ข้อความในรูปแบบนวนิยายจากบทโทรทัศน์ เรื่อง "วันนี้ที่รอคอย" และรูปภาพในเว็บไซต์ "ละครออนไลน์" เป็นลิขสิทธิ์ถูกต้องที่ บริษัท ไทยเดย์ด็อทคอม จำกัด ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่จากผู้ประพันธ์ ผู้เขียนบทโทรทัศน์ บริษัทผู้ผลิต และสถานีโทรทัศน์ หากบุคลผู้ใด นำส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมด ไปเผยแพร่ ในเว็บไซต์, บล็อกส่วนตัว ฯลฯ หรือในรูปแบบใดๆ จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทันที
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 6
วันต่อมา ที่ร้านกาแฟสไตล์วัยรุ่น บราลีนั่งใช้ไอแพด ดูข้อมูลคีรีรัฐ และรูปต่างๆ พลางดื่มเครื่องดื่มไป
“พลเมืองคีรีรัฐ...วัดชื่อดังในคีรีรัฐ...แหล่งท่องเที่ยวคีรีรัฐ เฮ้อ...นี่เรามานั่งเตรียมตัวทำงานให้ใครกันแน่เนี่ย ยัยบรีเอ๊ย”
บราลีปิดเครื่อง แล้วนั่งคิดหนัก สักพัก กดโทรศัพท์
มือถือผิงอันดังขึ้น ผิงอันกำลังส่องกระจก มองซ้ายขวาดูตุ้มหูเพชรที่จ้าวซันให้ หยุดชะงัก แล้วหยิบโทรศัพท์มาดู พอเห็นเบอร์บราลีก็ดีใจ รีบกดรับ
“เหวย”
“อึมก่อยซา ขอพูดกับคุณหนูผิงอันค่ะ”
“ไฮ...บรี เธอพูดเหมือนคนฮ่องกงแล้วนะ” ผิงอันหัวเราะ
“คุณหนูซายหมุย คือ...ชั้น...ชั้น...คือ...”
“อะไร”
“ชั้นจะ ขอลาเธอกลับบ้านแล้วนะ”
“อะไรนะ ชั้นไม่ยอมนะ”
“ฝากบอกพี่ชายเธอด้วย ว่างานรับเสด็จเจ้าชายอะไรน่ะ ชั้นไม่ทำแล้ว แล้วก็พวกแทบเล็ต และเอกสารที่จ้าวซันให้มา ชั้นจะฝากหลินจื้อเหม่ยเพื่อนชั้นเอาไปคืนให้นะ” ผิงอันจะร้องไห้
“ทำไมล่ะบรี เกิดอะไรขึ้น เธอโกรธเรื่องเมื่อวานเหรอ”
“เปล่าหรอก แต่ชั้น...ชั้นไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่ไปทำไมก็เท่านั้นเอง ไม่ได้โกรธใคร หรือไม่พอใจอะไรหรอกนะ ผิงอัน ชั้น...ชั้นขอโทษ ชั้นเสียใจจริงๆ แต่ชั้น...ชั้นอยากกลับบ้าน อยากกลับเมืองไทยเสียที แค่นี้นะ” บราลีรีบวางหูลง นั่งอึ้งๆ
ผิงอันหน้าซีด
บราลีปิดหน้า เพราะเหนื่อยใจเกินไปแล้ว แต่พอเงยหน้าขึ้น ถอนใจเฮือกใหญ่ก็สะดุ้งเฮือก เมื่อจ้าวซันยืนอยู่ตรงหน้ามองตรงมาด้วยสายตาเศร้ามาก แต่พอมองหน้ากันสักพัก จ้าวซันได้สติก็รีบยิ้ม ทำท่าปกติ เดินเข้ามา
“ชั้นคงไม่ต้องถามคุณใช่ไหมคะ ว่ารู้ได้ยังไง ว่าชั้นอยู่ที่นี่” จ้าวซันมองดูบนโต๊ะ
“กำลังเตรียมงานรับเสด็จนี่นา ขยันมากๆ สงสัยต้องให้รางวัล”
“จ้าวซันคะ ชั้นกำลังจะบอกคุณว่าชั้นจะลากลับบ้าน ชั้นเที่ยวพอแล้ว ชั้นไม่อยากดู ไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรอีกแล้ว”
จ้าวซันมองบราลีอย่าง ท้อ เหนื่อย เศร้า บราลีมองหน้า แล้วอึ้งๆ กับสีหน้าแววตาของจ้าวซัน
บราลีเดินมาเรื่อยๆ พยายามตัดใจ จ้าวซันตามมาเดินเคียง จ้าวซันง้อเหมือนง้อเด็ก
“แต่คุณยังชิมอาหารไม่ครบเลยนะ”
“อะไรนะ”
“คุณไม่อยากรู้อยากเห็นอะไรที่นี่แล้ว แต่อาจจะยังอยากกินอะไรอร่อยๆ หรือเปล่า”
“ชั้นไม่ใช่เด็กๆ นะ จะได้เอาของกินมาล่อ”
“ช่วยผมอีกครั้งเดียว แล้วค่อยไป ไม่ได้หรือครับ บรี”
“ชั้นอยากไปหาพ่อ ชั้นคิดถึงพ่อ”
“งั้นยิ่งต้องไม่กลับเลย”
“แปลว่าอะไรคะ”
“แปลว่า อีก 2 วัน พลตรีสุริยะจะมาที่นี่”
“อะไรนะคะ”
บราลีมองหน้าจ้าวซันแบบทึ่งๆ จ้าวซันมองตอบนิ่งๆ
ภายในผับบริเวณถนนลานไควฟง เหม่ยอิงยังคงนั่งคุยกับเกาเฟย บรรยากาศตึงเครียด เกาเฟยนั่งจูบมือเหม่ยอิง
“งานชิ้นแรกผมรับปาก แต่งานชิ้นที่สอง...”
“เธอก็ต้องรับปาก เพราะตอนนี้เธอรู้แผนการฉันหมดแล้ว”
“ผมขอต่อรองนิดนึงไม่ได้เหรอ”
“ไหนว่าชั้นให้ไปนรกหรือสวรรค์ก็จะไปไงล่ะ”
“แต่นี่ หากผิดพลาด จ้าวซันคงยกเว้นให้คุณหนู แต่ไม่ยกเว้นผมแน่ ผมจะไปนรกคนเดียว ไม่มีคุณหนูเคียงข้างน่ะสิ”
เหม่ยอิงดึงมือออกมาจากมือเกาเฟย
“แกอยากให้ชั้นเคียงข้างจริงเหรอ แล้ว “คนตระกูลเกาทั้ง5” ที่รอแกอยู่ล่ะ”
เกาเฟยตกใจ หน้าถอดสี
“คุณหนู ว่าอะไรนะ” เหม่ยอิงหัวเราะหยามๆ
“ก็เผอิญฉันรู้มาว่า เธอยังมีแม่ เมียและก็ลูกอีกสามคนอยู่ที่เวียดนาม ใกล้ๆ เมืองดานัง เธอไม่อยากจะกลับไปเคียงข้างพวกเขาอีกเหรอ” เกาเฟยลุกพรวด
“คุณหนูใหญ่ คุณจะทำอะไร”
“ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้คนของฉันดูแลพวกเขาทุกคนอย่างดี ไว้ถ้างานสำเร็จเมื่อไหร่ เธอจะได้กลับไปอยู่กะพวกเค้า พร้อมเงินก้อนโต สำหรับทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่เธออยากทำ”
เงียบไปสักพัก เกาเฟยก้มหน้า ยอมจำนน แล้วกลับมานั่งลงมองเหม่ยอิงด้วยความชื่นชม
“หึหึ...เก่ง...เก่งมาก คุณมีความเป็นผู้นำที่จ้าวฉินเจียงไม่มี และก็มีความโหดเหี้ยมเด็ดขาด ที่จ้าวซันเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน ถึงจะเป็นผู้หญิงแต่ก็สามารถกุมอำนาจตระกูลจ้าวไว้ในอุ้งมือได้อย่างแน่นอน”
“บางทีฉันอาจทำได้ดีกว่าจ้าวไทไทด้วยซ้ำไป”
“ตกลง ผมยอมและยินดีร่วมมือกับคุณ ทุกๆ งาน”
เหม่ยอิงยิ้มอย่างผู้มีชัย
จ้าวซันขับรถมาโดยมีบราลีนั่งข้าง
“คุณจะทำอะไรกับประเทศคีรีรัฐก็เชิญคุณทำตามที่ได้วางแผนไว้ แต่กรุณาอย่าเอาชั้นกับพ่อเข้าไปเกี่ยวข้องได้ไหมคะ”
จ้าวซันกำลังขับๆ เบรกรถเอี๊ยด จ้าวซันชิดจอดรถจนสนิท แล้วหันมา หน้าเครียด
“ใครสอนให้คุณพูดแบบนี้”
“ทำไมจะต้องมีใครสอน ชั้นพูดเอง คุณมาจากประเทศนั้น คุณมีเรื่องการเมืองอะไรที่ชั้นก็ไม่อยากรู้ ส่วนชั้นคือคนนอก คุณจะดึงชั้นเข้าไปเกี่ยวทำไม”
“คนนอก คุณน่ะเหรอคนนอก”
“ค่ะ”
“จริงสิ คุณไม่ควรเลย ไม่ควรต้องมารับรู้อะไรอีกแล้ว คุณพูดถูก ผมไปเอาคุณมาพัวพันกับการรับเสด็จศิขรนโรดมทำไม ไหนจะมีไอ้พวกชั่ว โอเค...เป็นอันตกลง คุณไม่ต้องทำงานนี้แล้ว”
จ้าวซันพิงเบาะ กุมพวงมาลัยนิ่งๆ บราลีมองๆ แล้วเกิดสงสารแปลกๆ
“คุณจำเป็นมากเหรอ ที่ต้องลงมือทำอะไรแบบนี้”
“หือ”
“คุณเป็นจ้าวซัน อยู่ที่ฮ่องกง ร่ำรวยแล้ว สบายแล้ว คุณจะไปสนใจใยดีอะไรกะไอ้ประเทศเล็กๆ ที่คุณจากมาตั้งนมนาน ปล่อยพวกเค้าไปตามยถากรรมเถอะค่ะ”
จ้าวซันมองหน้าบราลี ทำหน้าแปลกๆ แล้วทันใด ก็ระเบิดหัวเราะออกมาแบบงอหาย ท้องคัดท้องแข็ง บราลีมองงง
“จริงของคุณนะ คุณพูดถูกทุกอย่างเลย ดีมากเป็นอีกแนวทางนึง ที่ผมควรเอาไปพิจารณามากๆ”
“คุณหัวเราะเยาะฉันเหรอ”
“เปล่า ผมถูกใจจริงๆ โดนใจมาก”
“คุณนี่ก็เหมือนคนโรคจิตนะ เดี๋ยวดุ เดี๋ยวใจดีเดี๋ยวเศร้า เดี๋ยวหัวเราะ อะไรก็ไม่รู้”
“นี่ก็ใช่ คุณพูดถูกอีก ผมนี่มันน่าจะเป็นบ้าไปซะให้รู้แล้วรู้รอดนะ ถ้าบ้าไปซะแต่แรก ป่านนี้ก็สบายแล้ว”
“คุณ...จะทำอะไรเจ้าชายศิขรคนนั้นเหรอ” จ้าวซันส่ายหัว
“ผมก็จะดูแลเขาอย่างดีน่ะสิ รู้ไหม ผมต้องใส่ใจในรายละเอียดขนาดไหน ผมต้องไปหาเพลงสำหรับที่จะเปิดขับกล่อมให้เขาผ่อนคลายในห้องพักด้วยนะ เขาโปรดเพลงพื้นเมืองคีรีรัฐกับเพลงสำเนียงล้านนา หมายถึงเพลงทางเหนือของไทย โดยเฉพาะเพลงยุคเก่าๆ เพลงใหม่ๆ ไม่เอา แล้วผมจะไปหาที่ไหนได้ล่ะเพลงคีรีรัฐน่ะ แต่เพลงล้านนาไทย พอหาได้จำนวนนึง” จ้าวซันหยิบซีดีไทยขึ้นมาโชว์ “คุณฟังเป็นไหม เพลงไทย ทคงไม่สินะ คุณต้องฟังแต่เพลงฝรั่งอยู่แล้ว” จ้าวซันแกะซีดีใส่ในเครื่องเล่นในรถ “ที่จริงผมก็ไม่ได้ฟังเพลงไทยมานานแล้วนะ ตอนเด็กๆ เรา...ก็เคยอยู่เชียงใหม่กันมาแป๊บนึงเนอะ ก็คิดถึงอยู่เหมือนกัน”
“เรา?”
“อ๋อ ผมหมายถึง ผม...กับ ครอบครัว” ทันใดนั้นเพลงที่ดังออกมา คือเพลงน้อยไจยา “ถ้าคุณไม่อยากยุ่ง ก็ไม่ต้องมาหรอก บราลี รอพ่อคุณมารับกลับบ้านก็ได้ แล้วถ้าผมเสร็จธุระ ผมจะตามไปเที่ยวเมืองไทยของคุณบ้าง คุณ...”
จ้าวซันหันมา แล้วงงๆ เพราะบราลีชะงัก มีอาการตัวแข็ง ตาโพลง
“เพลงนี้...ชั้นรู้จัก” บราลีหันมาบอก
“อ๋อ เพลงน้อยไจยา คุณรู้ไหม คำว่าน้อยหมายถึงคนที่บวชเณร แล้วสึกออกมา เหมือนพระที่สึก เรียกว่าทิด น้อยไจยา คือชายหนุ่มชื่อไชยา เคยผ่านการบวชเรียนมาแล้ว รักอยู่กับสาวชื่อแว่นแก้ว แต่แว่นแก้ว กำลังจะโดนจับไปแต่งงานกับเศรษฐีแก่รวยๆ เขาเลยมาร้องเพลงนี้ บอกว่าเขารักเธอเสมอ”
ช่วงที่จ้าวซันพูดบราลีไม่ฟังเลย ได้ยินแต่เพลงเต็มหู แล้วก็ฟังด้วยความตะลึง เพราะจำได้ ภาพในอดีตที่ตอนๆ
บราลี(ม่านฟ้า)ไปรำเพลงนี้ อยู่ๆ บราลีก็ร้องพร้อมประโยคสุดท้าย
“ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยไจยา”
จ้าวซันตกใจ หันมามองหน้า บราลีร้องไห้ น้ำตาไหลพราก
“ชั้น...ชั้นรู้จักเพลงนี้ รู้จักดี” บราลีหันมามองหน้าจ้าวซัน สบตา แล้วร้องเพลงให้ฟังอีกที ช้าๆ ตั้งใจ “ไม่ผัน ไม่แปร ความรักที่แน่แก่ใจ ไม่มีรักใด ดังรักของน้อยไจยา”
จ้าวซันอึ้งแล้วโดยไม่ได้ตั้งใจ ความรู้สึกพาไป รวบตัวบราลีมากอดแน่น บราลีตกใจ แต่ก็กับปล่อยตัวตามพร้อมน้ำตาที่ไหลพรั่งพรูอย่างไม่มีเหตุผลกับอกของจ้าวซัน
ที่โรงเรียนสอนเด็กกำพร้าบนเขา จ้าวซันพาบราลีเดินดูต้นกุหลาบรอบๆ อาคารโบราณแบบยุโรป เดินไปคุยไป
“ทุกทีที่ผมไม่สบายใจ ผมจะหลบมาเดินเล่นที่นี่คนเดียวเสมอ”
บราลียังหมกมุ่นกับความทรงจำบางอย่าง ที่อยากขุดออกมาให้ได้
“แสดงว่าตอนนี้คุณไม่สบายใจ”
“หายแล้ว”
จ้าวซันหันมายิ้ม นัยน์ตายังเจือแววเศร้าอยู่เล็กน้อย บราลีมองรอบๆ ดูป้าย
“นี่มัน สถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้า ไม่ใช่เหรอคะ”
“ใช่ ผมก็เป็นเด็กกำพร้านี่ครับ”
“ชั้นก็เหมือนกัน”
จ้าวซันคิด ว่าควรบอกความจริงกับบราลีอย่างไรดี มองไปเบื้องหน้า ครุ่นคิด แล้วจ้าวซันก็ตัดสินใจ เปลี่ยนเรื่อง
“ถ้าเรามองจากตรงนี้ ก็จะเห็นเส้นแบ่งระหว่างความรวยกับความจนอย่างชัดเจน” บราลีลุกขึ้น ค่อยๆ เดินตามเข้าไปยืนใกล้ๆ มองตาม “ตอนที่ผมเป็นเด็ก จะมีพวกที่หลบหนีเข้ามาจากประเทศจีน แล้วก็ต้องคอยซ่อน
ตัวอยู่แถบโน้น นานๆ ทีก็มีพวกตำรวจมากวาดล้างไป” บราลีมองตามสายตาของจ้าวซัน “เห็นเรือสำปั้นตรงโน้นไหม เต้...ผมหมายถึง จ้าวฉินเย่ว์ก็มากับเรือพวกนั้นแหละ เป็นพวก “คนไข่”
“คนไข่เหรอ”
“ใช่ พวกคนจน ไม่มีเงินเสียภาษี เวลารัฐบาลมาเรียกเก็บก็ต้องเอาไข่ไก่ใส่ตะกร้าให้ไป”
“แปลกดีนะ” บราลียังไม่ยอมเลิกที่จะหาความจริง พยายามถามแบบเนียนๆ “คุณมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เต้รับผมเป็นลูกบุญธรรมตอนผมอายุ 13”
“โห.. แล้วคุณก็อยู่ที่ฮ่องกงมาตลอด 20 ปี”
จ้าวซันหันมองหน้า ทำตาเขียวใส่ บราลีแกล้งทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“15 ปี เป็น 15 ปีที่ยาวนานมาก”
บราลีนับนิ้วมือ คำนวณอายุ
“อะไร คุณเพิ่งจะ 28 เองเหรอ นึกว่าสัก 30 กว่า” บราลีพึมพำ จ้าวซันได้ยินไม่ชัดนัก แต่ก็หันไปมองหน้า
บราลีทำหน้าทะเล้นใส่
“ถ้าตอนนั้น เมยไม่ไปซะก่อน” จ้าวซันนึกได้ รีบหุบปาก อึ้ง บราลีหันมามองจ้าวซันอย่างจริงจัง “เอ่อ..”
