xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 11

จ้าวซันเดินถือแจกันดอกไม้เดินมาตามทางบนชั้นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล

“คิดยังไงถึงพาพี่ไปซื้อดอกไม้เนี่ย” จ้าวซันถามเหม่ยอิง
“แหม ก็เผื่อเต๋อเป่าฟื้นขึ้นมาก จะได้มีอะไรๆ สดชื่นไว้ดูบ้าง และส่วนขนมนี่ก็สำหรับพยาบาลที่มาเฝ้าไข้คืนนี้”
จ้าวซันยิ้ม
“น้องยังรอบคอบเสมอนะ”
ทั้งสองคนเดินมาหยุดหน้าประตูห้องเต๋อเป่า จ้าวซันเปิดประตูให้เหม่ยอิงเข้าไป ภายในห้องมีหมอและพยาบาลยืนอยู่ข้างเตียงเต๋อเป่า หมอหันมา
“คนไข้ฟื้นแล้วครับ ยินดีด้วย”
“เหรอครับ ไอ้เต๋อเป่า เป็นไงบ้าง”
จ้าวซันดีใจรีบวิ่งไปดู เหม่ยอิงหน้าเครียด เดินเอาถุงขนมไปวาง เต๋อเป่าค่อยๆ หันมาช้าๆ เห็นจ้าวซัน ยิ้มน้ำตาคลอ เหม่ยอิงเดินเข้ามาควงแขนและยืนข้างๆ จ้าวซัน ยื่นหน้าออกมา
“โชคดีจังเลยนะคะ เต๋อเป่าเป็นไงบ้าง เจ็บตรงไหน”
เต๋อเป่าผงะ แต่เปลี่ยนสีหน้าไปในพริบตา น้ำตาไหล ทั้งๆ ที่ยิ้มกว้าง หันไปหาเหม่ยอิง ชี้หน้าเหม่ยอิง เหม่ยอิงซีด ลุ้น กำมือแน่น เต๋อเป่าชี้หน้าเหม่ยอิงแล้วแบมือ กำมือสลับไปมา
“แม่...แม่...”
เหม่ยอิงอึ้ง
“อะไรกันเนี่ย แก”
“แม่”
“เต๋อเป่า”
เต๋อเป่ามองหน้าจ้าวซัน นิ่งอยู่สักพัก
“ป้อ ป้อ ป้อ แม่”
เต๋อเป่ายิ้มเอ๋อ
“หมอ”
จ้าวซันมองหน้าหมอเครียด หันกลับไปมองเหม่ยอิงและมองเต๋อเป่าด้วยความเป็นห่วง
“คนไข้อาจจะได้รับความกระทบกระเทือนที่สมองครับ”
“กระทบกระเทือนอะไร? ก็หมอสแกนสมองดูแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ใช่ครับ แต่ถ้าสมองคนไข้ขาดออกซิเจนเป็นเวลานาน ก็อาจเป็นไปได้ว่า...”
“ปัญญาอ่อน เอ่อ...สูญเสียความทรงจำเหรอคะ” เหม่ยอิงแอบยิ้ม
“ครับ คนไข้มาถึงโรงพยาบาลช้าเกินไป อย่างที่ผมบอกไปแล้ว เสียใจด้วยครับ”
หมอและพยาบาลเก็บของหันหลังเดินออกจากห้องไป เต๋อเป่าแลบลิ้นให้จ้าวซัน แล้วยิ้มเอ๋อๆ
“เดี๋ยวหมอ แล้วเขาจะมีสิทธิ์หายไหม” หมอส่ายหน้าช้าๆ และก้มหน้าเดินออกไป “โธ่เว้ย ไอ้เต๋อเป่า ทำไมวะ”
จ้าวซันกลับมามองเต๋อเป่า เศร้า
“พ่อ แม่”
เหม่ยอิงเข้ามาปลอบ
“เราทำดีที่สุดแล้วค่ะ”
จ้าวซันทรุดลงไปนั่งกับโซฟา
“ฝากแจ้งเรื่องนี้ให้ที่บ้านเขารู้ด้วย”
“ค่ะ เดี๋ยวน้องอาสาจัดการนี้เอง และอาจจะให้เงินครอบครัวเขาไว้สักก้อน”
จ้าวซันพยักหน้า เอามือกุมหัว
“เขาถูกยิง เพราะเขาไปทำงานให้พี่ แล้วเขาก็กลายเป็นแบบนี้ เขาคงบอกไม่ได้อีกแล้วว่าคนที่เล่นงานพี่ คือใคร”
“ก็จะใครอีกล่ะคะ นอกจากพี่รองที่ตอนนี้ก็รับกรรมไปแล้ว”
จ้าวซันอึ้ง เศร้า เดินไปสงบสติอารมณ์อีกด้านนึง เหม่ยอิงเดินไปข้างๆ เตียง พูดกับเต๋อเป่าเบาๆ
“รอดตายไปนะแก”
เต๋อเป่าไม่รู้เรื่องยิ้มยิงฟันให้เหม่ยอิง
“แม่ แม่”

ที่โบสถ์เซ้นท์สเตฟาโน่ สุริยะที่แต่งตัวเรียบร้อย กำลังนั่งอยู่หน้าแท่นบูชา พลันรู้สึกว่ามีเสียงฝีเท้าคน รีบลุก หันไป แล้วตกตะลึง ชะงักเมื่อเห็นบราลีเดินเข้ามา บราลีเองก็ชะงักไปเช่นกัน
บราลีใส่กระโปรงที่ดูเรียบร้อย สวยงามกว่าเคย ทั้งสองต่างมองกัน ส่วนนึงดีใจ แต่ส่วนนึงต่างรับรู้ในสถานะที่เปลี่ยนไปของตน บราลียกมือไหว้สุริยะ
“คุณพ่อ หนูเป็นห่วงคุณพ่อมากนะคะ”
“พ่อขอโทษ ที่ทำให้ลูกห่วง”
“หนู เอ้อ...คือ...”
“หนูได้รู้ความจริงทั้งหมดแล้ว” สุริยะหน้าเศร้า แต่ก็ยิ้มอ่อนโยน
“ค่ะ ต้องขอบพระคุณคุณพ่อมาก ที่รักและเลี้ยงดูหนูมา ตลอดเวลาคุณพ่อเป็นคุณพ่อที่ดีที่สุด”
“ลูกก็เป็นลูกที่ดีเสมอมา ไม่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจหรือผิดหวัง” บราลีน้ำตาคลอ
“หนู ยังกอดคุณพ่อได้อยู่หรือเปล่าคะ”
สุริยะอ้าแขนออก
“ได้สิ บรี” บราลีโผกอดพ่อ พ่อก็กอดลูกแน่น ต่างน้ำตาไหล สักพักสุริยะจับบ่าบราลี ถอยออกเพื่อมองหน้าให้ชัดเจน “ตอนนี้ลูกก็ได้อยู่กับคนที่เป็นผู้ปกครองของลูกที่แท้จริงแล้วนะ พ่อหมดห่วงได้แล้วใช่ไหม”
“ไม่ได้ค่ะ พ่อต้องห่วงหนูตลอดไป”
“พ่อขอให้ลูกมีความสุข พ่อก็พอใจ”
“แล้วพ่อจะทำอะไรต่อไปหรือคะ กลับเมืองไทยเหรอ”
“ใช่ พ่อยังมีภารกิจที่ต้องทำถวายองค์ชายจากที่นั่นเหมือนกัน”
“ภารกิจ?”
“ลูกคงทราบ จะเสด็จไปคีรีรัฐ พ่อกับเมืองเทพต้องไปคอยประสานงานอยู่ที่ชายแดน”
“จริงหรือคะ ลูกอยากไปด้วย”
“องค์ชายไม่ให้ลูกไปเด็ดขาด ลูกมีหน้าที่ต้องทำตัวให้ปลอดภัยที่นี่ สมกับที่เจ้าแม่ขององค์ชายได้มีพระดำหริไว้ ลูกของอินปงและจันทร์แรมจะต้องอยู่อย่างสุขสบาย มีความสุข ไม่ลำบากเดือดร้อน และปลอดจากภัยอันตรายใดๆ ทั้งนั้น” บราลีอึ้ง

วันต่อมาที่บ้านสี่ฤดู เหม่ยอิงเดินลงบันไดมาในชุดสวยงามจะออกไปทำงาน ผิงอันนั่งเอาขนมปังมาประกบชีสที่โต๊ะอย่างเอาจริงเอาจัง เหม่ยอิงเดินมามองอย่างดูถูก
“กินเข้าไป กินเข้าไป ไอ้แป้งกับชีสเนี่ย โตเป็นสาวแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆ อยากจะหุ่นเสีย เนื้อตัวบวมฉุ ผิวมีแต่เซลลูไลท์หรือไง ถ้าอยากสวยหุ่นดีอย่างฉัน แกต้องงดของพวกนี้นะยะ ยัยซายหมุย แล้วใครดื่มกาแฟ แม่คะ หนูบอกแล้วใช่ไหมว่ามันไม่ดีกับ...”
ขณะบ่นๆ หันไปทางโต๊ะอาหารใหญ่ แล้วสะดุ้ง ชะงัก เมื่อเห็นจ้าวซันนั่งจิบกาแฟอยู่กับแม่สี่
“พี่ชายใหญ่”
“ขออนุญาตพี่มากินอาหารเช้ากับแม่สี่กับน้องๆ ที่นี่เองล่ะจ้ะ ชีสแซนวิชนั่นของพี่ กาแฟนี่ก็เหมือนกัน”
“ตั้งแต่เหม่ยอิงห้ามไม่ให้แม่ดื่มกาแฟ แม่ก็ไม่ดื่มแล้ว ของแม่เป็นข้าวต้ม นี่ไง” แม่สี่กลัวลนลาน
“โธ่ ถ้าเป็นพี่ชายใหญ่ แล้วเหม่ยอิงจะดุทำไมล่ะคะ ทำเร็วๆ เข้าสิ ซายหมุย ให้พี่ใหญ่ดื่มกาแฟเปล่าๆ อยู่ได้”
“อย่าไปดุซายหมุยเลยจ้ะ พี่มาไม่ได้บอกใคร น้องมานั่งนี่ดีกว่า ของน้องอาหารเช้าคืออะไรจ๊ะ ชาเขียว กับผลไม้ ใช่ไหม”
“อิฉันเตรียมไว้แล้วค่ะ” อาม่ายกออกมา
“แล้วนี่เกิดอะไรขึ้นหรือคะพี่ชายใหญ่ หรือว่ามีธุระอะไร”
เหม่ยอิงมอง อดระแวงไม่ได้

สนามหน้าตึก จ้าวซัน เดินเล่นอยู่กับแม่สี่ เหม่ยอิงและผิงอัน
“ผมอยากจะขอให้แม่สี่ เหม่ยอิง ผิงอัน และอาม่าช่วยผมด้วย”
“ช่วยอะไร แม่จะช่วยอะไรคุณชายได้”
“แม่! ทำไมชอบพูดจาเหมือนตัวเองไร้ค่า ไม่มีความสามารถอะไรขนาดนั้นคะ”
“ก็..แม่ไม่กล้า”
“แม่สี่ครับ แม่สี่ก็คือแม่คนนึงของผม ผมกำลังจะไม่อยู่ ต้องฝากบ้านหลังนี้ ผมจะฝากใครได้ล่ะครับ นอกจากแม่สี่ แม่ใหญ่ก็ต้องการคนดูแล แล้วเราก็มีแต่แม่สี่ ที่รู้ใจแม่ใหญ่ ทำอะไรถูกใจแม่ใหญ่ทุกอย่าง”
“จริงเหรอ จ้าวไทไทบอกคุณชายใหญ่อย่างนั้นเหรอ”
“ครับ แม่ใหญ่ชมแม่สี่ทุกทีนั่นแหละครับ”
“ไม่อยากจะเชื่อ”
“เชื่อพี่เถอะ สำหรับเธอ พี่ขอฝากบริษัท เธอเป็นคนเก่ง เธอคงช่วยพี่ได้มาก”
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่พูดจริงหรือคะ”
“แล้วพี่ใหญ่จะไปไหนคะ”
“พี่จะไปต่างประเทศหน่อย ไปทำงาน ตอนนี้ ฉินเจียงก็ช่วยอะไรเราไม่ได้แล้ว มีแต่เราต้องช่วยเขา ดังนั้นน้องต้องดูแลธุรกิจทั้งหมดแทนพี่ โอเคไหม”
“โอเคค่ะ น้องยินดี” เหม่ยอิงรีบบอก
“แล้วพี่ใหญ่จะไปนานแค่ไหน เมื่อไหร่กลับคะ”
“พี่น่าจะไปสักสองอาทิตย์ แต่ถ้างานเสร็จเร็วกว่านั้น ก็กลับเร็วกว่านั้น”
“ไปประเทศไหน กับใครงานอะไรคะ” เหม่ยอิงถามอย่างระแวง จ้าวซันโกหก
“พี่ไปคนเดียว หลายประเทศ เรื่องร่วมลงทุนกับธุรกิจเรียลเอสเตทใหญ่ๆ ในหลายๆ ประเทศ เรากำลังมีแผนจะทำศูนย์การค้าสมัยใหม่ตามชุมชนชานเมืองใหญ่ต่างๆ กัน ในประเทศแถบอาเซี่ยนทั้งหมดน่ะจ้ะ”
“น้องอยากไปด้วยจัง”
“ถ้าน้องไป แล้วใครจะดูทุกอย่างแทนพี่ล่ะจ๊ะ”
“พี่ไปเมื่อไรไหร่คะ”
“พรุ่งนี้ แต่วันนี้พี่ต้องไปทำเอกสารการเดินทางเองหลายที่ คงเข้าออฟฟิศไม่ได้ น้องรีบเข้าไปดูอะไรๆ แทนพี่ที ได้ไหมจ๊ะ เหม่ยอิง พี่มัวแต่ยุ่งเรื่องรับเสด็จ แล้วก็ไหนจะหลายๆ อย่าง ป่านนี้คงมีอะไรที่ต้องรีบจัดการ ซ่างกวานซิงเตรียมเอกสารมอบฉันทะให้น้องเซ็นต์อะไรๆ แทนพี่ไว้แล้ว น้องตัดสินใจทุกอย่างได้เลยนะ”
“ได้ค่ะ” เหม่ยอิงตอบรับอย่างเต็มใจมาก
“ผิงอัน ส่วนน้อง พี่ก็มีธุระเรื่องต้นไม้ใบหญ้า อาหารการกิน ที่จะฝากให้ดูแลด้วยนะ”
จ้าวซันแอบหลิ่วตามีนัยกะผิงอัน ผิงอันตาลุก แอบตื่นเต้น เหม่ยอิงมองหมิ่นๆ ดูถูก

