ้านสี่ฤดู ผิงอันและอาม่ากำลังช่วยกันห่อเกี๊ยวและทำก๋วยเตี๋ยวกัน แม่สี่ยกกาออกจากเตาและรินใส่ถ้วยชาจีนแบบมีฝาปิด
“ผิงอันเดี๋ยวยกน้ำโสมนี่ไปให้พี่ชายของเราด้วยนะ กำลังร้อนๆ เลย”
“ได้ค่ะ”
ผิงอันค่อยๆ ยกถ้วยน้ำโสมและถือด้วยความระมัดระวัง กำลังจะก้าวพ้นประตู เหม่ยอิงใส่สร้อยเพชรของแม่ใหญ่เดินเข้ามาพอดี
“ว้าย”
น้ำโสมกระฉอกออกมาเล็กน้อยลวกมือผิงอัน ผิงอันรีบวางถ้วยลงบนโต๊ะ อาม่ารีบตรงเข้ามาหาผ้ามาเช็ด
“นี่ เดินให้มันระวังๆ หน่อยสิ”
“พี่เหม่ยอิงต่างหากล่ะเดินไม่ระวัง”
“เดี๋ยวนี้กล้าเถียงฉันเหรอ หา”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน กินอะไรมาหรือยังล่ะเหม่ย” แม่สี่สังเกตเห็นสร้อยเพชรที่เหม่ยอิงใส่เข้ามาก็ตะลึง ตาค้าง “เหม่ยอิง ตายแล้ว ถอดออกเดี๋ยวนี้เลย ทำแบบนี้ไม่ได้นะ ถอดๆๆ”
แม่สี่วางอุปกรณ์ครัวที่ถืออยู่ในมือทั้งหมดลง และตรงเข้าไปจะถอดสร้อยให้เหม่ยอิง ผิงอันกับอาม่าหันไปมอง
เหม่ยอิงหลบ สะบัดมือแม่สี่ทิ้ง แล้วเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“อย่ามายุ่งน่ะแม่”
อาม่าเห็นสร้อยเพชรก็ตกใจตาค้าง
“คุณหนูใหญ่”
ผิงอันมองตามงงๆ
“เข้ากับหนูออก เห็นไหม หนูจะใส่ไปงานคืนนี้ พี่ชายใหญ่ก็อนุญาตแล้ว”
“ไม่ได้นะเหม่ยอิง นี่มันเครื่องเพชรของแม่ใหญ่”
“หนูรู้แล้วค่ะ แต่สภาพของจ้าวไทไทตอนนี้ก็คงไม่ได้ใช้ใส่ไปงานไหนแล้ว จะเก็บทิ้งไว้ในตู้เซฟเฉยๆ ก็น่าเสียดาย”
“แต่เครื่องเพชรของจ้าวไทไท...”
“รู้แล้ววว...ว่าเป็นของจ้าวไทไท อาม่าจะต้องมาย้ำทำไม แต่อีกไม่นานของแม่ใหญ่ก็ต้องตกมาเป็นของหนูอยู่ดี หรือว่าไม่จริง”
อาม่ามองหน้าแม่สี่ อึ้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเหม่ยอิง สร้อยเพชรเส้นนี้เขาว่ากันว่า ถ้าคนใส่มีบารมีไม่ถึงจะต้องมีอันเป็นไป”
เหม่ยอิงหน้าเสีย ชะงักไปนิดหนึ่ง
“แม่ไม่ต้องมาหลอกหนู เขาว่ากันว่า เขาว่ากันว่า เขาอะใครคะ แล้วจะหาใครในบ้านนี้มีบารมีมากกว่าหนู นังผิงอันเนี่ยเหรอ ฮะๆๆๆ”
ทุกคนอึ้งกันไปหมด
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8 (ต่อ)
ศิขรนโรดมหันมาหามิถิลา หน้าถอดสี
“อาวุธ ในเครื่องบินพระที่นั่ง”
“มีการกล่าวถึง เงินจากบัญชีสวิต ชื่อคนฮ่องกง”
“พวกมันซื้ออาวุธเถื่อนจากที่นี่ แล้วใช้เครื่องบินพระที่นั่งขนอาวุธเข้าประเทศงั้นเหรอ”
“เพื่อจะเอาไป ใช้ยึดอำนาจ ที่คีรีรัฐ”
“จะยึดอำนาจจากใครอีกล่ะ ในเมื่อทุกวันนี้อำนาจก็เป็นของพวกมันอยู่แล้ว”
“จะมีการทำสงครามการเมืองหรือเพคะ”
“มันยังเข่นฆ่าผู้คนไม่พออีกหรือ เมื่อ 20 ปีก่อน มีคนต้องตายไปกี่ศพ แล้วมันจะอยากฆ่าใครอีก”
“ต้องไม่ให้การขนอาวุธสำเร็จเพคะ”
“มันจะต้องการอำนาจอะไร อยากอะไร เราจะให้พวกมันให้หมด เอาไปให้พอ เราไม่สู้แล้ว ขืนสู้ไปประชาชนก็ต้องมาตายกันอีก เราไม่ต้องการเห็นใครมาจงรักภักดีต่อเราแล้วพากันไปตาย พอกันที เราจะขอยอมแพ้”
“ฝ่าบาท ไม่ได้นะเพคะ จะทรงยอมแพ้ไม่ได้”
ทั้งสองมองหน้ากัน
จ้าวซันเดินไปเดินมาอยู่หน้าบ้านรออาหลี่ จ้าวซันชะเง้อ แล้วกดโทรศัพท์รัวอย่างหงุดหงิด
“หายไปไหนของเค้านะ ไม่ยอมรับโทรศัพท์อีก” จ้าวซันยกโทรศัพท์ขึ้นมา “อาหลี่ ไหนบอกว่าอีกห้านาทีไง นี่จะสิบนาทีอยู่แล้ว”
จ้าวซันกดโทรศัพท์วาง นึกขึ้นได้ กดอีกเบอร์ โทรศัพท์ที่บ้านหลินจื้อเหม่ยดัง หลินจื้อเหม่ยเดินไปเดินมาลังเลว่าจะรับดีไม่รับดี
“ตายแน่ๆๆ คุณชายแน่ๆ แล้วจะตอบว่ายังไงดี ว่าไงดี โอ๊ย”
หลินจื้อเหม่ยกลั้นใจ ยกหูโทรศัพท์ขึ้น
“เหวยย ค่ะๆ ใช่ค่ะๆ ไม่ทราบค่ะ คิดว่าเอาไปด้วยนะคะ”
ที่สวนหลังโบสถ์ มือถือในกระเป๋าถือบราลีมีแสงสว่างวาบๆ ออกมาเป็นระยะ พ่อโจเซฟกับบราลีนั่งมองวิวฮ่องกงข้างหน้า
“พ่อแม่ของหนูไม่ได้เป็นชาวเขา จากภาคเหนือของประเทศไทย ใช่ไหมคะ”
“ไม่ใช่ ข้อที่แปดแล้วนะ เหลืออีกสองข้อ”
“อ้าว คุณพ่อไม่ได้เหลืออีกสิบสองข้อเหรอคะ”
“เราไม่ได้กำลังนั่งเล่นเกมยี่สิบคำถามกันอยู่นะ จริงๆ พ่อก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดให้ลูกอะไรให้ลูกฟังมากน้อยแค่ไหน มีคนที่เขาอยากจะเล่าให้ลูกฟังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าลูกต้องรอหน่อยก็เท่านั้น”
“งั้น ข้อที่เก้า หนูเกิดที่คีรีรัฐใช่ไหม หนูเป็นคนคีรีรัฐใช่ไหมคะ” พ่อโจเซฟหนักใจ ไม่รู้ว่าจะตอบดีหรือไม่ตอบดี
“คุณพ่อ ว่าไงคะ”
“ใช่”
“ว่าแล้ว รู้อย่างงี้ถามไปตั้งแต่ข้อแรกก็ดีหรอก”
“เหลืออีกหนึ่งข้อ จะเก็บไว้ก่อน ยังไม่ถามตอนนี้ก็ได้นะ”
“จริงหรือคะ”
“ไปลองคิดมาให้ดีๆ ว่าจะถามว่าอะไร. แต่ที่รู้ไปแค่นี้พ่อว่าอย่างอื่นก็ไม่สำคัญแล้วล่ะ”
“พ่อแม่หนูเป็นคนดี เป็นคนคีรีรัฐ แล้วอะไรอีกนะ”
“แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ ต่อไปถ้ามีโอกาสก็ลองกลับไปเยี่ยมบ้าน เอาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา กลับไปพัฒนาประเทศ กลับไปทดแทนคุณของแผ่นดิน แล้วก็จงรักภักดีต่อ...ต่อ...เจ้าเหนือหัว ที่มีบุญคุณต่อเรา นะ”
“แน่นอนคะ หนูสัญญา”
พ่อโจเซฟมองหน้าบราลีอย่าง เวทนา บราลีมองตอบ น้ำตาคลอ
อีกด้านหนึ่งที่ห้องพักศิขรนโรดม ศิขรนโรดมมองหน้ามิถิลา อ่อนใจ
“ทำไมล่ะ ถ้าชีวิตเราเพียงคนเดียว สามารถแลกกับความสุขของประชาชนของคีรีรัฐ ทำไมเราจะทำไม่ได้ จริงไหม”
“แต่ประชาชนจะมีความสุขมากขึ้นจริงหรือ ถ้าพวกเขามีเจ้าหลวงที่ทรงยอมเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เขาได้อยู่ภายใต้ อำนาจของ...ทรราชย์”
“เจ้าไม่พอใจหรือ เมื่อทรราชย์ที่ว่าคือบิดาตัวเอง เจ้ากับอสุนี จะได้กลายเป็นสองพี่น้องที่ทรงอำนาจที่สุดในแผ่นดิน”
“ทรงลองใจหม่อมฉันหรือ ทรงประชด หรือต้องการคำตอบที่แท้จริงกันแน่”
“คำตอบที่แท้จริง”
“ก็ทรงทราบอยู่แล้ว”
“อยากฟัง วิสัยทัศน์ของเจ้า ในเมื่อสถานการณ์ระหว่างเราสองคน มาถึงจุดนี้แล้วเจ้ามองอนาคตว่าอย่างไร”
“อนาคตของแผ่นดิน สำคัญกว่าอนาคตส่วนตัว ถ้าทรงเห็นแก่ประชาชนจะทรงยอมไม่ได้นะเพคะ เพราะหม่อมฉันทราบดี ว่าพ่อของตัวเอง ปรารถนาสิ่งใด เขาจะนำคีรีรัฐไปในทิศทางใด”
ศิขรนโรดมตัดสินใจ เดินไปที่ประตู
“เราจะไปพูดเรื่องนี้กับราชิดเอง”
ศิขรนโรดมเดินออกไป มิถิลารีบพุ่งเข้าไปคว้าแขน
“อย่านะเพคะ. พ่อคงมีแผน สำหรับคืนนี้แล้ว ฝ่าบาทอย่าไป”
“แล้วจะให้เรานั่งรอเวลาไปตามยถากรรมหรือ”
“แจ้งตำรวจดีไหมเพคะ เดี๋ยวเราติดต่อตำรวจฮ่องกงมาคุยกันดู แล้ว”
“แจ้งให้เขามาจับตัวพ่อของเจ้าน่ะเหรอ หรือไม่ ถ้าพวกฮ่องกงรู้เรื่องอาวุธในเครื่องบินพระที่นั่ง เราเองก็อาจจะโดนจับไปในข้อหาซื้ออาวุธสงครามน่ะสิ” มิถิลา เงียบ สลด “ต่อรองกับราชิดให้มันจบๆ ซะที เราตัดสินใจแล้ว”
ศิขรนโรดมสบตา มิถิลาอึ้ง
บราลีเดินออกมาจากโบสถ์ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า กดดู แล้วตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นที่จอโทรศัพท์ที่บอกว่ามีมิสคอลจ้าวซันเป็นสิบ
“15 มิสคอล”
บราลีอึ้งๆ แล้วทำหน้าเหวี่ยงนิดๆ ก่อนจะกดโทรกลับไป เพียงแป๊บเดียวก็มีการกดรับ
“คุณชายจ้าวซันคะ 15 มิสคอลนี่ มันไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ ฉันแค่ออกมาธุระแป๊บเดียวเท่านั้นเอง การที่ฉันไม่รับโทรศัพท์ คุณก็ควรจะเข้าใจว่าดิฉันมีธุระ พูดโทรศัพท์ไม่ได้จริงๆ แต่ทันทีที่คุยได้ ดิฉันก็จะโทรกลับไปทันทีนะคะ แล้วคุณก็ไม่ควรจะเป็นห่วงจนเกินไป เพราะยังไงๆ เรานัดกันแล้ว ว่าคืนนี้มีงานที่ต้องทำด้วยกัน ดิฉันก็จะต้องไปอยู่แล้ว เพราะดิฉันเป็นคนรักษาคำพูด...”