บราลีมองจ้องจ้าวซัน
“เมย...เมยอีกแล้ว คุณเรียกฉันว่า “เมย” อีกแล้วเหรอ”
“เอ่อ...เปล่า”
“ไม่จริง สามครั้งแล้วที่คุณหลุดเรียกชื่อนี้ออกมา เมยคือใคร ชั้นชื่อเมยเหรอ คุณเคยรู้เรื่องฉันมาก่อนใช่ไหม หรือว่าเราเคยเจอกัน ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ไหนซักแห่ง”
จ้าวซันอึกอัก บราลีเดินรุกเข้าไปจนจ้าวซันต้องถอยร่น
“โทษที...รอนานไหม”
พ่อโจเซฟ มองยิ้ม อบอุ่น จ้าวซันและบราลีหันไปหา จ้าวซันไหว้ บราลีเลยรีบไหว้บ้าง พ่อโจเซฟรับไหว้ ยิ้มชอบใจ มองหน้าบราลีตรงๆ บราลีมองพ่อโจเซฟในระยะใกล้ แล้วผงะ รู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เหมือนรู้จักกันมาก่อน
พ่อโจเซฟเอื้อมมือไปแตะที่ไหล่บราลีแสดงความเอ็นดู
“โตขึ้นมากจนพ่อเกือบจำไม่ได้แหนะ สมัยก่อนยังตัวแค่นี้อยู่เลย” พ่อโจเซฟทำมือแค่ระดับเอว “ดูสิสูงเกือบเท่าพ่อแล้ว”
พ่อโจเซยิ้มอบอุ่น บราลีพยายามมองเข้าไปในดวงหน้าของพ่อโจเซฟ
“หนูคุ้นหน้าคุณพ่อมากค่ะ ไม่ใช่หมายความว่าหนูเคยตามไปเห็นคุณชายจ้าวซันไปหาคุณพ่อที่โบสถ์มาแล้วครั้งนึงนะคะ แต่...คุณพ่อ คือนักบวชที่เคยช่วยหนู พาหนูมาจากพวกที่จับเด็กชาวเขามาขายที่เมืองไทย ใช่หรือเปล่าคะ”
พ่อโจเซฟหัวเราะด้วยความเอ็นดู
“เอาล่ะๆ เอาไว้ว่างๆ ก่อนก็แล้วกันนะ เราค่อยมาคุยเรื่องเก่าๆ กัน”
จ้าวซันสบตาพ่อโจเซฟ ประมาณฟ้องๆว่า พ่อดูเอาเองละกันว่าเด็กคนนี้มันร้ายแค่ไหน
อีกด้านหนึ่งที่กรุงเทพ ศิขรนโรดมว่ายน้ำอยู่ในสระ มีมิถิลาและทหารคีรีรัฐในชุดนอกเครื่องแบบเดินตรวจตรารักษาความปลอดภัยอยู่ แขกในโรงแรมที่ว่ายน้ำอยู่ค่อยๆ ลุกออกจากสระ หยิบผ้าเช็ดตัวแล้วกลับออกไป ศิขรนโรดมว่ายน้ำไปดุทหารที่ยืนอยู่ตรงขอบสระ
“นี่พวกเจ้ามาเดินกันพล่านแบบนี้ คนเขาก็ตกใจหมดสิ กลับไปได้แล้ว”
“แต่ท่านนายพลราชิดกำชับว่า...”
“ไปอยู่ไกลๆ ไม่งั้น เราก็จะกลับห้องเดี๋ยวนี้ แปลว่าการพักผ่อนช่วงสุดท้ายของเมืองไทยของเรา ต้องพังเพราะพวกทหารของราชิด”
“รับด้วยเกล้าพะย่ะค่ะ”
พวกทหารมองหน้ากัน แล้วคนที่ใหญ่สุด โบกมือให้ออก มิถิลาก็ตามไปเช่นกัน ทันใดนั้นศิขรนโรดมเหนี่ยวตัวขึ้นมาจากน้ำ
“มิน” มิถิลาไม่ได้ยิน “ไอ้มิน เจ้าอยู่ก่อน” มิถิลาชะงัก ศิขรเดินโทงๆ เข้ามาหา โอบบ่า “เจ้าลงมาเล่นน้ำกะเรา”
“เย้ยยย”
“มาสิ ถอดเสื้อผ้าเลยมา”
มิถิลาดิ้น แล้วสะบัด ถอดออกห่าง
“ไม่...ไม่ได้พะย่ะค่ะ”
“ทำไม ไม่มีกางเกงอาบน้ำเหรอ ไม่ต้องเลย อยู่กันแค่นี้ แค่บอกเซอร์ก็โอเค”
“เอ่อ ไม่ๆๆ คือแผลๆๆ แผลพะย่ะค่ะ แผลที่แขนห้ามโดนน้ำพะย่ะค่ะ แล้วน้ำในสระแบบนี้ด้วย คงไม่ดีแน่พะย่ะค่ะ”
“เออ จริง” อยู่ๆ ศิขรนโรดมเปลี่ยนท่าที ถอยออกมา มองรอบๆ ไม่มีพวกทหารอยู่อีกแล้ว “เจ้าดูต้นทางให้ข้าด้วยก็แล้วกัน”
ศิขรนโรดมเดินไปที่เตียงนอนอาบแดด แล้วหยิบวิทยุสื่อสารออกมาจากใต้ผ้าเช็ดตัว กด หมุน แล้วพูดเบาๆ
มิถิลายืนดูรอบๆ พลางแอบดูศิขรนโรดม งงๆ
ทันใดนั้นชายที่แต่งตัวเหมือนคนทำความสะอาดสระ เดินเข้ามา พร้อมอุปกรณ์ ถัง ที่ใช้ตักใบไม้ออกจากสระ เดินเข้ามาทำความสะอาดสระ ศิขรนโรดมนั่งลง รอๆ ชายคนนั้นเดินมาทำความสะอาดสระอย่างตั้งใจ
“คุณๆ ตรงนี้มีใบไม้นะ”
ชายคนนั้นเดินมา แล้วมาหยุดใกล้ๆ เอื้อมไปตักใบไม้ ปรากฏว่าเขาคือ ภูสินทร ภูสินทรพูดพอได้ยินกันเพียงสองคน
“ที่ฮ่องกง ต้องทรงระวังให้มาก มันทำที่นี่ไม่ได้ มันคงหาจังหวะอีก คนทางฮ่องกงก็เตรียมป้องกันพระองค์แล้ว แต่มันอาจจะมีแผนที่เราคาดไม่ถึง”
“คนทางฮ่องกง”
“นั่นหละ เขารออยู่”
“เขา จริงๆ หรือ”
“เขารอฝ่าบาทมานานมากแล้ว เพื่อจะมอบบางอย่างให้กับพระหัตถ์ ต้องพระหัตถ์ ต่อพระหัตถ์ พระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้นพะย่ะค่ะ เขาไม่มีวันส่งต่อให้คนกลางหรือใครอื่นเด็ดขาด”
ศิขรนโรดมน้ำตาทะลัก
“หวังว่า เราคงไม่ได้ฝันไป”
“แต่อย่างไรก็อย่าประมาท พวกมันอยู่ใกล้ฝ่าบาทมากกว่าพวกเรา ขนาดตอนนี้ก็อาจมีคนอื่นจับตามองเราอยู่”
“นั่นเจ้ามิน มันช่วยชีวิตเรา คุณก็เห็น”
“กระหม่อมไม่ไว้ใจผู้ใดทั้งนั้น คนที่ใกล้ที่สุด อาจเป็นคนที่น่ากลัวที่สุด กระหม่อมทูลลา แล้วพบกันที่ฮ่องกง ระวังตัวตลอดเวลา จนกว่าจะได้พบกันกับเขา นะฝ่าบาท” ภูสินทรเดินตักใบไม้จากไป ศิขรนโรดมอึ้ง หันไปมองมิถิลา
มิถิลามองตอบงงๆ
สนามบินสุวรรณภูมิตอนกลางคืน ภายในอาคารมีนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและชาวต่างชาติเดินกันขวักไขว่
สุริยะเดินเข้ามาจากประตูทางเข้า หันรีหันขวาง เดินไปที่บอร์ดมองไล่หาเที่ยวบินที่จะไปฮ่องกง สักพักเหลือบไปเห็นโกสินที่กำลัง Check in อยู่ด้านใน รีบวิ่งตามเข้าไป
“อ้าว... คุณโกศิน แหมบังเอิญจริงเลยๆ ไปไหนหรือครับเนี่ย”
สุริยะดึงเอา Boarding Pass ออกจากมือโกศิน
“เฮ้ย”
“ที่นั่ง C4 อ้าว แหมไปฮ่องกงหรือครับ เหมือนกันเลย”
โกศินดึง Boarding Pass กลับ แล้วเดินไปไม่ใส่ใจ สุริยะเดินตาม
“นี่ถ้าได้นั่งใกล้ๆ กันก็ดีสินะครับจะได้มีเพื่อนคุย ของคุณซีสี่ใช่ไหม ซีสี่ ซีโฟร์ ชื่อเหมือนระเบิดนะ ไม่ค่อยจะเป็นมงคลเท่าไหร่”
โกศินหยุดกึก หันกลับมาถามสุริยะเสียงเข้ม
“คุณจะตามผมไปฮ่องกงทำไม”
“ใครบอก ผมไปหาลูกสาวผมต่างหาก คุณล่ะ ไปทำไม ไม่ไปพร้อมกับขบวนเสด็จขององค์ชายหรอกเหรอ”
สุริยะถามกวน โกศินไม่อยากต่อปากต่อคำด้วย จึงเดินออกไปอย่างอารมณ์เสีย
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่ฮ่องกง ที่ร้านอาหารจีนคูหาเดียว หน้าร้านมีตู้กระจกแขวนเป็ดย่าง หมูย่าง ระโยงระยาง มีลูกค้าเข้าออกไม่ขาดสาย เสียงดังโวยวายล้งเล้ง ที่หน้าร้าน จ้าวซันพับแขนเสื้อครึ่งศอก ท่าทางยิ้มแย้มแจ่มใส เดินไปเลือกเป็ดย่างด้วยตนเองกับคนขายอย่างสนิทสนม บราลีนั่งอยู่กับพ่อโจเซฟที่โต๊ะด้านในสุดคนไม่พลุกพล่าน เด็กในร้านยกน้ำชามาให้ พ่อโจเซฟมองไปทางจ้าวซัน
“เขาชอบพาพ่อมาที่นี่ ถึงร้านจะเล็กไปหน่อยแต่อาหารอร่อย โดยเฉพาะเป็ดย่าง ขึ้นชื่อมาก”
บราลีมองพ่อโจเซฟตาไม่กระพริบ ไม่สนใจอย่างอื่นเลย คิดหนัก พยายามนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“ท่านตอบไม่ได้หรือคะ ว่าท่านเป็นพระที่นำหนูไปส่งให้คุณพ่อของหนูรับหนูไปเลี้ยง ใช่หรือเปล่า”
“นายพลสุริยะ”
“นั่นไง ใช่จริงๆ ด้วย” บราลีดีใจ ตื่นเต้น “คุณพ่อเล่าหน่อยสิคะ ว่าท่านไปพบหนูที่ไหน ยังไง ความเป็นมาของตัวหนู แล้วเกี่ยวกะอะไรกับคนๆ นั้น” บราลีบุ้ยไปที่จ้าวซัน พ่อโจเซฟหัวเราะ
“ค่อยๆ นึกไปนะเมย สักวันเดี๋ยวลูกก็นึกออกเอง”
“หนูชื่อเมยจริงๆ ด้วย คุณพ่อเป็นพระ คุณพ่อก็ไม่น่าจะคบหากับคนไม่ดี ใช่ไหมคะ แล้วคุณพ่อก็ต้องไม่พูดปด เพราะมันเป็นบาปสำหรับทุกๆ ศาสนา ตกลงแล้วจ้าวซันเค้าเป็นคนดี หรือเป็นผู้ก่อการร้ายคะ”
จ้าวซันเดินมานั่งที่โต๊ะพอดี
“กำลังนินทาอะไรผม”
เด็กที่ร้านยกเป็ดย่างจานใหญ่มาเสิร์ฟ ตามด้วยหมูแดง หมูย่าง และราดหน้าทะเล บราลีมองเป็ดตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ
“หา...นี่ มีเราแค่สามคนนะ ขืนกินกันหมดนี่ คงต้องมีใครท้องแตกตายแน่”
จ้าวซันจัดแจงเอาตะเกียบคีบเป็ดให้พ่อโจเซฟและบราลี
“กินซะ”
จ้าวซันยังคงคีบหมูแดงและหมูย่างใส่จานบราลีไปเรื่อยๆ โดยไม่มองหน้า
“พอแล้วๆ”
จ้าวซันอารมณ์ดี ยิ้มสนุก บราลีมองเกือบจะเป็นค้อน
“แกล้งน้องอีกแล้วนะ”
พ่อโจเซฟบอก บราลีชะงัก หันมองพ่อโจเซฟ แล้วมองหน้าจ้าวซัน
“น้อง”
จ้าวซันยิ้มให้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของจ้าวซันก็ดังขึ้น จ้าวซันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดดู สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
“เอ่อ...ผมขอตัวเดี๋ยวนะครับ”
จ้าวซันรีบเดินออกไปจากร้านอย่างรวดเร็ว บราลีมองตาม ขัดใจ
จ้าวซันหน้าเครียดเดินรับโทรศัพท์ออกมาจากร้าน เดินหาที่เงียบๆ ในตรอกเล็กๆ คุย
“ว่าไงนะ”
ภูสินทรยืนพูดโทรศัพท์อยู่ที่โรงงาน
“ไอ้โกศินมันจะบินไปที่ฮ่องกงคืนนี้แล้วพระเจ้าค่ะ”
“มันมาเตรียมการณ์ล่วงหน้าหรือ”
“ทรงหาทางป้องกันด้วยพะย่ะค่ะ”
“ได้ รับรองว่ามันเจอเซอร์ไพร้ซ์แน่”
“หม่อมฉันให้สุริยะตามไปประกบด่วนเลยแล้ว สุริยะอยู่ในสายแล้วฝ่าบาท”
สุริยะยืนคุยอยู่ในซอกมุมลับตา
“จ้าวซัน คือ...ส่งคนมาคุ้มครองผมด้วยก็ดีนะ ผมกลัวไอ้พวกที่บ่อนมาเก๊ามันจะยังตามมาเล่นงานผมอีก”
“คุณไปเล่นมาอีกแล้ว”
“เปล่าครับ ผมไม่กล้าแล้วครับ”
“สุริยะ คุณต้องไม่เหลวไหลนะ ผมขอออกคำสั่ง คุณประกบโกศินให้ดี มาถึงที่ฮ่องกงแล้วรีบโทรบอกผมทันที”
“ถ้าเช่นนั้น เช้าวันมะรืนก่อนจะเดินทางไปฮ่องกงหม่อมฉันจะโทรบอกฝ่าบาทอีกทีว่ามีอะไรคืบหน้าบ้าง” ภูสินสรรับโทรศัพท์มาคุยต่อ
“ขอบใจมาก แล้วเจ้าน้องเป็นยังไงบ้าง”
จ้าวซันเดินมาส่งบราลีที่ประตูบ้านหลินจื้อเหม่ย บ้านเงียบ ไม่มีคน ปิดกุญแจไว้ บราลีไขกุญแจเปิด เดินเข้าไป
“เรียบร้อยค่ะ ถึงบ้านแล้ว เขาคงไปกินข้าวนอกบ้านกัน เดี๋ยวก็มา ไม่ต้องห่วงค่ะ” จ้าวซันมองบราลีอย่างอ่อนโยน
“รู้ด้วยเหรอ ว่าเป็นห่วง”
“ก็คุณพ่อโจเซฟ ว่าคุณว่าแกล้งน้อง แปลว่าเราอาจจะเคยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเดียวกัน ใช่ไหมคะ แล้วเราเรียกกันเป็นพี่น้อง แล้วพ่อโจเซฟเอาคุณมาให้จ้าวฉินเย่ว์เลี้ยงที่นี่ ส่วนชั้นท่านเอาไปให้คุณพ่อของชั้นเลี้ยง ที่เมืองไทย เพราะเหตุนี้คุณถึงดีกับชั้น”
จ้าวซันหัวเราะเบาๆ เอ็นดูอย่างมาก
“ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง”
“ทำไมคะ ทำไมถึงไม่ยอมเล่าให้ฟังทั้งหมดซะตอนนี้เลย ไม่เห็นจะมีอะไรต้องปิดบังเลย นะคะ บอกมาเถอะ เล่าให้รู้ทั้งหมด แล้วชั้นจะได้ไว้ใจคุณไง ไม่งั้นมันก็เหมือนกับว่าเราปิดบังกัน ไม่ไว้ใจกัน” จ้าวซันทำใจแข็ง
“เอางี้ จบงานรับเสด็จ แล้วคุณจะรู้ทั้งหมด”
“จะเกิดอะไร ในงานรับเสด็จหรือคะ”
“ผมภาวนาให้ ไม่เกิดอะไร ทุกอย่างราบรื่น องค์ชายเสด็จกลับไปอย่างปลอดภัย” บราลีมีสีหน้าดีขึ้น
“คุณไม่ใช่ผู้ก่อการร้าย ที่จะปลงพระชนม์ ใช่ไหมคะ คุณจะไม่ทำร้ายประชาชนที่บริสุทธิ์ของประเทศที่ยากจน หรือใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือ” จ้าวซันหน้าเศร้าลง
“มีประชาชนคนบริสุทธิ์ถูกทำร้ายมากเกินไปแล้ว เมย...คนดีๆ ทั้งนั้น พวกทรราชย์จะได้รับกรรม ถูกฟ้าดินลงโทษเอง เราไม่ต้องทำอะไรหรอก”
“คุณดู เศร้ามาก” จ้าวซันจับมือบราลี
“ผมจะไม่เศร้าแล้ว ถ้าคุณอยู่ข้างผม อย่าไปฟังใคร ฟังผมคนเดียว ผมคือคนที่จะไม่มีวันทำร้าย ไม่มีทางทำให้คุณเสียใจเด็ดขาด ผมสัญญา”
บราลีมองหน้า สบตาหาความจริงใจ มือยังอยู่ในมือจ้าวซัน อีกฝั่งถนน เหม่ยอิงและเกาเฟย ยืนแฝงในเงามืดริมเสาไฟ เหม่ยอิงมองภาพจ้าวซันจับมือมองตากับบราลี ด้วยแววตาเจ็บปวด น้ำตาคลอหน่วย แล้วรีบเช็ด
เกาเฟยลอบมองเหม่ยอิง อดสงสารและเห็นใจไม่ได้
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 6 (ต่อ)
วันต่อมาบราลีนั่งจิบโกโก้ร้อน พลางโทรศัพท์อยู่บนดาดฟ้าบ้านหลินจื้อเหม่ย บราลีกระโดดดีใจสุดๆ
“พ่ออยู่ฮ่องกงแล้วหรือคะ ดีจังเลย พ่อมารับบรีหน่อย บรีอยู่บ้านหลินจื้อเหม่ย อยู่แถวๆ...”