บราลีในชุดเดินทางสีดำรัดกุม พร้อมกระเป๋า วางหน้าห้องจ้าวซันอย่างเตรียมพร้อม หน้าตาเอาจริง ดื้อรั้น ตื่นเต้น กระวนกระวาย
ประตูห้องจ้าวซันเปิดออกมา จ้าวซันเดินออกมา ตามด้วยอากงที่หิ้วกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมสีดำตามมา จ้าวซันมองบราลีเตรียมพร้อมอย่างอึ้ง บราลีก็มองมาอย่างไม่ยอม
“ม่านฟ้า อย่าทำให้พี่ลำบากใจ”
“ฝ่าบาท อย่าทิ้งให้หม่อมฉันต้องรออีกเลย หม่อมฉันจะอยู่ได้อย่างไร กับความวิตกห่วงใยตลอดเวลา หม่อมฉันต้องเป็นบ้าไปก่อนแน่ๆ”
“พี่ไม่เป็นอะไรหรอก พี่ต้องรอด พี่จะต้องทำสำเร็จ”
“ก็ในเมื่อทรงมั่นใจอย่างนี้ แล้วทำไมจะไม่ให้หม่อมฉันไปด้วย”
อากงมองๆ แล้วส่ายหัว รีบหลบลงไปก่อน
“เราพูดกันกี่รอบแล้วนี่ ทำไมไม่ยอมเข้าใจกันบ้าง”
“ฝ่าบาทไม่ได้เสด็จที่นั่นกี่ปีแล้ว จะทรงมั่นใจอย่างไร ว่าน้ำใจผู้คนเป็นอย่างไร”
“เพราะอย่างนี้ไง พี่ถึงเอาเธอไปเสี่ยงด้วยไม่ได้”
“เห็นไหม ฝ่าบาทยอมรับแล้ว ว่าเสี่ยง แล้วยังจะไปเสี่ยงเพียงองค์เดียวอีก”
“พี่ว่า เราเริ่มพูดจาซ้ำไปซ้ำมา เหมือนพายเรือในอ่าง หรือไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไข่กันแล้วล่ะ เมยอย่าทำให้พี่เสียเวลาดีกว่า”
“อ๋อ ทีแต่ก่อน ทรงยอมสละเวลาทั้งหมด เพื่อเอาใจหม่อมฉันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่ตอนนี้ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ กลับทรงบอกว่าหม่อมฉันทำให้เสียเวลา”
“เหลวไหล ม่านฟ้า”
“ใช่ซี้ หม่อมฉันมันเหลวไหล เพราะตอนนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว นี่แหละ เขาถึงมีคำพูดว่าผู้หญิงยิ่งนานวัน จะรักผู้ชายมากขึ้น แต่ผู้ชายยิ่งนานวันก็จะรักผู้หญิงน้อยลง แล้วสุดท้ายผู้ชายก็จะไม่เห็นคุณค่าของเราอีกต่อไป”
จ้าวซันเข้ามากอด
“ม่านฟ้า ถ้าแม้นพี่เลือกได้ตามใจพี่ พี่จะไปจากเจ้านี้ หรือหาไม่”
“พูดกลอนบทละครอะไรอีกแล้ว ไม่ต้องหรอกโกรธแล้วด้วย” บราลีสะบัด
“เราไม่มีเวลาแล้ว ม่านฟ้า ทุกอย่างมันไม่รอเราแล้ว พี่ต้องรีบไป”
“หม่อมฉันไม่ได้ห้ามไม่ให้เสด็จ หม่อมฉันแค่ขอไปด้วย”
“ทำตัวเป็นแม่บ้านที่พูดไม่รู้เรื่อง บ่นสามีไม่จบหรือ ม่านฟ้า”
“ไม่ต้องมารับสั่งแบบนั้น ไม่รู้จักอายซะบ้าง”
“ก็มันจริงนี่”
“หม่อมฉันเป็นเพียงข้าช่วงใช้ รองพระบาทเท่านั้น”
“รู้ตัวก็ดีแล้ว งั้น ข้า...น่านปิงนรเทพ ขอสั่งให้ข้ารองบาท นางม่านฟ้า จงอยู่ยั้งรอข้าที่บ้านสี่ฤดู เมืองฮ่องกง อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน รอจนกว่าข้าจะกลับมา เข้าใจ๋”
“โหย ไม่ยุติธรรมเลย ไม่เป็นประชาธิปไตย”
“ปฏิบัติตามให้เคร่งครัดด้วยล่ะ หึ ไม่งั้นสวยแน่”
จ้าวซันรวบตัวบราลีเข้ามา จูบแรงๆ บราลีผลักไส ค้อนๆ จ้าวซันทำหน้างอนๆ ตัดพ้อ แล้วรีบไป บราลีโกรธ เซ็ง ยืนหน้างอ แค้นใจพักนึง แล้วพอนึกได้ สะดุ้ง รีบวิ่งไปดูที่ระเบียง

บราลีออกมาที่ระเบียง แล้วกลัวคนมองขึ้นมาเห็น ถอยมาแอบมุม บราลีมองหน้าบ้าน ไม่เห็นอะไร ทุกอย่างสงบเงียบ บราลีร้อนใจ มองหารอบข้าง แล้วกลับดีใจขึ้นมาเมื่อเห็นจ้าวซัน รีบตามอากงไป ออกทางด้านประตูเล็กด้านกำแพงหลัง บราลีมองอย่างทึ่งในความระมัดระวังของจ้าวซัน
ที่ถนนตรงประตูด้านหลัง มีแท๊กซี่มาจอด แต่คนขับแท็กซี่ที่ลงมาคืออาหลี่ ที่แต่งตัวเป็นแท็กซี่ มารับของจากอากง ใส่ท้ายรถ จ้าวซันเปิดขึ้นนั่งเองข้างคนขับ อาหลี่รีบขึ้นรถ ขับออกไปรวดเร็ว บราลีชะเง้อมองจนลับตา

ภายในห้องพักบราลี บราลีนั่งลงร้องไห้เหมือนเด็กๆ ที่ข้างเตียง ทันใดมีเสียงเคาะห้องเบาๆ บราลีเงยหน้ามามองงงๆ แล้วรีบเช็ดน้ำตา ทำหน้าปกติ ก่อนจะเปิด ผิงอันมองอย่างดีใจที่เจอบราลีและสงสารด้วย
“พี่บรี พี่ชายไปแล้วใช่ไหม” บราลีพูดไม่ออก กลับร้องไห้ออกมาอีก แบบระงับน้ำตาไม่อยู่ ผิงอันเข้ามากอดไว้ “พี่ชายใหญ่บอกหนูว่า พี่ชายจะแอบไปเมืองนอก เพื่อทำธุระสำคัญที่เป็นความลับวันนี้ แต่หลอกคนอื่นทั้งหมดว่าจะไปพรุ่งนี้ แล้วพี่บรีต้องแอบอยู่ที่นี่เงียบๆ ไม่ให้ใครรู้ เพื่อเหตุผลเรื่องความปลอดภัย ให้หนูมาคอยอยู่เป็นเพื่อนพี่บรี”
“พี่ไม่อยากแอบ ไม่มีใครมาทำอะไรพี่หรอก พี่ชายใหญ่ของผิงอันนั่นแหละ ประสาท หวาดระแวงไปเองนิสัยไม่ดี เป็นเผด็จการ แย่มาก พี่ไม่ยอมหรอก”
“โธ่ พี่บรีคะ พี่ชายใหญ่เป็นห่วงพี่บรีมากนะคะ”
ทันใด มีเสียงเคาะอีก ทั้งสองสะดุ้ง
“ผมเองครับ” อากงรีบบอก
“อากง” ผิงอันรีบไปแง้มประตู ยื่นหน้าออกไป “มีอะไร อย่าบอกนะว่าพี่เหม่ยอิงมา”
“ไม่ใช่ น่ากลัวกว่านั้นอีก” อากงหน้าซีด ทุกคนตกใจ

จ้าวไทไทนั่งสง่าบนเตียง บราลียืนระวังตัว เกรงๆ ที่ประตู
“เข้ามา เจ้าหญิง”
“เอ้อ...” บราลีเดินเข้ามา แล้วหยุดห่างๆ “ดิฉัน ไม่ใช่เจ้าหญิงหรอกค่ะ”
“ต้องใช่สิ ชายาของเจ้าชาย ย่อมเป็นเจ้าหญิง” บราลีอึ้ง หน้าแดง “เจ้าหญิงไม่ยอมอยู่ห่างเจ้าชายหรอก ข้ารู้ดี ยังไง ท่านก็จะตามเสด็จไปให้ได้ ใช่ไหม” บราลีผงะ
“แม่ใหญ่ทราบ ได้ยังไงคะ” ไทไทหัวเราะ
“จ้าวไทไทรู้ทุกอย่าง” บราลีมองอย่างตื่นๆ “เข้ามานี่ มาใกล้ๆ เข้ามา” บราลีอึ้ง แล้วเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า “จงไปที่นั่น ที่ที่ท่านถือกำเนิดขึ้นมา ไปกราบบิดามารดาของเจ้าหญิง”
“อะไรนะ”
“อัฐิของทั้งสองถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ ที่วัดตรงแม่น้ำ ที่เจ้าเดินทางจากมา ไปหาพวกท่าน แล้วเจ้าหญิงจะได้รับพลังที่ดีจากท่านทั้งสอง เพื่อไปทำให้เจ้าชายเอาชนะเหล่าศัตรูร้ายทั้งหมดได้”
“เหล่าศัตรูร้าย ทั้งหมดหรือคะ แปลว่ายังมีพวกนั้นหลงเหลืออยู่หลายคนหรือคะ”
“ใช่”
“แสดงว่าคุณชายจ้าวซัน จะมีอันตรายหรือคะ”
“ใช่”
“แย่แล้ว”
“ไปช่วยจ้าวซัน รีบไป”
“ค่ะ...ค่ะ...”
ไทไทยื่นมือออกมา
“รับไป”
“อะไรคะ” บราลีทำหน้างง
“รับไป” บราลีมองหน้า จ้าวไทไทไม่ตอบ จ้องตา ยื่นมือออกมา “พลังของจ้าวไทไท”
บราลียื่นมือออกไป ไทไทจับมือบรีไว้ หลับตาลง เข้าสมาธินิ่ง มือทั้งคู่จับกันไว้ บราลีหลับตาลงบ้าง ตั้งสมาธิแน่วแน่ ไทไทค่อยๆ ลืมตาขึ้น ยิ้มเศร้าๆ
“ทุกสิ่ง ถูกกำหนดไว้หมดแล้ว คนคำนวณ...มิสู้ฟ้าลิขิต”
บราลีลืมตามอง แววตานิ่ง สงบขึ้นมาก

ที่โรงพยาบาลของเรือนจำฮ่องกง โกศินในชุดนักโทษ มาชะเง้อมองด้านนึง อย่างวิตกห่วงใย ในห้องคนไข้ ราชิดกำลังนั่งให้หมอวัดความดันอยู่ มีผู้คุมยืนคุม
“ความดันยังสูงอยู่ คุณต้องกินยาอย่างเข้มงวด เข้าใจไหม” ราชิดนั่งเหม่อลอย ไม่ตอบ “คุณจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้ อยากจะฆ่าตัวตายหรือไงนายพลราชิด คุณฟังที่หมอพูดหรือเปล่า”
ผู้คุมยืนคุมโหด โกศินชะเง้อดู ผู้คุมที่เดินผ่านมามองโกศินอย่างไม่พอใจ
“ถอยกลับไป คุณจะดูอะไร”
“ผมแค่ เป็นห่วงเจ้านายของผมที่ป่วยหนักเท่านั้น”
“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะมาแถวนี้ ถ้าคุณไม่เจ็บป่วยอะไร กลับไป”
โกศินถอยไป พอดี ผู้คุมสองคน เข็นเตียงที่มีพันหงปิงที่โดนยิงและทำแผลที่ขาเรียบร้อยผ่านไป พันหงปิงส่งเสียงดัง
“โอย...โอย...เจ็บ...เจ็บเหลือเกิน อั๊วะว่าหมอมันเอายาพิษใส่ให้อั๊วะแน่ๆ”
มีตำรวจถืออาวุธคุมติดตามพันหงปิงอย่างเข้มงวด
“ไกลหัวใจน่า พันหงปิงหยุดเรียกร้องความสนใจซะทีเถอะ” โกศินตาลุก
“พันหงปิง”
“อะไรนะ” ผู้คุมถาม
“เปล่าๆๆ” โกศินทำเป็นหันไปทางอื่น
“พวกคุณจะต้องไปขึ้นศาลสัปดาห์หน้า ถ้าเจ้านายคุณยังป่วยไม่หาย การขึ้นศาลก็อาจจะเลื่อนออกไปอีก แล้วคดีก็จะล่าช้าออกไปอีก ถ้ามีโอกาสก็บอกนายคุณให้รีบๆ หายดีกว่า เพื่อประโยชน์ของพวกคุณเอง”
โกศินฟัง หน้าเครียด แล้วพอผู้คุมเดินผ่านไป โกศินก็มองหาพันหงปิง โกศินเห็นรถเข็นพาพันหงปิงเลี้ยวเข้าไปที่ตึกนึง โกศินมองตาม มาดหมายพิกัด มองดูทำเลรอบๆ

วันต่อมา อสุนียืนมองดูภาพถ่ายเต็มยศของราชิดบนผนัง มือถือจอกน้ำเมา กินๆๆ แล้วสับสน หงุดหงิด ขว้างจอกไป จอกหนากลิ้งขลุกๆไปตามพื้น เหล้ากระจาย ไปหยุดที่เท้าในรองเท้าสตรีแบบพื้นเมืองที่ก้าวเข้ามา มือของหญิงนั้นก้มลงมาเก็บจอก แล้วเงยขึ้น ตัวตรงซึ่งก็คือมิถิลา ที่แต่งชุดสตรีในราชสำนัก สวยงาม
“พี่อสุนี ทำตัวเช่นนี้ แล้วจะมีสติ ปัญญา ความสามารถไปแก้ไขเรื่องราวอะไรได้”
“มิถิลา”
“ทราบว่าพี่ลางาน ไม่ไปเข้าเฝ้ามาสองวันแล้ว”
“จะให้พี่ไปทำงาน แล้วสู้หน้าท่านจัตุรัส โดยการโกหกตลอดเวลาได้อย่างไร ท่านจตุรัสจะต้องจับได้ มีอย่างหรือพ่อป่วย แทนที่พวกเราจะอยู่ดูแล กลับเป็นท่านโกศินและทหารทั้งหมดอยู่ดูแล แล้วเรากลับมานอนสบาย น้องคิดว่าเรื่องนี้มันสมเหตุสมผลหรือ”
“พี่มีภารกิจ ที่จะต้องรีบจัดการกับท่านจัตุรัสไม่ใช่หรือ คนพวกนี้คิดใช้อาวุธมาก่อกบฏ พี่จะต้องรีบขึ้นมายึดอำนาจ เพื่อปกป้องเจ้าหลวงและองค์ศิขรนโรดม ก่อนที่พวกมันจะได้ข่าวที่แท้จริงของพ่อกับท่านโกศิน”
“พี่...พี่ไม่แน่ใจ”
“อะไรนะ พี่ลังเลอะไร”
“พี่ไม่เชื่อใจ...” อสุนีลดเสียงต่ำลง “คุณชายจ้าวซัน”
“พี่”
“คุณชายจ้าวซัน องค์น่านปิงนรเทพ เราทุกคนก็ทราบดีว่าเจ้าพ่อของพระองค์สิ้นพระชนม์ เพราะเจ้าหลวงมาทยาธรบังคับให้ทรงดื่มยาพิษปลงประชนม์ แล้วเขา...เขาจะไม่แค้นหรือ เป็นไปไม่ได้หรอก ว่าเขาจะไม่ถือสา แล้วยกตราประจำพระองค์เจ้าหลวงให้องค์ชายของเราอย่างไม่มีเงื่อนไขอะไรเลย พี่ไม่เชื่อหรอก เราสองคนและองค์ศิขรนโรดม เชื่อคนผิด ไว้ใจคนผิดแล้ว มิถิลา” มิถิลาอึ้ง

โบสถ์เซ้นท์สเตฟาโน่ พ่อโยเซฟหันมาจากหน้าแท่นบูชา แล้วชะงัก แทบสะดุ้งเมื่อพบบราลียืนหน้าจริงจังตรงหน้า บราลียกมือไหว้พ่อโจเซฟ
“คุณพ่อคะ หนูต้องการความช่วยเหลือค่ะ” พ่อโจเซฟถอนใจ
“อย่าเลย ม่านฟ้า”
“ทำไมคะ”
“พ่อไม่อยากผิดสัญญากับทั้งคุณสุริยะ และน่านปิงนรเทพ”
“แต่พ่อต้องช่วยหนู”
“หนูควรอยู่อย่างเงียบๆ”
“และปลอดภัยไร้กังวล อยู่ในบ้านสี่ฤดูงั้นหรือคะ คุณพ่อว่าหนูจะทำได้หรือคะ”
“เพื่อความสบายพระทัยของน่านปิง”
“แล้วความสบายใจของหนูล่ะคะ หนูจะนอนหลับได้ไง ในเมื่อองค์ชายกำลังผจญอยู่กับอะไรก็ไม่ทราบ”
“บรี พ่อขอร้องล่ะ อย่าให้พ่อเป็นคน...”
“คุณพ่อเป็นคนพาหนู ไปจากพี่ชาย...องค์น่านปิง ในวันนั้น เพราะฉะนั้นวันนี้คุณพ่อต้องนำทางให้หนูไปพบเขาสิคะ จะมีใครที่ทำได้อีกนอกจากคุณพ่อนะคะ...นะคะ”
แววตาบราลีอ้อนวอนสุดขีด พ่อโจเซฟอึ้ง