บราลีพูดแล้ว เงยหน้าขึ้น แล้วชะงัก อ้าปากค้างเพราะจ้าวซันยืนพูดโทรศัพท์อยู่ตรงหน้า ตามองตรงมา มีแววขำๆ
“ถ้าคุณจะห้ามไม่ให้ผมห่วงคุณ คงห้ามไม่ได้หรอก เพราะผมเจออะไรแย่ๆ มามาก มาก จนเกินกว่าที่จะประมาทกับเรื่องอะไรได้ แม้แต่เรื่องเดียว โดยเฉพาะเรื่องคุณ”
บราลีรีบกดวางโทรศัพท์ แล้วทำหน้าค้อนๆ
“ไม่ต้องใช้โทรศัพท์กันแล้วค่ะ เปลือง”
“คุณอย่ามาทำเป็นโกรธมากกว่าเลย ผมสิ สมควรเป็นคนโกรธ อะไรกัน เผลอนิดเผลอหน่อยเป็นไม่ได้ คุณเป็นต้องหนี ต้องดื้อ ต้องซน เป็นเด็กที่ไม่เคยเคารพเชื่อฟังเลย” จ้าวซันเข้ามาคว้าแขนลากไป “ผมคงปล่อยให้คุณคลาดสายตาอีกไม่ได้แล้ว เพราะคุณมันอยู่ไม่สุขจริงๆ”
“นี่ จ้าวซัน ปล่อยนะ ชั้นอายคน”
“ไม่”
“คุณชายจ้าวซัน ชั้นเดินดีๆ เองได้ อย่าทำแบบนี้สิ”
“ฝันไปเถอะ”
จ้าวซันดึงบราลีออกไป
จ้าวซันเดินนำหน้า ดึงแขนแกมลากบราลีมาหลุนๆ จนถึงรถ แล้วจึงปล่อย อาหลี่รีบมาเปิดประตูรถ
“เอ้า ขึ้นไป”
บราลีมองหน้า แล้วชะงัก เมื่อเห็นแผลจากการชกกะฉินเจียงที่ปากจ้าวซัน
“นั่น คุณไปโดนอะไรมา”
จ้าวซันชะงัก จับแผล นึกได้
“อ๋อ ไม่มีอะไร”
“คุณว่าชั้นอยู่ไม่สุข แล้วตัวคุณเองล่ะอยู่สุขนักเหรอ นี่ไง เผลอแป๊บเดียวก็ไปต่อยกะใครมาเนี่ย”
“เปล่านะ”
“โกหก” บราลีชี้หน้า จ้าวซันคว้านิ้วไว้
“เอ๊ะ เคยบอกกี่หนแล้วว่าอย่าชี้หน้าพี่”
“พี่เหรอ”
“แล้วก็ ห้ามใช้คำว่าโกหกด้วย มันไม่สุภาพ”
“แล้วต้องใช้ว่าอะไรล่ะคะ”
“ใช้ว่า...พูดปด ก็พอได้”
“คุณพูดปด คุณไปมีเรื่องมีราวมา ใช่ไหม”
“ไม่บอก”
บราลียื่นหน้ามาดูจนใกล้
“อะไรของคุณเนี่ย แล้วคืนนี้ต้องออกงานรับเสด็จเนี่ยนะ แล้วไปโดนต่อยปากแตกมาเนี่ยนะ” บราลียื่นมือมาแตะ “แล้วคุณใส่ยาอะไรหรือยัง”
จ้าวซันสบตา ซึ้งใจ
“ใส่แล้ว”
“พูดปดอีกละ ไหวไหมเนี่ยๆ” บราลีบ่นๆ ส่ายหน้า แล้วขึ้นรถไป จ้าวซันยิ้ม ขึ้นรถไปด้วย อาหลี่อดยิ้มไม่ได้ออกรถไป
ราชิดกำลังตรวจตราความเรียบร้อยของชุดจอมพลอยู่หน้ากระจก ทหารรับใช้คนหนึ่งเข้ามา
“ท่านจอมพล องค์ชายเสด็จมาขอพบครับ”
ราชิดแปลกใจ ศิขรนโรดมเดินเข้ามา ทหารถวายความเคารพแล้วออกไป ราชิด ศิขรนโรดม เผชิญหน้า ตัวต่อตัว ราชิดเห็นศิขรนโรดมยังไม่ได้แต่งตัวก็ชักสีหน้า โกรธขึ้นมาเล็กน้อย
“องค์ชาย ทำไมยังไม่ทรงฉลองพระองค์ให้เรียบร้อย งานจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว”
“ไม่ต้องห่วง งานเลี้ยงของเรา น่าจะไม่ต้องเลื่อนอีกแล้ว”
“ทรงอยากอยู่ประพาสนานๆ ล่ะสิ ระวังจะติดแสงสีนะฝ่าบาท”
“แสงสี มันสวยงามออก ถ้าได้สัมผัสบ่อยๆ ใครๆ ก็ต้องติดใจกันทั้งนั้น แต่ที่แท้มันก็ไม่มีตัวตนหรอก ก็เหมือนอำนาจนั่นแหละ”
“เสด็จมา เพราะจะรับสั่งอะไรหรือเปล่าพะย่ะค่ะ”
“ท่านอยู่คนเดียวหรือ ท่านโกศินหายไปไหนหรือไปเตรียมการณ์อะไรอีก”
“โกศินไปประสานงานพะย่ะค่ะ เพื่อความปลอดภัยของฝ่าบาท” ศิขรนโรดมหัวเราะลั่น
“ความปลอดภัยหรือ” ศิขรนโรดมหัวเราะอีก เหมือนขำนักหนา ราชิดมอง รู้สึกแปลกๆ
อาสือรีบเดินมาตามถนนสายนึง สองมือล้วงกระเป๋า มองซ้าย ขวา เต๋อเป่าโผล่จากมุมตึก แอบมองตามไป
อาสือมองซ้าย ขวาอีกที แล้วรีบข้ามถนนไปงุดๆๆ เต๋อเป่าไม่ข้ามถนนตาม มาหาที่กำบัง ปักหลักหลังเสา แอบดูตามไป อาสือหยุดยืนรอหน้าบ่อน โทรศัพท์ ไม่เข้าไปข้างใน รับคำครับๆๆ แล้วกดวางโทรศัพท์ เดินไปมารออยู่แถวนั้น
เต๋อเป่ารอดูแล้วทำหน้าชิงชัง รังเกียจ เพียงไม่นานก็เห็นเกาเฟยออกมาจากบ่อนและมีโกศินเดินออกมาด้วย
เต๋อเป่าหยิบโทรศัพท์ออกมา ซูมถ่ายภาพคนเหล่านั้นเป็นชุด
อาหลี่ขับรถเข้ามาในบริเวณบ้านสี่ฤดู อากงมายืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูบ้าน อาหลี่จอดรถ รีบลงมาเปิดประตูรถให้จ้าวซัน จ้าวซันก้าวลงจากรถไป บราลีเปิดประตูออกมาเองแล้วรีบก้าวตามจ้าวซันไป
“นี่คุณโกหก เอ๊ย คุณพูดปดอีกแล้วนะ” จ้าวซันหันมามอง ไม่ตอบโต้ แล้วเดินเข้าบ้านไป บราลีเดินตาม “ไหนคุณบอกว่าจะพาฉันไปส่งที่บ้านจื้อเหม่ยก่อนไง แล้วข้าวของฉันล่ะ” ยังไม่ทันได้เข้าไปในบ้าน หลินจื้อเหม่ยก็โผล่หน้าออกมา ยิ้มโบกมือทักทายให้บราลี “จื้อเหม่ย”
“เรียบร้อยนะ” จ้าวซันถามหลินจื้อเหม่ย
“ทุกอย่างตามที่สั่งค่ะคุณชาย”
บราลีเดินตรงรี่มาหาหลินจื้อเหม่ย
“ทำไมเธอมาอยู่ที่นี่ได้”
บราลีเหลือบไปเห็นกระเป๋าเดินทาง ข้าวของทุกอย่าง รวมทั้งชุดที่จะใส่ไปงานคืนนี้ใส่ถุงวางพาดอยู่อย่างดีในห้องรับแขก บราลีตะลึง รีบดึงลากตัวหลินจื้อเหม่ยออกไป จ้าวซันมองตาม
“คุณเทเรซ่ามารอพบคุณชายใหญ่หลายชั่วโมงแล้ว ตอนนี้รออยู่ที่ห้องทำงาน”
อากงบอก จ้าวซันพยักหน้าและมองไปทางบราลีกับหลินจื้อเหม่ยที่กำลังยืนกระซิบกระซาบกันอยู่หน้าบ้าน
“แล้วห้องพักของ...”
“คุณชายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว”
จ้าวซันยิ้มเล็กๆ พยักหน้าพอใจ และเดินขึ้นบ้านไป อากงมองมาทางบราลีที่ทำท่าเหมือนกำลังเหวี่ยงใส่หลินจื้อเหม่ย อากงถอนใจ
บราลีลากแขนหลินจื้อเหม่ยมาในมุมลับตาคน
“ยอมรับมาซะดีๆ เธอเป็นพวกคุณชายจ้าวซันใช่ไหม”
“ป่าววว”
“เธอโกหก เธอหลบตาฉัน”
“โอ๊ยย อะ! ไม่หลบก็ได้” หลินจื้อเหม่ยทำตาแข็งใส่ “เปล่าๆๆ ทีนี้เชื่อหรือยัง”
“เธอตาแข็ง โกหก”
“บรี เธอคิดมากไปแล้ว ทำไมฉันต้องเป็นพวกคุณชายด้วย”
“แล้ว ถ้าอย่างงั้นทำไมเธอถึงโผล่มาได้ถูกที่ถูกเวลาอยู่เรื่อยล่ะ”
“ก็...ก็จะไปรู้เหรอ ฉัน ฉันอาจจะมีเซ้นส์ดีก็ได้ เพื่อนสนิทกันมันจะมีด้ายแดงที่มองไม่เห็นผูกอยู่ที่นิ้วก้อย เธอไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เหรอ”
“เคย แต่เขาหมายถึงแฟน ไม่ใช่เพื่อน อย่าบอกนะว่าเธอรับเงินจากคุณชายจ้าวซันมา” บราลีรุกเร้า หลินจื้อเหม่ยเริ่มอึกอักจนมุม “เขาจ้างเธอมาเท่าไหร่”
“อะไร ไม่ได้จ๊าง”
“เสียงสูงเชียวนะ ตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาจ้างเธอให้ไปเรียนหนังสือที่อเมริกา จ้างให้เธอมาเป็นเพื่อนฉันด้วยใช่ไหม”
หลินจื้อเหม่ยทำท่าจะร้องไห้
“บรี อย่าถามแบบนี้ได้ไหม ฉันเป็นเพื่อนเธอก็เพราะฉันอยากเป็นเพื่อนกับเธอ รู้สึกดีกับเธอ ปรารถนาดีต่อเธอ”
ทั้งคู่มองหน้ากัน เงียบไปสักพัก บราลีรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย หลินจื้อเหม่ยพยายามกลั้นน้ำตาและเก็บอารมณ์ไว้
“นั่น! ผิงอันมาพอดี”
บราลีหันกลับไปมอง แต่ไม่มีใคร บราลีหันกลับไป หลินจื้อเหม่ยก็วิ่งหนีไปเกือบถึงหน้าประตูแล้ว
“จื้อเหม่ย”
หน้าบ่อนมาเก๊า เกาเฟยแสดงอาการพินอบพิเทาโกศิน แล้วเรียกรถของบ่อน ที่จอดรอข้างหน้ามา แล้วส่งโกศินขึ้นรถ เต๋อเป่าถ่ายจนรถออกไปแล้วแอบต่อ อาสือรายงานบางอย่างเกาเฟย เกาเฟยพยักๆๆ ตบหลังไหล่อาสือ แล้วกอดคอกัน คุยๆๆ
พอดีเหมือนโทรศัพท์เกาเฟยดัง เกาเฟยรับและโบกมือไล่อาสือไป อาสือเดินแยกไป เกาเฟยเดินคุยโทรศัพท์ แล้ววาง แล้วโบกแท็กซี่ เกาเฟยขึ้นแท็กซี่ไป เต๋อเป่ารีบเรียกแท็กซี่อีกคัน ให้แท็กซี่ตามคันเกาเฟยไป
ที่ห้องพักศิขรนโรดม ศิขรนโรดมยืนดูรูปวาดงานศิลปะที่ผนังห้องพัก ทหารเอาชุดชามาเสิร์ฟ ศิขรนโรดมเดินมานั่ง
“ขอบใจนะ” ศิขรนโรดมลงมือรินชาเอง แล้วหัวเราะเบาๆ “ชาในกานี่ คงไม่มียาพิษหรอกนะ”
ราชิดอึดอัด
“ฝ่าบาทมีอะไรรับสั่ง ทรงพระกรุณารับสั่งมาเถิด เราต้องรีบ.”
“เรารู้มานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสถามพวกเจ้าตรงๆ สักที”
ราชิดและโกศินมองหน้ากันลุ้น
“ทรงรู้ รู้ว่าอะไรกระหม่อม”
“ทีแรกเราก็ไม่ยังไม่แน่ใจนัก แต่พอได้มาเห็นโลกกว้าง เราเลยแน่ใจ”
“เอ่อ...แน่พระทัย ว่า...”
“ว่า เราเหมาะที่จะไปเรียนต่อมากกว่าที่จะมาบริหารประเทศตอนนี้”
“เรียนต่อ? ทรงหมายความว่า”
“ความรู้ความสามารถในการบริหารประเทศของเราตอนนี้ เรารู้ว่าเรายังสู้ท่านไม่ได้ กลับไปคีรีรัฐคราวนี้เราจะไปขอเสด็จแม่ไปเรียนต่อต่างประเทศสัก 5-6 ปี หรือบางทีก็อาจจะเป็น 10 ปี ความคิดนี้ท่านว่าอย่างไรล่ะ”
“แปลว่าจะทรงทอดทิ้งคีรีรัฐ”
“ทุกวันนี้คีรีรัฐของเราก็เป็นปรกติสุขดีอยู่แล้ว เราจะอยู่หรือไม่ก็คงไม่สำคัญ นครคีรีรัฐเป็นของชาวคีรีรัฐทุกคน เราจะอยู่หรือจะไปก็คงไม่ต่างกัน และอีกอย่างท่านจอมพลก็ปฏิบัติราชกิจของประเทศได้ดี ไม่มีที่ติ มีอะไรให้เราต้องเป็นห่วงอีกล่ะ” ราชิดงง ไม่รู้ว่าศิขรจะมาไม้ไหน “ทำไมท่านเงียบไป เห็นด้วยกับความคิดของเราหรือเปล่า”
ราชิดอึ้ง
เกาเฟยเดินเข้ามาในห้างแห่งหนึ่ง ระวังตัว หมุนรอบ กลัวคนตามหรือมีคนรู้จัก แล้วเอาแว่นดำมาสวม เอาฮู้ดของเสื้อขึ้นมาคลุมหัว แล้วเดินต่อไป สักพัก เต๋อเป่าตามมา แล้วตามไปโดยพยายามหาชั้นวางของ ตู้ใส่สินค้า หุ่นเสื้อ หรือคนที่เดินไปมาบัง เวลาเกาเฟยหันมองรอบๆ
เกาเฟยเดินมาในซูเปอร์ เดินไประหว่างชั้นวางสินค้าต่างๆ เต๋อเป่าตาม ระแวดระวัง สักพักเกาเฟยรับโทรศัพท์ ยืนพูด ประมาณถามพิกัดจุดนัดพบ เต๋อเป่าแอบสุดๆ แต่พอโผล่ไป เกาเฟยหายไปแล้ว เต๋อเป่าหน้าซีด ลนลาน หมุนรอบตัว วิ่งพล่าน
เต๋อเป่าหยุด งง มึน เซ็ง โกรธตัวเอง เดินเร็วๆ ส่องหาไปตามมุมต่างๆ เต๋อเป่ามาโผล่มุมขายผลไม้ แล้วสะดุ้ง ตาเบิกโพลง ถอยไม่เป็นกระบวนเมื่อเห็นเหม่ยอิงเดินเข็นรถเข็น เดินเลือกหยิบผลไม้อยู่ตรงหน้า เต๋อเป่าหลบมุม สูดลมหายใจลึก ไม่อยากเชื่อ ตั้งสติ แอบดูระหว่างชั้นวางของ
เต๋อเป่ามองผ่านชั้นวางของเห็นเหม่ยอิงจอดรถเลือกส้มอยู่ แล้วเกาเฟยเดินเข้ามา เลือกส้มอีกด้านนึง ทั้งสองคุยกัน กระซิบกระซาบ เต๋อเป่าอึ้งไปพักใหญ่ ในที่สุดตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มาแชะภาพอีกชุดใหญ่
ภายในห้องทำงานที่บ้านจ้าวซัน จ้าวซันยืนปรึกษากับเทเรซ่า
“ทำไมทุกอย่างมันต้องเป็นคืนนี้ด้วยเทเรซ่า”
“ถ้าเราส่งเสื้อผ้าลงเรือไม่ทันคืนนี้ เราอาจจะส่งไปที่ออสเตรเลียไม่ทันตามที่สัญญาไว้นะคะ และทุกอย่างที่เราพยายามทำขึ้นมาก็จะสูญเปล่า”
“แต่ผมยังไม่ไว้ใจ ใครบางคนจ้องที่จะเล่นงานให้สื้อฉวนล้มละลาย ผมเลยอยากไปคุมด้วยตัวเอง เปลี่ยนเป็นตอนเช้าไม่ได้เหรอ”
“เรือจะออกตีสองค่ะ ของควรจะโหลดเสร็จตั้งแต่เที่ยงคืน แล้วดิฉันก็คิดว่าไม่มันน่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีกแล้ว”
“เรื่องคนร้ายมีอะไรคืบหน้าบ้างไหม ตำรวจเขาว่ายังไงบ้าง” เทเรซ่าส่ายหน้าเบาๆ จ้าวซันลุกขึ้นเดิน ร้อนใจ
“ตำรวจที่เกาะนี้มันทำงานกันยังไงนะ จนป่านนี้แล้ว หลักฐานก็มี รู้ทั้งรู้อยู่ว่าเป็นคนในแน่ๆ แต่ทำไมถึงยังจับไม่ได้สักที”
จ้าวซันหยุดมองรูปเต้บนผนัง
“เมื่อเช้าผู้กองอเล็กซ์ขอเข้าไปค้นห้องทำงานคุณ ที่ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป”
“อะไรนะ ให้เข้าไปหรือเปล่า”
บราลีเดินมาอยู่หน้าห้อง ประตูห้องแง้มไว้เฉยๆ
“ดิฉันเห็นว่ามันไม่น่าจะมีหลักฐานอะไรอยู่แล้ว”
บราลีกำลังจะเคาะประตู ชะงัก
“หลักฐานมันจะมาอยู่ในห้องผมได้ยังไงล่ะ ตำรวจพวกนี้มันไม่มีสมองจริงๆ ถ้าคิดจะหาทางมาเล่นงานผมล่ะก็นะ น่าจะหาตำรวจที่ฉลาดกว่านี้สักหน่อย” จ้าวซันระเบิดอารมณ์เสียงดังสนั่น “ทำไมผมถึงต้องซวยขนาดนี้! ทำไมทุกอย่างมันประดังมาเกิดขึ้นตอนนี้” บราลีได้ยินเสียงจ้าวซันตวาดดัง คิดว่าจ้าวซันเอ็ดใส่เทเรซ่า เลยเปลี่ยนใจไม่เคาะประตู ค่อยๆ เดินย่องออกไป “ใครน่ะ”
บราลีตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
“ฉันเองค่ะ ว่าจะมาถามอะไรนิดหน่อย แต่...”
