โดมทอง ตอนที่ 8
เมื่อถูกทวงคำตอบ วิรงรองมองอดิศวร์แน่วนิ่ง ภาพการปะทะคารมกันระหว่างตัวเองและนายจ้างผุดขึ้นมา
“จะมัวมาร้องไห้เสียใจอยู่ทำไม? เขาแต่งงานได้ เราก็แต่งได้เหมือนกัน...แต่งงานเสียกับฉันไหมล่ะ วิรงรอง .... แล้วก็อยู่ด้วยกันเสียที่ “โดมทอง” ตลอดไป”
และอีกภาพ
“งั้นเรอะ! งั้นจะบอกให้ก็ได้ ฉันอยากแต่งงานกับเธอเพราะความดื้อดึง...จองหอง...อวดดีของเธอนั่นแหละ! …พอใจหรือยัง”
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป “ดิฉัน...” วิรงรองพูดต่อไม่ออก
“หรือยังคิดว่าฉันพูดเล่นอยู่อีก”
วิรงรองกลืนน้ำลาย ขยับออกเดินจะกลับเข้าบ้าน แต่อดิศวร์ขวางเอาไว้
“ไม่อย่างนั้นเธอก็ยังรักเขามากจนตัดใจไม่ได้”
“ดิฉันควรจะเข้าบ้านเสียที มาถึงตั้งนานแล้ว...ไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด”
“ใครที่ไหนจะมาเข้าใจผิด พิชญ์เขาก็กลับไปแล้ว”
วิรงรองมองสบตาอดิศวร์แน่วแน่ “ดิฉันหมายถึงคุณแสงแข”
“เหลวไหล ไม่ต้องเอาคนอื่นมาอ้าง ตอบมาคำเดียว ได้หรือไม่ได้เท่านั้น”
“คุณคิดว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ หรือคะ...ถ้าคุณคิดจะรับผิดชอบกับ...เอ้อ...เรื่องนั้น”
ภาพอดิศวร์กอดจูบตนผุดเข้ามาในห้วงความคิดวิรงรองแว่บหนึ่ง
“ก็ขอบอกว่า ไม่จำเป็น”
“ปากเก่งนักนะ”
“ดิฉันต้องขอตัวค่ะ”
วิรงรองขยับเดินแกมวิ่งออกไป อดิศวร์มองตามด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด
ขณะเดียวกันท่านผู้หญิงสรรักษ์ผลักถาดอาหารเย็นออกไป แล้วยกน้ำขึ้นดื่ม เป็นซุปกับขนมปังนิ่มๆ
อุษามองชามซุปอย่างพอใจ “ดีจังวันนี้ คุณย่าทานซุปหมดเลย”
“อุไร! ไปตามตาลบกับแสงแขมาพบฉัน”
“เจ้าค่ะ”
อุไรคลานออกไป
ท่านผู้หญิงพึมพำด้วยนัยน์ตาเป็นประกายหมายมาด “ทีนี้ละ...หลีกเลี่ยงไม่ได้แน่”
อุษามองท่านอย่างแปลกใจ
อดิศวร์เดินเข้ามาในบ้านช้าๆ สีหน้าแววตาเคร่งขรึมตามเคย อุไรเดินตรงมา
“ท่านผู้หญิงต้องการพบคุณลบค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วเดินเลยเข้าไป
อุไรเดินตาม แล้วแยกไปทางห้องนั่งเล่น
เวลานั้นโอบอ้อมกำลังบีบนวดเท้าให้แสงแขอย่างตั้งอกตั้งใจ
“พี่อ๊อดเขากลัวจริงๆ นะคะ...เห็นบอกว่า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจออะไรอย่างนี้”
“โกหกน่ะซิ”
อุไรเดินเข้ามา ทรุดตัวลงอย่างเรียบร้อย
“ท่านผู้หญิงต้องการพบคุณแสงแขค่ะ”
แสงแขบ่นบ้าอย่างหยุดหงิด “เรื่องอะไรอีกล่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
แสงแขฉุน “ฉันไม่ได้ถามแก”
แสงแขลุกเดินออกไป
โอบอ้อมลุกตามโดยหันมาลอยหน้าลอยตาใส่อุไร “เจ๋อ”
แสงแขเปิดประตูเข้ามา ติดตามด้วยโอบอ้อม ทุกคนในที่นั้นหันมามอง
“เข้ามาทำไม นังโอบ” ท่านผู้หญิงแหวใส่
โอบอ้อมเอ๋อ “ก็...”
“ไสหัวออกไป! ข้าไม่ได้เรียกเอ็ง”
“เจ้าค่ะ” โอบอ้อมหน้าซีด รีบเปิดประตูออกไป แล้วปิดประตูลง
เสียงหัวเราะของอุไรดังขึ้น โอบอ้อมตวาดฉุนจัด
“หัวเราะอะไร”
“ขำกลิ้งเลยว่ะ เมื่อกี้แกว่าฉันเจ๋อ...แต่ตอนนี้แก...ส...สระ...เอือก”
โอบอ้อมโมโหขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มองอุไรที่ขำกลิ้งจนตัวงอหัวสั่นหัวคลอนออกไป
ส่วนภายใน ห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์นัยน์ตาวาวด้วยความมาดหมายบางอย่างขณะเอ่ยขึ้น
“ย่าจะจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีกับลูกสาวแม่แก้ว”
สีหน้าแต่ละคนประหลาดใจสุดๆ
“ที่ผ่านมา...ดูเหมือนย่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่ใช้ไม่ได้...ไม่สนใจใยดีลูกหลานที่อุตส่าห์มาเยี่ยมเยียนเลยสักนิด ... ย่าเสียใจจริงๆ นะลบ”
“ไม่มีใครเขาว่าคุณย่าเลยครับ...ทุกคนทราบว่าคุณย่าไม่ชอบความวุ่นวาย อีกอย่างสุขภาพของคุณย่าก็ไม่ค่อยดี”อดิศวร์บอก
“ใครบอกล่ะ ย่ายังแข็งแรงอย่างที่ทุกคนคิดไม่ถึงเลยเชียวละ...ลบไปจัดการเชิญทุกคนกลับมา...อ้อ แล้วก็เชิญเพื่อนๆ ลบด้วย...มากันให้มากๆ ...“โดมทอง” ว่างเว้นจากการมีงานเลี้ยงใหญ่มานานแล้ว”
“คุณย่าครับ...ผมคิดว่า คงไม่จำเป็น”
“จำเป็นซิ จำเป็นมาก...ลบไปจัดการให้ย่าหน่อยนะ” ท่าทีท่านผู้หญิงกระตือรือร้นมากๆ
อดิศวร์ยังคงประหลาดใจ “ถ้าเป็นความประสงค์ของคุณย่าก็ได้ครับ”
อุษามองท่าทีของหญิงชราด้วยสีหน้าครุ่นคิด
อดิศวร์เดินออกมาด้วยสีหน้าแววตาที่ยังคงประหลาดใจไม่หายกับท่าทีที่เปลี่ยนไปราวกับคนละคน
ของท่านผู้หญิง
“แปลก...”
อดิศวร์หันไปมองห้องย่าอีกครั้ง แล้วเดินออกไป
สามคนอยู่ในห้องด้วยกัน ท่านผู้หญิงสรรักษ์เอ่ยขึ้น
“แกสองคนต้องช่วยกันจัดงานให้ยิ่งใหญ่ประทับใจที่สุด...ต้องมีเต้นรำทุกคนที่มาต้องแต่งตัวสวยงาม...โดยเฉพาะแก นังแสงแข”
แสงแขสะดุ้ง มองท่านผู้หญิงอย่างประหลาดใจ
“นังอุษา! แกต้องช่วยนังแสงแขแต่งตัวให้เต็มที่”
“แต่ว่า...อุษาไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”
ท่านผู้หญิงตวาด “นังหน้าโง่”
อุษาก้มหน้านิ่ง
“ไม่ถนัดก็ไปจ้างเขาซิ! ฉันจะออกค่าใช้จ่ายให้ เอาให้สวยที่สุดสวยกว่าใครๆ โดยเฉพาะนังพลับพลึง ตาลบจะได้ไม่มีสายตาสำหรับมองมันหรือใครเลย นอกจากนังแสงแข” หญิงชราเว้นไปนิด “ฉันจะประกาศหมั้นตาลบกับแกในวันนั้น”
แสงแขสะดุ้งเฮือก แต่ตื่นเต้นดีใจจนพูดไม่ออกในขณะที่อุษาอึ้งตกใจจนพูดไม่ออก
ท่านผู้หญิงผินหน้ามาทางอุษา “ส่วนแก...ไปบอกนังพลับพลึงว่า ฉันห้ามออกมาร่วมงานเด็ดขาด”
อุษาท้วง “แต่คุณวิรงรองอยู่ที่...โดมทอง”
“อยู่ก็อยู่ไป...แต่จะเสนอหน้าออกมาร่วมงานไม่ได้ เข้าใจไหม”
“เข้าใจค่ะ”
“พี่อุษาใจอ่อน ...ให้แขไปบอกเองดีกว่าค่ะ” แสงแขอาสา
“ตามใจแก”
แสงแขคลานเข้ามาก้มกราบที่เท้าท่านผู้หญิงอย่างประจบ ฝากเนื้อฝากตัว ท่านผู้หญิงดึงเท้าหนีเล็กน้อย สีหน้าท่านเย็นชา ไม่ได้รู้สึกรู้สม
“ไสหัวออกไปได้แล้ว ทั้งสองคนนั่นแหละ”
2 คนคลานออกไปท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามแสงแข
“ถ้านังพลับพลึงไม่แทรกเข้ามา อย่าหวังเลยว่าฉันจะยกตาลบให้แก”
ด้านวิรงรองกำลังยืนมองไปที่รูปบรรพบุรุษท่านต่างๆ ในห้องโถงใหญ่ทีละรูปอย่างพิจารณา แต่ละรูปราวกับจะมองมาอย่างเย็นชา
แสงแขเดินเข้ามา แล้ววางท่าราวกับเจ้าของบ้านพูดกับลูกจ้าง หลังจากจับตามองท่าทีวิรงรองอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่มีใครเขาต้อนรับแกหรอก”
วิรงรองสะดุ้ง หันมามอง
“ถ้าทุกท่านในรูปนั้นพูดได้ คงจะช่วยกันไล่แกออกไปนานแล้ว” แสงแขเยาะหยัน แล้วเว้นนิด “คนอะไร...หน้าด้าน! รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีใครเขาอยากให้อยู่ ก็ยังหน้าด้านอยู่”
วิรงรองขี้เกียจทะเลาะ ขยับเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน”
วิรงรองหยุด แล้วหันกลับมา
“คุณย่าจะจัดให้มีงานเลี้ยงใหญ่ใน...โดมทอง” แสงแขยิ้มเยาะขณะบอกต่อ “ซึ่งจะพูดให้ชัดๆ ว่า เป็นงานประกาศหมั้นของฉันกับคุณลบ”
วิรงรองชะงัก นัยน์ตาผิดปกติไปแว่บหนึ่ง
“ผิดหวังล่ะซี”
“ทำไมดิฉันถึงจะต้องผิดหวังล่ะคะ”
“เพราะแกแอบหวังลึกๆ ว่าแกจะได้เป็นคุณผู้หญิงของโดมทอง”
“ขอโทษค่ะ ดิฉันไม่เคยมีความคิดอย่างนั้นอยู่ในหัวเลย”
“ให้มันจริงเถอะ” แสงแขพูดเสียงสูง “อ้อ มีอีกอย่าง ในวันงาน คุณย่าสั่งห้ามไม่ให้แกเสนอหน้าออกมาเด็ดขาด”
“ค่ะ พวกคุณสบายใจกันได้เลย”
“ดี”
วิรงรองเดินออกไป
แสงพูดตามหลัง “แน่จริงก็อย่าเอาเรื่องพวกนี้ไปฟ้องคุณลบล่ะ”
วิรงรองหยุดกึก หันขวับมา นัยน์ตาเป็นประกายวาว
“ดิฉันไม่ชอบเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องของชาวบ้านหรอกค่ะ! คุณแสงแขสบายใจได้”
วิรงรองเดินไป โดยมีแสงแขมองตามเยาะๆ
ครู่ต่อมาวิรงรองเปิดประตูเข้ามา แล้วเอนหลังพิงประตู...น้ำตาค่อยๆ รื้นขึ้นมา เสียงแสงแขดังก้องในหู
“คุณย่าจะจัดให้มีงานเลี้ยงใหญ่ใน...โดมทอง ซึ่งจะพูดให้ชัดๆ ก็ได้ว่า เป็นงานประกาศหมั้นของฉันกับคุณลบ”
วิรงรองเม้มปาก แล้วยกแขนปาดน้ำตาที่เริ่มไหลออกมา
“คนหลอกลวง...จะหมั้นกับคุณแสงแขอยู่แล้วยังจะมาขอฉันแต่งงานอีก”
วิรงรองเดินมาหยิบกระเป๋าเดินทางออกจากตู้ วางบนเตียง แล้วหยิบเสื้อผ้าจะพับเก็บใส่ แต่แล้วชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“ถ้าฉันกลับบ้าน...ทุกคนก็จะต้องหัวเราะเยาะ...โดยเฉพาะผู้ชายใจร้ายคนนั้น”
วิรงรองจัดการเก็บเสื้อผ้า และกระเป๋าเข้าตู้ตามเดิม
“ฉันต้องแสดงให้ทุกคนเห็นว่าฉันไม่แคร์”
ฟากอดิศวร์กำลังนั่งใช้ความคิดอยู่ในห้องทำงาน
“คุณย่านึกยังไงขึ้นมา”
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อดิศวร์เอื้อมมือมารับ ชะงักไปนิดเมื่อเห็นเบอร์
“สวัสดีครับ...อะไรนะครับ...ได้ครับ...ผมจะไปเดี๋ยวนี้...คุณน้าอยู่โรงแรมอะไรครับ...ครับ...อีกประมาณ 45 นาที ผมคงจะไปถึงที่นั่น”
อดิศวร์เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า หยิบกุญแจรถแล้วเดินออกไป
ไม่นานต่อมาอดิศวร์เดินเข้ามาภายในล็อบบี้โรงแรมที่นัด กวาดสายตามองหาแล้วมาหยุดที่ปราง อดิศวร์ไหว้
ปรางซึ่งหันมาเห็นกันพอดี ปรางยกมือรับไหว้ ขณะอดิศวร์เดินเข้ามาหา
“คุณน้าน่าจะโทร.มาบอกล่วงหน้า ผมจะได้ไปรับที่สนามบิน”
“ไม่เป็นไรค่ะ...น้าไม่อยากรบกวน” ปรางเว้นนิดหนึ่ง “น้ามารับยัยหนูกลับ”
อดิศวร์ชะงัก “เอ๊ะ...ก็วันนั้น ผมเรียนคุณน้าไปแล้ว”
“น้าเองก็คุยกับยัยหนูแล้วเหมือนกัน...แกยืนยันว่า แกมีเหตุผลที่จะอยู่โดมทองต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง”
อดิศวร์นิ่งฟัง
“แต่น้านอนไม่หลับ เป็นห่วงแล้วก็สงสารลูก...ที่มานี่ก็เพราะจะให้คุณพาไปที่โดมทอง... ถ้าน้าไปรับถึงที่นั่น...แกก็คงยอมกลับ”
อดิศวร์ขยับตัวเล็กน้อย เหมือนพยายามหาคำพูดมาโน้มน้าวเปลี่ยนใจปราง “ผมคิดว่า คุณน้าน่าจะตามใจ ปล่อยให้วิรงรองอยู่ต่อไปอีกสักพัก”
“ทั้งๆ ที่แกโดนดูถูกถึงขนาดนั้นน่ะหรือคะ! บอกตามตรงว่า น้าไม่อยากจะเชื่อว่าคำพูดหยาบคายฟังแทบไม่ได้ เหล่านั้นจะออกมาจากปากคนที่มองภายนอก ดูเป็นผู้ดีมีตระกูลอย่างผู้หญิงสองคนนั่น”
อดิศวร์อึ้งอีก “ผมต้องขอประทานโทษแทนพี่สาวผมอีกครั้ง แล้วก็รับปากว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นอีก”
“แต่น้าตัดสินใจแล้ว...ในเมื่อคนเราเกลียดชังกันถึงขนาดนั้น ก็ไม่ควรจะได้พบได้เห็นกันอีกเลย น้าคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่หลังจากคุยโทรศัพท์กับคุณ แล้วก็ยัยหนู...สองจิตสองใจมาตลอดจนตัดสินใจได้ในที่สุด”
อดิศวร์ตัดสินใจ แล้วมองปรางแน่วแน่ “ผมมีเหตุผลของผมที่จะให้วิรงรองอยู่โดมทองต่อไป”
ปรางมองนายจ้างลูกสาวอย่างเพ่งพิศ นัยน์ตาอดิศวร์มีแววขัดเขินขึ้นแว่บหนึ่ง แล้วจึงกลับเป็นปกติ
ปรางพึมพำด้วยเข้าใจท่าทีของชายหนุ่ม
“คุณลบ”
“ขอให้คุณน้าเชื่อผมสักครั้ง...ผมรับปากว่าจะไม่ให้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นกับวิรงรองอีก”
ปรางถอนใจ “น้ากลัวว่าจะเกิดความวุ่นวาย”
“ผมจะรับผิดชอบเองครับ”
ปรางได้แต่นั่งนิ่ง อดิศวร์เอ่ยขึ้น
“ผมจะพาคุณน้าไปพบวิรงรอง”
“ก็ดีเหมือนกัน”
“เชิญครับ” อดิศวร์ลุกขึ้น
ปรางลุกเดินออกไป โดยมีอดิศวร์เดินตามด้วยท่าทีสุภาพ
ตัวบ้านโดมทองยามนี้ตั้งตระหง่านโดดเด่นเป็นสง่า ส่วนภายในบ้าน วิรงรองอยู่ในห้องนั่งจามเหมือนจะเริ่มเป็นหวัด เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ”
“ฉันเอง...มีแขกมาหาเธอ” เสียงอดิศวร์ดังเข้ามา
วิรงรองพึมพำ “จ้างก็ไม่เชื่อ”
ตามด้วยเสียงปราง “ยัยหนู”
วิรงรองเบิกตากว้าง “คุณ”
ขาดคำวิรงรองถลาไปที่ประตู แล้วเปิดออก โผเข้ากอดผู้เป็นมารดาแน่น น้ำตาไหลพรากๆ ด้วยความรู้สึกต่างๆ
ประดังประเดเข้ามา
“คุณจริงๆ ด้วย”
ปรางกอดลูกสาวด้วยความรักและตื้นตันใจ “คุณคิดถึงหนูมาก...คุณอดิศวร์เลยจัดการให้ทุกอย่าง”
วิรงรองมองมายังอดิศวร์ “ขอบคุณค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้าแล้วเดินไป วิรงวรองปล่อยแม่แล้วจูงมือ “เข้าไปคุยกันข้างในดีกว่าค่ะ”
วิรงรองหันมาปิดประตู
ฝ่ายแสงแขนั่งฝันหวานอยู่อย่างชื่นอกชื่นใจอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
“คุณลบกับแขคงเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ เอ้อ...”