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นที่ลานซ้อมมวยในคีรีรัฐ หน้าบ้านครูเฒ่า ครูเฒ่าเปิดประตูบ้านออกมา สูดอากาศที่สดชื่น มองดูบรรยากาศรอบๆ แล้วเดินแกว่งแขนไปมารอบๆ ครูเฒ่าเดินเล่นผ่านดงไม้ไผ่ ต้นไผ่ไหวลมอย่างสวยงาม
ครูเฒ่านึกครึ้มใจ วางไม้เท้าผิงกอไผ่แล้วร่ายรำเพลงมวยคีรีรัฐ ครูเฒ่ารำไปได้ 2-3 ท่า พลันได้ยินเสียงพั้วะๆๆ เหมือนคนเตะกระสอบทราย
ณ ลานกว้าง ที่มีกระสอบทรายแขวนอยู่ กระสอบทรายโดนขา เข่า หน้าแข้ง เท้าของชายคนนึงที่เตะต่อเนื่องไม่นับ ร่างในชุดซ้อมหมุนตัวกระโดดเตะในท่ามวยคีรีรัฐที่สวยงาม ร่างนั้นก้าว กระโดด พลิ้ว ไหว เป็นท่ารำมวยคีรีรัฐอย่างหนักแน่น เป็นท่าหวังผลรุนแรงทุกท่า เสียงกำปั้นและการเตะแหวกลมวืดวาดๆ
ครูเฒ่ารีบคว้าไม้เท้า แล้วรีบรุดไปจุดนั้น ณ ลานนั้น ครูเฒ่าโผล่มาแล้วชะงัก
“ศิขรนโรดม” ร่างนั้นชะงัก แต่ยังไม่หันมา “กลับมาแล้วหรือ อสุนีตามไป ได้พบกันหรือไม่ แล้วทุกอย่าง เป็นไปโดยราบรื่น และได้พบคนที่เธออยากพบ...”
ร่างนั้นหันมา ครูเฒ่าเขม้นมอง ชักลังเล ขยับแว่น
“ไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทนี่นา เจ้าคือผู้ใด”
ชายผู้นั้นคือจ้าวซัน ที่ยืนมองครูเฒ่าอย่างปีติ ตื้นตัน ครูเฒ่าเขม้นมอง แล้วมือไม้อ่อนแรง ปล่อยไม้เท้าตกจากมือ ไม้เท้าหล่นลงพื้น ครูเฒ่ามือสั่น ตัวสั่น น้ำตาค่อยๆ เอ่อคลอ จ้าวซันรีบเข้ามา แล้วนั่งลงกราบเท้าครูเฒ่า
“ครูครับ ขอโทษที่มาใช้ลานฝึกวิชายุทธโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน หวังว่าครูคงไม่หวง”
จ้าวซันเงยหน้า มองหน้าครูเฒ่า ครูเฒ่ามือสั่น ยื่นมือออกมา วางลงที่บ่าจ้าวซัน
“เธอ ตัวโตขึ้นมาก ครูจำไม่ได้เลย”
“แต่ตอนนี้ ครูจำได้แล้วใช่ไหมครับ”
“ลานฝึกวิชายุทธของเรา ยังรอเธออยู่เสมอ รวมทั้งเก้าอี้ว่างในห้องสมุดที่บ้านครูด้วย “ ครูเฒ่ามองหน้าจ้าวซัน แล้วน้ำตาก็ยิ่งไหล แล้วในที่สุดครูเฒ่าทรุดลง ถวายบังคมใกล้ “องค์ชายน่านปิงนรเทพ ครูผู้เฒ่าเฝ้ารอวันนี้มานานเหลือเกินพะย่ะค่ะ”
“เรากลับมาหาครูแล้ว เรามาเหยียบคีรีรัฐอีกครั้ง เมื่อเราพร้อมแล้ว...ในวันนี้”
“วันนี้ที่รอคอย มาถึงแล้วจริงๆ พะย่ะค่ะ”

จ้าวซันกอดครูเฒ่า ทั้งสองกอดกัน ร้องได้ด้วยความดีใจ ซาบซึ้ง

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 11 (ต่อ)

ที่พระราชวังคีรีรัฐ มีทหารยืนเฝ้าประจำการและเดินตรวจการเป็นบางจุด จ้าวซันปลอมตัวมาในชุดทหารคีรีรัฐกำลังเดินเข้ามาภายในวัง มองซ้าย ขวา ท่าทางงงๆ อึ้งๆ เล็กน้อย

จ้าวซันกำลังเดินผ่านกลุ่มทหารคีรีรัฐที่กำลังเดินสวนมา จ้าวซันทำความเคารพแบบทหารคีรีรัฐ ทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีคนสงสัย
ภายในวัง จ้าวซันหลบอยู่ที่มุมกำแพง รอให้พวกทหารเดินลับสายตาไปก่อน แล้วออกมา จ้าวซันลัดเลาะกำแพง แล้วตรงไปตรงช่องลับในซอก แล้วลีบตัวเข้าซอกไปอย่างคุ้นเคย จ้าวซันมาโผล่ด้านในกำแพงรวดเร็ว แล้วกระโดด โหนตัว ปีนขึ้นบนหลังคาตำหนัก มีทหารเดินลอดข้างใต้หลังคาไป จ้าวซันหมอบแนบบนหลังคา จ้าวซันย่องๆ ไปบนหลังคาเหมือนแมว แล้วโดดลงด้านในหมู่เรือน มีทหารผ่านไป จ้าวซันแอบหลังม่าน
ภายในห้องบรรทมเจ้าหลวงพีริยเทพ จ้าวซันเปิดประตูเข้ามา แล้วรีบปิดทันที ภายในห้องทุกอย่างยังคงไว้เหมือนเดิม จ้าวซันเดินไปมองรูปเจ้าหลวงพีริยเทพและพระเทวีศุลีมานที่ติดอยู่ที่ฝาผนัง และเดินไปที่แท่นบรรทม เอามือบรรจงลูบบนที่นอนเบาๆ แล้วภาพเหตุการณ์ในอดีตก็ย้อนกลับมา
เสียงเพล้งของแก้วชั้นดีตกกระทบพื้นหิน ดังเสียงบาดใจ บนพื้นเป็นหินอ่อนมีแก้วคริสตัลเจียระไนตกมากระทบ แตกเป็นเสี่ยงและมีน้ำสีแดงใสที่ยังหลงเหลือกระเซ็นกระจาย มือพระเทวีศุลีมานที่ถือแก้วนี้เมื่อครู่ ตกลงข้างตัว ขณะที่ร่างระทวยทรุดลง องค์เจ้าหลวงพีริยเทพเข้าประคองรับตัวไว้ น่านปิงนรเทพวัย 8 ปี ยืนดูอย่างตะลึง ก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวมารดาด้วยความเป็นห่วง
“เจ้าพ่อ เจ้าแม่เป็นอะไรเจ้าข้า”
เจ้าหลวงพีริยเทพอุ้มพระเทวีศุลีมานนอนลงที่ตั่ง หันมามองลูกด้วยสายตาที่ปวดร้าว
“น่านปิง”
เจ้าหลวงพีริยเทพเอื้อมมือ หมายจะลูบหัวน่านปิงนรเทพ แต่พลันตัดสินใจชักมือกลับ
“เจ้าพ่อประทานสิ่งใดให้เจ้าแม่ดื่ม เจ้าพ่อ...”
น่านปิงนรเทพหันกลับมาน้ำตารื้น ลุกขึ้นไปเขย่าแขนของเจ้าหลวงพีริยเทพ
“น่านปิงนรเทพ แม่เจ้าแค่หลับไปเท่านั้น ไม่นานก็จะฟื้นตื่นขึ้น” เจ้าหลวงพีริยเทพดึงน่านปิงนรเทพออกจากตัว แล้วจับบ่าทั้งสองข้าง “เจ้าต้องเข้มแข็ง ต่อไปเจ้าจะต้องเป็นคนดูแลแม่ของเจ้า แทนพ่อ เข้าใจไหม” น่านปิงนรเทพพยักหน้างงๆ เงยหน้าขึ้น เม้มปาก พยายามกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “พาแม่เจ้าตามอินปง ราชองครักษ์ไป... ไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ออกไปจากคีรีรัฐ”
น่านปิงนรเทพกางแขนออกสองข้างออก เดินพุ่งเข้าไป ตั้งใจจะกอดบิดา เจ้าหลวงพีริยเทพเบี่ยงตัวหลบไปอีกทาง ไม่ยอมให้กอด
“อย่ามามัวเสียเวลา รีบไปเสีย ไม่ต้องห่วงพ่อ”
อินปง ราชองครักษ์ แต่งกายด้วยชุดดำมีผ้าคลุมหน้าที่ยังไม่ได้ปิดให้ดี รีบวิ่งเข้ามาในห้องบรรทม ก้มลงกราบเท้าเจ้าหลวงพีริยเทพ ยกมือขึ้นพนม
“ต้องรีบเสด็จแล้วพระเจ้าค่ะ พวกมันใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว”
เจ้าหลวงพีริยเทพหันไปมองพระเทวีศุลีมานที่นอนอยู่บนที่บรรทมอีกครั้ง แล้วหันไปพยักหน้าให้กับอินปง อินปงรีบวิ่งไปถวายบังคมกราบเท้าเจ้าหลวงพีริยเทพ
“ขอพระราชทานอภัยเจ้าหลวงพะยะค่ะ เกล้ากระหม่อมต้องลุแก่กฎมณเฑียรบาลคราวนี้ เพื่อพิทักษ์รักษาไว้ ซึ่งพระราชวงศ์”
อินปงลุกมา แล้วนั่งลง กราบเท้าพระเทวีศุลีมานก่อนจะซ้อนร่างพระเทวีศุลีมานที่ยังสลบไสลไม่ได้สติไว้ในอ้อมแขน เจ้าหลวงพีริยเทพเดินไปหยิบจอกน้ำจัณฑ์ที่ใส่ถาดทองวางไว้อยู่บนโต๊ะข้างๆ ที่บรรทม เจ้าหลวงพีริยเทพค่อยๆ หยิบจอกน้ำจัณฑ์ขึ้น มือสั่นเล็กน้อย น้ำภายในจอกกระเพื่อมเห็นเป็นสีดำข้น จ้าวหลวงพีริยเทพกระดกจอกน้ำจัณฑ์รวดเดียวเข้าปาก ทำหน้าอดทนต่อรสชาติ แล้วทรุดนั่งลงบนเตียง
จ้าวหลวงพีริยเทพนึกอะไรขึ้นได้ รีบเอื้อมมือออกไปควานหยิบถุงไถ้ผ้าไหมที่เย็บอย่างแข็งแรง ที่มีกล่องไม้ข้างใน ที่ซุกไว้อยู่ข้างเตียงแล้วยื่นส่งให้น่านปิงนรเทพ
“ตรา-ประจำตัวเจ้าหลวงแห่งคีรีรัฐ ...เก็บ-ไว้-ให้ดี... ไปได้-แล้ว”
น่านปิงนรเทพเข้าไปรับไถ้ผ้าไหมนั้นมา มองดูกล่องไม้ข้างใน แล้วเอามาคล้องกับตัว ปิดฝาไถ้ผูกมือไม้สั่น อินปงอุ้มร่างพระเทวีศุลีมาน ดวงตามีแต่น้ำตา จ้องแน่วแน่ที่เจ้าหลวงพีริยเทพ
“แล้วกระหม่อมจะตามไปถวายการรับใช้ฝ่าบาท เหมือนดังเช่นในภพนี้”
น่านปิงนรเทพมองท่านพ่อและอินปง อย่างสงสัยในความหมาย เจ้าหลวงพีริยเทพเริ่มแสดงอาการให้เห็น กระอักออกมาเป็นเลือด ทุรนทุราย
“รีบ ไป”
อินปงรีบอุ้มพาพระเทวีศุลีมานออกไป น่านปิงนรเทพรีบตาม แต่ยังไม่ละสายตาจากเสด็จพ่อ อินปงเดินออกจากประตูไปแล้ว น่านปิงนรเทพมายืนเกาะอยู่ตรงขอบประตูเพื่อมองดูบิดาเป็นครั้งสุดท้าย
เสียงทหารและผู้คนดังเข้ามาใกล้ เท้าทหารชายฉกรรจ์ย่ำมาตามบันไดตึกพระราชวัง เจ้าหลวงพีริยเทพทุรนทุราย ทรุดลงมาคุกเข่าอยู่กับพื้น เจ้าหลวงพีริยเทพหันมามองน่านปิงนรเทพ นัยน์ตาดุ ชี้มือ ให้น่านปิงนรเทพรีบไป น่านปิงนรเทพตกใจ อ้าปากค้าง ทำอะไรไม่ถูก รีบวิ่งออกไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงประตูห้องเปิดออก จ้าวซันหลบไม่ทัน รีบหันไปมอง หน้าตาตื่นตระหนก

จ้าวซันหันไปมองทางประตู แล้วพยายามจะหาทางหลบ แต่แล้วก็มีเสียงผู้ชายตวาดดังขึ้น
“ใครน่ะ เข้ามาได้ยังไง”
พ่อบ้านแก่คนหนึ่งถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินเข้ามาใกล้ๆ มองจ้องหน้าจ้าวซันสักพัก
“คือข้า...ข้า...จะเข้ามาถวายพระพรให้กับเจ้าหลวงองค์ก่อน”
“หึหึ ทหารใหม่สินะ สำเนียงก็แปลกหู คงมาจากบ้านนอกคอกนา”
“ใช่ ครับ”
“หายาก ทหารหนุ่มๆ ที่ยังคงจงรักภักดีต่อเจ้าหลวงองค์ก่อน สมัยนี้แทบจะไม่มีแล้ว แล้วเจ้ามาจากเมืองไหนล่ะ” พ่อบ้านเดินเข้ามาดูหน้าจ้าวซันใกล้ๆ อีกทีเหมือนคนสายตาไม่ดี แล้วเดินอ้อมไปทางแท่นบูชาด้านหลังที่มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ แล้วพูดกับจ้าวซันโดยไม่หันหลังกลับมามอง “หน้าตาคุ้นๆ ถวายบังคมเสร็จแล้วก็รีบออกไปซะ เดี๋ยวถ้าพระนางเข้ามาในนี้แล้วข้าจะเดือดร้อน”
“พระนาง...ไหน”
“อุวะ ก็พระนางสิริวาระตีพระเทวีองค์นี้ ที่เป็นพระเชษฐภคินีของพระเทวีองค์ก่อนไง”
พ่อบ้านมองรูปพระเทวีศุลีมาน แล้วดึงเอาดอกไม้ที่ยังสวยสดออกจากแจกัน ทิ้งลงถุงขยะที่เตรียมมา
“อ้าว ลุง ดอกไม้ยังสวยอยู่เลย”
“พระนางจะคอยเอาดอกไม้มาเปลี่ยนให้ทุกวันนั่นแหละ ข้าก็ต้องเอาของเก่าออกไป เดี๋ยวจะโดนกริ้ว”
จ้าวซันฟังที่พ่อบ้านพูด สีหน้าซาบซึ้ง

จ้าวซันเดินออกจากพระราชวัง ผ่านประตูใหญ่ และเข้ามายังสวนป่าแล้วนึกถึงสิ่งที่คุยกับพ่อบ้าน
“พระเทวีองค์ก่อนยังทรงเป็นที่รักของทุกคนอยู่เหมือนเดิม”
“ไม่ เหลือน้อยลงทุกทีแล้ว หลังจากที่พระนางหายตัวออกไปจากคีรีรัฐ ข่าวก็ลือไปต่างๆ นานาว่าพระนางเป็นชู้กับราชองครักษ์ภูสินทรแล้วหนีตามออกไปด้วยกัน”
“ไม่จริง”
“ข้ารู้ แต่ก็ไม่มีใครรู้อยู่ดีว่าความจริงคืออะไร”
จ้าวซันเดินมาถึงทางสวนหลังวัง มองตรงทางเดินเข้าไปซึ่งในอดีตอินปงอุ้มพระเทวีศุลีมานมาตามทางนี้ ด้านหลังมีดาบสะพายอยู่ 2 เล่ม อินปงวิ่ง หันซ้ายหันขวาระแวดระวัง น่านปิงนรเทพที่มีไถ้ห่อตราประจำพระองค์คล้องตัว วิ่งตามออกมาไม่ไกล แต่เสื้อผ้ารุ่มร่ามทำให้วิ่งได้ไม่สะดวกนัก
“เราต้องไปให้พ้นชายแดนในคืนนี้พระเจ้าค่ะ”
น่านปิงนรเทพวิ่งไปพร้อมหันกลับไปมองด้านหลังตลอด
“อินปง ทำไมเราพาเจ้าพ่อไปด้วยไม่ได้”
อินปงหยุด หันกลับมาพูดกับน่านปิงนรเทพให้เข้าใจ
“เจ้าหลวงคีรีรัฐจะต้องประทับใต้เศวตฉัตรของคีรีรัฐ ไม่ว่าจะยังทรงพระชนม์หรือสิ้นพระชนม์ เวลาเหลือน้อยแล้ว หากช้าพระเทวีรู้สึกพระองค์เราจะหมดหนทาง”
เสียงเอะอะดังเข้ามาใกล้ เท้าเหล่าทหารมากมาย วิ่งมาตามทาง อินปงรีบออกเดินเร็วขึ้น น่านปิงนรเทพวิ่งตามไป ไม่หันมองข้างหลังอีกต่อไปแล้ว