“คุณชายคะ ถ้าอย่างนั้นดิฉันกลับก่อนดีกว่า มีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก แล้วเจอกันที่งานคืนนี้นะคะ”
เทเรซ่าขอตัวรีบเดินผ่านบราลีที่ยืนอยู่หน้าประตูออกไป บราลีมองหน้าจ้าวซัน เหมือนจะอ่านใจว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นคนยังไงกันแน่
เหม่ยอิงเข็นรถมาในแผนกกับข้าว หยิบของไปพลาง คุยพลางกับเกาเฟย
“ชั้นได้สั่งตัดเสื้อผ้าอีกล็อตนึง จากตัวอย่างผ้าที่สั่งแกไปคืนนั้น ก๊อปเป๊ะ เลียนแบบเสื้อผ้าที่โดนปล้นไป และมันกำลังจะเสร็จในเย็นนี้ พร้อมๆ กับเสื้อผ้าที่จ้าวซันกำลังทำที่ซื่อฉวนเพื่อส่งไปทดแทนของเดิมให้ทันเวลาเป๊ะๆ”
“คุณหนูใหญ่ทำแบบนั้นเพื่อ...”
“แกต้องรู้ด้วยเหรอ”
“ผมปล้น และฆ่าคน ตามคำสั่งของคุณหนูใหญ่นะครับ”
“ก็ได้ ฉันบอกก็ได้ ฉันจะทดสอบความประพฤติของพี่ชายใหญ่อีกทีไงล่ะ”
“ยังไงครับ”
“คืนนี้ชั้นจะให้จ้าวซันเลือกอีกที ระหว่างชั้นกะนังบราลี แล้วถ้าเค้าเลือกชั้นเสื้อผ้าอันที่เป็นตัวจริง จะถูกส่งลงเรือไปให้ลูกค้าที่ออสเตรเลีย แต่ถ้าเค้าเลือกนังนั่น”
“คุณจะส่งของก๊อปปี้ไปแทน แต่ว่ามันต่างกันตรงไหนหรือครับ”
“ต่างกันตรง ผ้าที่สั่งมาแทนมันเป็นผ้าที่ติดไฟง่าย หากเจอความร้อนเพียงเล็กน้อยแม้แต่เวลารีดผ้าด้วยองศาสูงเกินกำหนดไปนิดหรือเดินเฉียดไปใกล้เปลวไฟมันก็อาจจะลุกติดเปลวไฟขึ้นมาทันที”
“มันก็จะเป็นอันตรายกับผู้ซื้อไปสวมใส่สิครับ”
“แล้วคนรับผลิต ก็จะตกเป็นจำเลย โดนฟ้องจนต้องล้มละลายขายตัวเลยไงล่ะ”
“แต่มันอาจทำคนบริสุทธิ์ตายได้นะครับ”
“ใครจะไปสน หรือแกสน ฮะ เกาเฟย”
เกาเฟยอึ้ง มองเหม่ยอิงอย่างทึ่งและสยอง
เต๋อเป่าแอบถ่ายภาพสองคนด้วยกัน หลังชั้นวางสินค้าห่างออกไป
ที่ห้องทำงานจ้าวซัน จ้าวซันมองหน้าบราลี สีหน้าค่อนข้างเครียด
“คุณเทเรซ่าทำอะไรไม่ถูกใจหรือคะ”
“เปล่า”
“ทำไมคุณต้องดุเค้าขนาดนั้นด้วยล่ะคะ” จ้าวซันถอนใจ
“ผมไม่ได้ดุเทเรซ่า นี่คุณแอบฟังหรือ ฟังไปก็ไม่รู้เรื่อง หรือเดี๋ยวนี้ฟังภาษากวางตุ้งได้ด้วย” บราลีค้อน งอนๆ
“คุณชอบก้าวร้าวกับคนรอบตัวหรือคะ”
“ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด”
“เปล่าซะนิด”
“เป็นเด็กชอบอยากรู้นั่นอยากรู้นี่ ที่ไม่เกี่ยวอะไรกะตัวเอง ระวังเถอะ”
“โอเค งั้นชั้นจะถาม เรื่องที่เกี่ยวกะตัวเอง”
“คุณควรรีบไปแต่งตัวนะ ผู้หญิงต้องทำอะไรนานๆ ไม่ใช่เหรอ”
“ชั้นแต่งเร็ว” บราลีทำหน้าดื้อๆ มองไปรอบๆ ห้องนั้น เห็นรูปเต้ที่ผนังห้องจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ “ท่านนี้คือ...”
“จ้าวฉินเย่ว์”
“คนที่รับคุณมาเลี้ยง”
“ใช่”
“เหมือนกับพ่อที่รับฉันมาเลี้ยง”
“ไม่เหมือนกัน ทำไม เข้ามาแค่จะถามเรื่องนี้เหรอ”
“เปล่าหรอก คือฉันอยากจะแน่ใจอะไรบางอย่าง”
จ้าวซันมองบราลี สงสัย
“ถ้าเป็นเรื่องนั้นเราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าหลังงานคืนนี้”
บราลีเดินดูรูปที่แขวนอยู่รอบๆ ห้อง เป็นรูปไทไทบ้าง รูปเหม่ยอิงบ้าง รูปฉินเจียงบ้าง
“ตกลงฉันเกิดที่คีรีรัฐ เป็นคนคีรีรัฐจริงๆ ใช่ไหม”
“ใช่”
“เหมือนกับคุณ”
“ใช่ ทำไม” จ้าวซันตามมา สังเกตสีหน้าบราลี “เสียใจเหรอที่รู้อย่างนั้น”
“จะเสียใจทำไม ฉันน่าจะดีใจซะอีกที่ได้รู้จักรากเหง้าที่แท้จริงของตัวเองสักที ดีกว่าหลงทาง เข้าใจผิด คิดว่าเราเป็นอะไร ที่เราไม่ได้เป็น จริงไหมคะ” จ้าวซันนิ่งไม่ตอบ “การที่เราไม่ได้มาจากตระกูลที่ร่ำรวย ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์อะไร พ่อไม่ใช่นายพลสุริยะ เจ้าของโรงงานผ้าไหมใหญ่ที่เมืองไทย เราไม่ได้นามสกุลภีมะมนตรีตั้งแต่เกิด ไม่ใช่สาระสำคัญอะไรเลย คุณก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม” จ้าวซันนิ่งไม่ตอบ “แค่ขอให้เป็นคนดี เป็นคนดีเท่านี้ก็พอแล้ว”
จ้าวซันอดเอ็นดูไม่ได้ เข้ามาประคองหน้าบราลีด้วยสองมืออย่างอ่อนโยน แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้
“เป็นคนดี ก็ควรจะเป็นเด็กดีก่อน เด็กดีต้องทำตามที่ผู้ใหญ่บอก เพราะเขาอาบน้ำร้อนมาก่อน และเขาหวังดีต่อเราแน่ๆ” หน้าจ้าวซันใกล้เข้าไปทุกทีๆ บราลีรีบพลิ้วตัว หลบรอดวงแขนออกมา
“ผู้ใหญ่อย่างคุณเนี่ยนะ”
บราลีหัวเราะใส่หน้า แล้วจะวิ่งหนี พอดีหันไป เหลือบไปเห็นรูปจ้าวซันในวัยสิบสองขวบแล้วรู้สึกคุ้นมาก บราลีรีบเข้าไปหยิบรูปนั้นขึ้นมา จ้าวซันมีสีหน้าตกใจเล็กน้อย
“เด็กในรูปนี้”
“พี่บรีๆๆ เย้ๆๆ” ผิงอันเข้ามาในห้อง กระโดดโลดเต้นดีใจ เข้าไปกอดบราลี บราลีต้องวางกรอบรูปกลับลงไปที่เดิม “อากงบอกว่าพี่บรีจะมาค้างกับเราหลายวันเลย แถมยังจัดห้องให้พี่บรีซะสวยเชียว ไปกันเร็วหนูมีอะไรอวดเต็มไปหมดเลย พี่ชายใหญ่ขอยืมตัวพี่บรีไปก่อนนะ”
ผิงอันดึงแขนบราลีออกจากห้องไป
“ผิงอันอย่าเพิ่งชวนพี่เขาเล่นสิ พี่เขาต้องเตรียมตัวไปงานคืนนี้นะ”
จ้าวซันพูดไล่หลังออกไป
“รู้แล้วน่า”