โอบอ้อมเดินหน้าตาตื่นเต้นแต่ไม่ดีใจเข้ามา
“คุณแขขา...คุณแขทราบมั้ยคะว่า คุณลบพาใครมา”
“จะบอกก็บอกมาเลย ไม่ต้องมาถาม” แสงแขหงุดหงิด
“แม่นังคุณวิรงรองค่ะ”
แสงแขผุดลุกขึ้นทันที “แม่นังวิรงรอง”
ขณะนั้นปรางเบือนหน้ากลับจากมองออกไปชมทิวทัศน์ทางหน้าต่าง
“ที่นี่ทั้งสวยทั้งอากาศดีอย่างที่คุณป้าสุรภีบอกไม่มีผิด”
วิรงรองพูดทีเล่นทีจริง “ทุกอย่างดีหมดยกเว้นคน...ฮาดชิ้ว”
ปรางเดินมานั่งตรงข้ามวิรงรอง แล้วมองลูกแน่วแน่ “หนูผอมลงไปนะ”
“หรือคะ”
“นั่นจะเป็นหวัดหรือเปล่า”
“คงแค่แพ้อากาศธรรมดาค่ะ...เมื่อคืนอากาศเย็นมาก”
วิรงรองเดินไปที่โต๊ะเครื่องแป้ง...เปิดลิ้นชัก...หยิบยาแก้แพ้ และวิตามินซีออกมาใส่ปาก แล้วรินน้ำที่วาง
อยู่ใกล้ๆ ดื่มตาม
จากนั้นเดินกลับมาทรุดตัวลงนั่งกับพื้น กอดเอวแม่แล้วซบลงกับตัก
“ดีจังเลยที่ได้กอดคุณอย่างนี้ ...หนูคิดถึงคุณมากที่สุดเลย”
ปรางลูบผมลูกสาวอย่างอ่อนโยน “คิดถึงแล้วทำไมไม่กลับบ้านเราล่ะลูก”
วิรงรองนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเงยหน้าขึ้น “หนูไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ...เพิ่งมาทำงานได้ไม่เท่าไหร่ก็จะออกแล้ว”
“ใครจะมาว่า...มันเป็นสิทธิ์ของเรา”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ใครคะ”
“พี่อุษาค่ะ”
วิรงรองลุกขึ้นแล้วเดินไปเปิดประตู ปรางลุกขึ้นยืนมอง
วิรงรองหันมาแนะนำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณคะ นี่พี่อุษาค่ะ พี่อุษาเป็นญาติคุณอดิศวร์”
อุษาไหว้ปรางอย่างเรียบร้อย ปรางรับไหว้ยิ้มแย้ม
“คุณลบให้จัดห้อง”
“อุ๊ย! ไม่ต้องจัดหรอกค่ะ ...น้าจะนอนกับยัยหนูห้องนี้แหละ”
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวหนูจะให้เขาเอาผ้าห่มกับหมอนข้างมาเพิ่มให้...อ้อ...คุณลบให้ขึ้นมาบอกว่า เย็นนี้ให้คุณแม่กับน้องวิทานข้าวกันข้างบนนี้แหล่ะค่ะ...ไม่ต้องลงไปข้างล่าง จะได้คุยกันให้หายคิดถึง” พลางผินหน้ามาทางวิรงรอง “พี่จะให้อุไรยกอาหารขึ้นมาให้นะคะ”
“อย่าเลยค่ะ... ลำบากเปล่าๆ”
“เป็นคำสั่งของคุณลบค่ะ”
อุษายิ้มอ่อนหวาน แล้วเดินไป
“เลยวุ่นวายไปกันใหญ่”
“งั้นเราก็รีบลงไปก่อนก็แล้วกัน...ป้าอุไรจะได้ไม่ต้องยกขึ้นมา”
วิรงรองเดินเข้ามานั่งกอดแม่เงียบๆ ด้วยความรักและคิดถึง
แสงแขนำเรื่องมาฟ้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ทันที
ท่านผู้หญิงนัยน์ตาเป็นประกายกร้าว “นี่พวกมันเห็นบ้านฉันเป็นอะไรไปแล้ว นึกจะยกโขยงกันมาอยู่ มาเที่ยวเมื่อไหร่ก็มาตามอำเภอใจ”
“แขเองก็อึดอัดค่ะ...แต่ก็ไม่ทราบจะทำยังไง”
“ไปบอกตาลบว่า ฉันให้ไล่มันออกไป”
“แขไม่กล้าหรอกค่ะ...กลัวคุณลบจะเกลียดขี้หน้าแข”
“ดัดจริต ยังกับเขาชอบขี้หน้าแกนักนี่ ไป! ไปตามตาลบมา”
“ค่ะ” แสงแขข่มความไม่พอใจแล้วออกไป
ท่านผู้หญิงมีสีหน้าหงุดหงิดบึ้งตึง
วิรงรองลุกขึ้นยืน
“คุณเหนื่อยมั้ยคะ...หนูจะพาไปเดินเล่น”
“ไม่เหนื่อยจ้ะ... แต่เกรงใจเจ้าของบ้าน...กลัวไปเกะกะ”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอกค่ะ” วิรงรองพูดพลางดึงแม่ให้ลุกขึ้น
“ตายจริง ยัยหนู...พูดออกมาได้ยังไง”
“ก็บ้านเขาออกใหญ่โตกว้างขวาง...เดินหากันแทบไม่เจอ...คุณไม่ต้องกลัวไปเกะกะใครหรอกค่ะ”
“นี่พูดประชดใครเขาหรือเปล่า”
“เปล่านี่คะ! ไปกันเถอะค่ะ”
วิรงรองจูงแม่เดินออกห้องไป
ขณะเดียวกันอดิศวร์ทรุดตัวลงนั่ง แล้วจับมือย่าอย่างอ่อนโยน
“คุณย่ามีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”
“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดี...ทำไมมีคนมาพัก แล้วไม่บอกย่า”
อดิศวร์ยิ้มนิดๆ “เพราะผมทราบว่า เดี๋ยวก็ต้องมีใครมารายงานซีครับ”
“นี่คงคิดจะยกโขยงมาอยู่ที่นี่กันละซี ลบอย่ายอมให้มันจับนะ”
ท่าทางอดิศวร์ขรึมลง “ไม่มีใครเขามาจับผมหรอกครับ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองอดิศวร์แล้วบีบน้ำตา
“ลบโกรธย่า”
นัยน์ตาอดิศวร์มีแววอ่อนใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง “คุณย่าก็ทราบว่า ผมจะไม่มีวันโกรธคุณย่าเลย”
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “ไม่ว่าย่าจะเคยทำอะไรมา...”
อดิศวร์ถามไม่ได้จริงจังนัก “คุณย่าเคยทำอะไรมาล่ะครับ”
หญิงชราตัดบท “ย่าเหนื่อยแล้ว”
“ผมจะไปตามอุษาให้มาอยู่เป็นเพื่อนนะครับ”
ท่านผู้หญิงจับมือหลานไว้ “ลบ...ไล่พวกมันไปเถอะ”
อดิศวร์ก้มลงหอมแก้มย่า แล้วออกไปโดยไม่ตอบ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์มองตามด้วยดวงตาเป็นประกายกร้าว
แสงแขยืนกอดอกอยู่ที่หน้าต่างห้องนั่งเล่น สายตามองไปเบื้องหน้าอย่างเกลียดชัง เห็นวิรงรองกำลังพาปรางเดินชมทิวทัศน์โดมทองอยู่อย่างช้าๆ
“ทำยังกับเป็นบ้านของตัวเองแน่ะ”
อดิศวร์เดินเข้ามา ในขณะที่แสงแขสะบัดหน้าหันมาพอดี แสงแขสะดุ้งแล้วรีบเปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มแย้ม
“อุ๊ย คุณลบ... เอ้อ... แขกำลังมองวิรงรองกับคุณแม่น่ะค่ะ...แม่ลูกคู่นี้น่ารักจัง”
อดิศวร์เดินไปใกล้หน้าต่างอีกเล็กน้อยแล้วมองออกไป แสงแขมองตามด้วยความริษยา แต่ปากทำเป็นพูดดีอีก
“คุณลบชวนแม่วิรงรองอยู่นานๆ ซิคะ จะได้เป็นเพื่อนลูกสาว...แขแอบเห็นเขาเหงาๆ”
อดิศวร์ไม่ตอบ ยังคงมองภาพนั้นด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด แสงแขเม้มปากแล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
บรรยากาศโพล้เพล้ยามค่ำบริเวณเทือกเขา แสนสวย เกลียวคลื่นเล็กๆ วิ่งเข้ากระทบฝั่ง ทะเลค่อนข้างราบเรียบบริเวณชายหาดดูเวิ้งว้าง
ภายในห้องอาหารโดมทอง ทุกคนทานข้าวกัน โดยมีแสงแขเสแสร้งเอาใจ ชวนปรางทานโน่นชิมนี่ ต่อหน้าอดิศวร์
พร้อมกับชวนคุยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มตามมารยาทเจ้าของบ้านที่ดี
“กรุงเทพฯ ตอนนี้เป็นยังไงบ้างคะ แขไม่ได้ไปนานแล้ว”
วิรงรองและอุษาชำเลืองมองแสงแขพร้อมกันแว่บหนึ่ง
“ก็รถติดเหมือนเดิม ห้างสรรพสินค้าเยอะแยะ แต่แม่น้ำลำคลองก็สกปรกเหมือนเดิมอีกเหมือนกัน”
“ถ้าแขไปเที่ยวเมื่อไหร่ ขออนุญาตไปค้างบ้านคุณน้าได้ไหมคะ”
“ด้วยความยินดีเลยจ้ะ”
แสงแขไหว้ชดช้อย “งั้นแขต้องขอบคุณล่วงหน้าเลยค่ะ คุณน้าทานกุ้งผัดซอสมะขามอีกนะคะ” พลางตักให้
“พอแล้วจ้ะ....ขอบใจมาก”
“คุณลบล่ะคะ....แขตักให้”
“ไม่ต้อง” อดิศวร์บอก
แสงแขวางช้อนกลางลง แล้วปั้นหน้ายิ้มแย้มเอาใจคนโน้นทีคนนี้ที
หลังมื้อค่ำ วิรงรองเปิดประตูให้แม่เดินนำเข้ามา แล้วปิดลงเบาๆ
“กลายเป็นแสงแขโชว์ไปเลย”
“ฮื้อ! เราละก็....ไปค่อนขอดเขา” เว้นไปนิดเอะใจ “หรือว่า... เขาไม่ดีกับหนู”
วิรงรองรีบปฏิเสธไม่อยากให้แม่ไม่สบายใจ “เปล่าค่ะ”
“ยัยหนู .... คุณดูออกนะลูก”
“เราไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่หรอกค่ะ...ไม่เหมือนหนูกับพี่อุษา...คุณจะค้างสักกี่วันคะ”
“พรุ่งนี้ก็กลับแล้ว”
“อ้าว”
“อยู่นานๆ ก็เกรงใจเจ้าของบ้าน อีกอย่าง...คุณเป็นห่วงบ้าน ทิ้งแจ๋วไว้คนเดียว”
“งั้นหนูจะโทร.ให้ลานนามารับไปสนามบิน”
“ไม่ต้องหรอกลูก...คุณอดิศวร์จะไปส่งเอง”
“เอ๊ะ...เขารู้ได้ยังไงคะเนี้ย”
“อ๋อ...เขาถามแม่ตั้งแต่ไปรับจากโรงแรมแล้ว”
วิรงรองนิ่วหน้า “วุ่นวายไม่เข้าเรื่อง”
“วิรงรอง” ปรางลงเสียงหนักเป็นเชิงเตือน “คุณแสงแขเขาจริงใจหรือไม่คุณไม่รู้...แต่สำหรับคุณอดิศวร์...คุณเชื่อว่าเขาจริงใจ....และในเมื่อเขาดีกับเรา...เราก็ควรจะดีกับเขาเป็นการตอบแทน”
วิรงรองย่นจมูกเหมือนไม่สบอารมณ์ขณะลุกขึ้น
“ไปอาบน้ำดีกว่า”
วิรงรองเดินไปเข้าห้องน้ำ ขณะที่ปรางมองตามพลางส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ
ขณะนั้นอุษากำลังเดินตรงมาที่หน้าห้องท่านผู้หญิง โดยแสงแขเดินตามมาด้วยท่าทีสบายๆ
“พี่อุษา” !
อุษาหันไปมอง
แสงแขยิ้มขันๆ “เป็นไง...แขต้อนรับแม่นังวิรงรองดีไหม”
อุษาหันมามองอย่างตำหนิ “เธอควรละอายใจที่คิดว่า คนอื่นเขาจะรู้ไม่เท่าทัน”
“ไม่เห็นจะแคร์...แขต้องการเป็นคนดีต่อหน้าคุณลบก็พอแล้ว”
“คุณลบก็ทราบว่า เธอไม่ชอบวิรงรอง”
แสงแขยักไหล่ “คนเรากลับตัวได้”
“แต่ไม่ใช่เธอ”
“เอ๊ะ! ทำไมพี่อุษาชอบถ้าเข้าข้างนังวิรงรองนัก! มันเป็นโคตรเหง้าสักหลาดมาตั้งแต่ครั้งไหนกัน”
“ไม่จำเป็นต้องเป็นโคตรเหง้าสักหลาดหรอก...แค่เขาเป็นคนดีพี่ก็ชอบเขาแล้ว”
อุษาเปิดประตูเข้าห้องท่านผู้หญิงไป โดยมีแสงมองตาแทบถลนด้วยความโกรธ
กลางดึกทั่วทั้งโรงเก็บรถม้าท่ามกลางกลุ่มหมอกควันจางๆ บริเวณนั้นดูวังเวงอย่างประหลาด...เสียงหมาหอนดังแว่วมาไกลๆ
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เดินตรงมาที่โรงรถช้าๆ ราวกับถูกสะกด ประตูโรงรถเปิดออก ความเก่าทำให้มีเสียงออดแอด
หญิงชราเดินเข้าไปเหมือนถูกสะกดเช่นเดิม ภายในมีหมอกจางๆ เช่นกัน ประตูเหมือนถูกกระชากเปิดเองดังปังทำให้ท่านผู้หญิงสะดุ้ง สติสัมปชัญญะคืนกลับมา
ท่านผู้หญิงสรรักษ์เหลียวมองโดยรอบอย่างตระหนก แล้วเดินไปกระชากประตูให้เปิด ทว่าประตูไม่ขยับเขยื้อน ท่านผู้หญิงตะโกนลั่น
“ใครอยู่ข้างนอก เปิดประตูเดี๋ยวนี้”
ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“บอกให้เปิดประตู”
ขณะที่ท่านผู้หญิงกำลังเขย่าประตูอยู่นั่นเอง มีเสียงเหมือนคนถอนใจดังขึ้น หญิงชราเหลียวขวับไปมอง เห็นเงาดำๆของใครคนหนึ่งยืนอยู่บริเวณหลังเสา ทำให้เห็นหน้าไม่ชัด
ท่านผู้หญิงตวาด “นั่นใคร”
ใครคนนั้นก้าวออกมาช้าๆ ท่านผู้หญิงสรรักษ์เบิกตากว้าง
เป็นท่านเจ้าคุณ เจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์เดินตรงมาหาช้าๆ
“คะ...คะ...คุณ...คุณพี่”
ท่านเจ้าคุณมาหยุดตรงหน้า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ท่านผู้หญิงระงับอารมณ์ “ฉันไม่กลัวแก! ไอ้คนทรยศ! ฉันไม่กลัวแก”
ท่านเจ้าคุณแสยะปาก จากใบหน้าคนกลับกลายเป็นหัวกระโหลก ท่านผู้หญิงร้องกรี๊ด
ดึกสงัดท่านผู้หญิงสรรักษ์ร้องกรี๊ดต่อเนื่อง แล้วตื่นจากฝันร้าย ผุดลุกขึ้นเหงื่อแตกพลั่ก ในขณะที่อุไรรีบตรงเข้ามาหาเปิดโคมไฟข้างเตียง
“ท่านผู้หญิงเป็นอะไรเจ้าค่ะ”
“เจ้าคุณ .... เจ้าคุณมา” นัยน์ตาหญิงชรายังเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อุไรสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองด้วยความกลัว “นะ....นะ...ไหน...ไหนเจ้าคะ”
“นังพิศ” ท่านผู้หญิงพูดเหมือนเรียกหาคน
อุไรปากคอสั่น “พะ ....พิศ....พิศอะไรเจ้าคะ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนคนเดินมาหยุดหน้าประตู
“นังพิศมาแล้ว”
อุไรสะดุ้งเลิ่กลั่กจะร้องไห้เสียให้ได้
“ออกไป! นังอุไร! พิศมันมาอยู่เป็นเพื่อนฉันแล้ว”
“ทะ...ทะ ....ท่านเจ้าขา”
“ออกไป”
“เจ้าค่ะ”
อุไรลุกขึ้นมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก เปิดประตูออกไป
พออุไรก้าวออกมาหน้าห้อง แล้วต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นวิญญาณพิศยืนอยู่ อุไรหมดสติล้มลง
ส่วนด้านในห้องท่านผู้หญิงขยับตัวเอง มองไปที่ประตู วิญญาณพิศเดินเข้ามาช้าๆ ราวกับลอยได้
ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง บอกเสียงแหบแห้ง
“ท่านเจ้าขา...า...า...”