จ้าวซันมีสีหน้าเคร่งขรึม เดินมาถึงอาศรมของครูเฒ่า รีบถอดชุดทหารออก ครูเฒ่าเดินออกมาจากด้านใน
“ทรงแอบไปทำอะไรที่เสี่ยงเกินไปอีกแล้วนะพะย่ะค่ะ”
“แค่ออกไปเดินเล่นแถวนี้มานิดหน่อย พอดีคิดถึงวันเก่าๆ ขึ้นมา”
“มีคนมารอพบฝ่าบาทอยู่ด้านในนานแล้ว”
จ้าวซันแปลกใจ
“ทำไมถึงมีคนรู้ว่าเราอยู่ที่นี่”
“กระหม่อมบอกพวกเขาเอง”
จ้าวซันสงสัย รีบเดินไปผลักประตูอาศรมออก แล้วเดินเข้าไป ภายในอาศรม ทุกคนที่นั่งอยู่ในนั้นทั้งหมอสิงหะ เสนาบดีแก่ และทหารแก่ ต่างตกตะลึง อึ้งสักพัก
“องค์ชายใหญ่ องค์รัชทายาทน่านปิงนรเทพ”
ทุกคนละล่ำละลัก และพยายามลงนั่งคุกเข่าอย่างยากลำบาก
“ขอจงทรงพระเจริญ และรับการถวายความคำนับจากพวกกระหม่อมด้วยเถิด”
จ้าวซันเห็นทุกคน จำได้ ดีใจ รีบเข้าไปห้าม และพยุงทุกคนขึ้นมา
“หมอสิงหะ ทุกท่านๆ ลุกขึ้นเถิด อย่าต้องมีพิธีรีตองเลย”
หมอสิงหะคลานเข้ามาจับที่ขาจ้าวซัน คร่ำครวญ
“องค์ชาย ทรงจำกระหม่อมได้ กระหม่อมคิดถึงองค์ชายเหลือเกิน ทุกวันก็ได้แต่เฝ้าอธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครอง และพาองค์ชายกลับมายังคีรีรัฐอย่างปลอดภัย”
“ขอบใจพวกเจ้ามาก ตอนนี้เราก็กลับมาที่นี่อย่างปลอดภัยแล้ว”
“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครอง พระองค์ทรงกลับมาแล้ว ทรงกลับมาเป็นเจ้าหลวงของพวกเราแล้ว”
ทุกคนที่มาเข้าเฝ้าต่างยิ้มยินดี ปลาบปลื้ม น้ำตาปริ่ม จ้าวซันอึ้ง ทำตัวไม่ถูก มองหน้าครูเฒ่า ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี

จัตุรัสเดินลัดสวนป่ามาหยุดที่บ้านราชิด ทหารที่ยืนรักษาการอยู่หน้าบ้านราชิดตกใจ รีบถวายความเคารพ
“อสุนีอยู่ไหม”
จัตุรัสเดินอ้อมไปหลังบ้าน เห็นอสุนีกำลังว่ายน้ำอยู่ในสระ อสุนีว่ายมาถึงขอบสระ ลืมตาขึ้นมาเหนือน้ำ เห็นจัตุรัสยืนอยู่
“ท่านอา”
อสุนีรีบดันตัวขึ้นมาจากสระ ลุกขึ้นไปหยิบเอาเสื้อคลุมมาใส่
“นี่เจ้ามามัวว่ายน้ำเย็นใจอยู่ได้ยังไง อสุนี ราชิดพ่อเจ้าส่งข่าวมาบ้างหรือยัง” อสุนีอึกอัก
“ก็พ่อข้าป่วยหนักอยู่ แล้วจะส่งข่าวมาได้ยังไงตอนนี้”
“โกศินล่ะ”
“นายพลโกศินก็น่าจะยุ่งอยู่เหมือนกัน”
“ทุกคนยุ่งกันหมด ยุ่งจนไม่มีใครส่งข่าวอะไรกลับมาได้เลยงั้นเหรอ”
“ข้าก็ไม่รู้ ท่านอาอยากรู้ข่าวอะไร ทำไมถึงดูร้อนใจนัก”
“เฮ้ย...เจ้าต่างหากที่ดูไม่ร้อนใจเอาซะเลย ราชิดเป็นบิดาเจ้านะ”
“ข้ารู้ แต่จะให้ข้าทำยังไง ก็พ่อข้าป่วยมากจริงๆ แต่อีกสักพัก ท่านพ่อคงถูกส่งให้กลับมารักษาตัวที่นี่เองแหละ”
“พ่อเจ้าป่วยเป็นอะไร”
“เอ่อ...เป็นโรคติดต่อร้ายแรง”
“ก็โรคอะไรล่ะ แล้วถ้ามันร้ายแรงขนาดนั้นทำไมเจ้าหรือคนอื่นๆ ถึงไม่ติดมาด้วย”
“เอ่อ ก็มีทหารบางคนเป็น ท่านโกศินก็อาจจะเป็นไปแล้วด้วยก็ได้”
“โรคอะไร”
“มัน...มันเป็นโรคที่น่าอาย ถ้ามีใครรู้เข้าหรือถ้าข่าวรั่วออกมาอาจจะทำให้ประเทศของเราเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ แล้วก็จะไม่มีใครกล้าเข้ามาในคีรีรัฐอีกเลย”
“อสุนี! เจ้ากำลังปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อหลอกข้าอยู่ใช่ไหม”
อสุนีแกล้งจามใส่ไปทางจัตุรัสขึ้นมาหนึ่งที
“หรือว่าข้า ตัวก็ร้อนๆ ขึ้นมาแล้ว ข้าอาจจะติดโรคนี้มาด้วยก็ได้ หมอที่ฮ่องกงบอกว่าระยะฟักตัวของโรคของแต่ละคนช้าเร็วไม่เท่ากัน ข้าขอตัวขึ้นไปใส่เสื้อผ้าและก็กินยานอนก่อนดีกว่า เดี๋ยวจะไม่สบายไปอีกคน”
อสุนีรีบตัดบท แล้วรีบเดินออกไป จัตุรัสมองตามอสุนีไปอย่างสงสัย

ที่อาศรมครูเฒ่า จ้าวซันค่อยๆ แก้ห่อผ้าที่วางอยู่บนโต๊ะออก เผยให้เห็นตราประจำตัวเจ้าหลวงโดดเด่นอยู่กลางโต๊ะ
“ตราสุรสีหนาทประจำพระองค์เจ้าหลวง”
“ใช่”
เสนา ทหาร ต่างยกมือขึ้นพนม
“เป็นบุญตายิ่งนักที่ได้เห็น”
“คราวนี้แหละ ข้าจะยอมสู้ตายถวายชีพ จะขอทวงบัลลังก์คืนมาให้ท่านให้จงได้”
“ลำพังทหารรักษาพระองค์ของเจ้าหลวงมาทยาธรคงไม่มีปัญญาทำอะไรได้ แต่กองกำลังของราชิดกับจัตุรัส”
“ผู้ครอบครองดวงตรานี้ คือเจ้าหลวงที่แท้จริง และฝ่าบาท คือเจ้าหลวงของเรา”
ทุกคนเคารพจ้าวซันอีกอย่างสูงสุด เสนาน้ำตาไหล
“ฝ่าบาทไม่ต้องห่วง ยังมีทหารฝ่ายเราที่พอมีฝีมือและจงรักภักดีอยู่บ้าง”
“หม่อมฉันก็จะไปแพร่ความจริงต่อชาวบ้านชาวเมืองในทางลับ หม่อมฉันมั่นใจว่าจะมีคนสมัครใจก็ให้มาช่วยร่วมรบกับเรา มากกว่าล้าน”
“ดีๆ”
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อนพวกท่าน ฟังก่อน เราจะไม่ยอมให้มีสงครามหรือการฆ่าฟันเกิดขึ้นในนครคีรีรัฐอีกเป็นอันขาด”
ทุกคนมองหน้ากันงง
“แล้วถ้าเช่นนั้น...”
“ตราสุรสีหนาทอันนี้จะทำให้ไม่เกิดการนองเลือดเกิดที่นี่อีก”
“พระองค์หมายความว่า...”
“ขอให้ทุกท่านทำตามแผนของเรา คนชั่วต้องได้รับกรรม แต่คนบริสุทธิ์ ต้องไม่ถูกใช้เป็นเหยื่อ มันอาจจะทำได้ยาก แต่ถ้าใช้สติปัญญา เราเชื่อว่าจะต้องสำเร็จ ในครั้งนี้ ข้าจึงขอความร่วมมือจากทุกคน”
หมอสิงหะ เสนา ทหาร ต่างเสียดาย ผิดหวัง ครูเฒ่ามองดูจ้าวซันอย่างตื้นตัน ชื่นชม
จ้าวซันห่อตราสุรสีหนาทกลับตามเดิมแล้วค่อยๆ ยื่นส่งให้ครูเฒ่า ครูเฒ่าค่อยๆ คุกเข่าลง ยื่นมือรับตราประจำตัวของเจ้าหลวง กุมมือจ้าวซันเอามาทูนไว้เหนือหัว
“กระหม่อมเชื่อ คีรีรัฐจะต้องรุ่งเรืองสถาพรต่อไปในภายภาคหน้า เป็นบุญของคีรีรัฐแล้วที่มีพระองค์พี่และพระองค์น้องที่ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม เสียสละความสุขส่วนพระองค์เพื่อประชาชน ขอทรงได้รับการคารวะจากกระหม่อมในนามปวงประชาคีรีรัฐทั้งมวลด้วยพระเจ้าค่ะ”
ครูเฒ่าจะก้มหัวลงบังคมต่ำ จ้าวซันรีบประคองให้ลุกขึ้นยืน
“ชั่วชีวิตนี้กระหม่อมได้มีโอกาสมาพานพบ ได้มาเป็นข้ารองบาทพระองค์นับว่าไม่เสียชาติเกิด”
จ้าวซันผายมือเป็นสัญญาณให้ทุกๆ คนลุกขึ้น แล้วเดินออกไปยืนอยู่กลางห้อง
“ตอนนี้เหลือแค่จัตุรัสเท่านั้นที่ยังเป็นภัยต่อคีรีรัฐของเรา ขอให้ทุกคนจงรอคำสั่งจากเราคนเดียว ห้ามทำอะไรไปโดยพลการเด็ดขาด”
เสนา ทหาร หมอสิงหะมองหน้ากัน พยักหน้าเป็นเชิงเอาไงเอากัน ฮึกเฮิม

อีกด้านหนึ่งที่บ้านสี่ฤดู ผิงถือถาดอาหารเช้ามาสองมือ ยืนอยู่หน้าประตูห้องบราลี พยายามเคาะประตูอย่างยากลำบาก
“พี่บรีๆ ตื่นยัง เปิดประตูให้ผิงอันหน่อยเร็ว”
ผิงอันรออยู่ข้างนอกสักพัก ไม่มีเสียงตอบ พยายามใช้มืออีกข้างที่ไม่ได้ถือถาดอาหารบิดลูกบิดประตูอย่างทุลักทุเล แล้วเปิดประตูเข้าไป
ภายในห้อง บนเตียงเหมือนมีคนนอนเอาผ้าห่มคลุมเป็นก้อนอยู่ ผิงอันเดินไปวางถาดอาหารบนโต๊ะใกล้ๆ เดินไปเปิดม่าน
“โอ้โห เพิ่งเคยเห็นพี่บรีนอนอืดขนาดนี้นะเนี่ย ตื่นได้แล้วพี่ สายแล้ว เดี๋ยวอากงขึ้นมาดุเอานะ” ผิงอันมองไปที่เตียง เริ่มไม่แน่ใจ “พี่บรี จะนอนไปถึงไหนเนี่ย”
ผิงอันเข้าไปเขย่าๆ รู้สึกแปลกๆ จึงดึงผ้าห่มออก เห็นเป็นหมอนข้างอยู่ด้านใน ผิงอันตกใจ เหลือบไปเห็นจดหมายวางอยู่บนหมอน รีบเดินเข้าหยิบอ่านแล้วก็ต้องตกใจ
“เรื่องใหญ่แล้ว อากงๆ” ผิงอันวิ่งออกจาห้องไป กำลังจะลงบันไดไปชั้นล่าง “อากงๆๆ”
อากงเดินออกมาจากอีกห้องหนึ่ง
“อะไรกันคุณหนู เสียงดัง เอะอะ”
“อาม่า อากง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
ผิงอันรีบยื่นจดหมายส่งให้อากง อากงรับมาแล้วส่งคืนผิงอัน อ่านไม่ออก
“จดหมายอะไร”
“พี่บรี พี่บรีหนีไปแล้ว ทำยังไงดีล่ะอากง พี่ชายใหญ่ก็ไม่อยู่ เราจะไปบอกให้ใครช่วยดี”
อากงหยุด คิดสักพัก ผิงอันคิดหนัก
“ผู้กองเหลียง! หนูโทรไปหาผู้กองให้ช่วยตามดีกว่า”
ผิงอันวิ่งลงบันไดไป
“เดี๋ยวก่อน ห้ามไปบอกใครทั้งนั้น”
ผิงอันอึ้ง เงียบ
“หา”
“เพื่อความปลอดภัยของคุณบราลี เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ”
“ไม่เข้าใจอะ”
“คุณหนูต้องเชื่ออากงนะ”
อากงเดินมาจับไหล่ผิงอัน มองตา
“แต่...”
“ในจดหมายนี่คุณบราลีบอกหรือเปล่าว่าจะไปที่ไหน”
ผิงอันเอาจดหมายมาอ่านอีกที ส่ายหน้าเบาๆ

ภาคเหนือของประเทศไทย ที่บ้านล้านนาไทยริมน้ำ เห็นเจดีย์โผล่จากทิวต้นไม้ใหญ่ เห็นหลังคาโบสถ์คริสต์เล็กๆ อยู่ด้านหลัง ที่ท่าน้ำสุริยะกับคำฝายกำลังคุยกัน ท่าทางคำฝายยิ้ม ตื่นเต้นดีใจ พยายามส่งภาษามือคุยกับสุริยะ
“องค์ชายอยู่ใกล้แค่นี้แล้ว ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากไปหาจริงๆ เลย”
“ใจเย็นๆ ไว้ให้เรื่องเรียบร้อยก่อนค่อยไป ไปตอนนี้ก็ไปเกะๆ กะๆ เขา” คำฝายบรรจงจัดของลงใส่กล่อง มัดอย่างดี “โอ๊ย ทำไมมันเยอะแยะมากมายขนาดนี้ คุณชายจะกินไม่ไหวหรอก”
“องค์ชายไม่ได้เสวยของอร่อยๆ นานแล้วนะ”
“ใครบอกเจ้าล่ะ ที่ฮ่องกงอาหารอร่อยจะตาย”
“อร่อยยังไงก็ไม่เหมือนฝีมือคำฝายหรอก”
สุริยะและคำฝายตกใจ รีบหันไปทางที่มาของเสียงจึงเห็นบราลียืนอยู่กับพ่อโจเซฟ
“บราลี”
คำฝายตะลึง ดีใจ รีบทิ้งข้าวของทุกอย่างแล้ววิ่งไปหาบราลี โผเข้ากอดอย่างคิดถึงจับใจ
“แอ้...แอ้...แอ คุณหนู คุณหนูจริงๆ ด้วย คำฝายคิดถึงคุณหนูเหลือเกิน”
“คำฝาย... คำฝายใช่ไหม...จำฉันได้ด้วยเหรอ”
คำฝายพยักหน้า น้ำตานอง
“ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะคะ คำฝายเลี้ยงของคำฝายมาตั้งแต่เล็ก”
บราลีไม่เข้าใจภาษามือหันไปหาพ่อโจเซฟ ถามความหมาย
“ก็เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะ” พ่อโจเซฟบอก บราลียิ้ม กอดคำฝาย สุริยะรีบขึ้นมาจากท่าน้ำ มาคุยกับพ่อโจเซฟ
“คุณพ่อที่มันยังไงกัน ไหนคุณพ่อสัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้วว่าจะดูแลบราลีอยู่ที่โน่น แล้วพามาที่นี่ทำไม มันอันตรายไม่ใช่เหรอครับ”
“พ่อห้ามแล้ว แต่คุณก็น่าจะรู้จักลูกสาวคุณดี”
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ที่ท่าน้ำ คำฝายกำลังอวดของต่างๆ ที่จะส่งไปให้จ้าวซันให้บราลีดู สุริยะเดินไปหาบราลีกับคำฝายที่ท่าน้ำ
“พ่อค่ะ หนูขออาสาไปส่งของพวกนี้ที่คีรีรัฐเอง”
สุริยะตกใจ คำฝายโบกไม้โบกมือห้ามไม่ให้ไป
“เฮ้ย! ไม่ได้ๆๆ ไม่ได้เด็ดขาด จะไปได้ยังไงอันตราย ถ้าใครเจอลูก...”
“คุณพ่อ ใครเจอแล้วยังไงล่ะคะ ที่โน่นไม่มีใครรู้จักหนูสักหน่อย”
“แต่มันไม่ปลอดภัยจริงๆ นะบราลี และถ้าคุณชายจ้าวซันรู้เข้า”
“คุณพ่อไม่ต้องห่วง หนูจะไม่บอกว่าคุณพ่อเป็นคนพาหนูมาที่นี่”
“พ่อไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อนดีไหม แล้วเดี๋ยวเราค่อยไปพร้อมๆ กันเนี่ย”
คำฝายพยักหน้าเห็นด้วย
“ก็หนูจะไปช่วยองค์ชาย ช่วยทำให้เรื่องทุกอย่างเรียบร้อยไงล่ะคะ รับรองที่โน่นไม่มีใครมาสนใจหนูหรอก เขาก็คิดว่าหนูเป็นนักท่องเที่ยวธรรมดา หนูน่าจะเป็นคนที่ไปแล้วปลอดภัยที่สุด”
บราลีพูดจบก็ลุกขึ้นก้าวลงเรือไป
“เฮ้ยๆๆ ไม่ได้นะบราลี”
บราลีหันไปพูดกับคำฝาย
“ไม่ต้องห่วงนะ ของพวกนี้ฉันจะถวายให้ถึงมือองค์ชายเลย ออกเรือได้เลยค่ะ”
บราลีเอาเชือกที่คล้องหัวเรือออกจากหลัก คนเรืองงๆ แล้วถ่อเรือออกจากท่า สุริยะวิ่งตามลงมาจะดึงเชือกไว้แต่ไม่ทัน บราลีหันกลับมายิ้ม โบกมือให้กับทุกคน สุริยะมองหน้าหลวงพ่อด้วยความกังวล เป็นห่วง คำฝายโบกมือให้บราลี แต่ก็ยังคงมีความกังวลอยู่บนใบหน้า