สุริยะนั่งอยู่ในห้องอาหารริมทะเลมาเก๊า พรางตัวเองด้วยการแต่งชุดแนวฮิบฮอบแบบเก๋าๆ หรูหรา โทนดำเทา ใส่แว่นดำ สวมหมวกไหมพรมถัก เสื้อคอเต่าแขนยาว กางเกงยีนส์ตัวใหญ่ ตักอาหารบุฟเฟท์อาหารเช้าไปพลางมองลอดชั้นวางอาหารไปดูโกศิน ที่กำลังตักอาหารเช้าอยู่ด้านนึง
“ลูกก็ช่วยคุณชายจ้าวซันทำงานรับเสด็จเจ้าชายศิขรนโรดมอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ แต่ว่า...”
“ตอนนี้พ่อกำลังทำธุระยุ่งอยู่ ไว้เราค่อยเจอกันในงานนะ” บราลีอึ้งไปนิด
“แต่ พ่อคะ เรื่องคุณชายจ้าวซัน เอ้อ เขาเป็นคนดีหรือเปล่า แล้วหนูควรจะไว้วางใจเค้าแค่ไหน” คำถามนี้ทำให้สุริยะอึ้งไป
“บรี ลูกวางใจพ่อแค่ไหน ลูกก็วางใจในตัวคุณชายจ้าวซันได้เท่ากัน”
บราลีคิดหนัก แล้วตัดสินใจถามอย่างเกรงใจเต็มที่
“หนูขอโทษนะคะ ที่ต้องถามคือหนูสงสัยว่าพ่อกับเค้ามีความสัมพันธ์อะไรกันคะ พ่อเป็นหนี้บุญคุณอะไรของเขาหรือเปล่า หรือว่าไปรับอะไรจากเขามา เช่น เอ้อ เงินทองทรัพย์สินอะไร”
“จ้าวซันคือเพื่อนพ่อ เป็นเพื่อนแท้ แล้วเขาก็ปรารถนาดีกับเราอย่างจริงใจนะลูก ลูกอย่าดื้อกับจ้าวซันนะ”
“แล้ว แล้ว เขา เอ้อ”
สุริยะมองไป เห็นโกศินอยู่ๆ วางจานอาหาร เดินออกไป สุริยะสะดุ้ง วางจานบ้าง
“อะไรนะ”
“จริงหรือเปล่าคะ ที่คุณจ้าวเหม่ยอิงบอกว่าเขาเป็นคู่หมั้นของ...”
“บรี แค่นี้ก่อนนะ พ่อต้องวางแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ” สุริยะกดวาง แล้วรีบวิ่งตามโกศินไป
“พ่อคะ” บราลีเซ็ง มองโทรศัพท์ เบื่อๆ
ที่คอนโดฉินเจียง เกาเฟยเปิดประตูหอบข้าวของที่เอามาจากโรงพยาบาลพะรุงพะรัง เดินนำฉินเจียงที่เข็นซูหลิงในวีลแชร์เข้ามาในห้อง
“ให้ผมจัดของให้ไหมครับ ไท้เผ่ง”
“ดี แล้วโทรสั่งอะไรมาให้กินด้วย หิว”
“ได้เลยครับ”
เกาเฟยทำหน้าซื่อสุดๆ เดินเข้าไปด้านใน แต่หูเงี่ยฟังตลอดๆ
“ไอ้จ้าวซันมันแส่สอดไม่เลิก บังอาจมาจ่ายค่าโรงพยาบาลให้เธอ จงใจที่จะตัดหน้า โชว์พาวเหนือชั้นตลอดเวลา มันนึกอะไรของมัน” เกาเฟยโผล่หน้ามาเสนอ
“ก็นึกว่าไท้เผ่งจะได้เจ็บใจไงครับ ที่ต้องตกเป็นหนี้บุญคุณเค้าโดยไม่มีทางเลือก”
“เกาเฟย หยุดเถอะ จะบอกให้นะ ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นใครดีกับฉัน ให้เกียรติฉันเหมือนคุณชายจ้าวซันเลยซักคน”
เกาเฟยหัวเราะก๊าก
“คุณชายจ้าวซันก็ให้เกียรติทุกคนแหละครับ เป็นมาดของเค้า คนขัดส้วม เค้าก็พูดด้วยซะเพราะ เห็นขอทาน ต้องรีบให้แบงค์ใหญ่ๆ เจอคนตาบอดก็ต้องรีบพาข้ามถนน ทั้งๆ ที่คนตาบอดอาจจะไม่ได้ตั้งใจจะข้ามถนนซักกะนิด”
เกาเฟยและฉินเจียงหัวเราะกันลงไปกอง
“มันสร้างภาพ แค่นี้ดูไม่ออกรึไง”
“ฉันรักคุณนะคะฉินเจียง ถ้าฉันอยากให้คุณเป็นเหมือนใครสักคนในบ้านสี่ฤดู ฉันก็คงอยากให้คุณเป็นเหมือนคุณชายจ้าวซัน สักครึ่งก็ยังดี ไม่ใช่มีนิสัยขี้อิจฉาเหมือนคุณเหม่ยอิง ถ้าคุณมองว่านั่นคือการสร้างภาพ คุณก็ลองหัดสร้างบ้างสิคะ”
ซูหลิงหมุนล้อ พาตัวเองหนีไปที่ห้องข้างใน
“ซูหลิง ตอนนี้เธอเห็นไอ้จ้าวซันเป็นเทพไปแล้วใช่ไหม แล้วชั้นล่ะ เธอเห็นชั้นเป็นอะไร หา”
“ไม่ต้องสงสัย มารแน่นอน”
ฉินเจียงของขึ้น คว้าของใกล้มือ ขว้างใส่ประตูห้องตามหลังซูหลิงไป
“อีแพศยา เห็นคนอื่นดีกว่าผัวตัวเอง”
ของนั้นแตกเพล้ง เกาเฟยแอบยิ้มขำ สนุก ที่ยุขึ้นตลอดๆ
ตึกฉินเย่ว์กรุ๊ป ที่ห้องประชุมใหญ่ของบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ จ้าวซันนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะมีฉินเจียงนั่งข้างๆ จงใจทำตัวกวนๆ นั่งเล่นเกมในโทรศัพท์มีเสียงดัง เพื่อท้าทาย ไม่สนใจ บราลีและเหม่ยอิงนั่งประจันหน้ากัน เทเรซ่านั่งจดการประชุมอยู่อีกข้างของจ้าวซัน
“กำหนดการที่องค์รัชทายาทแห่งนครคีรีรัฐจะเสด็จมาถึงสนามบินคือ สิบโมงเช้าวันพรุ่งนี้ จากนั้นจะเสด็จตรงไปยังสมาคมพ่อค้าฮ่องกง เพื่อทรงบรรยายเรื่องงานศิลปหัตถกรรมและยาสมุนไพรหายากที่สูงค่าของคีรีรัฐ และเสวยอาหารกลางวัน ก่อนจะเสด็จเข้าประทับพักผ่อนที่โรงแรมริมทะเลใหม่ของเรา”
“เป็นการเสด็จส่วนพระองค์ใช่ไหม”
“ใช่ แต่เราก็ต้องต้อนรับให้สมพระเกียรติ ผมให้คุณบราลี ภีมมนตรี ที่จบด้านการออกแบบสิ่งทอมาจากสหรัฐอเมริกามาช่วยเราด้วยอีกแรง”
บราลีลุกขึ้นก้มหัวคำนับทุกคน กรรมการทุกคนพยักหน้ายินดี เหม่ยอิงมองเชิดๆ เหยียดๆ แล้วปรบมือประชดแปะๆ กรรมการทุกคนปรบตาม บราลีโค้งขอบคุณอีกครั้งแล้วนั่งลง
“แล้วพวกเราต้องไปรับเสด็จกันทุกคนหรือเปล่า”
“กรรมการบริหารทุกคนควรไป ผมให้หลี่จัดการเรื่องรถและขบวนรับเสด็จไว้แล้ว ส่วนเทเรซ่าจะดูแลเรื่องงานที่สมาคมฯ”
“พรุ่งนี้ผมต้องไปทำธุระด่วนที่มาเก๊า คงไม่ว่าง ขอเชิญทุกคนตามสบาย” ฉินเจียงพูดขึ้นลอยๆ แล้วเล่นเกมต่อ อย่างสนุกสนาน
จ้าวซันมองหน้าฉินเจียงอยากซัดซักป้าบ แต่ต้องตัดใจ เพื่อความสงบ
“เหม่ยอิงล่ะติดธุระอะไรไหม”
“น้องไปได้ งานที่เป็นหน้าเป็นตาของบริษัทมันต้องสำคัญกว่าทุกสิ่งอยู่แล้ว น้องเป็นคนแยกแยะเรื่องงานออกจากเรื่องส่วนตัวได้ดี พี่ชายใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง”
เหม่ยอิงว่ากระทบไปทางฉินเจียงและมองบราลีเพื่อกระทบจ้าวซันด้วย ฉินเจียงมองหน้าเหม่ยอิง ถลึงตาใส่อย่างหาเรื่อง เหม่ยอิงทำหน้าเยาะหยันตอบ จ้าวซันระอา
เกาเฟยยืนล้างมืออยู่ในห้องน้ำเสร็จแล้วดึงกระดาษมาซับ แล้วไปหยิบน้ำหอมมาฉีดขึ้นไปบนอากาศ แล้วเอาตัวเดินเข้าไปละอองน้ำหอม แล้วทำท่าหอมชื่นใจก่อนจะหันไปส่อกระจกตรวจความเรียบร้อยแล้วสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเงาสะท้อนในกระจก เป็นจ้าวซันยืนกอดอกมองอยู่เงียบๆ มุมนึง
“คุณชาย”
“จะไปกันเมื่อไหร่ล่ะ”
เกาเฟยทำหน้าเซ่อ
“ไปไหนเหรอครับ”
“เจ้านายแกบอกว่าต้องไปทำธุระที่มาเก๊า ไม่ใช่เหรอ”
เกาเฟยอึ้งไปนิด แล้วกลับตั้งตัวได้ ยิ้มกวนๆ
“แหม คุณชายใหญ่ลักไก่ผมนี่นา ผมไม่ทราบหรอกครับ แค่เดินตามเจ้านายผมไปวันๆ ท่านบอกให้ไปไหนผมก็ไปหมด แล้วท่านก็ไม่ค่อยบอกล่วงหน้าซะด้วย”
จ้าวซันมองแบบรู้เช่นเห็นชาติเกาเฟย
“อย่าชักจูงฉินเจียงไปในทางชั่ว ไม่งั้น”
“แหม คุณชายใหญ่คร้าบ ไท้เผ่งไม่ใช่คนปัญญาอ่อนนะครับ ไท้เผ่งฉลาดจะตาย จะมายอมให้คนต่ำต้อยอย่างผมชักจูงได้ยังไง”
“เกาเฟย อย่านึกว่าชั้นใจดี”
“โห คุณชายใหญ่ขู่ผมนี่นาแบบนี้ ผมกลัวนะครับ ผมมันไอ้ขี้ข้าตัวเล็กๆ คุณชายใหญ่จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด จะกระทืบผมก็คงเละจมดิน”
ทันใดมีเสียงชักโครก ประตูห้องน้ำเปิดออก ฉินเจียงเดินหน้าเย็นชาออกมา
“หลอกล่อจนเมียผมหลงหัวปักหัวปำไปแล้ว พี่ใหญ่ยังจะมาตีสนิทคนของผมอีกกะจะซื้อตัวทุกคนไปจากผม ให้ผมโดดเดี่ยว ไม่มีใครกันเลยใช่ไหม จ้าวซัน”
“ยังไม่สายเกินไปนะ ฉินเจียง ยังมีเวลา”
“ผมไม่สน ผมจะไปตกเหว ไปชนกำแพง ผมก็จะไป จะพาพวกไอ้ผู้กองเหลียงมาเล่นผมอีกก็เอาเลย ให้มันรู้ไป ว่าลูกบุญธรรมเต้ เอาลูกชายแท้ๆ ของเต้เข้าคุก แล้วขึ้นครอบครองตระกูลจ้าวซะเอง แถมฟันลูกสาวของเต้ทุกคน”
ฉินเจียงหัวเราะใส่หน้า จ้าวซันผงะ ฉินเจียงกับเกาเฟยเดินลอยชายออกไป จ้าวซันแค้นใจจะตามไป ทันใด โทรศัพท์จ้าวซันดัง จ้าวซันสะดุ้งแล้วหยิบโทรศัพท์มาดู
จ้าวซันเดินเร็วๆ หน้าเครียด ออกมายืนพูดโทรศัพท์
“ว่าไง”
สุริยะยืนหอบแฮ่กๆ โทรศัพท์อยู่ที่ท่าเรือแห่งหนึ่งในมาเก๊า
“ผมอยู่ที่มาเก๊าะนะครับ เมื่อครู่นี้ ผม ผมกำลังตามติดไอ้เจ้าโกศินอยู่ดีๆ”
“ดี แล้วตอนนี้มันอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทราบครับ”
“อ้าว”
“เมื่อกี้ในถนน คนมันเยอะมาก แล้วมันก็หายไป”
“ไม่เป็นไรๆ รออยู่ที่นั่นก่อน เดี๋ยวผมจะส่งคนตามไปสมทบ แล้วคอยดูฉินเจียงด้วยเขากำลังจะไปที่นั่น”
จ้าวซันถอนหายใจ รีบกดโทรศัพท์หาลูกน้องคนอื่น สุริยะเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า มองไปรอบๆ ท่าเรือไม่มีอะไร
สุริยะเซ็งๆ แต่สักพักก็เหมือนคิดอะไรได้
“หาอะไรทำแก้เซ็งดีกว่า”
สุริยะเดินไปที่ถนน โบกเรียกรถแท็กซี่
ที่สวนหย่อมลอยฟ้า บนตึกชั้น 40 ตึกจ้าวฉินเย่ว์กรุ๊ป บราลีเอาไอแพดมานั่งเรียบเรียงข้อมูลในเอกสารให้เป็นหมวดหมู่ เหม่ยอิงเดินออกมาแล้วกอดอกมอง ยิ้มสมเพช
“ดีใจจังเลย ที่ได้มาทำงานร่วมกับเด็กจบใหม่ไฟแรงอย่างคุณ”
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ แต่ยังไงคุณเหม่ยอิงคงต้องช่วยแนะนำด้วย”
บราลีกัดฟันยิ้มสู้ พยายามทำตัวไม่มีปัญหา มองอย่างไม่สบายใจนัก เหม่ยอิงยิ้มหวาน เดินเข้ามาเคียงข้างประกบติด กอดตัวมาใกล้กัน แล้วแย่งโทรศัพท์ในมือบราลีมา ถ่ายรูปตัวเองกับบราลีคู่กันแบบแนบชิด
“ยิ้มหวานๆ สิ เราสองคนใครสวยกว่ากันนะ” เหม่ยอิงเอารูปมาดู
“บรียอมแพ้ค่ะ ให้คุณเหม่ยอิงชนะ”
“ว้า ยอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ ก็ไม่สนุกสิ อย่าเพิ่งยอมสิจ๊ะ สู้ต่อไปนะ บราลี” เหม่ยอิงส่งโทรศัพท์คืน “แล้วจะให้แนะนำเรื่องอะไรนะ งงจัง ชั้นจะมีปัญญาอะไรไปแนะนำคุณได้ล่ะ”
บราลีชักแข็งข้อขึ้นมาบ้าง
“งั้น ก็แล้วแต่ค่ะ ไม่ต้องแนะนำก็ได้”
“อุ๊ย โกรธด้วยเหรอ ต๊าย คนสวยเค้าต้องไม่โกรธสิจ๊ะ คนสวยต้องอดทน ฮิๆๆ คืออย่างนี้นะจ๊ะ ถ้าเป็นเรื่องงาน ชั้นก็คงไม่สามารถแนะนำอะไร เพราะงานที่พี่ใหญ่ให้คุณทำมันก็เหมือนงานพวกพริตตี้อ่านะ แต่งตัวสวยๆ แล้วก็คอยยิ้มหวานๆ คือชั้นไม่ถนัดจ้า ชั้นเคยทำแต่งานบริหาร ส่วนเรื่องผู้ชายฉันคงไม่ต้องแนะนำแล้ว เพราะคุณท่าทางจะเก่งกว่าชั้นมาก”
“หมายความว่ายังไงคะ”
“แหม ทำเป็นไม่เข้าใจ คนสวย ต้องแกล้งทำเป็นโง่สินะ”
“คุณ”
จ้าวซันเข้ามาพอดี
“เออ เหม่ยอิง พรุ่งนี้น้องจะไปสนามบินยังไง”
“แล้วพี่ชายจะไปยังไงคะ”
“พี่จะขับรถไปเอง น้องจะไปด้วยกันไหม”
เหม่ยอิงหันมองจ้าวซันและบราลี และรู้ว่าทั้งสองคนจะไปด้วยกัน เหม่ยอิงเดินเข้าไปกอดคอ พูดใส่หน้าเจ้าซันใกล้ชิด
“ถ้าไปด้วยแล้ว น้องจะได้นั่งเบาะหน้าคู่กับพี่หรือเปล่าล่ะ” จ้าวซันอึ้ง ตอบไม่ถูก หันมองบราลี เหม่ยอิงมองเหยียด “หึ พี่ไปกับแขกบ้านแขกเมืองคนนี้เถอะค่ะ น้องขอเปิดโอกาสให้ นานทีปีหน พรุ่งนี้เจอกันที่สนามบินเลยแล้วกันค่ะ”
เหม่ยอิงเดินเชิดออกไป ไม่หันมามอง จ้าวซันมองหน้าบราลี เป็นเชิงถามว่าตะกี๊มีอะไรหรือเปล่า บราลีเมินไป ไม่อยากพูด
“บราลี ผมขอโทษ หากน้องสาวผมจะไม่ค่อยเป็นมิตรนัก คือเขาอาจจะเครียดเรื่องงานก็เลย...”