“พิศ! ทำไมเอ็งไม่ช่วยข้า เอ็งปล่อยให้คนทรยศ 2 คนนั่นมันตามหลอกหลอนข้า”
“จนปัญญาบ่าวแล้วเจ้าค่ะ”
ท่านผู้หญิงลุกขึ้น แล้วชี้หน้าด่าพิศ มือไม้สั่นด้วยความโกรธ
“ทำอะไรไม่ได้ก็ออกไปเดี๋ยวนี้! ออกไป๊!”
น้ำเสียงท่านผู้หญิงสรรักษ์กราดเกรี้ยว ใบหน้าถมึงทึงบิดเบี้ยวดูเหมือนหญิงแก่เสียสติ และน่ากลัวมากๆ
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 8 (ต่อ)
บรรยากาศเช้าวันนี้ ทั่วทั้งอาณาเขตโดมทองสวยงามร่มรื่น ส่วนภายในห้องครัว อุษากำลังเตรียมทำซุปมะเขือเทศให้ท่าน ผู้หญิง อุไรเดินหน้าตาร่วงโรยเข้ามาช่วยเป็นลูกมือ
อุษาหันมามองแว่บหนึ่ง “ไม่สบายหรือเปล่า...หน้าตาซีดเซียว”
“อุไรถูกผีหลอกค่ะ”
อุษาชะงัก “อะไรนะ”
“อุไรถูกผีหลอกค่ะ...ผีผู้หญิงโบราณ”
“เอาอีกคนนึงแล้ว”
“โธ่! อุไรไม่ได้ตาฝาด...ไม่ได้ฝันด้วยนะคะ เห็นเต็มสองตาเลย เขามาหาท่านผู้หญิง”
อุษาหันขวับมามอง แต่ยังไม่ทันพูดอะไร แสงแขเดินเข้ามาพร้อมกับพูดแดกดัน
“เช้านี้ทำอะไรเลี้ยงแขกล่ะ พี่อุษา”
“ไม่ต้องทำ...คุณแม่วิรงรองกลับไปแล้ว คุณลบไปส่ง”
“เฮอะ! นังลูกสาวคงถือโอกาสติดสอยห้อยตามไปด้วยละซี”
“แน่ละ! ก็คุณแม่เขานี่...ถึงคุณลบไม่ไป เขาก็มีคนอาสาไปส่งอยู่แล้ว...เห็นว่า คุณลบจะพาไปทานอาหารเช้าก่อนขึ้นเครื่องด้วย”
แสงแขตบโต๊ะใกล้ๆ “จะพูดให้มันเป็นอะไรขึ้นมาฮึ พี่อุษา”
อุไรหาจังหวะสอดอยู่นาน “สงสัยจะให้เป็นเรื่องน่ะค่ะ”
อุษาและแสงแขหันมามองพร้อมกัน
อุไรยิ้มแห้งๆ “อุไรไปดูท่านผู้หญิงก่อนนะคะ”
“ไม่ต้อง ฉันไปเอง เหม็นขี้หน้าคน”
แสงแขเดินออกไป อุษาทำซุปต่อ
อุไรกระซิบกระซาบ “คุณอุษาลองถามท่านผู้หญิงดูซีคะ”
“ฉันไปดูคุณย่าตั้งแต่เช้าแล้ว...ไม่เห็นท่านพูดอะไร”
อุไรบ่นบ้าเบาๆ “งั้นก็จบ”
ขณะเดียวกันโอบอ้อมเปิดม่านหน้าต่าง เพื่อให้แสงสว่างเข้ามา
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ตวาดเสียงดัง “ปิดเดี๋ยวนี้ นังโอบ”
“เจ้าค่ะ” โอบอ้อมลนลานรีบปิด
“ทำสอดรู้ดีนัก! ข้าเคยให้เปิดม่านเรอะ! นังโอบ”
“โอบเห็นว่าอากาศดีน่ะเจ้าค่ะ”
“ดีก็ไม่ต้องเปิด!...ร้อยวันพันปี ข้าก็ไม่เคยสั่งให้เปิด”
ขณะที่โอบอ้อมหน้าจ๋อยแล้วจ๋อยอีก แสงแขเปิดประตูเข้ามา
“มันกลับไปแล้วค่ะ คุณย่าขา”
“ใคร! นังพลับพลึงน่ะเรอะ”
“แม่มันค่ะ”
ท่านผู้หญิงด่าท่าทางหงุดหงิด “ก็ช่างแม่มันซิ ยังไงมันก็ต้องกลับอยู่แล้ว ไอ้คนที่ฉันอยากให้กลับน่ะมันนังพลับพลึง นังหน้าโง่”
แสงแขก้มหน้าลง กัดปากแน่นด้วยทั้งโกรธและอายที่ถูกด่าต่อหน้าโอบอ้อม
“แล้วเสื้อผ้าล่ะ ตัดหรือยัง”
แสงแขบอกเสียงเบา “ยังค่ะ…แขยังไม่ทราบว่าจะมีงานวันไหน ก็เลย ...”
ท่านผู้หญิงขยับตัวพลางบอก “ไปตามตาลบมา”
“คุณลบไม่อยู่ค่ะ...พาแม่ลูกสองคนนั่นไปกินข้าว แล้วก็เลยไปส่งที่สนามบิน”
ท่านผู้หญิงตาลุกวาว “เฮอะ ! ถ่อมาเองแล้วทำไมไม่กลับเอง ตาลบก็ตาลบเถอะ เจ้าหน้าเจ้าตา เจ้ากี้เจ้าการดีนัก ไป! ออกไปให้หมด! ตาลบกลับมาเมื่อไหร่ให้มาหาฉัน”
“ค่ะ” / “เจ้าค่ะ”
สองคนออกไป ท่านผู้หญิงสรรักษ์ยังคงฮึดฮัดอย่างหงุดหงิดอยู่อย่างนั้น
แลเห็นบรรยากาศสดใสรื่นรมย์สองข้างทาง ขณะที่อดิศวร์ขับรถมาเรื่อยๆ ชำเลืองมองหน้าวิรงรองซึ่งจามขึ้นมา
“เป็นหวัดละซี”
“แค่แพ้อากาศค่ะ...ทานยาแก้แพ้เดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว”
อดิศวร์นิ่งไปครู่หนึ่ง “เธอตอบคำถามฉันมาตรงๆ ได้ไหม”
“ฉันก็ไม่เคยโกหกอะไรคุณนี่คะ” วิรงรองสวนทันที
อดิศวร์กระแทกเสียงนิดหนึ่ง “ดี! คืนนั้นเธอออกไปที่ชายหาดทำไม”
วิรงรองย้อนเอา “คุณอดิศวร์คิดว่า คนสติดีๆ ที่ไหนเขาจะออกไปในขณะที่ลมเพลมพัดแล้วก็ดึกขนาดนั้น ถ้าหากไม่มีสาเหตุอะไรหรือคะ”
อดิศวร์เริ่มหงุดหงิด “เพราะอย่างนั้น ฉันจึงถามสาเหตุอยู่นี่ไง”
“ฉันก็ “กราบเรียน” ไปแล้ว” วิรงรองประชดด้วยการเน้นเสียงตรงคำพูดที่ว่า “กราบเรียน”
“แต่เธอก็รอดมาได้”
วิรงรองเม้มปาก อดิศวร์ขับรถเข้าจอดข้างทาง วิรงรองเปิดล็อคประตู จะออกไป อดิศวร์กดปิดอีกที...ทันที แล้วคว้าแขนไว้
“ฉันคิดว่ายังไงรู้มั้ย!...ฉันคิดว่า เธอสร้างเรื่องทั้งหมดนี่ขึ้นมา เพื่อเรียกร้องความสนใจ”
“จากใครมิทราบ”
“จากฉันไง”
“อย่าว่าแต่จะเรียกร้องความสนใจเลย...คุณเป็นคนสุดท้ายในโลกที่ฉันจะนึกถึงด้วยซ้ำ...นี่พูดอย่างรักษาน้ำใจนะ เพราะความจริงแล้วฉันอยากจะบอกว่า คุณไม่เคยเข้ามาอยู่ในหัวฉันด้วยซ้ำ”
อดิศวร์กระชากร่างวิรงรองเข้ามาจูบ สาวเจ้าพยายามดิ้นรนขัดขืนสุดฤทธิ์ อดิศวร์พยายามคลายแขนออก วิรงรองตบหน้าอย่างแรง แล้วเปิดประตูเดินแกมวิ่งน้ำตาไหลพรากลงไป
อดิศวร์อึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วเปิดประตูลงเดินตามไป
บริเวณมุมสวยๆข้างทาง อดิศวร์ตามมาทันวิรงรองตรงจุดนั้น แล้วคว้าแขนไว้
“วิรงรอง”
วิรงรองร้องไห้ “ปล่อย”
“เอาละ...ฉันขอโทษ”
วิรงรองบอกอย่างเจ็บแค้น “คุณมันหยาบคาย! เห็นแก่ตัว! ดูถูกผู้หญิง!”
“ฉันยอมรับทุกอย่าง”
“มันไม่ง่ายไปหน่อยเรอะ”
“แล้วทำไมไม่แต่งงานกับฉันเสียล่ะ”
“ฉันจะไม่ยอมสิ้นคิด ทำอย่างนั้นแน่”
“งั้นก็กลับไปขึ้นรถ”
“ไม่!”
อดิศวร์เสียงเข้มขึ้น “ไป!”
“ไม่!”
จังหวะนี้มีรถขับผ่านไปมา ค่อยๆ ชะลอมองสองคนอย่างสนใจ
“ไป”
“ไม่”
“ถ้าไม่อยากอายมากกว่านี้ก็เอา”
อดิศวร์พูดพลางหันไปมองถนน วิรงรองมองตาม เห็นรถคันที่ชะลอมอง บางคันเป็นปิ๊คอัพ มีวัยรุ่นนั่งเฮฮาอยู่ข้างหลัง พากันเป่าปากวี๊ดวิ้วตะโกนล้อเลียน วิรงรองกัดปาก แล้วสะบัดหน้าเดินจ้ำพรวดๆ นำหน้าไปที่รถ อดิศวร์เดินตามมาช้าๆ
วิรงรองเปิดประตูเข้ามานั่งในรถ ด้วยอาการกระแทกกระทั้น อดิศวร์ยังคงเดินมาอย่างใจเย็น แล้วเปิดประตูเข้ามานั่ง มองวิรงรองแว่บหนึ่ง ขณะที่อีกฝ่ายเมินหน้าออกไปมองข้างทาง
อดิศวร์ขยับปากเหมือนจะยิ้มนิดๆ แล้วขับรถออกไป
โดมทอง โดดเด่นเป็นสง่าในยามสาย แต่ก็ยังแฝงความลึกลับและความเศร้าหม่น
อดิศวร์เดินเข้ามาภายในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ ขณะที่อุษาออกไปอย่างรู้กาละเทศะ
“ขอโทษครับที่มาช้า”
ท่านผู้หญิงแดกดันทันที “ก็มัวแต่ไปส่งญาติโกโหติกานังพลับพลึงมานี่”
อดิศวร์เปลี่ยนเรื่องทันที “คุณย่ามีธุระอะไรหรือครับ”
“ฉันอยากจะรู้ว่า กำหนดวันงานแล้วหรือยัง” หญิงชราพูดในท่าทีหมางเมิน
“ยังครับ”
“ทำไมถึงยัง”
“เพราะ...เอ้อ...พวกเขาเพิ่งจะกลับไป”
“กลับไปแล้วก็มาใหม่ได้”
“คุณย่า...”
“ไปจัดการตามที่ย่าสั่งเดี๋ยวนี้”
อดิศวร์มีท่าทีอึดอัดเล็กๆ “ถ้าเขาไม่ว่างล่ะครับ”
หน้าตาท่าทางท่านผู้หญิงเปลี่ยนเป็นวางอำนาจขึ้นมาทันที
“ในเมื่อฉันสั่งให้มา...ทุกคนต้องมา”
อดิศวร์ลอบถอนใจ
วิรงรองเดินเรื่อยๆ มาทางบริเวณปีกตึกด้านห้องตัวเอง จะกลับห้อง แสงแขเร่งฝีเท้าตามมา
“วิรงรอง”
วิรงรองมีสีหน้าอ่อนระอาใจ หันกลับมา หยุดเดิน
“มีธุระอะไรกับฉันหรือคะ”
แสงแขเดินเข้ามา แล้วตบวิรงรองทันทีโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว
“นี่ไงธุระของฉัน”
วิรงรองนัยน์ตาวาววับด้วยความโกรธ “ฉันไปทำอะไรให้คุณ”
“ฉันเตือนแกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับคุณลบ” แสงแขคำราม
“อยากรู้อะไรมั้ย”
“อะไร”
วิรงรองตบแสงแขเอาคืนฉาดใหญ่ แสงแขตบเปรี้ยงเช่นกัน
“นังวิรงรอง”
“คุณอดิศวร์เป็นคนมายุ่งกับฉันเอง”
แสงแขยกมือขึ้นจะตบอีก
“อ๊ะ อ๊ะ...อย่านะ! มันหมดสมัยที่จะมานั่งพับเพียบเรียบร้อยรอคอยให้ใครมาตบฟรีๆ แล้ว ถ้าคุณจัดมา ฉันก็จะจัดไปเป็นการตอบแทน”
วิรงรองหันหลังเดินตรงไปที่ห้อง
“ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าอย่ามายุ่งกับคุณลบ ไม่อย่างนั้น...”
วิรงรองหันกลับมาทันที แล้วพูดสวนออกไป “คุณจะหลอกฉันไปฆ่าเหมือนเมื่อคืนวานใช่ไหม”
แสงแขอึ้งไปนิดหนึ่ง “พูดอะไร ฉันไม่รู้เรื่อง”
วิรงรองยิ้มเยาะ “อ๋อ...เหรอ”
แสงแขตั้งสติได้ “ฉันจะไปทำอย่างนั้นทำไมในเมื่อในที่สุด คุณลบก็จะต้องแต่งงานกับฉันอยู่แล้ว”
“ก็เพราะคุณไม่แน่ใจว่าจะเป็นอย่างนั้นน่ะซิ! จริงไหมล่ะ”
วิรงรองพูดจบ ก็เดินเข้าห้องไป แสงแขมองตามอย่างแค้นใจ แล้วค่อยๆ ปรับอารมณ์สงบลง
“รอให้ฉันประกาศหมั้นกับคุณลบเร็วๆ นี้ก่อนเถอะ...ฉันจะเฉดหัวแกออกไปทันที”
เวลาผ่านไปอีกหลายวัน อดิศวร์เดินทางเข้ากรุงเทพฯ เช้าวันนี้เขาพาตัวเองมาอยู่ที่ห้องรับแขกบ้านพิณทอง และกำลังนั่งคุยกับคุณหญิงแก้ว ซึ่งมีของว่างวางบนโต๊ะต้อนรับเรียบร้อย
“คุณย่าท่านเกิดใจดีอะไรขึ้นมาล่ะ คุณลบ”
“ปกติท่านก็ใจดีนะครับ...เพียงแต่ช่วงที่พี่แก้วมาพัก...ท่านไม่ค่อยสบาย”
แก้วนิ่วหน้าคิดนิดๆ “พี่คงต้องปรึกษาคุณพจน์ก่อนว่าจะไปได้เมื่อไหร่...ตาพิชญ์กับยัยพิณก็เหมือนกัน”
“ไม่เป็นไรครับ...จะไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ขอให้ไปก็แล้วกัน...อ้อ...เชิญแขกทางกรุงเทพฯ ไปด้วยก็ได้นะครับ”
“จ้ะ...พี่ฝากขอบคุณคุณย่าด้วย จะโทร.ไปเอง ...ท่านก็คงไม่รับ”
อดิศวร์ยิ้มบางๆ “ท่านเป็นคนโบราณครับ”
“นั่นซิ…แล้วนี่คุณลบจะกลับ “โดมทอง” เมื่อไหร่”
“คงจะเป็นพรุ่งนี้ค่ำๆ”
“งั้นเย็นนี้มาทานข้าวกัน ...พี่จะชวนพิชญ์กับพิณทอง แล้วก็คุณพี่วัชรีมาด้วย”
“ขอบคุณมากครับ” อดิศวร์ไหว้และขยับตัวลุกขึ้น “ผมต้องกลับก่อนมีประชุมที่ออฟฟิศ 10 โมงเช้า”
แก้วลุกตาม “เชิญจ้ะ” แล้วเดินออกไปส่งอดิศวร์ สองคนคุยกันไป
ไม่นานต่อมาพิชญ์อยู่ภายในห้องทำงานที่ออฟฟิศย่านธุรกิจ และกำลังโทรศัพท์คุยกับพิณทอง
“ผมไม่อยากไป”
พิณทองย้อนทันที “แล้วคิดว่าพิณอยากไปนักหรือคะ...ที่จริง...คุณยังอยากไปมากกว่าพิณเสียอีก”
“งั้นบอกญาติคุณไปเลยว่าผมไม่ไป! แค่นี้ใช่ไหม!”