จ้าวซันเดินไปหยิบรูปวัยเด็กของตนออกมาถือดู แล้วนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในอดีต วันที่ม่านฟ้าแต่งชุดใหม่ เป็นชุดพร้อมเดินทาง โดยมีคำฝายวิ่งตาม พยายามจะเอามาลัยมะลิล้อมผมที่เกล้าเป็นมวยกลางกระหม่อมให้ พูดแบบใบ้ๆ ว่าอยู่นิ่งๆ หน่อย อย่าซนนัก จะได้สวยๆ
ม่านฟ้าวิ่งมาหาน่านปิงนรเทพ ที่ยืนหงุดหงิดอยู่
“พี่เจ้า พี่เจ้า เมยจะไปแอ่วแล้วเน่อเจ้า”
น่านปิงนรเทพดึงแขนไว้ แกล้งพูด
“พี่ไม่ให้เมยไป”
ม่านฟ้าสะบัดแขนออก แล้วถอยมา ก่อนจะแลบลิ้นให้
“แบร่...พี่เจ้าไม่ได้ไป สมน้ำหน้ากะลาหัวเจาะ พี่เจ้าต้องอยู่เฝ้าบ้านคนเดียว กุ๋ยๆๆๆ”
พระเทวีศุลีมานเดินขึ้นเรือนมา
“แต่งตัวเสร็จหรือยัง เมย คำฝาย พาไปได้แล้ว คุณพ่อมารอนานแล้ว”
ม่านฟ้ารีบเข้าไปจูงมือคำฝาย
“เร็วๆๆ คำฝาย เราไปหาคุณพ่อกัน วันนี้คุณพ่อจะพาเมยไปแอ่วเวียง ไปกินไอติม ไปดูการ์ตูนเรื่องซินเดอริลล่าโตยเน่อ” ม่านฟ้าพูดอวดๆ เพื่อยั่วให้น่านปิงนรเทพอิจฉา
“ซินเดอเรลล่า ไม่ใช่ริลล่า ริลล่านั่นมันกอริลล่าแล้ว” น่านปิงนรเทพแย้ง ม่านฟ้าหันมา แล่บลิ้น
“เจ้าพี่น่ะสิ กอริลล่า” ม่านฟ้าทำหน้าลิง แล้ววิ่งไปลากมือคำฝาย พาวิ่งลงเรือนไป
“เมย” น่านปิงนรเทพทำท่าจะลุกตามไป
จ้าวซันยิ้มกับตัวเอง ขำปนเศร้า วางรูปนั้นลง แล้วเงยขึ้น สีหน้าปรับเป็นเข้มแข็ง เตรียมพร้อมเผชิญทุกอย่าง
เหม่ยอิงเข็นรถที่ใส่ผลไม้ กับข้าว และถุงขนมมาในลาดจอดรถ ไปที่รถ เกาเฟยที่สวมแว่นดำ มีฮู้ดคลุมหัว เดินเคียงไป
“งานของผม นับว่าเรียบร้อยแล้ว จริงไหมครับ”
“ใช่ เรียบร้อย หมดจดดีมาก พรุ่งนี้ ไอ้ฉินเจียงมันต้องโดนตำรวจจับแน่ แกก็รีบหายตัวไปก่อนก็แล้วกัน”
“ถ้าผมไปแล้ว คุณหนูใหญ่จะเป็นยังไง”
ทั้งคู่เดินมาถึงรถ เหม่ยอิงเปิดท้ายรถ เกาเฟยช่วยยกของใส่ท้ายรถให้
“ฉันเอาตัวรอดอยู่แล้ว ไม่มีใครสงสัยฉันหรอกน่า แกเหนื่อยเพื่อฉันมามากพอแล้ว ขอบใจมากนะ เกาเฟย”
“ไม่เป็นไรครับ ผมยินดีเหนื่อย ถ้ามันจะทำคุณหนูใหญ่สมหวัง”
“เงินที่ชั้นให้แกไปทั้งหมด ก็อย่าเอาไปผลาญล่ะ”
“ไม่มีทางครับ เมียผมจัดการเงินพวกนั้นอย่างดีมาก เวลานี้ พวกเรากลายเป็นคนไทยไปแล้ว เมียผมซื้อบ้าน ซื้อที่ดินไว้ที่เมืองไทย รอผมกลับไป”
“ดีมาก แล้วพอทุกอย่างสำเร็จ แกจะได้โบนัสอีกก้อนนึง”
“ชีวิตผม คงไม่มีวันนี้ หากไม่มีคุณหนู”
ทั้งสองมองกันซึ้งใจ เหม่ยอิงทำท่าจะเข้ามากอด ทันใดมีเสียงกดชัตเตอร์ของกล้องโทรศัพท์ดังมา ทั้งสองได้ยินหันไป
เต๋อเป่าถ่ายรูปด้วยโทรศัพท์อย่างเมามันสะดุ้ง ตกใจ ถอยๆ แล้วหันหลัง รีบวิ่ง
“ซวยล่ะ ใครวะ”
เหม่ยอิงมองตาม เห็นหลังก็จำได้
“เต๋อเป่า”
เกาเฟยรีบตาม
“เก็บมันให้ได้ เกาเฟย ไม่งั้น ความลับพวกเราแตกแน่”
เต๋อเป่าวิ่งสุดชีวิตไปตามทางลงของรถ เกาเฟยรีบตาม เหม่ยอิงขึ้นรถ ออกรถไปอีกทาง เหม่ยอิงเครียด สวมแว่นดำ รีบเหยียบรถให้เร็วสุดๆ เพื่อหนีไปให้พ้นจะได้ไม่ต้องข้องเกี่ยว
เต๋อเป่าวิ่งสุดชีวิต เกาเฟยควักปืนออกมาขึ้นไก พร้อมยิง เต๋อเป่าเลี้ยวลงบันได วิ่งๆๆ เกาเฟยโดดไปอีกทาง กะไปดัก เต๋อเป่าควักปืนมาเตรียมสู้ วิ่งลงบันไดสุดฝีเท้า เกาเฟยลงตามทางรถ เพื่อดักที่ชั้นล่าง
เต๋อเป่าถือปืนวิ่งสุดชีวิตลงบันไดมาจนถึงขั้นสุดท้าย โผล่ออกมาที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน เต๋อเป่ามองซ้ายมองขวาหาทางออก
“ชิบ ไม่มีทางออก”
เสียงฝีเท้าเกาเฟยค่อยๆ เดินลงมาจากทางลาดสำหรับรถขึ้นดังก้องไปทั่วบริเวณ
“เตรียมตัวตายได้แล้วไอ้เต๋อเป่า” เต๋อเป่ารีบพุ่งตัวออกไปหาที่ซ่อน เกาเฟยถือปืนลงมาตามทางรถ ค่อยๆ ก้าวอย่างระมัดระวัง เดินมองหาไปรอบตัว “มัวหดหัวอยู่ทำไมล่ะ ออกมาสิวะ ไอ้ลูกเต่า”
ทันใดนั้น ด้านหลังเกาเฟยมีเด็กเก็บรถเข็นเดินใส่หูฟังและผลักขบวนรถเข็นที่เก็บไว้เป็นสายยาวออกมาจากหลืบ ทำเสียงดัง เกาเฟยหันไปทันทีและยิงปืนใส่หนึ่งนัด
“เฮ้ยๆๆ” เด็กตกใจ ร้องเสียงหลง ปล่อยรถเข็นทิ้งไว้แล้ววิ่งหนีไป เต๋อเป่าได้จังหวะ กลิ้งม้วนตัวออกมาจากที่ซ่อนยิงสวนไปหนึ่งนัด แต่พลาดไม่โดน “ช่วยด้วยๆ”
เกาเฟยกระโดดพุ่งข้ามขบวนรถเข็นไปอีกฝั่ง ใช้รถเข็นเป็นที่กำบัง แล้วยิงกลับ ลูกกระสุนโดนของเกาเฟย พลาดไปโดนกระจกหน้ารถคันที่เต๋อเป่าหลบอยู่แตกกระจาย เต๋อเป่ายืดตัวขึ้นยิงสวนไปหนึ่งนัด เกาเฟยก้มหลบ กระสุนโดนรถเข็น
เต๋อเป่าจะยิงซ้ำ ปรากฏว่ากระสุนหมด ปืนยิงไม่ได้ เต๋อเป่าตกใจ รีบนั่งลงไปหลบที่หลังรถทันที ไม่สบอารมณ์
“ซวยจริงเว้ย”
เกาเฟยค่อยๆ ยืดตัวขึ้น กระโดดข้ามขบวนรถเข็น และเดินออกมามาดกวน
“หายไปไหนแล้วล่ะ มือขวาคนเก่งของจ้าวซัน” เต๋อเป่าเหน็บปืนกลับเข้าเอว ก้มตัวหลบเงียบอยู่ตามข้างรถที่จอดอยู่ หันรีหันขวางไม่รู้จะทำยังไง “ถ้าแกอยากเล่นซ่อนหาก่อนตายล่ะก็...ได้...เอาล่ะนะ” เต๋อเป่าชำเลืองมองประตูทางเข้าห้างที่อยู่ห่างออกไปอีกฝากหนึ่งของลานจอดรถ “หนึ่ง...สอง...สาม...สี่” เต๋อเป่าค่อยๆ คลานต่ำ อ้อมไปหลังรถ ตั้งใจจะหนีเข้าไปทางประตูเข้าห้าง เต๋อเป่าก้มกับพื้น มองเช็คเกาเฟย “เก้า...สิบ...สิบเอ็ด... สิบสอง” เต๋อเป่าเห็นเท้าเกาเฟย ค่อยๆ เดินอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล สักพักเท้าเกาเฟยหยุด “สิบสาม...”