ที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เหม่ยอิงเดินนำอาหลี่ที่ช่วยถือกระเป๋า เดินนำเข้ามาในบริษัท เชิด สง่า ทุกคนไม่กล้ามอง
เหม่ยอิงเดินไปหยุดที่หน้าห้องจ้าวซันแล้วหันกลับมาพูดเสียงดังให้ทุกคนในบริษัทได้ยิน
“ทุกคนฟังทางนี้”
เทเรซ่า ซ่างกวานซิงและพนักงานทุกคนลุกขึ้น เดินมาฟังเหม่ยอิง
“เอ้า... เร็ว ทุกคน ประชุมๆ”
เหม่ยอิงมองหน้าเทเรซ่า
“เทเรซ่า ถ้าฉันไม่ได้สั่งก็ไม่ต้อง” เทเรซ่าหน้าเสีย พนักงานคนอื่นๆ มอง หวาดๆ “ฉันมีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทุกคนได้รับทราบ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปฉันจะเข้ามาบริหารที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์อย่างเต็มตัว” เสียงพนักงานทุกคนฮือฮา ซุบซิบกัน “เงียบ! แล้วฟัง” พนักงานทุกคนหงอ “เนื่องจากมีเหตุผลบางประการที่ไท้เผ่งหรือคุณชายรอง จ้าวฉินเจียงไม่สามารถมาทำงานที่นี่ได้อีกต่อไปแล้ว” พนักงานทุกคนเงียบ “อะไรกัน จะไม่ฮือฮาตื่นเต้นตกใจกันหน่อยเหรอ หึ”พนักงานมองหน้ากัน ทำตัวไม่ถูก “แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณชายจ้าวซันได้มอบหมายให้ฉันเป็นผู้ดูแลบริษัทนี้แทนเขา เพราะฉะนั้นอำนาจในการตัดสินใจทุกอย่างในบริษัทนี้จะอยู่ที่ฉันคนเดียวเท่านั้น” เหม่ยอิงเดินมองหน้าพนักงานทุกคนไปรอบๆ “มีใครมีปัญหาอะไรไหม” พนักงานทุกคนก้มหน้าหลบตา “ดี ตั้งแต่นี้ไป ฉันจะย้ายมานั่งในห้องนี้” เหม่ยอิงชี้ไปที่ห้องจ้าวซัน พนักงานคนอื่นๆ ตกใจ “หลี่ เก็บข้าวของของคุณชายจ้าวซันออกไปเก็บไว้ที่บ้านเร็ว” อาหลี่อึ้ง นิ่ง ไม่กล้าขยับ “ฉันสั่งไม่ได้ยินหรือไง”
“เอ่อ ครับๆๆ”
เทเรซ่าเข้ามา
“แต่”
“มีปัญหาอะไรเหรอเทเรซ่า ดูเหมือนเธอจะเรื่องเยอะที่สุดในบริษัทนี้เลยนะ” เหม่ยอิงมองเทเรซ่าอย่างท้าทาย ซ่างกวานซิงเข้ามาสะกิด เตือนสติเทเรซ่า เทเรซ่าหลบตาแล้วถอยออกไป “ดีมาก ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้”
เหม่ยอิงเดินเข้าไปในห้องจ้าวซัน ยิ้มสะใจ อาหลี่กำลังเก็บของของจ้าวซันลอบมองเหม่ยอิงด้วยความหมั่นไส้

เหม่ยอิงยืนชมวิวฮ่องกงผ่านกระจกใหญ่ในห้องที่ตกแต่งใหม่ อาหลี่ยกรูปเต้กับไทไทที่แขวนอยู่ในห้องออกนอกประตูไป เหม่ยอิงมองทุกอย่างภายในห้อง รู้สึกพอใจ เดินไปที่หน้าต่างกระจกตรวจตราดูพนักงานคนอื่นๆ แล้วสีหน้าเหม่ยอิงก็เปลี่ยนเป็นไม่พอใจ เดินพรวดพราดออกจากห้องไป
พนักงานหญิงกำลังแอบแต่งหน้าอยู่ในคอกของตน เหม่ยอิงเดินรี่เข้ามากระชากเอาลิปสติกที่อยู่ในมือออก แล้วโยนใส่พนักงานคนนั้น
“นี่มันใช่เวลามานั่งเสริมสวยหรือไง ทำไมไม่ทำงาน”
พนักงานหญิงช็อกหน้าซีด
“ขอ...ขอโทษค่ะ”
เหม่ยอิงเหลือบไปเห็นมือถือเสียบที่ชาร์จอยู่ใกล้ๆ หยิบขึ้นมา
“โทรศัพท์นี่ของใคร มีปัญญาซื้อทำไมไม่มีปัญญาเอาไปชาร์จที่บ้าน ต้องมาใช้ไฟของที่นี่ ทำแบบนี้มันก็เข้าข่ายโกงกินบริษัทเหมือนกัน” พนักงานทุกคนหงอ ไม่มีใครกล้ายกมือว่าโทรศัพท์ใคร เทเรซ่ากับซ่างกวานซิงยืนอยู่หน้าเครื่องถ่ายเอกสาร มองหน้ากันระอา เหม่ยอิงเห็น “ตรงโน้นน่ะ อู้งานกันพอใจหรือยัง เม้าท์เรื่องชาวบ้านเสร็จแล้วก็กลับไปทำงานต่อได้แล้ว บริษัทไม่ได้จ้างมาให้ยืนเฝ้าเครื่องถ่ายเอกสาร”

เหม่ยอิงสะบัดหน้าเดินเข้าไปในห้อง แล้วมองกลับออกมา พนักงานทุกคนลนลาน รีบขยับตัวทำงานกันขยันขันแข็ง

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 11 (ต่อ)

ภายในท้องพระโรง ของพระราชวังคีรีรัฐ ทหารคีรีรัฐถวายความคำนับเจ้าหลวงมาทยาธรและทยอยกันออกไป

“ขอพระองค์จงทรงพระเจริญ”
ศิขรนโรดมยืนอยู่ข้างๆ ถวายความคำนับเสด็จพ่อ แล้วจะก้าวขาเดินตามพวกทหารออกไป
“เดี๋ยวก่อนศิขร เจ้าจะไปไหน”
“เอ่อ หม่อมฉัน...หม่อมฉันว่าจะไปหาครูเฒ่าสักหน่อย”
“มีธุระอะไรกับครูเฒ่าหรือ”
“เอ่อ หม่อมฉันว่าจะไป อ่านตำราเรื่องการต่างประเทศเพิ่มเติมสักหน่อยพะย่ะค่ะเจ้าพ่อ”
“องค์ชายจะเสด็จไปโดยลำพังหรือพะย่ะค่ะ”
“อืมม...ก็ใช่น่ะสิ ถามแปลก”
จัตุรัสหันไปทางมาทยาธร เหมือนเป่าหู
“กระหม่อมว่าน่าจะมีทหารคอยตามเสด็จสักหน่อยก็ดี ช่วงนี้จอมพลราชิดก็ไม่อยู่ ไม่มีคนดูแลอารักขาองค์ชาย เกรงว่าจะเกิดอันตรายได้”
“จะอันตรายยังไง เราเดินไปที่อาศรมครูเฒ่าตั้งแต่เล็กจนโต ไม่เห็นจะมีอะไรเลย”
“เวลานี้ไม่เหมือนกันแล้ว องค์ชายทรงเป็นรัชทายาทเพียงพระองค์เดียว เหตุร้ายอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา หากองค์ชายเป็นอะไรไปล่ะก็...”
ศิขรนโรดมมองหน้าจัตุรัส
“ฟังที่จัตุรัสพูดไว้หน่อยก็ดีนะศิขร”
“จริงด้วยเสด็จพ่อ ข้าก็ลืมคิดไปว่าช่วงนี้ข้าต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ อันตรายมีอยู่ทั่วไป และบางทีก็อาจจะอยู่ในที่ที่เรา-คาด-ไม่-ถึง” ศิขรนโรดมเดินเข้าไปพูดใส่หน้าจัตุรัส “งั้นเราไม่ไปแล้ว เราจะอยู่กับเสด็จพ่อในห้องนี้ดีกว่า กลัวเสด็จพ่อจะได้รับอันตรายเหมือนกัน”
ศิขรนโรดมเดินไปนั่งข้างมาทยาธร
“ไม่จำเป็น เจ้าหลวงมีข้าคอยอารักขาอยู่แล้ว”
“นั่นแหละยิ่งอันตรายเลย”
จัตุรัสโกรธ ขยับเข้ามาหาศิขรนโรดม
“ทรงหมายความว่ายังไง”
“ใจเย็นๆ ก่อน ข้าหมายถึงว่า ท่านจอมพลน่ะแก่แล้ว ถ้าเกิดมีคนร้ายบุกเข้ามา หมายจะลอบปลงพระชนม์องค์เจ้าหลวงจริงๆ แล้วท่านจะไปสู้ยังไงไหว เกิดเป็นลมเป็นแล้งขึ้นมา มันจะไม่อันตรายยิ่งกว่าเหรอ”
“องค์ชายดูถูกฝีมือข้าจนเกินไปแล้ว”
“เปล่าเลย เราเป็นห่วงเจ้าและก็เสด็จพ่อของเราต่างหาก”
“ทรงห่วงพระองค์เองก่อนจะดีกว่า”
“ท่านพูดแบบนี้ก็ดูถูกฝีมือข้าเกินไปเหมือนกัน”
“องค์ชายพูดแบบนี้เหมือนมั่นใจว่าจะเอาชนะกระหม่อมได้”
ศิขรนโรดมสะบัดเสื้อคลุมออกทันที ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้
“ไม่ลองก็ไม่รู้”
จัตุรัสมองศิขรนโรดมอย่างสบประมาท มาทยาธรตบมือ
“ดีๆๆ ข้อชอบดูการประลอง เอาเลยๆๆ”

ลานระหว่างตำหนัก จัตุรัสวาดลวดลาย ตั้งท่าเตรียมพร้อมต่อสู้ด้วยมวยคีรีรัฐ
“เสด็จพ่อ หม่อมฉันขออนุญาตเสียมารยาท”
มาทยาธรที่มีมหาดเล็กเข็นรถออกมาให้ หน้าตาตื่นเต้น เหมือนคนจะได้ดูมวย พยักหน้าและปรบมือ ให้เป็นเชิงอนุญาต ศิขรนโรดมเข้าเป็นฝ่ายบุกโจมตีจัตุรัสก่อน หลายกระบวนท่า แต่จัตุรัสตั้งรับได้หมด จัตุรัสอาศัยที่ตัวใหญ่และมีกำลังมากกว่า หาจุดอ่อนเจอซัดหมัดเข้าใส่ศิขรนโรดมเต็มแรง ศิขรนโรดมอาศัยความว่องไวเบี่ยงตัวหนี แต่ก็หลบเกือบไม่พ้น โดนปลายหมัดเฉียดไปผิวๆ ทั้งคู่จดจ้อง เดินมองดูเชิงกันหนึ่งรอบ
ศิขรนโรดมเข้าบุก โจมตีช่วงบน ชกโดนอกและหลังจัตุรัสไปหลายที แต่จัตุรัสไม่รู้สึกระคาย จัตุรัสมุ่งโจมตีช่วงล่างของศิขรนโรดม ใช้เท้าเตะเป็นพัลวัน ศิขรนโรดมต้องหลบไปมา เกือบพลาดท่าอยู่หลายครั้ง ศิขรนโรดมพลาดท่าโดนเตะที่ขาพับใน ล้มลง จัตุรัสเงื้อหมัดจะชกไปที่หน้าศิขรนโรดม ศิขรนโรดมหลับตาเบือนหน้าหลบ
“พอได้แล้ว”
จัตุรัสชะงัก ค้างหมัดไว้ แล้วแบมือออกมาตบที่หน้าศิขรนโรดมเบาๆ เหมือนเอ็นดู ศิขรนโรดมปัดมือจัตุรัสทิ้งอย่างแรง แล้วตั้งท่าหมายจะสู้ต่อ
“ฝ่าบาท องค์ชาย ท่านอา เกิดเรื่องอะไรกันขึ้นเหรอพระเจ้าข้า”
ทุกคนหยุด หันไปมองอสุนีที่ประตุทางเข้า อสุนีกำลังเดินเข้ามา มองงงๆ
“ขอบพระทัยฝ่าบาท นี่หากองค์ชายไม่ทรงออมฝีมือให้ กระหม่อมคงไม่มีปัญญาสู้” จัตุรัสพูดเยาะ
“ก็เห็นๆ อยู่ว่าท่านชนะ จะต้องทำเป็นมีมารยาท พูดจาเยินยอข้าหาสวรรค์วิมานอะไร” ศิขรนโรดมบอกอย่างไม่พอใจ
“ขอประทานอภัย เสือแก่ ย่อมอันตรายกว่ากวางหนุ่มกระมังพะย่ะค่ะ”
“ศิขรนโรมดม...ศิขรลูกพ่อ เจ้าต้องให้จัตุรัสเป็นครูฝึกวิชายุทธ อาจจะดีกว่าเจ้าครูเฒ่าที่งุ่มง่ามคนนั้น”
จตุรัส และมาทยาธรหัวเราะ ถูกใจกัน ศิขรนโรดมก้มหน้าสลด จัตุรัสเดินไปหยิบเสื้อคลุมมาใส่แล้วพูดกับมาทยาธร
“กระหม่อมแค่อยากให้องค์ชายได้รู้จักประมาณตนไว้บ้างก็แค่นั้นพะยะค่ะ การเดินไปในมาไหนคนเดียวภายในวังตอนนี้คงไม่เหมาะ ยิ่งถ้าฝีมือการต่อสู้ยังแค่เพียงระดับนี้...”
ศิขรนโรดมมองแค้น อสุนีมองตาม เริ่มพอจะเข้าใจ
“ข้าเห็นด้วย” มาทยาธรบอก
“ข้าขอเป็นคนคอยตามเสด็จและอารักขาองค์ชายเองฝ่าบาท” อสุนีบอก
“อสุนี เจ้าเข้ามามีธุระอะไร”
“เอ่อ...”
“อสุนีกับข้าจะไปหาครูเฒ่าด้วยกัน หวังว่าคราวนี้คงไม่มีปัญหาอะไรนะ”
ศิขรนโรดมบอกอย่างไม่สนใจ แล้วเดินออกไปโดยไม่หันมามอง อสุนีละล้าละลัง หันหลังทำความเคารพมาทยาธร แล้วรีบเดินตามศิขรนโรดมไป จัตุรัสมองตามศิขรนโรดมอย่างหมายหัว

ศิขรนโรดมถอดเสื้อ นั่งอยู่บนโซฟาบ้านราชิด ตามเนื้อตัวมีรอยจ้ำๆ ฟกช้ำ อสุนีกำลังช่วยทายาให้
“ไอ้จอมพลแก่นั่นมันไม่ยั้งเลยสักหมัด กะจะซัดข้าให้ตาย”
“ฝ่าบาทก็ไม่น่าจะไปหาเรื่องท้าทายเขาเลย”
“ก็มันอดไม่ได้ เห็นหน้ามันแล้วก็เกลียดเข้าไส้”
“ฝ่าบาทต้องทรงใจเย็นกว่านี้ ถ้าท่านอารู้ว่าพวกเราตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาแล้วล่ะก็แผนของเราอาจจะพังได้”
“เรารู้แล้วน่ะ แต่มันเจ็บใจไม่หาย”
“นึกไม่ถึงว่าท่านอาจะมีฝีมือขนาดนี้”
ศิขรนโรดมไม่พอใจ ลุกขึ้นใส่เสื้อคลุม ทั้งๆ ที่อสุนียังทายาให้ไม่เสร็จดี
“ไปชื่นชมมันทำไม เจ้าอย่าลืมสิ ไม่ใช่เพราะจัตุรัสหรอกเหรอที่ทำให้ราชิดพ่อของเจ้าโดนจับ เพราะพ่อของเจ้าร่วมมือกับมันไปซื้ออาวุธเถื่อนเพื่อมาเล่นงานเรากับพระบิดาไม่ใช่เหรอ” อสุนีอึ้ง