“ค่ะ”
พิณทองกระแทกเสียง แล้ววางโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิด
พิชญ์กระแทกโทรศัพท์ลงอย่างหงุดหงิดเช่นกัน พิชญ์ฮึดฮัดครู่หนึ่ง แล้วลุกเดินไปที่หน้าต่าง
“จะมีแผนอะไรอีกล่ะ...น้าลบ” พิชญ์กระแทกเสียงตรงท้ายคำ “น้าลบ” อย่างประชดประชัน
พิณทองหยิบทิชชูบนโต๊ะขึ้นมาซับน้ำตา สักครู่หนึ่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทร.ออก
“น้าลบขา...พิณอยากคุยกับน้าลบ...ค่ะ...ได้ค่ะ”
พิณทองวางโทรศัพท์ พยายามกล้ำกลืนน้ำตาลงไปลึกสุดใจ
ไม่นานต่อมา สองน้าหลานนั่งอยู่ในร้านอาหารเงียบหรู มีลูกค้านั่งอยู่ประปราย บริกรเสิร์ฟอาหารตามโต๊ะ
พิณทองจิบน้ำฝรั่งด้วยสีหน้าท่าทางไม่อยากกินอะไรนัก อดิศวร์จับตามองเงียบๆ ตลอด
“จะเล่าให้น้าลบฟังได้หรือยัง” อดิศวร์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้น
“พิชญ์เขาไม่ไป “โดมทอง” ค่ะ”
อดิศวร์ฉงน เลิกคิ้วขณะถาม “ทำไมล่ะ”
พิณทองเม้มปาก น้ำตาคลอ “เขาคงไม่อยากไปพบคุณ...วิรงรองให้สะเทือนใจอีกมั้งคะ”
“นี่ไม่เกี่ยวกับวิรงรอง...มันเป็นงานที่คุณย่าจะจัดให้ตัวเขาเองกับคุณพิณ” อดิศวร์ว่า
“น้าลบช่วยกราบเรียนคุณทวดด้วยว่า พิณกราบขอบพระคุณมาก...แต่...พิณคงไปไม่ได้”
“แต่ถ้าพิชญ์ไป...คุณพิณถึงจะไปใช่ไหม”
พิณทองนิ่งไม่ยอมตอบ แล้วเช็ดน้ำตา
“เรื่องนี้น้าลบจะจัดการให้เอง”
พิณทองมีสีหน้าลังเล “น้าลบคะ”
“ไม่ต้องกังวลใจอะไรทั้งนั้น...คุณพิณเตรียมตัวให้สวยที่สุด และสนุกที่สุดเท่านั้นก็พอ”
พิณทองส่ายหน้า “พิณไม่แน่ใจ”
“คุณพิณไว้ใจน้าลบหรือเปล่า”
“ไว้ใจค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่น้าลบแนะนำ...วิรงรองจะออกไปจากชีวิตของคุณพิณและสามีตลอดกาล”
พิณทองมองผู้เป็นน้าอย่างแปลกใจ
อดิศวร์ยิ้มให้ “ทานข้าวได้แล้ว”
จากนั้นอดิศวร์เริ่มทานข้าว พิณทองทานตาม
ค่ำนั้นทุกคนร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน อยู่ภายในห้องอาหารบ้านรัฐมนตรีพจน์ สาวใช้กำลังลำเลียงจานชามที่ทานเสร็จแล้วออกไป
“ไปคุยกันในห้องนั่งเล่นกันดีกว่า...เดี๋ยวให้เด็กยกของหวานกับผลไม้ตามไป”
ทุกคนลุกตาม
อดิศวร์รอพิชญ์แล้วพูดเบาๆ “ผมขอพูดอะไรด้วยหน่อย”
ดวงจันทร์เต็มดวงในคืนเพ็ญสว่างนวลตา สองหนุ่มเดินอยู่ที่มุมหนึ่งนอกคฤหาสน์ อดิศวร์เดินนำ และพิชญ์เดินมาหาช้าๆ ต่างคนต่างเงียบ ในที่สุดพิชญ์หยุดเดินหันมาทางลบ
“ผมไม่ไป”
อดิศวร์เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“คุณพิณบอกผมแล้วว่า น้าลบจะจัดงานเลี้ยงให้”
“ไม่ใช่ผม...แต่เป็นคุณย่า”
พิชญ์ยิ้มเยาะ “ผมไม่เชื่อ”
อดิศวร์ยักไหล่ “ก็ตามใจ ...คุณไม่ไปก็ไม่มีใครบังคับ”
พิชญ์มองอดิศวร์อย่างแปลกใจ
ส่วนที่ห้องนั่งเล่น วัชรีดี๊ด๊าพอรู้เรื่องปาร์ตี้ที่โดมทอง
“ต๊าย แค่พูดถึงก็สนุกแล้ว”
“สมัยที่คุณทวดยังสาว...ท่านชอบจัดงานบ่อยๆ ค่ะ...ทุกคนต่างกล่าวถึงความสนุกสนานที่ได้รับ” แก้วคุยโอ่
พจน์เย้าขำๆ “คุณเคยไปด้วยหรือ”
วัชรีและพิณทองขำตาม ยกเว้นแก้วหน้างอ
“ถ้าเคย...ป่านนี้แก้วคงแก่เท่าคุณย่าแล้วน่ะซีคะ”
“ก็ใครว่าไม่เท่าล่ะ” พจน์สัพยอก
แก้วฉุนทุบแขนสามีดังอั๊ก “นี่แน่ะ มาว่าฉันแก่”
อดิศวร์และพิชญ์เดินกลับเข้ามาสมทบ
วัชรีหันไปเห็น “หนุ่มๆ 2 คนไปคุยอะไรกันมาคะ”
“ก็ทั่วๆ ไปครับ” อดิศวร์ว่า
พิชญ์บอกทันที “ผมบอกน้าลบแล้วว่า ผมไม่ไป โดมทอง”
วัชรีมองพิชญ์เขม็ง “เราจะไปกันจ้ะ”
พิชญ์เอางานมาอ้าง “ผมมีงานค้างมากครับ”
“ไปแค่ 2-3 วันจะเป็นอะไรไป” วัชรีเสียงขุ่น
“คุณแม่ไปกับพิณเถอะครับ...ผมไปไม่ได้จริงๆ”
“ตาพิชญ์” วัชรีฉุนลูกชาย
พจน์เอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไรหรอก คุณพี่...อย่าไปบังคับเขาเลย”
พิณทองว่ากระทบกระเทียบด้วยสีหน้าราบเรียบ “พิณก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ ใครจะไปก็ไป ใครไม่เต็มใจก็ไม่ต้องไป โตๆ กันแล้ว รู้กันหมดแล้วว่าอะไรควร อะไรไม่ควร”
พิชญ์หันมามอง ไม่พอใจนิดๆ
ไม่นานต่อมา พิชญ์ พิณทอง และวัช กลับมาถึงบ้านแล้ว
วัชรีและพิณทองเดินเข้ามาก่อน แล้วตรงขึ้นไปข้างบนเงียบๆ พิชญ์เดินตามเข้ามา โดยมีสาวใช้ถือข้าวของของวัชรี ตามเข้ามาด้วย
พิชญ์หยุดเดิน หันมาพยักหน้ากับสาวใช้ เป็นเชิงบอกให้ขึ้นไปก่อน
สาวใช้ค้อมตัวผ่าน แล้วเดินเลย เอาของไปให้วัชรี
พิชญ์ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปข้างนอกบ้าน
พิชญ์เดินออกมา สูดลมหายใจยาว แล้วเดินไปที่โต๊ะสนามช้าๆ ทรุดตัวลงนั่ง แล้วเอนตัวพิงพนัก...มองไปยังดวงจันทร์เบื้องบน แลเห็นจันทร์เต็มดวงสาดแสงกระจ่างเต็มฟ้า
พิชญ์หลับตาลง ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว
“พลับพลึง...ถ้าผมไม่มีสิทธิ์...ผมก็ไม่อยากพบคุณอีก”
ส่วนภายในห้อง พิณทองยืนมองอยู่ทางหน้าต่าง เห็นพิชญ์นิ่งอยู่ในอิริยาบถเดิม
พิณทองน้ำตาคลอเบ้า ยืนอยู่ในอิริยาบถนั้นครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินกลับมานั่งบนเตียง เช็ดน้ำตา
ด้วยสีหน้าท่าทาง เหมือนตัดสินใจเด็ดขาด
ขณะที่วัชรีกำลังนั่งประทินผิวก่อนนอนอยู่ในห้อง เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมเสียงพิณทอง
“คุณป้าคะ”
วัชรีลุกเดินไปเปิดประตู แปลกใจแกมตกใจนิดๆที่เห็นพิณทองนัยน์ตาช้ำๆ
“อ้าว...ร้องไห้ทำไมลูก”
พิณทองน้ำตาไหลอีก
“มา .... เข้ามาข้างในก่อน”
พิณทองเดินเข้ามา วัชรีปิดประตูแล้วจูงพิณทองเดินเข้ามานั่ง
“ไหน ...ตาพิชญ์ทำอะไรให้เจ็บช้ำน้ำใจ บอกป้ามาซิ”
พิณทองเลื่อนตัวลงนั่งกับพื้น แล้วก้มกราบบนตักวัชรี
“คุณป้าขา...คุณป้าอย่าโกรธพิณเลยนะคะ ถ้าพิณจะขอหย่ากับพิชญ์”
วัชรีสะดุ้งสุดตัว
“พิณคิดมาหลายวันแล้วค่ะ พิณไม่อยากทรมาณทั้งตัวเองแล้วก็...เขา”
“ไม่ได้!” วัชรีบอกด้วยเสียงอันเด็ดขาด
“คุณป้าคะ” พิณทองทำท่าจะแย้ง
“ฟังป้าก่อน ! ป้าเป็นคนสู่ขอหนูให้มาแต่งงานกับลูกป้า...เพราะฉะนั้น...ป้าต้องรับผิดชอบหนูน่ะเป็นฝ่ายเสียหาย”
พิณทองน้ำตาร่วงอีก “แต่ก็ยังดีกว่าฝืนอยู่กันต่อไปนะคะ”
วัชรีดึงสะใภ้เข้ามากอด แล้วลูบผมเบาๆ อย่างปลอบโยน
พิณทองยิ่งสะอื้น “พิชญ์ไม่ได้รักพิณ ไม่ว่าพิณจะพยายามทำดีกับเขาอย่างไร เขาก็ไม่มีวันรักพิณได้ ... ยิ่งเขาได้พบกับคุณวิรงรอง”
วัชรีสวนทันที “ยังไงป้าก็ไม่มีวันรับผู้หญิงคนนั้นมาเป็นลูกสะใภ้...หากตาพิชญ์ยังขืนจะแต่งให้ได้...เขากับป้าก็ต้องตัดแม่ตัดลูกกัน”
พิณทองสะดุ้ง “คุณป้า”
“ป้าพูดจริงทำจริง...หนูทำเฉยๆ...ป้าจะจัดการทุกอย่างเอง ขอให้ไว้ใจป้า”
“แต่พิณไม่อยากให้คุณป้ากับพิชญ์ต้องขัดใจกันเพราะพิณ”
“ไม่ใช่เพราะหนู...แต่เป็นเพราะตัวของมันเอง”
สีหน้าวัชรีเด็ดขาดมั่นคง
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ประตูห้องนอนเปิดออก แล้วเห็นพิชญ์เดินเข้ามา ปิดประตูลงเบาๆ แล้วมองไปที่เตียง แลเห็นร่างตะคุ่มๆ ของพิณทองนอนห่มผ้าหันหลังให้ พิชญ์จึงเดินเบาๆ ไปเข้าห้องน้ำ โดยไม่รู้ว่าพิณทองยังคงนอนลืมตาโพลงอยู่ในความมืด
กลางดึกคืนเดียวกัน โดมทอง ยิ่งดูมีมนต์ขลัง และลึกลับท่ามกลางแสงจันทร์สว่างนวล บริเวณอาณาเขตปราศจากความเคลื่อนไหวใดๆ ... มีแต่เสียงแมลงกลางคืนร้องระงม และยังมีหมอกจางๆ ลอยอยู่)
ประตูห้องวิรงรองเปิดออกช้าๆ แล้วเดินออกมาในชุดแต่งตัวรัดกุม ในมือถือไฟฉาย
วิรงรองเหลียวซ้ายแลขวา แล้วฉายไฟนำทางเดินเลยเรื่อยไปที่บันได
ประตูค่อยๆ เปิดออก วิรงรองก้าวออกมา ปิดประตูลงตามเดิม แสงสว่างนวลจากดวงจันทร์ ทำให้ไฟฉายไม่จำเป็นอีกต่อไป วิรงรองปิดไฟฉายแล้วเดินออกไป
วิรงรองก้าวเข้ามา เหลียวซ้ายแลขวา แล้วรีบเข้าไปแอบหลังต้นไม้ มองออกไปอย่างรอคอย
ยิ่งดึกบรรยากาศยิ่งดูวังเวง หลอนๆ โดยมีเสียงหริ่งหรีดเรไรดังขึ้น วิรงรองมองไปอย่างอดทน และลุ้นรอคอย
ทั่วบริเวณหน้าโรงเก็บรถม้าหมอกควันกระจายไปทั่ว ดูหลอนๆ สักครู่หนึ่ง แล้วมีเสียงม้าร้องดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ ประตูค่อยๆ เปิดออก ท่านเจ้าคุณบังคับรถม้าออกมา รถม้าคันนั้นวิ่งตรงไปยังตัวบ้านโดมทอง
ด้านวิรงรองนั่งพิงโคนต้นไม้รอคอย ท่ามกลางเสียงแมลงกลางคืน
“ทำไมยังไม่มาอีก”
เสียงหริ่งหรีดแมลงกลางคืนเงียบลงราวกับนัดกันไว้ วิรงรองขยับตัวมองลอดพุ่มไม้ออกไป
เสียงเหมือนรถม้าแล่นตรงมาแว่วๆ วิรงรองตัวแข็ง นัยน์ตาจ้องเขม็งไปทางทิศที่มาของเสียง
การรอคอยของวิรงรองสิ้นสุดลง ท่านเจ้าคุณขับรถม้าอ้อมมาท่ามกลางไอหมอกจางๆ วิรงรองเบิกตากว้าง
เห็นเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ขับรถม้ามาหยุดใต้โดมแล้วแหงนหน้ามองขึ้นไปช้าๆ
วิรงรองแทบจะกลั้นหายใจ มองตามอย่างช้าๆ เห็นหน้าต่างห้องใต้โดมนั้นค่อยๆ เปิดออก พร้อมกับเสียงดนตรี “นางครวญ” ดังขึ้นอ้อยอิ่งหวานเศร้า
วิรงรองกลืนน้ำลาย ตัวแข็งทั้งตื่นเต้นและหวาดๆ จังหวะนี้คุณพลับพลึงปรากฏตัวที่หน้าต่าง มองลงมา วิรงรองยกมืออุดปากไม่ให้เสียงร้องดังออกมา
ทั้งสองคนมองกันอยู่อย่างนั้น
ขณะที่วิรงรองเองก็อยู่ในลักษณะตกตะลึงเช่นเดิม
เมฆดำก้อนใหญ่ลอยมาบดบังดวงจันทร์ ทุกอย่างมืดสนิทไป ในที่สุด ดวงจันทร์ลอยผ่านก้อนเมฆออกมาช้าๆ
วิรงรองเบิกตากว้าง ขยี้ตามองซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านเจ้าคุณ กับรถม้า และคุณพลับพลึงหายไป ราวกับไม่เคยมาปรากฏเลย ทุกอย่างเหมือนตื่นจากความฝัน
วิรงรองลุกขึ้นยืนมองอย่างประหลาดใจสุดๆ
“เป็นไปไม่ได้”
วิรงรองเดินออกไปยังบริเวณนั้น มองสำรวจโดยรอบ แล้วแหงนดูห้องใต้โดม หน้าต่างนั้นปิดสนิทตามเดิม เสียงแมลงกลางคืนดังขึ้นตามปกติ
วิรงรองยืนมองอยู่อย่างมึนงง
สักครู่หนึ่งวิรงรองจึงเดินกลับเข้ามาในบ้าน ปิดประตูลงเบาๆ วิรงรองเปิดไฟฉาย แล้วหันกลับมาจะเดินขึ้นบันได แต่ต้องสะดุ้งเฮือก...แล้วกรีดร้องสุดเสียง ไฟฉายหลุดจากมือ เมื่อเห็นผีนางพิศยืนอยู่แสยะยิ้มมาให้ ใบหน้าบวมเขียวน่ากลัว
ร่างวิรงรองทรุดฮวบลงไป หมดสติในทันที
เช้าวันรุ่งขึ้น ดวงอาทิตย์ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า และน้ำทะเล จนกระทั่งลอยพ้นขึ้นมา
ภายในห้อง ท่านผู้หญิงสรรักษ์ดูกระปรี้กระเปร่าสดชื่นผิดกว่าทุกวัน อุษาเดินยกซุปเข้ามา วางลงบนโต๊ะซึ่งเข็นมาฟากเตียง อุษามองท่านผู้หญิงแว่บหนึ่ง อดแปลกใจไม่ได้
“แปลกใจรึ...แม่อุษา”
“เช้าวันนี้ คุณย่าดูสดชื่นผิดกว่าทุกวัน”
ท่านผู้หญิงแดกดันตามนิสัย ไม่ได้จริงจังอะไร “ผิดหวังละซี ฉันรู้นะว่าพวกแกแช่งฉันให้ตายทุกวัน”
อุษาไม่ตอบโต้ คลี่ผ้าเช็ดปากวางให้
“นังพลับพลึงมันคงตกนรกหมกไหม้ไปแล้ว! เมื่อคืนมันเงียบไปเลยทั้งๆ ที่เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง เป็นคืนแรกตั้งแต่...มันตาย ที่ฉันนอนหลับสนิททั้งคืน”
อุษายิ้มนิดๆ “ดีจังเลยค่ะ”
ท่านผู้หญิงเริ่มกินซุปขณะถาม “ตาลบกลับมาหรือยัง”
“เห็นว่าจะมาถึงประมาณ 9 โมงค่ะ”
“ฉันกำลังจะเป็นผู้ชนะ ในที่สุดฉันก็คือผู้ชนะ ได้ยินมั้ย ...นังอุษาว่าฉันชนะแล้ว”
นัยน์ตาท่านผู้หญิงเป็นประกายวาววับอย่างผู้ชนะ
ขณะเดียวกันอุไรเดินถือถาดข้าวต้มขึ้นมา ขณะที่วิรงรองเปิดประตูห้องออกมา สีหน้าแววตาอิดโรย
“คุณวิ นั่นหายแล้วหรือคะ”
“วิไม่ได้เป็นอะไรนี่ ป้าอุไร”
“ต้องเป็นซิคะ อยู่ดีๆ ก็ร้องกรี๊ดลั่นบ้าน แล้วนอนสลบไสลอยู่ข้างล่างโน่น”
อุไรเดินยกถาดเข้าไปวางในห้องขณะพูด ... ด้วยความมั่นใจว่าวิจะตามเข้ามาด้วย
“ถามจริงๆ คุณวิเจอผีใช่ไหมคะ แต่ป้าอุไรก็ยังแปลกใจว่าคุณวิลงไปข้างล่างทำไมกลางดึกกลางดื่น”
อุไรหันกลับมา
“อ้าว! นึกว่าเข้ามาด้วย คุณวิขา...คุณวิ! ข้าวต้มร้อนๆ”
อุไรเดินออกไป แต่ไม่มีวิรงรองอยู่ตรงนั้นแล้ว
“อ้าว! หายไปไหน”
เวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่ง สมขับรถพาอดิศวร์เข้ามาจอดหน้าโดมทอง แสงแขแต่งตัวสวย ใบหน้าสลดออกมารอรับ รีบเปิดประตูให้ก่อนที่สมจะลงมา
“ขอบใจ .... คุณย่าเป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีมากกว่าทุกวันค่ะ...ส่วนวิรงรองแอบลงมาข้างล่างกลางดึกเมื่อคืน แล้วร้องเอะอะโวยวายจนเป็นลม...จนฟื้นก็ไม่ยอมเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น”
อดิศวร์นิ่วหน้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน แสงแขมองตามอย่างโกรธ ๆ
ส่วนวิรงรองคาใจไม่หาย เดินตรงมาถึงหน้าโรงเก็บรถม้าแล้ว มองเหลียวหน้าเหลียวหลังแล้วเดินไปที่หน้าต่างเพื่อหาทางเข้า เนื่องจากประตูใส่กุญแจ วิรงรองเขย่าหน้าต่างผ่านไป 2 บาน บานที่ 2 หลุดออกมา เพราะเก่าและโทรม เต็มที่ วิรงรองตกใจ
“ตายแล้ว”
วิรงรองวางบานหน้าต่างลง แล้วปีนเข้าไปด้านใน
ประตูห้องวิรงรองเปิดออก ก่อนที่อดิศวร์จะก้าวเข้ามาดู กวาดตามองเลยเรื่อยมาจนถึง ถาดข้าวต้มที่ยังวางอยู่โดยไม่ได้แตะต้อง
นิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วอดิศวร์จึงเดินออกไป
ในโรงเก็บรถม้าไม่สว่างมากนักเพราะถูกปิดทึบทุกทาง นอกจากหน้าต่างที่วิรงรองดึงจนหัก วิรงรองกำลังมองรถม้าอย่างพิจารณา แลไปที่ส่วนต่างๆ ของรถม้าที่เก่าและผุพัง จนวิรงรองต้องถอนใจ
“เฮ้อ ! มองยังไงก็ไม่น่าจะใช้การได้”
วิรงรองเดินไปมองตามมุมต่างๆ อย่างพิจารณาอีกครั้ง เหมือนมีเสียงเหมือนใครคนหนึ่งถอนใจเศร้าๆ ดังมาแผ่วๆ จากด้านหลัง
วิรงรองหันขวับไปมอง แล้วต้องสะดุ้งสุดตัวเบิกตากว้าง รถม้าคันนั้นกลับกลายเป็นคันใหม่เอี่ยมเหมือนที่วิรงรองเคยเห็นไม่ผิดเพี้ยน!