ทันใดนั้นเกาเฟยก็ก้มลงมองดูกับพื้นบ้าง แต่ไม่เห็นใคร เพราะเต๋อเป่าดึงตัวเองขึ้นมา เกาะอยู่กับที่วางเท้าของรถจี๊ปกับใช้มือยันรถอีกคันไว้ เกาเฟยหน้าเสียเล็กน้อย หันมอง ซ้าย-ขวา ทั่วทั้งลานจอดรถอย่างลนลาน
“เกิดอะไรขึ้นครับๆ”
ยามวิ่งตรงมาทางเกาเฟย เกาเฟยตกใจรีบหันไปยกปืนขึ้นเล็งใส่หน้า ยามรีบยกมือทั้งสองข้าง ทรุดลงกองกับพื้น
“ไอ๊หยา กลัวแล้วๆ”
ยามรีบคลานสี่ขากลับไป เต๋อเป่าค่อยๆ หย่อนขาลง แอบชะเง้อมอง ใช้จังหวะที่เกาเฟยหันไป รีบวิ่งไปทางประตูเข้าห้าง เกาเฟยหันมาเห็นพอดี วิ่งตาม พร้อมกับยิงปืนไล่กวด
“สิบสี่...สิบห้า...สิบหก...”
เต๋อเป่าวิ่งซิกแซ็กหลบลูกกระสุนไปมา กลิ้งตัวหลบ พุ่งตัวไปถึงหน้าประตู เต๋อเป่าจะผลักประตูเข้าไป ทันใดนั้นก็มีแม่บ้านเข็นรถเข็นออกมา ข้าวของเต็มรถ กำลังจะผลักประตูออก เต๋อเป่าชะงัก เสียจังหวะ เข้าประตูไม่ได้ เกาเฟยเดินถือปืนเล็งเข้ามาใกล้ทุกทีๆ
“สิบเก้า...ยี่สิบ...โป้ง”
เสียงปืนดังสนั่น เต๋อเป่าทรุดลงไปกองกับพื้น
“ว้ายยยยย” แม่บ้านร้องด้วยความตกใจแล้วรีบวิ่งหนีเข้าห้างไปทันที
เกาเฟยเดินตรงเข้ามาที่ร่างเต๋อเป่า
“จับได้แล้ว”
เกาเฟยเหน็บปืนเข้ากระเป๋ากางเกง นั่งลงรีบค้นตัวเต๋อเป่า เกาเฟยล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา รีบเอาเก็บใส่เสื้อโค้ท ลุกขึ้น เกาเฟยยิ้มอย่างเยือกเย็น เอาฮู้ดคลุมหัวแล้วรีบเดินจากไป
ที่ห้องรับรองแขก บ้านสี่ฤดู ผิงอันนั่งหันหลังอยู่บนเตียง เอามือปิดตาไว้
“ให้หนูหันไปได้หรือยังอะพี่บรี นานแล้วนะ”
“เดี๋ยวก่อนสิคุณหนู”
อาม่ายืนบังบราลี กำลังช่วยบราลีแต่งตัวอยู่
“ไม่ยุติธรรมเลย ทำไมหนูไม่ได้เข้าไปช่วยล่ะ”
“จะเสร็จแล้วๆ เดี๋ยวพี่ให้เราช่วยใส่เครื่องประดับแล้วกัน”
“เย้ๆๆ”
“เอาล่ะเสร็จแล้ว”
อาม่าค่อยๆ ถอยไป บราลีค่อยๆ หันมาช้าๆ เผยให้เห็นบราลีในชุดประจำชาติคีรีรัฐ สวยงามมาก
“โอ้โหหหห พี่บรี ยังกับนางฟ้าเลย” ผิงอันบอก อาม่ามองบราลีอย่างชื่นชม บราลีก็มองเงาตนในกระจกอย่างชื่นชมเช่นกัน “อาม่าหนูอยากใส่แบบนี้มั่งอะ”
“ซาหมุยยังเด็ก แถมอ้วนอีกต่างหาก ใส่ไปก็ไม่สวยหรอก”
“อาม่าอะ ทุกทีเลย” ผิงอันงอน
“เมื่อกี้ใครว่าจะช่วยใส่เครื่องประดับให้นะ”
ผิงอันรีบหันกลับมา
“หนูๆๆ” อาม่ายกกล่องเครื่องประดับออกมา ทุกอย่างดูแวววาว เป็นสีทองสุกอร่าม “โอ้โห หนูไม่กล้าติดหรอก อะไรอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ เผลอทำหักไปล่ะก็...”
“มาเดี๋ยวพี่สอนให้”
“พี่บรีแต่งตัวแบบนี้บ่อยๆ เหรอคะ ที่เมืองไทยน่ะ” บราลีอึ้ง ยิ้ม
“ไม่เคยเลย แต่แน่ใจว่าทำเป็น เพราะเคยเห็น.ทั้งในรูป และของจริง”
บราลี ผิงอัน อาม่า ยิ้มอย่างมีความสุข ช่วยกันติดเครื่องประดับให้บราลี
ที่ลานจอดในห้างสรรพสินค้า ศพเต๋อเป่านอนคว่ำอยู่ จ่าหมงกำลังจดบันทึกและกันผู้คนที่มุงอยู่ออกไป
หมวดจางกำลังถ่ายภาพ อเล็กซ์กำลังสอบปากคำกับผู้เห็นเหตุการณ์
“ตกลงก็ไม่มีใครเห็นหน้าคนยิง”
“โอย ใครจะกล้ามองมันล่ะคะ” แม่บ้านบอก
“ใช่ครับๆ”
“กล้องวงจรปิดล่ะว่าไง” อเล็กซ์ถามยาม
“กล้อง เอ่อ มันถ่ายไปไม่ถึงมุมนั้นครับ”
“แล้วข้าวของของฉันล่ะคุณตำรวจ จะว่ายังไง”
อเล็กซ์เดินออกมา จ่าหมงและหมวดจางเดินมาสมทบ
“ผู้กองครับ หรือว่ามันเป็นแค่โจรขโมยมือถือธรรมดา”
“ถึงขนาดต้องฆ่ากันเลยเนี่ยนะ”
“อ้าว เศรษฐกิจสมัยนี้ ใครจะไปรู้”
ผู้กองเหลียงเดินเข้ามา
“ได้ความว่าไงบ้าง ผู้ตายเป็นใคร”
“ค้นดูแล้ว ไม่พบบัตรประจำตัวอะไรเลย” ผู้กองเหลียงเดินไปที่ศพ ใส่ถุงมือ และผลิกหน้าศพออกดู “เฮ้ย”
“ผู้กองรู้จักเหรอครับ”
“ลูกน้องคนสนิทของจ้าวซันไม่ใช่เหรอ”
ทุกคนมองหน้าเต๋อเป่า พยายามนึก เต๋อเป่าเหมือนจะกระพริบตาเล็กๆ ผู้กองเหลียงจับชีพจรและเอามืออังดูลมหายใจ
“เขายังไม่ตาย จ่ารีบโทรเรียกรถพยาบาลเร็ว”
จ่าหมงรับคำรีบเอาวิทยุสื่อสารออกมาวอ.ขอความช่วยเหลือ อเล็กซ์กับหมวดจางรีบเข้ามาช่วยปฐมพยาบาลคนเจ็บ และกันผู้คนออกไป
“ถ้าผมมาช้ากว่านี้อีกหน่อย คุณจะเสียใจไปทั้งชีวิต” ผู้กองเหลียงบอกกกับอเล็กซ์ อเล็กซ์สลด รู้สึกผิด
บราลีที่หน้ากระจก ผิงอันค่อยๆ บรรจงติดเครื่องประดับชิ้นสุดท้ายให้ บราลียืนอยู่กลางห้องในชุดประจำชาติคีรีรัฐ มีเครื่องประดับสวยงามครบชุด บราลีหมุนตัวหนึ่งรอบ ผิงอันปรบมือ
“อย่างกับเจ้าหญิงเลย”
“อะไร เมื่อกี้บอกว่าเหมือนนางฟ้า ตอนนี้กลายมาเป็นเจ้าหญิงแล้วเหรอ”
“โธ่...พี่บรีก็ นางฟ้าหรือเจ้าหญิงมันก็สวยเหมือนกันนั่นแหละ” ผิงอันควักมือถือจากกระเป๋ากางเกงออกมาถ่ายรูปคู่ “ถ่ายรูปกับหนูหน่อยนะ” ผิงอันกับบราลีแอ๊คท่า ชูสองนิ้วหน้ากล้องมือถือ “จริงสิ ไปอวดพี่ชายใหญ่ดีกว่า พี่ชายเห็นต้องตะลึงแน่ๆ ไปเร็วพี่บรี”
ผิงอันดันหลังบราลีออกไป
“เดี๋ยวก่อนสิๆ”
จ้าวซันใส่เสื้อคลุมขนหนูเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ผิวปากอารมณ์ดี จ้าวซันออกมาเห็นอากงยืนอยู่ในห้องก็ตกใจ
“อากง มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“มีคนมาขอพบคุณชายใหญ่”
“เวลานี่เนี่ยนะ บอกเขากลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวเราจะไปงานคืนนี้ไม่ทัน”
“เขาบอกว่าเรื่องสำคัญ จะต้องพบคุณชายให้ได้”
“ใคร?”