ที่ลานซ้อมมวยบ้านครูเฒ่า ศิขรนโรดมกับอสุนีฟันดาบกันอย่างดุเดือด ศิขรนโรดมดูอารมณ์ร้อน และมุ่งจะรุกอยู่ท่าเดียว ไม่ยอมถอย
“พอก่อนๆ”
ศิขรนโรดมลดดาบลง เหนื่อย
“ซ้อมไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร รอให้องค์ชายหายพระทัยขุ่นมัวก่อนดีกว่า”
“เพลงดาบเมื่อกี้ เราพอจะสู้ใครได้ไหมครู” ครูเฒ่าไม่ตอบเดินไปอีกทาง “เราไม่เข้าใจเลยว่าไปแพ้คนแก่คราวพ่อได้ยังไง”
“มันเป็นเรื่องของประสบการณ์ องค์ชายต้องอ่านคู่ต่อสู้ให้ออก ยิ่งได้ประมือกันมากครั้งเท่าไหร่ก็จะยิ่งเข้าใจคู่ต่อสู้มากขึ้นเท่านั้น”
“ท่านครูช่วยสอนให้เรามากกว่านี้ได้ไหม”
“หม่อมฉันสอนไปหมดแล้ว แต่องค์ชายต้องฝึกเอง” ศิขรนโรดมก้มหน้าผิดหวัง “ลองสู้กับศิษย์เก่าคนหนึ่งของหม่อมฉันดูไหมล่ะ”
“ใคร”
ศิขรนโรดมกับอสุนีถามออกมาพร้อมกัน

ศิขรนโรดมกระวนกระวาย เนื้อเต้น เดาได้แล้วว่าเป็นใครแต่ก็ลุ้นๆ ตลอด
“ต้องใช่แน่ๆ ต้องเสด็จมาแล้วแน่ๆ ไม่ใช่คนอื่นหรอก”
อสุนีขรึม มองอาการศิขรนโรดมแบบไม่ชอบใจ ครูเฒ่าเดินนำมา
“ฝ่าบาท องค์ชายศิขรนโรดม กระหม่อมขอทูลนำเสนอลูกศิษย์ของกระหม่อม ทั้งทางวิชาการเมืองการปกครองและวิชายุทธ พะย่ะค่ะ”
จ้าวซันก้าวออกมา ในชุดพร้อมฝึก อสุนีรีบทรุด คุกเข่า
“เจ้าพี่” ศิขรนโรดมผวาเข้าไปเหมือนเด็กๆ เข้าไปกอด “เจ้าพี่เสด็จมาตั้งแต่เมื่อไหร่ การเดินทางราบรื่นดีไหมพะย่ะค่ะ” จ้าวซันกอดตอบ
“ทุกอย่างเรียบร้อยดี น้องล่ะ กลับมาถึงบ้านแล้วเป็นไงบ้าง อาการป่วยต่างๆ หายแล้วใช่ไหม”
อสุนีแอบมอง สายตาแอบหมั่นไส้ ต้องก้มลง ซ่อนแววตา
“น้องได้พักผ่อน ร่างกายสบายดีแล้ว แต่จิตใจนี่สิ ได้เห็นหน้าคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าพวกมันคิดร้ายต่อเรา แต่ยังใส่หน้ากาก ประจบประแจงเจ้าพ่อ แล้วมัน...”
“จุ๊ๆๆ นักรบ อย่าดีแต่พูด มา...มาพิสูจน์กัน ว่าร่างกายเจ้าแข็งแรง พร้อมแล้วหรือยัง”
ทันใด จ้าวซันคว้าดาบจากที่ตั้ง จู่โจมศิขรนโรดมทันที ศิขรนโรดมตั้งรับรวดเร็ว อสุนีตกตะลึง รีบลุกพรวด ครูเฒ่าดูอย่างตื่นเต้น สนใจ สังเกต พิจารณา
จ้าวซันใช้เพลงดาบแบบคีรีรัฐเป๊ะๆ ทั้งการใช้วงวาดกว้าง การฟันสูง ฟันต่ำ แทง ท่าหมุนตัว การกระโดด ฟันจากเบื้องสูง ศิขรนโรดมก็ตั้งรับได้อย่างสวยงาม แต่ออกจะเป็นฝ่ายถอย หลบ รับ ไม่บุก มีความยำเกรง เหมือนเป็นรองทางจิตใจอยู่ระดับหนึ่ง
อสุนีมองๆ ไม่พอใจ เห็นช่องโหว่มากมายของจ้าวซัน ที่ศิขรนโรดมยั้งมือ ไม่ฟันสวนกลับ อสุนีแอบทำหน้าประมาณประมาทในตัวจ้าวซันนิดๆ ไม่เห็นจะเท่าไหร่ จ้าวซันโจมตีจนครบกระบวนท่า แล้วหยุด ครูเฒ่าน้ำตาซึม ปรบมือ
“เป็นบุญตาเหลือเกิน ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชาตินี้ กระหม่อมจะได้เห็นภาพนี้อีก เจ้าพี่ เจ้าน้อง ซ้อมเพลงยุทธด้วยกัน”
“หากไม่เป็นการบังอาจจนเกินไป กระหม่อมอยากจะขอทดลองสักครั้ง” อสุนีบอก
“อะไรนะ อสุนี”
“หากองค์ชายรัชทายาท กับหม่อมฉัน ร่วมมือกันสองแรงพร้อมกัน จะเอาชนะองค์ชายน่านปิงนรเทพหรือไม่...มิใช่อะไรนะพะย่ะค่ะ หม่อมฉันอยากจะเทียบเคียงเท่านั้น ว่าหากเราสองแรง จะสามารถปราบนายพลจัตุรัสได้หรือไม่ แค่นั้นเอง”
“อสุนี”
“น่าสนใจมาก อสุนี เราก็อยากรู้แรงของเจ้ากับศิขรร่วมกันเช่นกัน ว่าจะมีความน่ากลัวสักแค่ไหน เข้ามา”
ศิขรนโรดม อสุนีสบตากัน “อย่าช้า หากช้าก็รับมือเรา”
จ้าวซันกระโดดเข้าโจมตีอสุนีทันที อสุนีไม่ทันตั้งตัว เกือบโดนดาบเต็มๆ แต่ศิขรนโรดมรีบมารับขวางไว้ได้
พอหลบได้ อสุนีวิ่งไปคว้าดาบแล้วเข้ามาโจมตีจ้าวซัน ที่รับมือกับศิขรนโรดมอยู่ ครูเฒ่าถอยไปดู จับตาดูอสุนีอย่างพิจารณา
อสุนีเข้าจ้วงแทงจ้าวซันแบบเหมือนอยากฆ่าให้ตายจริงๆ จ้าวซันหลบหวุดหวิด เสื้อโดนดาบแทงขาดแควก เนื้อที่เอว เป็นแผลปลายดาบข่วนทันที เลือดซิบ ทุกคนตกใจ
จ้าวซันมองแผล มองหน้าอสุนี แล้วทันใด หวดดาบเข้าหาศิขรนโรดมที่มัวแต่ตกตะลึงอยู่ด้านข้าง อสุนีได้สติ รีบโดดเข้าปัดดาบจ้าวซัน จ้าวซันหันมา แล้วลงมือหวดดาบอย่างหนัก อสุนีไม่ตอบ ตีโต้กลับ จ้าวซันรับแล้วตวัดด้วยเทคนิคบางอย่าง ที่เหมือนจะไปฟันข้อมืออสุนี ทำให้อสุนีต้องปล่อยดาบกระเด็นหลุดมือ ดาบอสุนีลอยวื้ด จ้าวซันกระโดดไปคว้าไว้ได้ด้วยมือซ้าย
จ้าวซันรีบจบเกมเร็ว โดยใช้เท้าตวัดตัวอสุนีมาล้มตรงหน้า ใช้ดาบนึงจี้คอไว้ อีกดาบหันไปจี้ตรงกลางอกศิขรนโรดมที่พุ่งเข้ามาพอดี ทุกคนหยุดนิ่ง ครูเฒ่าผงะมองแทบไม่ทัน อสุนี ศิขรนโรดมต่างช็อก ตะลึง
จ้าวซันเปลี่ยนจากสีหน้าถมึงทึง เป็นยิ้ม แล้วดึงดาบคืนมา อสุนีซีด กราบแล้วลุกขึ้น
“เจ้าพี่ ทรงมีฝีมือรุดหน้าไป ยิ่งกว่าผู้ใดในแผ่นดิน”
ครูเฒ่าบอก จ้าวซันหันมา หน้าหม่น
“เสียดาย”
“เสียดายอันใด”
“สมัยนี้ ไม่มีใครเอาชนะกันด้วยฝีมือวิชาเพลงยุทธเช่นนี้แล้ว เขาใช้ปืนติดกล้องระยะไกล ระเบิด สารเคมี เพื่อฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวมากมาย ใครฆ่าได้มากกว่า ทำลายได้มากกว่า ก็มีอำนาจมากกว่า”
ศิขรนโรดมมองจ้าวซัน ปลื้ม ศรัทธามากๆ อสุนีมองสองพี่น้อง ที่มองหน้ากัน เข้าใจกันด้วยความไม่สบายใจ

ท่าเรือ ชายแดนคีรีรัฐ ข้าวของที่เอามาฝากจ้าวซันในกล่องถูกเจ้าหน้าที่คนนึงเปิดดู เจ้าหน้าที่อีกคน ตรวจพาสปอร์ตบราลีที่ป้อมตรงท่าเรือ
“คุณเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย แต่ทำไมคุณนำอาหาร ของกินแบบคีรีรัฐสมัยก่อน มาทำอะไรมากมาย”
“ในเมืองไทย มีคนคีรีรัฐไปทำงานอยู่มาก เขาบอกว่าอาหารแบบนี้ คนคีรีรัฐสมัยนี้ทำไม่ค่อยเป็นกันแล้ว เขาเลยฝากมาให้ทำบุญให้ญาติผู้ใหญ่ของเขาค่ะ”
เจ้าหน้าที่สีหน้าดีขึ้น
“ทำบุญ ถวายพระหรือครับ”
“ค่ะ..เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้วน่ะค่ะ”
“งั้นก็อนุโมทนาสาธุมากครับ”
เจ้าหน้าที่สแต็มป์ให้ทันที
“ขอให้ได้ทำบุญสมอย่างตั้งใจนะครับ” บราลียิ้มหวาน
“ขอบคุณมากค่ะ”
พวกชาวบ้านที่มีอาชีพลูกหาบ จูงม้า 2-3 ตัว ที่ตกแต่งแบบคีรีรัฐ มายืนรอรับจ้างอยู่

ม้าสำหรับรับจ้างขนส่งและขนคน เดินไต่ตามกันไปบนเส้นทางขอบผาฝั่งแม่น้ำที่ลาดชันสูงขึ้นไป
ทางเดินขอบผา ชาวบ้านจูงม้าเดิน มีม้า 3 ตัว ตัวนึงบราลีนั่ง มีข้าวของๆ บราลีผูกหลังม้า อีกตัวเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งและอีกตัวเป็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ม้าเดินมาถึงจุดนึง เป็นมุมชมวิว วิวสวยมาก บราลีมองลงไป แล้วชอบมาก เห็นทั้งแม่น้ำ ป่าเขา
“หยุดๆๆ ก่อนนะคะ” คนจูงม้าหันมา “ขอลงไปถ่ายรูปก่อนนะคะ ตรงนี้สวยจังค่ะ”
คนจูงม้ายิ้ม หยุดม้า บราลีโดดลงมา บราลีไปยืนที่ขอบผา ถ่ายภาพต่างๆ แล้วหันไปถามชาวบ้าน
“พี่คะ แม่น้ำเวียงสายนี่ ยาวมากเลย ใช่ไหมคะ”
“ใช่ๆ แม่น้ำนี่ ไหลจากทางเหนือ ผ่านกลางเมืองหลวง มาถึงชายแดนนี่แหละ”
“แล้วเมืองหลวงนี่ ไปอีกไกลไหม”
“ถ้าไปม้า ก็ 1 วัน ถ้าไปเรือก็ครึ่งวัน แต่ข้ามภูเขาไปแล้ว มีทางรถยนต์ ก็ไปได้ 3 ชั่วโมง”
ขณะคุยกัน คนอื่นๆ ก็ไปหมด เหลือแต่บราลี คนจูงม้า และม้า บราลีกำลังถ่ายรูป
“พี่คะ แล้วพี่รู้จักวัดที่อยู่ที่ริมแม่น้ำเวียงสาย ที่น่าจะอยู่ไม่ไกลเมืองหลวงนัก ที่เป็นสถานที่ที่มีการฝังศพทหาร หรือว่า...คนที่ผ่านการสู้รบ อะไรซักอย่าง”
ทันใด มีพวกโจร ที่แต่งตัวดำๆ มีที่คลุมปิดหน้าปิดตาวิ่งออกมาจากป่าข้างทาง คนจูงม้าตกใจ รีบถอยๆ
“ส่งข้าวของมาให้หมด”
บราลีตะลึง โจรกระชากกล้อง เป้ ไปจากบราลี
“เฮ้ย พี่ชาย ส่งของบนหลังม้ามาให้หมด” โจรเอาปืนจ้องที่คนจูงม้า คนจูงม้ากลัวลนลาน รีบปลดของๆ บราลีจากหลังม้า ส่งให้พวกโจร
“อะไรกัน นั่นมันของๆ ชั้นนะ ของกิน เสื้อผ้า ไม่มีของมีค่าอะไรหรอก”
โจรค้นของพวกนั้น รื้อเสื้อผ้ากระจาย โจรรื้อเป้ หยิบกระเป๋าตังค์ โทรศัพท์ออกมา
“เอามาๆๆ”
“ไม่นะ ไม่ จะมาเอาของคนอื่นง่ายๆ แบบนี้ได้ไง ไม่ยอม ทำไมทำกันแบบนี้ ทำไมคนคีรีรัฐทำแบบนี้ แล้วอย่างนี้อีกหน่อยใครเขาจะมาเที่ยว ทำแบบนี้มันคือการทำลายชาติ ทำลายเศรษฐกิจ ทำลายทุกอย่างของประเทศของพวกคุณเลยนะ” บราลีเข้าแย่งของ โจรเอาปืนจี้
“หยุด! อีนี่ อยากตายหรือไง” บราลีผงะ หยุด “เก่งนักใช่ไหมๆ อีนี่ สงสัยจะอยากโดนซะแล้ว”
โจรที่เหลือล้อมกรอบเข้ามา บราลีถอยๆๆ ทันใดมีเสียงปืนเปรี้ยง กิ่งไม้บนหัวโจรหักกระจุย พวกโจรตกใจ หันมา ภูสินทรที่ใส่หมวกปิดหน้า และพวกสองคน ถือปืนอย่างเท่ จ้องตรงมา
“อย่าแตะต้องผู้หญิงคนนั้น” พวกโจรมองหน้ากัน อึ้งๆ “วางของทั้งหมดลงกับพื้น แล้วไปให้พ้น” พวกโจรลังเล
“บอกให้วางของทั้งหมดลงกับพื้น เป้ด้วย กล้องกับโทรศัพท์ด้วย กระเป๋าเงินด้วย จะวางไม่วาง” ภูสินทรยิงอีกเปรี้ยง พวกโจรตกใจ รีบโยนของทั้งหมดลงตรงหน้า “ดีมาก แล้วที่นี้พวกแกก็ไปได้แล้ว ไปสิ” ภูสินทรยิงอีกเปรี้ยง พวกโจรวิ่งกระจายไปคนละทางสองทาง บราลีมองภูสินทรอย่างตื่นๆ ภูสินทรถอดหมวกออก “เจ้านางม่านฟ้า”
“คุณเมืองเทพ”
“ผมเอง”
“โอ๊ย ดีใจจัง เกือบแย่แล้วล่ะค่ะ โชคดี ที่เจอคุณพอดี”
ภูสินทรเข้ามา ช่วยเก็บของ
“เจ้านาง นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เจ้านางคิดหรือว่าพวกเราจะปล่อยให้เจ้านางไปไหนมาไหนตามลำพัง เวลานี้เจ้านางไม่ใช่คุณบราลี ภีมะมนตรีคนเดิมอีกแล้ว ควรจะเข้าใจได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร” ภูสินทรเดินเข้ามาใกล้ พูดพอให้ได้ยินกันสองคน “เจ้านาง คือพระคู่หมายขององค์น่านปิงนรเทพ ขอให้เจ้านางรู้ตัว และวางตัวให้เหมาะสมด้วย จะมาทำตัวแก่นๆ กล้าบ้าบิ่น เดินทางไปอย่างคนสามัญเช่นนี้อีกต่อไปไม่ได้แล้ว อย่าดื้อนะเจ้านาง ไม่งั้น อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
บราลีอึ้ง ซีด จ๋อยไป