อ่านต่อหน้า 3
โดมทอง ตอนที่ 8 (ต่อ)
วิรงรองเดินเข้ามาใกล้ช้าๆ ยกมือขึ้นลูบรถม้าเบาๆ สีหน้าแววตาตื่นตะลึงเหมือนตกอยู่ในภวังค์ พึมพำออกมาเบาๆ
“นี่ฉันฝันไปหรือเปล่า”
เสียงอดิศวร์ดังขัดจังหวะขึ้น “วิรงรอง”
วิรงรองสะดุ้ง เหลียวขวับมามอง อย่างตกใจ
“คุณอดิศวร์”
“ยังสำรวจความประหลาดบ้านฉันไม่พออีกเรอะ”
“ค่ะ แล้วในที่สุดฉันก็พบรถม้าคันนี้”
วิลงรองหันกลับไปมองรถม้าที่เห็น แล้วชะงัก เมื่อรถม้ากลายกลับไปเก่าผุพังเหมือนดังเดิม
“ไม่จริง! ก็เมื่อกี้มันยังดีๆ อยู่เลย”
อดิศวร์เดินเข้ามาใกล้ มองรถม้าแล้วไหวไหล่นิดๆ “ใครก็ตามที่บอกว่ารถม้าคันนี้ยังดี...ใครคนนั้นแหละเริ่มจะบ้าแล้ว”
วิรงรองฉุนกึก ตาวาววับทันที “ฉันไม่ได้บ้า! เมื่อคืนฉันเห็นคนที่เหมือนคุณขับรถม้าคันนี้ไปที่ใต้หน้าต่างโดม...แล้วหน้าต่างนั้นก็เปิดออก...มีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ ...หน้าตาเหมือน...”
อดิศวร์ ศิโรดม ยิ้มเยาะ ขณะสวนคำออกมา “อย่าบอกนะว่าเหมือนเธอ”
“ไม่ต้องมาหัวเราะฉัน! ฉันขอยืนยันว่า ฉันไม่ใช่คนโกหก แล้วก็ไม่ได้โกหก! บ้านของคุณมัน “ประหลาด” อย่างที่คุณพูดแดกดันฉันจริงๆ มีความลับบางอย่างซ่อนอยู่ที่นั่น และรอวันที่จะเปิดเผย”
อดิศวร์ไม่เชื่อ “ดูหนังสยองขวัญมากไปมั้ง! “โดมทอง” ไม่มีความลับอะไรทั้งนั้นทุกอย่างเธอฝันเอาเอง”
“งั้นคอยดูไปก็แล้วกัน” วิรงรอง นกุล ลอยหน้าท้าทาย แล้วเดินแกมวิ่งจะออกไป
“เถียงไม่ทันก็ใช้วีธีหนีเหมือนเดิม”
วิรงรองหยุด แล้วหันกลับมา “คุณเข้าใจผิด! ฉันไม่อยากให้ “คนอื่น” มาว่าได้ต่างหากว่า ฉันพยายามหาโอกาสอยู่กับคุณตามลำพัง”
วิรงรองเดินต่อไป
“ใคร”
วิรงรองไม่ยอมตอบ แถมรีบเร่งฝีเท้าเดินไป อดิศวร์เดินตามโดยไม่รีบร้อน
บริเวณห้องโถงใหญ่ดูสลัว เพราะหน้าต่างปิดหมดทุกบาน และอยู่อีกด้านของตึก วิรงรองเปิดประตูเข้ามา ยืนตรงกลางห้องโถง...มองไปที่รูปภาพบรรพบุรุษแต่ละรูปแล้ว เอ่ยขึ้นเป็นเชิงถาม
“ดิฉันคิดว่าตัวเองเข้าใจไม่ผิด! บ้านโบราณอย่างโดมทองนี่มักจะมีความลึกลับบางอย่างซ่อนเอาไว้...จริงไหมคะ”
วิรงรองเหลียวไปมองโดยรอบ รูปแต่ละรูปต่างเมินมองไปทางอื่น ราวกับไม่อยากตอบคำถามเธอ
จู่ๆ มีเสียงกระซิบขึ้นเบาๆ “ไม่มีใครเขาตอบคำถามเธอหรอก”
วิรงรองสะดุ้ง หันขวับไปมองทางต้นเสียง ทว่าทุกอย่างไม่มีอะไรผิดปกติ
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกเสียง “เธอต้องอดทน”
วิรงรองหันกลับมาทางเสียงที่ดังขึ้น ทุกอย่างดูปกติ
“ค่ะ...ดิฉันจะอดทน จนกว่าจะพิสูจน์ได้รู้ความจริงว่า...เกิดอะไรขึ้นใน...โดมทอง”
วิรงรองบอก แล้วมองเรื่อยมาหยุดที่รูปท่านผู้หญิงสรรักษ์ไกรณรงค์วัยสาว รูปนั้นมองมายังเธอด้วยสีหน้าแววตาอำมหิตอย่างยิ่ง
“ฉันเกลียดแก”
เสียงท่านผู้หญิงวัยชราแผดขึ้น กระแสแห่งพลังความเกลียด ความชิงชังส่งออกมาเต็มที่ ทำให้วิรงรองถึงกับผงะถอยหลัง แล้วต้องสะดุ้งเฮือก เมื่อปะทะเข้ากับใครคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ข้างหลังแล้วร้องลั่น
“ว้าย”
เป็นอดิศวร์ที่ก้มลงมองเยาะๆ
“ไม่น่าขวัญอ่อนเลยนี่! เห็นตามหาผีวุ่นวายไปหมด!”
วิรงรองรีบถอยออกห่างออกทันที
“ตามมาทำไม”
“ถามแปลกนี่! นี่มันบ้านของฉัน อีกอย่าง...ฉันไม่ชอบให้ใครเดินหนี ทั้งๆ ที่ฉันยังพูดไม่จบ”
“ฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้ว” วิรงรองก้าวเดินจะออกไป
แต่อดิศวร์คว้าแขนไว้ “บอกแล้วว่า อย่าเดินหนีฉัน”
“ปล่อยค่ะ” วิรงรองพยายามบิดแขนออก “ฉันไม่ชอบให้ใครบังคับ”
แสงแขเดินเข้ามาพอดี ด้วยอดิศวร์เปิดประตูทิ้งไว้
“อุ๊ย” แสงแขชะงัก หน้าเสียเมื่อเห็นภาพนั้น “เอ้อ...แขเห็นประตูเปิดอยู่ก็เลยเข้ามาดูน่ะค่ะ ไม่ทราบว่าคุณลบกับ ....” แสงแขมองวิรงรองอย่างอาฆาตมาดร้ายแว่บหนึ่ง “จะอยู่ในนี้”
วิรงรองเดินออกไปเงียบๆ
อดิศวร์มองตามแว่บหนึ่ง โดยไม่พ้นสายตาของแสงแขซึ่งจับจ้องมองเขม็ง
“พี่ก็เห็นว่าประตูเปิดอยู่เหมือนกัน”
อดิศวร์เสียงขุ่นแล้วเดินออกไป โดยมีแสงแขมองตาม น้อยใจจนน้ำตาคลอ
แสงแขแค้นจัด มาฟ้องอุษา สองพี่น้องอยู่อีกมุมหนึ่งในบ้าน
“เหลวไหล! ยั่วยงยั่วยวนที่ไหนกัน” อุษาติง
“ถ้าไม่ยั่วแล้วทำไมเปิดประตูเข้าไปรอคุณลบในนั้น! มันตั้งใจจะจับ...”
อุษาสวนออกมา “เธอคิดว่าในห้องนั้น บรรยากาศมันน่าจับนักหรือ! ถ้าคิดจะจับจริงทำไมไม่หาที่ที่มันไกลผู้ไกลคน แล้วก็ชวนโรแมนติคมากกว่านี้...ห้องนั้นน่ะ ทึมทึบน่ากลัวออก”
“ใครจะไปรู้มันล่ะ...มันจัดจ้านออกอย่างนั้น”
“งั้นเธอก็สบายใจได้ เพราะคุณลบไม่ชอบผู้หญิง...จัดจ้าน”
สองคนยังพูดไม่ทันจบ อดิศวร์ก็อุ้มวิรงรองเข้ามา
“อุษา”
สองคนชะงัก แสงแขหน้าซีดทั้งโกรธและตกใจกับภาพที่เห็น
อุษาได้สติก่อน “วิรงรองเป็นอะไรไปหรือคะ”
“เขาเป็นลม...มาช่วยกันหน่อย”
อดิศวร์อุ้มวิรงรองออกไป อุษารีบตาม
“มารยา! อยู่ดีๆ ก็วิ่งให้คุณลบตาม! อยู่ดีๆ ก็แกล้งเป็นลมให้คุณลบอุ้มนังมาร!”
แสงแขแค้นแทบคลั่ง นัยน์ตาวาวโรจน์
อุษาเปิดประตูห้องให้อดิศวร์อุ้มวิรงรองไปที่เตียง แล้วค่อยๆ วางอย่างระมัดระวัง สีหน้าชายหนุ่มซึ่งเคร่งขรึมเป็นนิจ เต็มไปด้วยความกังวลและห่วงใย
เช่นเดียวกับอุษาพูดออกมาอย่างห่วงใย
“เมื่อคืนก็เป็นลม”
“ไปหาผ้าชุบน้ำมาหน่อย”
“ค่ะ”
อุษาเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า เปิดลิ้นชัก หยิบผ้าขนหนูเล็กๆ ออกมา แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ แสงแขเดินเข้ามา แล้วทำเป็นห่วงใย
“วิรงรองเป็นยังไงบ้างคะ”
“ไปหายาดมมา” อดิศวร์บอก
อุษาเดินถือ ผ้าชุบน้ำหมาดๆ มาส่งให้
แสงแขรีบดึงไว้ “แขเช็ดให้เองค่ะ...คุณลบไปพักผ่อน”
อดิศวร์ดึงกลับแล้วมองเขม็งขณะบอกย้ำ “ไปหายาดมมา”
แสงแขเม้มปาก แล้วรีบเดินออก ก่อนที่ลบจะเห็นน้ำตา
อุษามองตามอย่างกังวล แล้วหันมามอง เห็นอดิศวร์ค่อยๆ บรรจงเช็ดหน้าให้วิรงรองอย่างเบามือ
อุษานิ่วหน้า ครุ่นคิดแล้วกังวล
ส่วนแสงแขวิ่งลงบันไดมาด้วยน้ำตาพร่าพราย พร้อมกับยกมือไหว้ท่วมหัว
“เจ้าประคู้ณ! ขอให้มันตายไปจริงๆ เถ้อะ”
สักครู่หนึ่งวิรงรองขยับตัว
“ฟื้นแล้วค่ะ”
อดิศวร์ส่งผ้าขนหนูให้อุษา ขณะที่เปลือกตาวิรงรองขยับ
“ช่วยดูแลเขาด้วย”
อดิศวร์เดินออกไป ในขณะที่วิรงรองลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆ
“คุณอุษา...เกิดอะไรขึ้นคะ”
“น้องวิเป็นลมน่ะค่ะ...เมื่อคืนก็เป็น...ยังไม่ทันหายดีเลยก็ออกไปข้างนอกแล้ว”
วิรงรองขยับจะลุกขึ้น แล้วหลับตานอนลงใหม่
“เวียนหัวจัง”
อุษาชะเง้อมองไปข้างนอก “แสงแขก็ยังไม่มาอีก...น้องวิอยู่คนเดียวก่อนได้มั้ย พี่จะไปเอายามาให้”
วิรงรองพูดโดยยังไม่ลืมตา “ได้ค่ะ”
อุษาเดินไปแล้วหันกลับมาอย่างนึกได้ “ถ้ายังไง น้องวิทานข้าวต้มรองท้องนิดหน่อยก่อนนะคะ”
“ค่ะ”
อุษาเดินออกไปแล้ว วิรงรองลืมตาขึ้น ด้วยสีหน้าเหมือนพยายามจะทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นและจำได้ว่า
เวลานั้นอดิศวร์เดินตามมาจนทัน แล้วจับแขนเธอไว้ 2 คนเปิดฉากทุ่มเถียงกันอีก
“ฉันบอกแล้วว่า ไม่ชอบให้ใครเดินหนีขณะที่ฉันยังพูดไม่จบ”
“ฉันก็บอกแล้วว่า ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ”
“เธอไม่อยากฟังเรื่องสะเทือนใจต่างหาก”
“ไม่มีเรื่องอะไรที่จะทำให้ฉันสะเทือนใจได้อีกแล้ว”
“แม้กระทั่งเรื่องของนายพิชญ์แฟนเก่าน่ะเรอะ”
วิรงรองนัยน์ตาวาววับ “เรื่องนั้นมันจบไปตั้งนานแล้ว เมื่อไหร่คุณจะเข้าใจเสียที พูดวนไปเวียนมาอยู่ได้น่ารำคาญ”
อดิศวร์โกรธขึ้นมาบ้าง “รำคาญ! รำคาญหรือหงุดหงิดที่รู้ว่าฉันไปเชิญครอบครัวพิชญ์กับพิณทองกลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะคุณย่าจะจัดงานฉลองให้”
“ต่อให้คุณไปเชิญคนทั้งโลกมาฉลอง...ฉันก็ไม่สน”
“แน่ใจ”
“ยิ่งกว่าแน่อีก”
วิรงรองเดินไป...แล้วหยุด...หันมาพูดเยาะๆ”
“ว่าแต่คุณต้องไปถามพิชญ์ดูว่า เขาลืมฉันได้หรือยัง”
วิรงรองหันกลับจะเดินออกไป แต่อดิศวร์คว้าไว้ได้ทันทีอย่างโกรธจัด
“จะบอกให้ว่า ฉันคิดยังไง หลานของฉันเหมือนดอกกล้วยไม้มีราคาหายาก ส่วนเธอมันก็แค่ดอกพลับพลึงธรรมดาดาษดื่น...ราคาก็ไม่น่าจะแพงนัก...”