“งั้นหรือคะ แต่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องงานเรื่องเดียว ที่เขาเครียดนะคะ ดิฉันขอตัวกลับไปเตรียมงานก่อนดีกว่า”
จ้าวซันอ้าปากจะพูด พอดีเทเรซ่าสวนมา
“คุณชายคะ ทางโรงแรมอยากให้คุณชายไปคุย”
“เดี๋ยวผมไปกับมิสบราลีก่อนแล้วจะ...”
บราลียกมือห้ามทันควัน
“คุณยังมีงานรอหลายอย่าง ฉันกลับเองดีกว่า ไม่ต้องกลัวค่ะฉันรับปากคุณว่าจะทำงานแล้ว ก็จะทำให้เสร็จรับรอง ว่าไม่ใช่เด็กๆ ที่จะงอแงเหลวไหลอย่างแน่นอน ฉันมีวุฒิภาวะพอ”
บราลีเดินออกไป
“มิสบราลีคะ ดิฉันจะจัดรถไปส่งคุณค่ะ” เทเรซ่ารีบวิ่งตามบราลีไป แล้วหันมามองหน้าจ้าวซันแบบเหนื่อยใจแทน
กรุงเทพมหานครตอนกลางคืน ศิขรนโรดมนั่งเขียนอะไรบางอย่างอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ มิถิลามาแอบยืนมอง สับสน ปวดใจ จะเอายังไงดีที่ข้างประตู
“พรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันแล้ว วาระสุดท้ายกำลังมาถึง เจ้าเตรียมตัวเตรียมใจเถอะ”
ศิขรนโรดมพูดขึ้นลอยๆ มิถิลาสะดุ้ง
“ฝ่าบาท”
ศิขรนโรดมลุกขึ้น เดินมาเผชิญหน้ากับมิถิลา
“มิน เราไม่เคยคิดมาก่อน ว่าการเดินทางครั้งแรกของเราจะเป็นจุดหักเหของชีวิต และเจ้าก็จะจะกลายมาเป็นคนสำคัญที่จะมาเป็นประจักษ์พยานกับเรื่องราวทั้งหมด”
“ทรง หมายความว่า ยังไง”
“เวลานี้ เจ้าคือคนๆ เดียวที่อยู่ใกล้ชิดเราที่สุด คือคนๆ เดียว ที่เราไว้ใจที่สุด เป็นคนเดียวที่รู้ความลับทุกอย่างของเรา คนที่ส่งเจ้ามาอยู่กับเราเขาประสบความสำเร็จแล้ว”
“คนที่ส่ง กระหม่อมมาก็คือ...”
“อย่าพูดเลย” ศิขรนโรดมเข้ามาประชิด เอานิ้วแตะห้ามที่ริมฝีปาก “เราอยากเห็นฉาก ที่อาจเป็นฉากสุดท้าย คลี่คลายตรงหน้าเราด้วยตัวของมันเอง หากหมาป่าใจร้ายจะกินลูกแกะ ลูกแกะก็จะให้กิน เพราะอาวุธของลูกแกะ ไม่มีอะไร นอกจากการร้องขอความเมตตา ความอ่อนแอ น่าสงสารของมัน ถ้าหมาป่ามันจะยังกินได้ลงคอ ก็ให้มันรู้ไป”
มิถิลาน้ำตาเอ่อคลอ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่ใช่พวกหมาป่า และหม่อมฉันก็จะไม่ยอมเป็นลูกแกะด้วย หม่อมฉันเป็นคน ถ้าเช่นนั้นฝ่าบาทก็คอยทอดพระเนตรให้ดีว่าหม่อมฉันจะเป็นเด็กเลี้ยงแกะคนนึง เด็กเลี้ยงแกะที่จะปกป้องลูกแกะด้วยชีวิต ให้สมกับที่มีผู้ฝากมอบหมายภารกิจมา”
ศิขรนโรดมมองตา หาความจริง แล้วเหมือนจะก้าวเข้าหา มิถิลามองตอบ แน่วแน่ แล้วทำหน้าเข้มแข็ง ถอยออกห่าง รีบออกไปจากห้องนอนข้างใน ไปที่ห้องด้านนอก ศิขรนโรดมยืนนิ่ง ไม่ก้าวตาม รู้สึกมั่นใจมากขึ้นอย่างประหลาด
ตึกคาสิโนในมาเก๊าตั้งเรียงราย ประดับประดาไฟสวยงาม อลังการ ภายในห้องวีไอพีของคาสิโนแห่งหนึ่ง ฉินเจียงค่อยๆ วางไพ่ลงบนโต๊ะ โกศินส่ายหน้าแล้วคว่ำไพ่ของตัวเองลงบนโต๊ะ ยิ้มให้กับความพ่ายแพ้ของตัวเอง
“คงต้องยอมแพ้อีกแล้ว ผมสู้ดวงคุณไม่ได้จริงๆ”
“ของบางอย่างมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับดวงเสมอไป”
ฉินเจียงยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เด็กแจกไพ่รวบไพ่ทั้งหมดบนโต๊ะมาล้าง เอาเข้าเครื่องสลับไพ่ แล้วแจกต่อ
“พรุ่งนี้ หลังจากเครื่องบินส่วนพระองค์ทำหน้าที่ของมันเสร็จ จะมีการแจ้งว่าเครื่องยนต์บางอย่างมีปัญหา มันจะถูกนำออกไปจอดแยก เพื่อการซ่อมบำรุง ผมจะให้คนมาพาพวกคุณขนของเข้าไป โดยจัดการให้ดูเหมือนว่าพวกของคุณคือช่างเทคนิคที่จะมาซ่อมเครื่องบิน”
“เป็นแผนที่ดีมาก เราจะไม่ผ่านการตรวจค้นใช้ไหม”
“ผมจะให้ทหารคีรีรัฐ เป็นผู้ตรวจค้นเอง”
“สุดยอด”
ขณะนั้นเต๋อเป่ากำลังเดินด้อมๆ มองๆ เดินผ่านไปผ่านมาปะปนกับพวกนักพนันทั่วไปอยู่หน้าห้องวิไอพี ทันใด พอคนเผลอ เต๋อเป่าทำท่าจะเดินเข้าไปด้านใน อยู่ๆ เกาเฟย แง้มประตู ค่อยๆ เปิดกว้างออก เดินออกมาจากในนั้น สอดส่ายสายตาไปมา อย่างระแวดระวัง เต๋อเป่าถอย หลบแทบไม่ทัน เอาตัวปะปนนักพนัน ก้มหน้าลง ทำเป็นเอาเงินออกมานับ
เกาเฟยยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นยามซะเอง แล้วพอรปภ. ชุดสูทเดินเข้ามาหา เกาเฟยก็คุยด้วยอย่างสนิทสนม กันเอง หัวเราะต่อกระซิกกัน เต๋อเป่าต้องหันหลังให้ทำทีไปเล่นสล็อตแมชีนอีกด้าน
อีกด้านหนึ่งของบ่อน สุริยะกำลังเล่นรูเล็ตอยู่ด้านนึง โดยเล่นแบบลืมตัว ลืมตน ลืมการงานใดๆ สุริยะได้ ดีใจสุดๆ กระโดดตบมือ โกยชิปมากองตรงหน้า แฮปปี้มากๆ พวกนักเล่นมาออ เชียร์ ตบหลังไหล่สุริยะ ริยะมีความสุข เอาชิปแบ่งสาวๆ สาวๆ มารุมสุริยะ
จ้าวไทไทลุกขึ้นมานั่ง โดยมีแม่สี่พยุง จ้าวซันเดินเข้ามา
“เป็นอะไร อาซัน ถึงมาหาแม่ได้ งานกำลังยุ่งมากไม่ใช่หรือ” ไทไทถามเมื่อเห็นจ้าวซัน
“ครับ แม่ใหญ่ วันนี้แม่ใหญ่เป็นยังไงบ้าง”
“ก็เหมือนเดิม สบายดี อย่างคนไม่สบาย”
“แม่สี่ สบายดีนะครับ”
“ขอบคุณ คุณชายใหญ่ รับประทานอะไรมาหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“เธอไปพักได้แล้ว ดึกเต็มที”
“เดี๋ยวดิฉันจะไปจัดน้ำชามาให้คุณชาย”
“ไม่ต้อง กลับไป แล้วเข้านอนเลย ฉันกับลูกจะคุยความลับสุดยอดกัน เธอไม่ต้องมาทำเป็นห่วงนั่นห่วงนี่ เพื่อจะแอบสอดแนมหรอกนะ” แม่สี่หน้าซีด
“แม่ใหญ่ครับ แม่สี่ก็แค่ห่วงผม”
“อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน จะจนใจเอง อาซัน จำไว้”
“งั้น ดิฉันไปก่อนนะคะ จ้าวไทไท คุณชาย” แม่สี่เดินออกไปอย่างเสียใจ ไทไทมองตามไปจนลับตา
“อาซัน อย่าให้ความน่าสงสาร ความงาม จริตมารยา มาทำให้ลูกใจอ่อน ใครที่มันขัดผลประโยชน์กับเรา หรือจะได้รับประโยชน์ หากเรามีอันเป็นไปมันไม่มีวันจริงใจกับเราหรอก เอ้า ว่ามา ลูกมีอะไรไม่สบายใจมากๆ เลย จริงไหม”
จ้าวซันมอง ขรึมเศร้า
ในบ่อน รปภ.พาสุริยะ เดินผ่านเข้าไปข้างใน
“ผมสัญญา ว่าพรุ่งนี้ผมจะเอาเงินสดมาใช้หนี้ให้หมด ขอร้องล่ะ คุณจะยึดอะไรจากผมไปเป็นประกันก็ได้ เอาอะไร นาฬิกาไหม เรือนนี้เป็นแสนนะ ผมไม่ปล่อยหลุดหรอก มันเป็นนาฬิกาที่ผมรักมากๆ นะครับ”
“แต่คุณติดเงินเรา 7 ล้านนะครับ”
ทั้งสองเข้าไปในห้องด้านใน ฉินเจียง เกาเฟย นั่งซุบซิบกันอยู่ พอเห็นสุริยะก็แปลกใจ
“คนนี้ครับที่เสียรูเล็ต 7 ล้านเหรียญ แล้วไม่มีจะจ่าย”
“อ้าว ทำไมล่ะครับคุณ ไม่มีเงิน แต่มาเล่นในบ่อนของเราเนี่ยนะ”
“เอ๊ะ ผมคุ้นๆ หน้าจัง เป็นคนไทยหรือครับ ขอดูพาสปอร์ตหน่อยครับ” สุริยะอึกอัก แล้วส่งให้ เกาเฟยรับไปอ่าน “เอ๊ะ ภีมะมนตรี นามสกุลนี้”
“ผมเป็นนายทหารที่ออกจากราชการมานานแล้ว แต่ผมมีโรงงานเป็นของตัวเอง ผมไม่ใช่คนกระจอกๆ ผมเป็น
เพื่อนจ้าวซัน คุณชายจ้าวซันไงครับ ผมไม่เบี้ยวคุณแน่ๆ คุณชายจ้าวซันจะช่วยจ่ายเงินแทนผม แต่ผมขอเป็น
พรุ่งนี้ ดึกป่านนี้แล้ว ผมไม่อยากรบกวนเค้า เชื่อผมเถอะครับ”
ฉินเจียง เกาเฟยมองหน้ากันแล้วยิ้ม
จ้าวซันคุกเข่าลงตรงหน้าไทไท
“เวลานั้นมาถึงแล้วครับ แม่ใหญ่”
ไทไทลูบหัวจ้าวซัน
“จริงหรือ อาซัน ทำไมมันเร็วนัก แม่ยังจำวันที่เต้จูงลูกมาส่งให้แม่ได้ นั่นผ่านมานานขนาดนั้นแล้วจริงๆ หรือนี่”
“บางที ผมอาจทำไม่สำเร็จทุกเรื่องอย่าที่ตั้งใจ บางเรื่องผมอาจพลาด เพราะไม่มีอะไรง่ายเลยครับแม่ และตัวผมเองอาจจะไม่ดีพอ”
“คนครึ่งนึง ฟ้าดินครึ่งนึง”
“อะไรนะครับ”
“ทุกๆ เหตุการณ์ในชีวิตของเรา เราใช้ฝีมือของเราครึ่งนึง อีกครึ่งเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ เราต้องยอม มอบส่วนที่เหลือนั้นให้สวรรค์จัดการแทน”
“ไม่ได้ครับ เราไม่มีวันรู้หรอก ว่าสวรรค์จะเข้าข้างเราหรือเปล่า ผมอยากควบคุมทุกอย่างให้ได้ด้วยมือของผมเอง”
“เจ้ามันจะเหิมเกริมไปหน่อยแล้ว จ้าวซัน ผู้เหิมเกริม หยิ่งยะโส คิดว่าเขามีอำนาจมากมาย จัดการทุกอย่าง สุดท้ายแล้วจะเป็นคนที่ทุกข์ที่สุด ร้องไห้มากที่สุด จำไว้”
“ผม คงจะเป็นคนนั้น ผมจะไม่ยอมให้อะไรพลาด ให้ผมตายเสียดีกว่า” ไทไทส่ายหน้า
“อาซัน”
“ผมไม่ไว้ใจฟ้าดิน ผมไม่ไว้ใจสวรรค์ ฟ้าดินทำกับผมมาอย่างแสนสาหัส สวรรค์อยู่ข้างคนอื่นเสมอ ไม่เคยอยู่ข้างผมเลย”
“ฟ้าดินเป็นสิ่งสมดุล สวรรค์ยุติธรรมเสมอนะ จ้าวซัน อย่าได้ประมาทน้ำใจสวรรค์ ถ้าสวรรค์เข้าข้างคนอื่นจริง ลูกคงไม่มีวันนี้ แม่คงไม่ได้พบลูก และลูกคงจะไม่ได้มาเป็นลูกรักของแม่ จ้าวซัน จงอ่อนน้อมถ่อมตนแก่ฟ้าดิน ทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วฟ้าดินจะโอบอุ้มเจ้า”
สีหน้าจ้าวซันอ่อนโยนลง สงบขึ้น
เช้าวันรุ่งขึ้นที่กรุงเทพ พนักงานโรงแรมเข้ามาเติมกาแฟให้ศิขรนโรดม ที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกับราชิด ศิขรนโรดมทำมือปฏิเสธว่าไม่เอาแล้ว ภูสินทร มิถิลา และทหารคีรีรัฐคนอื่นๆ นั่งแยกกันออกไปโต๊ะละ 2-3 คน
“โกศินล่ะ”
“โกศินเดินทางล่วงหน้าไปแล้วฝ่าบาท”
“อ้าว ทำไมไม่ไปด้วยกัน”
“ไปเตรียมการถวายการต้อนรับพะย่ะค่ะ”
“อ๋อ เหมือนที่เราได้รับการต้อนรับจากที่นี่ ใช่ไหม”
“ที่นี่ เราหละหลวมไป ทำให้เกิดอันตรายกับฝ่าบาท องค์ชายรัชทายาท หม่อมฉันเลยไม่ไว้ใจคนท้องถิ่นอีก” ราชิดหันไปมองภูสินทร “คุณเมืองเทพเป็นเจ้าภาพที่บกพร่องมาก กระหม่อมจึงต้องให้คนของเราไปเคลียร์ก่อน”
“ดี เคลียร์ให้สะอาดเนียนๆ เลยนะ”
ศิขรนโรดมมองราชิดแบบไม่เกรงกลัว ภูสินทรเดินเข้ามาที่โต๊ะ
“ท่านราชิด กระผมจะได้ไปบอกคนรถให้เตรียมตัว ได้เวลาแล้ว”
“เรากับองค์ชายจะออกจากที่นี่ก่อน ส่วนพวกที่เหลือเก้าโมงครึ่งค่อยออกจากโรงแรมก็ยังทัน”
“หมายความว่ายังไง”
“เรากับองค์ชายจะนั่งไปด้วยกันก่อน ส่วนทหารผู้ติดตามทั้งหมด คงต้องไปขึ้นเครื่องอีกลำ”
มิถิลาที่คอยฟังอยู่ ตกใจ
“แล้วใครจะอารักขาองค์ชาย”
“ก็ผมไง ผมก็เป็นทหารเหมือนกัน อย่าลืมสิ”
“ทำไม”
“เพราะผมเกรงว่า ถ้าไปด้วยกันทั้งขบวนจะไม่ปลอดภัย เราจะสับขาหลอกพวกศัตรู ผมเชื่อว่าน่านปิงนรเทพ อยู่เบื้องหลังการก่อการร้าย และกำลังติดตามความเคลื่อนไหวของเราอยู่” ราชิดบอกแล้วลุกขึ้น “เจ้ามิน มานี่ซิ”
มิถิลาสะดุ้ง ชี้ที่ตัวเอง “บอกให้มานี่” มิถิลาลุกมา ยืนทำความเคารพหน้าโต๊ะเสวย “ฝ่าบาท ได้โปรด เสด็จมากับกระหม่อมหน่อย”
ราชิดลุกนำ แล้วพยัก ให้ศิขรนโรดมกับมิถิลาตามมา ทุกคนมองตาม งง ภูสินทรอึ้ง