ตะวันตกเหนือภูเขา แสงเริ่มน้อย อสุนีเปิดไฟฉาย ศิขรนโรดม จ้าวซัน ต่างเปิดไฟฉายของตน อสุนีนำทุกคนก้าวมาในป้อมหินร้าง คุกผาห่มดอก
“นี่แหละ ฝ่าบาท คุกผาห่มดอก บัดนี้ เป็นเพียงป้อมหินเก่าๆ”
จ้าวซันถือไฟฉาย ส่องมองดูรอบๆ บริเวณ มีประตูลูกกรงที่ยังแข็งแรงเปิดอ้า ตามหน้าต่างลูกกรงเหล็กยังแข็งแรง จ้าวซันไปทดลอง จับเขย่าๆ ปรากฏว่าไม่สะดุ้งสะเทือนเลย
“สภาพห้องขังยังใช้การได้ดี”
“นักโทษคนสุดท้ายที่ถูกขังอยู่ที่นี่ ตามประวัติศาสตร์กล่าวว่าคือภูสินทร องครักษ์ตำหนักหน้า ที่ได้ชื่อว่าเป็นกบฏ”
“เกือบ 20 ปี ที่ผ่านไป”
“นั่นสิฝ่าบาท แล้วเหตุใด ฝ่าบาทจึงต้องการมาเห็นสถานที่แห่งนี้นัก”
“หรือว่า เจ้าพี่มีแผนอะไร”
“อสุนี เราขอมอบหมายให้ท่าน หาช่างมาดูแล ซ่อมแซม และหาคนงานมาทำความสะอาดที่นี่ให้ดีเถอะ”
“เพื่อ...”
“เพื่อ เราจะใช้ที่นี่ให้เป็นที่คุมขังไอ้จัตุรัส ถึงเวลาแล้ว ที่มันจะต้องเป็นคนที่ถูกจองจำ ตลอดชีวิต จนตายเป็นผีเฝ้าผาห่มดอกแห่งนี้ ตลอดไปย่างไรเล่า”
ในแสงสลัว จ้าวซันมองหน้าศิขรนโรดมและอสุนีอย่างมั่นใจ ศิขรนโรดมหน้าตาฮึกเหิม อสุนีอึ้งๆ

จ้าวซันกลับมาที่อาศรมครูเฒ่า อากาศค่อนข้างหนาว จ้าวซันเดินห่อตัว สั่นๆ รีบๆ อย่างหนาวมากๆ มาเคาะประตู พลันประตูเปิดเร็ว เด็กรับใช้เปิดออกมารับ
“คุณชาย หนาวมากไหมครับ”
“พอดูเลยล่ะ”
เด็กรีบนำมาที่เตาผิง มีโต๊ะอาหารแบบนั่งพื้น
“เชิญมาผิงไฟก่อนเลยครับ คุณชายหิวไหม”
“ถามได้” จ้าวซันเข้ามาหน้าเตาผิง ยื่นมือไปอัง
“งั้น ดื่มชาก่อนครับ แล้วผมเสิร์ฟเลยนะครับ”
เด็กเลื่อนชุดชามา จ้าวซันรินเอง แล้วจิบให้ร้อนท้อง เด็กรีบไป จ้าวซันจิบชาครู่เดียว เด็กก็ยกถาดสำรับออกมาวาง จ้าวซันเข้าไปเปิดดู เด็กวางชาม วางซุป
“แล้วท่านครูล่ะ”
“ท่านครูเข้านอนแล้วครับ”
จ้าวซันคนซุป
“ซุปมันป่า นี่มันอาหารพื้นเมืองแบบโบราณของคีรีรัฐ ที่หาคนทำเป็นยากมาก”
“ครับ ท่านครูบอกแล้วว่าคุณชายต้องชอบ พวกเราเด็กๆ ทำไม่เป็นหรอกครับ แต่นี่ พอดีเราได้แม่ครัวคนใหม่มา”
“แม่ครับคนใหม่หรือ” จ้าวซันตักซุปมาดม แล้วตาโต “มีกลิ่นของผักโหระพาป่าด้วย” จ้าวซันตักซุปเขาปาก แล้วชะงัก นิ่งไป เด็กมองงงๆ
“เป็นอะไรครับ ไม่อร่อยหรือ” จ้าวซันอึ้ง แล้วสักพัก น้ำตาไหลออกมา ร้องไห้ “คุณชาย เป็นอะไรครับ”
จ้าวซันลุกพรวด
“คำฝาย คำฝาย”
จ้าวซันวิ่งเข้าไปที่ครัว เด็กงง วิ่งตาม

จ้าวซันวิ่งน้ำตาปริ่มเข้ามาในครัว หน้าตาตื่น
“คำฝาย”
ในครัว มีหญิงแต่งชุดพื้นเมืองแบบชาวบ้านในหน้าหนาว และมีผ้าคลุมหัว กำลังตักกับข้าวจากเตาที่กำลังอุ่นใส่จานใหญ่อยู่ หยุดชะงัก ยืนนิ่ง ตัวแข็ง จ้าวซันมองอย่างตะลึง แล้วเข้ามาจับบ่าหญิงนั้นหันมา
“คำฝาย” จ้าวซันผงะ นึกไม่ถึง ตะลึง เพราะหญิงนั้นคือบราลี ที่อึ้งๆ “ม่านฟ้า”
“เจ้าพี่”
“น้อง มาได้ยังไง”
บราลีรีบทำความเคารพ
“หม่อมฉันอาสาคำฝาย เอากับข้าวของคำฝายมาถวายเจ้าพี่ไงเพคะ” บราลีประจบสุดขีด กลัวโดนดุ จ้าวซันส่ายหน้า
“พี่สั่งอะไรแล้วไม่เคยทำตามเลยใช่ไหม พี่บอกอะไรม่านฟ้าก็ไม่เคยเชื่อ เป็นเด็กที่เอาแต่ใจ ดื้อ ไม่เคยเคารพ ไม่เคยเชื่อฟังเลย อยากจะลองดีใช่ไหม”

จ้าวซันหน้าดุดัน ซีเรียส บราลีหน้าซีด นึกไม่ถึงว่าจะโดนดุแรงขนาดนี้

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 11 (ต่อ)

จ้าวซันถลึงตาใส่บราลีอย่างดุดัน และพูดอย่างเด็ดขาด เสียงแข็ง

“น้องต้องกลับไป”
บราลีตกใจที่โดนไล่ แต่พยายามรวมรวมสติ แล้วตอบกลับไปอย่างหวั่นๆ
“ไม่ค่ะ หม่อมฉันไม่กลับ”
บราลีหลบหน้า หันกลับไปกวนแกงที่กำลังเดือดอยู่ในอวยต่อ ไม่สนใจ
“นี่เป็นคำสั่ง ได้ยินไหม พรุ่งนี้ ทันทีที่สว่างใครที่พาน้องมา ต้องพาน้องกลับไป”
บราลีรู้สึกเสียใจเหมือนจะร้องไห้ ไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี ยกทัพพีขึ้นมาชิมน้ำแกง จ้าวซันนิ่ง มองไม่เห็นสีหน้าของบราลี คิดว่าบราลีลองดีอยู่ ยิ่งโกรธหนัก เดินเข้าไปจับแขนบราลีให้หันมา
“ม่านฟ้า”
บราลีถูกกระชากหันมา ตกใจปล่อยทัพพีหลุดมือ แกงหก หน้าตาหวาดๆ น้ำตาคลอ จ้าวซันเห็น ชะงักไปเล็กน้อย
“ปล่อยเพคะ”
บราลีสะบัดแขนออกพร้อมๆ กับที่จ้าวซันปล่อยมือ เด็กรับใช้ที่ตามเข้ามาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ดูท่าไม่ดี รีบออกจากห้องไป
“ไม่มีใครพาหม่อมฉันมาทั้งนั้น หม่อมฉันเดินทางจากฮ่องกง มาถึงคีรีรัฐด้วยตัวเอง ระหว่างทางหม่อมฉันต้องเจอกับอะไรบ้าง ต้องลำบากมากแค่ไหน”
“ก็ถึงบอกไม่ให้มา”
“แต่หม่อมฉันก็มา และก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะหอบเอาของพวกนี้มาด้วยทำไม” จ้าวซันมองของกินมากมายที่บราลีหอบมาด้วยวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ “มาถึงที่นี่ ก็ไม่รู้ว่าจะดีใจไปเพื่ออะไรเหมือนกัน”
บราลีพยายามฝืนกลั้นน้ำไว้ แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวก่อน”
บราลีหันหลับมาน้ำตานองหน้า
“หม่อมฉันผิดเองที่ขัดคำสั่ง ไม่ต้องทรงไล่อีกแล้วล่ะค่ะ หม่อมฉันจะไปแล้ว”
บราลีเดินออกจากห้องไป จ้าวซันอึ้ง แกงในหม้อเดือดจนไหม้

บราลียัดข้าวของทุกอย่างใส่กระเป๋าเดินทาง รูดซิปปิด มีเสียงเคาะประตูถี่ๆ บราลีถือกระเป๋าเปิดออกไปจ้าวซันยืนถมึงทึงอยู่
“จะไปไหน”
“อ้าว...ก็ ไล่ไม่ใช่หรือเพคะ”
“ไม่ได้ให้ไปตอนนี้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว นี่ไม่ใช่ฮ่องกงหรือกรุงเทพ แต่เป็นในป่าในเขา ออกไปก็ได้โดนเสือกัดตาย”
“เสือมันไม่กัดคนซี้ซั้วหรอก ถึงเป็นเสือ มันก็เลือก” บราลีพูดอุบอิบ จ้าวซันได้ยินโมโห ปนขำ
“นี่...นิสัยแบบนี้เมื่อไหร่จะเปลี่ยน โตแล้วนะ ม่านฟ้า แต่คิดอะไรเป็นเด็ก ทำอะไรเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคยใช้เหตุผลเลย”
“ก็พอๆ กับบางคน ที่แก่แล้วก็ชอบเผด็จการ ชอบข่มคนอื่น ชอบบังคับ ชอบสั่งให้ทุกคนยอม ใช้แต่อำนาจ ไม่เคยใช้เหตุผลเลย”
“เด็กบ้า! รู้ตัวไหม ว่ากำลังพูดกับใคร”
บราลีมองหน้าจ้าวซัน แล้วทรุดลงกับพื้น หมอบกราบแบบประชด
“ราบเพคะ ก็กำลังจะไปให้พ้นๆ หน้า จะได้ไม่ทำให้ระคายเคืองเบื้องยุคลบาท”
จ้าวซันก้าวเข้ามา กระชากกระเป๋าจากมือ แล้วโยนไป
“ไม่ต้องไปไหน ห้ามออกไปจากห้องนี้ อวดดีนัก ต้องโดนกักบริเวณ แล้วนี่กินข้าวหรือยัง”
“สงสัยจะยัง เพราะรอ...จะรับประทาน พร้อมกับ...ช่างเถอะเพคะ ไม่สำคัญหรอก”
จ้าวซันเหนื่อยใจ ยืนกลุ้ม
“โอเค ลุกขึ้น ไปกินข้าวกันก่อน”
“ไม่ต้องเพคะ หม่อมฉันไม่หิวแล้ว นอนเลยก็แล้วกัน เหนื่อยมากแล้ว เหนื่อยมามากจริงๆ”
บราลีลุก แล้วผลักจ้าวซันเซพ้นไปจากหน้าประตู แล้วปิดประตูลงปัง ใส่หน้า จ้าวซันยืนมึน แล้วพอหันมาก็ชะงัก เมื่อเห็นครูเฒ่ายืนมอง ส่ายหัวปลงๆ
“ครู ขออภัยด้วย ที่ทำให้ครูตื่น”
“ยังไม่ทันหลับ แค่สวดมนตร์อยู่”
“โห ยิ่งแย่ใหญ่ เราผิดเองครู เราไม่คิดว่า”
“เรื่องทุกเรื่อง ฝ่าบาทล้วนจัดการได้หมด เว้นเรื่องนี้ใช่ไหม”
“เราหมดปัญญาจริงๆ ครู”
“เอาล่ะ ไปเสวยอาหารเย็นก่อน ไป เก่งนักก็ต้องเสวยคนเดียวนะ ช่วยไม่ได้”
“อ้าว ครู”
“ไปสิ ทางนี้ ฉันจะจัดการเอง”

จ้าวซันเดินลงมา ยืนมองรอบๆ สภาพครัว เด็กรับใช้ตามมา ยืนมองเก้ๆ กังๆ
“เอ่อ คุณชาย จะรับประทานต่อไหมครับ”
“ยังก่อน เจ้าไปนอนเถอะ”
เด็กรับใช้เดินออกไป จ้าวซันมองกับข้าวต่างๆ ที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ และจานที่ถูกจัดค้างไว้อย่างตั้งใจให้ประณีตสวยงาม จ้าวซันอึ้ง เริ่มซึ้ง หยิบแตงและมะเขือเทศลูกเล็กๆ ที่อุตส่าห์แกะเป็นดอกทิวลิปสีแดง-เขียวเล็กๆ มาดู แล้วมองเหลือบไปทิศทางชั้นบนที่เป็นห้องพักบราลี

ครูเฒ่าเอาขนมในโหลแก้วมาวางตรงหน้าบราลีพร้อมกับนมหนึ่งแก้ว
“คืนนี้ เธอรับประทานของพวกนี้ไปก่อนก็แล้วกัน แล้วนอนเสีย ตื่นเช้ามา ทุกอย่างจะดีขึ้น”
“ท่านครู” บราลียกมือไหว้ และรับของมา “หนูรบกวนท่านครูเกินไปแล้ว”
“ให้เวลาองค์ชายคิดหน่อย หากพรุ่งนี้ จะทรงให้เธอกลับ เธอค่อยกลับ”
“หนูไม่สนใจหรอกค่ะ ยังไงๆ หนูก็จะกลับ ทันทีที่สว่างปุ๊บ หนูจะหายตัวไปทันที คอยดูสิ แล้วคนบางคนจะรู้สึก” ครูเฒ่าหัวเราะเบาๆ
“พอๆกัน เด็กสองคนนี่ แต่ม่านฟ้า เธอสมเป็นผู้หญิงคีรีรัฐจริงๆ ในชีวิตฉัน ได้พบเจอสตรีคีรีรัฐที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว กล้าหาญเช่นเธอมาหลายคน”
“จริงหรือคะ”
“จริง”
“แปลว่า ที่หนูตัดสินใจมาที่นี่ หนูทำถูกแล้ว ใช่ไหมคะ”
“ที่จริง ครูก็ไม่อยากให้หนูมา แต่การที่หนูมาถึงที่นี่ได้ ไม่ยอมแพ้ต่อความลำบากระหว่างเดินทาง แถมยังหอบข้าวของมาฝากพวกเราครบตามความตั้งใจ แม้จะมีภูสินทรเป็นผู้ช่วย ก็ต้องยอมรับในความแน่วแน่ มุ่งมั่น และครูก็ต้องยอมรับว่าหนูมีเลือดของอินปงกับจันทร์แรมเต็มตัวจริงๆ”
บราลีตาวาว น้ำตาท่วมตา ลืมเรื่องอื่นไปเลย