วิรงรองเถียง “ตรงกันข้ามกับดอกพลับพลึงที่เดี๋ยวนี้หายาก”
อดิศวร์สวนทันที “ยากเพราะคนเขาไม่นิยมปลูกน่ะซิ”
วิรงรองน้ำตาคลอแค้นใจ “ปล่อย”
อดิศวร์ยังคงเย้ยหยัน “ความจริง! เธอควรจะดีใจนะ ที่ฉันเวทนาชวนแต่งงานด้วย! แม่ดอกพลับพลึง”
วิรงรองมองอดิศวร์อย่างเคียดแค้น แล้วหมดสติไปด้วยความอ่อนแอจากเหตุการณ์เมื่อคืน พักผ่อนน้อย และตอนเช้ายังไม่ยอมทานข้าวต้มด้วย
นึกแล้ววิรงรองหลับตาลงอย่างอ่อนเพลีย
แต่แล้วเสียงแสงแขก็ดังขึ้น “ทำไมแกไม่ตายไปซะให้พ้นๆ”
วิรงรองสะดุ้งลืมตาขึ้น เห็นแสงแขยืนมองมาอย่างเกลียดชัง
“คุณแสงแข”
“นังมาร้าย! แกจะทำมารยายั่วยวนคุณลบไปถึงไหน”
“คุณแสงแขเข้าใจผิด”
“แกจะบอกว่า แกไม่ได้สนใจคุณลบ”
“ใช่ค่ะ”
อุษาเดินเข้ามาพอดี
“ได้ยาดมมาหรือเปล่า! แสงแข”
แสงแขปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แล้วหันกลับไป “ไม่ได้! ยาดมมีแต่ของคุณย่า...พี่อุษาก็รู้นี่ว่า ท่านเกลียดแม่คนนี้ขนาดไหน”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่อุษา...วิดีขึ้นแล้ว”
“อ้าว ! นึกว่าใกล้ตายเสียอีก”
แสงแขเดินเชิดผ่านอุษาไป
อุษามองตามแล้วหันมาทางวิรงรอง “น้องวิอย่าไปถือสาเลยนะคะ”
วิรงรองอัดอั้นจนน้ำตาคลอ “คุณแสงแขพูดถูกนะคะ...ทำไมวิถึงไม่ตายสักทีก็ไม่รู้”
อุษาตกใจมาก “ตายจริง! ไม่เอาค่ะ อย่าพูดอย่างนั้น...ลุกขึ้นไหวไหมคะ จะได้ทานข้าวแล้วก็ทานยา” พลางหันไปมองชามข้าวต้มในถาด “พี่ว่าเอาข้าวต้มไปอุ่นก่อนดีกว่า”
วิรงรองลุกนั่ง “ไม่เป็นไรค่ะ...วิไม่เรื่องมากหรอก”
วิรงรองตักข้าวต้มฝืนกลืนกินลงคอไปอย่างยากเย็น อุษามองอย่างเป็นห่วง
ไม่นานต่อมา แสงแขเปิดประตูเข้ามาคุกเข่าพูดกับท่านผู้หญิงสรรักษ์อย่างเรียบร้อย อุไรอยู่ด้วย
“เข้ามาทำไม” ท่านผู้หญิงแหวใส่
“แขมากราบขออนุญาตคุณย่าออกไปข้างนอกค่ะ...จะไปตัดเสื้อผ้าเตรียมตัวสำหรับวันงาน”
“ดี! รู้จักกระตือรือร้นเสียบ้าง...ไปบอกอุษาว่าฉันสั่งให้มาเบิกเงิน”
“แขกราบขอบพระคุณค่ะ”
ท่านผู้หญิงชะโงกหน้าลงมา “จำไว้ว่า แกต้องแต่งตัวให้สวยเต็มที่”
“ค่ะ”
แสงแขคลานออกไปอย่างปลาบปลื้ม
อุษาเดินลงบันไดมาขณะที่แสงแขเดินขึ้นไป พร้อมกับยิ้มเยาะ
“มันตายแล้วหรือยัง”
“ถ้าเธอพูดอย่างนั้นอีก...พี่จะไม่พูดด้วย”
“ทำไมพี่อุษาถึงได้เห็นคนอื่นดีกว่าน้องแท้ๆ”
“เพราะเธอใจร้ายมากน่ะซิ”
“แล้วทีนังวิรงรองมันจะแย่งคุณลบไปจากฉันล่ะ”
“ไม่มีใครแย่งใครได้หรอก แสงแข เรื่องอย่างนี้มันอยู่ที่คนกลาง”
“ก็เข้าข้างมันอยู่นั่นแหละ” แสงแขตัดบท “คุณย่าให้แขมาเบิกเงิน”
“จะเอาไปทำอะไร”
“ตัดชุด”
“ยังไม่ทันรู้เลยว่าจะมีงานเมื่อไหร่”
“แต่ก็ต้องมีแน่! ว่าแต่พี่อุษาเถอะ ห้ามทรยศไปบอกคุณลบเด็ดขาดว่าคุณย่าจะทำอะไร” อุษานิ่ง แสงแขพ่นต่อ “ไม่อย่างนั้น ท่านจะคิดว่า พี่อุษาเนรคุณ”
แสงแขมองอุษาอย่างสะใจ
สมขับรถมาจอดข้างหน้าร้านตัดเสื้อหรูแห่งหนึ่ง แสงแขเปิดประตูลงไป ติดตามด้วยโอบอ้อมซึ่งลอยหน้าเชิดหยิ่ง
ตามนาย
แสงแขและโอบอ้อมเดินเข้ามาในร้านตัดชุด เจ้าของร้านรีบตรงมาต้อนรับ ขณะที่ลานนากำลังนั่งเลือกแบบเสื้ออยู่
อีกมุมหนึ่ง
“เชิญค่ะ...จะตัดชุดอะไรคะ” เจ้าของทักทายสีหน้ายิ้มแย้ม
แสงแขพูดเสียงดังด้วยความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง
“ชุดรับหมั้นค่ะ”
ลานนา และคนอื่นๆ เงยหน้ามอง ลานนาชะงัก
“ยัยแสงแขนี่”
เจ้าของกร๊ดกร๊าดเอาใจ “ต๊าย! ต้องขอแสดงความยินดีล่วงหน้านะคะ...เชิญทางนี้ค่ะ”
แสงแขอวดโอ้กลายๆ “ดิฉันจะหมั้นกับคุณอดิศวร์ ศิโรดม เจ้าของคฤหาสน์ “โดมทอง” น่ะคะ เพราะฉะนั้นต้องให้ชุดออกมาสวยที่สุด”
“ได้เลยค่ะ ว่าแต่เครื่องประดับอะไรคะ จะได้ออกแบบให้เข้ากัน” เจ้าของร้านถาม
แสงแขนิ่งคิดเพราะไม่ทันนึก โอบอ้อมรีบสอพลอทันที
“ชุดมรกตไงคะ .... คุณแสงแขสวมแล้วจะงามสง่าที่สุด”
ครู่ต่อมาวิรงรองพูดเสียงเนือยๆ หน้าหมองๆ ขณะคุยโทรศัพท์กับลานนาซึ่งโทร.มาจากลานจอดรถ
“รู้แล้วล่ะจ้ะ”
“ต๊าย รู้แล้วก็ไม่บอก ฉันไม่นึกเลยนะว่า คุณอดิศวร์จะมาลงเอยกับยัยแสงแข แต่อย่างว่า เรือล่มในหนอง...ทองจะไปไหน เสียดายอยู่นิ้ด....ด...นึง...คุณอดิศวร์น่าจะได้คนที่เหมาะสมกว่านี้” ลานนาว่า
“เขาก็เหมาะสมกันออก” สุ้มเสียงวิรงรองเหมือนฝืนพูด
“ไม่เหมาะ! ยัยนั่นน่ะเชยจะตาย”
วิรงรองตัดบท “แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ ลานนา...ฉันไม่ค่อยสบาย”
“อ้าว! เป็นอะไรไปล่ะ” ลานนาเป็นห่วง
“ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก...ปวดหัวนิดหน่อย”
“โอเค จ้ะ .หายเร็วๆ นะ”
“จ้ะ”
วิรงรองวางโทรศัพท์ลง แล้วเอนตัวลงนอน หลับตาลง ใบหน้าสวยมีน้ำตาไหลซึมออกมา ด้วยความสะเทือนใจ
ในเวลาต่อมา ตรงซุ้มไม้ดอกไม้ใบสวยสะพรั่งมุมหนึ่งในคุ้มภูไท ทั้ง 3 กำลังคุยกัน โดยภูไทสีหน้าแววตาแจ่มใส หลังลานนาเล่าให้ฟังจนจบว่า อดิศวร์จะแต่งกับแสงแข
“ดีแล้วครับ! แต่งกันเองนั่นแหละดี! อย่าเอาคนอื่นเข้าไปอยู่ในวังวนของความชั่วร้ายด้วยเลย” พันธุ์สูรย์ว่า
ลานนาห่อปาก “อูว์...แรงจัง”
พันธุ์สูรย์มองภูไทยิ้มๆ ขณะพูดเย้า “ดูเหมือนเจ้าจะสดชื่นผิดปกติ”
ภูไทเขินและหน้าแดง “เฮ้ย”
ลานนาหัวเราะคิก “ต๊าย! หน้าแดงเลย”
ขณะที่ 2 คนล้อภูไทกันอยู่นั้น บัวคำจอมเฟอะถือถาดน้ำผลไม้ออกมาเสิร์ฟ และสะดุดเท้าตัวเอง ร่างบัวคำเซถลาล้ม ของตกกระจายเช่นเดิม 3 คนส่ายหัวระอาเหลือ
บัวคำเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มแหยๆ “ใครหน้าแดงคะ”
พันธุ์สูรย์แซว “มีแต่เราที่หน้าแตก”
บัวคำยังแหยอยู่ “แหม”
ทั้ง 2 หนุ่มเดินกลับเข้ามาในออฟฟิศ ภูไทมีสีหน้าเบิกบานมาก แต่พันธุ์สูรย์กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เป็นอะไรไปอีกล่ะ หรือว่าอิจฉาที่ศัตรูของนายกำลังจะมีความสุข แต่นายต้องอมทุกข์อยู่ทั้งปี”
“ผมเป็นห่วงคุณอุษา”
“โธ่เอ๊ย เขา...”
ภูไทพูดไม่ทันจบพันธุ์สูรย์สวนออกมา “ฟังผมก่อน...ถ้าคุณแสงแขได้แต่งงานจริงๆ ที่บ้านนั้นก็จะเหลือคุณอุษาเป็นสาวทึกทึกก้มหน้าก้มตารับใช้ทุกคนไปจนตาย”
“นั่นเป็นวิถีชีวิตที่คุณอุษาเขาเลือกแล้ว ...นายทำอะไรไม่ได้หรอก”
“ก็ยังดีกว่าไม่ได้ลงมือช่วย”
ภูไทชะงัก “เฮ้ย นายจะทำอะไร”
“ไม่ว่าจะทำอะไร ผมไม่ให้เจ้าต้องเดือดร้อนด้วยหรอก”
“ฉันไม่ได้กลัวตัวเองเดือดร้อน แต่ฉันเป็นห่วงนาย”
พันธุ์สูรย์อึ้งไปด้วยความตื้นตันใจ “ขอบคุณมากครับ”
ภูไทตบไหล่ปลอบ “เราเป็นเพื่อนกันนะ พันธุ์สูรย์”
พันธุ์สูรย์นั่งนิ่ง สีหน้าแววตายังตื้นตันใจอยู่อย่างนั้น
ด้านวิรงรองนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย เหมือนมีใครคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง ใครคนนั้นเดินช้าๆ ตรงมายังเตียง มือข้างหนึ่งยื่นมาที่ศีรษะวิรงรอง แล้วลูบผมเบาๆ อย่างอ่อนโยน
วิรงรองขยับตัวนิดหนึ่ง แล้วกลับนอนนิ่งด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย
ค่ำแล้วหมอกควันกระจายรอบๆ คฤหาสน์ โดมทอง พร้อมเสียงบรรเลงเพลง “นางครวญ” อันแสนเศร้าสร้อยโหยหวน
วิรงรองเดินเรื่อยๆ มาจนถึงประตูทางขึ้นโดม แล้วหยุด กุญแจประตูเปิดออกเอง โซ่เลื่อนหลุด ประตูค่อยๆ เปิดให้วิรงรองก้าวเดินเข้าไปเหมือนถูกสะกด ด้วยมนต์เสียงเพลงนั้น
วิรงรองเดินขึ้นมาเรื่อยๆ เสียงเพลงดังกระชั้นยิ่งขึ้น จนในที่สุดพอวิรงรองขึ้นมายืนหน้าห้อง เสียงดนตรีเบาลง แล้วเสียงพลับพลึงร้องเพลง “นางครวญ” อย่างโหยหวนเย็นยะเยือก
โอ้ว่าป่านฉะนี้พระพี่เจ้า
…...........
วิรงรองหยุดยืนฟังอย่างตั้งใจครู่หนึ่ง จึงค่อยๆ ก้าวไปถึงประตูซึ่งถูกไม้ทับตอกตะปูปิดตาย แต่ก็ยังมีรอยแตกเล็กๆอยู่ วิรงรองค่อยๆ แนบหน้าเข้าไปมอง แลเห็นพลับพลึงนั่งเล่นซอสาม 3 ท่ามกลางวงมโหรี ดวงตาวิรงรองเบิกกว้าง
สักพักหนึ่ง ทุกคนหยุดเล่นเหมือนจะรู้ตัวว่า มีคนมาแอบดู ทุกคนมองมาที่รอยแตกนั้นเป็นตาเดียวกัน ใบหน้าแต่ละคนซีดเซียว แล้วมาหยุดที่ใบหน้าพลับพลึง
พลับพลึงค่อยๆ แสยะยิ้มให้วิรงรอง ใบหน้าสวยงามนั้นค่อยๆ เขียวคล้ำกลายสภาพเป็นศพอย่างช้าๆ
วิรงรองผละออก พลางร้องกรี๊ดสุดเสียง
วิรงรองสะดุ้งสุดตัวตกใจตื่น ลุกขึ้นนั่ง แล้วถอนใจยาว เหงื่อแตกพลั่กทั่วใบหน้า ขยับลุกขึ้นเดินไปเข้าห้องน้ำ แล้วชะงัก เมื่อสายตาเบือนไปเห็นดอกพลับพลึงที่วางอยู่บนนั้น
วิรงรองยกมือทาบอก สีหน้าแววตาทั้งพิศวงและหวาดหวั่น
เวลาเดียวกันพจน์อยู่ในห้องทำงานที่กระทรวง เพิ่งเซ็นชื่อในเอกสารเสร็จ แล้วส่งแฟ้มให้เลขาฯ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พจน์หยิบขึ้นมาดูอย่างแปลกใจ ในขณะที่เลขาฯ โค้ง ก่อนจะเดินออกไป
“หนูวิ...สบายดีหรือ”
“ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่ค่ะ...หนูมีเรื่องจะเล่าให้คุณลุงฟัง”
“ว่ามาเลย...”