อีกด้านหนึ่งที่ฮ่องกง หน้าตึกบริษัทจ้าวฉินเย่ว์กรุ๊ป เหม่ยอิงใส่แว่นดำนั่งอยู่ในรถมองออกไปนอกกระจกที่จอดหลบไว้ข้างตึก เหม่ยอิงเห็นรถจ้าวซัน ที่มีจ้าวซันกับบราลี เลี้ยวออกไปบนถนนเรียบร้อย เหม่ยอิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“ขับออกไปแล้ว ทำตามแผนได้” เหม่ยอิงกดโทรศัพท์วาง ยิ้มเย็น “อยากจะรู้นัก ถ้าคุณชายจ้าวซันไปรับเสด็จไม่ทัน บริษัทจ้าวฉินเย่ว์กรุ๊ปจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน แต่ไม่ต้องห่วงหรอก จ้าวเหม่ยอิงคนนี้จะทำหน้าที่นี้เอง”
เหม่ยอิงออกรถไปอย่างรวดเร็ว
ทางไปสนามบินฮ่องกง มีรถบรรทุกใหญ่สีขาวและมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จอดอยู่ข้างทาง เกาเฟยในชุดดำเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า เดินไปกระชากประตูรถบรรทุกให้เปิดออกเปิด เผยให้เห็นไอ้สือกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อย่างสบายใจ ส่วนอาเหากำลังนั่งเอนหลับอยู่
“เฮ้ย! ตื่น ได้เวลาแล้ว” ไอ้สือและอาเหารีบลงมาจากรถขึ้นไปประจำที่คนขับรถบรรทุกอย่างเสียไม่ได้ “ทำตามแผน แล้วก็อย่าให้พลาด”
เกาเฟยหยิบหมวกกันน็อคสีดำมาใส่ กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์แล้วขับย้อนกลับไปอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางไปสนามบิน ในรถจ้าวซัน จ้าวซันกำลังเอาแผ่นซีดีใส่ลงไปเครื่องเล่น ทันใดนั้นก็มีเพลงบรรเลงของทางเหนือประเภทสะล้อ ซอ ซึง ดังขึ้นมา จ้าวซันหันไปยิ้มให้บราลี
“แบบนี้ใช้ได้ไหม ลองเปิดเช็คไปเรื่อยๆ สิ คราวนี้ผมคัดมาเป็นอย่างดีแล้ว องค์ชายน่าจะทรงพอพระทัย”
บราลีเปิดเพลงฟังไปเรื่อยๆ
“อืมม เพราะมาก” พูดยังไม่ทันจบบราลีเงียบไป จ้าวซันหันมอง สงสัย “ไร้ท์มาให้ฉันบ้างสิ”
จ้าวซันยิ้ม เอื้อมไปหยิบแผ่นซีดีที่เก็บไว้ในลิ้นชักด้านหน้าขึ้นมาส่งให้บราลี
“ของคุณต้องแผ่นนี้ ผมเลือกเพลงมาให้เป็นพิเศษเลย”
บราลีรับมาดู พอเห็นว่าจ้าวซันทำใส่ซองมาให้เป็นอย่างดี ก็ยิ้มปลื้ม ดีใจ
“ฉันเปิดฟังเลยนะ”
“อย่า อย่าเพิ่งเลย เอาเก็บไว้ฟังคนเดียวดีกว่า”
บราลีมองงงๆ ทันใดก็มีเสียงแมสเสจจากโทรศัพท์มือถือของจ้าวซันที่วางอยู่หน้ารถดังขึ้น
“บราลี คุณช่วยอ่านให้ผมทีได้ไหมว่าใครส่งมา”
บราลีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่าน
“พวกเราถูกจับแยก เจ้าน้องถูกร.ช.ประกบ ที่เหลือทั้งหมดและผมจะตามไปอีกลำ” หมายความว่าไงคะ”
บราลีเงยหน้าถามอย่างแปลกใจ จ้าวซันคิดหนัก และเริ่มสังเกตทางกระจกหลัง เห็นมอเตอร์ไซค์ของเกาเฟยขับจี้ตามมาตลอด จ้าวซันหน้าเครียดทันที
“ท่าจะไม่ดีแล้ว บราลีคุณโทรหาเต๋อเป่าให้ผมที ถามว่าถึงไหนแล้ว”
บราลีหันมอง เห็นมอเตอร์ไซค์ตามมาประชิดก็ตกใจ รีบกดหาเบอร์เต๋อเป่า
“หาไม่เจออะ มีชื่อภาษาจีนเต็มไปหมด คุณเมมไว้เป็นภาษาจีนหรือเปล่า”
“เออ จริงด้วย”
จ้าวซันก้มหน้าลงมาช่วยหาเบอร์โทรศัพท์ในมือถือที่บราลีกดไล่ให้อยู่ ด้านหน้าเป็นรถบรรทุกสีขาวที่ไอ้สือกับอาเหาขับสวนมา และค่อยๆ โผล่ออกมาจากหลังรถบรรทุกสีดำอีกคันที่ขับปกติในเลนสวนทางมา รถสีขาวเปิดไฟสูงขอทาง ทำท่าจะแซงรถบรรทุกคันแรก กระพริบไฟรัวๆ ใส่รถจ้าวซัน บราลีเห็นก็ตกใจ
“คุณชาย! ระวัง”
จ้าวซันเงยหน้ามองขึ้นไป เห็นรถบรรทุกสีขาวกำลังพุ่งมาอย่างเร็วก็ตกใจ เหลือบมองกระจกหลัง จะหักหลบ เห็นมอเตอร์ไซค์ของเกาเฟยมาเบียดข้างอีก จึงตัดสินใจเหยียบคันเร่งให้พ้นเกาเฟย แล้วหักหลบไปด้านซ้ายอย่างแรง รถตกไปข้างทาง
รถจ้าวซันพุ่งลงข้างทางอย่างจัง แล้วรถก็พลิกคว่ำ กลิ้งๆๆๆไปสองสามตลบก่อนหยุดนิ่ง ซีดีที่จ้าวซันไร้ท์มาให้บราลีตกลงมาจากรถ สภาพหักงอ รถบรรทุกรีบขับหายไป เกาเฟยวนรถมาดูผลงานแล้วยิ้มเผล่ ก่อนขับจากไป
ซากรถที่บุบบี้ มีควันกรุ่นลอยจากเครื่องยนต์ บราลีที่ช้ำจากการกระแทก หัวแตกมีเลือดไหล ค่อยๆ ได้สติลืมตา พยายามตั้งสติ มองไปตรงหน้ารอบๆ ก่อนจะหันมามองที่คนขับแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นจ้าวซันน็อค คอพับคว่ำพาดไปกับพวงมาลัยรถ แน่นิ่ง
“จ้าว...” ตัวเองก็เจ็บเช่นกัน “โอ๊ย...จ้าวซัน” จ้าวซันนิ่ง ไม่ได้สติ “จ้าวซัน” บราลีฝืนเจ็บรีบปลดเบลท์ออก เขย่าตัวจ้าวซัน “คุณชายจ้าวซัน...” บราลีจับจ้าวซันหงายพิงเบาะ จ้าวซันเลือดอาบ หายใจรวยริน แทบไม่ได้สติ “เลือดคุณ ไหลเยอะมาก คุณไหวมั้ยจ้าวซัน อย่าเป็นอะไรนะ”
บราลีพยายามเขย่าเรียก แต่จ้าวซันไม่ตอบสนอง บราลีร้อนใจ กลัวจ้าวซันตาย รีบลงจากรถ พยายามมองหาคนช่วย แต่ที่ถนนนั้นว่างเปล่า มีรถผ่านมา บราลีพยายามจะตะโกนเรียก
“ช่วยด้วย”
แต่รถนั้นไม่ได้ยิน แล่นผ่านไป และถนนนั้นดูว่างเปล่า บราลีรีบอ้อมไปเปิดประตูคนขับ ปลดเบลท์ให้จ้าวซัน แล้วพยายามประคองลงจากรถ
“อย่าหลับนะจ้าวซัน ชั้นจะพาคุณไปบนถนน ถ้ามีรถผ่านมาเขาจะได้เห็น อดทนหน่อยนะ” จ้าวซันตัวหนักมาก บราลีที่อ่อนแรงอยู่แล้วก็ทรุดคุกเข่าลงไป “โอ๊ย”
แต่บราลีฮึด ไม่ยอมแพ้ พยายามประคองจ้าวซันเดินขึ้นไปที่ถนน ซวนเซ ทรุดล้มเป็นระยะ แต่บราลีก็กัดฟันประคองจ้าวซันไปจนได้ บราลีกอดจ้าวซันอยู่ที่ข้างถนนนั้น รอรถที่ผ่านมา
“อย่าหลับนะจ้าวซัน ตื่นๆ” บราลีตบหน้าจ้าวซัน เรียกสติ “คุณห้ามหลับ เข้าใจมั้ย เข้าใจมั้ย ตอบชั้นสิ ตอบ”
จ้าวซันคอพับคออ่อน แน่นิ่งไป “ไม่นะ ไม่ ตื่นๆๆ ช่วยด้วย มีใครได้ยินบ้าง ช่วยด้วย”
ขณะนั้นที่สนามบินฮ่องกง ศิขรนโรดม มิถิลา ราชิดเดินลงมาจากเครื่องบิน มีพนักงานของสนามบิน 4-5 คนรอต้อนรับอยู่
“เห็นมั้ยล่ะองค์ชาย เสด็จมาเงียบๆ อย่างนี้ ก็ไม่ต้องมีการต้อนรับอะไรเอิกเกริกวุ่นวายอย่างที่องค์ชายชอบ มีแค่เจ้าหน้าที่สนามบินนิดหน่อย แล้วก็ตัวแทนจากบริษัทจ้าวฉินเย่ว์เท่านั้น”
“แล้วไหนล่ะ ตัวแทนจากจ้าวฉินเย่ว์ เราอยากเจอคนที่เชิญเรามา”
ทันใดเหม่ยอิงเดินตรงเข้ามา มีลูกน้องตามหลังสองคน เหม่ยอิงโค้งคำนับ
“ฮ่องกงยินดีต้อนรับองค์ชายศิขรนโรดมแห่งคีรีรัฐเพคะ ดิฉันจ้าวเหม่ยอิง ตัวแทนจากบริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ปเพคะ”
“จ้าวเหม่ยอิง”
ศิขรนโรดมอึ้ง แปลกใจที่ไม่ใช่จ้าวซัน เหม่ยอิงยื่นมือจับทักทาย ศิขรนโรดมก็จับมือทักทายไปตามมารยาท
“องค์ชายไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยนะคะ ดิฉันขอรับรองว่าจะดูแลความปลอดภัยขององค์ชายให้ดีกว่าเมืองไทยแน่นอนเพคะ”
ศิขรนโรดม มองหาจ้าวซัน
“เอ่อ คือ”
“คะ”
“เอ่อ ผมเข้าใจว่าคนที่เชิญผมมาจะเป็นผู้ชายซะอีก”
“องค์ชายเข้าใจถูกต้องแล้วเพคะ คุณชายจ้าวซัน พี่ชายของหม่อมชั้นเป็นคนส่งจดหมายเชิญองค์ชายเอง พอดีว่าพี่ชายใหญ่ติดธุระด่วน ไม่สามารถมารับเสด็จได้ แต่องค์ชายไม่ต้องเป็นห่วงนะเพคะ ถึงหม่อมชั้นจะเป็นน้อง แต่หม่อมชั้นก็มีสิทธิในการตัดสินใจอะไรได้เท่ากับพี่ชายใหญ่ ทุกประการ”
“เอ่อ ครับ”
“เราไปกันเถอะเพคะ เดี๋ยวจะไม่ทันตามกำหนดการ”
เหม่ยอิงเชื้อเชิญ เดินนำไป ราชิดตามไป ศิขรนโรดมข้องใจและแอบเป็นกังวล เป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นกับจ้าวซัน
“เกิดอะไรขึ้นกับ...” ศิขรนโรดมพึมพำ
“องค์ชาย ระวังพระองค์หน่อยพะย่ะค่ะ เชิญ”
มิถิลาปรามให้ศิขรนโรดมอย่าออกอาการมากจนมีพิรุธ ศิขรนโรดมจำต้องตามไป
บราลีพยายามตบหน้าเรียกสติให้จ้าวซัน
“คุณชายจ้าวซัน คุณต้องร่วมมือกับชั้น เข้าใจมั้ย ห้ามหลับ พูดอะไรกับชั้นก็ได้ นับหนึ่งถึงสิบก็ได้ นับสิ”
จ้าวซันมองหน้าบราลี พยายามจะพูด แต่อ่อนแรง มีเสียงเพียงแผ่วเบา จ้าวซันพึมพำเนื้อเพลงน้อยไจยา
“มวลดอกไม้ มีเสน่ห์ ที่เกสร หมู่ภมร ซอนเซาะสู่คู่ภิรมย์”
“เพลงนี้ ค่ะ ร้องไปนะ อย่าหยุด ชั้นจะช่วยร้องด้วย หอมเอย ช่างหอมหวาน เย้ายวนให้ชวนชม ภมรสู่สมหมายใจ จะชมมิข่มความอาลัย”
แต่แล้วทันใด รถเก๋งคันหนึ่งก็แล่นมาจอด เต๋อเป่ารีบวิ่งลงมา
“คุณชายใหญ่”
เต๋อเป่ารีบเข้าไปช่วยเหลือดูแลจ้าวซัน
จ้าวซันถูกเข็นเข้าไปภายในโรงพยาบาล มีพวกหมอและพยาบาลฉุกเฉินวิ่งตามดูแลเป็นพรวน บราลีที่ตามหลังมา พยายามจะตาม แต่พอถึงจุดหนึ่งก็ต้องหยุด ไล่ไม่ทัน ตัวเองก็บาดเจ็บไม่น้อย มีพยาบาลจะมาดูแลบราลี
“คุณบราลี ผมว่าคุณไปทำแผลด้านนั้น” เต๋อเป่าบอก
“ไปห่วงคุณชายจ้าวซันก่อน ชั้นไม่เป็นอะไร ไป”
“ครับๆ”
เต๋อเป่าผละจากบราลี รีบวิ่งตามไปดูแลจ้าวซัน บราลีหมดห่วง ยืนโซเซ สักพัก พยายามรวมรวบแรงจะไปนั่งพัก แต่แล้วก็ผล็อยร่วงลงไปกับพื้น แบบสิ้นท่า ราวกับปิดสวิทช์ บราลีหมดสติอยู่กับพื้นลำพัง เป็นจังหวะที่ไม่มีพยาบาลหรือหมอผ่านมาพอดี สักพักมีพยาบาลแถวนั้นที่เห็นจึงรีบวิ่งเข้าไปดูแล
ที่สมาคมพ่อค้าฮ่องกง ศิขรนโรดมกำลังเดินจับมือทักทายกับพวกกรรมการสมาคมที่มายืนรอต้อนรับ พวกกรรมการพูดทักทายภาษาจีนอย่างเป็นมิตรมากๆ ศิขรนโดรมยิ้มแย้มทำหน้าที่ไป ราชิดก็ทักทายกับกรรมการอยู่อีกกลุ่ม สักพักพวกกรรมการก็แยกย้ายเข้าห้องบรรยายไป
“องค์ชายคะ เดี๋ยวเชิญที่ห้องบรรยายเลยนะคะ ส่วนท่านพลเอกราชิดเราเตรียมที่นั่งไว้ให้แล้ว คนของเราจะพาไปนะคะ”
“ขอบคุณมากครับ”
คนของเหม่ยอิงเดินนำพาราชิดแยกไป
“องค์ชายเชิญทางนี้เพคะ”
เหม่ยอิงจะเดินนำเข้าไป แต่ศิขรนโรดมท่าทางอึกอัก
“เอ่อ คุณจ้าวเหม่ยอิง”
“คะ”
“คุณได้ติดต่อคุณชายจ้าวซันหรือยังครับ ว่าเขาติดอะไร ทำไมถึงยังไม่มาอีก”
“พี่ชายใหญ่คงจะติดธุระด่วนมากจริงๆ ดิฉันเชื่อว่าอีกสักพักเขาจะติดต่อมา แล้วดิฉันจะแจ้งให้องค์ชายทราบพระองค์แรกเลยนะคะ แต่ตอนนี้เชิญ”
“คุณช่วยโทรตามตอนนี้เลยไม่ได้เหรอครับ” เหม่ยอิงแปลกใจ
“องค์ชายมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“เปล่า คือผมไม่คิดว่าเจ้า(จะพูดว่าเจ้าพี่)..เอ่อ คุณชายจ้าวซันจะมีอะไรสำคัญไปกว่าผม เขาเป็นคนเชิญผมมา ผมว่ามันแปลกมากถ้าเขาจะไม่อยู่ต้อนรับผมด้วยตัวเอง”
“ดิฉันรับหน้าที่ถวายการต้อนรับแก่องค์ชาย และอย่างที่ได้บอกองค์ชายไปว่าดิฉันมีศักดิ์และอำนาจในการตัดสินใจในทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับบริษัทจ้าวฉินเย่ว์กรุ๊ปได้เท่าเทียมกับคุณชายจ้าวซัน เพราะฉะนั้นดิฉันขอยืนยันว่าองค์ชายได้รับการต้อนรับอย่างสมพระเกียรติที่สุด”
“ผมทราบ แต่...”