จ้าวซันเดินไปมาอยู่ลานหน้าบ้าน ล้วงกระเป๋า ท่าทางหนาวๆ ไม่ค่อยสบายใจ แล้วมาหยุดใต้ห้องๆ นึง ห้องนั้นเปิดไฟสว่าง คือห้องนอนที่บราลีพัก
ผ่านหน้าต่างกระจกเห็นเงาบราลี พับผ้า ทำนั่นนี่ จ้าวซันแหงนมองเงานั้น หน้าจ้าวซันอ่อนโยนลง รู้สึกรักมากๆ
ภายในห้องบราลีเก็บข้าวของเรียบร้อย หันไปเห็นหน้าต่างกระจกที่มีเงาต้นไม้ไหวลม บราลีลุกขึ้นไป มองออกไปด้านนอกเห็นท้องฟ้าที่มีดาวมากมาย
“โห สวยจังเลย” บราลีหันกลับไปที่กระเป๋า ควานหาโทรศัพท์มือถือจะเอามาถ่ายรูป “อยู่ไหนนะ อ่ะ เจอและ”
บราลีหยิบโทรศัพท์ออกมา “อ้าว.. แบตหมด เฮ้อออ”
บราลีเดินไปหยิบที่ชาร์จมือถือ เดินหาปลั๊กเสียบทั่วห้อง หาตามเสา ซอกตู้ ก้มดูใต้เตียงแล้วบราลีก็เห็นลังกระดาษเล็กๆ อยู่ปลายเตียง เอามือดึงลากออกมา กล่องกระดาษขาด ข้าวของต่างๆ ที่อยู่ภายในกล่องทะลายลงมา
“ซวยแล้ว”
บราลีวางมือถือและที่ชาร์จไว้บนเตียง ใช้สองมือลากของทุกอย่างที่ทะลายออกจากกล่องมาจะจัดให้เข้าที่
ภายในกล่องมีอัลบั้มรูปและหนังสือเก่าๆ บราลีหยิบอัลบั้มรูปขึ้นมาค่อยๆ เปิดพลิกดูทีละหน้า บราลีเห็นรูปหนึ่งเป็นรูปพระเทวีศุลีมาน รู้สึกคลับคล้ายคลับคลา รีบเอาขึ้นมาดูใกล้
“พระเทวีศุลีมาน หรือเปล่านะ”
บราลีเอื้อมมือไปหยิบมือถือและที่ชาร์จมาเสียบปลั๊กไฟตรงใต้เตียง บราลีรีบเปิดไฟล์รูปที่เคยถ่ายไว้ในงานเลี้ยงรับรองศิขรนโรดมในมือถือเพื่อเปรียบเทียบ ภาพในมือถือเทียบกับภาพเก่าจากอัลบั้ม
“ใช่จริงๆ ด้วย” รูปที่บราลีถืออยู่ในมือ ข้างๆ พระเทวีศุลีมานยังมีชายหญิงคู่หนึ่งนั่งอยู่กับพื้น “แล้วสองคนนี่เป็นใครกัน”
บราลีพลิกดูด้านหลังรูปถ่าย มีตัวหนังสือเขียนบรรยายเป็นภาษาคีรีรัฐ บราลีค่อยๆ แกะทีละตัว และอ่านช้าๆ
“พระ-เทวี-ศุ-ลี-มา-น... อ... อิน...ปะ...ปง อินปง... จัน...นะ...แร...ม...” บราลีดีใจ ตกใจ มือสั่น “พ่อ แม่”

ที่อุทยานฝ่ายใน ศิขรนโรดมกำลังเข้าเฝ้าพระเทวีสิริวารตี ในมุมมืด แม่นมยืนเหมือนเป็นยาม คอยมองรอบๆ
“ทำยังไง แม่จะได้เข้าเฝ้าเจ้าพี่ของลูก”
พระเทวีสิริวารตีถามอย่างตื่นเต้น
“องค์น่านปิง สิเพคะ ที่เป็นบุคคลที่ต้องเข้าเฝ้าพระเทวี พระเทวีรับสั่งผิด” แม่นมบอก
“ฉันพูดถูกแล้ว แม่นม เมื่อสิ้นเจ้าหลวงในโกศ ผู้ที่สมควรจะเป็นเจ้าหลวงในปัจจุบันก็คือเจ้าหลาน และฉันก็คือป้าแก่ๆ คนนึง ที่ต้องขอเข้าเฝ้าพระองค์”
“ลูกคงต้อง หาทางพาเจ้าแม่ออกไปทำบุญข้างนอก จะให้เจ้าพี่เข้ามาในนี้คงเสี่ยงเกินไป”
“หม่อมฉันไม่อยากให้พระเทวีออกหน้าออกตานักในเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของผู้ชาย”
“เรื่องของผู้ชายหรือนม เพราะเมื่อก่อน ฉันปล่อยชีวิต ปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในมือผู้ชายไง เขาก็เลยสมคบคิดกัน ทำเรื่องเลวร้ายนี้ขึ้น ความรู้สึกผิดบาปถึงหลอกหลอนฉันอยู่ทุกวันทุกคืน ตลอดหลายปีผ่านมา นมก็รู้”
“นมกลัว”
“นมไม่ต้องกลัว เจ้าพี่จะไม่ทำร้ายใคร เจ้าพี่ไม่โกหก” ศิขรนโรดมบอก
“หม่อมฉันไม่ได้กลัวเจ้าพี่ของฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวคนอื่น”
มีความเคลื่อนไหวบางอย่าง จากพุ่มไม้ใกล้ๆ ศิขรนโรดมรู้สึก ชะงัก หันไป
“นั่นใคร”
เท้าของใครคนนั้นถอย แล้วสะดุดก้อนหิน เซไป โดนต้นไม้พุ่มถัดไป ทำเสียงและความเคลื่อนไหวมากขึ้น
พระเทวีสิริวารตีและแม่นมต่างตกใจ
“ใครวะ มึง! หยุด” ศิขรนโรดมควักมีดออกมา แล้วพุ่งเข้าใส่ คนๆ นั้น คลุมผ้าดำ วิ่งหนี ทำให้ดูไม่คล่องตัว ศิขรนโรดมวิ่งตาม
คนๆ นั้นวิ่งหนีสุดๆ ศิขรนโรดมกระโดดตะครุบไว้ได้ กระโดดรวบตัวไว้ ทำให้ร่างนั้นหน้าล้มฟาดไปกับพื้นหญ้า
พระเทวีสิริวารตี แม่นม ตามไปดู ตกใจ สยอง
“มึงเป็นใคร ไอ้พวกทรยศ ตาย” ศิขรนโรดมจับตัวให้หันหน้ามา พร้อมเงื้อมีด เมื่อพลิกมาโดนแสงไฟโคมบนเสาอุทยาน จึงเห็นว่าเป็นมิถิลา ในชุดนางใน แต่มีผ้าดำห่อคลุม “มิถิลา”
พระเทวีสิริวารตี แม่นม ต่างชะงัก
“มิถิลา นี่เจ้า...สะกดรอยตามข้ามา”
“คลุมผ้าดำด้วย เจ้าเจตนาใดกันแน่”
มิถิลาไหว้ทุกคน
“หม่อมฉันเอง”
“มิถิลา” ศิขรนโรดมดีใจที่เจอ แต่ก็ชักระแวง
“กระหม่อมอยากขอพระเทวีตามเสด็จ แต่ก็เสด็จมาอย่างหลบๆ ซ่อนๆ หม่อมฉันก็เลยต้องแอบตามมา”
“แบบนี้มันเหมือน เจตนาไม่ดี มีคลุมผ้าอะไรด้วย” แม่นมบอก
“มิถิลาไว้ใจได้จ้ะ แม่นม”
“ใช่ครับ มิถิลาคือผู้ที่เราไว้ใจได้ เช่นเดียวกับพี่ชายของเค้า”
“ขอโทษด้วยนะ มิถิลา พอดี ข้าไม่อยากให้การพบกันของพวกเรา มันเป็นกลุ่มใหญ่เกินไป อาจจะทำให้เป็นที่สนใจ ของบางคนได้”
“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัย ที่ทำให้ทรงสะดุ้งตกพระทัย แต่หม่อมฉันมีสิ่งที่ร้อนใจ อยากจะส่งคำถามผ่านไปถึงองค์ชายน่านปิงนรเทพเป็นที่สุด”
ศิขรนโรดมสายตาอ่อนโยนลง
“เรื่องของบิดาเจ้า ถูกไหม”
“อาการป่วยของพ่อ เป็นอย่างไร อนาคตของพ่อ จะเป็นไปในรูปไหน นอกจากจะปล่อยให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฏหมายฮ่องกงแล้ว ก็น่าจะขึ้นอยู่กับความกรุณาของคุณชายจ้าวซันด้วย ไม่ใช่หรือคะ”
ศิขรนโรดมอึ้ง พระเทวีสิริวารตี แม่นม งงๆ มิถิลามองศิขรนโรดมอย่างคาดคั้น

คุกสเตนลี่ย์ที่ฮ่องกง ภายในคุกมีห้องขังแยกเป็นสัดส่วน โดยที่โกศินและราชิดแยกกันอยู่คนละห้อง ราชิดค่อยๆ คลานมาคุยกับโกศินใกล้ๆ ทั้งคู่อยู่ห้องติดกันแต่ไม่สามารถมองเห็นกันได้
“เราจะทำยังไงกันต่อไปดี”
“คงทำอะไรไม่ได้ ต้องรอให้ทูตจากคีรีรัฐมาช่วยเจรจาเท่านั้น”
“แล้วใครมันจะเป็นธุระให้เราเรื่องนี้ล่ะ กว่าทูตมันจะมาช่วย เราคงถูกประหารไปแล้วมั้ง”
“อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ เรายังพอมีหวัง อย่างน้อยมิถิลากับอสุนีลูกของท่านก็ต้องมาช่วยอย่างแน่นอน”
“พอๆ หุบปากไปเลย อย่าพูดชื่อพวกมันให้ได้ยินอีก ข้าไม่ถือว่ามันเป็นลูกอีกต่อไป”
ตำรวจฮ่องกงรีบเดินมาให้ไม้กระบองตีลูกกรงเสียงดังเพื่อเตือนโกศินกับราชิด
“เฮ้ยๆๆ เงียบๆ หน่อย คุยอะไรกันอยู่ได้”
ราชิดกลัวรีบถอยออกห่างจากลูกกรง รอจนตำรวจเดินกลับไปสักพัก แล้วค่อยๆ คลานเข้ามาหาโกศินอีก พยายามลดเสียงลง
“ทหารที่เป็นลูกน้องพวกเราก็โดนขังอยู่ที่นี่หมดใช่ไหม”
“ไม่เหลือ พวกพันหงปิงด้วย”
“จบ...จบกัน นั่งรอวันตายสถานเดียว”
สักพักมีเสียงนักโทษตี๋ใหญ่ อดีตสมุนของพันหงปิง ดังขึ้นจากห้องขังฝั่งตรงข้าม
“ใคร ใครพูดถึงเฮียพันหงปิง”
นักโทษที่อยู่ในห้องขังอีกฝั่ง มีท่าทางไม่น่าไว้วางใจ
“แกเป็นใคร” โกศินถาม
“อยากออกไปจากที่นี่ไหมล่ะ”
“ถามบ้าอะไร”
“ระวังมันอาจจะเป็นสายให้ตำรวจ” โกศินบอก ตี๋ใหญ่หัวเราะ
“จะตายอยู่แล้ว ยังจะมาระแวงนั่นระแวงนี่อีก”
“เดี๋ยว ทำไมแกถึงรู้ภาษาคีรีรัฐ”
“เอาเหอะ นอกจากภาษาของพวกเจ้าแล้ว ข้าก็ยังรู้จักพันหงปิงอย่างดีด้วยนะ”
“แล้วทำไม...”
“ก็ข้าถามไปแล้วว่า อยากออกไปจากที่นี่ไหม”
“อยากสิวะ ถามได้ มีใครอยากอยู่ที่นี่บ้าง”
“ดี ถ้าอยากก็รีบนอนซะ”
“โธ่ ไอ้บ้า”
“ถึงเวลาแล้วข้าจะบอก แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“จะเชื่อมันได้เหรอ” โกศินกระซิบถามราชิด
“อย่าคุยกันเสียงดัง ข้าจะนอน”
สมุนพันหงปิงคลานกลับเข้าไปในห้องขัง ราชิดมองไปยังห้องฝั่งตรงข้าม เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

ในอุทยานคีรีรัฐ มิถิลาเดินมานั่งกอดเข่าอย่างเศร้าๆ อยู่ริมธารน้ำเล็กๆ ในสวน สักพักมีกลีบดอกไม้ลอยมา ทีแรกลอยนิดๆ ตอนหลังชักเยอะ มิถิลาเริ่มสังเกตเห็น มิถิลาเงยไปดูจึงเห็นศิขรนโรดมนั่งปล่อยดอกไม้มา แล้วทำหน้ากวนๆ รออยู่
“หม่อมฉันมีความทุกข์ใจจริงๆ อย่าทรงล้อเล่นแบบนี้เลย”
ศิขรนโรดมเข้ามานั่งข้างๆ
“ฉันห่วง แล้วก็นึกถึงเธอเสมอ แม้เราจะไม่ได้พบกันนะ มิถิลา”
“จริงหรือเพคะ”
“ขอให้เชื่อ ว่าอะไรที่ทำให้เธอกังวล ฉันก็กังวลเหมือนกัน ฉันจะพยายามเต็มที่ ที่จะให้เรื่องราวทั้งหมดจบลงให้เร็วที่สุดและดีที่สุด”
“ข้าเพียงแต่ อยากรู้ข่าวพ่อบ้าง”
“ได้สิ ชั้นจะจัดการให้”
“ฝ่าบาททำได้หรือคะ”
“ทำได้สิ ชั้นเป็นใครล่ะ”
“หม่อมฉัน ไม่ได้บีบบังคับฝ่าบาท แต่ถึงอย่างไร หม่อมฉันก็คือลูก ไม่ว่าพ่อจะเป็นยังไง ลูกก็ต้องรักพ่อ”
“มิถิลา ชั้นเองก็ต้องอยากรู้ความเป็นไปของราชิดเหมือนกันนะ แม้ว่าจะไม่ใช่เพราะความรู้สึกรักเค้าก็เถอะ”
“คง...ทรงเกลียดพ่อมาก”
“ไม่ถึงอย่างนั้นหรอก ถึงยังไง เขาก็เป็นพ่อเธอ”
“ฝ่าบาท”
“ฉันรักเธอนี่ จะทำไงได้ล่ะ”
มิถิลามองศิขรนโรดม อึ้ง ศิขรนโรดมมองตอบ จริงจัง

เช้าวันรุ่งขึ้นที่คุกสเตนลี่ย์ ทางเดินไปห้องอาบน้ำรวม ตำรวจฮ่องกงกำลังคุมตัวนักโทษเรียงแถวมาที่ห้องอาบน้ำ ตี๋ใหญ่ สมุนพันหงปิงเดินนำหน้าแถวมา ตามมาด้วยราชิดและโกศิน นักโทษอีกกลุ่มนำโดยพันหงปิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จกำลังเดินสวนมาเช่นกัน
นักโทษทั้งสองแถวกำลังจะเดินสวนกันในห้องน้ำ ราชิดกับโกศินมองเห็นพันหงปิงแต่ไกล ทั้งคู่สบตากัน
พันหงปิงเห็นทั้งสองคน พยักหน้าเล็กน้อยไม่ให้ใครสังเกตเห็น ขณะเดินสวนกัน ตี๋ใหญ่ นักโทษสมุนพันหงปิงเดินสะดุด ชนพันหงปิงที่อยู่หัวแถวเซไป ขันและสบู่ของทั้งคู่หล่นลงพื้น เสียงนกหวีดเป่าดังยาวขึ้นมา
“เฮ้ยย...อะไรกันๆ เดินดีๆ สิวะ”
ตี๋ใหญ่ก้มลงไปเก็บสบู่ก้อนหนึ่ง พันหงปิงเก็บอีกก้อนหนึ่ง ทั้งคู่สบตากัน พันหงปิงรีบเดินกลับไปนำขบวนต่ออย่างรวดเร็ว ราชิดและโกศินมองตามไป แถวข้างหลังหยุดชะงักเริ่มโวยวาย เสียงนกหวีดเป่าดังขึ้นอีกครั้ง
“อ้าวว...เดินไปสิ เดินไป หยุดทำไมวะ”
ราชิดและโกศินรีบเดินตามตี๋ใหญ่เข้าไปในโรงอาบน้ำ

ตี๋ใหญ่กำลังตักน้ำอาบอย่างสบายใจ ราชิดกับโกศินอาบตาม งงๆ มองหน้ากัน
“ไหนบอกว่าจะทำอะไรไง”
“นั่นสิ”
“อาบน้ำไปก่อน ยังไม่ใช่ตอนนี้”
“อะไรของมันวะ”
สบู่ที่วางอยู่บนกล่องของตี๋ใหญ่ไม่โดนแตะแม้แต่น้อย วางไว้อยู่เฉยๆ ภาพด้านหลังเป็นพวกนักโทษที่กำลังอาบน้ำ

ตี๋ใหญ่เอาสบู่มาถูครูดกับพื้น สักพักก็ใช้มือบิก้อนสบู่ออกจึงเห็นกระดาษโผล่ออกมา จึงดึงออกมา ค่อยๆ คลี่อ่าน อ่านจบแล้วตี๋ใหญ่ ยิ้ม พร้อมกับยักคิ้วให้ราชิดและโกศิน

ราชิดและโกศินมองอยู่เห็นทุกอย่าง พยักหน้าเข้าใจ ทั้งสามคนยิ้มให้กัน

อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น