พจน์ฟังอย่างตั้งใจ
พจน์กลับมาถึงบ้านตอนค่ำ และกำลังนั่งอยู่หน้าคอมพ์ภายในห้องที่บ้าน ท่าทางเหมือนกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง ...อย่างขมักเขม้น
ประตูห้องน้ำเปิดออก เห็นคุณหญิงแก้วเดินออกมา อาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดนอนเรียบร้อย
“ค้นหาข้อมูลอะไรอยู่คะ เห็นขะมักเขม้นตั้งนานแล้ว”
พจน์ไม่ได้มองแก้ว “เปล่า! ไม่มีอะไร”
“เออ...ลืมบอกคุณไปว่า คุณลบโทร. มาย้ำอีกแล้วว่า คุณย่าสั่งให้เราไปที่โดมทองอีก ท่านจะจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีให้ยัยพิณกับพิชญ์” แก้วเว้นไปอีกนิด “ทำไมถึงได้เกิดจะมายินดีเอาป่านนี้ก็ไม่รู้”
พจน์พูดเรียบๆ “ก็ตอบรับไปสิ”
แก้วชะงัก “อ้าว! ก็ไหนตอนแรกคุณบอกว่าไม่ว่าง”
พจน์เงยหน้าเอนหลังพิงพนัก
“ในเมื่อผู้ใหญ่ท่านหวังดี เราก็ไม่ควรปฏิเสธ จริงไหม”
พจน์พูดพลาง ลุกขึ้นบิดตัวไปมา
ตกตอนกลางคืน โดมทองสะท้อนแสงจันทร์ข้างแรมอ่อนๆ สวยงามลึกลับ
วิรงรองรีบลุกเดินมารับโทรศัพท์ทันที พอเห็นเบอร์ก็ดีใจ
“สวัสดีค่ะ คุณลุง”
พจน์อยู่ในห้องนั่งเล่น พูดพลางชำเลืองมองข้างบนว่า แก้วจะลงมาหรือเปล่า
“สัปดาห์หน้า...ลุงจะไป โดมทอง นะ”
“ค่ะ คุณลุงจะมาถึงเมื่อไหร่คะ”
“น่าจะค่ำๆ วันศุกร์”
“งั้นงานก็อาจจะเป็นค่ำๆ วันเสาร์...คุณลุงอย่าลืมพูดกับคุณอดิศวร์นะคะ”
พจน์หัวเราะ “ไม่ลืมน่า...แล้วไม่ลืมด้วยว่าห้ามเอ่ยถึงชื่อหนูเด็ดขาดอ้อ ...ระหว่างนี้หนูควรจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาด้วยก็ดี”
วิรงรองกระตือรือร้นขึ้นมา “จริงซีคะ หนูลืมไปสนิทเลย...งั้นหนูจะไปพรุ่งนี้เลย ขอบคุณคุณลุงมากค่ะ”
วิรงรองวางมือถือลงด้วยนัยน์ตาเป็นประกายยินดี เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีก วิรงรองหยิบขึ้นมาดูแล้วรับ
“สวัสดีค่ะ...คุณพันธุ์สูรย์”
พันธุ์สูรย์อยู่ในห้องทำงาน ของออฟฟิศที่คุ้มภูไท
“คุณวิรงรอง ...ผมอยากจะพบกับคุณอุษาอีกสักครั้ง... คุณวิรงรองพอจะโน้มน้าวเธอได้ไหมครับ”
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมเป็นห่วงเธอ”
“วิจะพยายามค่ะ”
“ขอบคุณมาก...แค่นี้นะครับ”
วิรงรองวางมือถือลง ถอนใจเฮือก
“พี่อุษาคงไม่ยอมไปง่ายๆ จะกล่อมยังไงดี”
วิรงรองเดินกลับไปกลับมาอย่างใช้ความคิด
รุ่งเช้าท่านผู้หญิงสรรักษ์กำลังทานซุปอยู่ในห้อง โดยมีอุษาคอยดูแล เสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วอดิศวร์เปิดเข้ามา
ท่านผู้หญิงมองอย่างพอใจ “วันนี้เข้ามาหาย่าแต่เช้า”
“ผมจะมาเรียนคุณย่าว่า...วันศุกร์หน้า...ครอบครัวพี่แก้วจะมาโดมทองตามคำเชิญของคุณย่าครับ”
ท่านผู้หญิงวางช้อนลง นัยน์ตาเป็นประกาย “เรอะ! งั้นก็ถึงเวลาแล้วซินะ”
อดิศวร์มีสีหน้างงๆ ขณะที่อุษาก้มหน้าลง
“ถึงเวลาอะไรครับ”
นัยน์ตาท่านผู้หญิงเป็นประกายเจ้าเล่ห์แว่บหนึ่งก่อนบอก “ก็ถึงเวลาที่ทุกคนจะมีความสุขเสียทีไงล่ะ โดยเฉพาะย่า” แล้วทำทีหันไปมองอุษา “มีเสื้อผ้าหรือยังล่ะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ” อุษาบอก
“ตามใจ อยากจะเป็นนางก้นครัวเหมือนนังคนนั้นก็ตามใจ”
หญิงชราแขวะวิรงรอง
อดิศวร์เดินออกมาหน้าห้อง ติดตามด้วยอุษา อดิศวร์หันกลับมาหา
“เดี๋ยวพี่จะให้นายสมขับรถพาเธอกับวิรงรองเข้าไปในเมือง”
“ทำไมหรือคะ”
“ก็ไปตัดชุดสวยๆ น่ะซิ”
“ไม่เป็น...” อุษาพูดไม่ทันจบ อดิศวร์รีบขัดขึ้น
“เป็นไรซิ...เอาอย่างนี้...ไปหาชุดสำเร็จรูปดีกว่า ตัดอาจจะไม่ทัน...พาแสงแขไปอีกคน”
“แสงแขไปสั่งตัดเรียบร้อยแล้วค่ะ” อุษาบอก
“อ้าว ! แล้วทำไมเธอกับวิรงรองไม่ไปด้วย”
อุษานิ่งไป
“งั้นขึ้นไปตามวิรงรองเดี๋ยวนี้เลย”
อดิศวร์สั่งเสียงเข้ม
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 8 (ต่อ)
ไม่นานนัก อุษามาบอกวิรงรองตามที่อดิศวร์สั่ง
“วิไม่ไปค่ะ” วิรงรองเว้นไปอีกนิดก่อนบอก “ไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณใคร อีกอย่าง วินัดกับลานนาแล้วว่าจะไปทำบุญกัน”
“โธ่ ไปเถอะค่ะ...เดี๋ยวคุณลบโกรธเอา”
“อ้าว ก็ช่างเขาซิคะ อยากโกรธก็โกรธไป”
“งั้นก็ไปเป็นเพื่อนพี่” อุษาว่า
วิรงรองยิ้ม “อย่ามาพูดเลย วิไม่หลงกลหร้อก พี่อุษาไปบอกตามนี้เลยค่ะ รับรองว่าเขาไม่สนหรอกว่าวิจะไปหรือไม่ไป...เพราะวิไม่ใช่คนสำคัญของงาน”
อุษาถอนใจยาว แล้วเดินเปิดประตูออกไป แต่ต้องสะดุ้ง เมื่อเห็นอดิศวร์ยืนหน้าห้องเหมือนจะรออยู่
“เขาไม่ยอมไปใช่ไหม”
อุษาพึมพำ “ค่ะ”
อดิศวร์ก้าวเข้ามาในห้องทันที “เธอต้องไป”
“เสียใจค่ะ ฉันนัดกับลานนาไว้แล้ว”
“นัดกับลานนา...แต่ถ้าพี่ชายลานนาจะไปด้วยก็ไม่เป็นไร”
อุษายกมือทาบอก
อดิศวร์คว้าข้อมือวิรงรองอย่างถืออำนาจ “เธอต้องไปกับฉัน ฉันจะพาไปซื้อเสื้อผ้า”
“เสื้อผ้ามีเยอะแล้ว ฉันจะไปทำบุญ”
อดิศวร์ชะงัก รวมทั้งอุษาด้วย
“ทำบุญอะไร”
“ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณทุกดวงที่ยังวนเวียนอยู่ที่นี่ เข้าใจหรือยังคะ”
วิรงรองเดินตัวตรงคอตั้งบ่าออกไป โดยมีอดิศวร์มองตามเคร่งขรึม ส่วนอุษาใจหายใจคว่ำ
พิณทองอยู่ที่บ้านพิชญ์ กำลังโทรศัพท์คุยกับอดิศวร์ซึ่งอยู่โดมทองด้วยดวงตาเบิกกว้าง ประหลาดใจสุดๆ
“อะไรนะคะ น้าลบ ช่วยพูดให้พิณฟังอีกครั้งได้มั้ยคะ”
“น้าลบขอให้คุณพิณช่วยเลือกซื้อชุดไปงานกลางคืนสวยๆ ให้วิรงรองหน่อย คุณพิณคงพอจะกะขนาดตัวเขาได้”
พิณทองหัวเราะขัน “นี่เขารู้เรื่องหรือเปล่าคะ”
“ไม่รู้”
“อ้อ...จะเซอร์ไพร้ส์” พิณทองแซว
“เปล่า น้าจะขอให้เขาใส่วันงานของคุณพิณไง”
พิณทองพูดทีเล่นทีจริง “งั้นพิชญ์ก็คงไม่มองพิณเลยน่ะซีคะ”
“น้าลบรับรองว่า หลังจากงานนี้ เขาจะไม่มองวิรงรองอีกเลย”
“ทำไมคะ น้าลบมีแผนการอะไร”
“ทำตามที่น้าบอกก็แล้วกัน...อ้อ แล้วอย่าเพิ่งบอกใครเด็ดขาด”
“โอเค ค่ะ พิณไว้ใจน้าลบ”
“และน้าลบจะไม่ทำให้คุณพิณผิดหวังแน่”
พิณทองมีสีหน้าตื้นตันมาก “ขอบคุณค่ะ”
อดิศวร์วางโทรศัพท์ลง ด้วยสีหน้ามุ่งมั่นมาดหมาย
บริเวณวัดอันสงบร่มเย็น พระและเณร กำลังช่วยกันกวาดลานวัด ส่วนภายในศาลาทั้ง 4 คน ภูไท ลานนา วิรงรอง และ พันธุ์สูรย์ ร่วมกันถวายสัฆทาน โดยภูไทเป็นคนนำสวดมนต์บทถวายสังฆทาน
พระเจริญพุทธมนตร์อวยชัยให้พร 4 คนกรวดน้ำ
จากนั้น ทั้ง 4 เดินกันมาเรื่อยๆ ด้วยสีหน้าอิ่มเอิบสบายใจเมื่อได้ทำบุญ
“สบายใจมั้ยวิ” ลานนาถามขึ้น
“มากเลยจ้ะ” วิรงรองยิ้มกว้าง
“ทำบุญเสร็จก็ต้องทำงาน” ภูไทว่า
วิรงรองหันมาทางพันธุ์สูรย์ ซึ่งเดินเงียบๆ สีหน้าครุ่นคิดตลอดเวลา “คุณพันธุ์สูรย์กำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่คะ”
“ผมกำลังคิดว่า บรรดาญาติพี่น้องหรือลูกหลานของท่านเจ้าคุณจะเคยทำบุญไปให้ท่านหรือเปล่า”
“นายก็เกินไป...ยังไงเขาก็ต้องทำให้กันอยู่แล้ว” ภูไทติง
แววตาพันธ์สูรย์ปรากฏริ้วรอยเยาะๆ ขณะมองไปข้างหน้า “เจ้ายังไม่รู้จักคนบ้านนี้ดี”
วิรงรองชำเลืองมองพันธุ์สูรย์ด้วยสีหน้าแววตาครุ่นคิด
ครู่ต่อมาทั้ง 4 คน ต่างปล่อยนกปล่อยปลากันไปตามประเพณี จังหวะหนึ่งวิรงรองเดินเข้ามาใกล้พันธุ์สูรย์ ซึ่งกำลังมองดูปลาที่ปล่อยลงน้ำไป
“วิรู้แล้วล่ะค่ะ ว่าจะพาคุณอุษาไปพบกับคุณพันธุ์สูรย์วันไหน”
พันธุ์สูรย์หันขวับมามองทันที
“วันงานไงคะ”
“งานอะไรครับ” พันธุ์สูรย์ฉงน
“ก็งานที่ท่านผู้หญิงจะจัดให้เป็นเกียรติกับคุณพิณทองหลานสาวกับคุณพิชญ์หลานเขย”
“อ้าว ! ก็เพิ่งกลับไปไม่ใช่หรือครับ” พันธุ์สูรย์ยิ่งงง
“ค่ะ”
“งั้นท่านผู้หญิงก็ต้องมีแผนบางอย่างแน่” พันธุ์สูรย์บอกอย่างมั่นใจ
“คงจะไม่ถึงขนาดนั้น”
“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ”
วิรงรองหัวเราะ
“ท่านไม่ธรรมดาหรอก! ไม่เชื่อก็คอยดูไป”
พันธุ์สูรย์บอก
ค่ำแล้ว อาณาเขตโดมทองตกอยู่ในความมืด ทุกคนรับประทานเงียบๆ อยู่ภายในห้องอาหาร มีอุไรคอยดูแล
“แสงแข...เห็นคุณย่าบอกว่าเธอไปตัดเสื้อผ้าสำหรับใส่ในงานแล้วหรือ” อดิศวร์เอ่ยขึ้น
แสงแขประหลาดใจแล้วยิ้มรับด้วยดวงตาวิบวับ
“ค่ะ…แขเลือกสีเขียว” พูดแล้วรีบอุดปากตัวเอง “ว้าย...ลืมไป ยังไม่น่าเรียนให้คุณลบทราบเลย...เดี๋ยวไม่ตื่นเต้น”
“แค่บอก...ยังไม่ได้เห็นนี่...ถ้าเห็นอาจจะตื่นเต้นก็ได้”
แสงแขนัยน์ตาเป็นประกาย มองอดิศวร์อย่างจงรักภักดีเต็มเปี่ยม ขณะที่วิรงรองเม้มปากแล้วทำเป็นกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ส่วนอุษามองทุกคนด้วยความกังวล ในขณะที่อุไรเองก็อดแปลกใจไม่ได้กับท่าทีของอดิศวร์ที่มีต่อแสงแข
“แหม...แขอยากจะเรียนให้คุณลบทราบอีกข้อ”
“อะไรล่ะ”
แสงแขทำจริตเล็กๆ ขวยเขิน “ไม่เอา...ยังไม่บอกดีกว่า...ต้องเก็บไว้เป็นความลับบ้าง”
“ป้าอุไรจ๋า...เพิ่มข้าวให้วิอีกทัพพีนึง” วิรงรองเอ่ยขึ้น
อุษาและอุไรแปลกใจ ขณะที่อดิศวร์มองมาตาขวาง
“เอ้อ วันนี้คุณวิทานข้าวได้มากกว่าทุกวัน” อุไรว่า
“นั่นซิ! วิไม่เคยเจริญอาหารเท่านี้มาก่อน...อะไรๆ ก็อร่อยไปหมด…กับข้าวทุกอย่างหวานจนน้ำร้องกราว”
อดิศวร์หน้าตึง ด้วยรู้ว่าถูกกระทบ
“ระวังจะอ้วนนะจ๊ะ แม่วิรงรอง กินเข้าไปเยอะๆ น่ะ” แสงแขเรียกจิก แต่ทำเป็นหวังดี
“อ๋อ! ไม่อ้วนหรอกจ้ะ แม่แสงแข ระบบเผาผลษญดีซะอย่าง” วิรงรองจิกกลับ
“ต๊าย! คุณลบขา! ฟังมันพูดกับแขซิคะ” แสงแขฟ้องอดิศวร์
“เธอควรจะพูดกับแสงแขเขาให้ดีๆ” อดิศวร์ติง
“ขนาดผู้ดีอย่างคุณแสงแขยังพูดได้ก็แสดงว่าเป็นคำพูดที่ผ่านการกลั่นกรองมาแล้ว ดิฉันก็เลยพูดตาม” วิรงรองย้อน
“คุณลบ...มันไม่มีลดราวาศอกให้แขเลยล่ะ” แสงแขฟ้องอีก
“รุ่นนี้แล้วก็มีแต่แจก แถมจ้ะ...ไม่มีลดเด็ดขาด” วิรงรองตักแกงกิน โดยไม่สนใจแสงแขกับอดิศวร์ “อร่อยจัง”
ภายในครัวหลังมื้อค่ำแสงแขหมุนตัวไปรอบๆ อย่างมีความสุข โดยมีโอบอ้อมยืนมองอย่างปลาบปลื้ม
“ในที่สุด ฉันก็เป็นผู้ชนะ ฉันเอาชนะใจคุณลบได้”
“โถ...แม่คุณแม่ทูนหัว...โอบน่ะปลาบปลื้มจนน้ำตาแทบจะไหลแล้วล่ะค่ะ คุณแขขา...พอคุณแขแต่งงานกับคุณลบแล้วอย่าลืมปฏิวัติโดมทองด้วยนะคะ...เอาแบบมี ที.วี.ดู มีเน็ตเล่น มีโทรศัพท์ใช้โดยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ อีกต่อไป”
“จะบ้าเรอะ! คุณย่าจะได้แหกอกฉันตายน่ะซียะ! คงต้องรอให้ยายแก่นั่นตายก่อน ซึ่งก็คงอีกไม่นานเกินรอ”
“คอยดู๊...โอบจะแต่งหน้าทาปาก นุ่งกระโปรงสวยๆ บ้าง เบื่อไอ้ผ้าถุงพวกนี้เต็มแก่แล้ว” โอบโอ้มพูดเรื่อยเจื้อย
“นังโอบ”
โอบอ้อมสอพลอต่อ “เจ้าขา! โอบแต่งยังไงก็คงไม่ได้ขี้เล็บของคุณแขอยู่แล้วละค่ะ คุณแขน่ะสุดแสนจะสวย...เอางี้ดีไหมคะ...นุ่งกางเกงขาสั้นเลยคุณแขขาสวยอยู่แล้ว”
แสงแขดุแกมปลื้ม “บ้า”
รุ่งเช้าทุ่งพลับพลึงปลิวไสวตามลม วิรงรองเดินช้าๆ เข้ามา สีหน้าแววตาดูเซ็งๆ เหมือนเบื่อโลกตั้งแต่คืนวาน วิรงรองทรุดตัวลงนั่งกลางดงพลับพลึงนั้น แล้วทอดสายตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะเด็ดมาหมุนเล่นในมือ
“จริงซิ ฉันมันก็แค่ดอกพลับพลึง ที่ไหนจะสวยมีค่าเหมือนดอกกล้วยไม้”
ภาพที่โต๊ะอาหารมื้อค่ำ ตอนแสงแขและอดิศวร์พูดคุยกันอย่างสนิทสนมผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“ดี...เขาหมั้นกันแล้ว ฉันจะได้กลับบ้านเสียที”
วิรงรองหลับตาลง เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น วิรงรองสะดุ้ง ก่อนจะหยิบขึ้นมา พอเห็นชื่อสีหน้าก็ดีขึ้นทันที
“ไงจ้ะ เรือโท อนิรุทธิ์ หายเงียบไปเลยนะ”
อนิรุทธิ์โทร.มาจากห้องพักในโรงแรม
“อย่าว่าแต่ผมเลย คุณก็เงียบเหมือนกัน ว่าแต่ตอนเนี้ยยังอยู่หรือเปล่า”
“เปล่า วิว่างมากเลย กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางดอกพลับพลึง”
“งั้นออกมาคุยกันหน่อยได้ไหม คิดถึง...” สีหน้าแววตาเรือโทหนุ่มบอกความรู้สึกจากใจจริง
“ได้ซิ กำลังเซ็ง เหมือนกัน ...เฮ้ ... รุทธิ์อยู่ที่ไหนน่ะ”
“โรงแรม เดี๋ยวจะไปรับ”
อนิรุทธิ์ปิดโทรศัพท์
เวลาผ่านไป สมเดินตามวิรงรองมาที่ประตู ซึ่งอนิรุทธิ์ยืนพิงรออยู่
“คุณหนูบอกคุณลบไว้แล้วนะครับ” สมถาม
“หนูจะฝากให้ลุงช่วยบอกอยู่นี่ไงล่ะคะ”
สมงง “อ้าว”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า หนูรับผิดชอบเอง”
สมยิ่งหน้าขรึมลงไปอีก
“หนูว่าลุงยิ้มบ้างก็ได้นะ ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ไม่เคยเห็นลุงยิ้มเลย หรือว่าเป็นกฎของบ้านนี้ที่ห้ามคนยิ้มจ้ะ”
สมนิ่งอึ้งไป สีหน้ายิ่งเฉยลงไปอีก จนดูเหมือนหน้ากาก
วิรงรองเดินแกมวิ่งตรงมาที่อนิรุทธิ์
“เอ๊ะ นี่รถรุทธิ์นี่”
“ใช่...ผมขับรถมาจากกรุงเทพฯ” พลางเปิดประตูให้วิรงรองเข้าไปนั่ง
“โห ไม่เหนื่อยแย่เหรอ” !