“แต่ก็ยังอยากพบจ้าวซันอยู่ดี”
“ครับ”
เหม่ยอิงไม่พอใจวูบนึง ก่อนจะฉีกยิ้มหวาน อย่างเข้าอกเข้าใจมากๆ ออกมากลบเกลื่อน
“แล้วดิฉันจะติดต่อให้นะคะ แต่ตอนนี้ เชิญ...” เหม่ยอิงหันหน้าหนีจะเดินนำไปที่ห้องบรรยาย แต่แล้วมือถือของเหม่ยอิงดังขึ้น เหม่ยอิงหยิบขึ้นมาดูหมายเลข “ซายหมุย โทรมาไม่รู้เวล่ำเวลา” เหม่ยอิงตัดสายทิ้ง แล้วเชิญศิขรนโรดมเข้าห้องไป “ทุกคนรอองค์ชายอยู่เพคะ”
ศิขรนโรดมจำต้องเข้าไปทำหน้าที่ มิถิลาตามเข้าไป ทุกคนในห้องบรรยายลุกต้อนรับองค์ชาย เหม่ยอิงที่กำลังจะตามเข้าไป แต่มือถือดังขึ้นอีก เหม่ยอิงถอยออกมารับสาย
“โทรมาทำไม ชั้นกำลังทำงานอยู่”
ผิงอันกำลังร้องไห้
“พี่เหม่ยอิง พี่ชายใหญ่ ฮือๆๆ พี่ชายใหญ่”
“ทำไม พี่ชายใหญ่เป็นอะไร ยัยเด็กบ้า หยุดร้องแล้วพูดให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้” เหม่ยอิงฟัง แล้วตกใจ “อะไรนะ”
เหม่ยอิงช็อค
เหม่ยอิงรีบร้อนเดินเข้ามาตามทางในโรงพยาบาล ผิงอันอยู่กับอาม่าที่ด้านหน้าห้องฉุกเฉิน กำลังร้องไห้ไม่หยุด
“ผิงอัน พี่ชายใหญ่อยู่ไหน”
ผิงอันสะอึกสะอื้น
“พี่เหม่ยอิง พี่ชายใหญ่ยังอยู่ในห้องฉุกเฉิน ตั้งนานแล้ว ยังไม่ออกมาเลย หนูกลัว”
“ซายหมุยไม่ต้องกลัว คุณชายใหญ่เป็นคนดี ฟ้าดินต้องคุ้มครอง” อาม่าปลอบ
“คนพวกนั้นเป็นใคร ทำไมต้องทำร้ายพี่ชายใหญ่ด้วย”
“มันเป็นคนชั่ว คิดชั่ว ทำอะไรชั่วๆ คนพวกนี้ไม่กลัวเวรกลัวกรรม มันไม่ได้ตายดีแน่ๆ ต้องตายเหมือนหมาข้าง
ถนน”
“อาม่า หยุดโวยวาย คร่ำครวญได้มั้ย น่ารำคาญ”
อีกด้านเต๋อเป่าเข็นรถเข็นที่บราลีนั่งออกมา บราลีมีผ้าพันแผล ตามแขน ขาและที่ข้อศอก
“พี่บรี” ผิงอันรีบถลาเข้าไปหา “พี่บรีไม่เป็นอะไรมากใช่มั้ย”
“แค่แผลถลอกกับช้ำนิดๆ หน่อยๆน่ะ แล้วคุณชายจ้าวซันล่ะ”
“ยังไม่ออกมาเลย”
บราลีห่วงใย ใจหายวูบ ความผูกพันในส่วนลึกทำให้รู้สึกห่วงใยความเป็นความตายของจ้าวซันมากโดยไม่รู้ตัวเอง บราลีพยายามลุกขึ้นจากรถเข็นค่อยๆ เดินไปหน้าห้องฉุกเฉิน
“อย่าเป็นอะไรนะคุณจ้าวซัน”
เหม่ยอิงทั้งรู้สึกผิด ทั้งแค้น พาลลงที่บราลี
“เพราะเธอ บราลี เธอเป็นต้นเหตุเรื่องทั้งหมด”
เหม่ยอิงเดินพุ่งไปคว้าไหล่บราลี ผลักจนล้มลง บราลีตกใจ
“ว้าย”
เต๋อเป่ารีบขยับตัวเข้าไปขวาง
“พี่เหม่ยอิง มากเกินไปแล้วนะ ทำไมต้องมาพาลลงที่พี่บรีด้วย” ผิงอันต่อว่า
“ชั้นไม่ได้พาล พี่ชายใหญ่เคยขับรถเองที่ไหน แต่เพราะนังนี่ เพราะพี่ชายใหญ่อยากดูแลมัน ก็เลยเป็นอย่างนี้ คนที่ควรจะนอนอยู่ในไอซียูควรจะเป็นเธอ ไม่ใช่พี่ชายใหญ่ ถ้าพี่ชายใหญ่เป็นอะไร ชั้นไม่เอาเธอไว้แน่”
เหม่ยอิงฉุนเฉียว ดูน่ากลัว ชี้หน้าบราลี บราลีได้แต่จ๋อย ไม่อยากทะเลาะด้วย เหม่ยอิงเหลือบไปเห็นเกาเฟยยืนอยู่มุมด้านหนึ่ง เหม่ยอิงชะงัก เกาเฟยค่อยๆ หลบฉากออกไป เหม่ยอิงผละเดินไปทางเกาเฟยเนียนๆ คนอื่นๆ เข้าไปหาบราลีด้วยความเป็นห่วง
เกาเฟยเดินยืนอยู่รอที่มุมลับตาคนของโรงพยาบาล เหม่ยอิงเดินพุ่งตามออกมา
“คุณหนูให...ญ่...”
เกาเฟยยังพูดไม่ทันครบคำ เหม่ยอิงก็ตบหน้าหันทันที เพี๊ยะๆ ชก อัด ซ้อมอย่างไม่ยั้ง เกาเฟยได้แต่ปกป้อง ยกมือกันหน้าไว้
“แกจะฆ่าจ้าวซันเหรอไอ้หมาขี้เรื้อน ชั้นสั่งให้แกสกัดไม่ให้จ้าวซันกับนังบราลีไปรับเสด็จเจ้าชายคีรีรัฐ ไม่ใช่ให้แกทำร้ายจ้าวซันปางตายอย่างนี้”
“ผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นอย่างนี้ แต่มันสุดวิสัยจริงๆ”
“ชั้นชักไม่แน่ใจแล้วว่าแกจะทำงานเพื่อชั้นจริง”
“คุณหนูฟังผม” เหม่ยอิงควักปืนออกมาจากกระเป๋าอย่างว่องไว จ่อที่เกาเฟย เกาเฟยผงะ เข่าอ่อน “คุณหนูใหญ่”
“ถ้าแกคิดหักหลังชั้น นอกจากแกจะไม่ได้เห็นหน้าครอบครัวแกแล้ว แกจะไม่มีชีวิต” เกาเฟยเข่าอ่อน ทรุดลงตรงหน้าเหม่ยอิง “จำใส่หัวของแกไว้ซะ คนสุดท้ายบนโลกนี้ที่ชั้นอยากให้ตายคือจ้าวซัน”
“ให้อภัยผมเถอะคุณหนูใหญ่ ผมขอโอกาสอีกครั้ง ผมสาบาน ผมจะทำงานถวายชีวิตต่อคุณหนูใหญ่ ผมจะเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อคุณหนูใหญ่เพียงคนเดียว หากสั่งให้ไปฆ่าคนผมก็ไปฆ่า สั่งให้ตายก็จะไปตาย”
“ดี งั้นกราบเท้าชั้น”
เกาเฟยชะงักชั่วครู่ แล้วตัดสินใจก้มลงกราบแทบเท้าของเหม่ยอิงทันที เหม่ยอิงยังคงจ้องมองเกาเฟยด้วยความโกรธแค้นชิงชัง
“ยิ่งกว่ากราบเท้าผมก็ทำได้”
เหม่ยอิงก้มมอง เงยหน้าขึ้นมายิ้ม สะใจ
ห้องพักวีไอพีในโรงพยาบาล จ้าวซันยังนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือแขวนระโยง โต๊ะข้างๆ มีดอกไม้และกระเช้าผลไม้วางอยู่ประปราย บราลีนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างเตียงผู้ป่วยเหม่อมองจ้าวซันด้วยสีหน้าทุกข์ใจ ถัดออกไปที่โซฟา ผิงอันกับอาม่านั่งอยู่ มีสีหน้ากลุ้มใจไม่แพ้กัน
“พี่บรี พี่บรีไปพักก่อนดีกว่านะ เดี๋ยวหนูเฝ้าพี่ชายใหญ่เอง”
บราลีหันมาส่ายหน้าปฏิเสธ ด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
“คุณเองก็บาดเจ็บไม่น้อย ไปนอนพักสักหน่อยเถอะ”
“ฉันอยากรอให้เขา เอ่อ อยากรอให้คุณชายจ้าวซันฟื้นก่อน”
บราลีหันกลับไป ลุกขึ้นไปมองจ้าวซันที่กำลังหลับไม่ได้สติใกล้ๆ ด้วยความรู้สึกเป็นห่วงอย่างสุดซึ้ง อาม่ากับผิงอันเห็น แอบหันมามองหน้ากัน พยักหน้าชื่นชม อมยิ้มเล็กๆ
“ฉันอยากแน่ใจว่าเขาปลอดภัยแล้วจริงๆ ฉันจะได้...”