“ผู้กองเหลียง”
จ้าวซันมีสีหน้าหวั่นใจ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 8 (ต่อ)
เวลานั้นผู้กองเหลียงยืนดูรูปจ้าวฉินเย่ว์ที่แขวนอยู่บนผนัง แล้วเดินสำรวจรอบๆ ห้อง ผู้กองเหลียงเดินไปดูรูปถ่ายในกรอบรูปที่ตั้งอยู่ภายในห้องเห็นรูปของเหม่ยอิง จ้าวฉินเจียง และจ้าวซัน วางอยู่แยกกัน
ผู้กองเหลียงหยิบรูปจ้าวซันขึ้นมาดู เหลือบไปเห็นกรอบรูปที่มีรูปจ้าวซันตอนเด็ก จูงมือกับจ้าวฉินเย่ว์และมีพ่อโจเซฟในวัยหนุ่มยืนอยู่ด้วย ด้านหลังเป็นวิวทางภาคเหนือของไทย ผู้กองเหลียงหยุดและหยิบขึ้นมาพิเคราะห์ ครุ่นคิด
“นี่มันที่ไหนกัน”
ผู้กองเหลียงหันมองซ้ายมองขวา ควักมือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาจะถ่ายรูปเก็บไว้
“ผู้กองมาหาผมถึงที่นี่ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่”
จ้าวซันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เข้ามาพร้อมกับอากงที่ประตู ผู้กองเหลียงรีบซ่อนกรอบรูปไว้ข้างหลัง รีบเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า
“ถ้าคุณชายเตรียมใจไว้อย่างงั้นแล้ว” ผู้กองเหลียงเอาตัวบังกรอบรูปนั้นไว้ แล้วค่อยๆ ใช้อีกมือเลื่อนไปวางที่เดิม พยายามทำตัวให้เป็นปกติ “ก็ดี ผมจะได้ไม่ต้องอ้อมค้อม”
“ผมก็อยากรู้ว่า มันจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับผมได้อีก” ผู้กองเหลียงนิ่ง เงียบ มองหน้าจ้าวซัน จ้าวซันเริ่มเอะใจ “ว่ามาเลยผู้กอง คงไม่มีเรื่องอะไรที่ผมจะรับไม่ได้แล้วล่ะ”
จ้าวซันวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในโรงพยาบาล ตามมาด้วยผู้กองเหลียง ถึงหน้าห้องไอซียูจ้าวซันผลักประตูออกไป โดนพยาบาลออกมาห้ามไว้ไม่ให้เข้า
“เข้าไม่ได้นะคะ” ผู้กองเหลียงจะตามเข้าไปอีกคน พยาบาลก็มากันตัวไว้ จ้าวซันหลุดเข้าไปได้ “คุณคะ คุณ”
จ้าวซันพุ่งเข้ามาภายในห้อง หมอหน้าเครียด พยาบาลอีกสองคนกำลังช่วยปั๊มหัวใจให้เต๋อเป่า หมอและพยาบาลหันมามองจ้าวซันด้วยความตกใจ
จ้าวซันมองเต๋อเป่าที่นอนอยู่บนเตียง ใส่เครื่องช่วยหายใจ มีสายระโยงระยาง และเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด พยาบาลสองคนจะมากันจ้าวซันออกไป
“ไม่ต้องมาไล่ผม ช่วยคนเจ็บต่อไปสิ”
หมอพยักหน้าให้พยาบาลมาช่วยซับเลือด และเช็คมอนิเตอร์เครื่องปั๊มหัวใจ สัญญาณชีพจรที่เครื่องเหลือเป็นเส้นเดียว หมอปั๊มหัวใจอีกที ร่างเต๋อเป่ากระเด้งขึ้นมา จ้าวซันมองลุ้น สัญญาณที่เครื่องกระตุ้นหัวใจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง หมอตัดใจถอดหน้ากากออก หันมาพูดกับจ้าวซัน
“คงไม่มีหวังแล้วครับ เราพยายามหลายครั้งแล้ว ผมเสียใจด้วย”
“อะไรกัน คนของผมจะตายง่ายๆ ได้แบบนี้ยังไง หมอต้องทำอะไรสักอย่างสิ”
“เขามาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป”
“ช้าเกินไปเหรอ หมอที่ไหนก็พูดแบบนี้ทั้งนั้น มันจะมีคนเจ็บคนไหนมาถึงโรงพยาบาลเร็วเกินไปบ้างไหม ผมอยากรู้”
หมออึ้ง มองหน้าพยาบาล จ้าวซันคว้าเอาเครื่องปั๊มหัวใจในมือหมอมา
“มานี่ ผมทำเอง”
จ้าวซันลองปั๊มหัวใจเต๋อเป่าอีกที ร่างเต๋อเป่ากระเด้งขึ้นมา กราฟหัวใจและสมองยังไม่เปลี่ยนแปลง
“เอ่อ.. คนไข้เสียชีวิตแล้วครับ”
จ้าวซันโยนเครื่องปั๊มหัวใจให้หมอ แล้วประสานมือเป็นกำปั้นทุบไปที่อกเต๋อเป่าหลายครั้ง
“ไม่ได้นะเต๋อเป่า แกต้องฟื้น ได้ยินไหม แกต้องฟื้น นี่เป็นคำสั่ง ฟื้นสิ ฟื้นสิวะ”
หมอและพยาบาลช่วยกันห้าม จ้าวซันสะบัดออก สักพักเสียงสัญญาณที่เครื่องวัดชีพจรดังขึ้น กราฟคลื่นหัวใจและสมองขึ้นมาเล็กน้อย สีหน้าจ้าวซันมีความหวังขึ้นมาเล็กน้อย
“หมอ”
“ผมเอง” หมอลองปั๊มหัวใจให้อีกที ร่างเต๋อเป่ากระตุก คลื่นหัวใจขึ้นมาเท่าเดิม ไม่เปลี่ยนแปลง “คลื่นไฟฟ้าที่ขึ้นมาบนจอ อาจจะเป็นเพราะเกิดจากการกระตุ้นเท่านั้น ถ้าเขาไม่ตายก็อาจจะเป็นเจ้าชายนิทราตลอดชีวิต”
“เต๋อเป่า”
จ้าวซันแทรบทรุด น้ำตาคลอ ผู้กองเหลียงเข้ามาในห้องพอดี มองจ้าวซันด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
บ่อนคาสิโนในมาเก๊า สุริยะนอนหมดสภาพอยู่กับพื้น เนื้อตัวบอบช้ำ หน้า ตาบวมแดงเพราะโดนต่อย
ฉินเจียงเดินถือถ้วยกาแฟเข้ามา
“มันฟื้นหรือยัง”
การ์ดเข้าไปเอาเท้าเขี่ย สุริยะนิ่งไม่ขยับ การ์ดจับแขนข้างหนึ่งของสุริยะยกขึ้นแล้วปล่อยลง แขนสุริยะตกลงพื้นพอดีไม่มีการตอบสนอง
“ยังครับ”
ฉินเจียงมอง อารมณ์เสีย
“อย่าไปหลงกลมันง่ายๆ ไอ้นี่ลูกเล่นมันเยอะ” ฉินเจียงเดินเข้าไป เอากาแฟร้อนควันลอยฉุย ที่อยู่ในมือราดบนตัวสุริยะ สุริยะไม่กระดุกกระดิก “สงสัยคราวนี้มันจะหมดสติจริงๆ โธ่เว้ย” ฉินเจียงโยนถ้วยกาแฟทิ้ง มองหน้าลูกน้องแต่ละคน เดินเข้าไปตบหัวรายตัว “บอกแล้วว่าให้อย่าให้มันหนักมือนัก แล้วอย่างนี้จะไปหาข่าวจากไหนกันล่ะวะ”
ฉินเจียงมองสุริยะที่นอนอยู่กับพื้น เหมือนนึกอะไรออก เดินเข้าไปหาร่างสุริยะ ฉินเจียงนั่งลง ค้นตัวสุริยะ เจอกระเป๋าสตางค์ หยิบออกมาเปิดดู มีแต่แบงค์เล็กๆ เศษกระดาษพับๆ นามบัตรภาษาไทย โยนทิ้ง ล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋าอีกข้าง ฉินเจียงเปิดไล่เช็คโทรศัพท์ดูเห็นเบอร์ที่มีรูปบราลีอยู่ ฉินเจียงยิ้มเจ้าเล่ห์
ผิงอันลากบราลีในชุดประจำชาติมาที่หน้าห้องจ้าวซัน บราลีเดินในผ้าซิ่นแบบไม่ถนัดนัก
“อย่าเดินเร็วสินักผิงอัน ทำไมจะต้องรีบมาให้เค้าดูตอนนี้ด้วยล่ะ”
“หนูอยากเห็นหน้าพี่ชายใหญ่ตกตะลึง แบบตาค้างนะสิ จะถ่ายรูปเก็บไว้ดูด้วย อยากรู้ว่าจะตลกแค่ไหน” ผิงอันหัวเราะ
“แล้วทำไมเอาโทรศัพท์พี่มาถ่ายล่ะ จะเก็บไว้ดูเองไม่ใช่เหรอ”
“ก็...ก็กล้องของหนูมันไม่ชัดเหมือนของพี่บรีนี่นา”
“ไม่ต้องเลย เอามานี่ พี่ไม่อยากให้โทรศัพท์พี่มีคลิปอะไรไร้สาระ”
“จุ๊ๆๆ อย่าเสียงดังสิ” ผิงอันแย่งโทรศัพท์กลับมา และรีบเดินหนีมาเคาะประตู บราลีประหม่าเล็กน้อย ทำตัวไม่ถูก แอบจัดแต่งเครื่องแต่งกายให้เข้าที่ “พี่ชายใหญ่ๆ ซายหมุยมีอะไรจะมาอวดล่ะ”
ผิงอันเคาะประตูเสร็จก็อ้อมไปหลบหลังบราลี ดันบราลีให้ออกมาติดประตู
“จะทำอะไรอีกน่ะ”
“ชู่ว์ เซอร์ไพร์ส” ผิงอันเตรียมเปิดกล้องมือถือ แล้วถือไว้เตรียมถ่ายหน้าจ้าวซัน แต่ไม่มีเสียงตอบจากจ้าวซัน ผิงอันเคาะประตูอีกที “พี่ใหญ่ถ้าไม่เปิดประตู งั้น หนูเข้าไปนะ จะเข้าไปแล้วนะ” ผิงอันค่อยๆ เปิดประตูเข้าไป เดินเข้าไปช้าๆ มองซ้ายมองขวาถือกล้องมือถือไปด้วย ผิงอันผลักให้บราลีเดินนำไปข้างหน้า “ไปไหนของเขานะ”
ผิงอันเดินสำรวจ ลดมือถือลง และแยกเข้าไปดูในห้องน้ำ บราลีเห็นชุดสูทที่จะใส่ไปงานแขวนอยู่
“ชุดยังอยู่นี่เลย”
“หมดสนุกเลย พี่ชายใหญ่หายไปไหนก็ไม่รู้”
“หึ...ชอบว่าแต่เขาดีนัก เป็นไงล่ะ ทีนี้ตัวเองก็หายไปบ้าง เหลวไหลพอกันแหละ”
“เดี๋ยวหนูไปดูข้างล่างก่อน พี่บรีอยู่นี่แหละ”
“เฮ้ย จะให้พี่...”