อนิรุทธิ์ขึ้นรถขับไป “เหนื่อยก็ไม่ขับมาน่ะซิ ...ผมขับมาเรื่อยๆ ไม่ได้รีบร้อน...เหนื่อยก็แวะทัก อีกอย่าง...จะได้ไปไหนๆ ได้โดยไม่ต้องพึ่งใคร”
“เอ๊ะ พูดแปลกๆ”
อนิรุทธิ์ยิ้มนิดหนึ่ง “จะไปไหนก่อนดี”
วิรงรองอ้าปากจะตอบ อนิรุทธิ์ดักคอ
“อย่าบอกนะว่า จะไปบ้านยัยลานช้างลานนานั่น”
วิรงรองหัวเราะ “บ้า เขาชื่อลานนาย่ะ ขับไปที่นั่นแหละ จะบอกทางให้”
“เฮ้ย พูดจริงน่ะ”
วิรงรองพยักหน้าหนักแน่น “ขับไป”
อนิรุทธิ์ถอนใจเฮือกเซ็งสุดๆ
ส่วนอุษายืนก้มหน้านิ่งอยู่หน้าโต๊ะทำงาน ขณะที่อดิศวร์ยังคงยืนหันหลังให้ ในที่สุดอดิศวร์ก็หันกลับมา
“ไปได้แล้ว”
“ค่ะ” อุษาพยายามหักห้ามความกลัว “เอ้อ...คุณลบอย่าไปดุลุงสมเลยนะคะ แกกลัวคุณลบจะแย่”
“ฉันจะมีสิทธิ์ไปโกรธใครได้...ถึงวิรงรองตัวต้นเหตุ ฉันก็ไม่โกรธ”
ปากบอกไม่โกรธ แต่หน้าตาอดิศวร์ยามนี้ เย็นชาน่ากลัว
“ค่ะ” อุษาพึมพำเบาๆ แล้วเดินออกไปเงียบๆ
อดิศวร์เดินมาทรุดตัวลงนั่ง ด้วยสีหน้าเยือกเย็น
อุษายืนสูดลมหายใจอยู่หน้าห้อง แล้วค่อยๆ ผ่อนออกมา
“ปากบอกไม่โกรธ แต่หน้าตายิ่งกว่าใครอีก”
อุไรเดินเข้ามาหา
“ท่านผู้หญิงให้มาตามคุณอุษาค่ะ”
อุษาพยักหน้า ออกเดิน
“วันนี้ไม่ทราบท่านผู้หญิงเป็นอะไร” อุไรเปรยขึ้น
อุษาหยุดเดินหันขวับมาทันที “ทำไม”
“อารมณ์ดีผิดปกติค่ะ ธรรมดาถ้าอุไรจามในห้อง ท่านต้องตวาดแล้วว่า เอาเชื้อโรคมาปล่อย จะแกล้งให้ท่านตายเร็วๆ แต่วันนี้...ท่านกลับบอกแค่ว่า...ระวังหน่อยย่ะ”
อุษาหันหลังเดินต่อไปเงียบๆ
ส่วนในห้อง ท่านผู้หญิงสรรักษ์ กำลังนั่งเลือกชุดเครื่องประดับด้วยสีหน้าแววตาวาววามเต็มไปด้วยความสุข ราวกับจะได้ไปงานใหญ่
อุษาเดินเข้ามา ตามด้วยอุไร ทั้ง 2 ชะงักมองภาพนั้นด้วยความประหลาดใจ
ท่านผู้หญิงเหลือบมองแว่บหนึ่ง “เข้ามานี่ซิยะ มัวแต่ยืนเบิ่งอยู่ได้”
2 คนรีบคุกเข่าลง แล้วคลานเข้าไปใกล้
“ช่วยเลือกให้ฉันหน่อยว่าจะใส่ชุดไหนดี”
“เพชรดีไหมคะ” อุษาแนะ
ท่านผู้หญิงหยิบสร้อยเพชรขึ้นมา “ก็ดีเหมือนกัน”
“แล้วชุดล่ะคะ”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์จ้องอุษาเขม็ง “ล้น แก่แล้วก็ยังล้นอีก” หญิงชราเว้นนิด นัยน์ตามองตรงไปข้างหน้าราวกับจะทบทวนความทรงจำ “เสื้อผ้าสวยๆ ของฉันอยู่อยู่ในห้องเก็บของ ฉันพับเก็บทุกชุดกับมือ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณย่าจะตัดเสื้อใหม่...”
“ตัดทำไม เสื้อผ้าของฉันสวยๆ ทั้งนั้น”
นัยน์ตาท่านเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจ
ไม่นานต่อมาอุษาเข็นรถพาท่านผู้หญิงสรรักษ์มาจนถึงหน้าห้องเก็บของ อุไรมีสีหน้าตื่นเต้น นึกถึงเหตุการณ์วันที่เดินมากับวิรงรอง
“คิดถึงคุณวิจัง” อุไรพึมพำ
ท่านผู้หญิงหยิบกุญแจที่ชายพกส่งให้อุษาเพื่อไข อุษายอบตัวลงรับ แล้วไขพลางเปิดประตูออก
“คุณย่าบอกอุษาว่าอยู่ตรงไหน อุษาจะเข้าไปให้นะคะ...ข้างในฝุ่นเต็มไปหมด คุณย่าเข้าไปเดี๋ยวจะไม่สบาย”
“เข็นฉันเข้าไป”
อุษาจำใจเข็นรถเข้าไป ท่านผู้หญิงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก อุไรตามเข้าไป กวาดตามองไปโดยรอบเช่นเดียวกับอุษา
ท่านผู้หญิงตวาด “มองอะไร”
สองคนสะดุ้ง
“ไปที่หีบใบใหญ่นั่น” หญิงชราสั่ง
อุษาเข็นท่านไปที่หีบนั้น ขณะที่อุไรมองไปที่ผ้าดำซึ่งคลุมรูปอยู่
“ไขกุญแจ” ท่านผู้หญิงชี้บอก “นั่น...ดอกนั้น”
อุษาทำตาม ไขกุญแจเปิดหีบออก เห็นภายในหีบมีห่อผ้าวางซ้อนกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
ทันใดนั้นก็มีสายลมพัดวูบผ่านหน้าอุษาไป ซึ่งน่าประหลาด เพราะอุษารู้สึกเพียงคนเดียว
อุษารู้สึกหนาวยะเยือก หันไปมองมุมหนึ่ง แล้วชะงัก เมื่อผ้าคลุมสีดำที่คลุมรูปหนึ่งอยู่ปลิ้วขึ้น เผยให้เห็นภาพที่อยู่ข้างใน เป็นภาพวาดคุณพลับพลึง!
ด้านแสงแขเปิดประตูเข้ามาในห้อง มองโอบอ้อมซึ่งมีสีหน้าแววตาตื่นเต้น
“มีอะไร”
“ท่านผู้หญิงค่ะ ท่านให้คุณอุษากับอุไรเข็นรถไปที่ห้องเก็บของ”
แสงแขแปลกใจ “ไปทำไมที่นั่น มีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด”
สามคนกลับเข้าห้องท่านผู้หญิงด้วยกัน อุษายังคงมีสีหน้าครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้อยู่
ส่วนท่านผู้หญิง มองชุดลูกไม้อย่างดีที่ตัดเย็บอย่างประณีต ซึ่งวางอยู่บนเตียงนอน สีสันซีดลงด้วยกาลเวลา แต่ยังสวยงาม
“นังอุษา มัวแต่นั่งเป็นเบื้อเป็นใบ้ ฉันถามว่าเสื้อของฉันสวยไหม”
อุษาสะดุ้ง พูดแบบเกรงใจ “สวยมากค่ะ แต่ออกจะ เอ้อ...เก่าไปสักนิด”
“ตาต่ำ” หญิงชราด่า
อุษานิ่งเงียบ
“ลูกไม้นี่ ท่านเจ้าคุณซื้อจากฝรั่งเศสมาให้ฉัน ยังจำได้ว่าฉันใส่ชุดนี้ ฉลองวันเกิดครั้งสุดท้ายของท่าน...เวลามันผ่านไปนานเหลือเกิน”
ขณะพูดน้ำตาท่านผู้หญิงรื้นขึ้นมา พลางยกมือลูบบนเสื้อชุดนั้นอย่างทะนุถนอมเบามือ
“ถ้าไม่มีนังพลับพลึง...บางที...เราคงจะอยู่ด้วยกันมาจนถึงทุกวันนี้”
ท่านผู้หญิงสรรักษ์อยู่ในท่าทางเศร้าลึกซึ้งครู่หนึ่งแล้วจึงซับน้ำตา
“ออกไปได้แล้ว”
“เอ้อ...” อุษามองเสื้อ
ท่านผู้หญิงเสียงเข้มขึ้น “ออกไป”
2 คนออกไปตามคำสั่ง โดยท่านผู้หญิงยังคงอยู่ในอิริยาบถเดิม
ทั้งสองเดินออกมาหน้าห้อง อุไรถามขึ้น
“คุณอุษาจะให้ท่านใส่ชุดนั้นจริงๆ หรือคะ”
“มีใครบังคับคุณย่าได้บ้าง”
“นั่นซีคะ” อุไรนึกได้ “นอกจากคุณลบ”
อุษามีสีหน้าครุ่นคิด
ฝ่ายท่านผู้หญิงลูบเสื้อสวยตัวนั้นแล้วยกขึ้นทาบตัว หลับตาลงเหมือนจะรื้อฟื้นความทรงจำรำลึกครั้งก่อนเก่า
เวลานั้นเจ้าพระยาสรรักษ์ไกรณรงค์ในวัยประมาณ 50 ปีกว่าๆ นอนอยู่บนเตียง ไอโขลกๆ เป็นระยะ จนประตูเปิดออก ท่านผู้หญิงในชุดผ้าลูกไม้ สีสันสดใสสวยงามเดินเข้ามา
“อ้าว คุณพี่ยังไม่แต่งตัวอีกหรือคะ”
“ฉันคงไปไม่ไหว”
ท่านผู้หญิงสวนทันที “ไม่อยากทำบุญร่วมชาติตักบาตรร่วมขันกับดิฉันก็บอกมาเถอะ ไม่ต้องมาแก้ตัว”
ท่านเจ้าคุณมีท่าทางอ่อนเพลีย “แม่มณฑา...แม่มณฑาก็เห็นว่าฉันไม่สบาย”
“ก็แล้วใครทำล่ะคะ คุณพี่ทำตัวของคุณพี่เอง จะโศกเศร้าโศกาอาดูรพูนเทวษไปถึงไหน นังพลับพลึงมันหนีตามผู้ชายไปเป็นสิบๆ ปีแล้ว ป่านนี้อาจจะมีลูกเต็มบ้าน หลานเต็มเมือง”
ท่านเจ้าคุณมีสีหน้าเจ็บปวด “พอที”
ท่านผู้หญิงเลือดขึ้นหน้า “ยังไม่พอ คุณพี่ต้องยอมรับความจริงให้ได้ว่ามันไปตามทางของมันแล้ว แต่ดิฉันยังอยู่ .... ตาน้อยลูกของเราก็ยังอยู่”
“พลับพลึงก็ยังอยู่” ท่านเจ้าคุณบอก
ท่านผู้หญิงสะดุ้ง
ขณะท่านเจ้าคุณพูด ดวงตาเหม่อลอย “ตอนดึกๆ ฉันยังได้ยินเสียงเขาร้องเพลง เพลงนางครวญ...บางทีเขาก็เข้ามาหาฉันในห้องนี้”
“เป็นไปไม่ได้”
ท่านเจ้าคุณหลับตาลง ขณะบอก “อีกไม่นานพลับพลึงจะมารับฉัน”
ท่านผู้หญิงมองเจ้าคุณด้วยสีหน้าแววตาอำมหิต “ไม่มีวัน คุณพี่จะไม่มีวันได้พบกับนังพลับพลึงอีก ไม่ว่าชาตินี้หรือว่าภพไหนๆ ฉันจะตามขัดขวางตลอดไป”
นึกเรื่องนี้ขึ้นมา มือท่านผู้หญิงสรรักษ์เกร็งกำเสื้อชุดนั้นไว้แน่นจนเส้นที่มือปูดโปน ใบหน้าของหญิงชราบิดเบี้ยวด้วยความเคียดแค้นพยาบาทอย่างรุนแรง
“อยากรอก็รอไป รอจนกลายเป็นสัมภเวสีทั้งคู่”
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วอดิศวร์จึงเดินเข้ามานั่ง มองท่านผู้หญิงและชุดด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“ชุดสวยนี่ครับคุณย่า”
ท่านผู้หญิงยิ้มดีใจ “สวยจริงหรือ! ย่าจะใส่วันงานของลบ”
อดิศวร์แปลกใจ “งานของผม”
“ย่าหมายถึงงานที่ลบจะจัดให้ลูกสาวแม่แก้วน่ะลูก”
อดิศวร์ยิ้ม “ชุดนี้สวยมากก็จริง แต่เก่าไปหน่อย”
ผู้เป็นย่าเริ่มหน้าบึ้ง อดิศวร์พูดเรื่อยๆ โดยทำเป็นไม่สังเกต
“ผมอยากให้คุณย่าสวยสง่าไม่มีที่ติในคืนนั้น”
ท่านผู้หญิงจึงค่อยๆ คลายคิ้วที่ขมวดออก
“เอาอย่างนี้ ผมจะพยายามหาผ้าลูกไม้ที่สวยใกล้เคียงกับเสื้อชุดนี้ที่สุด แล้วก็ตัดแบบเดียวกันให้คุณย่า”
ท่านผู้หญิงพึมพำราวกับตกอยู่ในภวังค์ “ย่าจะต้องเด่นที่สุดในงานเหมือนทุกครั้ง”
“ใช่ครับ”
“แม้แต่นังพลับพลึงก็สู้ไม่ได้”
อดิศวร์บอกด้วยเสียงอ่อนโยน เอาใจ “ไม่มีใครสวยสู้คุณย่าได้เลย”
“ได้...ลบไปจัดการให้ย่า เอาชุดนี้ไปเป็นตัวอย่าง”
“ได้ครับ”
“บางที...บางที...เจ้าคุณปู่ของลบอาจจะมาด้วย แล้วท่านจะต้องเสียใจที่หลงผิดไปรักนังพลับพลึง”
สีหน้าดวงตาท่านผู้หญิงวาววับไปด้วยความหวัง ในความรู้สึกกึ่งจริงกึ่งฝัน
อดิศวร์ยื่นชุดนั้นให้แสงแข สองคนอยู่ที่ห้องทำงานอดิศวร์
“เอาชุดนี้ไปเป็นตัวอย่างตัดแบบเดียวกันให้คุณย่า”
“ได้ค่ะ ร้านที่แขไปตัดเสื้อมีผ้าลูกไม้สวยๆ เยอะแยะไปหมด”
“บอกให้เขาเลือกสีกับลายให้ใกล้เคียงของเก่ามากที่สุด”
“ค่ะ! แขจะไปเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอบใจ”
แสงแขนึกได้ แล้วหันกลับมา
“คุณลบคะ...ถ้าเผื่อเขาตัดไม่ทันวันศุกร์หน้า”
“ไม่เป็นไร พี่ลืมบอกไปว่า คุณพิณขอเลื่อนเป็นวันศุกร์ต้นเดือน...เธอช่วยขอร้องเขาตัดให้ทันก็แล้วกัน”
“ค่ะ” แสงแขมีสีหน้าแสดงความผิดหวังเล็กน้อย แล้วเดินออกไป
แสงแขก้าวออกมาหน้าห้อง แล้วปิดประตูด้วยสีหน้าหงุดหงิด
“นังพิณทองตัวดี มัวแต่เลื่อนไปเลื่อนมา เดี๋ยวคุณลบก็รู้แผนหมดหรอก”
ด้านอุษายืนกอดอกอยู่ริมหน้าต่างห้องครัว แล้วมองไปข้างหน้าด้วยสีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิด ภาพเหตุการณ์ในห้องเก็บของผุดเข้ามาในห้วงความคิด
ขณะที่อุษายังคงเพ่งมองภาพนั้นอยู่ จนมีเสียงท่านผู้หญิงเรียกดังขึ้น
“นังอุษา”
อุษาหันกลับมา สีหน้าเหมือนงงๆ “คะ...คุณย่า”
“แกมองอะไร”
“ภาพนั้นค่ะ”
อุษาหันไปชี้ ทุกคนหันไปมองตาม เห็นผ้าดำหนาหนักยังคงคลุมรูปนั้นอยู่เป็นปกติ
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “ทำไม”
“เมื่อกี้ลมพัดเข้ามา...ผ้าคลุมเปิดออก”
อุไรมองอุษางงๆ
“ลมอะไรคะ”
“ต่อให้มีลม ผ้าก็เปิดไม่ได้ เพราะมันทั้งหนาทั้งหนัก” ท่านผู้หญิงบอก
อุษาเบือนหน้าไปมองตาม “อุษาคงจะตาฝาดไปเอง”
ท่านผู้หญิงจ้องเขม็ง “แกเห็นภาพอะไร”
“เอ้อ...อุษาไม่แน่ใจค่ะ เห็นไม่ชัด...รู้แต่ว่าเป็นผู้หญิง”
นึกขึ้นมาถึงตอนนี้อุษาดึงตัวเองกลับมา ถอนใจยาวแล้วสะบัดหน้าเหมือนจะขับไล่ความคิดนั้นให้ออกไป
“สงสัยเราคงจะฟังวิรงรองเล่าเรื่องประหลาดๆ มากเกินไป”
จังหวะนี้แสงแขเดินเข้ามา ในมือถือถุงใส่ชุดท่านผู้หญิงมาด้วย
“แขจะไปข้างนอกหน่อยนะ คุณลบสั่งให้ไปจัดการเรื่องเสื้อผ้าคุณย่า” ประโยคหลังแสงแขพูดด้วยสีหน้าและท่าทางภาคภูมิใจสุดๆ
“ไปเถอะ”
แสงแขเดินเชิดออกไปอย่างภาคภูมิใจ อุษามองตามด้วยสีหน้ากังวล
อ่านต่อตอนที่ 9