ทันใดนั้นประตูห้องพักก็เปิดออก เหม่ยอิงเดินรี่เข้ามา
“จะได้ไม่รู้สึกผิด ที่เป็นตัวต้นเหตุใช่ไหมล่ะ” ทุกคนหันกลับไปมองเหม่ยอิง ที่เปลี่ยนชุดมาใหม่และหอบกระเป๋าใบใหญ่มาด้วย เหม่ยอิงโยนกระเป๋าลงไปที่โซฟาที่อาม่าและผิงอันนั่งอยู่ “ทุกคนกลับไปได้แล้ว ฉันจะเฝ้าพี่ชายใหญ่เอง” ทุกคนมองเหม่ยอิง นิ่ง ไม่มีใครขยับ “อ้าว ฉันพูดไม่ได้ยินหรือไง ไปกันได้แล้ว ลุกๆๆ”
เหม่ยอิงไล่อาม่ากับผิงอัน ผิงอันรีบฉุดอาม่าให้รีบลุกขึ้น แล้วเดินออกไป บราลีลังเลหันไปมองจ้าวซัน แล้วตัดสินใจหันกลับ เดินออกไป จ้าวซันที่เหมือนเริ่มรู้สึกตัว ขยับตัวเล็กน้อยแต่ไม่มีใครเห็น เหม่ยอิงเดินไปขวางหน้าบราลี
“รีบหายเร็วๆ ล่ะ อย่าสำออยให้มากนัก จะได้ทำหน้าที่ “ลูกจ้าง” คอยต้อนรับเจ้าชายจากคีรีรัฐอะไรนั่นสักที”
บราลีไม่สนใจ ไม่อยากต่อล้อต่อเถียงด้วย เดินหลบไปอีกทาง “และก็ช่วยท่องให้ขึ้นใจไว้ด้วยนะว่าหน้าที่ดูแลคุณชายจ้าวซัน มันเป็นของชั้น ไม่ใช่ของลูกจ้างอย่างเธอ”
“เข้าใจแล้วค่ะ ฉันจะจำจนขึ้นใจ”
บราลีเดินออกไปกับอาม่าและผิงอัน เหม่ยอิงแสยะยิ้ม สะใจ
อาม่าและผิงอันช่วยกันประคองบราลีเดินออกมาอย่างช้าๆ
“พี่บรีน้า บอกให้นั่งรถเข็นออกมาก็ไม่เชื่อ”
“นั่นน่ะสิ คุณหมอก็บอกให้นอนพักอีกคืนก็ไม่ยอม ไม่รู้จะรีบกลับไปทำไม”
“ฉันไม่เป็นไรแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่ให้ขวางหูขวางตาใครเขา” บราลีบ่นกับตัวเอง ผิงอันและอาม่ามองหน้ากัน
“เป็นเพราะพี่เหม่ยอิงใช่ไหม”
“เปล่า”
“คุณจะไปสนใจคนพรรค์นั้นทำไม”
“จริงด้วย”
“คนอะไร สวยแต่รูปจูบไม่หอม คุณชายใหญ่ไม่มีวันสนใจผู้หญิงแบบนี้หรอก”
ทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าโรงพยาบาลพอดี
“พี่บรี ตกลงคืนนี้มาค้างกับหนูนะ”
มีรถตำรวจเลี้ยวพุ่งเข้ามา จอดตรงหน้าที่ทั้งสามคนยืนอยู่ ผู้กองเหลียงกดเปิดกระจกและยื่นหน้าออกมา
“จะไปไหนกันครับ”
ผิงอันกำลังมองออกไปนอกกระจกรถ แล้วหันมาคุยกับอาม่าที่นั่งห่อตัวอยู่เบาะหลังด้วยกัน
“ว้า จะถึงแล้วเหรอ ซาหมุยไม่เคยนั่งรถตำรวจเลยในชีวิต อาม่าๆ ถ่ายรูปให้หน่อยสิ”
ผิงอันส่งมือถือส่งให้อาม่าถ่ายรูปให้
“โอ๊ย ไม่เอาๆ ถึงแล้วก็รีบๆ ลงเถอะคุณหนู คนที่นั่งรถตำรวจมามีแต่พวกนักโทษทั้งนั้นแหละ”
ผู้กองเหลียงมองผ่านกระจกหลัง ผิงอันกำลังยกสองนิ้วเอามือถือถ่ายรูปตัวเองในรถ รถจอดหน้าบ้านสี่ฤดู อาม่ารีบเปิดประตูรถลง
“เอาล่ะ ถึงแล้ว”
ผิงอันเปิดประตู กำลังจะก้าวลงจากรถ
“อ้าว พี่บรี ไม่ลงมาด้วยกันเหรอ”
บราลีหันไปมองผิงอันแล้วหันกลับไปมองหน้าผู้กองเหลียง
“คุณมีเรื่องจะคุยกับฉันใช่ไหม”
บราลีถามผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงหันไปอีกทาง พยักหน้าเบาๆ
วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 6 (ต่อ)
ร่างผู้ชายวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในโกดังร้าง เสียงฝีเท้าดังก้อง แสงไฟสลัวค่อยๆ เผยให้เห็นเป็นเกาเฟย
“พันหงปิง วู้...อยู่ไหน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนกลดังรัวกระหน่ำสวนทางกับที่เกาเฟยเดินเข้ามา กระสอบทรายที่อยู่ในลานกว้างตรงทางเข้าด้านหลังเกาเฟยกระจุยไม่มีชิ้นดี เกาเฟยตกใจกระโดดหมอบกับพื้น คลานต่ำ หนีเอาชีวิตรอด
“เฮ้ย นี่มันอะไรกัน”
“ปืนกลเบาแบบ M60”
“เดี๋ยวๆๆ หยุดก่อน”
พันหงปิงและลูกน้องสี่คนยืนเรียงกันอยู่บนยกหลังคอนเทนเนอร์สูง ด้านหลังโกดัง ลูกน้องสองคนที่ถือปืนหยุดยิง ลดปืนลงและก้าวถอยหลังไป
“ต่อไป ปืนกลหนัก M2”
พันหงปิงบอก ลูกน้องอีกสองคนก้าวขึ้นมาแทนที่ ยกปืนมาประทับ กำลังจะยิง เกาเฟยลุกยืนกลางโกดัง โบกมือไปมา ตะโกนสุดเสียง
“พันหงปิง พอได้แล้ว”
ไฟเปิดสว่างจ้าทั้งโกดัง เกาเฟยยืนเด่นกลางโกดัง หน้ามัน หอบเหนื่อย พันหงปิงก้าวกระโดดลงมาหา
“ให้รอซะตั้งนาน นึกว่าจะเบี้ยวกันซะแล้ว”
เกาเฟยเดินเข้าไปหา ปัดฝุ่นตามแขนเสื้อและขากางเกง วางมาด
“เผอิญติดธุระนิดหน่อย”
“M60 และ M2 อยู่ตรงนี้”ลูกน้องพันหงปิงเลิกผ้าใบที่คลุมลังไม้ออกเผยให้เห็นอาวุธสงครามสีดำขลับวางเรียงรายดูน่ากลัว “ส่วนฝั่งนี้เป็นเครื่องยิงลูกระเบิด M79 และเครื่องยิงจรวด จะผมให้ทดสอบให้ดูเลยไหม”
“อย่าเพิ่ง รอก่อนดีกว่า หัวหน้าผมส่งข้อความมาบอกว่ากำลังเดินทางมาจากมาเก๊า”
“คุณมาสายไปเกือบชั่วโมง แล้วนี่ผมยังจะต้องมารอหัวหน้าคุณอีก คนจีนแผ่นดินใหญ่ถือเวลาเป็นเงินเป็นทอง”
“คนฮ่องกงก็ถือเวลาเป็นเงินเป็นทองเหมือนกัน”
ฉินเจียงเดินเข้าโกดังมากับโกศิน วางมาด แต่โกศินมองดูพวกปืนที่โชว์อยู่ ตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ พันหงปิงพยักหน้า ยิ้มตอบอย่างเจ้าเล่ห์
ริมถนนทางไปสนามบิน ซากรถของจ้าวซันที่ตกอยู่ข้างทาง ถูกกั้นไว้เป็นเขตห้ามเข้า ตำรวจกำลังถ่ายรูปพิสูจน์หลักฐานและจดบันทึก โดยมีอเล็กซ์ยืนสั่งการ รถของผู้กองเหลียงแล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ อเล็กซ์หันไปมอง
ในรถของผู้กองเหลียง บราลีนั่งอยู่ข้างๆ ผู้กองเหลียง ยังไม่เปิดประตูลงไป
“ฉันไม่ทราบจริงๆ ว่าจ้าวซันมีเรื่องบาดหมางกับใคร อย่างที่คุณก็รู้ดี ฉันไม่รู้อะไรเลย”
“คุณคิดว่าเกี่ยวกับเรื่องการรับเสด็จไหม”
“ฉันไม่รู้”
“คุณไม่รู้จริงๆ หรือกำลังพยายามปกป้องใคร หรือกำลังกลัวใครอยู่”
บราลีหันมองผู้กองเหลียง ผู้กองเหลียงจ้องกลับ คาดคั้น
“ถ้าคุณชายจ้าวซันจะมีปัญหากับใครก็คงมีแต่คุณฉินเจียง แต่เขาก็ไม่น่าจะคิดร้ายต่อกันขนาดนี้ เพราะเขาเป็นพี่น้องกัน”
ผู้กองเหลียงพยักหน้าครุ่นคิด
“ไท้เผ่งคนนั้น”
อเล็กซ์เห็นทั้งสองคนไม่ยอมลงจากรถสักที จึงเดินก้าวเข้ามาหา ผู้กองเหลียงเห็นจึงเปิดประตูลงไป บราลีเปิดประตูก้าวลงจากรถตามไป
“งานนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แน่นอน” อเล็กซ์บอก
“โอ้โห นี่ถ้าผู้กองอเล็กซ์แห่งกองพิสูจน์หลักฐานไม่บอก คนอื่นคงไม่รู้นะเนี่ย คนอะไร...ฉล้าด...ฉลาด”
อเล็กซ์มองหน้าผู้กองเหลียงอย่างหมั่นไส้ บราลีเห็นแสงประกายแว่บๆ สะท้อนขึ้นมาจากพงหญ้าข้างทาง จึงปลีกตัวเดินไปดู อเล็กซ์กับผู้กองเหลียงชิงดำกัน
“ในกล้องวงจรปิดที่เสาไฟตรงโน้น มีภาพรถบรรทุก...”
“สีขาว”
“ใช่...กับรถมอเตอร์ไซค์”
“ที่ขับมาขนาบข้าง ทางเราก็ได้ภาพนี้เหมือนกัน ภาพเดียวกัน”
“แหม...ก็ถ้ารู้แล้วทำไมกองปราบปรามถึงยังตามจับมาไม่ได้ก็ไม่รู้นะ”
“เรากำลังเช็กทะเบียนรถอยู่”
“ทะเบียนปลอมทั้งนั้น”
ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์มองกันท้าทาย บราลีก้มลงไปหยิบขึ้นมากลายเป็นแผ่นซีดีที่จ้าวซันให้ไว้ ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์เห็นด้วยหางตา หยุดเถียง หันไปมองบราลี บราลีหน้าเศร้า ผู้กองเหลียงและอเล็กซ์มองหน้ากันงงๆ
ที่โกดังร้าง พันหงปิงเดินพาลูกน้องและนำฉินเจียง เกาเฟย โกศินออกไปที่ลานกว้างด้านหน้า ฉินเจียงคว้าตัวเกาเฟยมาคุยใกล้ๆ
“หายหัวไปไหนมาวะ ปล่อยให้มันรอนานจนมันบ้าแล้วเห็นไหม”
“จ้าวซันขับรถตกถนน ตอนนี้อยู่ห้องไอซียู ยังไม่ได้สติ”
“เฮ้ยย” ฉินเจียงหัวเราะสะใจ “สมน้ำหน้า คนชั่วอย่างมันก็ต้องได้รับกรรมแบบนี้แหละ”
“มีอะไรน่าดีใจขนาดนั้นเหรอครับ” โกศินถาม
“อย่างที่คุณบอกเลย ตอนนี้ใครก็สู้ดวงผมไม่ได้จริงๆ คืนนี้เราจะได้ขนอาวุธขึ้นเครื่องกันอย่างสบายใจหายห่วง”
ฉินเจียงตบไหล่โกศินอย่างสบายอารมณ์
“ยิง”
พันหงปิงตะโกนสั่ง เสียงระเบิดดังตูม ลูกเพลิงขนาดย่อมลุกโชติช่วงอยู่ไม่ไกลจากทางเข้าโกดังนัก ฉินเจียง โกสิน เกาเฟยยังไม่ทันที่จะเดินพ้นออกมา สะดุ้งตกใจ
“เฮ้ยย จะบ้าหรือไง ถ้ามันพลาดขึ้นมา”
“เครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 อานุภาพเป็นอย่างไรบ้างทุกท่าน”
“ดี มันต้องแบบนี้”
ฉินเจียงบอกอย่างอารมณ์ดี เกาเฟยมองหน้า งง โกศินมองซากสิ่งของที่โดนระเบิดเละเป็นจุล กำลังไฟไหม้ ทึ่ง ตะลึง
“เจอลูกนี้เข้าไป กองทัพคีรีรัฐก็หมดปัญญาจะทำอะไรแล้ว”
โกศินกับฉินเจียงมองหน้ากัน ยิ้ม หัวเราะ ต่างฝ่ายต่างยินดี จับมือกันแน่น โดยมีกองซากที่ลูกไฟลุกท่วมอยู่ด้านหลังทั้งคู่เป็นฉากหลัง
โรงพยาบาลในฮ่องกงเวลาพลบค่ำ ที่ขวดน้ำเกลือที่แขวนอยู่ข้างเตียง พยาบาลกำลังปรับหยดน้ำให้ไหลช้าลง และเดินออกไป เหม่ยอิงเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่งตัวสวยจะไปงาน เหม่ยอิงค่อยๆ เอาหน้าเข้าไปใกล้ๆ หน้าจ้าวซัน พิศดูอย่างใกล้ชิดและค่อยๆ เอาปากเป่าปอยผมที่ตกลงมาปลกหน้าผากจ้าวซัน แล้วขณะพูดเอามือเหน็บปลายผมให้จ้าวซันไปด้วย สีหน้าเย็นชา เรียบเฉย
“พี่ชายใหญ่ไม่เคยเห็นเหม่ยอิงอยู่ในสายตา ทำตัวหยิ่งยโสกับเหม่ยอิงมาตลอด ถ้าพี่ชายทำดีกับเหม่ยอิงสักนิด ยอมร่วมมือกันพี่ชายใหญ่ก็คงไม่ต้องมานอนอยู่ตรงนี้หรอก”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เหม่ยอิงรีบยืดตัวขึ้นมานั่งเป็นปกติ ชายเสื้อกาวน์สีขาวของหมอเดินเข้ามาจากประตูซึ่งก็คือไอ้สือที่ใส่เสื้อกาวน์ปลอมตัวมาเป็นหมอ เดินเข้ามาทำทีจับชีพจรจ้าวซัน
“ทำอะไรของแก”
เหม่ยอิงถามเสียงเข้ม ไอ้สือพูดก้มหน้าก้มตาทำทีเป็นตรวจเช็คโน่นนี่ พูดโดยไม่มองหน้าเหม่ยอิง
“ลูกพี่ผมให้มาบอกว่าแผนที่สองจะเริ่มคืนนี้ ตอนสี่ทุ่ม”
“ทำไปเลย ไม่ต้องคอยมารายงานฉัน แล้วก็อย่าให้พลาดอีกล่ะ”
“ผมรับรองว่าคราวนี้จะไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ”
“งานนี้จะเจ็บหรือตายฉันไม่สนใจ แต่อย่าให้มีหลักฐานมาถึงฉันได้ก็แล้วกัน”
จ้าวซันขยับพลิกตัว เหม่ยอิงตกใจ รีบไล่ไอ้สือออกไป ไอ้สือรีบหลบออกจากประตูไป
“เมย...ม่านฟ้า...ม่านฟ้า...ม่านฟ้า...”
เหม่ยอิงงงๆ พยายามเงี่ยหูฟังให้ชัด
“อะไรของเขา ม่านฟ้า...ชื่อคนหรือ...ใครกัน”
“เจ้าน้อง...เจ้าน้อง ศิขร ศิขรนโรดม” จ้างซันเรียกเสียงดัง
“อะไรกัน ถึงกับเก็บชื่อองค์ชายคีรีรัฐมาเพ้อ พี่ใหญ่นี่บ้างานเกินไปแล้ว”
หน้าจ้าวซันตึงเครียด คิ้วขมวด แต่ไม่ได้สติ
ช่วงค่ำที่ห้องบรรยายในโรงแรมหรูริมทะเล ฮ่องกง ผ้าทอชนิดต่างๆ สีสันสวยงามที่ฉายผ่านเครื่อง LCD
“ลายผ้าพวกนี้ชาวบ้านก็เป็นคนคิดขึ้นเอง และถ่ายทอดสู่ลูกหลานด้วยการสอนแบบปากต่อปาก ไม่ได้มีการจดบันทึกเป็นตำรา”
ศิขรนโรดมกำลังสอนและบรรยายเรื่องงานศิลปหัตถกรรมของคีรีรัฐอยู่ที่โพรเดี่ยมเวที ศิขรนโรดมมองไปรอบๆ ขณะบรรยายเห็นเก้าอี้ว่างด้านหน้าสองตัว มีป้ายด้านหน้าว่าเป็นบริษัทจ้าวฉินเย่ว์ กรุ๊ป จำกัด มีเพียงเหม่ยอิง ในชุดหรูหราแพรวพราว นั่งเด่นคนเดียว วางปึ่ง ยิ้มนิดๆ ศิขรนโรดมมีสีหน้าไม่สบายใจนัก ดูกังวลใจ
ในห้องสัมมนาโต๊ะแถวหน้ามีราชิดและกรรมการผู้ใหญ่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์บางคนนั่งอยู่ ถัดไปด้านหลังมี เทเรซ่าและผู้เข้าร่วมสัมมนาคนอื่นๆ ที่ประตูมีทหารคีรีรัฐยืนเฝ้าประจำการและมีบริกรของโรงแรม 4-5 คนยืนอยู่ด้านหลัง
ภูสินทรที่ปลอมตัวเป็นบริกรอีกคนคอยเดินดูลาดเลาและตรวจตราภายในงาน
บราลีในชุดทะมัดทะแมงเดินเข้ามาที่ห้องพักของจ้าวซัน บราลีมองซ้าย ขวา ไม่มีใครหน้าห้องรีบเปิด ยื่นหน้า แอบจะเข้าไป ทันใดมือนึงแปะมาที่แขน
“เข้าไปไม่ได้”
บราลีสะดุ้ง หันมาพบว่าเป็นจ่าหมง บราลีมองหน้าตาจ่าหมงและมองทั่วตัว
“คุณ...ตำรวจ”
“คุณ...สุภาพสตรีคนนั้นนั่นเอง”
จ่าหมงไม่ตอบ หลีกทางให้
“ตำรวจทราบหรือยังคะว่าคนพวกนั้น เป็นใคร”
“ผมตอบอะไรไม่ได้ครับ ผมแค่มารักษาความปลอดภัย”
“แสดงว่ายังจับใครไม่ได้ และอาจจะมีคนมาทำร้ายเขาซ้ำ พวกคุณถึงต้องมาเฝ้ากัน”
“คุณเป็นตำรวจหรือผมเป็นตำรวจ ซักจังเลย...ชิญครับ”
บราลีมองหน้าอยากถามต่อ แต่ก็ห่วงจ้าวซัน รีบเข้าไป พยาบาลที่เฝ้าอยู่หันมาพอเห็นเป็นบราลีก็ลุกขึ้น
“ยังไม่ฟื้นเลยค่ะ”
บราลีมาเกาะข้างเตียง จ้าวซันหลับนิ่ง บราลีมองหน้าจ้าวซันรู้สึกห่วงมากมาย ความรู้สึกกลัวว่าจ้าวซันจะเป็นอะไรร้ายแรง บวกกับความรักที่อยู่ๆ ก็ท้นเอ่อออกมา ทำให้น้ำตาปะทุแบบไม่ตั้งใจ พยายามกลั้น และรีบเช็ดน้ำตา
ที่ห้องบรรยายในโรงแรมหรูริมทะเล ภาพสไลด์ที่จอจบลง ไฟในห้องสว่างขึ้น
“ขอจบการบรรยายแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่รับฟัง”
คนที่นั่งฟังต่างลุกขึ้นปรบมือ ศิขรนโรดมรีบเดินลงจากเวที ใจคอไม่อยู่กับตัว มิถิลาเดินเข้ามาเชิญไปประทับ
ภูสินทรที่ค่อยๆ เข้ามาเลียบๆ เคียงๆ ทำทีเป็นเสิร์ฟน้ำของแขกแถวนั้น
“ทำไมคนที่ชื่อจ้าวซันถึงไม่ยอมมา”
ศิขรนโรดมถามราชิด เทเรซ่าเดินมา คุกเข่าข้างที่ประทับ กระซิบกระซาบ
“ฝ่าบาท เอ่อ กระหม่อม คือดิฉันชื่อเทเรซ่า เป็นเลขานุการของคุณชายจ้าวซัน”
“ไม่ต้องพิธีรีตอง พูดธรรมดาก็ได้”
ขณะนั้นเหม่ยอิงลุกไปถวายบังคม และก้าวขึ้นไปแทนที่ที่โพรเดี่ยมและกล่าว
“ในนามของสมาคมพ่อค้าฮ่องกงและบริษัทฉินเย่ว์กรุ๊ป”
เทเรซ่ารีบกระซิบกราบทูลแบบซีดๆ
“คือ เมื่อเช้าคุณชายจ้าวซันประสบอุบัติเหตุระหว่างทางที่จะไปรับเสด็จ ตอนนี้ออกจากห้องไอซียูแล้ว แต่ยังไม่รู้สึกตัว”
“อะไรนะ”
ภูสินทรตกใจไม่แพ้ศิขรนโรดม
ที่โรงพยาบาล จ้าวซันยังนอนนิ่ง บราลียืนเกาะเตียง มอง แล้วอดใจไม่ได้ เอื้อมมือมาแตะมือจ้าวซันเบาๆ
จ้าวซันกระสับกระส่ายและละเมอเบาๆ
“ม่านฟ้า” บราลีชะงัก มองอึ้ง อยู่ๆ จ้าวซันก็พลิกมือมาจับมือบราลีไว้แน่น “เมย เมย อย่าไปๆ” บราลีมองหน้า ขมวดคิ้ว สงสัย “เจ้าแม่ เจ้าแม่...อย่าให้เมยไป ทำไมเราถึงไม่อยู่ด้วยกัน ลูกไม่อยากให้ใครพรากกันไปอีกแล้ว เจ้าแม่...” จ้าวซันน้ำตาไหลออกมา
“อะไรนะ เจ้าแม่...หมายความว่ายังไง”
จ้าวซันนิ่งไป บราลีชะโงกหน้าไปใกล้ จ้องหน้า พยายามส่งกระแสจิต
“จ้าวซัน จ้าวซันคะ ตื่นสิคะ ตื่น ฉันมีเรื่องอยากถามคุณ คุณหลับแบบนี้ แล้วเราจะพูดกันรู้เรื่องได้ยังไง นะคะๆ ตื่นนะคะ” สีหน้าจ้าวซันกลับผ่อนคลายลง แต่มือยังกุมมือบราลีไว้หลวมๆ บราลีกระซิบข้างหู “จ้าวซัน รีบๆ ตื่นสิคะ นะคะ” บราลีมองหน้า แล้วพยายามสร้างความหวังให้ตัวเอง “พรุ่งนี้นะคะ...พรุ่งนี้...คุณต้องตื่นแต่เช้าเลย นะคะ”
บราลีน้ำตาไหลไม่หยุด น้ำตาหยดลงบนแก้มจ้าวซัน บราลีเห็น ตกใจ รีบเอานิ้วเช็ดๆ ให้จากหน้าจ้าวซัน แต่น้ำตาตัวเองก็ยังไหลไม่หยุด
ส่วนที่ห้องบรรยาย เหม่ยอิงยังอยู่บนโพรเดี่ยมกล่าวไปเรื่อยๆ
“เรามีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง องค์เจ้าชายรัชทายาทศิขรนโรดมทรงมีพระกรุณาอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้”
ศิขรนโรดมหน้าซีด วิตก กังวล กระสับกระส่ายเพราะเป็นห่วงจ้าวซัน
“โรงพยาบาลอะไร อยู่ที่ไหน เดี๋ยวเราจะไปเยี่ยม”
ศิขรนโรดมถามเทเรซ่า ราชิดมองอย่างสงสัย
“องค์ชาย องค์ชายเพิ่งเสด็จมาเหนื่อยๆ และวันนี้ก็ทรงงานทั้งวัน กระหม่อมว่า...”