เสียงโทรศัพท์ของบราลีในมือผิงอันดังขึ้น
“พี่ชายใหญ่แหงๆ อะพี่”
ผิงอันยื่นมือถือส่งให้ ทำหน้าตากรุ้มกริ่ม บราลีกลั้นยิ้ม รับโทรศัพท์มาก้มดูหน้าจอ
“พ่อ” บราลีดีใจ รีบกดรับ “ฮัลโหลพ่อเหรอ พ่ออยู่ที่ไหนคะ แล้วคืนนี้พ่อจะมาที่งาน ฮัลโหล...อะไรนะคะ
ฮัลโหล นั่นใครพูดน่ะ” ผิงอันตกใจเห็นว่าเหมือนจะเป็นเรื่องไม่ดี เป็นห่วง รีบเข้ามาใกล้ๆ บราลี “ค่ะๆ ได้ค่ะ นั่นใครคะ ฮัลโหลๆๆ”
บราลีกดวางโทรศัพท์ สีหน้าไม่ดี
“เกิดอะไรขึ้นหรือพี่บรี”
เสียงแมสเสจในโทรศัพท์ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่องสาม สี่ครั้ง บราลีก้มลงไปกดๆๆ อ่าน บราลีเงยขึ้นมา ตกใจ ช็อก
“พ่อ”
ศิขรนโรดมกำลังจะเดินออกจากห้องราชิด หยุด แล้วหันกลับมา
“เอ...หรือว่าท่านจอมพลไม่พอใจที่เราจะแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน บอกเราก็ได้นะ”
“เอ่อ ตอนนี้หม่อมฉันว่ามันไม่ใช่เวลาที่...”
“ท่านราชิดอยากได้ “ตำแหน่ง” ไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า” ราชิดทำท่าจะเอ่ยปากตอบ “ยังไม่ต้องรีบให้คำตอบเราก็ได้ กว่าจะกลับไปคีรีรัฐยังมีเวลาคิดทบทวนอีกหลายวัน”
“แล้วหม่อมฉันจะลองเอาไปพิจารณาดู องค์ชายรีบไปเปลี่ยนฉลองพระองค์ดีกว่า ประเดี๋ยวจะไม่ทันการณ์”
“อะไร จะไม่ทันการณ์อะไรเหรอ” ราชิดมองหน้าศิขรนโรดม “อ๋อ ใช่ งานเลี้ยงรับรองใช่ไหม เราก็ลืมไปเลย ขอบใจท่านมากนะที่เตือน เดี๋ยวจะไม่ทันการณ์จริงๆ ด้วย”
ศิขรนโรดมหันหลังเดินจากไป แล้วอยู่ดีๆ ก็หันมาฉีกยิ้มให้ราชิดหนึ่งที ศิขรนโรดมเปิดประตูและเดินออกจากห้องไป ราชิดงงหนัก
บราลีหน้าเครียด เดินนำออกมาจากห้องจ้าวซันกลับมาที่ห้องรับรองแขก ผิงอันตามมาติดๆ
“ใครโทรมาเหรอพี่บรี” ระหว่างทางบราลีก้มลงอ่านข้อความในมือถืออีกครั้ง เครียดหนักกว่าเดิม “มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
“คงเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ”
บราลีเปิดประตูห้องรับรองแขกเข้ามา นั่งไม่ติด สีหน้ายังไม่หายกังวล ผิงอันเห็นเป็นห่วง
“เขาใช้เบอร์ของพ่อพี่บรีโทรมาไม่ใช่เหรอ”
“ก็นั่นน่ะสิ พี่เลยไม่แน่ใจ”
“โทรกลับไปสิพี่บรี”
บราลีมองหน้าผิงอัน ชั่งใจ อีกด้านหนึ่งในบ่อนคาสิโน ฉินเจียงนั่งเคาะโต๊ะ ผิวปากอย่างสบายใจ โทรศัพท์ของสุริยะที่อยู่บนโต๊ะสั่นขึ้นมา หน้าจอเป็นรูปบราลี ฉินเจียงยิ้มสะใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเปิดเสียงให้ทุกคนได้ยิน
“ว่าไงครับคุณหนู”
“ฉันขอพูดกับพ่อหน่อย”
บราลีกับผิงอัน วางโทรศัพท์ไว้บนเตียง เปิดเสียงไว้เหมือนกัน ฉินเจียงดัดเก๊กเสียง
“คุณพ่อของคุณท่าทางไม่ค่อยสบายครับ คงมาพูดสายด้วยไม่ได้”
สุริยะ นอนกองหมดสติอยู่ที่เดิม
“ฉันจะเชื่อได้ยังไง ว่าพวกแกไม่ได้โกหก”
“พูดไม่เพราะเลยนะครับ” บราลีหงุดหงิด อารมณ์เสีย “ผมส่งรูปสัญญาที่มีลายเซ็นพ่อคุณไปแล้ว ไม่ทราบว่าคุณได้รับหรือยัง”
“เห็นแล้ว แต่มันเป็นไปได้ยังไงที่พ่อฉันจะไปเล่นการพนัน แล้วติดหนี้เป็นล้านเหรียญเนี่ย”
“เจ็ด” ล้านเหรียญครับ ยังไม่รวมดอกเบี้ย จะให้ผมคำนวณให้ตอนนี้เลยไหมครับ”
“ฉันพูดอยู่กับใคร ที่นั่นที่ไหน บ่อนชื่ออะไร ใครเป็นเจ้าของ”
“ผมขอรบกวนช่วยทวนคำถามอีกทีได้ไหมครับ”
“โอ๊ย เรียกผู้จัดการมาพูดกับฉันหน่อย”
“ที่นี่ไม่มีผู้จัดการครับ ทางเราไม่ใช่บริษัท ห้าง ร้าน หรือ...”
“ฉันจะพูดกับเจ้าของบ่อน”
“อ๋อ สักครู่นะครับ”
บราลีกับผิงอันมองหน้ากัน รอฟังลุ้น อีกฝั่งฉินเจียง นั่งยิ้ม อารมณ์ดีแล้วดัดเก๊กเสียงพูดมาตามสาย
“ขอโทษนะครับคุณชายจ้าวซัน ไม่ได้เข้ามาที่นี่ครับวันนี้”
“อะไรนะคะ”
“คุณชายจ้าวซัน ไม่ได้เข้ามาที่นี่ครับวันนี้”
“คุณชายจ้าวซัน”
“ใช่ครับ.. ได้ยินไม่ชัดหรือครับ ฟังอีกครั้งนะครับ ช้าๆ คุณ-ชาย-จ้าว-ซัน” บราลีเงยหน้ามองผิงอัน ตกใจ
“อ้อ ลืมไป คุณก็น่าจะรู้จักสินะ เพราะคุณพ่อของคุณเขาก็อ้างว่ารู้จักและสนิทสนมกับคุณชายจ้าวซันเป็นอย่างดี”
“เขาเป็นเจ้าของบ่อนนี้หรือคะ”
“ใช่ครับ เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของที่นี่ แต่บางวันก็มาคุมบ่อนเองบ้าง ลงมาเล่นเองบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็จะคอยดูแลลูกค้าที่ “เคย” มีเงินหนาๆ อย่างคุณพ่อของคุณ แต่ถ้าคุณอยากจะเขาพบตอนนี้...”
บราลีรีบคว้าโทรศัพท์มากดวางด้วยความโกรธ ฉินเจียงหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุข
“เสียงฟังดูคุ้น” ผิงอันบอกออกมาขณะที่ บราลีลุกขึ้นพรวด
“จ้าวซัน คนหน้าเนื้อ ใจเสือ”
ในห้องชุดของราชิด ราชิดกับโกศินกำลังถกกันเครียด
“มันรู้แผนการของเราแล้วแน่ๆ”
“ไม่มีทาง”
“ทำไมอยู่ดีๆ มันถึงได้พูดเหมือนว่าจะสละตำแหน่งรัชทายาท เหมือนไม่อยากจะปกครองบ้านเมืองต่ออย่างงั้นแหละ”
“หรือว่าพระองค์ทรงใจแตก”
“อะไร ทรงใจแตก?”
“ก็ตามประสาวัยรุ่นทั่วไป พอได้มาเที่ยวเปิดหูเปิดตาเห็นแสงสีในเมืองเข้าหน่อย ก็ขี้เกียจ หลงแสงสีในเมืองใหญ่”
“เป็นไปได้”
“จะอะไรก็ช่าง แต่มันก็ดีกับเราไม่ใช่เหรอ” ทั้งสองคนมองหน้ากัน หัวเราะเบาๆ ชอบใจ ราชิดลุกขึ้นไป เตรียมตัวจะออกจากห้อง “ถ้ารู้ว่าใจแตกง่ายขนาดนี้ ไม่เห็นต้องมาเสี่ยงซื้ออาวุธให้สิ้นเปลืองเงินในคลังเลย”
ราชิดหยุดเดิน และหันกลับพูดกับโกศินด้วยหน้าตาจริงจัง
“อย่าลืมสิ เรายังมีกองทัพของเจ้าหลวงมาทยาธรที่ต้องจัดการ และอาวุธเหล่านี้จะเป็นเครื่องประดับบารมีของเราต่อไปในอนาคต”
นายพลราชิดหัวเราะในลำคอ ตาเป็นประกาย อย่างหมายมาดวาดหวัง
โปรดติดตามตอนที่ 9