“เจ้าจะมารู้ดีกว่าเราได้ยังไง เราไม่เหนื่อย”
ราชิดมองหน้า ถามอย่างจะหาความจริงเอาให้ได้
“ทำไมองค์ชายถึงอยากเจอจ้าวซันคนนี้มากเหลือเกิน”
เหม่ยอิงมองๆ ที่พวกศิขรนโรดม เทเรซ่าที่ไปคุกเข่าคุย แถมมีราชิด มิถิลามาประกบล้อม อยากรู้ว่าซุบซิบอะไรกัน แต่ยังโปรยยิ้มกับผู้คนและกล่าวไปเรื่อยๆ
“ประเทศคีรีรัฐ เป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยศิลปวัฒนธรรม และทรัพยากรธรรมชาติ...”
ศิขรนโรดมอึกอัก มิถิลามองศิขรนโรดมด้วยความเป็นห่วง ลุ้น ศิขรนโรดมเหลือบไปเห็นภูสินทรที่มองมาจากด้านนึงกำลังส่ายหน้าส่งสัญญาณว่าอย่าเพิ่งพูดอะไร ศิขรนโรดมจึงเปลี่ยนเรื่อง ทำอารมณ์เสียกลบเกลื่อน
“ท่านโกศินล่ะ หายไปไหน ป่านนี้เราก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา”
ราชิดอึกอัก ศิขรนโรดมมองหน้าราชิด จับผิด หน้าบึ้งจัด เริ่มสูญเสียความอดทน มิถิลาอยากแก้ไขบรรยากาศ รีบหยิบถ้วยชาเข้าไปขวาง เผลอแตะที่มือศิขรนโรดม
“ทรงพระสุธารสพะย่ะค่ะ” มิถิลาสะดุ้งเฮือก เกือบทำถ้วยชาหล่น “อุ๊ย เอ้อ...แย่แล้ว”
“มีอะไร ไอ้นี่ ซุ่มซ่ามจริง” ราชิดต่อว่า มิถิลาไม่สนถ้วยชา เข้าประคองศิขรนโรดม
“พระวรกายร้อนมาก ทรงเป็นไข้นี่พะย่ะค่ะ”
ราชิดอึ้ง มองหน้า ไม่เชื่อ แล้วแตะที่ตัวศิขรนโรดมและผงะเช่นกัน ภูสินทรมองอย่างวิตก
ที่โรงพยาบาล บราลีนั่งมองจ้าวซันข้างเตียง หน้าหมองๆ หลินจื้อเหม่ยยื่นถ้วยเครื่องดื่มร้อนให้
“อ้ะ เธอเองก็กินอะไรบ้างเถอะ”
“ถ้าเค้าไม่ฟื้น ชั้นจะทำไงดีจื้อเหม่ย” บราลีถอนใจยาว กลัดกลุ้ม “แล้วชั้นจะช่วยเค้าได้ยังไง ชั้นพอจะทำอะไรได้บ้าง”
“ต่อไปนี้ เธอต้องดีกับเค้าให้มากๆ ล่ะ”
“แน่นอน แต่คนที่อยากให้เค้าเป็นอะไรไป ก็ยังลอยนวลอยู่เลยนะ”
“ก็คงไม่พ้น คนในตระกูลจ้าวนั่นแหละ” หลินจื้อเหม่ยกระซิบ
“แต่ อย่างน้อยคุณเหม่ยอิงก็พยายามปกป้องเขา”
“ยัยเหม่ยอิงเนี่ยเหรอ เชอะ ยัยนี่มันนางปีศาจหิมะชัดๆ”
“เขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน”
“ใครบอกเธอ ไม่จริง ยัยคุณหนูใหญ่นี่ชักจะหนักข้อเกินไปละ มันหลอกเธอ”
ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของบราลีดังขึ้น บราลีมองเบอร์โทรศัพท์ที่ขึ้นมาหน้าจอ งงๆ แล้วกดรับ
“พ่อคะ”
สุริยะถูกกักตัวอยู่ในบ่อนคาสิโนที่มาเก๊า มีบอดี้การ์ดคุมเข้ม
“ตอนนี้ลูกอยู่กับคุณชายจ้าวซันหรือเปล่า พ่อมีเรื่องด่วนจะมาขอให้คุณชายช่วย” สุริยะหันมองบอดี้การ์ด กลัวๆ “พ่อโทรหาเค้าตั้งหลายทีแล้ว เป็นฝากข้อความไว้หมดเลย” สุริยะอึ้งไป บอดี้การ์ดของคาสิโนมองหน้าสุริยะแบบไม่เชื่อถือ จับผิด สุริยะฟังบราลีพูดแล้วหน้าซีดลงๆๆ “หา อะไรนะ คุณชายประสบอุบัติเหตุหรือ”
“แล้วพ่อล่ะคะ พ่ออยู่ไหน ไม่ได้ไปร่วมงานของสมาคมพ่อค้าหรือคะ”
สุริยะโดนการ์ดคนนึงกระชากโทรศัพท์ไป
“พูดพอแล้ว เห็นได้ชัดว่าคุณโกหก”
“ผมไม่ได้โกหก เอาโทรศัพท์ผมคืนมา”
การ์ดกดปิด แล้วเก็บโทรศัพท์ไป บราลีงุนงงที่โทรศัพท์ถูกตัดสาย
“พ่อคะ ฮัลโหลๆๆ”
ห้องในโรงแรมหรู ศิขรนโรดมหน้าแดงเพราะพิษไข้ ถอดเสื้ออยู่โดยมีหมอของโรงแรมกำลังทำแผลเก่าให้ที่แขน มิถิลา ราชิด ยืนดูข้างเตียง
“แผลที่แขนขององค์ชายอักเสบมากครับ ไปโดนอะไรมาหรือครับ” ราชิดอึ้ง
“ประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ” ศิขรนโรดมบอก หมอเตรียมยาฉีด
“ผมจะฉีดยาแก้อาการอักเสบให้ แล้วฝ่าบาทต้องพักผ่อนมากๆ” หมอหันมาทางราชิด “เจ้าชายของพวกคุณทรงงานหนักเกินไปแล้ว ท่านเจ็บขนาดนี้ แทนที่จะได้ทรงพักผ่อน กลับต้องเดินทางตรากตรำ ผมขอแนะนำให้เลื่อนหมายกำหนดการสำหรับพรุ่งนี้ไปก่อนครับ ต้องบรรทมมากๆ นอกนั้น ก็ไม่น่าจะมีอะไรต้องห่วง”
หมอลงมือฉีดยา ทุกคนมองลุ้นๆ บรรยากาศเงียบกริบชั่วครู่
ส่วนที่โรงพยาบาล เหม่ยอิงเปิดเข้ามาในห้องที่จ้าวซันหลับนิ่งอยู่ มีนางพยาบาลนั่งเฝ้า ผู้กองเหลียงที่ยืนชมวิวอยู่หันมา เหม่ยอิงตกใจ
“ผู้กอง”
ผู้กองเหลียงมองเหม่ยอิงทั่วตัว
“คุณเหม่ยอิง สวยจริง” เหม่ยอิงขมวดคิ้ว
“ผู้กองอย่าเอาแต่พูดเล่นสิคะ” เหม่ยอิงเข้าไปจับเท้าจ้าวซัน “พี่ชายใหญ่ ใครมันคิดร้ายต่อพี่ชายใหญ่ของฉัน ฉันขอให้มันตายอย่างทรมาน ตายไปก็ขอให้ตกนรกหมกไหม้”
ผู้กองเหลียงถอนใจ
“พวกที่เสียผลประโยชน์เพราะทำธุรกิจแข่งกะฉินเย่ว์กรุป”
“ไม่ใช่ศัตรูทางธุรกิจหรอกค่ะ” เหม่ยอิงหลุบขนตาลง น้ำตาไหลหยดติ๋งๆ ราวกับสั่ง แล้วช้อนตามองผู้กองเหลียงแบบอ้อนๆ “จ้าวฉินเจียง เขาเพิ่งมีเรื่องกะพี่ชาย ทั้งเรื่องงาน เรื่องแย่งผู้หญิง เรื่องความอิจฉาริษยาที่สะสมมาตลอดเวลา ล่าสุดถึงกับลงไม้ลงมือกัน คนทั้งบริษัทก็เห็น...ฉัน ฉันไม่นึกเลย ว่าไท้เผ่งจะใจทมิฬหินชาติขนาดคิดฆ่าพี่ชายใหญ่ค่ะ” ผู้กองเหลียงอึ้ง
ที่ห้องโรงแรม ศิขรนโรดมนอนลงที่เตียงมีมิถิลาช่วยพยุง หมอส่งยาให้มิถิลา
“ยาหลังอาหารและก่อนนอน หากมีไข้ ก็ให้ทุก 4 ชั่วโมงนะครับ”
“ขอบคุณนะครับ คุณหมอ”
“พระอาญามิพ้นเกล้า ขอจงทรงพระเจริญ ชาวฮ่องกงยินดีต้อนรับพระองค์พะย่ะค่ะ”
หมอเดินออกไป มีทหารสองคนพาไป
“ทรงยาแก้ไข้นี่ก่อนเลยพะย่ะค่ะ แล้วบรรทมเลย ไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว” มิถิลาบอกอย่างเป็นห่วง
“ดุจริงนะ”
“ทรงเจ็บ เพราะ...” มิถิลาน้ำตาคลอ “ช่วยชีวิตหม่อมฉัน”
ราชิดมองเหล่ รู้สึกกังวลบางอย่าง
“รีบบรรทมเลย พรุ่งนี้หมายกำหนดการทุกอย่างต้องเหมือนเดิม” มิถิลาหันขวับ
“หมอสั่งให้ทรงพักนะครับท่าน”
“พักได้ยังไง ยังไงพรุ่งนี้ก็ต้องรีบไปทำทุกอย่าง เพราะต้องรีบกลับคีรีรัฐมะรืนเช้า ตามเวลาเดิม”
“ทุกอย่างควรหยุดไปก่อน เรารอได้ทั้งนั้น หากองค์ชายยังประชวรแบบนี้”
“เรารอไม่ได้ เครื่องบินพระที่นั่งควรออกตามกำหนดเดิม”
“ทำไมหรือครับท่านราชิด กลับคีรีรัฐช้าไปวันนึงหรือสองวัน จะเป็นไรไปครับ” มิถิลาถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ได้”
“ทำไมถึงไม่ได้”
“เอ๊ะ...ไอ้เด็กบ้านี่”
ศิขรนโรดมนั่งที่เตียง หันมาดุ
“นี่จะให้เรานอนหลับเลยหรือเปล่า จะทะเลาะกันอีกนานไหม”
ราชิด มิถิลาต่างเงียบ และต่างจ้องกัน เอาเรื่องกัน
คืนนั้นที่โรงซ่อมเครื่องบิน มีเครื่องบินจอดซ่อมมากมาย รวมทั้งของคีรีรัฐด้วย มีทหารคีรีรัฐถืออาวุธยืนเฝ้ารอบเครื่องส่วนพระองค์แน่นหนา ที่ประตูรั้วมียามยืนอยู่เต็ม รถตู้ของพวกราชิด โกศิน ทหารคีรีรัฐ แล่นนำรถบรรทุกที่พันหงปิงกับสมุนนั่งเข้ามา ยามยศใหญ่มาขวาง ยามบางคนมาส่องไฟในรถเห็นหน้าโกศิน ราชิด โกศินลงจากรถ
“ท่านราชิดควบคุมของที่คุณชายจ้าวซัน ทูลเกล้าฯ ถวายองค์ชายรัชทายาทคีรีรัฐ มาจัดเก็บในเครื่องบินส่วนพระองค์ที่จอดซ่อมอยู่”
“ขอตรวจดูของก่อนนะครับ ท่าน”
ทหารคีรีรัฐจำนวนนึงลงมาจากรถตู้ ช่วยไปเปิดดูของในรถบรรทุก ยามหลายคน เดินไปส่องดู พวกทหารช่วยกันเปิดลังที่บุโฟมให้ยามดูมีพวกเฟอร์นิเจอร์จีนสลัก ผ้าไหม ตุ๊กตาจีน เทวรูปหยก เครื่องทองเหลือง ยามส่องๆ ดูจนพอใจ ราชิดเดินลงมา ยืนคุมอีกแรง
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“โอเคครับท่าน”
พวกทหารปิดฝาลง ยามลงจากรถ ราชิด โกศินสบตากัน เดินกลับขึ้นไปนั่งรถตู้ รถพวกราชิดขับนำเข้าไป
รถบรรทุกตาม พวกทหารที่ไปช่วยเปิดของก็เข้ามากับรถบรรทุกเลย
ที่เนินเหนือโรงซ่อมเครื่องบินนั้น มีรถฉินเจียงจอดอยู่ ฉินเจียงยืนดูด้วยกล้องส่องทางไกลมีเกาเฟยยืนประกบ
ทหารที่ยืนเฝ้ารอบเครื่องแต่แรกรีบเข้ามารอรับอย่างกระตือรือร้น รถราชิดจอด ราชิด โกศินลงจากรถพวกทหารคีรีรัฐเข้ามาเรียง ตะเบ๊ะกันพึ่บพั่บ
พวกทหารและพวกพันหงปิงช่วยกันขนของขึ้นเครื่องใต้ท้องเครื่องบิน
ฉินเจียงส่งกล้องให้เกาเฟยดู ยิ้มที่งานสำเร็จ
อ่านต่อตอนที่ 7